CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    หนึ่งในฮีโร่ปิศาจแดงที่ถูกลืม


    ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา นับจากการจากทีมไปของยักษ์เดนส์ ปีเตอร์ ชไมเคิล ทีมรักของผมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ดูเหมือนจะประสบปัญหาขาดแคลนผู้รักษาประตูมือดีมาตลอด จะกี่คน จะเก่งมาจากไหน ก็แพ้หัวใจของเฟอร์กี้ทุกที ... นั่งดูข้อความเก่าๆ ที่เคย search และเซฟเก็บไว้ก็มาเจอบทความหนึ่ง ที่เชื่อว่าหลายท่าน โดยเฉพาะแฟนบอลยูไนเต็ดรุ่นใหม่บางท่านอาจไม่รู้จักเขา ก็เลยขออนุญาตแปลมาให้อ่านกันครับ (หมายเหตุ ขออภัยที่ไม่ได้บันทึกที่มาไว้ครับ) โดยผมได้เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนเพื่อความสมบูรณ์แห่งอรรถรสในการอ่านไปบ้าง หวังว่าคงให้อภัยกันนะครับ

    .
    .
    .
    .
    .


    อดีตฮีโร่ของยูไนเต็ด เลส ซีลีย์ เสียชีวิตกะทันหันในวัย 43 ปี


    เลส ซีลีย์ สร้างชื่อให้แฟนๆ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั่วโลกได้รู้จักกันเป็นครั้งแรก ในนัดชิงชนะเลิศเอฟ เอ คัพ นัดแข่งใหม่กับทีมคริสตัล พาเลซ ในปี 1990 (ที่ทุกคนรู้จักกันในฐานะโทรฟี่ต่อชะตาของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กุสัน นั่นเอง และเป็นยุคที่การเสมอในนัดชิงเมื่อครบ 120 นาที จะต้องมีการแข่งใหม่ ไม่ใช่ยิงจุดโทษเหมือนปีที่ผ่านมา – ผู้แปล) โดยลงแทน จิม เลห์ตัน ที่โชว์ฟอร์มในนัดแรกได้ค่อนข้างแย่ จนผลจบที่การเสมอกัน 3 : 3 ต้องแข่งใหม่ ... ในนัดแข่งใหม่ดังกล่าว ซีลีย์ โชว์ฟอร์มป้องกันประตูอย่างยอดเยี่ยมจากกองหน้าระดับพระกาฬของพาเลซในยุคนั้น อย่างเอียน ไรท์ และมาร์ค ไบรท์ตลอดเกม สุดท้าย ยูไนเต็ดก็ชนะไป 1 : 0 จากประตูชัยของลี มาร์ตินส์ แบ๊คซ้ายของทีม

    (หมายเหตุ : แฟนของเอียนไรท์ สามารถติดตามผลงาน ปัจจุบันของเค้าได้ในรายการ I’d do anything ทางช่อง UBC 18 ช่วงเย็นวันจันทร์ได้นะครับ นายไรท์ซ่าเป็นพิธีการรายการนี้อยู่ ผมเคยเปิดเจอผ่านๆ ทีนึง อิอิ)


    หลังจากที่ยูไนเต็ดได้ครองแชมป์แรกในรอบ 5 ปี ซีลีย์ได้รับรางวัลตอบแทนเป็นสัญญาถาวรจากยูไนเต็ด เพราะตอนแรกเขามาร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัวจากทีมลูตัน ทาวน์ เท่านั้น และซีซั่นถัดมาเขาก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับยูไนเต็ดตลอดฤดูกาล และนัดที่ถือว่าเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของเขาอีก 2 นัด ก็คือนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยรัมเบโลว์ส ลีก คัพ นัดนี้ยูไนเต็ดพ่ายให้กับเชฟฟิลด์ เวนสเดย์ ทีมจากดิวิชั่นสองในขณะนั้นไป 0 : 1 … ส่วนอีกนัด คือนัดชิงชนะเลิศของศึกยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่เฉือนชนะบาร์เซโลน่า ทีมเจ้าบุญทุ่มแห่งยุโรปไป 2 ต่อ 1

    (หมายเหตุ : ผู้ทำประตูชัยของเวนสเดย์ก็คือ จอห์น เชอร์ริแดน โดยผู้จัดการทีมของเวนสเดย์ขณะนั้นก็คืออดีตผู้จัดการยูไนเต็ดก่อนเฟอร์กี้ นั่นคือ รอน แอตกินสันนั่นเอง และถ้าแฟนรุ่นเก่าๆ จำกันได้ เวนสเดย์ทีมนี้ มีนักเตะที่เซอร์อเล็กซ์อยากได้มาร่วมทีมสุดๆ แต่ไม่เคยสำเร็จเลย เขาคือ เดวิด เฮิร์สท จำได้ว่าสมัยนั้นผมเล่นเกม CM ทีไรจะพยายามซื้อหมอนี่มาทุกที ประมาณว่าเติมเต็มฝันแทนป๋า อิอิ  ... ขี้โม้อีกแล้วผม จะเล่าจบมั้ยเนี่ยวันนี้)


    สำหรับประวัติส่วนตัวนั้น เขามีชื่อจริงว่า เลสลีย์ เจสซี่ ซีลีย์ (Leslie Jesse Sealey) เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ.1957 ที่เขตเบิร์ธนัล กรีน ประเทศอังกฤษ บิดาของเขาซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุก เป็นกองเชียร์ที่เหนียวแน่นของทีมเวสท์แฮม ยูไนเต็ด และครอบครัวของเขาก็เป็นเดอะ แฮมเมอร์ส มาหลายชั่วคน ครอบครัวของเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับทีมขุนค้อนเป็นอย่างมาก ญาติผู้น้องของบิดาของซีลีย์ คืออลัน ซีลีย์ เป็นผู้ยิงสองประตูให้เดอะ แฮมเมอร์ส ถล่ม 1860 มิวนิคไป 4 ต่อ 2 ในนัดชิงยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ส คัพ เมื่อปี 1965


    ซีลีย์เริ่มอาชีพค้าแข้งโดยเซ็นต์สัญญากับทีมโคเวนทรี ซิตี้ ต่อมาในปี 1977 ในวัยเพียง 20 ปี เขาก็มีโอกาสลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก เมื่อจิม บลิธ ผู้รักษาประตูตัวจริงของทีมบาดเจ็บในสนาม หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของทีมมาตลอด และช่วยให้ทีมสกายบลูส์ รอดพ้นจากการตกชั้นในปีนั้นได้สำเร็จ


    เขายึดมือหนึ่งของทีมได้อย่างยาวนานร่วม 6 ปี จนกระทั่งย้ายไปร่วมทีมลูตัน ทาวน์ ในปี 1983 และเป็นมือหนึ่งของทีมมาตลอด จนกระทั่งในปี 1989 ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญกับเขาถึงสองเหตุการณ์ด้วยกัน เหตุการณ์แรก เขาช่วยให้ทีมลูตัน ทาวน์ ถล่มทีมรักที่เขาเชียร์มาตั้งแต่เด็ก คือเวสท์แฮม ยูไนเต็ด จนตกรอบฟุตบอลถ้วยลิตเติลวูดส์ คัพ (เปลี่ยนชื่อมาจาก รัมเบโลว์ส ลีก คัพ) ไปด้วยสกอร์รวม 5 : 0 (สมัยนั้นตั้งแต่รอบ 3 เป็นต้นไป จะแข่งระบบเหย้าเยือนสองนัด) เขาให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า “รู้สึกเหมือนทรยศต่อความเป็นเดอะ แฮมเมอร์ส ของครอบครัวเขา” เลยทีเดียว


    อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถือว่าสำคัญมาก และเป็นจุดหักเหในชีวิตค้าแข้งของเขาอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง ก็คือในรอบชิงชนะเลิศของรายการนี้ในปีนั้นเอง ลูตันพบกับนอตติงแฮม ฟอร์เรสต์ ... ขณะนั้นทีมของเขานำอยู่ 1 : 0 นั้น ซีลีย์พลาดท่าไปรวบสตีฟ ฮอดจ์ ที่หลุดเดี่ยวมาจนล้มคว่ำไป และก็เป็นไนเจล คลัฟ ที่สังหารจุดโทษตีเสมอได้สำเร็จ และในที่สุด เจ้าป่าก็เป็นแชมป์ในปีนั้นไปด้วยสกอร์สุดท้าย 3 : 1


    ที่บอกว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยได้รับโอกาสลงสนามให้กับลูตันอีกเลยแม้แต่นาทีเดียว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาลงสนามเป็นมือหนึ่งให้กับทีมมามากกว่า 200 นัด


    บังเอิญในฤดูกาลนั้น คือฤดูกาล 1989-1990 อเล็กซ์  เฟอร์กุสัน เห็นว่ายูไนเต็ดจำเป็นต้องมีผู้รักษาประตูสำรองจากจิม เลย์ตันอีกซักคน จึงได้ติดต่อทาบทามขอยืมตัวเลส ซีลีย์ ซึ่งขณะนั้นอายุย่าง 33 ปีแล้วมาร่วมทีมในช่วงท้ายของฤดูกาลนั้น


    ระหว่างสัญญายืมตัว เฟอร์กี้ให้โอกาสซีลีย์ลงเล่นไป 2 นัด ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์มได้ดี แต่ก็ติดที่มีมือหนึ่งเป็นเลห์ตัน ซึ่งมีศักดิ์ศรีเป็นถึงมือหนึ่งของทีมชาติสกอตแลนด์ ความเกี่ยวข้องของซีลีย์กับยูไนเต็ดก็น่าจะจบแค่นัดขิงชนะเลิศเอฟเอ คัพของฤดูกาลนั้น และก็คงจะเป็นแค่ในฐานะตัวสำรองด้วยซ้ำ ส่วนเฟอร์กี้ก็มีแววว่าจะถูกบอร์ดบริหารของยูไนเต็ดปลด เนื่องจากได้รับโอกาสทำทีมมาพอสมควร รวมทั้งใช้จ่ายเงินไปมากพอดู เอฟเอ คัพ นัดชิง จึงดูเหมือนจะเป็นเดิมพันสุดท้ายของเฟอร์กี้กับยูไนเต็ด แต่เมื่อนัดชิงชนะเลิศต้องมีการแข่งใหม่ เฟอร์กี้จึงเจรจาขอยืดสัญญายืมตัวกับลูตันออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์ และก็สร้างความประหลาดใจสุดๆ เมื่อก่อนเริ่มแข่งไม่ถึงชั่วโมง เฟอร์กี้ส่งเสื้อหมายเลข “1” ให้กับซีลีย์ แล้วบอกกับเขาว่า “สิ่งที่ฉันต้องการจากนายก็แค่คลีนชีทในนัดนี้ ทำได้ไหม เลส” แทนที่ของจิม เลห์ตัน ที่โชว์ฟอร์มได้แย่เอามากๆ ในนัดชิงนัดแรก


    ผลก็อย่างที่ทราบกัน ว่าซีลีย์งัดฟอร์มสุดยอด ช่วยป้องกันประตูเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น จนยูไนเต็ดชนะไปในที่สุด 1 : 0 โดยในขณะที่เหล่านักเตะยูไนเต็ดกำลังฉลองกันอย่างรื่นเริงในพิธีรับถ้วยรางวัลนั้น ซีลีย์ก็สมัครใจที่จะยืนร่วมยินดีอยู่ใกล้ๆ เท่านั้น เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวที่จ่อไมค์เข้าไป ว่า “จิม (เลห์ตัน) และนักเตะยูไนเต็ดคนอื่นๆ เป็นฮีโร่ที่แท้จริง พวกเขาต่างหาก ที่พาทีมเข้าชิง ผมเพียงทำตามที่บอสสั่ง คือป้องกันประตูเท่านั้น”


    ในเวลาต่อมา เขามอบเหรียญชนะเลิศเอฟเอ คัพ ให้กับจิม เลห์ตัน “เขา(เลห์ตัน) เป็นคนพาทีมมาถึงจุดนี้ เขาแค่ไม่มีโอกาสได้ลงเล่นนัดเดียวเท่านั้น เจ้าของเหรียญนี้จึงควรจะเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย” เป็นคำกล่าวของซีลีย์เมื่อมีใครๆ ถามเหตุผลของเขา


    เฟอร์กี้เมื่อทราบเรื่องนี้ ถึงกับกล่าวออกมาว่า “เลส เป็นแบบฉบับของลูกผู้ชายที่แท้จริง” ทีเดียว ... และหลังจากนั้นเฟอร์กี้ก็มอบรางวัลเป็นสัญญาเต็มตัวระยะเวลาหนึ่งปีให้กับเลส ที่ลูตันตกลงปล่อยฟรีมาให้ยูไนเต็ด ซึ่งเลสก็ตอบแทนด้วยการพายูไนเต็ดเข้าชิงฟุตบอลถ้วยถึงสองรายการ และได้โทรฟี่ยูโรเปี้ยน คัพวินเนอร์ส คัพ มาในที่สุด ... คราวนี้เหรียญรางวัลเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์


    ต่อมา เฟอร์กี้คว้าตัวปีเตอร์ ชไมเคิลมาร่วมทีม และเมื่อพูดคุยกับซีลีย์แล้ว ว่าคงต้องเปิดโอกาสให้ยักษ์เดนส์เป็นมือหนึ่ง ซีลีย์ในวัย 34 เองก็ไม่อยากนั่งสำรองอีกประกอบกับมีหลายทีมติดต่อเข้ามา เฟอร์กี้จึงให้รางวัลกับเลส ซีลีย์ อีกครั้ง ด้วยการปล่อยตัวซีลีย์แบบไม่มีค่าตัวให้กับแอสตัน วิลลา ที่มีรอน แอตกินสัน เป็นผู้จัดการทีมในฤดูกาล 1991-1992 และเลื่อนเควิน พิลคิงตัน จากทีมสำรองมาเป็นมือสองแทน (หมายเหตุ : ในยุคก่อนเกิดกฎของบอสแมนนั้น แม้นักเตะจะหมดสัญญาแล้ว ถ้าทีมต้นสังกัดยังไม่แจ้งสิ้นสุดสัญญาต่อสมาคมฟุตบอล นักเตะคนนั้นก็ยังย้ายทีมไม่ได้ หรือบางรายได้ย้ายทีม แต่ก็มีค่าธรรมเนียมปล่อยตัว การปล่อยให้ผู้เล่นย้ายได้แบบไม่มีค่าตัว จึงถือเป็นการให้เกียรตินักเตะผู้นั้นเป็นอย่างสูง)


    แต่ต่อมา ซีลีย์ก็ได้กลับมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกครั้ง ในปี 1993 ด้วยวัย 36 ปี โดยเป็นมือสอง รองจากชไมเคิล และในนัดชิงชนะเลิศโคคา-โคล่า ลีก คัพ กับแอสตัน วิลลา เขาก็ได้โอกาสลงเล่นแทนชไมเคิลที่ไม่สมบูรณ์ แต่เหมือนซีลีย์จะไม่ค่อยถูกกับถ้วยใบนี้ซักเท่าไหร่ ทีมที่เขาเฝ้าเสาให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกครั้งด้วยสกอร์เดิม 1 : 3 หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปร่วมทีมแบลคพูลเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะได้โอกาสไปทำงานให้กับทีมรักในวัยเด็กของเขา นั่นก็คือเวสท์แฮม ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา โดยทำหน้าที่โค้ชผู้รักษาประตู แต่ไม่นานเขาก็เกษียณตัวเองจากวงการฟุตบอลไปทำหน้าที่ดูแลลูกๆ ของเขา เพราะตั้งแต่ย้ายจากลูตัน ทาวน์ไปนั้น เขาแทบไม่เคยได้อยู่ร่วมกับครอบครัวอีกเลย จนกระทั่งได้กลับมาเป็นโค้ชประตูที่เวสท์แฮม


    สิ่งเดียวที่ซีลีย์เสียใจก็คือ เขาไม่เคยได้ลงเล่นให้กับทีมรักอย่างเวสท์แฮมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดีที่สุดที่เขาทำได้คือ ปั้นให้ลูกชายทั้งสองคนของเขา คือจอร์จ และโจ ซีลีย์ ลงเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูในทีมเยาวชนของขุนค้อนเท่านั้น


    เลสลีย์ เจสซี ซีลีย์ เสียชีวิตอย่างสงบ ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 2001 ในวัยเพียง 43 ปีเท่านั้น

    เกียรติประวัติ

    - รองแชมป์รัมเบโลว์ส ลีกคัพ ปี 1989 (แพ้นอตติงแฮม ฟอร์เรสต์ 1 : 3)
    - แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1990 (ชนะคริสตัล พาเลซ 1 : 0 ในนัดแข่งใหม่)
    - แชมป์แชริตี้ ชิลด์ ร่วมกับลิเวอร์พูล ปี 1990 (เสมอกัน 1 : 1)
    - รองแชมป์รัมเบโลว์ส ลีกคัพ ปี 1991 (แพ้เชฟฟิลด์ เวนสเดย์ 0 : 1)
    - แชมป์ยูโรเปียน คัพวินเนอร์ส คัพ ปี 1991 (ชนะบาร์เซโลน่า 2 : 1)
    - รองแชมป์โคคา-โคลา ลีก คัพ ปี 1994 (แพ้แอสตัน วิลลา 1 : 3)



    Note : แก้ไขชื่อผู้ยิงประตูชัยใน เอฟเอ คัพ นัดแข่งใหม่กับคริสตัล พาเลซ เป็น ลี มาร์ติน
    ขอบคุณข้อมูลจากกุนซือเอก คุณกุยแกครับ : )



    .

    แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 48 06:51:50

    แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 17:17:50

    แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 17:13:28

    แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 17:00:06

     
     

    จากคุณ : (แมลงสาบ) - [ 27 มิ.ย. 48 16:57:24 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป