PANTIP.COM : S3483912 เป็น "มหาชน" กับเป็น "เอกชน"... มีส่วนดีส่วนเสียต่างกันยังไง? [ฟุตบอล]

ความคิดเห็นที่ 1

ว่าจะพูดถึงเรื่องนี้หลายที แล้วก็ลืมมั่ง ไม่มีเวลามั่งครับ

---------------------------------

การที่เกลเซอร์ ซึ่งข่าวว่ากู้เงินมาซื้อหุ้นแมนยู มองแง่ดีบ้างก็ได้ครับ ลองวิเคราะห์กันด้วยหลัก Financial เลยนะ

1. นักลงทุนที่ดี ... ไม่มีใครใช้เงินสดมาลงทุนครับ เงินสดเค้าเก็บไว้รอโอกาสลงทุน เพราะการที่กิจการ(ในที่นี้หมายถึงเกลเซอร์) มีหนี้สิน จะทำให้กิจการนั้นมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยเฉพาะภาษี เพราะดอกเบี้ยที่ต้องชำระเงินกู้ ถือเป็นค่าใช้จ่าย สามารถใช้เป็นส่วนลดภาษีได้ เกลเซอร์เป็นนักลงทุน ย่อมทราบข้อนี้ดีครับ ไปดูได้ครับ ทุกบริษัทจะใหญ่แค่ไหน จะมีหนี้สินอยู่ทั้งสิ้นครับ Cashflow หรือสภาพคล่องทางการเงินต่างหาก ที่ทำให้แต่ละบริษัทรวยจนต่างกัน เพราะถ้ามี cashflow มาก จะลงทุนอะไร(เช่นซื้อนักเตะ)ทำได้ทันที แต่ถ้าไม่ค่อยมี cashflow จะลงทุนอะไรทีต้องถามเจ้าหนี้ก่อน

2. นักลงทุนที่ดี โดยทั่วไปจะเลือกลงทุนในกิจการที่มีศักยภาพในการสร้างกำไร ซึ่งเป็นกิจการที่มีการดำเนินการที่ดีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ... แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นกิจการที่มีการดำเนินกิจกรรมที่ดี เมื่อเกลเซอร์เข้ามา คงไม่เสี่ยงไปแตะการดำเนินการที่ดีอยู่แล้วนั้นถ้าไม่จำเป็น (โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับฟุตบอลที่เขาไม่มีความรู้โดยตรง) ซึ่งก็เท่ากับว่า สโมสรก็ยังสามารถดำเนินงานต่อไปได้ตามแนวทางเดิม หรือแนวทางที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้างตามความเหมาะสม

3. หน่วยงานต่างๆ ในกิจการที่ไม่ทำกำไร อาจถูกยุบเลิก ... ในความหมายนี้ก็คือ ถ้าเล็งเห็นว่านักเตะคนใดไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับองค์กรเท่าที่องค์กรคาดหวังและลงทุน ย่อมถูก divest หรือปล่อยตัวออกไป เช่นเคลแบร์สัน หรือพวกนักเตะค่าจ้างแพงแต่เล่นไม่คุ้มค้าจ้าง เพราะกิจการสามารถประหยัดงบตรงนั้น ไปลงทุนได้อีกมาก เรื่องค่าเหนื่อยก็เป็นเรื่องสำคัญมากเหมือนกัน เพราะเป็นภาระผูกพันระยะยาว ไม่เหมือนการซื้อขายสินทรัพย์(นักบอลนั่นแหละ) ที่เป็นการจ่ายเงินครั้งเดียว และสามารถได้ทุนบางส่วนคืนเมื่อมีการขาย ซึ่งบ่อยครั้งก็เป็นกำไร

4. ขณะเดียวกัน ก็น่าจะมีการสร้างหน่วยธุรกิจใหม่ที่ทำกำไรมากกว่าขึ้นมาทดแทน ... ในที่นี้ก็คงเป็นการหาผู้เล่นหน้าใหม่ที่ดึงดูดลูกค้า(แฟนบอล/ลิขสิทธิ์การถ่ายทอด)เข้ามาแทนที่ โดยเฉพาะผู้เล่นระดับดาราจริงๆ ซึ่งไม่มากก็น้อย ย่อมมีผลต่อ performance ของทีมโดยรวม ยกตัวอย่างเช่น ซื้อโรนัลดิญโญ่มา 20 ล้านปอนด์ อาจเป็นการลงทุนที่สูง แต่ผลตอบแทนย่อมกลับมาสูงเช่นกัน ทั้งการขายเสื้อ ของที่ระลึก จำนวนแฟนบอลที่เข้าสนาม ความสนใจจากสปอนเซอร์และตารางการถ่ายทอดที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ เพราะใครๆ ก็อยากดูนักเตะระดับนี้เล่นทุกสัปดาห์ ขณะเดียวกัน ทีมที่มีสตาร์เป็นแกนนำหลายๆ คน ก็ย่อมมีโอกาสสร้างผลงานได้ดีขึ้นอยู่แล้ว

5. การปรับปรุงแผนงาน ... แน่นอน เมื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไปได้ระยะเวลาหนึ่ง ก็ต้องมีการประเมินผลว่าผลประกอบการ(หรือฟอร์มการเล่นของทีม)มีประสิทธิภาพเพียงใด และก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม ตามอย่างการดำเนินธุรกิจที่ดี เพื่อให้เกิดความมั่งคั่งสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อผู้เล่นใหม่มาเสริม หรือแม้แต่การเปลี่ยนผู้จัดการทีมถ้าจำเป็น

จะเห็นว่าทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันเป็นระบบหมด ทีมเล่นดี คนอยากดู รายได้เพิ่ม ผู้ถือหุ้นแฮปปี้ มีเงินใช้หนี้และแบ่งบางส่วนมาลงทุนเพิ่ม เมื่อลงทุนเพิ่ม ประสิทธิภาพของทีมก็ดีขึ้น ทีมเล่นดี คนอยากดู ... ฯลฯ เป็นวงจรไปเรื่อยๆ

ไอ้ที่ผ่านมาเนี่ย มันไปไม่ค่อยรอดเพราะแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน แต่บริหารแบบโอลด์เฟิร์ม หัวมังกุท้ายมังกร มันถึงไปไม่ค่อยรอดไง ลองเปลี่ยนมาเป็นแบบธุรกิจกีฬาเต็มรูปแบบดูซักตั้งก็น่าจะดีนะ และผมก็ค่อนข้างเชื่อว่า คนทำงานกับธุรกิจหลักพันล้าน มองอะไรในแง่ของการพัฒนาการประกอบการของสโมสรได้ชัดเจนมากกว่าแฟนบอลอังกฤษระดับกรรมกรที่เย้วๆ ต่อต้านอยู่แน่ๆ ครับ ไอ้พวกนี้วันนี้ก็ประท้วงกันไป แต่เกิดนายเกลเซอร์แกมาถึงก็ทุ่มเงินซื้อสตาร์อย่างพวกโรนัลดิญโญ่ บัลลัค หรือแม้แต่ดึงเบคแฮมกลับมา ไอ้พวกนี้จะเป็นพวกแรกที่เปลี่ยนมาแหกปากเชียร์ทีมกันต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ

ส่วนตัวผม ... ผมเฉยๆ กับการที่นายเกลเซอร์เข้ามาคุมหุ้นใหญ่ของทีม ซึ่งตอนนี้ทีมก็ยังเป็นบริษัทมหาชนอยู่ เพราะก็ยังจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น ไม่ได้ถอนออกมา แต่ถ้าผู้บริหารเห็นประโยชน์ ก็อาจยื่นเรื่องขอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นผ่านกรรมการตลาดหุ้นของเขาได้

ซึ่งการมีหัวเรือใหญ่คนเดียว บางทีก็เวิร์คนะ ดูตัวอย่างตลาดธุรกิจบ้านเรา อย่างกรณีคุณตัน แห่งโออิชิสิ ทำอะไรก็รวดเร็วทันใจ ไม่ต้องมานั่งประชุมบอร์ดกันเป็นวรรคเป็นเวรกว่าจะได้ข้อสรุป แค่เรียกคนที่เกี่ยวข้องมาหารือแป๊บเดียวจบ ได้ข้อสรุป ทำงานได้เลย

แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 48 13:01:39
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 48 12:51:58

จากคุณ : (แมลงสาบ) - [ 18 พ.ค. 48 12:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20

ดีครับ คุยต่อ จะได้ได้ความรู้เยอะๆ ไอ้ผมก็ผ่านวิชา Financial Management มาแบบเต็มกลืน หุหุ

ถ้าเกลเซอร์เปลี่ยนสถานะของทีมกลับมาเป็นเอกชนอีกครั้ง พูดง่ายๆ คือออกจากตลาดหุ้น เค้าก็จะมีอำนาจคุมทีมทั้งหมดสามารถเอาเงิน cashflow ของกิจการไปใช้หนี้ส่วนตัวได้เลยหรือเปล่า ... อันนี้ตามที่คุณวิญญาณห้อง 2 ว่า ตรงนี้เป็นประเด็นแรก ซึ่งคุณ Lawเก้อ ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจ เดี๋ยวผมจะขอยกว่าขยายต่อนะครับ

จากที่คุณ OldPoem บอกว่า มีข่าวว่า เมื่อเกลเซอร์คุมทีมโดยถือหุ้น 75% ของทั้งหมด เค้าจะเอาสินทรัพย์ คือสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปค้ำประกันเงินกู้ที่เค้ากู้มา ... อันนี้ประเด็นที่สอง ซึ่งต่อไปจะขอ quote ความเห็นของท่านอื่นมาปะติดปะต่ออีกทีเพื่อคุยกันครับ

ทีนี้ไปดูความเห็นของคุณ Lawเก้อ ...

"ผู้ซื้อหุ้นจะต้องซื้อหุ้นด้วยเงินทุนของตนเอง คือจะไปกู้เงินหรืออะไรมาก็แล้วแต่ ก็จะต้องจ่ายเองหรือค้ำประกันด้วยเงินตัวเอง บริษัทที่กำลังจะถูกซื้อ (Man U) จะให้การช่วยเหลือในทางทรัพย์สินแก่ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้ หรือจะเอาสินทรัพย์ของบริษัทไปค้ำประกันเงินกู้ที่มาซื้อหุ้นก็ไม่ได้ กฎหมายในเรื่องนี้ของบริษัทมหาชนเข้มงวดมาก ไม่มีทางออกเลย"

ตรงนี้จะเห็นได้ว่า ถ้ายังเป็น "มหาชน" อยู่ เกลเซอร์ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ดังนั้น ที่คุณวิญญาณห้อง 2 บอกว่า เกลเซอร์จะเอา cashflow ที่ไม่ได้ลงทุนของสโมสรไปใช้หนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ แต่ในทางปฎิบัติ ไอ้ cashflow ที่ว่าคงจะไม่ใช่เงินที่เก็บไว้เฉยๆ เพราะสโมสรต้องคำนึงถึงผลประกอบการด้านทีมฟุตบอลด้วย นั่นหมายถึงว่า เงิน cashflow ที่ดูเหมือนจะเป็น "เงินเย็น" นี้ พร้อมจะถูกใช้จ่ายออกไปตลอดเวลา เช่นการซื้อตัวผู้เล่นใหม่ ซึ่งเป็นเงินก้อนมหาศาลอยู่

ยกตัวอย่างถ้าซื้อนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์คนนึง 20 ล้านปอนด์ คูณ 75 เข้าไปก็ 1,500 ล้านบาท และเชื่อว่ากิจการระดับพันล้าน หมื่นล้านอย่างแมนยู ต้องมีการกำหนดสัดส่วนทางการเงินเอาไว้อย่างชัดเจนและค่อนข้างจะตายตัว เช่นบอกว่า สมมติก็แล้วกัน สมมติว่าสัดส่วนระหว่างหนี้สินกับ cashflow ถูกกำหนดว่าต้องเป็น 1:1 หมายความว่า แม้หนี้สินจะมีอยู่พันล้านบาท แต่เงิน cashflow ก็ต้องมีพอๆ กัน ถ้าผิดสัดส่วนไปจากนี้ CFO ต้องมีการปรับการดำเนินงานทางการเงินทันที เพื่อให้สัดส่วนทางการเงินกลับมาอยู่ในระดับปกติ ...

อนึ่ง สัดส่วนทางการเงิน ไม่ใช่นึกจะปรับเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ปรับได้นะครับ ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบทั้งระยะสั้นระยะยาว กว่าจะได้ตัวเลขสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละกิจการมา ตรงนี้ต้องบอกก่อน เดี๋ยวบางคนจะถามว่า งั้นก็เปลี่ยนจาก 1:1 เป็น 1:0.5 ได้ไหม ... คือได้ แต่ยากครับ

อย่างไรก็ตาม เกลเซอร์ก็ยังมีทางออก คือ ...

"แต่มีข้อยกเว้นว่า บริษัทเอกชนจะสามารถให้ Financial Assistance ได้ โดยอาศัยมติพิเศษของผู้ถือหุ้น คือเมื่อ Glazer สามารถถือครองหุ้นได้สามในสี่ส่วนแล้ว ขั้นตอนแรกก็จะออกมติพิเศษ แปรสภาพบริษัทมหาชนเป็นเอกชน ..."

หมายความว่า ถ้าเกลเซอร์ถือหุ้นเกิน 3 ใน 4 สามารถแปลงสภาพสโมสรจากมหาชนเป็นเอกชนได้เลยรึเปล่า ... อาจใช่ แต่จะเห็นว่ามันต้องผ่านอะไรหลายอย่างเหมือนกัน โดยเฉพาะต้องผ่านการอนุมัติโดย กลต. ของที่อังกฤษ ซึ่งคงต้องมีการเข้าไปตรวจสอบบัญชีของแมนยูอย่างละเอียด และก็รวมถึงข้อมูลทางการเงินของผู้ถือหุ้นใหญ่ คือนายเกลเซอร์ด้วย ซึ่งหาก กลต.อังกฤษ พบว่านายเกลเซอร์มีออปชั่นกับธนาคารที่เค้ากู้มาซื้อหุ้น ว่าเมื่อครองสโมสรเต็มตัวจะเอาสโมสรไปค้ำประกันหนี้แทนเหมือนที่คุณ OldPoem ว่า ... ตรงนี้ผมเชื่อว่าเมื่อตรวจสอบพบออปชั่นแบบนี้ กลต.อังกฤษเข้มงวดพอที่จะไม่อนุมัติ เพราะมันจะไปเข้าข่ายการ "ให้การช่วยเหลือในทางทรัพย์สินแก่ผู้ซื้อหุ้น" หรือ "เอาสินทรัพย์ของบริษัทไปค้ำประกันเงินกู้ที่มาซื้อหุ้น" ที่ กลต. มีข้อห้ามไว้แต่แรก และมันก็จะกลับไปเป็นทางตันแบบที่คุณ Lawเก้อ ว่าไว้ โดยเฉพาะไอ้กฏระเบียบหยุมหยิมที่คุณ Lawเก้อ บอกนั่นแหละ ที่จะบล๊อคการซิกแซกของเกลเซอร์ได้เป็นอย่างดี อันนี้จริงเท็จอย่างไรในรายละเอียดอาจจะขอความเห็นจากคุณ Lawเก้อ อีกทีนะครับ

ตรงนี้จะเห็นว่า การซื้อเชลซีของเฮียหมี ไม่ยุ่งยากเท่านี้เพราะไม่มีขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับ กลต.อังกฤษ แต่ของเกลเซอร์ มีทางออกไม่กี่ทางเท่านั้นแหละครับ

แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 48 07:42:04

จากคุณ : (แมลงสาบ) - [ 19 พ.ค. 48 07:35:00 ]