ความคิดเห็นที่ 1 แล้วทำไมถึงต้องไม่เชื่อล่ะครับ จากคุณ : ก๊าบเป็ด - [ 19 ส.ค. 49 12:59:08 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่า....คนที่สนใจวิทยาศาสตร์ก็ไม่เห็นต้องละทิ้ง"ศรัธทา"ของตัวเองนี่ครับ เรื่องศาสนา ผมว่ามันเป็นเรื่องของศรัธทานะครับ....ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่องของจิตใจมากกว่า... ถามว่า คุณ ใส่บาตร,ทำบุญอุทิศส่วนกุศล,ไหว้บรรพบุรุษตอนเชงเม้ง,เผากระดาษเงินกระดาษทอง หรือเปล่า ถ้าคุณทำ คุณสามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้หรือไม่ ว่าทำไปเพื่ออะไรแล้วได้ผลอย่างไร..... จากคุณ : Red Metalic - [ 19 ส.ค. 49 13:03:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เพราะวัฏสงสารมันมีจริงครับ ใครไม่เชื่อแต่ผมเชื่อ ขนาด ฝรั่งเองยังเชื่อว่ามีพระเจ้าเลย ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร เป็นสิ่งมีชีวิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือเป็นแค่สิ่งที่สมมติขึ้นมา จากคุณ : axquest - [ 19 ส.ค. 49 13:04:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ศาสนาอธิบายสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้นะ จากคุณ : silverspider - [ 19 ส.ค. 49 13:05:33 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด เช่น โลกตะวันตก พวกนักวิทยาศาสตร์ คนใหม่ ๆ เขาก็เชื่อในแนวทางของศาสนาคริสต์ ในโลกอาหรับก็อิสลาม ก็เหมือนกันหมดแหละ เพราะพวกนี้เป็นเรื่องความเชื่อ ความศรัทธา ใครพิสูจน์ได้บ้างเวรกรรมไม่มีจริงโดยอ้างกฎฟิสิกส์แทน หรือพิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่มีจริงโดยอ้างทฤษฏีวิวัฒนาการแทน วิทยาศาสตร์มันก็แค่การศึกษาและบันทึกในสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน มือจับได้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าที่เป็นความเชื่อที่ว่ามาจะไม่จริงเสียเมื่อไหร่ เช่น พระเจ้าอาจจะสร้างสิ่งมีชีวิตโดยกำหนดกฎเกณฑ์ทางวิวัฒนาการก็ได้ ไม่ได้หมายความว่าสิ่งมีชีวิตเกิดมาเองโดยไม่มีพระเจ้าหรือใคร ทำให้เกิด หรือกฎแห่งเวรกรรมอาจอยู่เบื้องหลังกฎทางฟิสิกส์ของนิวตันก็ได้ วิทยาศาสตร์บอกให้เรารู้ถึงสิ่งที่ประจักษ์ต่อหน้าที่เราสัมผัสได้เท่านั้นเอง ไม่ได้บอกว่าเบื้องหลังของทุกสิ่งที่เป็นอยู่นี้ความจริงมันคืออะไรแน่ ดังนั้นไม่แปลกที่เราจะมีความเชื่อหรือคิดว่าใช่ในแนวทางศาสนาต่าง ๆ ที่ว่ามา โดยที่เรายังศึกษาวิทยาศาสตร์อยู่ ไม่มีเห็นมีอะไรต้องขัดแย้งกัน จากคุณ : ไม่แปลก - [ 19 ส.ค. 49 13:11:39 A:192.168.171.224 X:202.57.161.174 TicketID:061788 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มันพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีจริง แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่มีนะ จากคุณ : e20vni - [ 19 ส.ค. 49 13:18:43 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เพราะวิทยศาสตร์ยังอธิบายได้ไม่หมด และมนุษย์มีมากกว่าเหตุผลที่สัมผัสได้ จากคุณ : บก.ลายจุด - [ 19 ส.ค. 49 13:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมคิดว่านักวิทยาศาตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกจริงๆ เขาก็คงไม่เชื่อหรอก ไม่อย่างนั้นเราคงจะได้อาศัยอยู่กันบนโลกที่แบนๆ จนถึงทุกวันนี้แน่นอน จากคุณ : kwangnok.s - [ 19 ส.ค. 49 13:26:50 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พวกนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกเก่งกว่านักวิทเราเยอะแยะยังเชื่อเรื่องพระเจ้า ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเลย เช่นเดียวกัน นักวิทอิสลามก็เชื่อพระเจ้าของเขา จากคุณ : นอแรด - [ 19 ส.ค. 49 13:40:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เอาเป็นว่าถ้าคุณพิสูจน์ได้ว่ามันไม่มีจริง ผมก็จะเชื่อคุณ จากคุณ : รบมิพัก รักมิยั้ง - [ 19 ส.ค. 49 13:52:13 ]

ความคิดเห็นที่ 11 จะไม่เชื่อได้อย่างไรล่ะครับ เกิดมา ก็ ตายหมดทุกคน แม้แต่ ตัวเจ้าของกระทู้เอง ก็หนี ไม่พ้น จากคุณ : เรซึชิน - [ 19 ส.ค. 49 14:48:21 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ในทางวิทยาศาสตร์ เราจะบอกว่ามันเป็นเท็จได้ก็ต่อเมื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นเท็จได้ครับ ไม่ใช่ว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้นมันเป็นเท็จ <-- อันนี้เป็นมิจฉาทิฎฐิในทางวิทยาศาสตร์เลยนะ จากคุณ : นายไปล่ - [ 19 ส.ค. 49 15:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ก็เพราะว่า วิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจชีวิตเลยไง จากคุณ : firstini chemistani - [ 19 ส.ค. 49 15:21:53 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมไม่เชื่อครับ จากคุณ : atheist - [ 19 ส.ค. 49 15:22:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ศาสนาเกิดมาจากความกลัวของมนุษย์ในสิ่งที่ไม่รู้ ทำให้มนุษย์ต้องยึดหลักในความเชื่อบางอย่าง และก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเรามีวินัยมีความประพฤติในทางแห่งความเป็นมนุษย์ เพราะเมื่อก่อนเราการปกครองยังไม่มีหลักกฏหมายมาใช้ควบคุม  แต่สำหรับผมเริ่มไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์นะ เพราะคำอธิบายจากพระบางทีเรามาตีความหมายผิดเอาเองก็ได้นะ หรือการที่เรายังไม่เข้าใจความหมายอย่างแท้จริงของพระพุทธเจ้าก็ได้นะ  คำว่าชาติหน้าหรือชาติก่อน ณ ตอนนี้ความหมายของผมคือ ชาติก่อน คือ พ่อแม่ คือชาติตระกูล ลองคิดดูถ้าพ่อแม่รวย พอเราเกิดมาสบายไหม ส่วนชาติหน้า ก็คือลูกหลานเรา เราลองทำดี หรือรวยดู ลูกหลานเราสบายแน่ นั่นก็คือชาติต่อไป ส่วนเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ความหมายของผม น่าจะหมายถึง กิจกรรมในปัจจุบันในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวัน ตั้งแต่ตื่นเช้า เปรียบเสมือนเกิด ทำกิจกรรมต่างๆในชีวิต เช่นเรียน งาน เปรียบเสมือนว่า แก่ เจ็บ ส่วนเวลานอน นั่นคือตาย คุณสังเกตไหมว่า ชีวิตเราเป็นแบบเวียนว่ายตายเกิด หรือ cycle  หรือแม้กระทั่ง คนเรามีทุกข์ แล้วไม่นานคนเราก็ต้องมีสุข คงไม่มีใครที่มีความทุกข์ตลอดชีวิต ไม่มีใครดีใจ และเสียใจตลอดชีวิต มีเกิดมีดับ ตลอดเวลา หรือคิดง่ายๆ กับการที่เราปลูกพืชแหล่ะครับ ดังนั้นถ้าคิดแค่นี้ในทางของสังสารวัฏ ความหมายน่าจะประมาณนี้หรือไม่ ดังนั้นถ้าใครไม่อยากให้เกิดสังสารวัฏอีก ก็แค่เป็นคนโสดไงครับ ดังนั้นจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงสละครอบครัวออกไป นั่นคือไม่อยากให้มีวัฏสังขารอีก ลองคิดให้ดีว่าปัญหาต่างๆมากมายที่เกิดกับมนุษย์ แท้ที่จริงก็เกิดมาจากการเกิดของมนุษย์นั่นเองแหล่ะ บางคนบอกว่าเกิดมาเพื่อทำความดี ถูกต้อง แต่ความดีมีมาตรฐานไหมครับ ความดีเพื่อมนุษย์ด้วยกันเองอย่างเดียวเหรอ ถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็เห็นแก่ตัวด้วยพวกกันเองหล่ะ เพราะบางความดีของมนุษย์อาจเป็นความเลวของสัตว์เดรัจฉานก็ได้ ดังนั้นจะเห็นว่าความดีและความเลวก็ไม่มีมาตรฐาน เพราะไม่เหมือนหน่วยวิทยาศาสตร์มีการกำหนดมาตรฐานกันไว้หมด (ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี่คือหลักธรรมขั้นสูงหรือเปล่าหว่า ที่ว่าไม่ยึดดียึดชั่ว)  อันนี้อีกมุมนึงของผมนะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่นับถือศาสนาพุทธนะครับ แต่หลักเรื่องนี้คือผมเข้าใจแบบนี้ครับ ส่วนหลักคำสอนอย่างอื่นผมเชื่อหลักของพระองค์ท่านนะครับ เช่นหลักแห่งความสำเร็จ ก็คือ เรื่องของอิทธิบาทสี่ หลักของมงคลชีวิต ก็คือ มงคล 38 หลักของการอยู่อย่างสงบของมนุษย์ ก็คือมีศีล 5 หลักของการเป็นผู้ให้ ผู้ปกครอง หรือพ่อแม่ที่ดี ก็ควรใช้หลักพรมวิหาร 4 หลักการแก้ปัญหาหรือความทุกข์ ก็ใช้หลัก อริยสัจสี่ โอ้.. ชาวหว้ากอลองไปศึกษาดูครับ หลักคำสอนของพระองค์ อย่าไปเสียเวลากับการกับเรื่องความเชื่อบางอย่างของศาสนา เช่นตายแล้วไปไหน การเวียนว่ายตายเกิด นรก สวรรค์ มีจริงไหม จากที่ผมฟังมา ยังไม่มีพระท่านไหนอธิบายให้ผมได้อย่างชัดเจนเลย พูดกล้ำๆกลวมๆ ให้เราคิดไปเอง จากคุณ : ky2net - [ 19 ส.ค. 49 15:29:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คำตอบคุณ  Red Metalic  ครอบคลุมจริงๆ ค่ะ จากคุณ : primjang - [ 19 ส.ค. 49 15:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เป็นกุศโลบายที่จะใช้ควบคุมมนุษย์ให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ลองให้ศาสนาบอกว่า  ฆ่าคนได้บุญ  มีชู้ได้ขึ้นสวรรค์   โลกก็คงวุ่นวาย ทุกคนจะฆ่าคนและมีชู้  เพราะอยากได้บุญและไปสวรรค์ จากคุณ : นางสเตนเลส - [ 19 ส.ค. 49 15:40:16 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมอยากรู้ ว่า จขกท. เข้าใจ พุทธศาสนาดีหรือยัง แล้วเข้าใจ คำว่า เวียนว่ายตายเกิดดีหรือยัง ครับ จากคุณ : ไม่โกรธ แต่ไม่ลืม - [ 19 ส.ค. 49 16:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ............ ถ้าความตาย คือ การสิ้นสุด ไม่รู้จะทำความดีไปทำไมกัน?? ้ถ้าคิดว่า ตายไปแล้วคือการดับสูญ มิน่าละถึงได้มีคนทำชั่ว เพราะว่าไม่มีผลเมื่อตายไปแล้ว!! วิทยาศาสตร์ บอกว่า มนุษย์มาจากไหนกันหนอ?? ........... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeReT) - [ 19 ส.ค. 49 16:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ........เชื่อแล้ว คนจะได้ทำความดีครับ จากคุณ : bootsarin (bootsarin) - [ 19 ส.ค. 49 16:54:41 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ ^ วิทยาศาสตร์บอกว่ามนุษย์มาจากการมีเพศสัมพันธ์ครับ ป.ล.ไม่ได้มีเจตนาเบี่ยงเบนประเด็นของกระทู้ แต่สำหรับผม ไม่เชื่อว่ามันมีการเวียนว่ายตายเกิด แต่ ใครจะเชื่อ ก็เป็นเรื่องของศรัทธาแต่ละคนครับ จากคุณ : ZeZil - [ 19 ส.ค. 49 17:00:44 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าวิญญาณ ที่กำลังรอเกิดเป็นคน มี 1 แสนดวง แต่ผมจงใจ โคลนนิ่ง คน 2 แสนคน ที่เหลือ 1แสนคนจะแท้งตายหมดเลยหรอครับ หรือถ้าเกิดเป็นคน ทั้ง 2แสน แบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นอ่ะครับ วิญญาณอีก 1แสนมาจากไหน วิญญาณที่ไม่ถึงคราวเป็นคนไม่สามารถมาเกิดแทนได้นะครับ เพราะผิดกฎแห่งกรรม แซงคิวไม่ได้นะ อิอิ จากคุณ : อาจารย์แมว - [ 19 ส.ค. 49 17:25:35 A:125.24.177.85 X: TicketID:077427 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คนที่จะเกิดมาสวยสุด ต้องทำบุญด้านความสวยมามาก คนที่เกิดเป็นฝาแฝดทั้งคู่และสวย บุญด้านความสวยของทั้งคู่เท่าๆกัน ซึ่งมีน้อยราย - แต่ถ้า บิลล เกตส์ บ้า ลงทุนโคลนนิ่ง นางงามจักรวาล 1 ล้านคน ผลคือได้คน หน้าตาเหมือนกัน 1 ล้านคนและสวยสุดๆ วิญญาณที่ได้มาเกิด 1ล้านดวงนี้ ทำบุญด้านความสวยมาเท่าๆกันหรอครับ ถ้าเรื่องบุญกรรมมีจริง มันก็ขัดแย้งกับเรื่องนี้นะครับ --เป็นไปไม่ได้หรอก ว่าคนจะทำบุญด้านความสวยมาเท่าๆกัน ถึง 1 ล้านคน สรุป คือมันไม่จริง ใครมีเหตุผลดีๆมาแย้ง 2 ข้อความที่ผมโพสก็ลองเสนอมาครับ อย่าอ้างศรัธทา นะ จากคุณ : อาจารย์แมว - [ 19 ส.ค. 49 17:33:40 A:125.24.177.85 X: TicketID:077427 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อาจารย์แมวครับ เพราะมันมีมากๆ นับไม่ถ้วนสิครับที่รอมาเกิด จำนวนนั้น เกินกว่า มนุษย์ หรือวิทยาศาสตร์จะนับได้ด้วยซ้ำ อาจารย์โคลนไม่ทันหรอกครับ จะว่าไปเหมือนงมงาย นะ ยิ่งเถียงเรื่องอย่างนี้ในวงวิทยาศาสตร์ ด้วยแล้ว ต้องใจกว้างครับ เปิดใจคุยกัน ครับ ถ้าใจแคบก็จบครับ จากคุณ : nuclearmedicine - [ 19 ส.ค. 49 18:17:41 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่เกี่ยวกับศรัทธาทางศาสนาครับ ข้อ 1 ครับ สมมตินะครับว่ามีคนลงทุนขนาดนั้นจริง การโคลนนิ่งสำเร็จ หนึ่งล้านคน (100 %) หรือครับ ข้อ 2 หากสำเร็จขึ้นจำนวนเท่าใดก็ตาม พลังงานที่มาปฏิสนธินั่นแหละจะเป็นผู้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้ผลของความสวยนั้นน้อยลงไป หากแรงที่ส่งมาไม่เพียงพอ เช่น ไม่มีความสามารถในการดูแล สิ่งที่ดีอยู่แล้วให้คงสภาพได้ยาวนาน หรือปัจจัยภายนอก มีเคสมากมายเหลือเกิน เช่น การติดเชื้อประเภทต่างๆ อุบัติเหตุ ภัยพิบัติ (-ซึ่งมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากจำนวนคนที่ยกตัวอย่างมากลุ่มนี้ เยอะเหลือเกินครับ) ในทางพุทธเรา เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า"บุญทำกรรมแต่ง" เป็นอจินไตย ไม่ควรหาคำตอบครับ เพราะกรอบความรู้ที่เรามีอยู่ปัจจุบัน และศักยภาพของมนุษย์เองในการรับรู้ ส่วนจะเชื่อหรือไม่ ชาวพุทธเราไม่บังคับกัน ในห้องศาสนามีคำตอบอีกเยอะเชียวครับ จากคุณ : P Q BOY - [ 19 ส.ค. 49 18:45:12 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มันอยู่ในยีน มั้ง จากคุณ : jenjutakarn (Jenjutakarn) - [ 19 ส.ค. 49 18:47:38 ]

ความคิดเห็นที่ 27 พิธีเปิดตึกคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ยังเชิญพราหมณ์ นิมนต์พระมาทำพิธีเปิดตึกเจิมป้ายเลยครับ ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อครับ และความเชื่อ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล และ มนุษย์ทุกคน มีความเชื่อ จากคุณ : ช่างไฟ - [ 19 ส.ค. 49 19:23:21 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณอาจารย์แมว คนที่จะเกิดมาสวยสุด ต้องทำบุญด้านความสวยมามาก <<<<< บุญอะไรหรอค่ะ บุญด้านความสวยงาม ?? เคยรู้แต่ว่าใครรักษาศีล 8 เป็นประจำ ชาติหน้าจะมีผิวพรรณหน้าตาดี แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 49 19:53:23 จากคุณ : สวย แรด ตอแ_ล ส้นตึก (illumi) - [ 19 ส.ค. 49 19:52:13 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมเชื่อเรื่องเวรกรรม และพรมลิขิตครับ ว่ามีบางอย่างกำหนดชีวิตเราให้เดินไปตามนั้นจริง ๆ (เจอกับตัวเองมาหลายครั้งแล้ว) แต่ยังคลางแคลงใจกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดครับ เพราะเคยมีประสบการณ์เฉียดตาย หยุดหายใจ หมดสติแล้ว 2 ครั้ง สิ่งที่ได้พบคือความว่างเปล่าครับ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความรู้สึก คือจำอะไรไม่ได้เลยน่ะครับ เหมือนเราถูกปิดเครื่องในระยะเวลาสั้น ๆ นั้น ตอนนี้ผมเลยคิดว่าคนเราตายแล้วก็ตายเลยอ่ะครับ คือหายไปจากโลกนี้เลย หายไปเลย ไม่มีความคิดความรู้สึกของเราดำรงอยู่อีกแล้ว และเราก็ไม่เป็นเราตั้งแต่หมดลมแล้ว (โอย ไม่รู้จะอธิบายยังไง) สำหรับผมตอนนี้ คิดว่าตายแล้วก็คือจบครับ ไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่น้อย คงทิ้งไว้แต่คุณงามความดีให้คนที่ยังอยู่เค้าพูดถึงครับ เขียนจากประสบการณ์เลยนะเนี่ย จากคุณ : คนไทยในต่างมุม - [ 19 ส.ค. 49 20:06:52 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อาจารย์แมว... กล้า ยืนยันไหมครับ ว่า ถ้า โคลนนิ่ง ล้านคน จะได้ เหมือนกัน ล้านคน ทุกประการ ความคิด จิตใจ ... ผมเชื่อว่าคนเราตายแล้วไม่สูญ หรอกครับ อาจจะเปลี่ยนรูป เป็นพลังงาน หรือเป็นอะไรซักอย่าง ไม่เชื่อ ลองตายดูสิครับ อิอิ จากคุณ : ไม่โกรธ แต่ไม่ลืม - [ 19 ส.ค. 49 20:24:19 ]

ความคิดเห็นที่ 31 กรรมหนักอีกแบบนึง คือการไม่เชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่จริง บุญกรรมไม่มีจริง เพราะมนุษย์ผุ้นั่นย่อมทำบาปเพื่อให้ตัวเองมีความสุข ด้วยเพราะเชื่อว่าเกิดมามีเพียงหนเดียว --------------------------------------------------- ผมเองยังก้ำกึ่งระหว่างเชื่อหรือไม่เชื่ออยู่  เพราะผมยังไม่เคยนั่งสมาธิแบบจริงๆจังๆซะที ยังไม่ถือศีล ยังไม่เคยทำตามที่ในพระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ ว่าเป็นทางที่จะพิสูจน์ได้ว่า บาปกรรมหรือการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ ถ้าแค่มีความคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่เป็นจริง มันขี้โม้ มัน:-) แล้วยังไม่เคยพิสูจน์แบบจริงๆจังๆ แล้วมาบอกว่า มันไม่จริงมันเชื่อถือไม่ได้ แบบนั้นผมว่าพวกคุณเองก็กำลังออกนอกเส้นทางของวิทยาศาสตร์เช่นกัน คนบางคนในนี้ผมเชื่อว่าบางคนยังคิดว่าการทำสมาธิคือการนั่งหลับตานิ่งๆเฉยๆเลย ผมไปอ่านดุในหนังสือโอ้...ไม่ใช่แค่นั้นสินะ แต่ผมก็ยังไม่ลองทำตาม มันถึงได้ก้ำกึ่งอยู่นี่ไงคุณ เอาเถอะๆ ยังไงซะ วิทยาศาสตร์กับศาสนามันก็เหมือนเส้นขนาน อยู่เคียงข้างกัน แต่ไม่มีทางมาบรรจบกัน จากคุณ : Kuro_Sakuro - [ 19 ส.ค. 49 20:41:21 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เพราะพุทธศาสนาคือวิทยาศาสตร์ ที่สอนให้เชื่อใน "ความจริง" ของ "ธรรมชาติ" หรือ "สัจจะธรรม" จากคุณ : คาเฟอีน - [ 19 ส.ค. 49 20:47:46 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เราถือว่าอยู่ในฐานะผู้ฟังที่ห่างไกลมาพอสมควรหนะน่ะ  ฟังคำสอนและเห็นตามได้ในระดับหนึ่ง  แต่ละคนเห็นตามได้ไม่เท่ากัน(ตามแต่ปัญญามัง) อุปมาอย่างหยาบๆ เหมือนการเชื่อทฤษฏีนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่หนะน่ะ  โดยเฉพาะมีการยืนยันพิสูจน์แล้วว่าจริง  แม้เราจะไม่ได้เห็นผลพิสูจน์นั้นด้วยตัวเองก็ตาม กลุ่มนักวิทผู้ที่ประจักษ์ผลการทดลองนั้น  อุปมาได้กับพระสาวกใกล้ชิดพระพุทธองค์ที่ทดลองทำตามหนะน่ะ ส่วนเราๆก็ อยู่ห่างออกมาหน่อย แต่เห็นว่ามีคนกลุ่มนึงยืนยันผลอย่างนั้น ซึ่งก็ยังมีสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อได้อยู่ดี  ซึ่งในผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อ  ก็มีส่วนนึงที่ทดลองตามและที่ไม่ทดลองตาม  และส่วนที่นำมาเป็นอารมณ์และไม่เป็นอารมณ์ คละกันไป จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 19 ส.ค. 49 21:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ศาสนา เป็นสิ่งดีครับ แต่ผมไม่เชื่อ และไม่มีศาสนา จากคุณ : เหล้าฟรีดนตรีสด - [ 19 ส.ค. 49 21:27:56 ]

ความคิดเห็นที่ 35 หลายๆคนตอบได้ดีแล้วครับ ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีจริง ดังนั้นจึงยังปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเราจะไม่เวียนว่ายตายเกิด แต่ส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าหลักศาสนาพุทธมีแก่เป็นวิทย์ วันนึงเราอาจจะมีสมการว่าด้วยการเวียนว่ายตายเกิดก็ได้ครับ จากคุณ : VeryBadman - [ 19 ส.ค. 49 21:36:51 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เชื่อ ปลอดภัยไว้ก่อน  ดีกว่าไม่เชื่อ แล้วต้องมารับผิดชอบภายหลัง จากคุณ : NaCl - [ 19 ส.ค. 49 21:40:02 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อ่อ  ผ่านตาแว็บใครที่ว่า ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายแล้วต้องเป็นคนไม่มี หาความสุขไปวันๆ จริงหรือไม่ ผมว่าไม่น่ะ  ไม่เชื่อคุณลองทำใจให้เชื่อและไม่เชื่อดูสิ  ผมว่าบุคลิกการดำเนินชีวิตคงไม่ต่างจากที่เป็นอยู่นี้ซักเท่าไร  ทีนี้ก็คงย้อนไปว่า  คุณสร้างบุคลิคนี้ขึ้นเพื่ออะไร ตอนเด็กเป็นคนอย่างงี้หรือไม่  เลิกทำอย่างงั้นอย่างงี้เพราะมีคนด่าหรือชมอย่างไร ก็สรุปว่า ในบรรดาผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า  มีทั้งคนดีและคนไม่ดีคละเคล้ากันไป  คนที่ไม่เชื่อสามารถทำดีได้ไปจนลมหายใจสุดท้ายของตัวเองได้ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 19 ส.ค. 49 21:42:52 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ความคิดเห็นที่ 8 ครับ เท่าที่ผมทราบมา มีแต่ฝรั่ง(จำเพาะว่าซีกโลกตะวันตก)นะครับที่เชื่อว่าโลกแบน ถ้า ไม่มีฝรั่งกล้าลุกขึ้นมาประกาศว่าโลกกลม ทุกวันนี้มหาอำนาจอาจเป็นชาติเอเชียก็ได้ และรู้สึกว่า ชาวฟินิเชียน หรือ อิยิปห์ ก็รู้ว่าโลกกลมเมื่อ 4 พัน- 5 พันปีก่อนแล้ว จากคุณ : Roh_Z - [ 19 ส.ค. 49 21:59:09 ]

ความคิดเห็นที่ 39 วิทยาศาสตร์ จะสรุปออกมาโดยดูจากเหตุผลคับ สิ่งที่วัดมีทั้งเป็นในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ แต่ศาสนา สิ่งที่วัดมีแต่ในเชิงคุณภาพ ผมอยากบอกว่า วิทยาศาสตร์ยังไม่เคยสรุปเรื่อง "เวียนว่ายตายเกิด" เสียด้วยซ้ำ ทำไมถึงตีความว่า เรื่องเวียนว่ายตายเกิดไม่มีจริงเพราะวิทยาศาสตร์ เนอะๆ ทำไมถึงสรุปออกมาแบบนั้น ทั้งที่วิทยาศาตร์ยังไม่ให้ความเห็นเรื่องนี้เลย จากคุณ : V--Bank--V - [ 19 ส.ค. 49 22:09:42 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เวียนว่ายตายเกิด ในความหมายของอะไรหล่ะครับ มันมีได้หลายแบบ ความหมายที่แท้จริงของคำๆนี้ในศาสนาพุทธคืออะไรดีกว่าครับ แก่นของธรรมคืออะไร สัจธรรมก็คือสัจธรรมอยู่ดีแหละครับ อยู่ที่คนจะตีความหมายผิดเพี้ยนไปแค่ไหน เพราะจะผิดเพี้ยนไปแค่ไหน แต่สัจธรรมมันก็คือสัจธรรมอยู่แบบนั้นแหละครับ จากคุณ : ... - [ 19 ส.ค. 49 22:42:02 A:58.8.47.216 X: TicketID:087386 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ลึกๆแล้วโป๋ยไม่เชื่อ  แต่โป๋ยพยายามสะกดจิตตัวเองให้เชื่อ  เพราะการมีความเชื่อทำให้โป๋ยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม โป๋ยจะบอกว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตที่โป๋ยต่อต้านเรื่องผี จิตวิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิดมากๆ เพราะโป๋ยเชื่อว่าคนเราตายแล้วสูญ ..  สิ่งที่เกิดขึ้นกับโป๋ยก็คือโป๋ยขาดสีสันในชีวิต โป๋ยดูหนังผีแล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะมันไม่เชื่อ อาจจะตกใจบ้างก็เพียงเพราะเสียงดนตรีประกอบมันดัง   เวลาเข้ากลุ่มกับเพื่อนๆแล้วเขาสนุกกับการเล่าเรื่องผีกัน โป๋ยนั่งฟังแล้วพยายามจับผิด  พอเขาฟังแล้วกลัวโป๋ยกลับฟังแล้วแอบหัวเราะในใจว่างี่เง่า เวลาไปทำบุญกับที่บ้าน คุณแม่กับคุณยายจะมีสีหน้าอิ่มบุญมากๆเวลากรวดน้ำและอธิษฐานแผ่ส่วนกุศลต่างๆ โป๋ยสัมผัสได้ถึงศรัทธา แต่ตัวโป๋ยเองกลับไม่มี ได้แต่ทำแบบขอไปที ทำไปเพียงเพื่อให้คุณแม่กับคุณยายมีความสุข แต่ลึกๆแล้วไม่ศรัทธากับสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะไม่รู้ว่าจะกรวดและแผ่ให้ใคร  โป๋ยไม่เชื่อว่าจะมีดวงวิญญาณใดๆได้รับเพราะมันไม่มีอยู่จริง  ไม่เชื่อว่าผลบุญครั้งนี้จะไปรวมอยู่ในบัญชีสวรรค์ใดๆหลังจากเราตายลง   ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในวิถีชีวิตของโป๋ยและโป๋ยไม่มีวันหลีกเลี่ยงได้  แต่โป๋ยกลับทำแล้วไม่อิน ไม่สนุก ไม่มีความสุขเท่ากับคนอื่นๆที่เขาทำกัน มันรู้สึกว่าตัวเองขาดทุนน่ะ ทำก็ทำเท่ากันแต่ความสุขได้รับไม่เท่ากัน..  ตอนแรกโป๋ยคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่นที่รู้จักคิดแย้งในสิ่งที่เขาเชื่อและศรัทธากัน  แต่ไปๆมาๆโป๋ยรูสึกว่าตัวเองโง่ที่เลือกหยุดชีวิตตัวเองไว้ตั้งแต่ยังไม่ตาย  โป๋ยรู้สึกเหมือนชีวิตนี้ไม่มีค่าอะไรอีกต่อไป ถ้าทุกอย่างมันไม่มีอยู่จริงนั่นก็คือโป๋ยนั่งนับถอยหลังรอวันตายแล้วให้ทุกๆอย่างมันดับสูญไป  โดยไม่ต้องกลัวว่าจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก หรือจะไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน  เหมือนตัวเองเป็นหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรที่รอวันเสื่อมสภาพ   เหมือนตัวเองเป็นธุรกิจประเภท Joint Venture ที่มีกำหนดสิ้นสุดที่แน่นอน รอวันโบกมือบ๋ายบายแล้วหายๆกันไปเมื่อถึงวาระ  ไม่ใช่ประเภท Going Concern เหมือนบริษัทจำกัดทั่วๆไปที่สามารถดำเนินต่อไปได้เป็นร้อยเป็นพันปี..   ในที่สุดโป๋ยเลือกที่จะสะกดจิตตัวเองด้วยการพยายามไม่สงสัย ไม่คัดค้าน ซึ่งมันอาจจะไม่ถูกต้องนักตามหลักวิทยาศาสตร์  แต่ที่แน่ๆมันทำให้โป๋ยอยู่ในโลกนี้อย่างมีความหมายและมีความสุขมากขึ้น  อย่างน้อยโป๋ยก็มองเห็นชีวิตตัวเองต่อเนื่องไปแบบอินฟินิตี้  ทำให้วันนี้มีค่ามากขึ้น เพราะชีวิตโป๋ยไม่ได้จบแค่พรุ่งนี้หรือปีหน้า  แต่มันจะวิ่งวนเป็นเลขแปดไม่รู้จักจบสิ้น สิ่งที่ทำในวันนี้มันจะมีผลต่อชาติหน้า  ซึ่งถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดมันจะไม่มีหรือไม่ใช่อย่างนั้น  แต่มันทำให้ชีวิตในปัจจุบันทุกๆวันมีสีสันและมีคุณค่าขึ้นมากกับการมองไปข้างหน้าไกลๆแบบ going concern จากคุณ : ปุ๋ย พันธุ์ทิพย์ (สวย ส่ายสุดๆ) - [ 19 ส.ค. 49 22:42:39 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่มีความเชื่อ และไม่มีความไม่เชื่อ แต่เห็นว่ามันเป็นจริงอย่างนั้น... จากคุณ : superbat - [ 19 ส.ค. 49 23:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เป็นเพราะ มันพิสูจน์ไม่ได้ ความเชื่อเลยแบ่งเป็นสองฝ่าย มันเป็นเรื่องปกติ ของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากคุณ : คุณชินโซ - [ 20 ส.ค. 49 00:01:52 ]

ความคิดเห็นที่ 44 การเวียนว่ายตายเกิด มีหลายระดับครับ ที่เห็นๆคือระดับจิตใจ คือ เกิดและดับความรู้สึกต่างๆครับ (เหมือนกับ curve รูป s) มันก็เป็นสิ่งที่เห็นๆอยู่ เกิดกับทุกคนครับ ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของจิตครับ การทำบุญต่างๆ เพื่อการทำจิตให้ดีขึ้น ไม่ใช่เรื่องศรัทธานะครับ เป้าหมายของศาสนาคือทำจิตให้ดี ให้พ้นจากการถูกกระทบ ซึ่งทำให้ เป็นทุกข์ ซึ่งเป็นการเกิดและดับของจิตที่ไม่ดีและที่ดี ถ้าไม่กระทบเลย ไม่เกิดและดับ ก็จะดีใช่ไหมครับ (เช่น ของความรู้สึกโกรธ อิจฉา หลง ฯลฯ) ที่วิทยาศาสตร์เริ่มมาสนใจศาสนาพุทธ เพราะว่าเรื่องการใช้เหตุผลครับ พุทธของเราอ้างอิงถึงเหตุปัจจัยครับ และก็ศึกษาผล เช่นโฆษณา จน->เครียด->กินเหล้า-> จน ...   มันเป็นเหตุเป็นผลกันแบบต่อเนื่อง อันนี้พุทธเราชี้ตรงนี้มากครับ  เราเรียกว่าวงล้อ ปฎิจสมุปบาท ลองอ่านพุทธธรรมของ ท่านธรรมปิฎก สิครับ จากคุณ : londoner (claypond) - [ 20 ส.ค. 49 01:47:42 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เชื่อแล้วสบายใจมั้งคะ จากคุณ : pankee - [ 20 ส.ค. 49 01:57:00 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ฝังลึกเป็นความเชื่อของคนไทยมานานมาก จึงยากที่จะเปลี่ยน เคยได้ยินพระเล่าเรื่องที่น้องเด็กเถียงพ่อเกี่ยวกับการเลี้ยงเพล พ่อบอกว่า เป็นการทำบุญให้ผู้ล่วงลับ  ผู้ล่วงลับจะได้ทานอาหารที่เราเลี้ยงเพล แต่น้องเด็กเถียงว่า ก็เห็น ๆ อยู่จะ ๆ กับตาว่าพระท่านฉันไปหมดแล้ว จะเหลือถึงผู้ล่วงลับได้ไงครับพ่อ     - - " จากคุณ : คุณชายนะคร้าบ - [ 20 ส.ค. 49 02:13:16 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ด้วยความเคารพครับ     ผมว่าแม้เจ้าของกระทู้เองคงยังไม่เข้าใจ คำว่าเวียนว่ายตายเกิด ที่แท้จริงในศาสนาพุทธเลยครับ      ประเด็นการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลแล้วครับ บางคนเชื่อว่าตายแล้วสูญ บ้างก็ว่าตายแล้วเวียนว่ายตายเกิด แต่เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้วท่านก็ได้ชี้ให้เห็นว่า ทั้งสองความเชื่อนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด 1. หากเชื่อว่าตายแล้วสูญ ผู้คนย่อมไม่เกรงกลัวต่อการทำชั่ว บางคนอาจไม่ใส่ใจต่อการทำดี เพราะถือว่าตายไปก็ไม่ต้องห่วง ห่วงแต่ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร อยู่ดีมีสุขไหม คนอื่นจะเป็นอย่างไรช่างมัน 2. หากเชื่อว่าตายแล้วเกิด ไม่สูญสิ้นไป ก็จะขาดกำลังใจในชีวิต เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วเกิด สุดท้ายก็หาแก่นสารอะไรไม่ได้อีก     หากท่านได้ลองศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจ แล้วจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ให้คำตอบเอาไว้แล้วว่า "ทุกสิ่งล้วนเกิดแต่กรรม(หากคิดให้เป็นวิทยาศาสตร์คือเหตุ) กรรมเป็นผู้ให้ผล (ข้อสรุปอันเนื่องมาจากเหตุ) มีกรรมเป็นเครื่องติดตาม (เหตุปัจจัยร่วมอื่น ๆ)"   ดังนั้นเราจึงมีทั้งตายแล้วเกิดที่เรียกว่าวัฏสงสาร และตายแล้วสูญ หรือนิพพาน ส่วนว่าแต่ละคนจะเป็นแบบไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับเหตุ(กรรม)โดยมีกิเลสเป็นปัจจัย หากยังมีกรรมส่งผล มีกิเลสเป็นปัจจัย บุคคลย่อมเวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่จบสิ้น แต่หาบุคคลใดตัดเหตุ ปัจจัย(กิเสส)ออกได้ เขาย่อมหลุดพ้นจากบ่วงแห่งวัฏสงสาร คือเข้าถึงพระนิพพาน ไม่มีเกิดในภพภูมิใด ๆ ดับสูญไปอย่างแท้จริง     ทั้งหมดนี้จึงจะเห็นว่าศาสนาพุทธ สอนให้เชื่อเรื่องกรรมเป็นสำคัญครับ ส่วนการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่ นั้นก็เป็นไปเพราะผลแห่งกรรม (ต้องเข้าใจนะครับว่าคำว่ากรรมหมายถึงกรรมดีและกรรมชั่ว) การที่จะเชื่อในวัฏสงสารหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ว่าเชื่อในกรรมแค่ไหน รวมทั้งต้องเชื่อด้วยว่าทุกสิ่งนั้นย่อมมีเหตุมีปัจจัย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ศาสนาพุทธได้ชื่อว่าเป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างมาก และเป็นสาเหตุว่าทำไมหลาย ๆ คนในชุมชนเสมือนแห่งนี้ยังคงเชื่อในสังสารวัฏอยู่    อ้อ..ขออนุญาตเรียนให้ทราบอีกว่า ศาสนาพุทธนั้นไม่สอนเรื่องพรหมลิขิตครับ เพราะทุกสิ่งนั้นเกิดจากเหตุนั่นก็คือกรรม ไม่มีเทพองค์ใดหรือใครจะบันดาลได้ พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาอเทวนิยม คือไม่มีเทพเจ้าสูงสุด ไม่มีพระเจ้า หรือใครที่จะบันดาลสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไป เพราะสิ่งต่าง ๆ ล้วนเป็นไปด้วยอำนาจแห่งการกระทำ(กรรม) ***ความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมาจากศาสนาพราหมณ์ครับ แล้วประเทศไทยก็ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมมาจากทั้งพุทธและพราหมณ์ จนบางอย่างเกือบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน อยากให้ท่านทั้งหลายได้ลองศึกษาในพระพุทธศาสนาเพิ่มเติมจากที่เรียนในห้องเรียน หรือจากการคิดอนุมานเอาเอง จากประสบการณ์ เพราะปัญหาที่เราไม่เข้าใจ หลาย ๆ เรื่องนั้นเพระพุทธศาสนาได้อธิบายไว้ชัดแจ้งพอสมควรอยู่แล้ว ที่สำคัญส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามหลักหรือกระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์อย่างยิ่งเสียด้วย ***ผมไม่ปฏิเสธนะครับว่าบางเรื่องที่เราเคยเรียนมานั้นบางสิ่งก็เป็นอิทธิปาฏหารย์ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของทุกศาสนาอยุ่แล้ว ผมเพียงแต่อยากให้ท่านทั้งหลาย ได้มองเข้าไปในแก่นของคำสอนจะดีกว่า ที่จะมาใส่ใจแต่เปลือกที่เป็นอิทธิปาฏิหารย์เหล่านั้น จากคุณ : ด้วยความเคารพ (ปณ จุด) - [ 20 ส.ค. 49 05:04:29 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขออนุญาตแสดงความเห็นเรื่องโคลนนิ่ง         ในทางพระพุทธศาสนา ชีวิตก็คือสภาวะอย่าหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจแห่งกรรม เหมือนอย่างสสารในวิทยาศาสตร์ ที่มีหลายสถานะ แปรเปลี่ยนไปได้มากมาย ทั้งที่เป็นวัตถุ เปลี่ยนเป็นพลังงาน(ทฤษฎีสัมพันธภาพ) เป็นทั้งของแข็ง ของเหลว กาซ พลาสมา ทั้งที่รวมตัวกันเป็นธาตุใหม่ (ไฮโดรเจน 4 อะตอมเป็นฮีเลี่ยม) ทั้งที่สลายกลายเป็นธาตุใหม่ (สารกัมมันตรังสี แผ่รังสีแล้วสลายกลายเป็นธาตุอื่น ๆ)      ชีวิตในทางพระพุทธศาสนาก็เป็นไปในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน หากบุคคลทำกรรมดี ก็ย่อมเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น (เป็นคนในชาติตระกูลดี -> เกิดเป็นเทวดา) หากประกอบแต่กรรมชั่ว ก็ย่มร่วงลงสู่อบายภูมิ (เป็นคนจน พิการ -> เป็นสัตว์ -> เปรต -> นรกภูมิ) ดังนั้นจะเห็นว่า ชีวิตมีการแปรเปลี่ยนอยุ่เสมอ เมื่อใช้กรรมเสร็จสิ้น จากสัตว์ ก็สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้ ส่วนชีวิตในการโคลน ก็ย่อมเป็นไปตามกรรมของแต่ละชีวิต ที่ภพภูมิก่อนหน้าก็เป็นชีวิตอีกนับไม่ถ้วนที่มีอยู่ ที่ถูกกรรมปรุงแต่งให้เกิดมา ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่เป็นชีวิตจากไหน แต่อยู่ที่เมื่อมีชีวิตแล้วจะทำอะไรมากกว่า ดังนั้นฝาแฝดที่เป็นนางงามจักรวาล หากคนหนึ่งประกอบแต่กรรมดี ก็ย่อมมีแต่คนสรรเสริญ หากอีกคนทำแต่กรรมชั่ว ต่อให้สวย ก็ย่อมไม่มีใครอยากคบหา มนุษย์โคลนที่กล่าวถึงกันนั้น การที่วิญญาณก่อนหน้าจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับ พวกเขาเป็นมนุษย์หรือไม่ เขามีชีวิต มีเลือดเนื้อจิตใจหรือเปล่า อย่าลืมนะครับว่า ฝาแฝดที่มี DNA เหมือนกัน ยังมีคนละชีวิต มีคนละจิตใจ แล้วก็ยังแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับเหตุแลปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ------------ อย่าถามปัญหาแบบนี้เลยครับ เพราะไม่ช่วยยกระดับของจิตใจ แถมยังอาจเป็นเหตุให้ขุ่นข้องหมองใจกันเปล่า ๆ จากคุณ : ด้วยความเคารพ (ปณ จุด) - [ 20 ส.ค. 49 05:32:41 ]

ความคิดเห็นที่ 49 #15 ตอบได้สุดยอดเลย ลึกซึ้งมาก ทำให้ดวงตาผมเห็นธรรมเลย ผมค้นหาคำตอบแบบนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์มานานแล้วแด่ผมก็คิดไม่ออกซักที จนได้คุณมาชี้ทางสว่างนี่แหละครับ จากคุณ : kwangnok.s - [ 20 ส.ค. 49 07:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 50 งั้นก็พิสูจน์ว่ามันไม่มีสิ? ทำได้ไหม? พิสูจน์ว่ามีก็ไม่ได้ และ พิสูจน์ว่าไม่มีก็ไม่ได้ ดังนั้นการยอมรับว่ามีไปก่อน มันเสียหายตรงไหน? อีกอย่างผมศรัทธาศาสนา มากกว่าวิทยาศาสตร์นะ อีกอย่างศาสนาพุทธก็ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ แค่บอกว่ามีเส้นทางอยู่และ บอกวิธีการเดินไปยังเส้นทางนั้นไว้แล้วด้วย ถ้าคุณอยากลองพิสูจน์ก็แค่ "ลงมือทำ" ก็เท่านั้นพิสูจน์ด้วยตนเอง รู้เองครับ จากคุณ : Generals - [ 20 ส.ค. 49 09:18:37 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ยินดีและดีใจที่ได้ทราบชาวหว้ากอ หลายrep ใช้การวิเคราะห์วิจารณ์อย่างน่าสนใจ ขอบพระคุณมากครับ ผมยังไม่เข้าใจพุทธศาสนามากมายนัก ถ้าคำถามไม่เหมาะสม ขอโปรดอภัยแก่มือใหม่หัดขับ หวังว่าเกวียนเล่มเก่าๆ ที่ขับลากไปตามทางมรรคผลที่แสนไกล คงไม่หลุดเป็นชิ้นๆไปซะก่อนครับ เห็นด้วยว่าอะไรที่ยังไม่ได้พิสูจน์หรืออะไรที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องศึกษาหาวิธีพิสูจน์ พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสั่งสอนบังคับให้เชื่อ แต่ให้เชื่อด้วยปัญญา แม้คำสั่งสอนของพระองค์เอง ก็ทรงสอนให้เชื่อด้วยปัญญา เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนชาวกาลามะว่า อย่าเชื่อถือเอาโดยฟังต่อกันมา อย่าเชื่อถือเอาโดยนำสืบๆ กันมา อย่าเชื่อถือโดยตื่นข่าว อย่าเชื่อถือโดยอ้างตำรา อย่าเชื่อถือโดยนึกเดาเอา อย่าเชื่อถือโดยคาดคะเน อย่าเชื่อถือโดยตรึกเอาตามอาการ  อย่าเชื่อถือโดยพอใจว่าต้องกันกับทิฏฐิคือความเห็น อย่าเชื่อถือโดยพอใจว่าควรเชื่อได้ อย่าเชื่อถือโดยนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา แต่ว่าให้ชาวกาลามะทั้งหลายได้ใช้ปัญญาพิจารณาดูตามเหตุผลว่าธรรมเหล่านี้ หรือสิ่งเหล่านี้เป็นอกุศล หรือเป็นกุศล มีโทษหรือไม่มีโทษ ผู้รู้ติเตียนหรือสรรเสริญ เพราะเมื่อปฏิบัติธรรมะ ย่อมจะได้ความภูมิใจ ความปลอดโปร่งใจ คือถ้าโลกอื่นมี ผลของบุญบาปที่ทำไว้แล้วมี ตัวเราเองตาย ก็ย่อมจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถ้าโลกอื่นไม่มี ผลของบุญบาปที่ทำแล้วไม่มี ตัวเราเองก็รักษาตนให้เป็นสุขอยู่ได้ในโลกนี้ ถ้าบาปมี คือทำบาปก็เป็นอันทำบาป ทุกข์ก็จะไม่ถูกต้องเรา เพราะว่าเราไม่ได้ทำบาปแต่ที่ไหน ถ้าบาปไม่มี คือทำบาปไม่เป็นอันทำบาป เราก็จะเป็นผู้ที่รักษาตนให้บริสุทธิ์โดยส่วนทั้งสอง คือว่า บาปจะมีก็ตาม บาปจะไม่มีก็ตาม เราก็รักษาตนให้บริสุทธิ์ได้ สรุปว่าทุกคนต้องรับผิดชอบความเชื่อของตนเอง ขอกุศลผลบุญนี้มาตอบสนองให้ทุกคนเป็นผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศยิ่งๆขึ้นไปครับ จากคุณ : ebusiness - [ 20 ส.ค. 49 09:49:39 ]

ความคิดเห็นที่ 52 หึหึ พวกที่วิจารณ์เจ้าของกระทู้ว่าไม่รู้จักวัฏฏะสงสารน่ะ ไม่รู้ซะแว้วคุณ ebusiness น่ะ ขนาดไหน จากคุณ : หลีกสู กูฟ่าว - [ 20 ส.ค. 49 11:52:27 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อย่าถึงกับรู้ขนาดกันเลย :P  ชวนคุยกันสบายๆ ครับ ผมไม่ค่อยถนัดด้านวิทยาศาสตร์  เวลามีคนถามเรื่องความเชื่อด้านศาสนา จะได้ขอนำความคิดเห็นดีดีไปตอบอธิบายอย่างนิ่มนวลบ้างครับ อาจารย์แมวครับ การโคลนถ้าได้คนสวยล้านคน  คนที่ทำบุญด้านความสวยมาก็มีล้านคน ถ้าโคลนไม่ได้ หรือโคลนได้ไม่ถึง  คนที่ทำบุญด้านความสวยมาก็เป็นไปได้ทำนองเดียวกัน ถ้าจะโคลนนางงามก็บอกด้วยนะครับ ^_^" จากคุณ : ebusiness - [ 20 ส.ค. 49 12:08:10 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ยังอยากฟังอีกเลย เป็นเอกภาพท่ามกลางความแตกต่างครับ เช่นเปรียบเทียบได้ดี ก็คุณ Red Metalic คุณ ky2net คุณสมภพ เจ้าเก่า อธิบายลึกซึ้งน่าฟัง ก็คุณ londoner  ชอบคำคมของคุณ นายไปล่ คุณ firstini chemistani คุณบก.ลายจุด คุณปุ๋ย พันธุ์ทิพย์ คุณคนไทยในต่างมุม เล่าได้น่าฟัง  สาธุกับธรรมะของคุณ Generals อ่านคุณช่างไฟ แล้วยิ้มมากมาย จากคุณ : ebusiness - [ 20 ส.ค. 49 12:50:43 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อ๋อ พวกแฟดแท้นี่ทำบาปใช้ของละเมิดลิขสิทธิ์น่ะ บาปนี้เลยทำให้มีคนมาละเมิดลิขสิทธิ์ตัวเอง... ว่าเข้านั่น แบบนี้ชาติหน้าพวกพันธ์ทิพย์นี่เกิดมามีแฟดหมดเลยนะเนี่ย 5555 รู้สึกว่ามันจะไม่ใช่บุญเท่ากันนะ รู้สึกว่าถ้าเป็นแฟดแท้นี้มันจะออกไปในลักษณะเป็นบาปอ่อนๆรึไงเนี่ย แต่รู้สึกหลายๆคนจะเข้าใจกฏแห่งกรรมเพี้ยนๆไปค่อนข้างเยอะนะ ประเด็นแรก ขอบอกก่อนว่ามนุษย์น่ะ ไม่ได้ทำไปได้ทุกอย่างหรอก มนุษย์น่ะมันกระจอกงอกง่ายไร้น้ำยา ไร้หัวคิดไม่มีสมอง ดังนั้นการที่มนุษย์จะคิดอะไรหรือมีอะไรที่เกิดจากมนุษย์น่ะมันเป็นประเด็นที่ค่อนข้างยากถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อพิจารณาโดยพื้นฐานถึงความกระจอกของมนุษย์นั้นแล้ว ก็จะมองให้เห็นถึงกฏแห่งกรรมต่อไปได้ง่ายขึ้น นั่นคือ ถ้าสมมุติว่าบิลเกตบ้าจะโคลนนางงามล้านคน แต่ไม่มีใครล้านคนทำเวรทำกรรมอะไรให้เกิดมาเป็นแฟดแท้กันทั้งล้านคนเลย พลังจักรวาลอันยิ่งใหญ่ก็จะไปกำหนดให้บิลเกตล้มเหลว และด้วยความกระจอกงอกง่อยของบิลเกตถึงจะพยายามเอาเป็นเอาตายเท่าไหร่ก็จะยังคงล้มเหลวอยู่อย่างนั้นทำยังไงก็สำเร็จไม่ได้เชื่อมั้ย... และในทำนองเดียวกัน ถ้าดันมีคนทำเวรทำกรรมอะไรที่จะต้องไปเกิดเป็นนางงามหน้าเหมือนกันตั้งล้านคน บิลเกตก็จะโคลนล้านคนนั่นสำเร็จ และต่อให้บิลเกตจะไม่โคลนล้านคนนั่น พลังจักรวาลอันยิ่งใหญ่ก็จะไปดลใจให้เกตบิลคิดจะไปโคลนไอ่ล้านคนนั่นแทน และด้วยความไร้หัวคิดของเกตบิลเมื่อโดยจูงใจนิดๆหน่อยๆก็คล้อยตามไปได้โดยง่าย ถึงไม่ค่อยมีความรู้อะไรก็จะมีเหตุบังเอิญจนเหมือนจะจงใจให้โคลนไอ่ล้านคนนั่นสำเร็จจนเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ในทางวิทยาศาสตร์เชื่อมั้ยยยย...... จากคุณ : Catwater (Catwater) - [ 20 ส.ค. 49 14:05:46 ]

ความคิดเห็นที่ 56 โคลนนิ่งกันยังไงก็วิญญาณคนละดวง ฝาแฝดออกมาจากไข่ใบเดียวกัน ยังคนละคนกันเลย แล้ววิญญาณที่รอเกิดก็มากมายมหาศาล เอาแค่โลกภพเดียวไม่นับภพอื่นๆมีสิ่งมีชีวิตกี่ล้านล้านตัวกันยังนับกันไม่หมด แค่คนไม่กี่ัพันล้านคนไม่ต้องกลัววิญญาณหมดstock หรอกครับ สิ่งสำคัญของศาสนาพุทธคืออย่างน้อยต้องมีศรัทธามากพอที่จะกล้าพิสูจน์ครับ หลายๆคนบอกไม่เชื่อและบอกว่าศรัทธาคืองมงาย ผมแย้งว่าผิด เพราะถ้าเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างเดียวโดยไม่พิสูจน์นั้นเรียกงมงาย แต่เชื่อแล้วพยายามพิสูจน์จนประจักษ์แจ่มแจ้งว่าจริงหรือไม่จริงนั้นเรียกศรัทธาแบบมีปัญญา ศรัทธานำ ป้ัญญาต้องมีตามครับ มีอย่างใดอย่างหนึ่งไม่มีทางเข้าถึงแก่นแท้ได้(ถ้ามีแต่ปัญญา แต่ไม่ยอมลองพิสูจน์เพราะไม่มีศรัืทธาแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่มีทางพบความจริง) จากคุณ : ....4จุด - [ 20 ส.ค. 49 20:32:26 ]

ความคิดเห็นที่ 57 มาตอบทีหลังเลยได้เปรียบกว่า... ชอบหลายๆคำตอบ โดยเฉพาะ#2,#7,#18,#27,#41,#44 จากคุณ : กระเพราเป็ด - [ 20 ส.ค. 49 22:00:56 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เรียกว่า  นานๆทีจะมีมหาบุรุษผู้หนึ่ง  มาตรัสรู้เห็นแจ่มแจ้งในทุกอย่าง แล้วท่านก็ดับไป  มีท่านใหม่อุบัติขึ้นมาตรัสรู้ธรรมยิ่งใหญ่นี้  แล้วก็ดับไป มีขึ้นใหม่ ดับไป................ หากท่านอยากรู้ธรรมยิ่งใหญ่แจ่มแจ้งเช่นเดียวกับมหาบุรุษท่านนั้นหละก็  ตั้งใจมั่นสิครับ ได้ไม่ว่าหญิงชาย  อาจจะสำเร็จภายในแสนล้านชาติก็ได้ ถ้าไม่หลงลืมเลิกล้มความตั้งใจก่อน จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า - [ 20 ส.ค. 49 22:30:33 ]

ความคิดเห็นที่ 59 จริงๆแล้ว ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากๆ อยากให้ เจ้าของกระทู้ลองอ่านงานของ คุณ ดังตฤณ ค่ะ www.dungtrin.com เค้าอธิบายเรื่องของ กรรม และ หลักศาสนาพุทธต่างๆ ไว้อย่างเป็นเหตุเป็นผลเลย คือไม่ทราบว่า เจ้าของกระทู้กำลังมองว่า วิทยาศาสตร์และศาสนา เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันรึป่าวคะ หรืออาจจะมองว่า วิทยาศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่เกิดจากการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง และ ต้องพิสูจน์ได้ แต่มองว่า ศาสนาเกิดจากความไม่รู้ของคน ความกลัวของคน ในขณะที่คนยังไม่ค้นพบปรากฏการณ์ความจริง ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ คนจึงสร้างศาสนาขึ้นมา แต่เมื่อเกิดวิทยาศาสตร์แล้ว ศาสนาจึงเป็นสิ่งไม่จำเป็นสำหรับ มนุษย์ อีกต่อไป จากคุณ : wassy - [ 21 ส.ค. 49 01:32:02 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ่คห. 22 ดูคุณจะคิดผิดมากเลยที่ตั้งสมมติฐานแบบนั้น เมื่อข้อสมมุติไม่เป็นเหตุเป็นผล คำตอบที่คุณได้ก็ไม่เป็นเหตุผลเหมือนกัน "ศาสนพุทธคือวิทยาศาสตร์" คุณไม่เคยเรียนแน่เลย อ.เราสอนตอน ม.ปลาย ตอนมหาลัยอ.เรายังสอนเลย แล้วพวกฝรั่งก็ยอมรับว่าศาสนาพุทธคือวิทย์ฯ เพราะศาสนาพุทธเป็นการใช้เหตุและผล คือ สอนว่าอะไรคือสาเหตุ อะไรคือผล อะไรสามารถทำให้ไม่เกิดสาเหตุ อะไรเป็นตัวดับลงได้ ที่เคยได้ยินจากไหนจำไม่ได้ฝรั่งยังบอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นนักจิตวิทยา ที่เก่งมากๆ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นคนแรกของโลก พระองค์ยังสอนให้รู้จักวิธีคิดก่อนจะเชื่ออะไรก็ตาม และสอนให้ใช้สติปัญญาคิดอย่างสมเหตุสมผลด้วย แล้วแบบนี้จะมาบอกว่า ศาสนาไม่เป็นวิทย์ ได้งั้นเหรอ? ถ้า จขกท. ไม่เชื่อในศาสนาก็นับว่าคุณยังไม่ใช้นักวิทย์ที่คิดอย่างมีเหตุผลชัวร์ จากคุณ : วิหคเพลิง - [ 21 ส.ค. 49 02:47:46 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ลืมบอกไป ที่เราเรียนมาน่ะ บอกว่าศาสนาพุทธคือความจริงในทางวิทย์ฯแล้ว เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อีก จากคุณ : วิหคเพลิง - [ 21 ส.ค. 49 02:50:32 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ทำไม?  เพราะได้คิด ได้วิเคราะห์ ได้ไตร่ตรอง ได้ทดลองทำ แบบนักวิทยาศาสตร์ที่ดีพึงควรทำ  และได้เห็นผลชัดเจนว่า หากปฏิบัติตามพุทธโอวาท คำสอนที่มีมา มันเกิดปัญญาและัเห็นความจริงว่า อะไรเป็นอะไร  การแค่นึกๆคิดๆเอา แล้วประกาศลั่นๆๆๆ ฟันธงว่า ฮู้ย มันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้ เป็นแค่ทฤษฎี ฯลฯ มันน่าขำมาก ... นักวิทยาศาสตร์สมัครเล่น มือใหม่ เขายังไม่ทำกันเลยครับ  มีคนฟันธงว่า ถ้าเอาด่างทับทิบ ใส่ลงไปในกลีเซอรีน มันจะติดไฟ  คุณเชื่อใหม?  ถ้าไม่มีความรู้ ก็เชื่อไปก่อน  หรือไม่ก็ศึกษาต่อเพิ่มเติม เรียนรู้วิชาเคมีให้มากขึ้น  หรือไม่ก็ทดลองทำให้เห็นผลชัดเจน  แต่ไอ้การมาประกาศว่า ฉันรู้ ฉันแน่ ฉันมั่นใจ คิดถี่ถ้วนแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ไอ้ของเหลวหนืด ผสมกับเกล็ดม่วงๆนั่น จะติดไฟได้โดยไม่ต้องมีเปลวไฟ ฯลฯ  มันไม่ใช่น่าขำ .. แต่น่าเวทนาในวิธีการคิด  .................  เด็กอนุบาลหนึ่ง พึ่งสะกดตัวหนังสือเป็น กลับฟันธงกันเป็นทิวแถวว่า สามเหลี่ยมพิธากอรัส ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นตำราที่แต่งขึ้นเล่นๆ  คนโตๆ เรียนมาตั้งมาก  ใช้เวลากี่ปี เรียนเลขกี่ชั่วโมงกัน กว่าจะอ่านรู้เรื่อง เข้าใจ ว่า c2 = a2 + b2  และเก่งกล้าจนฟันธง ว่า ฉันรู้เรื่อง string theory หมดทุกอย่าง มันไม่เป็นจริงๆหรอก เหล่าคนที่คิดเรื่องนี้ .... ไร้สาระ ฯลฯ  คนโตๆ เรียนมาตั้งมาก  ใช้เวลากี่ปี เรียนธรรมะกี่ชั่วโมงกัน กว่าจะอ่านรู้เรื่อง เข้าใจ ว่า เย ธมมัง อภินิเวสายะ  และเก่งกล้าจนฟันธง ว่า ฉันรู้เรื่องวัฏสังสารหมดทุกอย่าง มันไม่เป็นจริงๆหรอก เหล่าคนที่คิดเรื่องนี้ .... ไร้สาระ ฯลฯ  น่าเวทนานะ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 21 ส.ค. 49 06:05:10 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ผมแค่สมมุตินะ อย่าเพิ่งว่ากัน -รู้ว่าในหลักความเชื่อ วิญญาณรอเกิดมันมากมาย ก็ที่สมมติ 1 แสนคนนั่น ก็อาจจะเป็นแค่ใน 1 จังหวัดไงครับ - ส่วนคนที่แย้งก็มาเบี่ยงเบนว่าโคลนนิ่งไม่สำเร็จบ้าง ก็บอกว่าสมมติครับ ติ๊งต่างว่าจริงว่าทำได้สิครับ เรื่องเวียนวายตายถ้าเกิดไม่สมมติก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ก็สมมติไปก่อน - -เรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้จริงหรอกครับเกินปัญญาคนทุกคน จากคุณ : อาจารย์แมว - [ 21 ส.ค. 49 09:16:37 A:125.24.159.89 X: TicketID:077427 ]

ความคิดเห็นที่ 64 นักวิทยาศาสตร์เชื่อในพระพุทธศาสนา  ไม่แปลก  เพราะพระพุทธศาสนามีความเป็นวิทยาศาสตร์  มีความเป็นเหตุ เป็นผล  จริง ๆ แล้วใช้คำว่าเชื่อ  ก็ไม่ถูกต้อง  ต้องบอกว่าเข้าใจในพระพุทธศาสนา  เพราะพระพุทธศาสนาไม่ได้บอกว่าคนที่ศึกษาต้องเชื่อก่อนจึงจะเข้าใจ ...แต่ถ้านักวิทยาศาสตร์เชื่อใน  ไสยศาสตร์  อันนี้น่าหัวเราะ จากคุณ : อาร์ทู - [ 21 ส.ค. 49 13:25:26 ]

ความคิดเห็นที่ 65 พยายามจะเชื่อ ไม่มีได้มีสรัทธา ในศาสนา ทุกศาสนา แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ จากคุณ : plummy (PluMMy) - [ 21 ส.ค. 49 16:38:07 ]

ความคิดเห็นที่ 66 สรุปแล้วโคลนนิ่งเป็นการทำบุญใช่ไหมครับ?? จากคุณ : จาจาบิงแปงร่างเป็นไอ้มดเขียว - [ 21 ส.ค. 49 18:05:34 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ความเชื่อเหรอ ? ไม่นะ จากคุณ : {M}-มดนะจ๊ะ - [ 22 ส.ค. 49 13:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 68 .. ตอบอาจารย์แมว (โดยเฉพาะนะครับ) 1. ดูจิ้งหรีดเป็นตัวอย่างนะครับ ดูปลาซิวเป็นตัวอย่างนะครับ ฯลฯ ทำไมหน้าตามันเหมือนกันซะขนาดนั้น นี่เป็นตัวอย่างสัตว์ที่ไม่ได้เกิดจากการโคลนนิ่ง แต่กรณีกับมนุษย์นั้น ยากเหลือเกินที่จะเป็นไปได้แบบนั้น แค่เหตุปัจจัยแรก ที่จะมีการยินยอมให้ทำอย่างนั้นได้ ก็ไม่ใช่ง่ายเสียแล้ว แต่ถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า มี แต่เราจะรู้หรือครับว่า ความน่าจะเป็น มีค่าเท่าไหร่ 2. เวลาคนโดนสึนามิพร้อมๆ กัน ตายพร้อมกันเป็นแสนๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดจากว่า มีบุญมีบาปเท่าๆ กันหรอกนะครับ ฉะนั้น แม้จะออกมาหน้าตาเหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ทำบุญด้านนี้มาเท่ากัน หรือแม้แต่บางคน ทำบุญกุศลมาเท่ากันเด๊ะ ก็ไม่ใช่ว่าจะออกมาหน้าตาเหมือนกัน เพราะกฏแห่งกรรมไม่ได้บอกว่า ทำบุญเท่ากัน จะต้องออกมาหน้าตาเหมือนกัน .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 22 ส.ค. 49 15:45:26 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ถ้าอ่านหนังสือของท่านพุทธทาส ท่านจะบอกว่า ให้มองเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในภาพรวม คือ ไม่จำเป็นว่า 1 ชีวิตจะต้องเกิดใหม่มาเป็นอีก 1 ชีวิต แต่ใน 1 ชีวิต อาจจะประกอบขึ้นมาด้วยหลาย ๆ ชีวิตรวมกัน หรือ หลายชีวิต ก็อาจจะเกิดมาจากชีวิตเดียวกัน ในตัวเราคนหนึ่งก็เช่นกัน มีการเกิด-ดับ-เกิด-ดับ วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น เซลล์ผิวหนัง เส้นผม หรือแบคทีเรียในร่างกาย เป็นต้น มองลึกลงไปก็จะเห็นว่าร่างกายของเรา ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวชีวิตหนึ่ง แต่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ มากมาย ตรงนี้อาจจะบอกได้ว่าเป็นความเห็นตามแบบท่านพุทธทาสก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับล่ะว่า เกิดมาจาก "ปัญญา" ของท่าน ที่ท่านได้ศึกษาในเรื่องของชีวิตมาตลอดทั้งชีวิตของท่าน จากคุณ : คาเฟอีน - [ 23 ส.ค. 49 15:05:34 ]

ความคิดเห็นที่ 70 อาจารย์แมวครับ -รู้ว่าในหลักความเชื่อ วิญญาณรอเกิดมันมากมาย ก็ที่สมมติ 1 แสนคนนั่น ก็อาจจะเป็นแค่ใน 1 จังหวัดไงครับ- สมมติแค่แสนคนยังน้อยไปครับ ต่อให้อีกกี่ล้านๆ ก็มีคนมาเกิดได้ครับ เท่าที่ผมอ่านมา(ไม่ได้เห็นกับตานะครับ เพราะบุญไม่ถึง) โลกที่เราอยู่ก็ยังมีอีกโลกนึงที่เราไม่เห็นคือ โลกของวิญญาณครับ ซึ่งตรงนี้จำนวนผมก็ไม่ทราบครับ (โลกมนุษย์=กายหยาบ,โลกวิญญาณ=กายละเอียด) แต่ถ้าบอกว่าพอที่จะเกิดมาสำหรับการโคลนนิ่ง ก็สามารถบอกได้ครับ ซึ่งทางอาจารย์แมวก็คงพิสูจน์ไม่ได้เหมือนกันว่าจำนวนจริงๆมีเท่าไหร่ใช่ไหมครับ (เถียงจากความไม่รู้ทั้ง 2 ฝ่าย ก็ไม่รู้จะได้อะไรขึ้นมานะครับ) คิดเล่นๆนะครับ สมมติถ้าในพื้นที่เท่ากัีนโลกมนุษย์ มี 1000  ชีิวิต แลัวคิดแบบคนไม่รู้ด้วยว่าในโลกวิญญาณซึ่งมีพื้นที่เท่าโลกมนุษย์ มี 1000 วิญญาณ แต่พื้นที่นอกโลกมนุษย์ ยังมีโลกของวิญญาณที่สามารถมาเกิดใน โลกมนุษย์ได้อีก ซึ่งแค่ในสุริยะจักรวาล ก็คงมีวิญญาณเพียงพอ ที่จะมาเกิดสำหรับการสมมติของอาจารย์แมวนะครับ จะมาจำกัดไม่ได้หรอกครับว่า 1 แสนคนใน 1 จังหวัด เพราะวิญณาณมาเกิดข้ามจังหวัดได้ครับ อีกทั้งวิญญาณสัตว์ก็ยังเกิดมาเป็นคนได้อีก แล้วสัตว์มันเยอะกว่าคนอีกนะครับ แล้วทำไมจะเกิดไม่ได้ถ้ามีการโคลนนิ่ง -ส่วนคนที่แย้งก็มาเบี่ยงเบนว่าโคลนนิ่งไม่สำเร็จบ้าง ก็บอกว่าสมมติครับ ติ๊งต่างว่าจริงว่าทำได้สิครับ เรื่องเวียนวายตายถ้าเกิดไม่สมมติก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ก็สมมติไปก่อน- คำตอบผมคงแก้ปัญหาให้อาจารย์แมวได้นะครับ ต่อให้โคลนนิ่งให้สำเร็จทุกเคสและมากกว่าที่อาจารย์แมวสมมติไว้ด้วย (เอ้อกลุ้ม...ขอเถียงแบบคนไม่รู้จริงเหมือนกันนะครับ) จากคุณ : bank_evolution - [ 8 ก.ย. 49 13:31:57 ]