http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01spo15271048&day=2005/10/27
"ซาเนีย เมอร์ซ่า" หนึ่งใน10บุคคลที่เปลี่ยนโลกได้
ก่อนหน้านี้ชื่อของ ซาเนียร์ เมอร์ซ่า เป็นที่รู้จักในฐานะนักหวดดาวรุ่งเอเชียที่น่าจับตามองคนหนึ่ง เพราะหลังจากเทิร์นโปรหรือเล่นอาชีพในดับเบิลยูทีเอทัวร์เมื่อปีที่แล้ว เธอก็กลายเป็นนักหวดอินเดียอายุน้อยที่สุด(ทั้งหญิง-ชาย) ที่คว้าแชมป์ได้สำเร็จขณะที่มีอายุ 17 ปี แม้ครั้งนั้นจะเป็นเพียงแชมป์ประเภทคู่ แต่ก็เป็นแชมป์จากการลงแข่งระดับอาชีพรายการที่ 3 เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นนักหวดหญิงชาวอินเดียคนแรกที่คว้าแชมป์ในดับเบิลยูทีเอทัวร์ได้ด้วย
ขณะที่ผลงานในประเภทเดี่ยว เมอร์ซ่าไต่อันดับจาก 326 เข้าสู่ท็อป 200 ได้เป็นครั้งแรก ในวันที่ 25 ตุลาคม ปี 2004 โดยขึ้นมาอยู่ที่ 193 ของโลก แต่หลังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2005 ซึ่งรวมถึงการสร้างผลงานเป็นนักหวดสาวอินเดียรายแรกที่คว้าแชมป์เดี่ยวได้สำเร็จจากการแข่งขัน "ไฮเดอราบัด โอเพ่น" ที่บ้านเกิดด้วย จนอันดับโลกของเธอพุ่งพรวดขึ้นมาอยู่ในท็อป 50 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยรั้งอยู่ที่ 34 ของโลก ณ เวลานี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพียงแค่ผลงาน ความสามารถ บวกกับความสวยคมตามแบบฉบับ "สาวอินเดีย" เท่านั้น ที่สร้างชื่อให้เธอโด่งดังไปทั่วโลก เพราะยังมีปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้ชื่อของ "ซาเนียร์ เมอร์ซ่า" ปรากฏอยู่ในประเด็นสังคมอยู่ในตอนนี้
นั่นคือ การแต่งตัวที่ไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นสาว "มุสลิม" จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูในช่วงที่ผ่านมา ถึงขั้นที่ต้องมีการ์ดรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษเมื่อช่วงเดือนก่อน เพราะองค์กรทางศาสนาอิสลามออกมาตำหนิเมอร์ซ่าถึงการใส่กระโปรงสั้นและเสื้อแขนกุดลงแข่งขัน อีกทั้งยังข่มขู่ไม่ให้เธอลงแข่งในรายการของดับเบิลยูทีเอทัวร์ ที่เมืองกัลกัตตา ของอินเดียด้วย หากไม่แต่งตัวให้เหมาะสม
การที่เมอร์ซ่าก้าวขึ้นมาเป็น "คนดัง" ของประเทศอินเดียภายในชั่วระยะเวลาไม่นาน ส่งผลให้เธอกลายเป็นหนึ่งใน "บุคคลสาธารณะ" ที่มีชื่อเสียงที่สุดของอินเดีย และเป็น "ไอคอน" ที่บรรดาเด็กๆ และเยาวชนอยากจะเอาอย่างตาม เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเห็นรูปของนักหวดสาวรายนี้ปรากฏอยู่เต็มไปหมด ทั้งในรูปแบบของการโฆษณา,ถ่ายแบบปกนิตยสาร,บิลบอร์ด(แผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่) หรือทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ
และเมื่อไม่นานมานี้ เมอร์ซ่าเพิ่งจะมีชื่อติดโผ "1 ใน 10 บุคคลที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้" ในนิตยสารของอังกฤษที่ชื่อ "นิว สเตทส์แมน" ด้วย เพราะเธอเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กผู้หญิงอยากจะเล่นกีฬามากขึ้น โดยบทความในนิตยสารฉบับนี้ระบุว่า "เธอเป็นหญิงชาวอินเดียคนแรกที่อยู่ใน 40 อันดับแรกของโลก ยิ่งไปกว่านั้นเธอเปรียบเสมือนเครื่องหมายแห่งอิสตรีในประเทศที่กีดกันผู้หญิงจากการเล่นกีฬาด้วย"
อย่างไรก็ตาม แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงจากผลงานที่ปรากฏในสนาม แต่ในขณะเดียวกันสาววัย 18 ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่บีบคั้นความรู้สึกของตัวเองอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
"เมอร์ซ่า" ถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงการแต่งตัวในฐานะนักเทนนิสอาชีพ ถึงขนาดที่กลุ่มมุสลิมซึ่งประณามการกระทำของเธอและคณะกรรมการของโรงเรียนมุสลิมหลายแห่งในรัฐอินเดียตะวันออก วางแผนที่จะบรรจุเรื่องราวของเมอร์ซ่า(ในทางที่ไม่เหมาะสม) ไว้ในหนังสือเรียนเลยทีเดียว
ตามปกติแล้ว นักกีฬาที่นับถือศาสนาอิสลามโดยเฉพาะพวกที่เคร่งครัดในหลักปฏิบัติของศาสนา จะต้องสวมเสื้อผ้ามิดชิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แม้จะใส่เสื้อผ้าสมัยใหม่ก็ยังต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะขัดต่อหลักปฏิบัติที่บัญญัติเอาไว้ ดังที่เราเคยเห็นนักกรีฑาใส่ชุดแข่งขันที่ปิดทุกส่วนของร่างกาย โดยมีเพียงตา, มือ และเท้าเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นนอกร่มผ้า เพราะอยู่ในที่สาธารณชนที่มีคนหมู่มาก
แม้แต่ ลิม่า อาซิมี่ นักกรีฑาหญิงชาวอัฟกานิสถานที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกีฬาหญิงคนแรกของประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ ในกรีฑาชิงแชมป์โลกเมื่อปี 2003 ก็ยังใส่เสื้อยืดคอกลม และการเกงขายาวลงแข่งขัน ซึ่งส่งผลต่อการออกตัวจากบล็อคสตาร์ตอย่างมาก จนเป็นเหตุให้เธอเข้าเส้นชัยด้วยเวลาที่มากถึง 18.37 วินาที!
"การวิ่งให้เร็วไม่ได้สำคัญกับฉันมากนักหรอกค่ะ แต่การได้เข้าร่วมการแข่งขันต่างหากล่ะที่สำคัญสำหรับฉันอย่างมาก เพราะอัฟกานิสถานไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันระดับใหญ่มานาน 23 ปีแล้ว"
ขณะที่ มาเรียม ราฮิม นักหวดสาวจากปากีสถานยังคงต้องใส่เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งและกางเกงขายาวลงแข่งขันเทนนิสอยู่ทุกวันนี้ แม้เจ้าตัวจะไม่พอใจจนถึงขั้นเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถปฏิเสธหลักปฏิบัติของศาสนาได้
ในทางกลับกัน เมอร์ซ่ายังคงแต่งตัวไม่ต่างจากนักเทนนิสอาชีพคนอื่นๆ ลงแข่งขันในทุกรายการ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการที่เติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่มีฐานะมั่งคั่ง และมีการศึกษาที่ดี บวกกับได้แรงสนับสนุนอย่างดีจาก อิมรอน ผู้เป็นพ่อด้วย ทำให้สาวน้อยจากเมืองมุมไบผู้นี้มีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก ทั้งการแสดงออกถึงการแต่งตัวตามแฟชั่น แต่ก็ยังอยู่ในกรอบที่ไม่มากเกินไป ไม่เช่นนั้นเราคงได้เห็นเธอใส่ชุดสายเดี่ยวอย่างสาวสวย มาเรีย ชาราโพว่า หรือสาวมั่นอย่าง เซเรน่า วิลเลี่ยมส์ ไปนานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จึงมีกระแสต่อต้านออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งรวมถึงองค์กรมุสลิมในกัลกัตตาอย่าง "จาเมียต-อี-อูลามา-อี-ไฮนด์" ด้วย โดยสิฏฐีกุลลา ชอว์ธุรี เลขาธิการขององค์กรดังกล่าวออกมากล่าวว่า
"ซาเนียร์ เมอร์ซ่า เป็นชาวมุสลิม แต่เธอกลับไปยืนเล่นอยู่ในคอร์ตเทนนิสในสภาพที่แทบจะเปลือยครึ่งท่อน ซึ่งนั่นมันขัดกับศาสนาอิสลาม"
ขณะที่ ทาเร็ก ฟาทาห์ เจ้าของสถานีโทรทัศน์ "มุสลิม โครนิเคิล" บอกว่า การวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่พวกผู้ชายเกรงว่าจะถูกอำนาจของผู้หญิงเข้ามาคุกคามนั่นเอง
"มันไม่ได้เกี่ยวกับการโชว์เนื้อหนังมังสาหรอก แต่มันเป็นความรู้สึกดูถูกและกลัวว่าผู้หญิงจะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้นำเสียมากกว่า ซาเนียร์ เมอร์ซ่า คือฝันร้ายสำหรับชาวมุสลิมผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม เพราะเธอเป็นตัวแทนของการแผ่อำนาจของผู้หญิง และยังเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จด้วย"
ไม่ว่ากระแสสังคมจะเป็นเช่นไร เมอร์ซ่าบอกแต่เพียงว่า เรื่องที่กำลังถกเถียงอยู่นี้รบกวนจิตใจของเธออย่างมาก ซึ่งเธอไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป แต่นั่นก็คงไม่ใช่อุปสรรคสำคัญสำหรับนักหวดสาวรายนี้อย่างแน่นอน
เพราะเวลานี้ เมอร์ซ่ายังคงยึดมั่นต่ออาชีพของเธอต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยล่าสุดตั้งเป้าที่จะเข้าสู่อันดับท็อป 15 ของโลกให้ได้ในเร็วๆ นี้ หลังจากเคยขึ้นสูงสุดถึงอันดับ 31 ของโลกมาแล้วเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม อีกทั้งล่าสุดได้รับการตอบรับจาก โทนี่ โรช โค้ชชื่อดังของ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ นักหวดมือ 1 โลกชาวสวิสแล้วว่า จะมาช่วยฝึกซ้อมให้เป็นเวลา 3 อาทิตย์ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ เพื่อเตรียมตัวสำหรับ "ออสเตรเลียน โอเพ่น" แกรนด์สแลมแรกของปีในต้นปีหน้า
ถึงเวลานั้น เราคงได้รู้กันเสียทีเธอจะ "เปลี่ยนโลก" ได้จริงหรือไม่!
หน้า 22
จากคุณ :
PAULPAWISS
- [
27 ต.ค. 48 16:28:32
]