ความคิดเห็นที่ 1 อะไรก็ตามที่ใช้สารให้ความหวานตระกูลแอสปาแตม   กินเข้าไปจะกระตุ้นให้ร่างกายเก็บพลังงานที่อยู่ในรูปกลูโคสในเลือดเป็นไขมันทันที ร่างกายจะขาดกลูโคสหลังจากรับประทาน  ทำให้หิวง่าย หิวเร็ว หิวบ่อย สรุปเบ็ดเสร็จสะระตะแล้ว  คุณจะอ้วนกว่าเดิม แม่มันจะมีแคลอรี่เป็น 0 ก็เถอะ คิดไว้ก็แล้วกันว่า ความหวาน เหมือนเงินกู้   คุณกู้ความหวานมา คุณต้องชดใช้เป็นแคลอรี่ พร้อมดอกเบี้ย อ้วนกว่าเดิมครับ  ฟันธง !! แอสปาแตมกับผงชูรสเป็นสารตระกูลเดียวกัน  กินผงชูรสก็ให้ผลเหมือนกันครับ  แถมผลชูรสร้ายกว่าเพราะคนทำมันใส่ไม่บอกเราหรอก ว่าใส่ทีเป็นช้อนโต๊ะ จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 12:50:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คุณเกลือลืมบอกว่าที่อุณหภูมิสูง แอสปาเตมสลายตัวเป็น carcinogen ก่อมะเร็งได้ด้วย จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 9 เม.ย. 49 12:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 โอ ม่าย ร้ายแรงขนาดนั้นเหรอ จากคุณ : aum_pe - [ 9 เม.ย. 49 13:41:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 กำ ต้องกินน้ำเปล่า ไปเรื่อยๆรึนี่ ไม่อ้วนแต่เป็นมะเร็งก็ไม่เอาเน้ออ จากคุณ : 30ยังแจ๋ว - [ 9 เม.ย. 49 14:12:54 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สำหรับข้อมูลคุณเกลือ ที่ว่า แอสพาเต็มไปเร่งการเก็บน้ำตาลในเลือดเข้าไปเป็นไขมันนั้น ผมเองยังไม่เคยได้ยินครับ สำหรับเรื่องการที่ หิว นั่นถ้ากินอาหารอื่นตามปกติ ก็น่าจะไม่มีส่วนเกียวข้อง แม้จะกิน แอสปาเตม แต่ถ้า ไม่กินข้าว หรืออาหารอื่นแน่นอน จะรู้สึกหิว จากน้ำตาลในเลือดต่ำ (เนื่องจากมันถูกใช้หมดไป ไม่ได้ถูกนำไปเก็บเป็นไขมัน น้ำตาลจะถูกนำไปเก็บเป็นไขมันต่อเมื่อกินเข้าไปจนมากเกิน และระดับน้ำตาลในเลือดสูง เกิน ความต้องการใช้ของร่างกาย สำหรับข้อห้ามและข้อระวัง ที่เด่นชัดของ แอสปาเต็มในปัจจุบัน ก็คือ ห้ามใช้ ในคนที่เป็นโรค Phenyl Ketone Urea เท่านั้น จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 เม.ย. 49 14:18:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คือ กินพอประมาณ แล้วออกกำลังเอาออกเยอะ ๆ น้ำอัดลมอย่าไปกินเลยครับ ไม่ดีหรอก พอไม่กินนาน ๆ แล้วจะเริ่มชิน กินน้ำผลไม้ดีกว่า จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม - [ 9 เม.ย. 49 15:16:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุณพี่เกลือ เอาข้อมูลมาจากไหนครับ ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน ขออ้างอิงที่น่าเชื่อถือด้วยครับ จากคุณ : axquest - [ 9 เม.ย. 49 15:21:11 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วจะเชื่อใครดีคะเนี่ย -*- มารอคำตอบที่แท้จริงนะคะ จากคุณ : รอๆๆ (phonomenon) - [ 9 เม.ย. 49 16:21:09 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ข้อมูลประกอบจากหนังสือเรียน อยากรู้มากกว่านี้เหมือนกันครับ จากคุณ : dualspiner - [ 9 เม.ย. 49 16:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 กลับมาแล้ว พอดีลองเสริซ คำว่า แอสปาแตม ก็ได้อันนี้ออกมา สารให้ความหวาน aspartame อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=27&Pid=40718 จากคุณ : phonomenon - [ 9 เม.ย. 49 16:27:11 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ติดหวาน หันมาใช้น้ำตาลเทียมดีรึเปล่า? น.พ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล ถ้าพูดถึงเรื่องหวาน คนส่วนใหญ่จะนึกถึงน้ำตาล แต่สำหรับคนที่ต้องหลีกเลี่ยงน้ำตาล เพราะป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน ก็คงตั้งคำถามอยู่ในใจว่าไม่ให้กินน้ำตาลแล้วจะให้ทำอย่างไร ก็ใจมันอยากจะกิน หลายๆคนก็เลยหาทางออกด้วยการกินน้ำตาลเทียม คำถามว่า "ติดหวาน แต่ไม่อยากได้น้ำตาล หันมาใช้น้ำตาลเทียมได้ไหมหมอ" คำถามนี้เป็นคำถามที่มักหลุดออกมาจากใบหน้าที่ระโหย และเป็นคำถามที่พบได้บ่อยๆ ที่คลินิกของเรา โดยเฉพาะคนไข้เบาหวาน ที่เราสั่งให้งดน้ำตาลอย่างเด็ดขาด เพราะคนเหล่านี้ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนติดรสหวานไปเสียแล้ว แทนที่จะยอมฝึกลิ้นเสียใหม่ให้ไม่ติดรสหวานซึ่งเป็นเรื่องยาก การหาสารทดแทนรสหวานหรือน้ำตาลเทียมซึ่งเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าจึงเป็นสิ่งที่คนไข้กลุ่มนี้มักจะทำกัน หลังจากที่วงการสุขภาพได้ออกมาชี้ให้เห็นผลร้ายของการกินหวานหรือติดน้ำตาลมากขึ้นและมากขึ้น ผู้บริโภคส่วนหนึ่งจึงมีการปรับตัวด้วยการเลือกกินอาหารที่ไม่หวาน ไม่ใส่น้ำตาลแต่ก็ยังมีผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังอาลัยอาวรณ์กับรสหวานที่คุ้นลิ้น วงการอาหารและเครื่องดื่มจึงจำเป็นจะต้องมองหาสารให้ความหวานอย่างอื่นมาทดแทน เพื่อจะดึงลูกค้ากลุ่มนี้เอาไว้ สารให้ความหวานที่ถูกค้นพบ แล้วถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอย่างกว้างขวางก็คือ น้ำตาลเทียมหรือ Aspartame ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคที่ต้องการหลีกเลี่ยงจากน้ำตาลเป็นอย่างดี แต่จะมีใครบ้างไหมที่รู้ว่า กว่า Aspartame จะผ่านองค์การอาหารและยาของอเมริกา (FDA) ออกมาได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญเท่าไหร่ ประวัติของ Aspartame หลายคนได้รู้แล้วอาจจะต้องร้องจ๊ากกกกกก เพราะแรกเริ่มเดิมที Aspartame ถูกขึ้นทะเบียนโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ Pentagon ว่าเป็นอยู่ในกลุ่มอาวุธชีวเคมีเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นสารทดแทนความหวานที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มหลายพันชนิด เส้นทางที่ Aspartame ใช้เดินจากคลังอาวุธเคมีมาสู่โต๊ะอาหารนั้นว่ากันว่ามีขวากหนามมากเหลือเกิน กว่าจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นโต๊ะได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ปาเข้าไปตั้ง 8 ปีแล้วโน่น ทั้งนี้เนื่องจากมีข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์หลายอย่างที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงผลเสียของสารตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลเสียต่อระบบประสาท หรือเป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง อย่างไรก็ดีด้วยการผลักดันด้วยทางการเมือง ในที่สุด Aspartame ก็ได้รับใบอนุญาตให้ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหารเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1981 เพราะช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมาธิการอาหารและยา และพลันที่คณะกรรมาธิการเปลี่ยน ใบอนุญาตของ Aspartame ซึ่งเป็นผลงานแรกของคณะกรรมาธิการชุดนี้ก็ได้รับอนุมัติโดยฉับพลันทันทีเช่นกัน ที่ตลกไปกว่านั้นคือ หนึ่งในคณะกรรมาธิการคณะนี้ ต่อมาถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่ามีส่วนพัวพันเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย หลังจากที่ลาออกไปแล้ว ก็เลยไปขอกินตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาระดับสูงของบริษัทผู้ผลิต Aspartame ซะงั้น ไหนๆ ก็ได้รับใบอนุญาตแล้ว ตั้งแต่นั้นมา Aspartame ก็ถูกใช้อย่างกว้างขวาง และเริ่มมีผลเสียต่างๆ ปรากฏออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เลยพบว่ามีผู้ป่วยที่ป่วยจากการบริโภค Aspartame แล้วมีอาการผิดปกติทางร่างกายได้หลากหลายมาก อาการเหล่านี้ได้แก่ โรคระบบประสาทเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซม์เมอร์ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เมื่อยล้าและอ่อนแรงเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome) สมาธิสั้น โรคตื่นตกใจง่าย (Panic disorder) โรคซึมเศร้า โรคภูมิแพ้ต่อตัวเอง (Lupus) โรคเบาหวาน เด็กคลอดแล้วพิการ ต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติ (Hypothyroidism) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้แล้ว อาการของโรคบางอย่างก็อาจจะเกิดจาก Aspatame นั่นได้แก่ อาการปวดหัว อาการปวดหัวไมเกรน อาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ชา กล้ามเนื้อเกร็ง บางรายอาจจะมีอาการของผื่นคัน อาการซึมเศร้า ใจสั่น นอนไม่หลับ ไปจนถึงกระทั่งอาการปวดข้อไม่ทราบสาเหตุ ถ้าใครที่บริโภค Aspartame อยู่ล่ะก็ คุณอยู่ในข่ายสงสัยแล้วล่ะว่า อาจจะต้องพิษของ Aspartame เข้าให้แล้ว ทางที่ดีควรหยุดการบริโภค Aspartame ดู ซึ่ง 2 ใน 3 ของคนที่โดนพิษ Aspartame จะมีอาการดีขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน และจะดีไปตราบเท่าที่ไม่หันกลับไปบริโภค Aspartame อีก ตอบคำถามที่ว่า "ไม่กินน้ำตาลแล้ว หันมาใช้น้ำตาลเทียมดีไหมหมอ?" ความเห็นส่วนตัวของผมก็คงตอบว่า "ไม่ดีครับ เพราะติดน้ำตาลว่าแย่แล้ว ติด Aspartame ดูเหมือนจะแย่กว่าซะอีก" ก็มักจะมีคำถามตามมาอีกว่า งั้นจะทำยังไงล่ะ ไม่มีสารทดแทนความหวานเลยชีวิตมันจะอยู่ได้ยังไงเนี่ย ตอบสั้นๆ ครับว่า "ก็หัดลิ้นตัวเองซะใหม่สิครับ ให้มันไม่ติดหวาน" ฟังดูเหมือนกำปั้นทุบดิน แต่เป็นวิธีที่ต้องทำ เพราะถ้าเราฝึกลิ้นของเราให้กินอาหารแบบธรรมชาติสักพัก ลิ้นเราจะมีความรู้สึกไวกับความหวานตามธรรมชาติมากขึ้นเอง บางทีกินผักนึ่งเปล่าๆ เรายังรู้สึกว่ามันหวานได้เลยครับ การฝึกที่ว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ให้ฝึกตั้งแต่ยังเด็กจะดีที่สุด ดังนั้น เด็กที่ถูกเลี้ยงมาด้วยน้ำอัดลม หรือขนมหวานพวกนี้ก็คงลำบากหน่อย เพราะลิ้นมันชาด้านกับความหวานที่ถูกประเคนใส่ไปเสียแล้ว ถ้ารักลูกก็อย่าให้เขากินแต่อาหารประเภทนี้เป็นหลัก ส่วนพวกไม้แก่ดัดยากนอกจากจะต้องจับเข้าคอร์สดัดนิสัยกันแล้ว บางทีก็จำเป็นต้องใช้วิธีการสั่งจิตใต้สำนึกเข้าช่วยด้วยอีกแรง เรียกว่าสะกดจิตให้หายอยากหวานกันไปข้างหนึ่งเลยก็ว่าได้ http://www.balavi.com/content_th/article/article43.asp จากคุณ : phonomenon - [ 9 เม.ย. 49 16:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 13 งั้นมีคำถามอย่างนึงได้ไหม *ถ้างั้นทุกอย่างที่ผสมแอสปาแทม เช่น ลูกอมสมัยนี้หันมานิยมใช้น้ำตาลเทียมตัวนี้มากขึ้น ที่สังเกตได้คือ  ยี่ห้อ คอลเร็... ล๊อต...เป็นหมากฝรั่ง เวลารับประทานพวกนี้เข้าไปจะมีผลเสียต่อทุกคนหรือไม่ หรือว่าผลเสียจากการรับประทานั้นเกิดเฉพาะคนที่แพ้น้ำตาลตัวนี้เท่านั้น? จากคุณ : phonomenon - [ 9 เม.ย. 49 16:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 14 จริงๆแล้ว ยา หรือสารเคมี หรือแม้แต่อาหาร เกือบทุกอย่างมันมีผลข้างเคียง กันมากน้อยต่างกันไป รายงานผลข้างเคียง ของยาหรืออาหารพวกนี้ มันก็มีออกมามากมาย แต่ การรับฟังข่าวสารต่างๆ ก็ต้องพิจารณาเรื่องความเสี่ยง กันดูด้วยครับ แต่อย่างที่บอก คำเตือนที่เป็นทางการ ที่ยอมรับกันทั่วไป ก็มีแค่เรื่อง ห้ามใช้ ในเคสผู้ป่วยที่เป็นโรค Phenyl Ketone Urea หรือ PKU เท่านั้น จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 เม.ย. 49 17:29:31 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เดี๋ยวก่อน  จะเอามาให้ดูกัน ครับ เป็นงานวิจัยใหม่เลยครับผม  และ ผมก็ได้ทดลองด้วยตัวเองแล้ว  ได้ผลตรงกัน จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 18:29:43 ]

ความคิดเห็นที่ 16 http://www.truthinlabeling.org/obesityepidemic.html จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 18:33:35 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เพื่อนผมเรียวิชา Man toxic มาบอกว่า แอสปาแตมมีฤทธิ์ทำลายสมองด้วยนะครับ เหอๆ จากคุณ : arata_arty - [ 9 เม.ย. 49 18:39:27 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นการสรุปผลจากงานวิจัยยาวเป็นหางว่างข้างท้ายอ่ะครับ คือมีผลต่อสมอง  และมีผลต่อการควบคุมอินซูลินครับ อย่างหลังจะเห็นผลในระยะสั้นๆ  ซึ่งผมลองเล่นกะตัวมาแล้ว น้ำตาลตกวูบจนเกือบเป็นลมอ่ะครับ สำหรับตำราที่เขาว่าไม่มีผลนั้น กรุณาอย่าไปเชื่อ เพราะว่าเป็นข้อมูลเก่านับสิบๆ ปีมาแล้ว  เราควรศึกษาข้อมูลที่ใหม่ที่สุด  จิงไหมคับ... จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 18:41:45 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถูกต้องครับ เบอร์ 17 แอสปาแตม และโมโนโซเดียมกลูตาเมต หรือ ฟรีกลูตามิกแอซิด  หรือ ฟรีแอสปาร์ติกแอซิด ล้วยมีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทในระยะยาว  ทำให้เป็นอัลไซเมอร์ เอแอลเอส และโรคทางสมอง-ระบบประสาทมากมายเลย แต่ก็ขอย้ำว่า การรับประทานนานๆ ครั้ง  ครั้งละไม่มาก ไม่เป็นอันตราบ เพราะว่าร่างกายสามารถขับออกจากระบบได้ทัน แต่การทานประจำๆ ทุกวันๆ ครั้งละมากๆ ทุก ๆมื้อ  ทั้งอาหารใส่ผงชูรส  เครื่องดื่มใส่แอสปาแตม เป็นผลร้ายต่อร่างกายอย่างแน่นอนที่สุด จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 18:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณหมอจะทดลองเล่นเองก็ได้นะครับ  โดยให้รับประทานอาหารที่ทำพิเศษ  ที่ไม่มีผงชูรส ไม่มีรสดี  ไม่มีน้ำมันหอย ไม่มีซุปก้อน ที่ใช้ผงชูรสเป็นสารเจือปน (ซึ่งเป็นสารตระกูลเดียวกับแอสปาแตม โหลดรีเซปเตอร์เซลล์ในตำแหน่งเดียวกัน  และหาง่ายกว่า)  เป็นอาหารควบคุม เป็นเวลา 1 สัปดาห์  สังเกตการหิวอาหารของตนเองดู  เทียบกับก่อนกินอาหารควบคุม โดยไม่ต้องทดลองทานอาหารที่เน้นผงชูรส เพราะโดนทุกมื้อ ทุกวัน แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ทำกินเอง แล้วจะทราบครับ ว่า มันมีผลต่อกระบวนการหิวของเรา จริงๆ ถ้าคุณหมออยากรู้ว่า มันทำให้น้ำตาลในเลือดตกจริงหรือ  ให้ทดลอง ทานมื้อเที่ยงโดยใส่ผงชูรส 1 ช้อนกินข้าว  ซึ่งปริมาณนี้เป็นปริมาณปกติที่เขาใส่กันเป็นส่วนใหญ่  (นอกจากร้านนอกรีตบางร้าน ที่กระแดะไม่ใส่ผงชูรส) แล้วลองเจาะเลือดตัวเองดูปริมาณน้ำตาลในเลือดทุก 1 ชั่วโมง จากเที่ยงถึง 6 โมงเย็น  เทียบกับการรับประทานอาหารปกติในมื้อเที่ยง หรือจะทดลอง จะๆ  ด้วยแอสปาแตมในปริมาณเท่ากันด้วยก็ได้นะครับ  ได้ผลเหมือนกัน จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 18:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 21 REFERENCES 1. Yastag, B. Obesity is Now on Everyone's Plate. JAMA. 291 (10): 1186-1188, March 10, 2004 2. Diabetic Gourmet Magazine. Why Is Obesity A Growing Problem in America? http://diabeticgourmet.com/bin/info.cgi?ID=192 3. Heimlich, N. Obesity on track as No. 1 killer; Inactivity, poor diet may overtake tobacco. USA Today. Page 1, May 10, 2004 4. Centers for Disease Control, National Center for Chronic Disease Prevention and Health Promotion. Physical activity and good nutrition: essential elements to prevent chronic diseases and obesity 2003. Nutr Clin Care. 6(3):135-8. Review.,Oct - Dec, 2003 5. Lucas, DR and Newhouse, JP, The toxic effect of sodium-L-glutamate on the inner layers of the retina. AMA Arch Opthalmof. 58: 193-201, 1957 6. Stedman's Online Medical Dictionary, 27th Edition, (www.onelook.com) 7. Olney JW. Brain lesions, obesity, and other disturbances in mice treated with monosodium glutamate. Science. 164(880):719-21, May 9, 1969 8. Burbach JA, Schlenker EH, Goldman M. Characterization of muscles from aspartic acid obese rats. Am J Physiol. 249(1 Pt 2):R106-10, July, 1985 9. Schainker B, Olney JW. Glutamate-type hypothalamic-pituitary syndrome in mice treated with aspartate or cysteate in infancy. J Neural Transm. 35(3):207-15, 1974 10. Olney, JW and Ho, OL. Brain damage in infant mice following oral intake of glutamate, aspartate, or cysteine. Nature (Lond). 227: 609-611, 1970 11. Olney, JW and Sharpe, LG. Brain lesions in an infant rhesus monkey treated with monosodium glutamate. Science. 166:386-388, 1969 12. Olney, JW, Sharpe, LG, and Feigin, RD. Glutamate-induced brain damage in infant primates. J Neuropath Exp Neurol. 31: 464-488, 1972 13. Stegink, LD, Reynolds, WA, Filer, LJ Jr., Baker, GL, and Daabees, T. Comparative metabolism of glutamate in the mouse, monkey and man. InAdvances in Biochemistry and Physiology. Edited by Filer, LJ Jr., Garatttini, S, Kare,MR, Reynods, WA, and Wurtman, RJ. New York: Raven Press, 85-102, 1979 14. Himwhich, WA, Peterson, IM, and Graves, IP. Ingested glutamate plasma levels of glutamic acid. J Appl Physiol. 7: 196-201, 1954 15. Bouret, SG and Simerly, RD. Minireview: leptin and development of hypothalamic feeding circuits. Endocrinology. 145 (6), 2621-2626, June, 2004 16. Bouret, SG, Draper, SJ, and Simley, RB. Trophic action of leptin on hypothalamus neurons that regulate feeding. Science. 2; 304 (5667), 108-110, April, 2, 2004 17. Small, CJ, Stanley, SA, and Bloom, SR. appetite control and reproduction: leptin and beyond. Semin Reprod Med. 20 (4): 389-398, Nov 2002 18. Dadoun, F. Food intake: who controls what? Ann Endocrinol (Paris). 63 (6 Pt 2): S15- S24, Dec, 2002 19. Simon, E and Barrio, AS. Leptin and obesity. An Sist Sanit Navar. 25 Suppl 1: 53-64, 2002 -Translated from Spanish 20. Bjorbaek, C and Kahn, BB. Leptin signaling in the central nervous system and periphery. Recent Prog Horm Res. 59: 305-331, 2004 21. Blaylock, Russell L, MD. Excitotoxins: The Taste that Kills. Health Press , 1995 22. Brightman, MN and Broadwell, BD. The morphological approach to the study of normal and abnormal brain permeability. Adv Exptl Med Biol 69. 41, 1976 23. Weindel, A. Neuroendocrine aspects of circumventricular organs. InFrontiers in Neuroendocrinology, edited by Maretini, L and Ganong, WF, London: Oxford University Press, 1-32, 1973 24. Broadwell, RD and Sofroniew, MV. Serum proteins bypass the blood-brain fluid barriers for extracellular entry to the central nervous system. Exp neurol.120: 245-263. 1993 25. Nemeroff, CB and Crisley, FD. Monosodium L-glutamate induced convulsions: temporary alteration in blood-brain barrier permeability to plasma proteins. Environ Physiol Biochem 5: 389-395, 1975 26. Toth, E and Lajtha. A. Neurochem Res. 6: 1309- 1317, 1981 27. Yu T, Zhao Y, Shi W, Ma R, and Yu L. Effects of maternal oral administration of monosodium glutamate at a late stage of pregnancy on developing mouse fetal brain. Brain Res. 747(2):195-206, Feb 7, 1997 28. Gao J, Wu J, Zhao XN, Zhang WN, Zhang YY, and Zhang ZX. Transplacental neurotoxic effects of monosodium glutamate on structures and functions of specific brain areas of filial mice. Sheng Li Xue Bao. 46(1): 44-51, Feb 1994. Translated from Chinese 29. Frieder, B and Grimm, VE. Prenatal monosodium glutamate (MSG) treatment given through the mother's diet causes behavioral deficits in rat offspring. Intern J Neurosci. 23: 117-126, 1984 30. Truth in Labeling Campaign. (www.truthinlabeling.org/Mercury&MSGinVaccines.html) 31. Aschner M, Yao CP, Allen JW, Tan KH. Methylmercury alters glutamate transport in astrocytes. Neurochem Int. 2000 Aug-Sep;37(2-3):199-206. Review. 32. Truth in Labeling Campaign. (www.truthinlabeling.org/formulacopy.html) 33. Truth in Labeling Campaign. (www.truthinlabeling.org/manufac.html)   SUGGESTED READING 1. A book by Russell L. Blaylock, M.D., a neurosurgeon, entitledExcitotxins: the Taste that Kills. Health Press, 1995 2. A published paper by John W. Olney, M.D. It is entitled Excitatory Neurotoxins as Food Additives: An Evaluation of Risk. The paper was published in Neurotoxicity in 1980. It will be found in volume 2 on pages 163 to 192 3. Web site of the Truth in Labeling Campaign regarding MSG (www.truthinlabeling.org) 4. Web site regarding aspartame (www.dorway.com) จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 19:05:36 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ปริมาณผงชูรส หนึ่งชต. หรือ ประมาณ 15 ซีซี หรือ มากกว่า 15 กรัมนี่ มหาศาลเลยนะครับ สำหรับคนกินแต่ละมื้อ ผงชูรส ถ้ากินปริมาณสูงมากทำให้เวียนหัว และคลื่นไส้อาเจียนได้ ครับ สำหรับ Aspartem ผมไม่ได้กินประจำ แต่ว่า ใช้ผสมกาแฟ แทนน้ำตาล บ้าง และก็ไม่มีความแตกต่างในด้านการหิว แต่อย่างใด ทั้งสิ้น เด๋วนี้ กินกาแฟดำใส่ เมท ครึ่งช้อน ก็เลยไม่ได้ใช้อีก ส่วนเรื่องการคุมน้ำหนักผมเป็นคนคุมได้ดี โดยการคุมอาหาร และ วิ่ง ระยะยาว จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 เม.ย. 49 19:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตอบ#13   มันไม่ใช่การแพ้  วิธีทดสอบการแพ้มาตรฐานไม่สามารบอกได้ว่าบุคคลใดไวต่อแอสปาแตม หรือกลูตาเมต มันมีผลกับทุกคนครับ  แต่ว่า มีผลมากน้อยต่างกันแล้วแต่บุคคล  บางคนทนได้มาก  บางคนทนได้น้อย ครับ และที่แน่ๆ อาการน่ารำคาญตามที่ #12 ยกมานั้น  เป็นอาการระยะสั้น ซึ่งขึ้นกับว่าใครไวกว่ากัน  ส่วนอาการระยะยาว  โดนทุกคนครับ ถ้าจะสังเกต  โรคเบาหวาน โรคจอตาเสื่อม  โรคต่อมไทรอยด์ เริ่มเป็นกันในคนหมู่มากจนผิดปกติ    คุณหมอโปรดช่วยผมยืนยันด้วยว่าจริงหรือไม่ ถ้าไล่อ่านงานวิจัยทั้งหลายบนอินเตอร์เน็ทแล้ว จะพบว่า มาจากไอ้สารสองตัวนี้แหละครับ  คือ แอสปาติกแอซิด   กับ กลูตามิกแอซิด หรือชื่อที่คุ้นหูคือ  แอสปาแตม กับ โมโนโซเดียมกลูตาเมต จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 19:16:52 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผมก็อาศัยวิ่งออกกำลังนี่ละครับอาหมอ  ให้สารพิษมันออกไปกับเหงื่อ ไม่งั้นผมตายเลย เพราะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาหมอทานถูกแล้วนะครับ วันละนิดๆ หน่อย ไม่มีผลมากจนสังเกตได้ครับ  อย่างที่ผมบอกข้างบนว่า การรับประทานน้อยๆ ไม่บ่อย ไม่มีผลครับ แต่ถ้าอาหมอมาอยู่แถวบริษัทผมละก็  อาหมอลาป่วยวันเว้นวันเหมือนหัวหน้าผม และตัวผมเองเมื่อก่อน แน่ๆ จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 19:20:19 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ของแถมคับบบบ  ไม่เกี่ยวกับ Aspartam  แต่ เกี่ยวกับเพื่อนของมัน คือ MSG Death by MSG For years, we have believed that a number of people have died from ingestion of processed free glutamic acid (MSG).  In fact, we have received four reports of MSG-induced death, and a number of reports of near death episodes. Years ago, the Truth in Labeling Campaign became aware of the fact that dogs, which are eaten in some parts of the Philippines, were sometimes killed by feeding them buns laced with vetsin (monosodium glutamate). Following is an article that clearly establishes that ingestion of MSG can lead to death in humans. <> Daily Star Electronic Edition Thursday, March 16, 2006 Bacolod City, Philippines (http://www.visayandailystar.com/2006/March/16/topstory7.htm) Inmate dies with 'vetsin' BY DONALYN GUERRERO A provincial jail detainee died Tuesday after reportedly drinking an undetermined amount of monosodium glutamate, locally known as "vetsin", a day before his scheduled transfer to the national penitentiary. Inmate Rolly Pacunla, 42, of Brgy. Tampalon, Kabankalan City, was foaming in the mouth when he was rushed to the Corazon Locsin Montelibano Memorial Regional Hospital at about 9 p.m. Tuesday, Provincial jail warden Marcos Yba&ntilde;ez told the DAILY STAR yesterday. Pacunla died at the hospital later, Yba&ntilde;ez said. He also said initial investigation showed that Pacunla diluted the "vetsin" with orange juice in his drinking glass and drank it. He said Pacunla's co-inmates reported to the quadrangle guard that he had a stomachache and was asking to be brought to the hospital. He said the jail guard did not act at once because Pacunla claimed earlier that he will escape from jail if given a chance. After few minutes, however, Pacunla vomited and his face grew pale, prompting the jail guards to rush him to the CLMMRH. Yba&ntilde;ez said they recovered two sachets of monosodium glutamate from Pacunla's bed and found the residue of "vetsin" in his drinking glass. He said Pacunla's younger brother Prudencio, also a detainee told him that his brother had said that he will kill himself before he is transferred to the Muntinlupa. Yba&ntilde;ez said Pacunla remains were subjected to autopsy and he expects the result today. He said his brother, Prudencio was remitted to the national penitentiary yesterday. Court records show that Rolly and Prudencio Pacunla were remitted to the Provincial Jail in January after Kabankalan Judge Henry Arles sentenced them to a 40 years of imprisonment, or reclusion perpetua for killing Greg Padu-ong in Brgy. Tampalon on Feb. 22, 2002. Arles, meanwhile, dismissed the murder charge against another Pacunla sibling, Jose Joleito Pacunla, on the grounds that he has not been identified to have participated in the commission of the crime.*DM (http://www.visayandailystar.com/2006/March/16/topstory7.htm) จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 19:28:53 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่อยากเป็นลูคีเมีย  มะเร็ง  อย่ากิน http://www.dorway.com/cancer_study1.html จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 19:36:04 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เอ้า  นี่เลย การทดลอง ไดเอ็ทโค๊ก กับการสลายตัวของแอสปาแตม เป็นสารก่อมะเร็ง สารพิษทำลายประสาท และ ทำลายเรตินา http://www.dorway.com/jcohen.html แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 49 20:38:08 จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 19:45:05 ]

ความคิดเห็นที่ 28 The Truth About Aspartame... Aspartame is NOT a natural substance! Aspartame is NOT a Diet Enhancement product! Aspartame is NOT safe - for ANYONE! Aspartame is NOT a food "additive" Aspartame is an UNREGULATED and UNSAFE DRUG! (It was originally slated to be a peptic ulcer drug!) Aspartame in liquids turns to FORMALDEHYDE above freezing! Aspartame is even worse for DIABETICS! Aspartame poisoning is cumulative (it adds up!) Aspartame byproducts get stored in your FAT! Aspartame has 92 "Official" Side Effects (the worst is DEATH!) Aspartame MIMICS a wide range of problems Aspartame side effects are USUALLY MISDIAGNOSED! (By 21 doctors, in My Case!) Aspartame is unfit for human consumption! Aspartame's approval by the FDA is a SHAMELESS tragedy! Aspartame's approval for use in EVERYTHING is far worse! Who are the culprits? FDA, Searle, Monsanto, NutraSweet and more! The ONLY "CURE" is total exclusion from the diet! TOTAL recovery may not be possible! Only an irate and active PUBLIC can rid the world of this POISON! If YOU have been affected, REPORT IT! GET INVOLVED! จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 20:22:40 ]

ความคิดเห็นที่ 29 Aspartame is even worse for DIABETICS! Joyce was a woman full of life, not overweight but wanting to stay slim. When NutraSweet was approved she thought it was a diet product, not a drug.  She used diet drinks, Equal, Slimfast, sugarfree gum, etc.  She gained 35 lbs!  I saw her go downhill and tried to get her off of it but she said it wouldn't be on the market if it wasn't safe.  She went to 34 doctors trying to find the answer but the truth was concealed with FDA approval, she was consuming a deadly poison.  One ophthalmologist saw the nerve damage of the optic nerve and thought it was macular degeneration. Joyce was going blind.  No one knew the methanol (wood alcohol) in aspartame converts to formaldehyde in the retina of the eye. รายละเอียด ไม่ใช่งานวิจัยนะ อ่านง่ายกว่าเยอะ  อ่านต่อที่นี่  เจ้าของกระทู้และผู้สนับสนุนหากข้องใจอ่านที่นี่ง่ายกว่า  แต่ถ้าไม่เชื่อโปรดอ่านงานวิจับข้างบนในรีเฟอเรนซ์ทั้งหมดครับ http://www.dorway.com/joyce.html แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 49 20:32:43 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 49 20:31:07 จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 20:25:47 ]

ความคิดเห็นที่ 30 I gained 60 pounds over the 15 years I used Equal in my coffee... and formaldehyde-laced fat is still causing me continuing health problems. http://www.dorway.com/mysympt.txt จากคุณ : NaCl - [ 9 เม.ย. 49 20:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แล้วมันเกี่ยวกับทำให้ผมร่วงหรือเปล่าครับ กินไดเอทโค้กวันละ 6 กระป๋องแน่ะเรา -_- จากคุณ : ตี๋หน้าซื่อ - [ 9 เม.ย. 49 23:05:46 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คือ ผมก็ไม่มีความรู้อะไรนะครับ แบบว่าตั้งข้อสังเกตเฉยๆ ใครมีข้อมูลอื่น ขอคำชี้แนะด้วยจ้า ขออนุญาติวิเคราะห์ reference ที่ยกมาในความเห็นข้างบน (แบบงูๆปลาๆนะครับ)ถ้าผิดขออภัยด้วย reference ที่1-4 ผมหา full text ไม่ได้ แต่ถ้าให้เดาจากชื่อเรื่อง น่าจะกล่าวถึงปัญหาความอ้วนโดยรวมๆนะครับ reference 6 เป็น dictionary อะครับ งงๆว่าอ้างทำไมเหรอ reference 5,7,8,9,10,11 กล่าวถึงผลการทดลอง (ในสัตว์ทั้งหมด) ของ aspatate ซึ่งเป็นกรดอมิโนพื้นฐาน ไม่ใช่ aspatam ซึ่ง ตัวaspatate เอง ก็มีในอาหารทุกชนิดนี่นา reference 12-14 กล่าวถึงผลของglutamate (1970s)ในสัตว์ทดลอง น่าจะมีผลเสียรึเปล่า อันนี้คงจะโยงไปถึง monosodium glutamate ซึ่งคือผงชูรส ว่ากินแล้วไม่ดี แต่คือแบบว่า ปกติการทดลองในสัตว์จะให้สารที่มากกว่าความเป็นจริงมากๆ อันนี้คงต้องลองพิจารณากันดูอีกที reference ที่เหลือ กล่าวถึงการทำงานของสมองทั่วๆไป และก็ ผลเสียของ glutamate เป็นหลักอะครับ ยังไม่เห็นมี reference ของ aspatam ตรงๆเลยอะครับ จากคุณ : xxx (TaizoXXX) - [ 9 เม.ย. 49 23:29:16 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คุณพี่เกลืออคติมากเกินไปหน่อยแล้วครับ จะอ้างอะไรก็ให้มันถูก ๆ หน่อยนะครับ ไม่งั้นความน่าเชื่อถือในการพูดครั้งต่อไปจะลดลง จากคุณ : axquest - [ 9 เม.ย. 49 23:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 34 รู้สึกว่าคุณเกลือจะเกลียดผงชูรสเอามากๆเลยนะครับ จากคุณ : ฟุมมิว - [ 10 เม.ย. 49 00:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 35 NaCl เซ็น สิ ถีบ... ไปหน่อย รึป่าว จากคุณ : . ไม่สามารถใช้การได้ชั่วคราว . - [ 10 เม.ย. 49 01:23:11 A:203.144.144.164 X: TicketID:117373 ]

ความคิดเห็นที่ 36 สงสัยต้องปลูกผักเอง .. เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูเอง ... เชือดเอง... ทำอาหารเอง ... ใส่กล่องมากินเอง ... ... ซะล่ะมั้ง - -" จากคุณ : มาม่าใส่ไข่ - [ 10 เม.ย. 49 08:31:45 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ตอบ#32 อันนั้นมันของผงชูรสนะครับ  และมันเป็นสารตระกูลเดียวกัน  ซึ่งอันนี้ผมศึกษามาก่อน  เพราะผมโดนผลกระทบโดยตรง ส่วนแอสปาแตม  ผลมันไม่ต่างกันเลย ลองเสริชดูก็ได้นะครับ   ผมไม่ได้เอาข้อมูลโดยตรงจากเว็บที่เกี่ยวกับแอสปาแตมมาให้ เลยติดข้อมูลส่วนใหญ่ของพวก MSG มาด้วย ส่วนถ้าใครอยากได้จะๆ ไว้ผมนั่งหาก่อน เพราะที่มาพล่ามข้างบนนั้นมันเป็นที่ทราบมาจากเว็บผงชูรสซึ่งอ้างถึงผลของแอสปาแตมดัวย   ส่วนใหญ่ที่ผมรู้ และนำมาเล่าต่อ เป็นข้อมูลจาก Russell L Blaylock. Excitotoxins: The Taste that Kills. Health Press, Santa Fe, NM, 1995, หลายๆ ครั้งผมอ่านบทความในเน็ท แล้วก็ไม่ได้เก็บข้อมูลไว้หรอก  อ่านแล้วก็อ่าน มีใครถามทีก็เล่าให้ฟัง  แต่เห็นชอบถามหางานวิจัย เพราะเป็นข้อพิสูจน์ที่ดูจะดีที่สุด ปกติมันอ่านยาก เลยไม่ค่อยอ่านหมด ซึ่งผมจะดูตรงแอบสแตรค กับ สรุป นิดหน่อย สงสัยคราวนี้จะพลาด  ที่ผมไม่เคยปูพื้นมาก่อนให้รู้เลยว่า แอสปาแตมกับกลูตาเมต มันออกฤทธิ์เหมือนกัน แทบจะทุกประการ   ว่างๆ จะนั่งหามาเตรียมไว้เลยดีกว่า เด๋วโดนยิงร่วงอีก ผมรู้คนเดียว แต่คนอื่นไม่รู้ไปกะผมด้วย ไม่รู้จะทำไง   ไล่ไปเสริชเองเด๋วก็มาด่าผมอีกว่าหาไม่เจอ งานวิจัยเรื่องต่างๆ ที่เห็นในรายการดังกล่าว เป็นการรวมความรู้เรื่องกลไกการเกิดความอ้วน และงานวิจัยเกี่ยวกับ MSG หลายงานจะแถมพ่วง แอสปาแตมมาด้วย ซึ่งผลการวิจัยก็บอกผลกระทบกับสมองส่วนต่างๆ และฮอร์โมน ถ้าจับงานสองกลุ่มมารวมกัน  จะพบว่า ส่วนที่เกิผลกระทบ จะไปเชื่อมโยงกับระบบควบคุมน้ำตาล-ไขมัน และการรับประทานอาหาร ขออภัยที่ทำให้ผิดหวังเรื่องข้อมูล  เพราะผมมันพวกขี้เกียจ เห็นเขารวมเรืองไว้ และสรุป ก็เลยเอามาแหมะให้ดู  จริงๆ แล้ว ลองตามไปอ่านที่เขาสรุปไว้ในลิ้งจะดีกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 49 09:24:58 แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 49 08:58:17 แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 49 08:56:34 จากคุณ : NaCl - [ 10 เม.ย. 49 08:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้ายังไม่เบื่อ  อันนี้ชัดที่สุดแล้วครับ  ที่ผมท้าคุณหมอไปทานแล้วเช็คเลือดหนะ ผมเจอแล้ว  อยู่นี่ จิ้มลิ้งดีกว่าครับ  อักขระพิเศษอ่านไม่ออก Abstract: In a study of the impact of aspartame, fat, and carbohydrate on appetite, we monitored blood glucose continuously for 431 (se 16) min. Ten healthy males (19–31 years) participated in three time-blinded visits. As blood glucose was monitored, appetite ratings were scored at randomized times. On the first meal initiation, volunteers consumed one of three isovolumetric drinks (aspartame, 1 MJ simple carbohydrate, and 1 MJ high-fat; randomized order). High-fat and high-carbohydrate foods were available ad libitum subsequently. Blood glucose patterns following the carbohydrate drink (+1&middot;78 (se 0&middot;28) mmol/l in 38 (se 3) min) and high-fat drink (+0&middot;83 (se 0&middot;28) mmol/l in 49 (se 6) min) were predictive of the next intermeal interval (R 0&middot;64 and R 0&middot;97 respectively). Aspartame ingestion was followed by blood glucose declines (40 % of subjects), increases (20 %), or stability (40 %). These patterns were related to the volunteers' perception of sweetness of the drink (R 0&middot;81, P = 0&middot;014), and were predictive of subsequent intakes (R -0&middot;71, P = 0&middot;048). For all drinks combined, declines in blood glucose and meal initiation were significantly associated (2 16&middot;8, P < 0&middot;001), the duration of blood glucose responses and intermeal intervals correlated significantly (R 0&middot;715, P = 0&middot;0001), and sweetness perception correlated negatively with hunger suppression (R -0&middot;471, P = 0&middot;015). Effects of fat, carbohydrate, and aspartame on meal initiation, meal size, and intermeal interval relate to blood glucose patterns. Varied blood glucose responses after aspartame support the controversy over its effects, and may relate to sweetness perception http://www.ingentaconnect.com/content/cabi/bjn/1999/00000082/00000006/art00003 แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 49 09:08:32 จากคุณ : NaCl - [ 10 เม.ย. 49 09:06:55 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ตอบ#9 อ่านอังกฤษให้เก่งๆ ครับ ความรู้ในเน็ทมากมายมหาศาล ตอบ #31   ไม่มีข้อมูลไหนบอกว่าทำให้ผมร่วงครับ   มีแต่ทำให้ประสาทเสื่อม  เช่น เรตินาเสื่อม เซลสมองตาย เป็นมะเร็ง- เนื้องอกในสมอง ทำให้อ้วน  และ ทำให้เป็นเบาหวาน ตอบ#32 อีกรอบ ".....reference 5,7,8,9,10,11 กล่าวถึงผลการทดลอง (ในสัตว์ทั้งหมด) ของ aspatate ซึ่งเป็นกรดอมิโนพื้นฐาน ไม่ใช่ aspatam ซึ่ง ตัวaspatate เอง ก็มีในอาหารทุกชนิดนี่นา ....." กรดอมิโนในอาหารมีปริมาณเท่าไรครับ  แล้วที่กินแอสปาแตมมันปริมาณเท่าไรครับ  ถามแค่นี้แหละ แล้วถึงแม้มันจะเป็นนิวโรทรานสมิตเตอร์ ที่สมองจำเป็นต้องใช้  และมันยังผ่านระบบ Vlood-Brain Barrier ได้อย่างสบาย ซึ่งเป็นระบบของร่างกายที่ป้องกันสารเคมีไปทำลายสมอง แต่ การได้รับปริมาณมากๆ  มันจะไปทำลายเซลประสาทครับ  ไปอ่านกลไกของโรคอัลไซเมอร์ในหนังสือวารสารวิทยาศาสตร์ของต่างประเทศ ที่เล่มเล็กๆ เล่มละสองร้อยกว่าบาท เมื่อต้นปีนี้ได้เลยครับ ตอบ #34 ไม่อคติหรอก อ่านมายังไงก็ว่าไปตามนั้น อยู่ที่ว่ามันขัดกับสิ่งที่คุณเรียน และความรู้ที่คุณอาจะยังไม่มีในบางเรื่อง เลยคิดว่า มันไม่จริง  และผมอคติ ส่วนเรื่องข้อมูล ต้องขอยอมรับว่าผมขี้เกียจตามหาข้อมูลที่ผมเคยอ่าน ไม่ได้เก็บลิ้งไว้ เลยรวบๆ เอาที่หาง่ายๆ มาให้อ่านก่อน โดนเลยกรู.... ตอบ#35 เซ้นสิถีบไหม  จริงครับ เซ้นผมดีในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว   ผมมันพวกสงสัยอะไรต้องรู้ให้ได้ แต่จะว่าผมไวต่อพวกนี้มาก ๆ ก็ไม่ถูกนะ เพราะว่าถ้าไม่โดนทีเยอะ ๆ ผมก็ไม่เป็นไร ตอบ #36 ครับ ตอนนี้ก็แค่ทำเอง  และกินร้านประจำที่ไว้ใจได้ครับ ไม่ต้องปลูกเอง เลี้ยงเอง หรอก   แค่เลือกที่ซื้อที่ไว้ใจได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษของดอยคำ ที่มีรับประกันเห็นๆ ว่าเป็นของโครงการหลวง พระองค์ท่านไม่หลอกใครแน่ๆ คุณไม่ต้องหมดหวังกับชีวิตหรอก  มันมีทางเลือกอยู่แล้ว อยู่ที่คุณจะเลือกสิ่งดีๆ ให้ชีวิต เหมือนที่คุณเลือกน้ำมันเครื่องสเปกสุดยอดให้รถคุณหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 49 09:43:58 จากคุณ : NaCl - [ 10 เม.ย. 49 09:36:03 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สำหรับคนทั่วไปที่อ่านอังกฤษออก และอยากลดความอ้วน  อ่านคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่นี่ http://www.marlborofitness.com/Articles/Diet%20Soda/Aspartame.pdf จากคุณ : NaCl - [ 10 เม.ย. 49 09:47:29 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เดือนที่แล้วผมกินเป๊ปซี่แม๊กซ์วันละหนึ่งกระป๋องทุกวัน วันไหนร้อนๆ ก็อาจจะกินมากกว่าหนึ่งกระป๋อง ข้าวก็กินปกติ  คือกินบ้าง  ไม่กินบ้าง  ไม่มีมื้อตามปกติ ผลคือพุงเริ่มย้วย ถ้าช่วงไหนเมจิโอ ก็กินมันทุกวันเป็นเดือนจนเบื่อ ตอนนี้ก็กาแฟทรีอินวัน จากคุณ : hidden file - [ 10 เม.ย. 49 12:49:17 ]

ความคิดเห็นที่ 42 จากคุณ : dualspiner - [ 10 เม.ย. 49 13:18:27 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เรื่องการรับฟังข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะบทวิจัย ทางด้านอาหาร ทั้งเรื่องผลเสีย ของมัน หรือผลดีของมัน บางที ต้องรับฟัง หลายๆ ด้าน โดยเฉพาะข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ต  เพราะว่า ความเห็นบางทีขัดแย้งแตกต่างกันออกไป การทำวิจัย มีหลายระดับ ความน่าเชื่อถือแตกต่างกัน สุดท้ายเมื่องานวิจัยได้ ได้รับการพิสูจน์ หรือยอมรับแล้วว่า น่าเชื่อถือ ก็จะได้รับการ นำมาตีพิมพ์ใน Journal ที่มาตรฐาน และ Text book เพื่อใช้อ้างอิงกันต่อไป บางที ถ้าฟัง จากแค่มุมเดียว หลงทางได้ง่ายๆเหมือนกัน โดยส่วนตัวผมเอง ผมใช้ รายงานต่างๆเป็นตัว เตือนให้ระวัง แต่การยึดปฏิบัติ ยังยึดตาม Standard text เป็นหลักครับ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 10 เม.ย. 49 13:42:06 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โอเชคับ อาหมอ เลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด ตามที่ส่วนใหญ่ยอมรับ แล้วผมจะลองไปค้นดูเรื่องอาการจาก Aspartame และ MSG ที่ระบุโดย CDC กับ FDA อย่างเป็นทางการมาแจกละกันนะค้าบบ จากคุณ : NaCl - [ 10 เม.ย. 49 14:41:30 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แปปซี่แมก กินแล้วไม่อ้วนจริงๆครับ และสามารถกินได้ในคนที่เป็นเบาหวานด้วย และก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตว่ามันจะทำให้ไขมันมากขึ้นตามที่มีบางคนกล่าวอ้างแต่อย่างใด ส่วนอันตรายที่จะเกิดจากการใช้น้ำตาลเทียมนั้น ลองเข้าไปอ่านในนี้ดูเอาเองครับ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&date=30-03-2005&group=4&blog=2 สุดท้าย ต้องยอมรับกันว่า ในอินเตอร์เนท ถึงแม้จะมีข้อมูลให้มากมาย แต่หลายๆๆๆๆๆอันนั้น ไม่มีความน่าเชื่อถือทางวิชาการแต่อย่างใด ดังนั้น การจะอ้างแค่ว่า ได้เห็นหรือได้ดูมาเยอะ มีข้อมูลมาก ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลเหล่านั้น จะถูกต้องเสมอไปครับ ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆคือ เรื่องอาหารเสริม หากคนที่ไม่มีความรู้ เข้าไปอ่านจาก net จะได้ข้อดีของอาหารเสริมหลายๆตัวมากมาย แต่ในทางวิชาการแล้วแทบจะใช้ไม่ได้เลยทั้งนั้น ต่อให้มันลงตีพิมพ์ใน journal ทางการแพทย์แล้ว ยังต้องพิจารณาถึงอีกหลายๆเรื่อง ตั้งแต่ว่า journal นั้นน่าเชื่อถือหรือไม่, การทดลองออกแบบมาดีหรือไม่, คนทำมี Bias หรือไม่, มีหลักฐานมากพอที่จะเชื่อถือหรือไม่, การทดลองเป็นแบบใด ฯลฯ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พื้นฐานความรู้ของผู้ที่รับข้อมูลครับ ว่าจะมีวิจารณญาณอย่างไร ถ้าไม่มีความรู้พอ ก็โดนหลอกเอาได้ง่ายๆเหมือนกัน จากคุณ : Marquez - [ 10 เม.ย. 49 15:20:36 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ผมว่าข้อมูลใน Net มันคือดาบสองคมนะครับ ข้อมูลดีๆก็มีมาก มั่วๆก็มีมาก จากคุณ : Jammer - [ 10 เม.ย. 49 15:54:45 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ก็  แล้วแต่นะคับ  ผมเอามาให้ดูส่วนนึงเฉยๆ ซึ่งดูเข้าใจง่ายสุดๆ แล้ว แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ตามสะดวก  แต่ เหตุที่ผมเชื่อ เพราะ ผมพิสูจน์มาแล้ว มันทำให้ผมหิวผิดปกติ และทานอาหารมากมื้อกว่าที่ควรจะเป็น ผมค้นข้อมูล และนำมาบอก ว่ามันเป็นเช่นนี้ จริง ถ้าคุณไม่เชื่อ และ ไม่ได้ใช้มันด้วย ก็ตามสบายครับ แต่ ถ้าคุณใช้มัน และ ไม่เชื่อ ก็ ขอให้ทราบไว้ว่า คุณเคยได้รับข้อมูลมาก่อนแล้ว และ หากมันมีผลอะไรต่อคุณ หรือคนที่คุณรัก มันก็ยังไม่สายที่จะเอะใจและลองกลับมาหาอ่านดูอีกรอบ ก่อนที่มันจะสายเกินไป ไม่เชื่อว่ามันทำให้อ้วนก็พอว่าครับ เพราะว่าผลการวิจัยมันก็เห็นผลไม่ชัดเจน จะๆ การรับประทานปริมาณไม่มาก  ผลที่พบมีว่ามันทำให้หิวอาหารบ่อยขึ้นในอาสาสมัครบางคน   และการทดลองไม่ได้ทำกับผู้รับประทานประจำในปริมาณมาก  ประเภทใส่แทนน้ำตาลทั้งหมดในชีวิตไปเลย แต่ตามคำแนะนำของแพทย์ระบบประสาทหลายท่าน และงานวิจัยหลายอัน  (ไปหาอ่านเองนะ หนังสือต่างประเทศมีเกลื่อนไปหมด) บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันมีผลต่อระบบประสาท ก่อให้เกิดโรคจอตาเสื่อม ชักนำให้เกิดมะเร็ง เนื้องอกในสมอง และโรคอื่นๆ ผมไม่ได้ต้องการให้คุณเชื่อ ถ้าคุณไม่เต็มใจ  ผมไม่มีส่วนได้เสียกับบริษัทผู้ผลิตแอสปาแตมและผงชูรส ผู้ทดลอง ผู้ทำเว็บทุกเว็บที่เกี่ยวข้อง ล้วนแต่ไม่มีผลประโยชน์จากการลงบทความดังกล่าว   ยกเว้นแต่ผู้สนับสนุนการใช้สารนี้เท่านั้น ที่มีส่วนได้ผลประโยชน์จากเงินบริจาค จากการโฆษณา และอื่นๆ คุณลองคิดดูแล้วกัน  การต่อต้านสารพวกนี้ มีใครได้ประโยชน  และ จากที่ใด ??? แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 49 16:52:23 แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 49 16:16:33 จากคุณ : NaCl - [ 10 เม.ย. 49 16:08:17 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อ้อ รับเมธานอลจากการสลายตัวของมันในน้ำอัดลม ทุกวันๆๆๆ ตาไม่บอดหรือท่าน ??  เห็นในบล็อกบอกว่าไม่มีผลมากมาย อ่ะ  นะ จากคุณ : NaCl - [ 10 เม.ย. 49 16:30:26 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เจ้าของบล้อคเค้ายังไม่มา เข้ามาแจมหน่อยล่ะกัน Methanol กินมากๆ แล้วตาบอดได้ ครับ คุณเกลือ แต่ปัญหา คือ ว่า Methanol ที่สลายตัวมาจาก Aspatem ในน้ำอัดลม มันเกิดได้จริงมั้ย แล้วเกิดมา มีจำนวนมากแค่ไหน มากพอทีจะให้เกิดอันตรายจริงเหรอ เอาง่ายๆครับ ถ้ามันมีอันตรายมากมายอย่างที่ว่า อย่างที่กลัวกันจริง นะครับ อเมริกันชน นี่ เป็นประเทศ ที่เสรี และผู้บริโภค กับทนาย หัวไวมาก ถ้ามีใครตาบอดหรือมีปัญหา ตาบอด สมองเสื่อมจากการกินโค้ก ไดเอ็ท หรือ เป็ปซี่แม็กซ์ ซึ่งผสม แอสพาเต็มจริง ล่ะก้อ ป่านนี้ มันฟ้องกัน จนบริษัทล่มจมไปแล้ว ครับ ไม่ได้บอกว่ารายงาน มันไม่มีหรือไม่จริง นะครับ แต่อย่างที่บอกว่า เวลาฟัง อ่านแล้ว ต้องดูเสียงส่วนใหญ่ของผู้รู้คนอื่นเค้าด้วยว่ามันมีความเป็นไปได้แค่ไหน แหล่งข้อมูลมันเชื่อได้ แค่ไหน น่ะครับ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 10 เม.ย. 49 21:42:12 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อิ อิ มาแซวคุณเกลือครับ ในถุงนี่เพียวๆเลยนะครับ ในอีควอลยังผสมแล๊คโตส ใส่กาแฟ หรือใส่กินกะมาม่า อร่อยสุดๆครับ แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 49 22:47:55 จากคุณ : ฮา1 - [ 10 เม.ย. 49 22:45:33 ]

ความคิดเห็นที่ 51 มันก็มีครับอาหมอ  แต่ติดตรงไม่มีหลักฐานชัดเจนครับ เพราะว่าผลมันเกิดต้องกินถึง 10 ปี โดนเข้าไปช้าๆ เป็นเวลานานๆ ครับ ถ้ากินอย่างอาหมอนี่ไม่เป็นไรหรอกครับ อ้อ เขาฟ้องกันแล้วคับ  แพ้อ่า จากคุณ : NaCl - [ 11 เม.ย. 49 10:50:24 ]

ความคิดเห็นที่ 52 US FDA และ WHO ได้กำหนดค่าความปลอดภัยที่จะกิน aspartame แล้วไม่เกิดอันตรายจาก Methanol ไว้ที่ 4000 mg/kg body weight (คนที่หนัก 50 กก. ก็สามารถกินได้ถึง 200 ก. โดยไม่เกิดอันตรายจาก methanol) และกำหนดปริมารที่สามารถกินได้ใน 1 วันไว้ที่ 40 mg/kg ซึ่งหากดูในแง่ของการใช้ในคนปกติ จะอยู่ที่ 3-5 mg/kg จึงไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างไร ทั้งนี้สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการง่ายๆคือ หลังจากที่เรากิน Aspartame เข้าไปส่วนหนึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็น Methanol (ประมาณ 10% ของน้ำหนัก) ซึ่งตัว Methanol ก็จะถูกเปลี่ยนเป็น Formaldehyde และ Formate ต่อไป ตัวที่ทำให้เกิดพิษต่อเซลประสาทตาคือตัว Formate ก็จะถูกกำจัดออกจากเลือดโดยรวดเร็ว โดยจะออกไปกับปัสสาวะ แทบทุกการทดลอง หลังจากที่ให้กิน Aspartame ในระดับสูง จะพบปริมาณ Formate ในปัสสาวะสูงเช่นกัน และแทบจะไม่พบ Methanol ในเลือดหลงเหลืออยู่เลย (นอกจากจะกินเกินระดับ 100 mg/kg ถึงจะตรวจพบได้ แต่ก็น้อยเต็มที) ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลว่ากิน Aspartame แล้วจะทำให้เกิดพิษจาก Methanol แต่อย่างใดครับ สุดท้าย ขอยกที่พี่หมอ J เขียนไว้มาอีกที "เวลาฟัง อ่านแล้ว ต้องดูเสียงส่วนใหญ่ของผู้รู้คนอื่นเค้าด้วยว่ามันมีความเป็นไปได้แค่ไหน แหล่งข้อมูลมันเชื่อได้ แค่ไหน น่ะครับ" จากคุณ : Marquez - [ 11 เม.ย. 49 11:11:50 ]

ความคิดเห็นที่ 53 จริงอยู่ครับ  แต่ ถ้าเรากินมาสัก 10 ปี ทุกวัน มันไมมีผลสักนิดเดียวหรือท่าน  ระบบประสาทตาเราต้องใช้จนวันสุดท้ายของชีวิต  แม้มันจะขับออกเร็ว  แต่ เชื่อได้ว่ามันต้องมีผลที่ไม่ใช่ระยะสั้น แน่นอน แล้วที่ผมอ่านเจอมา  ทุกรายที่เป็น  ล้วนมีอาการ ดีขึ้นหลังจากเลิกแอสปาแตม  แต่กระนั้น ทุกราย  รับมานานเป็น 10 ปี ครับ การทานประจำๆ  หรือแค่คิดว่า จะใช้ลดความอ้วน นั้น ไม่น่าเป็นความคิดที่ดีเลยครับ เว้นแต่ จะทานเล่น เท่ๆ   ดูอย่างบุหรี่ก็ได้  ดูดแล้วเป็นมะเร็ง มีคนเชื่อซะที่ไหน  แต่ก็ยอมรับมานานแล้วว่ามันอันตรายจริง อันนี้ก็เช่นกันครับ  ใช้มาตั้งแต่ปี 1980 เดี๋ยวไม่เกินอีก 5-15 ปี  ก็จะมีรายงานเป็นทางการเช่นกัน กลับมาเรื่องอ้วนครับ ผมกินแอสปาแตมอยู่ช่วงหนึ่ง(ไม่มากหรอก ได้จากพวกขนมหวาน-หมากฝรั่งไมม่น้ำตาลที่มีคนซื้อมาฝากจากนอก)  ซึ่ง กินทำเท่ๆ หนะครับ ปรากฏว่า ผมมีอาการหิวช่วงบ่ายอย่างมากเป็นประจำ จนต้องหาของกินมาเพิ่ม  ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าผมไวผงชูรสด้วย  คาดว่ามันไปเสริมฤทธิ์กัน ปกติแล้ว แม้ไม่กินแอสปาแตม วันไหนถ้าไม่ทานอะไรอื่นๆช่วงบ่าย ผมจะหวิดๆ เป็นลม  แต่นี่ มันมีอาการแทบ ทุกวันเลย มือสั่น ชา หัวใจเต้นเร็วมากทั้งที่ไม่ได้ออกแรง จนเลิกทานแอสปาแตม เพราะหมดแล้ว อาการก็ลดลง แต่ยังไม่หายสนิท  มีอยู่วันหนึ่ง เริ่มเอะใจว่า ทำไมบางวันจึงปวดหัว มึน (ไม่เกี่ยวกับหิวบ่อยนะครับ)  ก็สงสัยว่า เราทานเค็มมากไปป่าว? ความดันเลยสูง??  แต่ เอ๊ะ เราไม่เคยสั่งอาหาร แล้วปรุงเพิ่มเลย   ฟุ้งซ่านไปมา เอ๊ะ ถ้าไม่ใช่เค็ม แล้วรับโซเดียมจากไหน  นึกไปนึกมา อ๋อ  ผงชูรส ??   ว่าแล้วก็เลยทดลอง ไม่ชูรส ตลอดเลย  ปรากฏว่า หายมึนหัว และ ไม่หิวตอนบ่าย ตลอดทั้งเดือนที่ทดลอง!! สงสัยครับ เลยไปคนเว็บเรื่องผงชูรส ก็ได้พบข้อมูลต่างๆ เช่น เรื่องปวดหัว มึนหัว เรื่องหิวบ่อย เรื่อง หัวใจเต้นผิดปกติ  เรื่อง อาการ panic เรื่อง อาการไวต่อการระคายเคืองต่างๆ  อาการนอนไม่หลับ ฯลฯ  ซึ่ง ทุกอาการ คืออาการที่ผมเป็นทั้งหมด  และปัจจุบันมันหายไปหมดแล้วหลังจากเลิกทาน !!!!! ผมจึงเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า  เว็บดังกล่าวพูดจริง  สารที่ต้องระวังมี 2 อย่าง คือ MSG กับ Aspartame ! หมายเหตุ.. ผมก็ยังสงสัยอยู่ ว่า จริงๆ แล้วผมไวต่อชูรสจริงเหรออ หรือผมปกติ ??  เพราะว่า บางที ร้านที่ทำอาหารเขาก็แกล้งผม (ใส่ชูรสมาให้ตามปกติ  แต่ไม่ใช่ช้อนนึง ถ้าแบบนั้นละอาการออกเลย)   ผมก็ไม่มีอาการนะ อย่างนี้จะหมายความว่าผมไวต่อผงชูรสรึเปล่า??   เวลาฟังสื่อต่างๆ ก็ควรใช่วิจารณญานครับ  ไม่ควรเชื่ออะไรง่ายๆ เวลาฟัง อ่านแล้ว ต้องดูผู้รู้คนอื่นๆ เค้าด้วยว่ามันมีความเป็นไปได้แค่ไหน แหล่งข้อมูลมันเชื่อได้ แค่ไหน น่ะครับ  ไม่ใช่ดูแต่โฆษณา !! โฆษณาต่างหากมันหลอกเรา !!! แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 49 09:14:17 จากคุณ : NaCl - [ 12 เม.ย. 49 09:00:46 ]