PANTIP.COM : S3798322 วิชาการกันหน่อย [กอล์ฟ]

ความคิดเห็นที่ 1

Bounce เป็นเรื่องผลกระทบของใบเหล็กที่กระทำกับพื้น ซึ่งใบเหล็กแต่ละแบบขณะตีลงไปที่พื้นจะมีความยากง่ายในการกัดลงไปในดินต่างกัน โดยเหล็กที่เป็น High Bounce จะกระทบพื้นแล้วใบเหล็กจะกัดลงไปในดินได้ยาก ส่วนเหล็กที่เป็น Low Bounce ใบเหล็กมีแนวโน้มที่จะปะทะพื้นแล้วกัดลงในดินได้ง่าย

การใช้งานของ Wedge นั้น ต้องทราบลักษณะของ Bounce และใช้งานให้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพพื้นดินที่ลูกไปตกอยู่

Wedge ที่เป็น High Bounce จะเหมาะกับการเล่นในสภาพพื้นที่อ่อน ทรายนุ่ม ทรายละเอียด สภาพแฟร์เวย์แฉะ เพื่อป้องกันไม่ให้ Wedge กัดลงไปในดินมากเกินไป
Wedge ที่เป็น Low Bounce นั้นเหมาะกับการเล่นในสภาพทรายแข็ง ทรายเปียก แฟร์เวย์ที่แห้ง ๆ หรือลูกที่จมในรัฟหนา เพื่อให้ Wedge กัดลงไปในดินได้ง่ายขึ้น

การพิจารณาว่า Wedge แต่ละตัวมีค่า Bounce มากน้อยอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

Bounce Angle เป็นค่ามุมระหว่าง Sole ของเหล็กเทียบกับระนาบของพื้น (ดูรูป) โดยทั่วไปมุมของ Bounce อยู่ระหว่าง 0-18 องศา ซึ่งแต่ละบริษัทที่ผลิต Wedge จะมีมาตราฐานการให้นิยามของ Bounce แตกต่างกัน บางบริษัทระบุว่า Standard Bounce อยู่ที่ 14 บางบริษัทก็ 12 ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการออกแบบองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ความกว้างของ Sole ความโค้งของ Sole เป็นต้น

Sole Wedge เป็นค่าความกว้างของ Sole ของ Wedge โดย Wedge ที่มี Sole ที่กว้างจะมี Bounce สูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น Wedge 2 ตัว มีค่า Bounce Angle เท่ากัน Wedge ตัวที่มีความกว้างของ Sole มากกว่าจะให้ค่า Bounce ที่สูงกว่า โดย Wedge ที่มี Sole กว้างจะใช้ได้ดีกับนักกอล์ฟที่มีวงสวิงที่ชัน ป้องกันการตีขุดดินมากเกินไป และใช้ได้ดีกับการระเบิดทรายที่ค่อนข้างนุ่ม ละเอียด ส่วน Sole แคบ จะตีกัดลงไปในดินได้ดีกว่า เหมาะกับ นักกอล์ฟที่มีวงสวิงค่อนข้าง Flat และใช้ได้ดีกับการระเบิดทรายที่ค่อนข้างแข็ง ทรายเปียก แน่น และใช้ได้ดีกับนักกอล์ฟที่ฝีมือดีที่สามารถเปิดใบเหล็กเล่นได้ โดย Sole ที่แคบกว่า เวลาเปิดใบเหล็กแล้ว Leading Edge จะลอยสูงจากพื้นไม่มาก

Sole Camber เป็นค่าความโค้งของ Sole ซึ่ง Sole ที่มีความโค้งอยู่เล็กน้อย จะช่วยลดอิทธิพลของ Bounce ลง นอกเหนือจากนั้นการที่ Wedge มี Camber อยู่เล็กน้อยจะช่วยลดแรงเสียดทานขณะใบเหล็กตีผ่านหญ้า และทำให้นักกอล์ฟฝีมือดีสามารถเล่น Wedge โดยการเปิดหน้าเหล็กได้ โดยที่ Leading Edge ไม่ลอยสูงจากพื้นมากนัก

Trailing Edge Wedge บางรุ่นมีการเจียรบริเวณด้านหลังของ Sole ออก เพื่อลดความกว้างของ Sole ให้น้อยลง ส่งผลให้มี Bounce ต่ำลง และทำให้สามารถเปิดหน้าเหล็กเล่นได้ โดยที่ Leading Edge ไม่ลอยจากพื้นมากนัก

Wedge ในถุงของนักกอล์ฟควรมี Bounce ที่แตกต่างกัน เพราะในการเล่น 18 หลุม นักกอล์ฟอาจเจอสภาพของพื้นที่แตกต่างกันไป ระหว่าง พื้นหรือทรายที่แข็ง และพื้นหรือทรายที่นุ่ม

Grooves
Grooves เป็นร่องของหน้าเหล็ก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้าง Back Spin ให้กับลูกกอล์ฟ จากการทำการทดลอง Grooves ในลักษณะต่าง ๆ พบว่าการออกแบบ Groove ที่ไม่ดี จะทำให้อัตราการสปินของลูกกอล์ฟน้อยลงประมาณ 10-30 % ซึ่งทำให้การตีเข้าหากรีนลูกกอล์ฟจะหยุดยากกว่า Wedge ที่ออกแบบ Grooves มาอย่างดี Grooves ในปัจจุบันมี 2 แบบ คือ
- V-Grooves ปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยม
- U-Grooves หรืออาจเรียกว่า Square Grooves
ลักษณะร่องเหล็กที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
เนื่องจากร่องที่เป็น U-Grooves จะมีความสามารถในการเข้าไปจับลูกและปั่นให้ลูกเกิด Back Spin ได้ดี โดยเฉพาะการเล่นในสภาพเปียกชื้น ร่องที่เป็น U-Grooves จากการทดลองสามารถสร้าง Back Spin ให้แก่ลูกกอล์ฟได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับร่องแบบ V-Grooves

Material
ในปัจจุบันจะพบว่าการเลือกซื้อ Wedge มี Wedge ดี ๆ ให้เลือกมากมาย ซึ่ง Wedge หลาย ๆ ยี่ห้อก็พัฒนาคุณภาพการผลิต การออกแบบที่ดีขึ้น นอกเหนือกจากนั้นก็มีการนำวัสดุชื่อเสียงแปลก ๆ มาสร้างความแตกต่างในการขาย ซึ่งจริง ๆ แล้ว วัสดุที่นำมาใช้ทำใบ Wedge สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

วัสดุที่ไม่ขึ้นสนิม
Stainless เป็นวัสดุที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดี ข้อดีของ Stainless คือ เป็นวัสดุที่ไม่ขึ้นสนิม ดูแลรักษาง่าย เนื้อวัสดุมีผิวที่แกร่ง ทนต่อการขุดขีด เป็นรอยยาก แต่ในอีกนัยหนึ่ง ด้วยความแข็งของตัววัสดุ ทำให้ Wedge ที่ทำจากโลหะมีความรู้สึกกระด้างเวลาปะทะลูก ข้อเสียของ Stainless เป็นวัสดุที่มีความเปราะ ทำให้ดัด Lie หรือ Loft Angle ไม่ได้

Beryllium Copper (BeCu) เป็นส่วนผสมของวัสดุ 2 ชนิด คือ Copper ( Cu ) ซึ่งเป็นวัสดุที่ไม่ขึ้นสนิม มีความเหนียวสามารถดัดได้ มีน้ำหนักมาก และเป็นวัสดุที่มีความนุ่ม นำมาผสมกับ Beryllium (Be) ซึ่งมีน้ำหนักเบา โดยการผสมให้ได้สัดส่วน เพื่อให้ได้น้ำหนัก Wedge ที่เหมาะสม และทำให้ Wedge มีความนุ่มนวล

Aluminium Bronze หลักการคล้าย ๆ กับ การผสมของ BeCu โดยการนำ Bronze ซึ่งเป็นวัสดุที่ไม่ขึ้นสนิม มีความเหนียวสามารถดัดได้ มีน้ำหนักมาก และเป็นวัสดุที่มีความนุ่ม นำมาผสมกับ Aluminium( Al ) ซึ่งมีน้ำหนักเบา โดยการผสมให้ได้สัดส่วน เพื่อให้ได้น้ำหนัก Wedge ที่เหมาะสม และทำให้ Wedge มีความนุ่มนวล

วัสดุที่ขึ้นสนิมได้
เป็นวัสดุซึ่ง Wedge ยี่ห้อดัง ๆ ในปัจจุบัน ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต Wedge วัสดุในกลุ่มนี้เป็นโลหะจำพวก Carbon Steel ซึ่งมีอยู่หลายชนิดขึ้น เช่น 1025 Carbon Steel ,1020 Carbon Steel ,1030 Carbon Steel ,1045 Carbon Steel ,8620 Carbon Steel ซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องส่วนผสมของเหล็ก และมีความนุ่มนวลของเนื้อเหล็กต่างกัน โดยเหล็กในกลุ่มนี้ที่มีความนุ่มนวลที่สุดคือ 1020 Carbon Steel และ 1025 Carbon Steel ส่วนตัวอื่น ๆ จะแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วมีความนุ่มของเหล็กมากกว่า Stainless แต่น้อยกว่า Copper และ Bronze

ข้อดีของวัสดุนี้คือเหล็กมีความเหนียวสามารถดัด Loft Angle และ Lie Angle ได้ และมีความนุ่มนวลในการตี แต่ข้อเสียของวัสดุชนิดนี้คือเหล็กจะเป็นรอยได้ง่าย ต้องดูแลรักษาให้ดี

เนื่องจากเหล็กชนิดนี้สามารถขึ้นสนิมได้ จึงต้องทำการชุบผิวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันสนิม และทำให้ดูแลรักษาทำความสะอาดง่าย ซึ่งวัสดุที่นำมาใช้ชุบผิวมีหลากหลายชนิด ที่นิยมใช้กันมากคือ Nickel Chrome หรือ Nickel หรือใช้วิธีการรมดำ เหมือนการรมดำของปืน แต่ Wedge หลายรุ่นที่นิยมนั้น บางครั้งก็ไม่ได้ชุบป้องกันสนิม ด้วยเหตุผลที่ว่าการชุบป้องกันสนิมจะทำให้ผิวมีความมัน ซึ่งจะทำให้หน้าเหล็กมีความฝืดน้อยลง และการชุบผิวจะทำให้ขอบของ Grooves คมน้อยลง จึงเห็น Wedge หลาย ๆ รุ่น ไม่ได้ชุบป้องกันสนิม เพื่อคงสภาพความฝืดของผิวโลหะได้ ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้ปั่นลูกกอล์ฟให้มี Back Spin สูงกว่าปกติ

อัตราการสปินของลูกกอล์ฟ
จุดขายของ Wedge ที่นำมาใช้ในการโฆษณาอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการสร้างสปินให้กับลูกกอล์ฟ เช่น Wedge ที่เป็นสนิมจะสร้าง Back Spin ได้ดีกว่า ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว จากการทดลอง Wedge ที่มีผิวที่ไม่ได้ชุบซึ่งมีความฝืดกว่า เปรียบเทียบกับผิวที่มีการชุบ ซึ่งมีความฝืดน้อยกว่า จะสร้าง Back Spin แตกต่างกันแค่ 1-2 % นอกเหนือจากนั้นในปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ ได้พยายามหาวิธีการเพิ่ม Back Spin ให้กับลูก เช่น การทำให้หน้าเหล็กมีความขรุขระมากขึ้น โดยการ พ่นทรายลงไปที่หน้าเหล็ก ให้ผิวเหล็กมีความขรุขระ หรือการใช้เครื่องจักรที่เรียกว่า CNC กัดผิวให้เป็นร่อง ๆ คล้าย ๆ เกล็ดปลา ซึ่งวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้อาจช่วยทำให้ Wedge สามารถสร้าง Back Spin ให้กับลูกได้ไม่มากก็น้อย

แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในเรื่องการสร้าง Back Spin ให้กับลูกกอล์ฟนั้น คือเรื่องวิธีการตีที่ถูกต้อง ซึ่งจะสร้าง Back Spin ให้กับลูกกอล์ฟได้ตรงจุดที่สุด ซึ่งนักกอล์ฟต้องศึกษาเอาจากตำราการสอนเล่นลูกสั้น และอีกเรื่องที่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ คือ การเลือกใช้ลูกกอล์ฟให้เหมาะสม มีผลการทำการทดลองจากหนังสือ Goftips Magazine พบว่า การใช้ลูกกอล์ฟที่แตกต่างกัน จะทำให้การสร้าง Back Spin ให้กับลูกกอล์ฟมีความแตกต่างกันได้ 50 % หรือมากกว่านั้น

ขอขอบคุณ : คุณเฉลิมวงศ์ บวรกีรติขจร
คัดลอกจาก : http://www.golferonline.co.th/ShowDetail.aspx?rID=751&clN=big

จากคุณ : ฮงเอง - [ 11 ต.ค. 48 09:07:15 ]