ความคิดเห็นที่ 1 อืม ภูมิใจมากๆๆ เลยแหละที่เกิดมาเป็นชาวพุทธนะ แต่กลับเสียใจมากๆๆที่คนไทยส่วนมากที่เป็นคนพุทธกลับไม่เคยเห็นความสำคัญของศาสนาของตน ทั้งๆที่เป็นศาสนาที่มีเหตุ มีผลเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ดูจากบทความได้เลย เพราะต่างชาติเค้าเริ่มมาเห็นความสำคัญด้านนี้มากขึ้น แต่คนไทยกลับละเลยเอาๆ อยากให้เอาใจใส่ศาสนาของเรามากกว่านะ จากคุณ : Tatjang - [ 21 ต.ค. 49 22:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มีแววดัง ขอลงชื่อไว้ก่อน จากคุณ : ChronoSEAL - [ 21 ต.ค. 49 22:11:21 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อันดับแรกก็ต้องดูด้วยครับว่าเขาพูดในโอกาสอะไรกัน เพราะอาจเป็นการ "Quote out of context" ก็ได้ อีก ประการ ความคิดเห็นเหล่านี้ก็นานมาแล้ว ที่พอจะร่วมสมัย ได้ก็มีแต่ Steven Seagal ที่เป็นนักแสดงเท่านั้น สถาน การณ์ปัจจุบันผู้นับถือพุทธศาสนาในโลกนี้ก็มีไม่มากนัก ตามแผนภูมิวงกลมด้านล่างครับ ทางแถบอินเดีย เนปาล ที่เป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา ประชากรในปัจจุบัน ของเขาก็นับถือศาสนาอื่นกันเป็นส่วนมากครับ การชักจูง ให้มานับถือศาสนาพุทธกันจึงควรเน้นที่การปฏิบัติธรรม จะดีกว่าครับ จากคุณ : Practical x 2 - [ 21 ต.ค. 49 22:15:28 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอนแรกนึกว่าห้องหว้ากอจะสนใจเฉพาะความคิดของนักวิทยาศาสตร์อย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อให้ได้มุมมองหลากหลาย ผมจะลงความคิดเห็นของท่านอื่นๆด้วย อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักวิทยาศาสตร์เลย นะ โรเแบร์โต บาจโจ (Roberto Baggio) นักฟุตบอลชื่อดังชาวอิตาลี หันมาสนใจพุทธศาสนา หลังผ่าตัดเข่าข้างขวา และต้องหยุดเล่นนานถึง 2 ปี ช่วงนี้เขาต้องฝึกกายภาพ ด้วยความหวังที่เลือนลาง และไม่มีความสุข หงุดหงิด อารมณ์เสียบ่อยครั้ง เมาริซิโอ โบลดรินี เจ้าของร้านขายแผ่นซีดี ซึ่งโรเบอโต้เป็นลูกค้าประจำที่ร้าน จึงได้แนะนำให้เขาสวดมนต์ บาจโจรู้สึกดีขึ้นมาก และหันมาสนใจศึกษาพุทธศาสนา จนนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง กระทั่งอาการบาดเจ็บที่เข่าของ เขาค่อยทุเลาลง และสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง ริชาร์ด เกียร์ (Richard Gere) ดาราชื่อก้องชาวอเมริกัน ได้ชื่อว่าเป็นดาราหนุ่มที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในปี 1980-1990 ภาพยนต์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากก็คือ Pretty Woman(1990) และเมื่อปี 2546 ที่ผ่านมา เขาก็คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 60 ในฐานะดารานำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนต์เรื่องชิคาโก ริชาร์ด เกียร์ หันมาสนใจศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จนพบว่าศาสนาพุทธให้คำตอบกับชีวิตของเขาได้ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และใช้เวลานอกจอช่วยเหลืองานขององค์ทะไลลามะ ในการเผยแผ่ศาสนา และเมื่อครั้งที่มีการประกาศรางวัลออสการ์ปี 1993 ท่ามกลางสายตาของผู้ชมนับล้านๆ คู่ ริชาร์ด เกียร์ ก็ใช้เวทีนี้เรียกร้องความรักและสัจธรรมให้กับมวลมนุษย์ และในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 44 นั้น ริชาร์ด เกียร์ ให้สัมภาษณ์ว่า เขากำลังศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ ทอม ครูซ (Tom Cruise) ชาวอเมริกัน พระเอกหนุ่มเนื้อหอม ผู้มี ชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนต์เรื่อง “Misson Impossible” ได้กล่าวยกย่องพุทธศาสนา ในการแถลงข่าวงานเปิดรอบปฐมทัศน์ของหนังเรื่องใหม่ที่เขาแสดงนำคือ “The Last Samurai” ณ โรงแรมริซท์ กลางใจกรุงปารีส ว่า หลังจากที่ตนได้ศึกษาบทนำจากหนังเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะต้อง ทำความเข้าใจในปรัชญาตะวันออก ทั้งพุทธศาสนาและศิลปะบูชิโดของญี่ปุ่น ทำให้ตนได้เรียนรู้หลักการดำเนินชีวิต ที่เรียบง่าย และยืดหยุ่น ซึ่งสามารถนำ มาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากนี้เขายังได้กล่าวยกย่องศาสนาพุทธว่าเป็นศาสนาที่เป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ซึ่งสอนให้คนรู้จักตนเองและมอบความรักเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้ และถือว่าการได้สัมผัสกับพุทธศาสนาเป็นประสบการณ์ทีี่่มีค่ายิ่งในชีวิตของเขา จากคุณ : Mr.Terran - [ 21 ต.ค. 49 22:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อัลดัส ฮักซลี่ย์ (ค.ศ.1894-1963) นักเขียนนวนิยาย ชาวอังกฤษ กล่าวว่า “ในบรรดาศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลกทั้งหมด พระพุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียว ที่ดำเนินไปโดยปราศจากการเบียดเบียนทางศาสนา การตรวจควบคุม และการซักถามสอบสวน (ซึ่งมีลูกขุนหรือเจ้าหน้าที่ดำเนินการ เพื่อจะเอาผิด หรือควบคุมผู้ไม่นับถือ) ในแง่เหล่านี้ทั้งหมด ประวัติของพระพุทธ ศาสนายิ่งใหญ่มากเหนือศาสนาอื่นซึ่งดำเนินไปในระหว่างประชาชน ผู้ติดอยู่ กับระบบทหาร” อัลแบร์ต ชไวเซอร์ (ค.ศ.1875-1965) แพทย์นักสอนศาสนาชาวฝรั่งเศส นักเทววิทยา และนักดนตรี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1952 (พ.ศ.2495)บอกว่า “พระองค์ (พระพุทธเจ้า)ได้ทรงแสดงออกซึ่ง สัจธรรมอันมีคุณค่าเป็นนิรันดร และได้ ทำให้จริยธรรมมิใช่ของอินเดียเท่านั้น แต่ของมนุษยชาติก้าวหน้าไป พระพุทธ เจ้าเป็นผู้หนึ่งในบรรดาอัจฉริยมนุษย์ทางศีลธรรม ที่โลกเคยได้มา” อาร์เธอร์ โชเพนเฮาว์ (ค.ศ.1788-1860) นักปรัชญาชาวเยอรมัน กล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าจะถือเอาผลแห่งปรัชญาของข้าพเจ้าว่าเป็นมาตรฐานแห่งความ จริง ข้าพเจ้าก็ควรมีข้อผูกพันที่ต้องยอมรับพระพุทธศาสนาว่าเด่นเป็นพิเศษเหนือศาสนาที่เหลือ อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องเป็นที่น่ายินดีสำหรับข้าพเจ้าที่ได้พบว่า คำสอนของข้าพเจ้าเข้ากันได้อย่างใกล้ชิดกับศาสนาซึ่งมนุษย์ส่วนมากนับถือ การเข้ากันได้นี้ ต้องเป็นที่น่าพอใจมาก เพราะในการคิดปรัชญานั้น ข้าพเจ้ามิได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของศาสนานั้น(พระพุทธศาสนา)อย่างแน่นอน” จากคุณ : Mr.Terran - [ 21 ต.ค. 49 22:31:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6 และบุคคลต่อไปนี้ อาจจะไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่เชื่อว่านักวิทยาศาสตร์หลายคนให้ความเคารพเขา เพราะสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น มันช่วยให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าได้ เพราะความใฝ่ฝันของมนุษย์ ไม่เคยหยุดนิ่ง... เอช. จี. เวลส์ (ค.ศ.1866-1946) นักประพันธ์ นักแต่งหนังสือ ผู้ริเริ่มการเขียนนวนิยายทางวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า “พระพุทธศาสนาได้กระทำไว้มาก ยิ่งกว่าอิทธิพลอื่นใดที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพื่อความก้าวหน้าแห่งอารยธรรมของโลก และวัฒนธรรมที่แท้จริง” จากคุณ : Mr.Terran - [ 21 ต.ค. 49 22:34:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สำหรับพุทะจะถูกมองเป็นแบบปรัชญาซะมากกว่า เพราะไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนก็สามารถนำหลักการไปปฏิบัติได้และไม่จำเป็นต้องเชื่อก่อน ต่างจากบางศาสนาที่ต้องเข้ารีตหรือบังคับให้เชื่อก่อน ทำให้นึกถึงที่ไอนไตน์กล่าวไว้ว่า The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. จากคุณ : silverspider - [ 21 ต.ค. 49 22:43:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมพุทธ นะ ปล.ไม่มีใครว่าศาสนาตัวเองไม่ดีหรอก ผมยังไม่เคยคุยกะไอสไตร์เลย จากคุณ : คนจ้นจน - [ 21 ต.ค. 49 23:01:55 A:210.246.72.157 X: TicketID:116616 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โดยแก่นแท้แล้วทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีทั้งนั้นแหละค่ะ แล้วเท่าที่ทราบมาไม่เคยมีศาสนาไหนสอนให้เอาศาสนาตัวเองไปเปรียบกับศาสนาคนอื่นด้วยว่าอันไหนดีกว่า เจ๋งกว่า หรือคนนับถือเยอะกว่า จากคุณ : M-M-C-L - [ 21 ต.ค. 49 23:13:31 ]

ความคิดเห็นที่ 10 พุทธที่อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ และท่านอื่นๆกล่าวถึงเป็นพุทธนิกายมหายาน ดาไล ลามะ คนปัจจุบันเคยตอบคำถามหนึ่งที่ถามว่า หากหลักของศาสนาพุทธขัดกับวิทยาศาสตร์จะทำอย่างไร คำตอบที่ท่านตอบคือ ศาสนาพุทธก็ต้องเปลี่ยน.. นิกายหินยานแบบไทยๆ พัฒนาถึงจุดนี้หรือยัง? จากคุณ : Freethinker - [ 21 ต.ค. 49 23:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ... จากคุณ : Mrexlzg - [ 21 ต.ค. 49 23:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ฟังจากคำถามเบอร์สิบ ผมว่าก่อนที่จะถามว่าหินยานแบบไทยๆพัฒนาถึงไหน คงต้องทำให้คนไทยรู้จักศาสนาพุทธให้ดีกว่านี้ก่อนแล้วล่ะ จากคุณ : Sleeprunner - [ 21 ต.ค. 49 23:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมก็เคยนับถือศาสนาพุทธเต็มตัวนะครับ บวชแล้วด้วยแม้จะแค่สองอาทิตย์ก็ตาม แต่พอได้รู้ถึงสิ่งที่ศาสนาพุทธเรียกว่า "อจินไตย" แล้วผมหมดศรัทธาครับ ยิ่งอ่าน ก็ได้รับคำตอบว่าผู้ที่นึกถึงอจินไตยอย่างผมเป็นนิจ เป็นคนที่ฟุ้งซ่าน แล้วศาสนาพุทธทำไมต้องบอกว่าอะไรผิด อะไรฟุ้งซ่านด้วยล่ะครับ ตั้งกฎเองเออเองทั้งนั้น เอาเป็นว่าหลายอย่างผมเชื่อ แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อทุกอย่าง ความจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบผมก็เชื่อว่าพระองค์ตรัสรู้จริง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าธรรมะหลาย ๆ ข้อ ซึ่งเป็นระดับสูงนั้นยิ่งผมศึกษา ผมยิ่งเจอแต่ความทุกข์ ทุกข์ว่าผมเชื่อถือได้ทั้งหมดนั้นเหรอ แล้วผมจะเชื่อต่อไปเพื่อสร้างทุกข์ให้ตัวเองทำไม จากคุณ : TumProfess - [ 21 ต.ค. 49 23:40:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แต่ Tom Cruise เป็น Scientologist นะครับ เขากล่าวยกย่องศาสนาพุทธ จริง แต่ก็ไม่ได้นับถือ !!! เกรงว่าจะเป็น quote out of context จริงๆ เลย -_-" จากคุณ : Practical x 2 - [ 22 ต.ค. 49 00:24:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แสดงว่าไม่ได้ดูรายการ DMC ซึ่งมีตอนนึงที่พูถึง อจินไตยว่า อจินไตย เป็นสิ่งที่คนที่มีสติปัญญาทั่วๆไป ไม่อาจเข้าใจได้เลย ยิ่งศึกษามากๆก็อาจถึงขั้นเป็นบ้าได้เลย ก็เหมือนการอธิบายให้เด็กทารก เข้าใจการทำงานของการส่งสัญญาณมือถือ ซึ่งสติปัญญาระดับนั้น ไม่ว่าจะใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มี ก็ไม่เข้าใจจริงๆได้เลยว่ามีการส่งสัญญาณจากที่อุปกรณ์ตัวใด ส่งผ่านไปที่ใหนและทำอะไรต่อไป ปล. นี่เป็นการรวบรวมจากที่จำได้คร่าวๆเท่านั้นนะครับ แต่ก็มีเนื้อหาสาระสำคัญดังนี้ทุกประการ ดังนั้นที่คุณบอกว่ายิ่งศึกษาก็ยิ่งทุกข์ เพราาะคุณศึกษาในสิ่งที่พราะพุทธเจ้าเตือนแล้วว่า ไม่ให้ผู้ที่มีสติปัญญายังไม่ถึงพอไปศึกษาเข้า จากคุณ : visanu_crab - [ 22 ต.ค. 49 00:34:58 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องของอจินไตยนี่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าผิดนี่ แต่เป็นเรื่องไม่ควรคิด เพราะคิดไปก็ไม่ได้ช่วยให้ดับทุกข์ได้ จิตใจจะฟุ้งซ่านไม่สงบไปเปล่า ๆ ส่วนธรรมะนั้นต้องเลือกข้อที่เหมาะสมกับตัวเองด้วย เพราะมันแบ่งเป็นหลายระดับซึ่งเหมาะกับบุคคลระดับนั้นๆ การที่ข้ามระดับไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยกลับให้เป็นทุกข์เปล่า ๆ เพราะศึกษาเท่าไรก็ไม่เข้าใจ แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 49 00:56:37 จากคุณ : silverspider - [ 22 ต.ค. 49 00:39:05 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คำตอบของดาไล ลามะ คคห.10 อ่านแล้ว เลื่อมใสๆยิ่งนัก ตามหลักพุทธ สัจธรรมก็คือเปลี่ยนไป ไม่ยึดมั่นถือมั่น รึเปล่าแบบนี้..                   แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 49 01:42:40 จากคุณ : ศิษย์อาจารย์หวง - [ 22 ต.ค. 49 01:29:05 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทอมรูซ ตอนนี้ บ้าบอคอแตกมากครับ เพี้ยนไปแล้ว จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 22 ต.ค. 49 03:21:14 ]

ความคิดเห็นที่ 19 โดยแก่นแท้แล้วทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีทั้งนั้นแหละค่ะ แล้วเท่าที่ทราบมาไม่เคยมีศาสนาไหนสอนให้เอาศาสนาตัวเองไปเปรียบกับศาสนาคนอื่นด้วยว่าอันไหนดีกว่า เจ๋งกว่า หรือคนนับถือเยอะกว่า ----------------------------------------------------------- คุณ M-M-C-L  ครับ ผมเห็นด้วยครับที่คุณบอกว่าศาสนา ทุกคนสอนให้เป็นคนดีเหมือนกัน "แต่" ศาสนาแทบทุกศาสนาในความคิดของผมถูกบิดเบือนไปหมดทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ศาสนาพุทธ(อาจหนักกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ) ทำให้จุดมุ่งหมายที่สุดแต่ละศาสนาถูกบิดเบือนไปเช่นกัน ผมคิดอย่างนั้นครับ ----------------------------------------------------------- พุทธที่อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ และท่านอื่นๆกล่าวถึงเป็นพุทธนิกายมหายาน ดาไล ลามะ คนปัจจุบันเคยตอบคำถามหนึ่งที่ถามว่า หากหลักของศาสนาพุทธขัดกับวิทยาศาสตร์จะทำอย่างไร คำตอบที่ท่านตอบคือ ศาสนาพุทธก็ต้องเปลี่ยน.. นิกายหินยานแบบไทยๆ พัฒนาถึงจุดนี้หรือยัง? ----------------------------------------------------------- ด้วยความเคารพครับ Freethinker ผมคิดว่าทุกๆศาสนาพัฒนามาถึงจุดสูงสุดแล้วครับ(ผมมั่นใจว่าจุดที่สุดของแต่ละนิกายถึงที่เดียวกันแน่ๆ) ศาสนาพุทธก็เช่นกันครับศาสนาพุทธนิกายหินยานหรือเถรวาทที่คุณกล่าวมานั้นตามความคิดเห็นของผมทุกวันนี้ถูกพัฒนาลงคือเป็นเน้นการการไหว้เทวดาต่างๆ มีไสยศาสตร์มาปนอยู่มากแล้วครับ ----------------------------------------------------------- ผมก็เคยนับถือศาสนาพุทธเต็มตัวนะครับ บวชแล้วด้วยแม้จะแค่สองอาทิตย์ก็ตาม แต่พอได้รู้ถึงสิ่งที่ศาสนาพุทธเรียกว่า "อจินไตย" แล้วผมหมดศรัทธาครับ ยิ่งอ่าน ก็ได้รับคำตอบว่าผู้ที่นึกถึงอจินไตยอย่างผมเป็นนิจ เป็นคนที่ฟุ้งซ่าน แล้วศาสนาพุทธทำไมต้องบอกว่าอะไรผิด อะไรฟุ้งซ่านด้วยล่ะครับ ตั้งกฎเองเออเองทั้งนั้น เอาเป็นว่าหลายอย่างผมเชื่อ แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อทุกอย่าง ความจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบผมก็เชื่อว่าพระองค์ตรัสรู้จริง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าธรรมะหลาย ๆ ข้อ ซึ่งเป็นระดับสูงนั้นยิ่งผมศึกษา ผมยิ่งเจอแต่ความทุกข์ ทุกข์ว่าผมเชื่อถือได้ทั้งหมดนั้นเหรอ แล้วผมจะเชื่อต่อไปเพื่อสร้างทุกข์ให้ตัวเองทำไม ----------------------------------------------------------- เรื่องอจินไตย 4 นั้นพระพุทธเจ้าไม่ให้คิดอย่างที่คุณ visanu_crab บอกนะครับเมื่อไหร่ที่คุณปติบัตเองแล้วรู้เองแล้วได้เองแล้วมันก็ไม่ผิดหรอกครับ แล้วที่คุณบอกว่ายิ่งศึกษายิ่งเจอแต่ความทุกนั้นคงจะเดินผิดทางแล้วหละครับศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้ศึกษา(อ่านๆๆ) อย่างเดียวครับ แต่บอกให้ลองเองรู้เองครับ ----------------------------------------------------------- คำตอบของดาไล ลามะ คคห.10 อ่านแล้ว เลื่อมใสๆยิ่งนัก ตามหลักพุทธ สัจธรรมก็คือเปลี่ยนไป ไม่ยึดมั่นถือมั่น รึเปล่าแบบนี้ ----------------------------------------------------------- คุณ ศิษย์อาจารย์หวง สัจธรรมไม่เคยเปลี่ยนแน่นอนครับผมไม่ใช้คำว่าสัจธรรมของศาสนาพุทธครับแต่ "สัจธรรม" ไม่มีทางเปลี่ยนแน่ๆ จากคุณ : noscam - [ 22 ต.ค. 49 08:36:09 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ศาสนาพุทธจะขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นสัจธรรม คือ เป็นความจริง แม้ผ่านมาถึง 2500 ปีแล้ว ยังไม่มีข้อไหนถูกทำลาย หรือบอกได้ว่าไม่จริงเลย พระพุทธองค์ ก็บอกแล้วว่า ธรรมะของพระองค์เป็นอกาลิโก คือ ไม่จำกัดกาล ในขณะที่วิทยาศาสตร์ มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เช่น กฏของนิวตันที่ใช้ไม่ได้กับความเร็วสูง ตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลส ตราบนั้น ศาสนาพุทธยังช่วยท่านได้เสมอ สำหรับ #13 นะครับ ขอแสดงความเสียใจที่ได้ทำความรู้จักกับศาสนาพุทธน้อยเกินไป แล้วด่วนตัดสินใจ ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นศาสนาแห่งความเชื่อ หรือ ศรัทธา ไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่บอกหลักการ แล้วให้พิสูจน์เอาเอง เพื่อให้คนเป็นทุกข์น้อยลง เช่น มีนัดกับแฟน แต่ผ่านไป 30 นาทีแล้ว ก็ยังไม่มา โทรศัพท์ก็ไม่รับ คุณก็เกิดความทุกข์ใช่ไหม คิดไปต่าง ๆ นา ๆ กระวนกระวาย แต่ศาสนาพุทธสอนว่าคุณเป็นทุกข์แล้ว ก็ไม่ได้ช่วยให้แฟนคุณมาเร็วขึ้น หรือ มีอะไรเปลี่ยนไปจากที่มันเป็น จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม - [ 22 ต.ค. 49 08:43:24 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ท่าน ผู้เฒ่า ผมคิดว่าปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่บอกว่า "ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์...." ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นอย่างที่ท่านผู้เฒ่ากล่าวมาคือ "ในขณะที่วิทยาศาสตร์ มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เช่น กฏของนิวตันที่ใช้ไม่ได้กับความเร็วสูง" จุดนี้ที่ผมไม่อยากให้ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ แต่อยากให้วิทยศาสตร์ เป็นสมาชิกของศาสนาพุทธครับ จากคุณ : noscam - [ 22 ต.ค. 49 08:54:05 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เป็นแค่ความเชื่อ ความศรัทธา รูปแบบนึง จากคุณ : เซียนแห่งmath - [ 22 ต.ค. 49 10:19:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 นึกว่าเข้าห้องผิด หว้ากอตอบได้ทุกเรื่องจริงๆ จากคุณ : ศุศศิ - [ 22 ต.ค. 49 11:08:55 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ^^" no comment จากคุณ : จุ๊บยางเป็ดน้อย - [ 22 ต.ค. 49 11:50:17 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ท่านผู้เฒ่าสายลมยกตัวอย่างได้แจ่มแจ้งมากๆครับ จากคุณ : •||~Ophion~||• - [ 22 ต.ค. 49 11:55:40 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จุดมุ่งหมายต่างกัน วิทยาศาสตร์ พยายามแสวงหาความรู้ เกี่ยวกับความเป็นไปของวัตถุต่างๆ ในธรรมชาติ โดยมีแนวทางอยู่ที่การใช้เหตุผล เก็บข้อมูลจากสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้ มีการตรวจสอบและพิสูจน์อย่างเข้มข้นก่อนจะตัดสินใจยอมรับทฤษฎีใดๆ และหากภายหลังมีทฤษฎีอื่นอธิบายได้ถูกต้องกว่า ก็ล้มทฤษฎีเดิมได้ ส่วนพุทธศาสนา มุ่งตอบโจทย์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม คือ "ความทุกข์" และ "เราจะดับทุกข์ได้อย่างไร" ผู้ใดรู้และเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องนี้ ต่อให้ไม่รู้อะไรอย่างอื่นเลย ก็ยังถือว่าได้ดีกว่าผู้ที่รู้ไปหมดทุกเรื่องในโลก แต่ไม่เคยได้รู้เรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ซึ่งวิธีการเข้าถึงความรู้ในทางพุทธ ก็อาศัยเหตุผลและการพิจารณาอย่างรอบคอบเหมือนกับวิทยาศาสตร์ แต่มีเป้าหมายการค้นหาไปที่ "จิต" และมุ่งเข้าสู่ "ภายใน" ไม่ใช่ "ภายนอก" จากคุณ : QuaOs - [ 22 ต.ค. 49 12:01:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สา..ธุ.... : ) ยิ่งอ่านยิ่งยิ้ม ฮ่ะๆ จากคุณ : papikasoda - [ 22 ต.ค. 49 12:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 28 รู้แล้วต้องปฏิบัติด้วย ถ้ารู้แล้วไม่ปฏิบัติ จะรู้ไปทำไม คนไทยมีแบบอย่างที่ดี คือในหลวง ท่านทรงปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา อย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ดี และท่านก็ทรงมีปรีชาชาญด้านวิทยาศาตร์ด้วย เพราะท่านทรงนั่งสมาธิ ทำให้เกิดปัญญา ที่จะนำมาใช้แก้ไข ทุกข์ ให้ประชาชน พระองค์ท่านทรงสอน ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง เหมาะกับประเทศไทย แต่น่าเสียดาย คนไทยไม่ค่อยใส่ใจเห็นคุณค่า ไม่งั้น ประเทศคงเจริญไปนานแล้ว ไม่มาเป็นเสือตัวที่ห้า ตายซากแบบนี้ ผมก็คิดว่า ทุกท่านในห้องนี้ ก็ควรนำท่านมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ประเทศชาติก็จะเจริญ จากคุณ : Master - [ 22 ต.ค. 49 12:24:30 A:58.9.186.41 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 อะแฮ่ม ... ตอบบ้าง ต่อเนื้อหากระทู้ - ผมไม่เคยให้ความสำคัญกับคำพูดของใครก็ตามที่มีต่อศาสนาพุทธ นอกจาก พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระอริยะสงฆ์ #3 คุณ Practical x 2 จริงๆแล้วใน 6% ที่คุณนำเสนอนั้นมีแค่ประมาณ 5% ของ 6% เท่านั้นที่เป็นแฟนพันธ์แท้จริงๆ ที่เหลือมาตามชาติกำเนิด #10 คุณ Freethinker นั่นคือทางที่นำไปสุ่จุดจบของพุทธศาสนาครับ ศาสนาพุทธของจริงที่อยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้เพราะความที่ำไม่เคยโอนอ่อนผ่อนตามนักปราชญ์แห่งยุคสมัยใดๆ จะดีจะร้ายยังไงขอให้บันทึกพระพุทธวัจนไว้เป็นอันดับแรกและนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่บรรพบุรุษเราฝากไว้ #13 คุณ TumProfess การปฏิบัติตามแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ครับ ถ้าคุณทำแล้วทุกข์ยากแสนสาหัส สมมติฐานแรกคือ "เดินผิดทาง" ปฏิบัติแล้วจะโทษวิธีการได้ยังไง ???? ลองหาครูบาอาจารย์สายพระป่าดู คนแถวนี้พอให้คำแนะนำได้ "ถ้าสนใจจริงๆ" #22 คุณ เซียนแห่งmath นอกจากศรัทธาแล้ว ต้องมี วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา ครับเรียกว่า อินทรีย์ 5 หรือ พละ 5 คุณต้องมี 5 อย่างนี้อย่างเท่าเทียมกันถึงจะเดินไปในเส้นทางพุทธศาสนาที่ถูกต้องได้ เส้นทางที่ว่าก็คือ มรรค 8 สำหรับท่านที่ยังไม่อยู่ในสัมมาทิฎฐิ ก็อย่าพึ่งไปปรามาสพระรัตนตรัยนะครับ เดี๋ยวเกิดเหตุการณ์ที่ต้องยูเทิร์นเมื่อไหร่จะได้ไม่เสียใจภายหลัง จากคุณ : bgn - [ 22 ต.ค. 49 12:36:20 A:10.161.40.31 X:202.12.97.120 TicketID:093114 ]

ความคิดเห็นที่ 30 สาธุ...สาธุ กระทู้ก่อเกิดแสงแห่งปัญญา โดยความรู้สึกส่วนตัว พุทธศาสนา คือตรงกลาง คือความพอดี คือความสมดุล ผมคิดว่าพวกเราคนธรรมดาถ้าหากดำเนินชีวิตพอเพียง สร้างความสมดุลให้ชีวิต ก็เข้าใกล้ศาสนาพุทธแล้วครับถึงแม้ว่าคุณไปทำบุญ 10 วัด 100 วัด แต่คุณยังไม่รู้จักพอ ....คุณก็ยังไม่เฉียดใกล้ผิวเปลือกของพุทธศาสนา เลย... จากคุณ : หมอเทศ (gcs_akira) - [ 22 ต.ค. 49 12:57:22 ]

ความคิดเห็นที่ 31 หินยาน หรือ เถรวาท เป็น ฉบับ ออรินัล ซึ่งคนทั่วไป เข้าถึงได้ยาก เพราะ ไม่มีการบัญญัติ ขั้นตอน หรือ ผล ที่เกิด จากการ เข้าถึง แก่น ของ พุทธศาสนา อย่างชัดเจน(รู้ด้วยตัวเราเอง)  ไม่มี มาตราฐานวัด  คนจะเก่งขนาดวัดตัวเองได้นั้น ต้องระดับสุดยอดจริงๆ ดังนั้น ผู้ ที่ ศึกษา พุทธเถรวาท นั้น ต้อง ลึกซึ้งจริงๆ... เอาแค่ คำสวดบท ภาษาบาลี สันตกฤต นั้น ทาง เถรวาทนั้นห้ามแปลเป็นบทสวด(สำหรับพระ) เพราะ การที่ มีคนตีความหมายของ บทสวด หรือ พระไตรปิฎก ออกไป   หนึ่งคนก็หนึ่งแบบ ร้อยคนก็ร้อยแบบ  ดังนั้น เถรวาท จะห้ามมีการตีความเพราะกลัวเพี้ยน(แต่ก็เข้าใจยากมาก ที่จะตีความเข้าใจ) -------- สำหรับ มหายาน นั้นมีการ จดบันทึก บัญญัติไว้ค่อนข้างชัดถึง(แต่ทางหินนยาน อาจจะมองมันเป็นหนทางที่แตกสายไป เกินไป) ว่าฝึกอย่างนี้ได้อย่างนี้  ทำแบบนี้ได้อย่างนี้ ซึ่ง การที่มาตราวัดอะไรไว้ นั่นทำให้คนทั่วไปเข้าใจ ได้ง่าย อย่างเช่นบทสวดมนต์ที่มีการแปล เป็นภาษาตามท้องถิ่น หรือ เนื้อหาในพระไตรปิฎก  แต่การตีความหมาย หรือแปลก็มีความผิดเพี้ยนไปบ้าง เพื่อให้คนทั่วไปได้ศึกษา และเข้าใจง่ายขึ้น เถรวาท  กับ มหายาน มีดีแต่ละอย่างต่างกันไป แต่โดยส่วนตัวผม ชอบแนวทาง ของมหายาน มากกว่า เพราะ สามารถทำให้คนทั่วไปเข้าใจ ได้ง่ายกว่า // โดยส่วนตัว ผมไม่ค่อยเห็นด้วย ที่จะเอาเรื่อง ศาสนา มาปนกับเรื่องวิทยาศาสตร์ เพราะ ถ้า สุดโต่งของแต่ละ สาย มาเจอกันต้องเกิดเรื่องพิพาท กัน   อยากให้คนที่ จะเข้ามาตอบกระทู้ลักษณะนี้ ได้ลองศึกษา ในส่วนของพระพุทธศาสนา ด้วยตัวเองกันก่อน แต่ไม่ใช่ นั่งท่องนั่งอ่าน หนังสือ แล้วเอามาตอบ หรือ แย้ง   มันต้องลองฝึกฝนกันด้วย   พุทธศาสนา ไม่ใช่วิชา ที่ท่อง จำ แล้วจะบรรลุ...มันต้องเข้าใจ ด้วย แต่ยอมรับอย่างว่าเข้าใจยาก เหมือนกันต้องใช้ความพยายามสูง จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 22 ต.ค. 49 13:48:28 ]

ความคิดเห็นที่ 32 หลายๆท่านในที่นี้กล่าวถึงศาสนาในลักษณะ สมบูรณ์มาตั้งแต่ต้น (เพราะมีความศรัทธาในเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรก็แล้วแต่) โดยส่วนตัว คิดว่าศาสนาเป็นแนวคิดโดยกลุ่มคน และมันไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นแน่นอน (บางท่านบอก หลักศาสนาไม่ผิดเลยตลอดมา - ผมไม่คิดเช่นนั้น - ท่านใช้ศรัทธาเสียมากกว่า เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถ้าจะเถียงกันก็คงเถียงกันด้วยศรัทธาอย่างเดียว เหตุผลคงหาไม่ได้) และจากแนวคิดที่ว่าศาสนามันสมบูรณ์ตั้งแต่ต้น คนก็เลยศัทธาโดยไม่สนการใช้เหตุผลในเรื่องๆต่างๆ เช่น การเกิดใหม่(ด้วยวิญญาณเดิม ร่างกายใหม่) ทั้งๆที่หลักศาสนาพุทธตั้งแต่ต้นไม่มี แต่มาจากการไปรวมเข้ากับศาสนาฮินดูและพราหม (wikipedia) จากคุณ : Freethinker - [ 22 ต.ค. 49 15:10:45 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าจะพูดในเชิงที่ว่าพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์อยู่คนละขั้ว ผมเองก็คงไม่เห็นด้วยนักหรอกครับ เพราะถ้าอย่างเราศึกษาพุทธประวัติของเจ้าชายสิทธัตถะดู โดยทิ้งเรื่องปาฏิหารย์ทั้งหมดไป ถามว่าเราได้อะไร เราได้นักวิทยาศาสตร์ คนแรกๆของโลกเลยนะครับ ที่เป็นทั้งอัจฉริยะ ความสามารถในทางจิตใจ และทางกาย นักวิทยาศาสตร์ทําอะไรบ้างที่เป็นตรรกะในการคิดค้น ค้นคว้า เจ้าชายสิทธัตถะท่านก็ทําแบบนั้น ท่านมีสมมุติฐานขึ้นมาก่อน และจึงทําการค้นคว้าทดลอง โดยใช้ชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน และเป็นการใช้ร่างกายทดลอง อดอาหารบ้าง ไม่กินอะไรเลยบ้าง เพื่อให้เจอทุกข์ทรมานแสนสาหัส ท่านก็เคยทํามาแล้ว ซึ่งผมคิดว่ายากที่จะมีนักวิทยาศาสตร์ท่านใด ยอมแลกตัวเองเข้ากับการทดลองครั้งนี้ จนได้รับผลแห่งความสําเร็จนะครับ และท่านก็ได้เป็นผู้ทําให้ความสําเร็จเกิดขึ้น บนโลก สิ่งที่ท่านค้นพบ เป็น"วิทยาศาสตร์" นะครับ จากคุณ : terran (Mr.Terran) - [ 22 ต.ค. 49 15:13:38 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผม จขกท.นะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาเถียงใคร แต่ขอลองเสนอความคิดเห็นบ้าง บางคนอาจจะบอกว่าพระพุทธองค์ค้นพบอะไร ก็แค่ความดับทุกข์แค่นั้นเอง ก็ต้องตอบว่าใช่ครับ แต่ที่ท่านสอนมันมีอยู่เยอะ ที่ท่านรู้มันมีเยอะมาก ซึ่งผลลัพธ์สูงสุดคือ"พ้นทุกข์" ใช่ครับ นั่นเลยเป็นผลลัพธ์ท้ายสุด แต่ถ้าเอาองค์ประกอบการค้นคว้าของท่านมาพิจารณามันไม่น้อยเลยครับ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ท่านค้นพบ พระพุทธองค์เคยตรัสถามพระสาวก ( พระอานนท์) ใบไม้ในกํามือ กับในป่า อย่างไหนมากกว่า เหล่าพระสาวกตอบพร้อมกันว่าในป่า  ท่านบอกว่า ที่ท่านรู้น่ะ เท่ากับใบไม้ในป่า แต่ที่สําคัญจริงๆ มันก็คือใบไม้ในมือ เท่านั้นครับ พุทธ เกิดที่ใจ จบที่ใจครับ ไปได้ไกลสุดขอบจักรวาล แต่ถ้ายังมีทุกข์ ไม่มีประโยชน์อะไรใช่มั้ย.. อ่ะ..ผมขอยกตัวอย่างละกัน ว่าสิ่งที่ท่านรู้ มันเป็นวิทยาศาสตร์ หรือ ความงมงายทางความเชื่อกันแน่ .. ท่านตรัสไว้เมื่อ 2500 กว่าปีก่อน ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์บางคนจะค้นพบซะอีก ว่า "ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด มารดาบิดาร่วมกัน ๑ (มีเพศสัมพันธ์) มารดาอยู่ในฤดู (ช่วงเวลาไข่สุก) ๑ และคันธัพพะเข้าไปตั้งอยู่แล้ว ๑ ( มีสัตว์ที่เข้าไปเกิด ) เพราะประชุมองค์ประกอบ ๓ ประการอย่างนี้ ก็มีการก้าวลงแห่งครรภ์"                        (ม.มู.๑๒/๔๕๒/๔๘๗) แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 49 15:39:04 จากคุณ : Mr.Terran - [ 22 ต.ค. 49 15:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 35 พระสูตรว่าด้วยสัตว์อยู่ในครรภ์ได้อย่างไร          [๘๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่บนภูเขาอินทกูฏ ซึ่งอินทกยักษ์  ครอบครอง เขต กรุงราชคฤห์ ฯ          [๘๐๒] ครั้งนั้นแล อินทกยักษ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  ครั้นแล้วได้ กราบทูลด้วยคาถาว่า "[ถ้า] ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า รูปหาใช่ชีพไม่ สัตว์นี้จะประสพ ร่างกายนี้ได้อย่างไรหนอ กระดูกและก้อนเนื้อ จะมาแต่ไหน สัตว์นี้จะ ติดอยู่ในครรภ์ได้อย่างไร"          [๘๐๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม (ปัญจสาขา) ต่อจากนั้น มีผมขนและเล็บ (เป็นต้น) เกิดขึ้น มารดา ของสัตว์ในครรภ์บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ มารดา ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยอาหารอย่างนั้นในครรภ์นั้น" ฯ *** ความเห็นของผมดังนี้  พระพุทธเจ้าทรงเห็น ไข่เมื่อผสมกับอสุจิ เมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว และ พระพุทธองค์เรียกสิ่งนี้ว่า กลละ หลังจากนั้นพระพุทธองค์ทรงเห็น การแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนของเซล เป็นระยะ ๆ  เป็นลำดับดังนี้       จากกลละ เป็น อัพพุทะ   จากอัพพุทะเป็นเปสิ    จากเปสิเป็นฆนะ  และที่สำคัญของพระสูตรนี้ คือจากฆนะ เกิดเป็น 5 ปุ่ม  ตรงนี้เละที่เป็นการชี้ให้เห็นชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็นมาจริงๆ  เพราะวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ที่ส่องกล้องดู การเจริญของไข่เมื่อผสมกับอสุจิแล้ว ก็จะการแบ่งเซล  (ผมจำจำนวนสัปดาห์ ไม่ได้ นี้ละหน่วยความจำชั่วคราวย่อมเสื่อมได้เร็ว)   หลังจากนั้นก็จะมีปุ่ม 5 ปุ่ม จริงๆ ที่จะแตกเป็น  ศีรษะหนึ่ง แขนสอง  และขาสอง       ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ก็ยังเห็นว่า หลังจากนั้นมีผมขนและเล็บ เกิดขึ้น และอาหารที่ทารกได้รับก็มาจากที่มารดาบริโภคเข้าไป  ตรงตามวิทยาศาสตร์ปัจจุบันทุกอย่าง จากคุณ : Mr.Terran - [ 22 ต.ค. 49 15:26:19 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เป็นความเห็นส่วนหนึ่งที่ผมเอามาจากคุณวิชา นะครับ   จริงๆแล้ว ตัวอย่างมีอีกเยอะครับ สิ่งที่ท่านตรัสไว้เมื่อ 2500 ปีก่อน ผมยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น บางเรื่อง วิทยาศาสตร์พึ่งมาค้นพบ บางเรื่องวิทยาศาสตร์บอกเป็นไปไม่ได้ หารู้ไม่ว่า ในอนาคต วิทยาศาสตร์ อาจจะมาเจอจังๆก็ได้ ยังไงผมก็คิดว่าพุทธศาสตร์ไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์ นะครับ แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 49 15:36:42 จากคุณ : Mr.Terran - [ 22 ต.ค. 49 15:29:37 ]

ความคิดเห็นที่ 37       ที่เลื่อมใสท่าน ดาไล ลามะ เพราะดูจากคำตอบแล้ว แสดงให้เห็นได้อย่างหนึ่งว่า  ท่านไม่อวดรู้ ไม่ถือตัว เหมือน คนที่ละแล้วซึ่งกิเลส ใจกว้างพอ พร้อมจะพิสูจน์และ ยอมรับมัน ไม่เชื่ออะไรเพียงแต่ท่องจำมา แม้แต่พระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าเองท่านยังบอกว่า อย่าเพ่งเชื่อจน กว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง       โดยส่วนตัวแล้ว ที่ผ่านมา ถ้าผมเห็นพระต่างประเทศ ผมจะมีอคติในใจว่า จะเหมือนพระไทยรึเปล่า พระธรรม คำสอนจะผิดเพี้ยนไปรึเปล่า เพราะยอมรับว่าตัดสินเพียง รูปลักษณ์ภายนอก แค่ใส่จีวรต่างกัน ตอนนี้รู้สึกดีใจและ อยากให้พระธรรมคำสอนของพุทธองค์ ได้มีผู้มีสติปัญญา เข้าใจอย่างแท้จริง ได้สืบทอดเผยแพร่ต่อไป...ตลอดชั่ว กาลนาน..เทอญ..สาธุ.. ^ ^ ซาบซึ้งๆ...อิอิ แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 49 16:21:31 จากคุณ : ศิษย์อาจารย์หวง - [ 22 ต.ค. 49 16:06:17 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ตามอ่าน...แต่ไม่สามารถออกความเห็นได้ จากคุณ : ป้ามหาภัย - [ 22 ต.ค. 49 17:09:19 ]

ความคิดเห็นที่ 39 พระธรรมหรือคำสอนของศาสนาพุทธ มีมาก่อนแล้วและจะมีต่อไปไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสุดท้าย ไม่ขึ้นกับกาลเวลาและรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านคือผู้ค้นพบความจริงอันประเสริฐ 4 ประการนี้ คือ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ผลของการดับทุก และวิธีการหรือทางแห่งการดับทุกข์ แล้วนำมาสอนสรรพสัตว์ ความจริงทั้ง 4 นี้ไม่ได้ถูกคิดค้นโดยผู้ใด มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ความจริงทั้ง 4 นี้ จะค้นพบได้ และเห็นถึงแก่นแท้ของมัน โดยผู้ที่มี "ภาวนามยปัญญาเท่านั้น" สำหรับนักบวชพราหมณ์หรือแม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ มีได้สูงสุดแค่ "จินตมยปัญญา" เท่านั้น เหล่านักบวชอาจสูงกว่านักวิทยาศาสตร์ตรงที่มีอภิญญาญาณ มีดวงจิตที่สูงกว่า แต่ไม่มีทางที่คนเหล่านี้จะมาค้นเจอหรือเข้าใจหลักความจริง 4 ประการนี้ได้ wikipedia คือแหล่งอ้างอิงข้อมูลที่ unreliable ที่สุดแหล่งหนึ่ง เป็นบทความที่สามารถแทรกความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไปด้วยไม่ใช่ "ความจริง" ดีกว่าความเห็นในพันทิพย์นิดเดียว ผมคงออกความเห็นแค่นี้แหล่ะ ที่เหลือก็ปล่อยไป... ต้องขอโทษหลายๆท่านด้วยที่อ้างอิงชื่อพวกท่าน จริงๆแล้วไม่ใช่เป็นการเอาชนะคะคาน หรือความพยายามที่จะเปลี่ยนความคิดของผู้หนึ่งผู้ใด ผมแค่ฝากความเห็นเอาไว้เผื่อคนอ่านทั่วๆไปเท่านั้น อ่าน 100 คน ปิ๊งขึ้นมาคนหนึ่งก็ OK แล้ว ต้องการแค่นี้ ขออโหสิกรรม จากคุณ : bgn - [ 22 ต.ค. 49 19:32:59 A:10.161.40.31 X:202.12.97.120 TicketID:093114 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ยังไงก็คิดว่าศาสนาพุทธเนี่ยแหละ เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดแล้ว อย่างหลัก โยมนสิการ 10 ที่ไม่ให้เขื่ออะไรโดยไม่พิสูจน์  นี่ก็คือสิ่งที่ครูวิทน์สอนเรามาตลอดไม่ใช่เหรอ   แล้วอย่างทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  นี่มันก็เป็นตรรกะนะ   อ.พุทธสอนว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาพุทธนี่มีหลักเหมือนกัน  แต่วิทยาศาสตร์สนใจศึกษาเรื่องภายนอก  แต่ศาสนาพุทธสนใจศึกษาภายใน(จิตใจ) จากคุณ : BoOKend - [ 22 ต.ค. 49 20:02:05 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คห.39 ครับจิตวิญญาณของมนุษย์ จิตวิญญาณการเรียนรู้ จิตวิญญาณการให้เหตุผล เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมมีอยู่ก่อนพระธรรมจะเกิดด้วยซ้ำไป ความจริงอันประเสริฐทั้งสี่ประการนั้น มันอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์แต่แรกแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาบอก จริงและอจริงเป็นสิ่งที่คนเรากำหนดมาทั้งสิ้น ภายใต้จิตวิญญาณ ผัสสะ การสัมผัส โยมนสิการ 10  ที่ไม่ให้เขื่ออะไรโดยไม่พิสูจน์ เป็นแค่แนวทางปฏิบัติแนวทางนึง ซึ่งแต่เดิมจิตวิญญาณมนุษย์มีการสร้างข้อโต้แย้งมาแต้เดิม การจะเชื่ออะไรไม่จำเป็นต้องอาศัยโยมนสิการก็ทำได้ เพราะมนุษย์คือจิตวิญญาณ จากคุณ : จิตนิยม (เซียนแห่งmath) - [ 22 ต.ค. 49 20:54:56 ]

ความคิดเห็นที่ 42 จริงและอจริง อยู่ในรูปของความน่าจะเป็นเสียมากกว่า ยกเว้นสำหรับพวกวัตถุนิยม(วิทยาศาสตร์) ที่มุ่งไปที่การสัมผัสได้เพียงอย่างเดียว จากคุณ : เซียนแห่งmath - [ 22 ต.ค. 49 21:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เป็นเรื่องของนามธรรม แบบกว้างๆ ฝึกจิตนาการมากกว่าเหตุผล จากคุณ : k (kongp) - [ 26 ต.ค. 49 03:09:40 ]