ความคิดเห็นที่ 1 เท่าที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง อยากอธิบายว่า สิ่งที่เห็นชัดเจนดี เป็นดวงไฟเล็กๆ เหมือนเปลวเทียนที่ลอยอยู่เป็นแถวๆ อยู่ในถ้วยเบญจรงค์ เมื่อออกจากสมาธิและถามพระอาจารย์ที่นำนั่งสมาธิอยู่ด้วยตั้งแต่ต้น ท่านอธิบายว่าเป็นดวงจิตของเทวดา หรือเทพ นั่นแหละ เพราะขณะที่นั่งสมาธินั้น พระอาจารย์เทศนาธรรมไปด้วย และในครั้งเดียวกันนั้นเอง ได้ยินเสียงกระซิบแต่ไม่เป็นคำพูด เพียงแต่เข้าใจได้ว่าบอกว่าอะไร ทำให้ผมยกมือขวาขึ้นหงาย ถามพระอาจารย์อีกเช่นกัน พระอาจารย์อธิบายว่าเป็นดวงจิตที่มาขอส่วนบุญเพราะครั้งนั้นที่ผมไปวัดก็เพื่อทอดกฐินและเป็นประธานกองกฐินนั้นด้วย แต่ไปก่อนวันทอดกฐินสองสามวันเพื่อปฏิบัติธรรม และอยู่ที่วัดต่อหลังจากวันงาน ที่วัดเดียวกันแต่ต่างวาระกัน ผมไปปฏิบัติธรรมที่วัดนานประมาณ 40 วัน คืนหนึ่งได้ยินเสียงเหมือนเสียงสตรีร้องเพลงในงานสมโภชน์อะไรสักอย่าง ได้ยินอยู่ค่อนข้างนานหลายนาทีและชัดเจนมากเนื่องจากเป็นวัดป่า อยู่บนเขาซึ่งจะเงียบสงัดมาก การได้เห็นนั้นชัดเจนดีเหมือนเห็นด้วยตาเนื้อนี่แหละครับ ที่น่าอัศจรรย์ใจกว่านั้นคือ เมื่อผมปฏิบัติมาระยะหนึ่งแล้วประมาณสองปี มันเหมือนจะสามารถอ่านใจคนอื่นได้ รู้ว่าคนที่เรากำลังคุยด้วยต้องการอะไร รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเท็จ และสามารถทายได้ถูกต้องด้วย อย่างเช่นครั้งหนึ่ง เพื่อนที่คุยกันทางเอ็มฯ แต่รู้จักกันเป็นส่วนตัวด้วยนะครับ เขาเขียนถามผมว่า "รู้ไหมว่าใครฝากของให้ผม" ผมตอบได้ทันทีเลยว่าคือนายคนนั้น เพื่อนถามต่อว่า "รู้ไหมว่าฝากอะไรมาให้" ผมตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า "หนังสือ" เขาบอกว่า "ถ้าตอบคำถามสุดท้ายได้จะยอมรับว่าเอ็งแน่ ถามว่า หนังสืออะไร?" ผมตอบทันทีเลยว่า "หนังสือกอล์ฟของ ไทเกอร์" เขางงมากไม่นึกว่าผมจะตอบได้ถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนเลยทั้งสามข้อ เขาถามว่าที่ตอบได้เนี่ยเป็นผลจากการปฏิบัติหรือ ผมบอกว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่หากจะให้ผมอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ ผมอยากอธิบายแบบนี้ครับว่า การปฏิบัติหรือการนั่งสมาธินั้นทำให้ใจเราสงบ สามารถตัดอารมณ์ต่างๆ ออกไปได้โดยเฉพาะเมื่อปฏิบัติมาถึงระดับหนึ่ง ความสงบนี้เองจะทำให้จิตใจโปร่งใสสามารถพิจารณาสิ่งใดๆ ก็ตามด้วยเหตุและผลอย่างชัดเจนถูกต้อง คุณเองคงพอบอกได้นะครับว่าสมองของเราทำงานเร็วแค่ไหน หมายความว่า กำลังคิดเรื่องหนึ่งก็สามารถเปลี่ยนไปคิดอีกเรื่องหนึ่ง และไปอีกเรื่องหนึ่งเพียงเสี้ยวของเสี้ยววินาที ดังนั้นการประมวลคำตอบที่เพื่อนผมถาม ผมสามารถวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลทั้งปวงแล้วจึงสามารถตอบทุกคำถามนั้นได้อย่างถูกต้อง คือมันต้องเป็นคนนี้จะเพราะอะไรก็แล้วแต่(ขี้เกียจอธิบายครับ มันยาว) และคนที่ฝากของมาให้ต้องส่งเป็นหนังสือมาให้แน่ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ และจะต้องเป็นหนังสือแบบนี้แน่ ถ้าจะให้เปรียบให้เห็นชัดๆ ก็คือ เหมือนแก้วน้ำขุ่นๆ ที่ไม่สามารถมองผ่านไปได้ แต่ถ้าเราวางแก้วน้ำนั้นลงให้มันตกตะกอน น้ำก็จะค่อยๆ ใสขึ้นทีละนิดๆ ที่สุดก็จะใสจนสามารถมองผ่านไปได้ หวังว่าพอจะเห็นภาพขึ้นบ้างนะครับ แต่ขออธิบายอีกนิดครับว่า ไม่จำเป็นเสมอไปที่ทุกคนจะต้องเห็นหรือได้ยินหรือได้กลิ่นหรืออะไรก็แล้วแต่เหมือนกันทุกคนเสมอไป บางท่านอาจมีแต่ความสงบเท่านั้นก็เป็นได้ ซึ่งพระอาจารย์อธิบายว่า มันแล้วแต่บุญเก่าที่เราได้สั่งสมกันมาแต่หลายชาติก่อน ถามนิดเดียว ผมอธิบายเสียยาวเลย ทนอ่านหน่อยนะครับ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จขกท. จะทดลองพิสูจน์ด้วยตัวเองบ้าง ไม่งั้นจะหาว่าผมโม้..... จากคุณ : thongprakai - [ 17 เม.ย. 49 00:28:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ลืมตอบไปครับว่า ผมยังไม่เข้าถึงขั้นที่สามารถถอดจิตได้ซึ่งจะทำได้ขนาดนั้นต้องใช้เวลากับการนั่งสมาธิแต่ละครั้งคราวละหลายๆ ชั่วโมง ปกติผมจะนั่งสมาธิคราวละประมาณ ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น พระอาจารย์ยังบอกเลยว่า ต้องหาเวลาไปที่วัด พระอาจารย์จะพานั่งให้ถึงเช้าเลย หมายถึงนั่งตั้งแต่ประมาณหนึ่งทุ่ม.....ผมคงตายแน่ 555 แต่ยังไม่เคยปรากฏนะครับว่ามีคนตายเพราะนั่งสมาธิ แต่ผมจะปฏิบัติทุกคืนครับ ก่อนที่จะเข้ามาตอบนี่ผมก็นั่งสมาธิเสร็จแล้ว คิดอยู่เหมือนกันครับว่าจะไปอยู่ที่วัดสักหนึ่งอาทิตย์ ลองดูว่านั่งถึงเช้าจะเป็นไง ผมว่าคงหลับเสียก่อนน่ะซี 555 อ้อ ลืมบอกไปว่า วัดที่ผมไปปฏิบัตินั้นชื่อวัดจำปาทอง จังหวัดพะเยา ไกลหน่อยเพราะผมอยู่กทม. แต่เวลาไปผมจะไปเครื่องบิน ไปลงที่เชียงราย จ้างรถมารับไปพะเยา ค่าใช้จ่ายสูงหน่อยแต่ประหยัดเวลาในการเดินทางครับ แต่จะไปรถบัสก็ได้ แล้วแต่สะดวก ถ้ามีคำถามอะไรเพิ่มเติมก็เชิญนะครับ ผมจะพยายามตอบเท่าที่สามารถ จากคุณ : thongprakai - [ 17 เม.ย. 49 00:49:43 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คือ มีเพื่อนผมคนนึงเขาฝึกนั่งสมาธิ แล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาบอกว่าเขาเห็นภาพข้างหน้า ก็คือ ภาพในห้อง วันแรกก็ไม่แน่ใจว่าภาพที่เห็นได้จากตาเนื้อ หรือเปล่า ก็ทดลองวันที่ 2 ก็ทำให้เขามั่นใจว่าภาพที่ได้นั้นไม่ใช่จากตาที่เห็นปกตินี้ แต่สิ่งที่ผมสงสัยคือ จะเป็นเพียงนิมิตที่เขาสร้างขึ้นเองหรือเปล่า แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะว่า เขาก็ฝึกสมาธิมาหลายปีแล้วเหมือนกัน แล้วก็เคยบวชมาแล้วด้วย . . จากคุณ : SS - [ 17 เม.ย. 49 07:25:01 A:58.9.81.191 X: TicketID:018717 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น.... จากคุณ : หนอนสายตายาว - [ 17 เม.ย. 49 09:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ส่วนของผม...ไม่เห็นอะไรเลยครับ ฟุ้งซ่านเล็กน้อย ถึง ปานกลาง ลมหายใจ เดี๋ยวอยู่ เดี๋ยวไป ขอบคุณครับ จากคุณ : รวดเดียว - [ 17 เม.ย. 49 10:56:03 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ที่จริงแล้ว สิ่งที่ได้ประโยชน์ที่สุดจากการนั่งสมาธิคือทำให้คิดเป็น คิดในทางที่ถูกที่ทำให้ตัวเราเป็นสุข อย่างเมื่อก่อนผมถึงกับนอนไม่หลับเป็นอาทิตย์ๆ เพราะความเครียดกับหลายสิ่งหลายอย่างทั้งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องหัวหน้า เรื่องลูกน้อง มันสารพัดยุ่งไปหมด แม้จะไปพบจิตแพทย์ก็แล้วก็ไม่ได้ช่วนให้ดีขึ้นเลย ครั้นเมื่อได้ปฏิบัติมาระยะหนึ่งทำให้เริ่มคิดอะไรเป็นมากขึ้น รู้จักปล่อยวางมากขึ้น รู้จักการอภัยมากขึ้น และเข้าใจชีวิตมากขึ้น ที่สำคัญคือเข้าคนอื่นมากขึ้นด้วย ไม่ยึดติดกับอะไรอย่างที่เคยเป็นซึ่งเป็นผลให้ชีวิตเป็นสุขมากขึ้น เมื่อตัวเราเปลี่ยนไป สิ่งรอบข้างทั้งหมดก็จะค่อยๆ เปลี่ยนตาม อย่างเช่นเมื่อเราไม่ถือโกรธในเรื่องใดๆ กับใคร บุคคลนั้นๆ จะเริ่มมองเราอีกแบบหนึ่งและจะเริ่มเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเรา ดังที่เราคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่า หากเราคิดจะเปลี่ยนใคร เราต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน แล้วจะไม่มีสิ่งใดในโลกที่ทำให้เราเป็นทุกข์ใจได้ และนั่นคือสิ่งที่เราทุกคนต้องการหรือเปล่า..... จากคุณ : thongprakai - [ 17 เม.ย. 49 14:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตอบคุณ ss เรื่องที่ถามกี่ยวกับเพื่อนที่ว่า เป็นเพียงนิมิตที่เขาสร้างขึ้นเองหรือเปล่านั้น ผมตอบไม่ได้ มันเป็นไปได้ทั้งสองอย่างคือสร้างขึ้นเองและเป็นจริง มีแต่เพื่อนคุณเท่านั้นที่สามารถบอกได้เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเฉพาะตน หรือที่เรียกว่า ปัจจะตัง บางคนสร้างขึ้นเองจนละเมอเพ้อพกไปกันใหญ่ก็มี แต่ผมว่าอย่าไปสนใจเลยครับ ที่ผมอยากแนะนำก็คือต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะได้คำตอบที่ต้องการ คุณรวดเดียวครับ มีผู้ปฏิบัติจำนวนมากมายที่มีแต่ความสงบ ไม่เห็นอะไรเลย ผมเองเวลาปฏิบัติที่บ้านก็จะมีแต่ความสงบเช่นเดียวกัน ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ยิ่งมีการตั้งความหวังว่าอยากเห็น มันจะยิ่งไม่เห็นเพราะมันจะกลายเป็นกิเลสไป ค่อยๆ เพียรปฏิบัติไปเรื่อยๆ อย่าไปหวังอะไร แล้วมันอาจจะเกิดขึ้นเอง ส่วนวิธีในการระงับความฟ้งซ่านนั้น ผมเชื่อว่าคุณคงทราบดีอยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร พระอาจารย์บอกว่า อยู่ที่ความเพียรเท่านั้น เหมือนให้น้ำหยดลงในตุ่มทุกวัน วันหนึ่งน้ำก็จะเต็มตุ่มเอง จากคุณ : thongprakai - [ 17 เม.ย. 49 14:40:25 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนนี้ผมไม่ได้ไขว่คว้าหาอะไรแล้วครับ แค่อยู่ในปัจจุบันก็พอ...แต่มันก็ยังไม่อยากอยู่กับผมอยู่ดีนั่นแหละ... จากคุณ : รวดเดียว - [ 17 เม.ย. 49 14:55:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วพวกที่เห็นพญานาคอะไรนั่นล่ะครับ เห็นจริงรึป่าว หรือว่าหลอนไปเอง จากคุณ : Mr.Yokee - [ 17 เม.ย. 49 22:10:50 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมไม่เคยเห็นพญานาคหรอกครับ แต่เท่าที่เคยอ่านในหนังสือของหลวงปู่มั่นซึ่งมั่นใจได้ครับว่า ไม่มีการมุสาแน่นอน ท่านบอกว่า เวลาออกเดินธุดงค์ ในป่าลึกซึ่งหมายถึงตั้งแต่ปี สองพันสี่ร้อยกว่าๆ ป่าสมัย โน้นกับสมัยนี้ย่อมต่างกันแน่นอน จะมีเทวดากับพญานาค มาฟังท่านเทศนาธรรม และจะมากันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เวลากลับก็จะกลับกันอย่างเป็นระเบียบเช่นกัน แต่ไม่ได้ บอกหรอกครับว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ผมเดาว่าน่าจะเป็น ดวงจิตมากกว่าที่ท่านสัมผัสได้และทราบว่าเป็นเทวดา หรือเป็นพญานาค ไม่น่าจะใช่แบบที่เราเห็นที่กล่องไม้ขีดไฟตราพญานาค แต่ผมก็ไม่กล้ายืนยันดพราะไม่เคยสัมผัสเอง สำหรับคนอื่นๆ ที่สัมผัสได้นั้นก็คงเป็นไปได้ทั้งที่เป็นจริง และอาจจะสร้างภาพขึ้นเองก็ได้มังครับ จากคุณ : thongprakai - [ 17 เม.ย. 49 23:42:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ได้มีโอกาศได้สนทนากับหลวงปู่รูปหนึ่งที่วัดพระธาตุริมแม่น้ำโขง ช่วงนั้นกำลังมีงานบูรณะพระธาตุ ผู้คนเข้าไปหาท่านมากมาย ตอนแรกไม่ได้นึกถามอะไร มีครอบครัวหนึ่งได้ถามท่านว่า รู้จักเกจิอาจารย์ท่านหนึ่งไหม ท่านตอบว่ารู้จัก ครอบครัวนั้นบอกว่าเดี๊ยวเสร็จจากกราบท่านจะแวะไปกราบเกจิท่านนั้นต่อ ให้หลวงปู่ช่วยกำหนดจิตดูให้หน่อยว่า อาจารย์ท่านอยู่ที่วัดหรือปล่าว จะได้ไม่เสียเที่ยว ... หลวงปู่นิ่งไปสองสามวินาทีมั้ง แล้ว ตอบว่า ทำไมไม่โทรไปที่วัดท่านล่ะโยม ง่ายกว่าตั้งเยอะ ครอบครัวนั้นทำหน้าตาแปลกแปลกแล้วลากลับไปเลย หุหุ ... สุดท้ายเหลือแต่ครอบครัวผม ได้ถวายสังฆทาน และ แจกวัตถุมงคล เป่าขม่อมเรียบร้อย ทักทายสนทนาตามปกติ ผมเองก็โพล่งถามไปว่า หลวงปู่ครับนาคมีจริงไหม (กลัวหลวงปู่ดุเหมือนกัน ว่าอยากรู้ไปทำไมหว่า ) หลวงปู่ . ตอบว่า มี ........ที่วัดนี้มีไหมครับหลวงปู่ หลวงปู่ . มี พวกเขามารักษาพระธาตุ อยู่กันเป็นเมืองใต้พระธาตุ .......นาคนี่หน้าตาเป็นไงครับหลวงปู่(ผมรู้สึกหลวงปู่ใจดี เลยถามใหญ่) หลวงปู่ . ก็เป็นงูใหญ่ แต่เวลามาให้เห็นก็ปรากฏเป็นคนธรรมดา ......แล้วนาคที่รักษาพระธาตุชื่ออะไรครับหลวงปู่ ชื่อ... ... เล่าย่อย่อแค่นี้แล้วกันนะครับ เรื่องมันยาว บังเอิญผมเป็นคนชอบซักถาม เลยได้เป็นความรู้ดี แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 49 01:04:45 จากคุณ : เ ม ฆ ค รึ่ ง ฟ้ า - [ 18 เม.ย. 49 01:01:30 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แม้กระทั่งตอนไปล่องแม่น้ำโขง ช่วงจากหลวงพระบาง เคยถามคนเรือว่าเคยเจอ นาคไหม เขาบอกว่าเคยเจอ ตอนล่องเรือตอนเช้า เห็นเป็นท่อนสีดำยาวพาดลำน้ำโขง จากอีกฝั่งไปยังอีกฝั่ง(น่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยเมตร) ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกได้แต่ดับเครื่อง ไม่กล้าไปต่อ ประมาณสักสิบนาทีได้ ท่อนสีดำก็จมหาย ผมเองก็ถามว่า อาจจะเป็นสาหร่าย หรือท่อนซุงได้ไหม หุหุ ซุงอะไรดำมะเมี่ยมยาวร้อยกว่าเมตร เอ้อนั่นสิครับ ... จากคุณ : เ ม ฆ ค รึ่ ง ฟ้ า - [ 18 เม.ย. 49 01:02:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณมากเลยครับคุณเมฆฯ ที่นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง ท่านจขกท. คงหายเคลือบแคลงใจไปได้บางส่วนมั้ง? จากคุณ : thongprakai - [ 18 เม.ย. 49 11:39:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณค่ะคุณเมฆ มีเรื่องอื่นอีกมั้ยคะ ชอบฟังค่ะ จากคุณ : jita - [ 18 เม.ย. 49 13:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมก็ชอบฟังครับ...ถือว่าเอาบุญนะครับพี่ จากคุณ : รวดเดียว - [ 18 เม.ย. 49 15:05:41 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมพึ่งหัด คลาน ครับ เคยทำได้อย่างคุณ thongprakai   แล้วก็คิดว่าตัวเองบ้า เลยไปหาจิตแพทย์ เพราะไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเลยคิดว่าตัวเองบ้า เดียวนี้พอรู้แล้วว่าเราไม่ได้บ้า เป็นคนชอบลองของ คอยหาเลขหวย มันก็พอได้บ้าง อิอิ การฝึกก็หลากหลายรูปแบบ อ่านอันนั้นผสม อันนี้ ทำแล้วก็มีสุข เย็นทั้งร่างสบายตัว แต่ที่อยากถาม การนั่งสมาธิเรา ต้อง เดินสายกลางไหมครับ จากคุณ : ตลกดี - [ 18 เม.ย. 49 21:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ชักอยากเห็นแล้วสิ แล้วพญานาคนี่เป็นสิ่งมีชีวิตมีเนื้อหนังแบบมนุษย์รึป่าวครับ เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหนครับ จากคุณ : Mr.Yokee - [ 19 เม.ย. 49 00:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 18 พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องทางสายกลางอยู่แล้ว ในการปฏิบัติธรรม การเดินสายกลางหมายถึงการวางจิต ให้เป็นกลางๆ ในระหว่างการปฏิบัติซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติ บรรลุมรรคผลได้ จิตที่ไม่เป็นกลางเช่นมีปิติมากเกินไป ยินดีมากไป โกรธ ใจจะเต้นแรง โลหิตสูบฉีดมากไป หรือใจที่อ่อนล้าเหมือนคนไม่สบายใกล้ตาย มันก็ไม่เป็นกลาง การปฏิบัติได้ผลใจจึงต้องเป็นกลาง จากคุณ : thongprakai - [ 20 เม.ย. 49 21:25:06 ]

ความคิดเห็นที่ 19 กรณีของเรา...ขอเล่าย่อๆ ตามความเข้าใจของตัวเองว่า เราคงจะไม่ได้ถอดกายทิพย์จากการเข้าฌานสมาบัติใดๆ หรอกค่ะ แต่...วันที่เกิดเหตุนั้นคือเรากำลังนอนหลับอยู่ในเวลากลางวัน แล้วเราก็ตื่นขึ้นแต่ยังตื่นไม่เต็มที่เพราะในความรู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น คือหูตาและร่างกายทุกส่วนยังทำงานไม่เต็มที่ในขณะที่จิตนั้นอยากจะตื่นอยากจะลุกแล้ว ขณะนั้นเอง...ที่เราลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง แต่เราก็รู้สึกแปลกๆ คือรู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก เราจึงหันกลับไปมองและเราก้ได้เห็นตัวเองนอนอยู่ ซึ่งเรากลัวมาก...กลัวว่าเราจะต้องตายโดยไม่ได้เตรียมตัว เราจึงรีบนอนลงไป ก่อนที่จะตื่นขึ้นอีกครั้งอย่างสมบูรณ์พร้อมกันทุกส่วน ต่อมาเหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นกับเราอีกครั้ง...แต่คราวนี้เมื่อเรารู้สึกว่าจิตต้องการตื่นแต่กายนังไม่พร้อมเราก็ไม่ได้ฝืนลุกขึ้นอีกเหมือนในครั้งที่ผ่านมา จึงไม่เกิดเหตุอะไร อืม...ที่เราเล่ามาอาจจะเป็นความฝันของเราที่เราคิดไปเองว่าเป็นจริงก็ได้นะคะ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 49 12:40:07 จากคุณ : ระนาดแก้ว - [ 24 เม.ย. 49 12:38:56 ]