ความคิดเห็นที่ 1 1.เห็นเค้าว่ากันว่า Homo sapiens sapiens กลุ่มแรกๆ อยู่แถวๆ Africa ครับ แล้วค่อยๆ มีโอการอพยพไปอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก 2.มาจากบรรพบุรุษชนิดเดียวกันครับ ถึงในปัจุบันจะเกิดเผ่าพันธุ์ (race) เกิดขึ้น และมีความแตกต่างกัน แต่ก็แตกต่างกันไม่มากพอที่จะผสมพันธุ์กันแล้วไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ (แปลว่า นิโกรก็ยังมีลูกกับคอเคซอยด์ได้ เป็นต้น) ที่มีความแตกต่างกันมาก อาจหมายความว่าบรรพุบุรุษของคนแต่ละกลุ่มเดินทางออกมาจากแอฟริกานานแล้ว และเนื่องจากสภาพแวกล้อมในแต่ละทวีปก็แตกต่างกัน ทำให้มีการคัดเลือกกลุ่มที่เหมาะสมที่สุด อยู่รอดในทวีปนั้นๆ และให้กำเนิดลูกหลานออกมา จากคุณ : Punky - [ 20 ธ.ค. 49 03:54:56 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทฤษฏีวิวัฒนาการ ยังไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ได้นะครับ เพราะไม่เคยมีใครสามารถทดลองการวิวัฒนาการได้ จากคุณ : นายสาระแน - [ 20 ธ.ค. 49 07:15:57 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ดูในสารคดี บอกว่า มาจากhomo sapian กลุ่มเดียวกับครับ แกะจากอัตราการเปลี่ยนแปลงDNA โดยhomo sapianยุคนั้นมีหลายกลุ่ม แต่เกิดภัยธรรมชาติอะไรจำไม่ได้แล้ว ในยุคนั้นเล่นงาน จนทั้งเหลือเผ่าเดียวเหลือราวพันกว่าคน สืบย้อนไปได้ราว 6 หมื่นปี มนุษย์ทุกคนบนโลกปัจจุบันมาจากกลุ่มเผ่าเดียวกัน homo sapianกลุ่มแรกๆ ออกแนวนิโกร ดูจาการคดีช่อง24 แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 49 07:49:01 จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 20 ธ.ค. 49 07:42:56 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ง่ายสุดครับ ดูหมาเป็นตัวอย่าง ทั้งฮัสกี้ ปอมปอม ดัชชุน บางแก้ว โกลเด้น ฯลฯ มันยังเป็น Canis lupus familiaris หรือไม่ แล้วพวกนี้มันพัฒนาสายพันธุ์มากี่ปี ส่วนเรื่องทฤษฏีวิวัฒนาการนี่ กรณีทฤษฏีวิวัฒนาการระดับจุลภาคนี่สามารถทดลองให้เห็นได้ครับ ส่วนถ้าระดับมหภาคก็ทำได้ถ้ามีเวลาทดลองสัก 10 ล้านปี ถ้าทฤษฏีวิวัฒนาการไม่เป็นวิทยาศาตร์ทำไมวิชาวิทยาศาสตร์ถึงเอามาใช้ล่ะ เช่น Herpetology Mammalogy Ornithology หรือ Taxonomy เป็นต้น จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 08:12:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตรวจสอบจากดีเอ็นเอย้อนกลับไปหาความเหมือน และความต่างในดีเอ็นเอ เทียบกับถิ่นที่อยู่ พบข้อสรุปว่ามนุษย์ทั้งโลกมีจุดกำเนิดเดียวกันครับ มาจากแถบตะวันออกของอาฟริกา ส่วนเผ่าต้นกำเนิด ตรวจจากการแปรผันของยีนแล้ว สันนิษฐานได้ว่ามีจำนวนน้อยมากครับ ปริมาณประชากรตอนที่น้อยที่สุด อยู่ในหลักสิบ ถึงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น นับว่ารอดพ้นการสูญพันธุ์มาได้อย่างปาฎิหาร เข้าใจว่าเป็นเพราะบารมีท่านเทพมังกรช่วยไว้ ทำให้รอดพ้นมาได้ จากคุณ : อะธีลาส - [ 20 ธ.ค. 49 08:20:04 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องเรียนอะไรที่ไม่ได้ใช้ ไม่ได้มีแต่สาขาวิทยาศาสตร์นะครับ สาขาอื่นๆ ก็เป็นเหมือนๆ กันหมด เพียงแต่เขาต้องเรียนเพื่อให้รู้บ้าง เพื่อการพัฒนาไปในวันข้างหน้า จากคุณ : นายสาระแน - [ 20 ธ.ค. 49 09:10:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาจากที่เดียวกันแต่เดินทางไปยังที่แตกต่างกัน โดยความเห็นส่วนตัว คนยิวสติปัญญาสูงเพราะโดนฆ่าล้างเผ่าพันธ์เป็นการคัดเลือก ประชากร แบบหนึ่ง จากคุณ : Chaos dragon - [ 20 ธ.ค. 49 09:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คนยิวได้รับพรจากเทพมังกรมากเป็นพิเศษครับ เนื่องจากท่านเทพมังกรเห็นว่าชาวยิวและโรมันเคยมีความประพฤติไม่ดีในสมัยก่อน ทำให้เป็นที่เดือดร้อนแก่พระเจ้า และบุตรของพระเจ้า ท่านเทพมังกรเลยต้องออกโรงเอง ลงโทษทำให้โรมันสาบสูญไป และทำให้ชาวยิวได้รับความลำบากยากเย็น ตอนหลังท่านเทพมังกรก็ผ่อนปรนให้ชาวยิวมีสติปัญญาเพิ่มขึ้น จะได้เอาตัวรอดได้ เพราะเป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิด มิใช่ตัวการใหญ่ อุ อุ ไม่เชื่อผมแล้วจะเชื่อใคร ...จงไว้วางใจในเทพมังกร จากคุณ : อะธีลาส - [ 20 ธ.ค. 49 09:41:51 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ ^ท่านเทพมังกร ช่างยุติธรรมยิ่งนัก ข้าน้อยเลื่อมใส จากคุณ : ม่อน (bodin) - [ 20 ธ.ค. 49 10:27:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 #4 ครับ >>>ส่วนเรื่องทฤษฏีวิวัฒนาการนี่ กรณีทฤษฏีวิวัฒนาการระดับจุลภาคนี่สามารถทดลองให้เห็นได้ครับ ส่วนถ้าระดับมหภาคก็ทำได้ถ้ามีเวลาทดลองสัก 10 ล้านปี ไม่จำเป็นที่ระดับมหภาคจะต้องใช้เวลาทดลองเป็นล้านๆปี เพราะสัตว์หลายชนิดมีวงจรชีวิตที่สั้นมากๆ  ดังนั้น ใช้เวลาไม่นาน ก็ได้จำนวนรุ่น (generation) เป็นแสนๆรุ่นหรือล้านๆรุ่นแล้ว (ซึ่งก็คือเวลาเป็นสิบๆล้านปีถ้าเทียบเป็นอายุ/วงจรชีวิตของมนุษย์) ซึ่งพอนักวิทยาศาสตร์ทดลองแล้ว กลับพบว่าการกลายพันธุ์มีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถเปลี่ยนชนิดของสัตว์นั้นๆได้ (ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ การกลายพันธุ์ในระยะเวลาเป็นสิบๆล้านปีทำให้หมากลายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ  แต่การกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นมีข้อจำกัด คือไม่สามารถเปลี่ยนหมาให้กลายเป็นสัตว์ชนิดอื่นได้) นั่นก็แสดงว่า เวลานานมากๆก็ 'ไม่ได้' ทำให้เกิดวิวัฒนาการระดับมหภาค (macro-evolution) ขึ้นมาได้ครับ จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 11:14:15 ]

ความคิดเห็นที่ 13 #5 ครับ >>ส่วนเผ่าต้นกำเนิด ตรวจจากการแปรผันของยีนแล้ว สันนิษฐานได้ว่ามีจำนวนน้อยมากครับ ปริมาณประชากรตอนที่น้อยที่สุด อยู่ในหลักสิบ ถึงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น นับว่ารอดพ้นการสูญพันธุ์มาได้อย่างปาฎิหาริย์ อืม....น่าสนใจ   แสดงว่ามนุษย์เราทุกคนสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์ในอดีตเพียงไม่กี่คน ซึ่งสอดคล้องกับเนื้อหาในพระคัมภีร์ (ไบเบิ้ล) ครับ จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 11:21:41 ]

ความคิดเห็นที่ 14 (ส่งซ้ำข้อความข้างบนครับ ขออภัย)  ^^ แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 49 11:34:21 จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 11:22:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าแค่เปลี่ยนสปีชีส์ แค่หลักร้อย หลักพันปี ก็สามารถทำได้แล้วครับ ไม่ต้องถึงสิบล้านปี ตัวอย่างที่พบ และจากการวิจัยมีมากมาย ส่วนการเปลี่ยนให้หมา กลายเป็นลิง อันนี้นอกเหนือความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ ต้องพึ่งพาความเมตตาจากท่านเทพมังกรครับ นอกจากไบเบิ้ลแล้ว ตำนาน และตำราต่างๆ ทั่วโลกกล่าวไว้สอดคล้องกันในเรื่องนี้นะครับ แต่ไม่แน่ใจว่าพูดถึงเหตุการณ์เดียวกันหรือเปล่า เพราะอาจจากเกิดจากท่านเทพมังกรมาดลใจให้เขียนขึ้นมาเล่าเหตุการณ์เดียวกัน หรือท่านเทพมังกรอาจจะดลใจให้แต่ละตำราบอกเล่าคนละเหตุการณ์กันก็ได้ อันนี้ต้องฝากถามท่านอัครฑูตดู เวลาที่ท่านอัครฑูตได้มีโอกาสสนทนากับท่านเทพมังกรครั้งต่อไป จากคุณ : อะธีลาส - [ 20 ธ.ค. 49 12:30:31 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นท่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นจริง เพราะในกระทู้นี้ เราได้เห็น ตัวอย่างการกลายพันธ์ของนักนิยมวิวัฒนาการ จากมีสาระ ไปเป็นไร้สาระ แต่ถ้าเมื่อไรการกลายพันธ์นี้กลับคืนมาเป็นปกติ ก็ถือว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการล้มเหลว เพราะตามทฤษฎี มันย้อนกลับไม่ได้ จากคุณ : ksk - [ 20 ธ.ค. 49 12:59:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 โอ้!!!! ได้ความรู้และนิกายใหม่ๆ จากคุณ : อธติ23 - [ 20 ธ.ค. 49 15:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ไม่จำเป็นที่ระดับมหภาคจะต้องใช้เวลาทดลองเป็น ล้านๆปี เพราะสัตว์หลายชนิดมีวงจรชีวิตที่สั้นมากๆ  ดังนั้น ใช้เวลาไม่นาน ก็ได้จำนวนรุ่น (generation) เป็นแสนๆรุ่นหรือล้านๆรุ่นแล้ว (ซึ่งก็คือเวลาเป็นสิบๆล้านปีถ้าเทียบเป็นอายุ/วงจรชีวิตของมนุษย์) ซึ่ง พอนักวิทยาศาสตร์ทดลองแล้ว กลับพบว่าการกลายพันธุ์มีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถเปลี่ยนชนิดของสัตว์นั้นๆได้ (ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ การกลายพันธุ์ในระยะเวลาเป็นสิบๆล้านปีทำให้หมากลายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ  แต่การกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นมีข้อจำกัด คือไม่สามารถเปลี่ยนหมาให้กลายเป็นสัตว์ชนิดอื่นได้) นั่นก็แสดงว่า เวลานานมากๆก็ 'ไม่ได้' ทำให้เกิดวิวัฒนาการระดับมหภาค (macro-evolution) ขึ้นมาได้ครับ >>>แล้วการการทดลองที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองนั้น ได้จำลองสภาพแวดล้อมเหมือนกับที่ผ่านมาในอดีตไหมล่ะครับ จะว่าไปมนุษยฺ์มันก็เป็นลิงดี ๆ นี่เอง ว่าแต่แยกเกล็ดกับขนนกได้รึยังล่ะครับ ยังรออยู่นะครับ จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 16:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ส่วนเรียกการตรวจสอบจากดีเอ็นเอย้อนกลับไปหาความเหมือน และความต่างในดีเอ็นเอพบข้อสรุปว่ามนุษย์ทั้งโลกมีจุดกำเนิดเดียวกัน แล้วทีฮากว่าก็คือเมื่อย้อนกลับไปมาก ๆ เข้ากลับพบว่าดันไปมีต้้นกำเนิดเดียวกับซิมแปนซี จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 16:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่ อ่านได้ที่ http://www.pantown.com/board.php?id=8396&area=1&name=board1&topic=23&action=view จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 16:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 21 #18 จำลองสภาพแวดล้อมในอดีตก็ทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ความชื้น ฯลฯ มนุษย์ไม่ใช่ลิงแน่นอนครับ (ผมคิดว่าคุณปัจจตังก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน) การเกิดของเกล็ดและขนนกแตกต่างกัน   "unlike scales, below the feather epidermal placode a dermal condensation develops which undergoes a nonproliferative phase." จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 18:14:30 ]

ความคิดเห็นที่ 22 #19 >>>.....แล้วทีฮากว่าก็คือเมื่อย้อนกลับไปมาก ๆ เข้ากลับพบว่าดันไปมีต้้นกำเนิดเดียวกับซิมแปนซี ฮาจริงๆครับ เพราะจริงๆแล้วยังไม่เคยมีการพิสูจน์ว่าเป็นอย่างที่กล่าวอ้าง #20  สำหรับ Link ที่อ้างถึงนั้น >>> ไม่มีหลักฐานฟอสซิลแม้แต่ชิ้นเดียวที่อยู่ผิดที่ผิดทาง   มีสิครับ ยกตัวอย่างเช่น ซากฟอสซิลของนก มีความเก่าแก่กว่าซากฟอสซิลของไดโนเสาร์พันธุ์ที่นักนิยมวิวัฒนาการเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของนกครับ จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 18:29:50 ]

ความคิดเห็นที่ 23 การเกิดของเกล็ดและขนนกแตกต่างกัน   "unlike scales, below the feather epidermal placode a dermal condensation develops which undergoes a nonproliferative phase. >>>>นั่นสิ วิธีแยกก็มีแล้วก็น่าตอบได้นะครับว่าภาพไหนเป็นขนนก จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 19:02:13 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ฮาจริงๆครับ เพราะจริงๆแล้วยังไม่เคยมีการพิสูจน์ว่าเป็นอย่างที่กล่าวอ้าง >>>นั่นสิถ้าข้อมูลเรื่องDNAของลิงกับมนุษย์ไม่น่าเชื่อถือ เรื่องที่ว่ามนุษย์สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์ในอดีตเพียงไม่กี่คนก็ไม่น่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน มีสิครับ ยกตัวอย่างเช่น ซากฟอสซิลของนก มีความเก่าแก่กว่าซากฟอสซิลของไดโนเสาร์พันธุ์ที่นักนิยมวิวัฒนาการเชื่อ ว่าเป็นบรรพบุรุษของนกครับ >>>นั่นก็ยังไม่ได้ถือว่าผิดทาง แต่ได้แสดงนกได้วิวัฒนาการมาก่อนน่าที่เข้าใจกัน แต่ยังไงก็เกิดหลังสัตว์เลื้อยคลานอยู่ดี ไม่ได้เกิดก่อนดังที่อ้างในคัมภีร์ จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 19:08:53 ]

ความคิดเห็นที่ 25 #23   คุณ silverspider ถามผมว่าการเกิดและพัฒนาของเกล็ดและขนนกแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งผมก็ได้ตอบไปแล้ว ทีนี้ไอ้การดูว่าอันไหนเป็นอันไหนในสภาวะตอนเริ่มแรกเนี่ย ถ้าไม่เคยเห็นมาก่อนว่ารูปร่างแต่ละอันมันเป็นอย่างไร ก็บอกไม่ถูกหรอกครับ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ก็เท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 49 19:13:04 จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 19:11:28 ]

ความคิดเห็นที่ 26 #24 >>>นั่นสิถ้าข้อมูลเรื่องDNAของลิงกับมนุษย์ไม่น่าเชื่อถือ เรื่องที่ว่ามนุษย์สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์ในอดีตเพียงไม่กี่คนก็ไม่น่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน ระหว่างการวิเคราะห์เพื่อหาเชื้อสายของมนุษย์ในอดีต กับการหาว่ามนุษย์กับชิมแปนซีซึ่งเป็นคนละชนิดกันมีต้นกำเนิดเดียวกัน เรื่องซากฟอสซิลของนก มันแสดงว่านกเกิดก่อนบรรพบุรุษของมัน ซึ่งก็แปลว่ามีฟอสซิลที่อยู่ผิดที่ผิดทางครับ ดังนั้น คำกล่าวอ้างใน http://www.pantown.com/board.php?id=8396&area=1&name=board1&topic=23&action=view จึงไม่เป็นความจริงครับ จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 19:23:49 ]

ความคิดเห็นที่ 27 การจำลองสภาวะทำไม่ได้อย่างสมบูรณ์หรอกครับ เพราะไม่ได้มีแค่อุณหภูมิ ความชื้น ยังต้องสภาวะภูมิประเทศ การหมุนเวียนแร่ธาตุ สัตว์อื่นที่วิวัฒนาการร่วมกัน การกดดันจากเหยื่อ และผู้ล่า และสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่งบางปัจจัยก็ไม่มีผล บางปัจจัยก็มีผลน้อย บางปัจจัยก็ต้องมีปัจจัยอื่นมาร่วมด้วย เรื่องของเรื่องคือมันซับซ้อน และยุ่งยากเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้ โดยไม่ได้รับความเมตตาจากเทพมังกร แค่ทำความรู้จักให้หมดยังไม่ได้เลย อย่าคิดจะไปสร้างมันขึ้นมาใหม่ ------------------------------------ เข้าใจว่าเรื่องชิมแปนซีนี่อ้างกันจากชิมแปนซี จีโนมโปรเจ็ค กับฮิวแมน จีโนมโปรเจ็ค (และอีกหลายจีโนมโปรเจ็ค) ถ้าดูหลักฐานจากเรื่องนี้รวมกับอีกหลายๆ สาขาวิชา มันจะออกมาสอดคล้องกันหมดครับ ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าหลักฐานเรื่องนี้หนาแน่นเอาการ ว่ามีสายวิวัฒนาการร่วมกันมา แต่ไม่ถึงขนาดมีหลักฐานเป็นวิดีโอไว้ เพราะตอนวิวัฒนาการตอนนั้น ท่านเทพมังกรยังหาอัครสาวกที่จะมาดลใจให้ถ่ายวิดีโอไม่ได้ เพราะทั้งลิง ทั้งคนยังอ่านคู่มือการใช้ไม่ออกกันซักตัว เอ๊ย.. ซักคน -------------------------------------------------- เรื่องต้นกำเนิดนกนี่ยังตีกันไม่จบครับ ยังไม่มีข้อสรุปที่ฟันธงว่ามายังไงกันแน่ เพราะมีหลักฐานสายหลักๆ อยู่สองสาย และหลักฐานยังไม่เหนือกว่ากัน อย่างไร้ข้อสงสัย ต่างฝ่ายต่างแย้งอีกฝ่ายหนึ่งได้หลายเรื่อง สายนึงว่ามาจากพวกที่อยู่บนต้นไม้ อย่างอาร์คีออพเทอริกซ์ สายนึงว่ามาจากพวกที่เดินอยู่บนพื้น อย่างโอโวแร็ปเตอร์ นี่ยังมีนักโบราณชีววิทยาสายอัลเตอร์ที่บอกว่าน่าจะมาจากสัตว์ในตระกูลอื่นอีกตะหาก อันนี้ปล่อยให้เค้าตีกันไปก่อนครับ ให้ได้ข้อสรุปก่อน จากคุณ : อะธีลาส - [ 20 ธ.ค. 49 19:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ silverspider ถามผมว่าการเกิดและพัฒนาของเกล็ดและขนนกแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งผมก็ได้ตอบไปแล้ว ทีนี้ไอ้การดูว่าอันไหนเป็นอันไหนในสภาวะตอนเริ่มแรกเนี่ย ถ้าไม่เคยเห็นมาก่อนว่ารูปร่างแต่ละอันมันเป็นอย่างไร ก็บอกไม่ถูกหรอกครับ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ก็เท่านั้นเอง >>>>ถ้าการเกิดและพัฒนาต่างกัน สภาวะเริ่มแรกกน่า็ต่างกันแล้วสิครับ ถ้าคล้ายคลึงกันก็ว่าไปอย่าง คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าที่เอามานั้นเขาไม่ได้บอกความแตกต่างตอนที่มันพััฒนาจนสามารถแยกได้ชัดเจนแล้ว จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 19:33:55 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ตอบ #27 คุณอะธีลาสครับ ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ได้บอกว่าจำเป็นต้องจำลองให้เหมือนสมบูรณ์เป๊ะนี่ครับ แค่ให้ใกล้เคียงแล้วก็ทดลองให้ผ่านไปหลายแสนหลายล้านรุ่น ก็น่าจะได้ผลแล้วครับถ้าทฤษฎีถูกต้องจริง แต่ผลจากการทดลองก็ไม่เห็นว่าจะเกิด macro-evolution ขึ้นมาได้ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เรื่องชิมแปนซีนั้น ที่คุณอะธีลาสบอกว่ามีหลักฐาน ช่วยบอกด้วยครับว่ามีอะไรบ้าง แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 49 19:45:00 จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 19:43:11 ]

ความคิดเห็นที่ 30 การจำลองสภาวะทำไม่ได้อย่างสมบูรณ์หรอกครับ เพราะไม่ได้มีแค่อุณหภูมิ ความชื้น ยังต้องสภาวะภูมิประเทศ การหมุนเวียนแร่ธาตุ สัตว์อื่นที่วิวัฒนาการร่วมกัน การกดดันจากเหยื่อ และผู้ล่า และสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่งบางปัจจัยก็ไม่มีผล บางปัจจัยก็มีผลน้อย บางปัจจัยก็ต้องมีปัจจัยอื่นมาร่วมด้วย >>>>ใช่ครับ ถ้าสามารถจำลองได้เหมือนเหตุการณ์ในอดีตได้หมดและระยะเวลาเท่ากัน หากไม่ได้ผลก็นำมาอ้างอิงได้ เข้าใจว่าเรื่องชิมแปนซีนี่อ้างกันจากชิมแปนซี จีโนมโปรเจ็ค กับฮิวแมน จีโนมโปรเจ็ค (และอีกหลายจีโนมโปรเจ็ค) ถ้า ดูหลักฐานจากเรื่องนี้รวมกับอีกหลายๆ สาขาวิชา มันจะออกมาสอดคล้องกันหมดครับ ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าหลักฐานเรื่องนี้หนาแน่นเอาการ ว่ามีสายวิวัฒนาการร่วมกันมา >>>>ใช่ครับ ใช้วิธีเดียวกับการหาต้นกำเนิดของมนุษย์ว่ามาจากที่ใด เรื่องต้นกำเนิดนกนี่ยังตีกันไม่จบครับ ยังไม่มีข้อสรุปที่ฟันธงว่ามายังไงกันแน่ เพราะมีหลักฐานสายหลักๆ อยู่สองสาย และหลักฐานยังไม่เหนือกว่ากัน อย่างไร้ข้อสงสัย ต่างฝ่ายต่างแย้งอีกฝ่ายหนึ่งได้หลายเรื่อง สายนึงว่ามาจากพวกที่อยู่บนต้นไม้ อย่างอาร์คีออพเทอริกซ์ สายนึงว่ามาจากพวกที่เดินอยู่บนพื้น อย่างโอโวแร็ปเตอร์ นี่ยังมีนักโบราณชีววิทยาสายอัลเตอร์ที่บอกว่าน่าจะมาจากสัตว์ในตระกูลอื่นอีกตะหาก >>> คาดว่าคงเถียงกันอีกนานครับ แต่ยังไงก็เห็นตรงกันว่านกนั้นวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน นอกจากนกแล้วก็เห็นเถียงกันเรื่องเต่าอีก จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 19:44:01 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ยังดีกระทู้กลับมาเป็นปรกติได้ คงเพราะพลังแห่งเทพมังกร เอนมา จากคุณ : cookiecompany - [ 20 ธ.ค. 49 19:44:43 ]

ความคิดเห็นที่ 32 #30 >>>ใช่ครับ ถ้าสามารถจำลองได้เหมือนเหตุการณ์ในอดีตได้หมดและระยะเวลาเท่ากัน หากไม่ได้ผลก็นำมาอ้างอิงได้ โอ้โฮ เป็นการแก้ตัวไว้ล่วงหน้าที่ดีมากครับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ทฤษฎีวิวัฒนาการบอกก็คือ การกลายพันธุ์ + ระยะเวลานาน (เป็นล้านๆ generation) + สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป = macro-evolution  ดังนั้นในการทดลองไม่จำเป็นต้องเหมือนกับในอดีตเป๊ะ ก็จะเกิด macro-evolution ได้ตามสูตรที่ว่านี้ (ถ้าทฤษฎีเป็นจริง)   ดังนั้น ข้ออ้างที่อ้างมานั้นใช้ไม่ได้ครับ >>>>>>เข้าใจว่าเรื่องชิมแปนซีนี่อ้างกันจากชิมแปนซี จีโนมโปรเจ็ค กับฮิวแมน จีโนมโปรเจ็ค ........... >>ใช่ครับ ใช้วิธีเดียวกับการหาต้นกำเนิดของมนุษย์ว่ามาจากที่ใด ช่วยบอกหน่อยสิครับว่าคือวิธีนั้นทำยังไง เป็นวิธีเดียวกันยังไงครับ >> คาดว่าคงเถียงกันอีกนานครับ แต่ยังไงก็เห็นตรงกันว่านกนั้นวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน นอกจากนกแล้วก็เห็นเถียงกันเรื่องเต่าอีก ความเห็นที่ว่านกวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานนั้นเป็นความเชื่อของนักนิยมวิวัฒนาการครับ ไม่ได้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ หลักฐานที่ขัดแย้งก็มีอยู่เยอะ ลองศึกษาดูได้ครับ แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 49 20:06:46 จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 20:00:42 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ทฤษฎีวิวัฒนาการบอกก็คือ การกลายพันธุ์ + ระยะเวลานาน (เป็นล้านๆ generation) + สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป = macro-evolution  ดังนั้นในการทดลองไม่จำเป็นต้องเหมือนกับในอดีตเป๊ะ ก็จะเกิด macro-evolution ได้ตามสูตรที่ว่านี้ (ถ้าทฤษฎีเป็นจริง)   ดังนั้น ข้ออ้างที่อ้างมานั้นใช้ไม่ได้ครับ >>>>แล้วคุณแน่ใจได้อย่างไรว่าการทดลองโดยใช้ปัจจัยนั้น สามารถส่งผลให้เกิด macro-evolution ได้ การที่เอาตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งออกแล้วการทดลองไม่ได้ผล แล้วก็สรุปว่าสิ่งนั้นผิดมันถูกต้องแล้วรึ แล้วทราบปัจจัยที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในแต่ละรุ่นแน่แล้วรึครับ ช่วยบอกหน่อยสิครับว่าคือวิธีนั้นทำยังไง เป็นวิธีเดียวกันยังไงครับ >>>http://www.pnas.org/cgi/reprint/101/9/2957.pdf http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/4991470.stm http://www.genome.gov/Pages/Research/DIR/Chimp_Analysis.pdf http://www.genome.org/cgi/content/full/12/11/1663 http://en.wikipedia.org/wiki/Human_evolutionary_genetics http://compbiol.plosjournals.org/perlserv/?request=get-document&doi=10.1371/journal.pcbi.0020038 ความเห็นที่ว่านกวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน นั้นเป็นความเชื่อของนักนิยมวิวัฒนาการครับ ไม่ได้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ หลักฐานที่ขัดแย้งก็มีอยู่เยอะ ลองศึกษาดูได้ครับ >>>>มีหลักฐานอะไรบ้างล่ะครับที่ขัดแย้งกัน ทฤษฏีวิวัฒนาการไม่ได้ปฏิเสธนะว่าต้องกำเนิดมาจากสัตว์กลุ่มเดียวกัน แล้วมีหลักฐานอะไรบ้างครับที่พิสูจน์ได้ว่านกมีกำเนิดมาก่อนสัตว์เลื้อยคลานดังที่ได้อ้างไว้ในคัมภีร์ จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 20:33:32 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เพิ่มเติมหน่อย โดยธรรมชาติของนักวิทยาศาสตร์น่ะ จะพยายามหาหลักฐานใหม่ๆ มาล้มทฤษฎีเก่าของคนอื่นอยู่แล้ว   เพื่อเสนอทฤษฎีของตัวเอง ถ้ามันแน่นหนาถึงขนาดล้มไม่ลง หรือหาทฤษฏีที่เจ๋งกว่ามาไม่ได้ มันก็จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อย่างกรณีสายวิวัฒนาการของ Hominid ในช่วง 3-4 แสนปีหลัง ที่หลักฐานใหม่ ยังล้มหลักฐานเก่าไม่ลง กลับเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้ทฤษฎีเก่า ไม่ว่าหลักฐานจากการขุดค้นฟอสซิล หรือจีโนม แต่กรณีของนก หรือโฮมินิดในช่วงเก่ากว่าห้าแสนปี ยังมีหลักฐานใหม่ มาสั่นคลอนทฤษฏีเก่าอยู่เรื่อยๆ แต่อย่างที่ว่า คือ นก เกิดขึ้นมาในโลกหลังสัตว์เลื้อยคลานแน่นอน เพราะฟอสซิลที่เก่าที่สุดของนก ยังไม่เก่าเท่ากับสัตว์เลื้อยคลานที่เก่าที่สุด เพียงแต่ยังไม่มีข้อสรุปว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดไหนกันแน่ ที่เป็นต้นกำเนิดของนก หลักฐานที่จะล้มทฤษฎีนี้ได้คือ ฟอสซิลของนก ที่เก่ากว่า หรือเก่าเท่ากับ สัตว์เลื้อยคลานชนิดที่เก่าแก่ที่สุด ถ้าเจอเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ก็เผาตำรา โยนทฤษฎีนี้ลงถังขยะไปได้เลย ------------------------------------------------------- เรื่องของวิวัฒนาการตั้งแต่ต้นมาจนถึงวันนี้ เป็นเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ เพื่อให้ได้รูปเต็มออกมานั่นแหละ มันก็มีช่องโหว่ช่องว่าง มีตัวต่อที่ใส่ผิดช่องอยู่เยอะ และตรงที่มีภาพชัดเจนไร้ข้อสงสัยแล้ว ก็มีอยู่ไม่น้อย ตรงที่เห็นภาพคร่าวๆ ว่าเป็นอย่างไร แต่ยังไม่รู้รายละเอียด ก็ยังมี ตรงที่เห็นว่าต่อกันไม่ลงแน่ๆ ก็มี ตรงที่อาจจะต่อได้ แต่ไม่แน่ใจก็เยอะ ต้องหาหลักฐานมาแกะเอาตัวที่ต่อผิดออก แม้ในช่วงเวลาหนึ่งเราอาจจะนึกว่ามันถูก แต่เมื่อมีหลักฐานแย้ง ที่ถูกต้องยิ่งกว่า ก็ต้องรับเอาอันใหม่มาใส่แทน หรือมีหลายอันที่น่าจะถูกเหมือนกัน ก็ต้องเอามันมาวางไว้ใกล้ๆ กัน แล้วค่อยดูตัวต่อตัวอื่นประกอบ ว่าอันไหนคืออันที่ใช่ ตรงไหนที่หารูปมาต่อไม่ได้ ก็ต้องเดาโดยวาดภาพไว้คร่าวๆ ว่ามันควรจะเป็นอย่างไร โดยเดาจากภาพแวดล้อม ซึ่งมันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือเป็นอย่างอื่นก็ได้ ใครๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะเติมช่องว่างนี้ได้ นักวิทยาศาสตร์อาจจะยินดีวาดรูปฟอสซิลลงไป ผู้ศรัทธาในไบเบิ้ล ก็จะเอารูปไบเบิ้ลวาดลงไป ซึ่งไม่ว่าจะวาดอะไร ตราบใดที่วาดลงไปแล้วไม่ขัดแย้งกับรูปรอบข้างก็ถือว่าใช้ได้ ถ้าขัดแย้งก็ต้องแก้ไขรูปที่วาด ไม่ใช่ไปแก้ไขจิ๊กซอว์ที่มีอยู่แล้ว ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจิ๊กซอว์นั้นผิด แต่ก็มีสิทธิ์ตั้งข้อสงสัยว่าจิ๊กซอว์นั้นผิดได้ แต่ก็ต้องหาหลักฐานอื่นมาถอดจิ๊กซอว์อันนั้นให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยวาดรูปของเราลงไป ไม่ว่าจะเป็นรูปอะไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วผมวาดรูปเองไม่เป็น ผมก็เลยยินดีที่จะเติมช่องว่างต่างๆ ด้วยรูปของท่านเทพมังกร เพราะเติมลงไปได้พอดีทุกช่องเลย ไม่ต้องแก้ไขจิ๊กซอว์ที่มีอยู่แล้วด้วย ถ้าจิ๊กซอว์ผิด ต้องแก้ใหม่ ผมก็ยังเอารูปเทพมังกรรูปอื่นมาใส่ได้อีกต่างหาก เพราะเทพมังกรมีตั้งหลายเวอร์ชั่นให้เลือกใช้ ป.ล. ไม่มีเทพมังกรเวอร์ชั่นใหม่ๆ นานแล้วนะ เดี๋ยวไม่พอใช้อ้ะ จากคุณ : อะธีลาส - [ 20 ธ.ค. 49 20:35:39 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โดยธรรมชาติของนักวิทยาศาสตร์น่ะ จะพยายามหาหลักฐานใหม ่ๆ มาล้มทฤษฎีเก่าของคนอื่นอยู่แล้ว   เพื่อเสนอทฤษฎีของตัวเอง ถ้ามันแน่นหนาถึงขนาดล้มไม่ลง หรือหาทฤษฏีที่เจ๋งกว่ามาไม่ได้ มันก็จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ >>>นักวิทยาศาสตร์ก็อยากมีชื่อเสียง เหมือนกับเจอสัตว์ชนิดใหม่ก็เอาชื่อตัวเองไปตั้ง(แต่บางตัวนี่อาจคิดดูก่อนหลายรอบ 55+) หลักฐานที่จะล้มทฤษฎีนี้ได้คือ ฟอสซิลของนก ที่เก่ากว่า หรือเก่าเท่ากับ สัตว์เลื้อยคลานชนิดที่เก่าแก่ที่สุด ถ้าเจอเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ก็เผาตำรา โยนทฤษฎีนี้ลงถังขยะไปได้เลย >>>นักวิทยาศาสตร์เปิดกว้างอยู่เสมอครับสำหรับการค้นพบอันยิ่งใหญ่นี้ จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 21:20:00 ]

ความคิดเห็นที่ 36 PureTruth ครับ หลักฐานทางfossil 10ล้านปีก่อนไม่มีหมานะครับ หรือไม่เคยเจอซาก มีแต่ ซากของ สัตว์ ที่ คล้ายหมามากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่น้อยลง จะบอกว่า 10 ล้านปีหมายังเหมือนเดิมไม่ได้ หมาด้วยกันยังแบ่งเป็นorderได้อีก ก่อนspecieด้วย หลักฐานอีกอย่างที่พิสูจน์ทฤษฎีวิวัฒนาการคือfossilนี่แหล่ะครับ ที่พบสิ่งมีชีวิต ที่เราวัดค่าอายุของมันตอนยังอยู่ได้ และพบว่ามันไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว และเช่นกันที่เรามักไม่พบสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกปัจจุบัน ในเวลาในอดีต นานมากๆ พอดี ผมไม่ได้เรียน ด้านชีวะ ที่พอจะบอกได้ว่าแบคทีเรีย กลายเป็นspecieใหม่ได้แค่ไหนครับ แต่โครงสร้างDNAของมันเปลี่ยนไป ได้เพื่อการทนต่อ ยาปฏิชีวนะแน่ๆ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 20 ธ.ค. 49 21:23:00 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ^ ให้คะแนนความตั้งใจเต็มสิบครับ  :) จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 21:59:02 ]

ความคิดเห็นที่ 38 #33 >>>แล้วคุณแน่ใจได้อย่างไรว่าการทดลองโดยใช้ปัจจัยนั้น สามารถส่งผลให้เกิด macro-evolution ได้ ตามทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ว ปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป ก็จะทำให้เกิดการวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดที่แตกต่างกัน (macro-evolution ไปสู่ชนิดที่ต่างกัน ตามปัจจัยแวดล้อมที่ต่างกันนั้น) ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะบอกว่าปัจจัยที่ใช้ในการทดลองนั้นไม่สามารถทำให้เกิด macro-evolution ขึ้นมาได้ >>>>>>ช่วยบอกหน่อยสิครับว่าคือวิธีนั้นทำยังไง เป็นวิธีเดียวกันยังไงครับ >>>http://www.pnas.org/cgi/reprint/101/9/2957.pdf http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/4991470.stm http://www.genome.gov/Pages/Research/DIR/Chimp_Analysis.pdf http://www.genome.org/cgi/content/full/12/11/1663 http://en.wikipedia.org/wiki/Human_evolutionary_genetics http://compbiol.plosjournals.org/perlserv/?request=get-document&doi=10.1371/journal.pcbi.0020038 ก็แตกต่างกันนี่ครับ เรื่องการหาเชื้อสายของมนุษย์ในอดีตใช้หลัก Population Genetics    ส่วนการหาว่ามนุษย์และชิมแปนซีมีบรรพบุรุษร่วมกันหรือไม่ ใช้หลักการอ้างอิงอื่นๆ   ดังนั้น เรื่องการหาเชื้อสายของมนุษย์ในอดีตอาจจะถูก ในขณะที่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับชิมแปนซีอาจจะผิดก็เป็นไปได้ จากคุณ : PureTruth - [ 20 ธ.ค. 49 22:21:00 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ประวัติศาสตร์เป็นวิชาเดียวที่ห้ามสรุป และยุติความถูกต้อง เมื่อใดที่พบหลักฐานใหม่ ประวัติศาสตร์จะต้องน้อมรับความเปลี่ยนแปลงอย่างยินดี ต้องทำให้หัวใจไร้พรมแดน เพื่อรู้เขา รู้เรา รู้โลก สุจิตต์ วงษ์เทศ ----------------------------- น่าจะประยุกต์เอามาใช้กับทฤษฎีวิวัฒนาการได้นะ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ไม่ว่าใครถูกใครผิด ใครเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับใคร กระทู้อภิปรายถกเถียงแบบนี้สมควรมีในห้องหว้ากอเยอะๆ ครับ จากคุณ : อะธีลาส - [ 20 ธ.ค. 49 22:28:49 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ตามทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ว ปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป ก็จะทำให้เกิดการวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดที่แตกต่างกัน (macro-evolution ไปสู่ชนิดที่ต่างกัน ตามปัจจัยแวดล้อมที่ต่างกันนั้น) ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะบอกว่าปัจจัยที่ใช้ในการทดลองนั้นไม่สามารถทำให้เกิด macro-evolution ขึ้นมาได้ >>>แล้วจะแน่ใจอย่างไรว่าปัจจัยไหนที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ที่นำไปสู่ระดับมหภาค ถ้าเอาการทดลองที่ทำให้พวกโปรคารีโอตแล้วไปเทียบกับพวกที่สูงกว่าแค่คิดก็ผิดแล้วครับ ต้องไปเทียบกับแบบอย่างเดียวกัน จากหลักฐานซากฟอสซิลที่นักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้ จากโปรคารีโอตไปเป็นยูคารีโอตใช้เวลาไม่ต่ำกว่า500ล้านปีนะครับกี่รุ่นล่ะครับแถมมีตัวแปรตั้งมากมาย แล้วที่ทดลองแล้วบอกไม่กลายพันธุ์เป็นอีกแบบหนึ่งนะทดลองเวลาเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเวลาอย่างต่ำ 500 ล้านปีล่ะครับ ก็แตกต่างกันนี่ครับ เรื่องการหาเชื้อสายของมนุษย์ในอดีตใช้หลัก Population Genetics    ส่วนการหาว่ามนุษย์และชิมแปนซีมีบรรพบุรุษร่วมกันหรือไม่ ใช้หลักการอ้างอิงอื่นๆ   ดังนั้น เรื่องการหาเชื้อสายของมนุษย์ในอดีตอาจจะถูก ในขณะที่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับชิมแปนซีอาจจะผิดก็เป็นไปได้ >>>แน่ใจหรือครับว่าการหาเชื้อสายของมนุษย์ในอดีตใช้หลัก Population Genetics แต่เพียงอย่างเดียว จากคุณ : silverspider - [ 20 ธ.ค. 49 23:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ^ ^ เอายังงั้นเลยเหรอครับ ที่คุยกันมาตลอดเนี่ยเป็น macro-evolution ที่เปลี่ยนแปลงชนิดของสิ่งมีชีวิต ถ้าเป็นสัตว์ก็เช่น หมา แมว หมี ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับประมาณ Family ครับ  คุณ silverspider เล่นเอา Prokaryote กับ Eukaryote มาเทียบด้วย มันก็เกินปาย....   นั่นมันเป็นความแตกต่างระดับสูงสุด คือ Super Kingdom (หรือ Domain) เลยนะครับ สำหรับการวิเคราะห์เชื้อสายของมนุษย์ในอดีตว่าสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มคนจำนวนน้อยนิด (ที่เผอิญเหลือรอดชีวิตในอดีตช่วงนั้น) ใช้เรื่อง Population Genetics เป็นหลักสำคัญครับ เรื่องอื่นก็แค่ประกอบนิดหน่อย แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 49 01:07:13 แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 49 01:01:37 จากคุณ : PureTruth - [ 21 ธ.ค. 49 00:58:04 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เอายังงั้นเลยเหรอครับ ที่คุยกันมาตลอดเนี่ยเป็น macro-evolution ที่เปลี่ยนแปลงชนิดของสิ่งมีชีวิต ถ้าเป็นสัตว์ก็เช่น หมา แมว หมี ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับประมาณ Family ครับ  คุณ silverspider เล่นเอา Prokaryote กับ Eukaryote มาเทียบด้วย มันก็เกินปาย....   นั่นมันเป็นความแตกต่างระดับสูงสุด คือ Super Kingdom (หรือ Domain) เลยนะครับ >>>>แล้วมีการทดลองในพวกหมา แมว หมี รึยังล่ะครับ สำหรับการวิเคราะห์เชื้อสายของมนุษย์ในอดีตว่าสืบ เชื้อสายมาจากกลุ่มคนจำนวนน้อยนิด (ที่เผอิญเหลือรอดชีวิตในอดีตช่วงนั้น) ใช้เรื่อง Population Genetics เป็นหลักสำคัญครับ เรื่องอื่นก็แค่ประกอบนิดหน่อย >>>แล้วลิงค์ที่ผมยกตัวอย่างมาไม่มีลิงค์ไหนใช้เรื่องPopulation Genetics สักลิงค์เลยรึครับ จากคุณ : silverspider - [ 21 ธ.ค. 49 07:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ^ ^ >>>แล้วลิงค์ที่ผมยกตัวอย่างมาไม่มีลิงค์ไหนใช้เรื่องPopulation Genetics สักลิงค์เลยรึครับ ผมไม่มีเวลาพอที่จะไปดูอย่างละเอียดให้คุณ silverspiderทุก Link หรอกนะครับ ถ้าคุณเจออะไรที่คิดว่ามีสาระสำคัญและ'ตรงประเด็น'ก็ยกมาอธิบายได้เลยครับ จากคุณ : PureTruth - [ 21 ธ.ค. 49 08:32:02 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อ่านตั้งนาน งงครับ สรุปว่ายังมีคนที่พอจะมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าพระคัมภรีณ์ ไรเนี่ยอยู่เหรอ แสดงว่าคุณยังเชื่ออยู่สิ ว่าโลกแบนแล้วก็เป็นศูนย์กลางจักรวาล แถมถูกสร้างมาภายใน 7 วัน แล้วสรุปคุณ silverspider จะไปเถียงกะเขาทามมายครับเนี่ย อ้อ คห.7 ครับ ผมก็ได้ยินเขาเล่ามาเหมือนกันว่า พวกมุสสลิมได้พรจากพระอัลเลาห์ ให้มีแหล่งน้ำมัน ลองสังเกตดูสิครับ ว่าแหล่งน้ำมันแหล่งใหญ่ๆ ล้วนอยู่ในประเทศมุสสลิมทั้งนั้นเลย คุณว่าจริงมะ แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 49 14:02:25 จากคุณ : anitjung - [ 21 ธ.ค. 49 13:54:13 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ^ ^ เอ่อ.....  คุณไม่รู้หรือครับว่าโลกแบนไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์  ดังนั้น ผมไม่เห็นต้องเชื่อว่าโลกแบนเลยนะครับ (คุณไปหาเอาเองก็แล้วกันว่าความเชื่อเรื่องโลกแบนมีประวัติความเป็นมายังไง เผื่อจะรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง)  แล้วก็คำว่า 'วัน' ในพระคัมภีร์ไม่จำเป็นต้องแปลว่า 24 ชั่วโมง มันมีความหมายที่กว้างกว่านั้น (แปลว่าช่วงเวลาหนึ่งก็ได้) ลองศึกษาพระคัมภีร์ดูแล้วก็จะรู้ครับ สำหรับเรื่องแหล่งน้ำมัน ถ้าจำไม่ผิด แหล่งน้ำมันใหญ่ๆมีอยู่ที่ประเทศรัสเซีย แคนาดา เวเนซุเอลา ฯลฯ ด้วย ซึ่งพวกนี้ไม่ใช่ประเทศมุสลิมครับ จากคุณ : PureTruth - [ 21 ธ.ค. 49 14:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ anitjung ไปอยู่ที่ไหนมาครับ ถึงยังเข้าใจผิดๆว่าศาสนาคริสต์สอนว่าโลกแบน คนแถวนี้เขาเลิกพูดเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้วครับ เขาเข้าใจกันหมดแล้วว่า นั่นไม่ใช่คำสอนของศาสนา ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องของชีวิตในดึกดำบรรพ์ ว่าที่พระคัมภีร์ว่าไว้ กับที่ทฤษฎีวิวัฒนาการว่าไว้ ว่าอันไหนน่าจะมีน้ำหนักกว่ากัน สิ่งสารพัดที่ละเอียดและซับซ้อน ควรมีผู้ออกแบบสร้าง หรือควรจะเกิดจากการพัฒนาตัวเองจากความไม่มีอะไรเลย จะร่วมวงก็ยินดีนะครับ จากคุณ : ksk - [ 21 ธ.ค. 49 14:22:41 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เวรกรรม ตกลงไม่ได้อยู่ในพระคัมภรีณ์เหรอ แล้วที่มีคนต้องตายเพราะไม่เชื่อว่าโลกแบนนี่ ก็ตายเปล่าซิ แล้ว 7 วัน ในศาสนาคริสต์นี่ ไม่ใช่ 7 วันมนุษย์อีก แสดงว่าเป็น 7 วันเทพ แสดงว่าพระคัมภรีณ์นี่ต้องตีความอะไรกันอีกเยอะเลยนะ มนุษย์ธรรมดาคงไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆแน่เลย แต่ผมเชื่อนะว่าอีกหน่อยเรื่องวิวัฒนาการ พอมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ชัดเจนกว่านี้ ก็ต้องมาบอกอีกทีละว่าไม่ได้อยู่ในพระคัมภรีณ์เชื่อมะ หนังสือนะมันแก้ได้ง่ายจะตาย แล้วเรื่องบ่อน้ำมัน ผมก็รู้ว่ามันมีอยู่ทั่วไปนั่นแหละ เพียงแต่เอามายกให้ดูเป็นตัวอย่างความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่ง ที่เชื่อว่ากลุ่มของตนพิเศษกว่า คนกลุ่มอื่นๆ อย่างญี่ปุ่นเขาก็เชื่อว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาบนโลกนี้และมีความพิเศษกว่าคนอื่น คุณเชื่อเขามะ ขออภัยที่เบี่ยงเบนประเด็น กระทู้ จากคุณ : a (anitjung) - [ 21 ธ.ค. 49 15:12:31 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อ้าว... กรรมเวร   อันนี้น้องก็ยังเข้าใจผิดอีก ว่าหนังสือแก้กันได้ ถ้ามันแก้กันง่ายๆ แก้ไปแก้มาเองได้ตามใจชอบ อันนั้นคงเป็นเล่มอื่นแล้ว ไม่ใช่ไบเบิ้ลของคริสเตียนแน่นอนครับ หากน้องจะค้นคว้าดูอีกสักหน่อย ก็จะพบหลักฐานเรื่องความมั่นคงของเนื้อความในไบเบิ้ล ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอด 4-5 พันปี เว้นแต่ไม่ต้องการรับรู้ อันนั้นผมก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้ครับ จากคุณ : ksk - [ 21 ธ.ค. 49 15:44:11 ]

ความคิดเห็นที่ 49 #47 มนุษย์ธรรมดาก็สามารถเข้าถึงพระคัมภีร์ได้ง่ายๆครับ ถ้าสนใจซักหน่อย (ไม่ใช่เอาแต่โวยวายอย่างนี้) พระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีการคัดลอกจากต้นฉบับอย่างเที่ยงตรงเป็นเวลาพันๆปีมาแล้ว การแก้ไขพระคัมภีร์ให้ต่างจากต้นฉบับเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ครับ ความเชื่อเรื่องบ่อน้ำมัน ฯลฯ ถ้าจะผิด ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับความเชื่อของคริสเตียนนะครับ มันต้องพิสูจน์เป็นเรื่องๆไป (พอจะเข้าใจไหมครับ ?) แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 49 15:56:00 แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 49 15:52:09 จากคุณ : PureTruth - [ 21 ธ.ค. 49 15:44:21 ]

ความคิดเห็นที่ 50 นึกอยู่แล้วครับ ว่าคุณต้องบอกว่า คัมภีร์ ไบเบิ้ลแก้ไม่ได้ แต่คนที่ตีความไงครับ ที่เป็นคนเปลี่ยน เปลี่ยนในการตีความไงครับ ถ้าคุณรู้จักหนังสือของนอสตราดรามุส คุณก็คงทราบว่ากระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่ออยู่ ทั้งๆที่พบแล้วไม่เป็นความจริง เป็นแค่หนังสือโกหกหลอกลวงเล่มหนึ่งแค่นั้น เพราะอะไร ก็อยู่ที่คนตีความไงครับ ผมไม่ใช่ผู้ชำนาญการในคัมภรีไบเบิ้ลหรอกนะครับ แค่พอจะทราบอยู่ว่ามีคัมภรีเก่า คัมภรี ใหม่ซึ่งทั้งสองเล่มก็เป็นแค่หนังสือของคนธรรมดาที่เขียนขึ้นมา และอ้างว่า เป็นสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้า ซึ่งก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ และภาษาที่เขียน รวมถึงความหมายต่างๆ จนปัจจุบันก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด ยังต้องมีการตีความอยู่ ใช่หรือไม่ เรื่อง ตรรกกะนะครับ ขอความกรุณาอย่ามาอ้างได้มั้ยครับ เพราะผมถือมาตลอดว่า ศาสนาคริสต์ไม่มี ตรรกะครับ แล้วที่ผมพูดเรื่องบ่อน้ำมันนี่คุณก็ยังอ่านไม่เข้าใจอีกเหรอครับว่าผมหมายถึงอะไร สุดท้ายผมคงไม่โต้ตอบอะไรแล้วละ เพราะถือว่าเป็นเรื่องเสียเวลานะครับ และคงไม่ไปค้นคว้าในสิ่งที่ผมแน่ใจว่าเป็นเรื่องไร้สาระนะครับ ปล. ดีใจจังมีคนเรียกน้อง จากคุณ : anitjung - [ 21 ธ.ค. 49 16:02:50 ]

ความคิดเห็นที่ 51 อ้อ.. ไม่เป็นไรครับ ถ้าน้องตั้งธงไว้ในใจอย่างนั้นว่า ศาสนาคริสต์ไม่มีตรรกะ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ครับ ใครจะไปบังคับให้น้องเชื่อก็ไม่ได้ แต่ความจริงก็คือความจริงครับ ถ้าจะพยายามเชื่อให้มีพระเจ้าโดยที่พระเจ้าไม่มีจริง ก็จะทำให้มีพระเจ้าไม่ได้ และถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง จะพยายามคิดว่าไม่มี ก็ทำให้พระเจ้าไม่มีไม่ได้เช่นกัน คริสเตียนกล้าพูดแบบนี้ น้องว่าแฟร์ไหมครับ ส่วนเรื่องตีความนั้น น้องพูดมาก็ดูเข้าทีดีนะครับ แต่ถ้าไม่ปิดตัวเองจนเกินไป จะรู้ว่าสิ่งที่มีในพระคัมภีร์ กับที่มีในบันทึกของนอสตราดามุสนั้นต่างกันมาก ถ้าน้องแฟร์กับตัวเองพอ ก็เชิญชวนให้เปิดโอกาสรับรู้บ้าง ส่วนที่พูดเรื่องบ่อน้ำมันนั้น ถ้าจะพยายามกระทบไปถึงมุสลิม ก็อย่าทำเลยครับ ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ได้ช่วยอะไรทั้งตัวเขาและตัวคุณเอง ปล. ที่เรียกน้องเพราะเห็นในชื่อมีคำว่า jung น่าจะประมาณ ซาโยจัง อะไรทำนองนั้น ถ้าสูงอายุแล้วก็ขออภัยด้วยครับ จากคุณ : ksk - [ 21 ธ.ค. 49 16:11:54 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ^ ^ anitjung = อนิจจัง  ครับ คุณ ksk   :) จากคุณ : PureTruth - [ 21 ธ.ค. 49 16:38:54 ]

ความคิดเห็นที่ 53 #50 คุณ anitjung ครับ ก็ดีครับที่คุณจะไม่เขียนต่อ เพราะดูแล้วคุณสับสนพอสมควร ห้องนี้เป็นห้องวิทยาศาสตร์นะครับ ไม่ใช่ห้องศาสนา สิ่งที่คุณพูดๆมาทั้งหมดนั้นไม่ได้เข้าประเด็นทางวิทยาศาสตร์เลยครับ และถ้าคุณจะเอาแต่พูดอะไรแย่ๆ ก็ไม่ต้องเข้ามาป่วนก็ได้ครับ เสียดายกระทู้ดีๆน่ะครับ เรื่องเปลี่ยนการตีความ มันก็ทำได้แค่ระดับนึงเท่านั้นแหละครับ เพราะยังไงก็มีตัวหนังสือโชว์อยู่ทนโท่ ส่วนเรื่องนอสตราดามุส เป็นการพิสูจน์ให้เห็นครับว่า ถ้าเปลี่ยนการตีความแบบสะเปะสะปะไปเรื่อยๆอย่างที่คุณอ้างนั้น ทำไปแล้วมันก็ไม่มีคนเชื่อถือ (อาจจะมีบางคนไม่กี่คน) แต่เรื่องการตีความของพระคัมภีร์นั้น ทำโดยมีหลักการทางวิชาการ ดังนั้น คนเป็นพันๆล้านคนจึงเชื่อถือครับ   เรื่องบ่อน้ำมัน ผมเข้าใจครับว่าคุณหมายถึงอะไร แต่มันใช้ไม่ได้เพราะตรรกะที่คุณใช้มันผิดครับ แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 49 17:04:27 แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 49 17:00:21 จากคุณ : PureTruth - [ 21 ธ.ค. 49 16:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เอิ้กๆๆๆ อีกแล้วครับท่าน กระทู้ยาวๆ แต่คงไม่อ่านละ ไม่มีอะไรใหม่ จากคุณ : shebang - [ 21 ธ.ค. 49 17:43:27 A:203.188.15.172 X: TicketID:063489 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ^ ^ จริงเหรอครับ   เรื่อง Population Genetics ก็ไม่ใหม่เหรอ ไม่จริงม้าง......... แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 49 18:23:21 จากคุณ : PureTruth - [ 21 ธ.ค. 49 18:11:01 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ตอนนี้ ผมไม่แน่ใจว่า การเป็นspeiceใหม่นั้นDNAจะต้องแตกต่างกันซักกี่% แต่ ถ้าการเป็นspecisใหม่คือ สืบพันธ์กันแล้ว ลูกไม่เป็นหมัน ก็เป็นspecieใหม่แล้ว มนุษย์ ที่เป็นหมันก็มี ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวรึป่าว ตามหลักคณิตศาสตร์ probably ที่คิดได้ง่ายๆ การเปลี่ยนแปลง ระดับDNAที่เล็กน้อย ที่ไปในทางเดียวกัน ให้สืบทอดทายาทแล้วไม่เป้นหมันได้ ผ่านระยะเวลาหลายรุ่นจัด มันก็เปลี่ยนแปลงspecisได้อยู่แล้ว เช่นXA = y   A คือ% การเปลี่ยนแปลง ของ การเปลี่ยนแปลงในแต่ละgeneration ที่เล็กน้อยมากๆ แต่เปลี่ยนไปในทุกรุ่น เอาจำนวนรุ่นมาคูณ ก็ได้แล้วว่าจะเปลี่ยนไปขนาดไหน เรื่องfossil ที่ไม่เจอในอดีตเพื่อจะหักล้างทฤษฎีนี้ได้ไม่เอามาพูดถึงซะที เรื่องไหน โดน เอามาพูดใหญ่ เรื่องไหนไม่ใช่ เงียบไป ผมเคารพศรัทธาพระเยซูในคุณธรรม และความแน่วแน่ที่ท่านมี แต่ความเชื่อจมหัวของสาวกบางคน คนละเรื่องกัน ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องศาสนาแล้ว จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 21 ธ.ค. 49 19:23:45 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ^ ^ จริงๆแล้ว 'ความเชื่อจมหัว' ก็มีกันทุกคนแหละครับ จะเป็นความเชื่อแบบไหนเท่านั้นเอง เพราะทุกศาสนา ทุกความเชื่อ มีสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ทั้งนั้น จากคุณ : PureTruth - [ 21 ธ.ค. 49 19:52:06 ]

ความคิดเห็นที่ 58 นั่นแหล่ะครับ เราเลือกที่จะเชื่อได้ ความเชื่อ มีในทุกศากนิกชน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นแบบนั้นครับ ไม่ได้แย่เพราะศาสนา แต่เพราะคนไงครับ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 21 ธ.ค. 49 23:43:52 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ^ ^ อ่านดีๆครับ ผมบอกว่า ความเชื่อมีอยู่ใน"ทุกศาสนา" และก็ทุกๆคนด้วยครับ (เพียงแต่จะอยู่ในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง).....  ไม่ได้หมายความอะไรอย่างที่คุณพูดเลยครับ จากคุณ : PureTruth - [ 22 ธ.ค. 49 00:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 60 โถ นึกว่าอะไร จากคุณ : S.Duangjai - [ 22 ธ.ค. 49 00:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ผมไม่เชื่อความเชื่อในศาสนาผม ที่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ ชัดมั้ยครับ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 22 ธ.ค. 49 01:16:27 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ^ ^ จริงเหรอครับ อะไรล่ะครับ (แต่ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดซักอย่าง) จากคุณ : PureTruth - [ 22 ธ.ค. 49 01:33:57 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คิดว่าจะเข้าใจผิดตรงไหนเหรอครับ กำกวมจริงๆ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 22 ธ.ค. 49 01:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ก็เป็นไปได้หลายอย่างครับ คุณบอกมาสิครับว่าคุณหมายถึงอะไร แล้วเดี๋ยวผมจะบอกให้ จากคุณ : PureTruth - [ 22 ธ.ค. 49 09:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เพ้อแล้วครับ ไม่รู้ว่าผมพูดถึงอะไรก็อ้างว่าเข้าใจผิด งง วุ้ย อะไรหมายถึงอะไรครับ ความเชื่อมีอยู่ใน"ทุกศาสนา" และก็ทุกๆคนด้วยครับ---> ความเชื่อ แบบไหนล่ะ ถ้าสักแต่ว่าเชื่อ ขัดกับเหตุผล ก็ไม่ใช่แบบผมแล้ว ชะนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนแน่นอน จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 22 ธ.ค. 49 17:09:50 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เรื่องที่ผมเชื่อ ในศาสนาที่ผมนับถือ คือการอยู่ร่วมกัน การใสติ วิธีมองโลก แค่นี้ก็เกินพอแล้ว ถึงจะทำไม่ได้ทั้งหมด ส่วนปาฏิหาร์ยอะไรแล้วแต่ ผไม่เชื่อ ปาฏิหาร์ยสำหรับผม การที่คนเรา มีคุณธรรวม เสียสละ รักเพื่อนมนุษย์ แล้วยังมีความสุขเกิดขึ้นกับตัวเอง แม้จะต้องลำบาก นี่ยิ่งกว่า เรื่องสร้างโลก 7วัน น้ำท่วมโลกล้างบาป หรืออะไ รต่อมิอะไรทั้งหมดครับ จะให้ผมอ้างถึง เรื่องความเชื่ออะไรอีกล่ะ บอกมาอย่างงี้มันกว้างนะ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 22 ธ.ค. 49 17:14:30 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ใจเย็นๆครับ ผมจะอธิบายนะครับ เห็นน้องแอนตี้เอามากๆเรื่องสร้างโลก 7 วัน (= 7 ช่วงเวลา)  นั่นก็เพราะว่า น้องเชื่อว่าโลกกำเนิดขึ้นมาได้เอง ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า นี่ก็เป็นหนึ่งในความเชื่อของน้องโดยที่น้องเองอาจจะไม่รู้ตัวครับ จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ยังถกเถียงกันอยู่เลยครับว่า ดาวเคราะห์กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร   แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 49 19:04:41 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 49 18:42:52 จากคุณ : PureTruth - [ 22 ธ.ค. 49 18:37:14 ]

ความคิดเห็นที่ 68 หลักฐานของวิวัฒนาการนั้นมีแน่นอนครับผม แบคทีเรียนี่แล เพราะช่วง 1 รุ่นของมันสั้น ใช้เวลาไม่ถึง 1 วันก็มี มันสามารถเปลี่ยนสปีชีย์ได้ จากการกลายพันธุ์เนื่องจากสิ่งเร้าและการคัดเลือกโดยธรรมชาติครับ อย่างไข้หวัดนก สายพันธุ์ต่างๆ ก็กำเนิดมาเมื่อเจอสิ่งเร้าอย่างยาที่เราใช้กัน ทำให้การกลายพันธุข้ามสปีชีย์ของมันเกิดเร็วขึ้น จากอาจต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆปีตามปกติ กลายเป็นแค่ 10-20 ปีเองก็มี หลักฐานหาได้จากรายงานการแพทย์พบเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่กลายพันธุ์มาจากพันธุ์เก่าๆครับผม ถ้าถามว่าคนเราต่างกันไหม ตอบว่า เรามีบรรพบุรุษร่วมกันมาแน่นอนครับ การที่เราสามารถสืบพันธุ์กันได้ทั้งโลกนี่แหล่ะคือหลักฐาน เพราะสิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนโครโมโซมและรหัสพันธุกรรมต่างกันอย่างสิ้นเชิง จะไม่สามารถสืบลูกหลานถึงกันได้ ถ้าถามว่าเรายังวิวัฒนาการไหม ก็ตอบว่า เราวิวัฒนาการตลอดเวลาครับผม หลักฐานก็คือสีผิวนี่แล ที่คนในแต่ละท้องถิ่นก็ปรับตัวให้มีสีผิวแตกต่างกันเพื่อใช้ในการรับแสงแดดมาสังเคราะห์วิตามินดีด้วยชั้นไขมัน ส่วนเรื่องวิวัฒนาการอธิบายไม่ได้ว่า ชาวยิวทำไมได้รับรางวัลโนเบลมากกว่าชนชาติอื่น มันคนละเรื่องกันจ้า คนเราทุกคนเท่าเทียมกันในทางฐานะความเป็นมนุษย์ แต่ที่ต่างกันคือโอกาสครับผม ถ้าชาวยิวไปเกิดในประเทศที่มีแต่สงครามและยากจนอย่างโซมาเลีย ผมก็ไม่เชื่อว่าเขาจะมีเวลาว่างไปเรียนจนได้โนเบลหน่ะนะ (ลองดูก็ได้ครับว่า ชาวยิวที่ได้โนเบล มาจากประเทศไหนกันบ้าง) หรือพวกที่ชาวยิวเชื่อกันว่า เป็นญาติกันอย่างในเอธิโอเปีย ก็ขอถามว่าตอนนี้ชาวเอธิโอเปียได้รับรางวัลโนเบลไปกี่คนแล้วอ่ะครับ ทางด้านหลักฐานจากฟอสซิลนั้น ต้องขุดค้นกันต่อไปครับ คิดดูว่า มนุษย์เราเกิดมาบนโลกใบนี้แค่ 1 ล้านปีเป็นอย่างมาก มีอารยธรรมมาไม่เกิน 1 หมื่นปี มีการบันทึกอย่างแพร่หลายมาแค่ไม่เกิน 3000 ปี จำนวนสปีชีย์ของสิ่งมีชีวิต ที่อยู่บนโลกนี้ ร่วมยุคกับเราในช่วง 1000 ปีมานี้ เรายังค้นพบไม่หมดเลยครับ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า 500 ล้านปีที่ผ่านมา จะมีสิ่งมีชีวิตกี่สปีชีย์ที่เกิดและสาบสูญไป แล้วเรายังค้นพบไม่เจอ Missing link ในประวัติศาสตร์นั้น มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะพบครับ เพราะการเกิดฟอสซิลนั้นยากแล้ว จะหาฟอสซิลของสิ่งที่ต้องการยิ่งยากใหญ่ แม้แต่ไดโนเสาร์เอง เราค้นพบได้โนเสาร์จากฟอสซิล แต่นักวิชาการเชื่อกันว่า จำนวนชนิดของไดโนเสาร์ที่เราค้นพบนั้น มีไม่ถึง 0.1% ของจำนวนไดโนเสาร์ที่เคยมีอยู่จริงบนโลกนี้ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 49 01:15:04 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 23 ธ.ค. 49 01:06:42 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คุณ อุ้ย กล่าวมาเรื่องยิวในเอธิโอเปียนั้น ก็น่าคิดนะครับ แต่น่าจะลองพูดถึงชาวเอธิโอเปีย ที่อยู่ในประเทศอื่นๆ (ที่มีโอกาสดีๆ เหมือนที่ยิวพวกนั้นได้รับ) ด้วย ได้โนเบลกันกี่คน ผมคิดว่า ยังไงๆ มันก็มีนัยสำคัญอยู่พอสมควร จากคุณ : ksk - [ 23 ธ.ค. 49 10:58:15 ]

ความคิดเห็นที่ 70 #68 คุณอุ้ยครับ ตัวอย่างที่ยกมาพวกแบคทีเรีย ไข้หวัดนก สีผิวของมนุษย์นั้น เป็นตัวอย่างของ microevolution (การกลายพันธุ์ระดับ species เท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ให้กลายเป็นอย่างอื่นไปได้ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส มนุษย์ ก็ยังคงเป็นแบคทีเรีย ไวรัส และมนุษย์) เท่านั้นครับ ดังนั้น ไม่สามารถพูดแบบเหมารวมได้ว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความจริง เพราะว่าทฤษฎีวิวัฒนาการยังจำเป็นต้องมีอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ macroevolution (การวิวัฒนาการเหนือระดับ species ขึ้นไป เช่น แบคทีเรียกลายไปเป็นอย่างอื่น ไดโนเสาร์กลายเป็นนก เป็นต้น) แต่ข้อมูลที่ได้จากการทดลองไม่สนับสนุน macroevolution นะครับ เช่น มีการทดลองกับแมงหวี่เป็นเวลาหลายปี ในสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยฉายรังสีให้แก่มันด้วย เพื่อเร่งอัตราการกลายพันธุ์ให้เท่ากับระยะเวลา 'หลายล้านปี'  โดยนักนิยมวิวัฒนาการหวังว่าจะสามารถทำให้แมงหวี่วิวัฒนาการไปเป็นอย่างอื่นได้ ปรากฏว่าแมงหวี่กลายพันธุ์ก็จริง แต่ก็เป็นแค่การเปลี่ยนในระดับ species เท่านั้น คือ มีแมงหวี่หลายๆพันธุ์ (= หลายๆ species) เกิดขึ้นมา แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแมงหวี่ให้กลายเป็นอย่างอื่นได้เลย ดังนั้น ผลการทดลองไม่สนับสนุน macroevolution ครับ (ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่สามารถบอกว่าวิวัฒนาการเป็นจริงโดยอ้างถึงแค่ microevolution ได้นะครับ เพราะมันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดิมอยู่น่ะครับ เห็นใช้เหตุผลพวกเรื่องแบคทีเรียดื้อยา กันบ่อยมาก ถ้างง ช่วยกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นอีกครั้งนะครับ) แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 49 13:38:35 จากคุณ : PureTruth - [ 23 ธ.ค. 49 12:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 71 macro = microจำนวนมหาศาลครั้ง ไงครับ ระยะเวลามันยาวนานเกินที่จะพิสูจน์ ดูจาก% ของDNA ที่เปลี่ยนแปลง อย่าง แมว หมา นี่ก็เป็นหลายล้านปีแล้ว จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 23 ธ.ค. 49 15:35:28 ]

ความคิดเห็นที่ 72 >>>macro = microจำนวนมหาศาลครั้ง ไงครับ นั่นเป็นความเชื่อของนักนิยมวิวัฒนาการครับ ความเป็นจริงอาจจะเป็นว่า micro จำนวนมหาศาลครั้ง ก็ยังอยู่ในขอบเขตของสัตว์ประเภทเดิมอยู่ดีก็เป็นไปได้นี่ครับ เช่น เวลาผ่านไปนานมากๆ มีแบคทีเรียเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนล้านๆพันธุ์ (ล้านๆ species) แต่มันก็ยังคงเป็นแบคทีเรีย ไม่ได้วิวัฒนาการแบบ macro evolution ไปเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นก็เป็นไปได้นะครับ อย่างนี้สอดคล้องกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ทำกันมามากกว่าด้วยซ้ำไป >>>ระยะเวลามันยาวนานเกินที่จะพิสูจน์ ดูจาก% ของDNA ที่เปลี่ยนแปลง อย่าง แมว หมา นี่ก็เป็นหลายล้านปีแล้ว สามารถใช้การฉายรังสีเพื่อเร่งอัตราการกลายพันธุ์ให้เพิ่มสูงขึ้นหลายๆเท่า ก็จะเทียบได้กับช่วงเวลาที่เพิ่มขึ้นเป็นล้านๆปีได้ครับ แต่ผลจากการทดลองก็ไม่สนับสนุน macro evolution อยู่ดี เพราะสัตว์กลายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ (species ต่างๆ) ขึ้นมาเพียบเลย แต่ก็ยังเป็นสัตว์ประเภทเดิมอยู่ดี ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นสัตว์ประเภทอื่นได้ครับ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 49 16:02:38 จากคุณ : PureTruth - [ 23 ธ.ค. 49 15:58:39 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ผมเลิกพูดกับคนคริสต์ที่พยายามจะให้คนอื่นเชื่อแต่ในเรื่องที่ตนเองเชื่อ  ไปนานแล้วครับ ถ้านานๆ  พูดทีก็ไม่เป็นไร  แล้วถ้ามีเหตุผลบ้างจะดีมาก เลย  ไม่ใช่จะให้มาบังคับให้เชื่ออย่างเดียว แต่นี้พูดประจำเลย  คนอื่นนับถือศาสนาอื่นบ้างไม่ได้หรือไง จากคุณ : mr.wisdom - [ 23 ธ.ค. 49 17:48:02 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ^ ^ >>>....แล้วถ้ามีเหตุผลบ้างจะดีมากเลย   เพียงคุณอ่านข้อความของผมดีๆ ด้วยใจเป็นกลาง คุณก็จะเจอเหตุผลเต็มไปหมดครับ >>>ไม่ใช่จะให้มาบังคับให้เชื่ออย่างเดียว ผมไม่เคยบังคับให้เชื่อ อย่ามั่วสิครับ >>>แต่นี้พูดประจำเลย ผมพูดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ครับ (ยกเว้นบางครั้งที่มีใครถามเรื่องศาสนาขึ้นมา) ดูคุณอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย ทำไมล่ะ ยอมรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เหรอครับ >>>คนอื่นนับถือศาสนาอื่นบ้างไม่ได้หรือไง ผมไม่เคยพูดอย่างนั้นนะ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 49 19:23:11 จากคุณ : PureTruth - [ 23 ธ.ค. 49 18:53:52 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เห็นเมื่อก่อนเคยบอกว่าไม่เปลี่ยนspecieนี่นะ แต่คราวนี้บอกเปลี่ยนได้แล้ว ถึงบอกว่าพวกนี้ตกสถิติไง ว่าการเปลี่ยนแปลงทีละนิด ที่จะกลายเป้นการเปลี่ยนแปลงปริมาณมากๆ นกเป้นสัตว์เลือดอุ่น ออกลูกเป็นไข่ มีลักษณะของ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กึ่งกับสัตว์เลื้อยคลาน จะมาแบ่งอะไร ด้วยเส้นเด็ดขาดไม่ได้หรอกครับ ถ้าจะแบ่ง ก็คือ สืบพันธ์แล้วไม่ตกลูก หรือ ลูกเป็นหมัน อยากรู้รายละเอียดการฉายรังสีครับว่าใช้กับอะไรเร่งการ เพิ่มปริมาณการสืบพันธ์ได้กี่เท่า ใช้กับพวกมอโนรา โปรติสตา ฟังไจ รึป่าว ได้อะไรมาบ้าง พอดีผมไม่รู้เรื่องอนุกรมวิธานของพวก อาณาจักรมอโนรา โปรติสตา ฟังไจ ด้วย ที่บอกว่า จะบอกว่าเป้นแบคทีเรีย ก็เป็นแบคทีเรีย มันก็แหง๋อยู่แล้ว แต่ต้องดูว่ามันเปลี่ยนไปกี่% ทำไมไม่บอกว่า DNAเปลี่ยนไปกี่% เปลี่ยนได้แค่ในระดับสปีชี่ จีนัส ออเดอร์ แฟมิลี่ รึอะไร เล่นมาบอกว่า แบคทีเรีย กับแบคทีเรีย ลักษณะพันธุกรรมของแบคทีเรีย มันจะมากรูปแบบเกินไปแล้ว ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ต่างกัน1-2% ก็คนละspecieแล้ว ส่วนหลักฐานทางฟอสซิลก็ยังสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการอยู่ดี จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 23 ธ.ค. 49 21:58:54 ]

ความคิดเห็นที่ 76 แบคทีเรีย นี่เปลี่ยนสปีชีย์เลยครับผม แต่มันยังไม่เปลี่ยนจีนัสเท่านั้นเอง ถ้าจะถามว่า การเปลี่ยนในระดับ Macro คือการเปลี่ยนจากระดับสปีชีย์หรือจีนัส เป็นระดับข้าม family หรือ order กันเลยนั้น ด้วยวิทยาการของเรา ยังไม่สามารถทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขนาดนั้นได้ครับผม คือถ้าจะทำการเปลี่ยนขนาดที่ว่า จากแบคทีเรียกลายเป็นช้างมาเทียบนั้น ดูจะเป็นการเทียบที่ไกลเกินไปหน่อย เหมือนบอกว่าจะให้ คนที่ประดิษฐ์เกวียนคนแรกของโลก พอทำเกวียนเสร็จ พรุ่งนี้ก็สร้างรถไฟพลังแม่เหล็กต่อเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ครับผม คุณ PureTruth เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงแบบ Micro แล้วก็คุยกันง่ายครับ มันก็เหมือนกันการประดิษฐ์เกวียนสู่รถไฟพลังแม่เหล็กนั่นแล มันต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ทีละน้อย เช่น การเปลี่ยนจาก 1 ไปทีละ 0.01% ในทุกๆรุ่น แค่ไม่เกิน 10000 รุ่น 1 ก็กลายเป็น 2 แล้วหล่ะครับ แต่วิวัฒนาการ ไม่ได้มีสายเดียว ถ้าบรรพบุรุษคือ 1 มีลูกหลานแยกได้ 4 สาย ลูกหลานแต่ละสายเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราส่วนที่แตกต่างกันไป 10000 รุ่น ก็จะได้ตัวเลขที่แตกต่างกัน 4 แบบ หรือมากกว่านั้น ในช่วงเวลา 600 ล้านปีที่มีสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้มา ระยะเวลาแค่ 10000 รุ่นถือว่าสั้นยังกะกระพริบตา หุหุ ส่วนเรื่องของ แบคทีเรีย กับช้างต่างกันอย่างไร ทั้งคู่เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน คิดๆดูแล้ว ก็แค่เซลล์ แต่สำหรับผม แบคทีเรียมันคือ สิ่งมีชีวิตจำพวกเซลล์ที่อาศัยแบบเดี่ยวๆ อยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ส่วนช้างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยหลากหลายเซลล์ที่รวมกันเป็นนิคมเพื่อดำรงชีวิตร่วมกันครับผม โดยมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นแบบแผนเพื่อดำรงไว้ซึ่งนิคมนี้ เปรียบแล้ว แบคทีเรียก็คือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่อยู่แบบพวกชนเผ่าล่าสัตว์ที่อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน แข่งกันแพร่พันธุ์ และตายไป ส่วนช้างคือสังคมของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่มาอาศัยร่วมกันครับผม ถ้าลองแงะช้างออกมาเป็นเซลล์ๆ และเลี้ยงแต่ละเซลล์เอาไว้ในน้ำยา ช้างก็ไม่ต่างไปจากแบคทีเรียหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 49 22:17:07 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 23 ธ.ค. 49 21:58:55 ]

ความคิดเห็นที่ 77 อีกประการ การฉายแสง ไม่ได้เร่งการคัดเลือกโดยธรรมชาติครับ แต่เป็นการเร่งการกลายพันธุ์ ซึ่งเหมือนการเล่นหวยนั่นแล มีทั้งโอกาสเจ๋ง เจ๊าและเจ๊งพอๆกัน และมันก็ไม่ก่อให้เกิดสปีชีย์ใหม่ๆแต่อย่างใด เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เจอฉายแสงแล้วเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกันครับ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 23 ธ.ค. 49 22:39:49 ]

ความคิดเห็นที่ 78 #75 >>>เห็นเมื่อก่อนเคยบอกว่าไม่เปลี่ยนspecieนี่นะ แต่คราวนี้บอกเปลี่ยนได้แล้ว ถึงบอกว่าพวกนี้ตกสถิติไง ผมไม่ได้ตกสถิติหรอกครับ เพราะผมไม่เคยพูดอย่างนั้นแน่นอน เรื่องของเรื่องก็คือ ความจำของน้องนั่นแหละที่มีดูจะมีปัญหา ก็เลยจำผิดไป ก็เท่านั้น >>>นกเป้นสัตว์เลือดอุ่น ออกลูกเป็นไข่ มีลักษณะของ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กึ่งกับสัตว์เลื้อยคลาน จะมาแบ่งอะไร ด้วยเส้นเด็ดขาดไม่ได้หรอกครับ ถ้าจะแบ่ง ก็คือ สืบพันธ์แล้วไม่ตกลูก หรือ ลูกเป็นหมัน แบ่งได้สิครับ น้องไปศึกษาชีววิทยามาเพิ่มก่อนละกัน แล้วจะรู้ว่านกมีเส้นแบ่งยังไง >>>ที่บอกว่าจะบอกว่าเป้นแบคทีเรีย ก็เป็นแบคทีเรีย มันก็แหง๋อยู่แล้ว ผมก็ว่าอย่างนั้น  ถึงแม้ DNA มันจะเปลี่ยนไปบางเปอร์เซนต์ ถึงแม้ species จะเปลี่ยนไป แต่ถ้ามันยังเป็นแบคทีเรีย ก็แสดงว่ามันยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นครับ จากคุณ : PureTruth - [ 23 ธ.ค. 49 23:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 79 #76 & #77 คุณอุ้ยครับ >>>คือถ้าจะทำการเปลี่ยนขนาดที่ว่า จากแบคทีเรียกลายเป็นช้างมาเทียบนั้น ดูจะเป็นการเทียบที่ไกลเกินไปหน่อย เหมือนบอกว่าจะให้ คนที่ประดิษฐ์เกวียนคนแรกของโลก พอทำเกวียนเสร็จ พรุ่งนี้ก็สร้างรถไฟพลังแม่เหล็กต่อเลยซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ครับผม นั่นนะสิครับ ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้แบคทีเรียเปลี่ยนเป็นช้างนะครับ แค่ให้เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ที่ใกล้เคียงกับแบคทีเรีย แต่จากการทดลองก็ไม่พบว่าเปลี่ยนได้อยู่ดี นั่นคือ ไม่พบว่าเกิด macro-evolution >>>มันก็เหมือนกันการประดิษฐ์เกวียนสู่รถไฟพลังแม่เหล็กนั่นแล มันต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ทีละน้อย เช่น การเปลี่ยนจาก 1 ไปทีละ 0.01% ในทุกๆรุ่น แค่ไม่เกิน 10000 รุ่น 1 ก็กลายเป็น 2 แล้วหล่ะครับ แต่วิวัฒนาการ ไม่ได้มีสายเดียว ถ้าบรรพบุรุษคือ 1 มีลูกหลานแยกได้ 4 สาย ลูกหลานแต่ละสายเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราส่วนที่แตกต่างกันไป 10000 รุ่น ก็จะได้ตัวเลขที่แตกต่างกัน 4 แบบ หรือมากกว่านั้น ในช่วงเวลา 600 ล้านปีที่มีสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้มา ระยะเวลาแค่ 10000 รุ่นถือว่าสั้นยังกะกระพริบตา หุหุ นั่นเป็นความเชื่อของนักนิยมวิวัฒนาการครับ ความเป็นจริงอาจจะเป็นว่า micro จำนวนมหาศาลครั้ง ก็ยังอยู่ในขอบเขตของสัตว์ประเภทเดิมอยู่ดีก็เป็นไปได้นี่ครับ เช่น เวลาผ่านไปนานมากๆ มีแบคทีเรียเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนล้านๆพันธุ์ (ล้านๆ species) แต่มันก็ยังคงเป็นแบคทีเรีย ไม่ได้วิวัฒนาการแบบ macro evolution ไปเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น อย่างนี้สอดคล้องกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ทำกันมามากกว่าด้วยซ้ำไป >>>ถ้าลองแงะช้างออกมาเป็นเซลล์ๆ และเลี้ยงแต่ละเซลล์เอาไว้ในน้ำยา ช้างก็ไม่ต่างไปจากแบคทีเรียหรอกครับ ต่างสิครับ ไม่ต่างได้ยังไง เอาเซลล์ช้างมาเลี้ยงไว้ในน้ำยา มันก็สืบพันธุ์ไม่ได้ซักกะหน่อย >>>อีกประการ การฉายแสง ไม่ได้เร่งการคัดเลือกโดยธรรมชาติครับ แต่เป็นการเร่งการกลายพันธุ์ ซึ่งเหมือนการเล่นหวยนั่นแล มีทั้งโอกาสเจ๋ง เจ๊าและเจ๊งพอๆกัน และมันก็ไม่ก่อให้เกิดสปีชีย์ใหม่ๆแต่อย่างใด เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เจอฉายแสงแล้วเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกันครับ มั่วแล้วครับ ผลจากการทดลองคือ 'เกิด species ใหม่ๆได้' ครับ แต่ไม่ทำให้เกิด macro evolution เป็นสัตว์ประเภทอื่นแต่อย่างใดครับ จากคุณ : PureTruth - [ 23 ธ.ค. 49 23:39:59 ]

ความคิดเห็นที่ 80 1. หุหุ การฉายแสงทำให้เกิดสปีชีย์ใหม่ได้ อันนี้จริง ผมสับสนเอง 2. ที่ผมพยายามจะสื่อก็คือ เรามองช้างกับแบคทีเรียแตกต่างกันมากเกินไป เพราะจริงๆ ช้างที่เราคิดว่ามันคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งก็คือนิคมของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวนั่นเอง ส่วนแบคทีเรียก็คือ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่อาศัยแบบเดี่ยวๆ เอาเซลล์ของช้างมาเลี้ยงในน้ำยา มันก็สืบพันธุ์ได้ครับ คือมันสามารถแบ่งตัวได้ ตามเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แต่มันเกิดเป็นช้างตัวใหม่ไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านี้ได้กลายสภาพไปเพื่อทำหน้าที่จำเพาะแน่นอนไปแล้ว (แต่ในอนาคตน่าจะได้ ถ้าสามารถสกัดสเต็มเซลล์มาได้อย่างสมบูรณ์) สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวยุคแรกๆ พอเกิดมาก็มีบางจำพวกที่มารวมตัวกันเป็นนิคมแบบหลวมๆ และค่อยๆพัฒนาขึ้นจนอยู่ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยหลากเซลล์ครับ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 49 01:19:44 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 49 00:11:39 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 24 ธ.ค. 49 00:10:09 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ยุคแรกๆ สู่การเป็นนิคม และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์นั้น ลองดูรายละเอียดที่นี่ครับ http://universe-review.ca/F10-multicell.htm ดังนั้นสำหรับผม ช้างกับแบคทีเรีย ก็มีต้นกำเนิดเดียวกัน เพราะต่างมีพื้นฐานเป็นเซลล์เหมือนๆกัน แต่แบคทีเรียอยู่แบบโดดเดี่ยว มีชีวิตรอดได้ด้วยเซลล์เดียวของมัน แต่ช้างเป็นสิ่งมีชีวิตหลากหลายเซลล์รวมกันอยู่ ตัวอย่างเช่น สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ชนิดแรกๆบนโลกนี้ http://geol.queensu.ca/museum/exhibits/oldanim/oldanim.html อย่างบรรพบุรุษของพวกฟองน้ำ มีเซลล์ในร่างกายที่แทบจะไม่ค่อยมีความแตกต่างกันเลย เพราะมันก็คือนิคมของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวจำนวนมากที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ แต่ในยุคแรกๆ มันมีความซับซ้อนน้อย จึงมีเซลล์ที่ทำหน้าที่คล้ายๆกันเต็มไปหมดครับ ในยุคต่อๆมา สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์พวกนี้ วิวัฒนาการมีการเปลี่ยนแปลงทั้งจำนวนเซลล์ที่ประกอบขึ้น และหน้าที่ของเซลล์ต่างๆที่ทำงานแตกต่างกันออกไป ทำให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่แปลกแยกออกไป http://www.palaeos.com/Kingdoms/default.htm จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 24 ธ.ค. 49 00:31:19 ]

ความคิดเห็นที่ 82 คือ คำจำกัดความของ Macro-evolution ของคุณนั้นถูกต้องครับ ตามคำนิยามของ Macro evolution คือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เหนือระดับสปีชีย์ ส่วน Micro evolution คือการเปลี่ยนแปลงที่ต่ำกว่าระดับสปีชีย์ http://www.talkorigins.org/faqs/macroevolution.html http://en.wikipedia.org/wiki/Macroevolution http://www.exchangedlife.com/Creation/macro-evol.shtml ดังนั้นแค่การเปลี่ยน จีนัส ก็คือ Macro evolution แล้วครับ ไม่ต้องเป็นสเกลใหญ่โตแบบการเปลี่ยน family หรือ order เลยแม้แต่น้อย พวกแบคทีเรียและพวกราก็มีการพัฒนาแบบเปลี่ยนแปลงแค่จีนัสได้ง่ายๆ ในระยะเวลาไม่นาน หลักการเกิด Macroevolution ในอดีตนั้นก็มีมากมายตาม link ที่ให้ไว้ข้างต้น จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 24 ธ.ค. 49 01:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 83 มาดูกลุ่มที่ไม่คิดว่า มีการเกิด Macro evolution กันบ้าง http://forerunner.com/forerunner/X0737_Macro_vs._Micro_Evol.html http://www.angelfire.com/mi/dinosaurs/macro.html ส่วนมาก มาจากกลุ่มที่คล้ายๆกันทั้งสิ้น จากคุณ : digimontamer - [ 24 ธ.ค. 49 01:14:39 ]

ความคิดเห็นที่ 84 สำหรับผม ถ้าทฤษฏีวิวัฒนาการไม่สามารถเกิดในระดับ Macro evolution ได้ ผมก็ยังสงสัยว่า ทำไมเราถึงมี DNA ที่ใกล้ชิดกับลิงจำพวก Ape และค่อยๆห่างออกไปในลิงจำพวกมีหางอื่นๆ ทำไมจึงมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเฉพาะในกลุ่มไพรเมท ที่มี DNA ใกล้ชิดกันมากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มอื่น ที่มีลักษณะร่วมกันคือ การมีประจำเดือน ทำไมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเกือบทุกชนิด จึงออกลูกเป็นตัว และมีน้ำนมให้ลูก แต่มีตุ่นปากเป็ดที่ดันออกลูกเป็นไข่แต่มีน้ำนม นำไมพวกสัตว์เลื้อยคลานถึงเลือดเย็นและออกลูกเป็นไข่ทั้งสิ้น ถ้าเพราะสัตว์เหล่านี้ ไม่มีที่มาร่วมกันอย่างประหลาดก็น่าแปลกใจครับว่า ทำไมมันถึงมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งหลักฐานทาง DNA และสภาพทางกายภาพบางประการ จากคุณ : digimontamer - [ 24 ธ.ค. 49 01:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในระดับ Macro evolution ตามนิยามที่ว่า มีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่เหนือกว่าสปีชีย์ สุนัขป่า อยู่ใน Genus Canis ร่วมกับสุนับบ้านแทบทุกสายพันธุ์ที่เราเลี้ยงกัน ก็เพราะพวกนี้ถูกมนุษย์เอามาเพราะตั้งแต่ราวๆ 15000 ปีก่อนครับผม จึงแยกซับสปีชีย์มาจากสุนัขป่า แต่ใช่ว่าสุนัขทุกชนิด จะเป็น Genus Canis เสมอไป หมาจิ้งจอก กลับอยู่ใน Genus Vulpes หรือแม้แต่พวกที่อยู่ใกล้พวก จีนัส Canis มากๆก็อยู่คนละ Genus ก็มีเช่น ตัวบุชด็อกที่พบในอเมริกาใต้ อยู่ในจีนัส Speothos จิ้งจอกหิมาลัยอยู่ในจีนัส Cuon อย่างไรก็ดี ทุกๆตัวจัดอยู่ใน family Canidae ทั้งสิ้น เพราะมีบรรพบุรุษร่วมกันมาก่อน จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 24 ธ.ค. 49 01:57:31 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เขียนได้ดีมากนะครับ คุณอุ้ย  :) เรื่อง macro-evolution นี้ ผมคิดว่าในทฤษฎีการสร้างสิ่งมีชีวิต เราหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับหมา แมว หมี ซึ่งเป็นการเปลี่ยนในระดับ Family ครับ ดังนั้น การวิวัฒนาการระดับย่อยลงไป (คือ Genus และ species) เป็นสิ่งที่ในทฤษฎีการสร้างสิ่งมีชีวิตถือว่าสามารถเกิดขึ้นได้ครับ นั่นคือ ความหมายของ macro-evolution จะต่างกันอยู่เล็กน้อยระหว่างในทฤษฎีวิวัฒนาการกับทฤษฎีการสร้างสิ่งมีชีวิตครับ (ในทฤษฎีวิวัฒนาการ macro-evolution จะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเหนือระดับ species ขึ้นไป ส่วนในทฤษฏีการสร้างสิ่งมีชีวิต macro-evolution จะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเหนือระดับ Genus ขึ้นไป ซึ่งก็คือตั้งแต่ระดับ Familly ขึ้นไปนั่นเอง) ยอมรับว่าใน #70 ผมเขียนความหมายของ macro-evolution สับสนไปหน่อยครับ ทั้งนี้ ใน #41 ผมระบุไปแล้วว่าผมหมายถึงระดับ Family ครับ ใน #84 คุณอุ้ยเขียนว่า >>ถ้าเพราะสัตว์เหล่านี้ ไม่มีที่มาร่วมกันอย่างประหลาดก็น่าแปลกใจครับว่า ทำไมมันถึงมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งหลักฐานทาง DNA และสภาพทางกายภาพบางประการ ผมเข้าใจความรู้สึกและความคิดแบบนี้ครับ แต่ผมอยากให้ลองคิดต่ออีกนิดว่า แล้วถ้ามันมีส่วนที่ไม่สอดคล้องกันในหลักฐานทาง DNA หรือสภาพทางกายภาพบางประการล่ะ มันจะหมายความว่าอย่างไร ..... จากคุณ : PureTruth - [ 24 ธ.ค. 49 12:30:40 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ในทฤษฎีการสร้างสิ่งมีชีวิต มีการเสนอสมมติฐานว่า ผู้สร้างได้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาในกลุ่มหลักๆ เช่น ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็จะมีการสร้างหมา แมว หมี (ระดับ Family) ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวบรรพบุรุษ หลังจากนั้น หมา แมว หมี ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นตัวบรรพบุรุษนี้ ก็ได้มีการ micro-evolution ออกเป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย(Genus และ species ต่างๆ) ดังนั้น ในประเด็นนี้ ทฤษฎีการสร้างสิ่งมีชีวิต และ ทฤษฎีวิวัฒนาการ จะมีความเห็นตรงกัน นั่นคือ หมาต่างๆ (หมาป่า หมาจิ้งจอก ฯลฯ) ต่างก็มีบรรพบุรุษร่วมกัน (โดยเกิดจากการ micro-evolution) ส่วนที่ทฤษฎีการสร้างสิ่งมีชีวิต และ ทฤษฎีวิวัฒนาการมีความเห็นต่างกัน ก็คือ บรรพบุรุษของหมา แมว หมี (ระดับ Family) นั้นเกิดขึ้นมาโดยมีผู้ทำให้เกิดขึ้น (อาจจะเป็นใครหรืออะไรซักอย่างที่มีความรู้ทางด้านพันธุกรรมชั้นสูง)  หรือว่าจะเกิดจาก macro-evolution ขึ้นมาเองโดยไม่มีใครเกี่ยวข้องเลยได้หรือไม่ ซึ่งนี่ก็เป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ macro-evolution ของทฤษฎีวิวัฒนาการที่ผมพูดถึงในความเห็นข้างบนๆของผมครับ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 49 23:27:55 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 49 18:02:42 จากคุณ : PureTruth - [ 24 ธ.ค. 49 17:56:44 ]

ความคิดเห็นที่ 88 นั่นคือ แปลว่า ในทฤษฎีการสร้างสิ่งมีชีวิต Macro evolution คือการเปลี่ยนแปลงในระดับที่เหนือกว่า Genus ส่วนการเปลี่ยนแปลงในระดับ เปลี่ยนข้าม Genus แต่ยังคงเป็น family เดียวกัน เป็น Microevolution และเป็นที่ยอมรับกันว่าเกิดขึ้นได้ งั้นบรรพบุรุษของคนและลิงชิมแปนซี กอลิร่า และอุรังอุตังก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน อย่างมิต้องสงสัยครับ ดังนั้นกระทู้นี้จึงได้คำตอบแล้วว่า มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ถือกำเนิดมาจากกลุ่มเดียวกัน แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 49 13:23:47 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 25 ธ.ค. 49 13:10:18 ]

ความคิดเห็นที่ 89 อืม.... ไม่เบาเลยนะเนี่ย คุณอุ้ย การจัด Family ของมนุษย์และลิงชิมแปนซี กอลิร่า นั้นไม่ได้ลงตัวชัดเจนเหมือน Family อื่นๆนะครับ แต่เดิมมา นักวิทยาศาสตร์จัดมนุษย์และชิมแปนซีไว้คนละ Family ครับ   ต่อมาก็มีแนวคิดในการรวมชิมแปนซีให้มาอยู่ใน Family เดียวกันกับมนุษย์ (Family Homonidae) ซึ่งสาเหตุก็เกิดจากความคิดของนักนิยมวิวัฒนาการนั่นแหละครับที่เชื่อว่ามนุษย์และลิงมีบรรพบุรุษร่วมกัน เลยจัดให้มารวมอยู่ด้วยกันใน Family Homonidae เดียวกันซะเลย ดังนั้น ในกรณีนี้จะเอาเหตุผลนี้มาอ้างว่าอยู่ Family เดียวกันเลยแสดงว่ามีบรรพบุรุษร่วมกัน ไม่ได้ครับ เพราะจะกลายเป็น Circular reasoning  นั่นคือ การนำเอาผลลัพธ์กลับมาอ้างว่าเป็นสาเหตุอีกทีหนึ่ง เดิมทีนักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มศึกษาและมีการคาดเดาว่า DNA ส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้นเหมือนกับของชิมแปนซี (เช่น ประมาณ 98%)  แต่ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาลึกลงเรื่อยๆและพบความแตกต่างของ DNA มากขึ้นเรื่อยๆ  ล่าสุด มีรายงานจากการวิจัยว่าพบความแตกต่างที่อาจจะมากถึง 6%  และต่อไปก็คงจะมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ศึกษาลึกลงไปเรื่อยๆ ครับ ถึงตอนนั้น ก็จะชัดเจนว่ามนุษย์และชิมแปนซีอยู่คนละ Family กันครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 49 17:50:03 จากคุณ : PureTruth - [ 25 ธ.ค. 49 17:46:02 ]

ความคิดเห็นที่ 90 อันนี้เป็นบทความในปี 2003 ครับ เขาอ้างว่า ชิมแปนซีมี DNA ใกล้เคียงคน 99.4% ผมพยายามหาบทความใหม่ๆอยู่ เพราะเทคโนโลยีการทำ Human Genomes ในปี 2006-2007 ก้าวหน้ากว่าปี 2003 ไม่น้อยเลย http://news.nationalgeographic.com/news/2003/05/0520_030520_chimpanzees.html ส่วนอันนี้เป็นบทความ การตรวจสอบทางด้าน DNA เขาอ้างว่า คนกับชิมแปนซีแยกทางเดินกันเมื่อ 6-5 ล้านปีก่อน http://www.sciencenews.org/articles/20060520/fob4.asp แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 49 23:53:19 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 25 ธ.ค. 49 23:50:34 ]

ความคิดเห็นที่ 91 อีกอันครับ เกี่ยวกับความแตกต่างของ DNA genome คนกับชิมแปนซี http://www.indiana.edu/~ensiweb/lessons/homin.ch.html จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 25 ธ.ค. 49 23:57:20 ]

ความคิดเห็นที่ 92 แน่นอนครับ ผมยอมรับว่า ประวัติศาสตร์ของ hominoid taxonomy นั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามการค้นพบซากฟอสซิลใหม่ๆ และการค้นคว้าทางด้านพันธุกรรม แต่คิดว่า มันมีหลักการเช่นกัน เพราะจะใน Family อื่นๆก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาครับ ถ้าพบหลักฐานใหม่ๆในการสนับสนุน อย่างเรื่องที่เคยแยกชิมแปนซีกับคนไว้คนละ Family นั้น ถูกคัดค้านและเปลี่ยนไปในปี 1960 ตามนี้ครับ The history of hominoid taxonomy is somewhat confusing and complex. The names of subgroups have changed their meaning over time as new evidence from fossil discoveries, anatomy comparisons and DNA sequences, has changed understanding of the relationships between hominoids. The story of the hominoid taxonomy is one of gradual demotion of humans from a special position in the taxonomy to being one branch among many. It also illustrates the growing influence of cladistics (the science of classifying living things by strict descent) on taxonomy. As of 2006, there are eight extant genera of hominoids. They are the four great ape genera (Homo (humans), Pan (chimpanzees), Gorilla, and Pongo (orangutans)), and the four genera of gibbons (Hylobates, Hoolock, Nomascus, and Symphalangus).[1] (The genus for the hoolock gibbons was recently changed from Bunopithecus to Hoolock.[4]) In 1758, Carolus Linnaeus, relying on second- or third-hand accounts, placed a second species in Homo along with H. sapiens: Homo troglodytes ("cave-dwelling man"). It is not clear to which animal this name refers, as Linnaeus had no specimen to refer to, hence no precise description. Linnaeus named the orangutan Simia satyrus ("satyr monkey"). He placed the three genera Homo, Simia and Lemur in the family of Primates. The troglodytes name was used for the chimpanzee by Blumenbach in 1775 but moved to the genus Simia. The orangutan was moved to the genus Pongo in 1799 by Lacépède. Linnaeus's inclusion of humans in the primates with monkeys and apes was troubling for people who denied a close relationship between humans and the rest of the animal kingdom. Linnaeus's Lutheran Archbishop had accused him of "impiety." In a letter to Johann Georg Gmelin dated February 25, 1747, Linnaeus wrote: It is not pleasing to me that I must place humans among the primates, but man is intimately familiar with himself. Let's not quibble over words. It will be the same to me whatever name is applied. But I desperately seek from you and from the whole world a general difference between men and simians from the principles of Natural History. I certainly know of none. If only someone might tell me one! If I called man a simian or vice versa I would bring together all the theologians against me. Perhaps I ought to, in accordance with the law of Natural History.[5] Accordingly, Johann Friedrich Blumenbach in the first edition of his Manual of Natural History (1779), proposed that the primates be divided into the Quadrumana (four-handed, i.e. apes and monkeys) and Bimana (two-handed, ie. humans). This distinction was taken up by other naturalists, most notably Georges Cuvier. Some elevated the distinction to the level of order. However, the many affinities between humans and other primates — and especially the great apes — made it clear that the distinction made no scientific sense. Charles Darwin wrote, in The Descent of Man: The greater number of naturalists who have taken into consideration the whole structure of man, including his mental faculties, have followed Blumenbach and Cuvier, and have placed man in a separate Order, under the title of the Bimana, and therefore on an equality with the orders of the Quadrumana, Carnivora, etc. Recently many of our best naturalists have recurred to the view first propounded by Linnaeus, so remarkable for his sagacity, and have placed man in the same Order with the Quadrumana, under the title of the Primates. The justice of this conclusion will be admitted: for in the first place, we must bear in mind the comparative insignificance for classification of the great development of the brain in man, and that the strongly-marked differences between the skulls of man and the Quadrumana (lately insisted upon by Bischoff, Aeby, and others) apparently follow from their differently developed brains. In the second place, we must remember that nearly all the other and more important differences between man and the Quadrumana are manifestly adaptive in their nature, and relate chiefly to the erect position of man; such as the structure of his hand, foot, and pelvis, the curvature of his spine, and the position of his head.[6] Until about 1960, the hominoids were usually divided into two families: humans and their extinct relatives in Hominidae, the other apes in Pongidae.[7] The 1960s saw the application of techniques from molecular biology to primate taxonomy. Goodman used his 1963 immunological study of serum proteins to propose a division of the hominoids into three families, with the non-human great apes in Pongidae and the lesser apes (gibbons) in Hylobatidae.[8] The trichotomy of hominoid families, however, prompted scientists to ask which family speciated first from the common hominoid ancestor. Within the superfamily Hominoidea, gibbons are the outgroup: this means that the rest of the hominoids are more closely related to each other than any of them are to gibbons. This led to the placing of the other great apes into the family Hominidae along with humans, by demoting the Pongidae to a subfamily; the Hominidae family now contained the subfamilies Homininae and Ponginae. Again, the three-way split in Ponginae led scientists to ask which of the three genera is least related to the others. Investigation showed orangutans to be the outgroup, but comparing humans to all three other hominid genera showed that African apes (chimpanzees and gorillas) and humans are more closely related to each other than any of them are to orangutans. This led to the placing of the African apes in the subfamily Homininae, forming another three-way split. This classification was first proposed by M. Goodman in 1974.[9] To try to resolve the hominine trichotomy, some authors proposed the division of the subfamily Homininae into the tribes Gorillini (African apes) and Hominini (humans). However, DNA comparisons provide convincing evidence that within the subfamily Homininae, gorillas are the outgroup. This suggests that chimpanzees should be in Hominini along with humans. This classification was first proposed (though one rank lower) by M. Goodman et. al. in 1990.[2] See Human evolutionary genetics for more information on the speciation of humans and great apes. ทำให้การจัดหมวดหมู่ในระดับ Genus ของคนและชิมแปนซี ยังไม่นิ่ง มีนักวิจัยบางท่านไม่ชอบนักที่เอาคนกับชิมแปนซีไว้ใน sub family เดียวกัน บางคนก็บอกว่า จริงๆคนกับลิง น่าจะอยู่ใน Genus เดียวกันด้วยซ้ำเป็นต้น แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 49 00:10:35 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 26 ธ.ค. 49 00:06:39 ]

ความคิดเห็นที่ 93 อันนี้เป็นงานวิจัยใหม่ ที่แยกยีนที่คล้ายกันแต่ไม่เกี่ยวข้องในด้านหน้าที่ออกไป จึงเพิ่มความแตกต่างเป็น 6% จากเดิมที่ทำไว้ที่ 1-2% เท่านั้น แต่ผู้วิจัยก็แค่บอกว่า ยีนพวกนี้ทำให้เรามีลักษณะที่แตกต่างจากชิมแปนซีบางส่วน และยังคงสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการ lot more genes may separate humans from their chimp relatives than earlier studies let on. Researchers studying changes in the number of copies of genes in the two species found that their mix of genes is only 94 percent identical. The 6 percent difference is considerably larger than the commonly cited figure of 1.5 percent. The new finding supports the idea that evolution may have given humans new genes with new functions that don't exist in chimps, something researchers had not recognized until recently. The older value of 1.5 percent is a measure of the difference between equivalent genes in humans and chimps, like a difference in the spelling of the same word in two similar languages. Based on that figure, experts proposed that humans and chimps have essentially the same genes, but differed in when and where the genes turn on and off. ADVERTISEMENT (article continues below) The new research takes into account the possibility for multiple copies of genes and that the number of copies can differ between species, even though the gene itself is the same or nearly so. "You have to pay attention to more than just the genes that are shared," says geneticist Matthew Hahn of Indiana University, Bloomington, lead author of the new report. Researchers believe that additional copies of the same gene allow evolution to experiment, so to speak, finding new functions for old genes. Hahn and his colleagues set out to study these gains and losses in gene number over the millennia by examining the genomes of humans, chimps, mice, rats and dogs. They looked at 110,000 genes that fall into 9,990 different families of similar genes. The size of a gene family differed between species in 5,622 cases, or 56 percent of all the families. These size changes are so frequent in the evolutionary history of mammals that genes might as well be going through a revolving door, the researchers write in a paper published in a new online journal, PLoS ONE. In humans and chimps, which have about 22,000 genes each, the group found 1,418 duplicates that one or the other does not possess. For example, humans have 15 members of a family of brain genes linked to autism, called the centaurin-gamma family, whereas chimps have six, for a difference of nine gene copies. The group estimated that humans have acquired 689 new gene duplicates and lost 86 since diverging from our common ancestor with chimps six million years ago. Similarly, they reckoned that chimps have lost 729 gene copies that humans still have. "The paper supports the emerging view that change in gene copy number, via gene duplication or loss, is one of the key mechanisms driving mammalian evolution," says genomics researcher James Sikela of the University of Colorado Health Sciences Center. ที่มา http://www.sciam.com/article.cfm?chanID=sa003&articleID=9D0DAC2B-E7F2-99DF-3AA795436FEF8039 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 26 ธ.ค. 49 00:13:51 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ^ ^ ข้อมูลเยอะดี ขอบคุณนะครับ แล้วตามความเห็นของคุณอุ้ย คิดว่ามนุษย์กับชิมแปนซีต้องต่างกันแค่ไหนอย่างไร ถึงจะจัดให้อยู่คนละ Family ครับ จากคุณ : PureTruth - [ 26 ธ.ค. 49 12:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ในความเห็นของผมนั้น คนกับชิมแปนซี อยู่ใน Family เดียวกันได้ เพราะความแตกต่างของมนุษย์และชิมแปนซี นั้นพอๆกับ ความแตกต่างของสุนัขบ้าน กับหมาจิ้งจอกนั้นแลครับ แน่นอนว่า ต่อไปอาจจะมีหลักการมาล้มล้างการจัดลำดับสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันด้วยหลักฐานอื่นๆได้ครับ เพราะตอนนี้ว่ากันว่า ความรู้ทางด้านชีววิทยาของเรานั้น ยังพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 26 ธ.ค. 49 12:46:15 ]

ความคิดเห็นที่ 96 พอจะมีรายละเอียดความแตกต่างของสุนัขบ้าน กับหมาจิ้งจอก ไหมครับ      เป็น % ความแตกต่างทาง DNA หรือเปล่า (อยากรู้น่ะครับ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร) แล้วคนกับชิมแปนซีต้องมีความแตกต่างทาง DNA มากเท่าไหร่ ถึงจะจัดให้อยู่คนละ Family ได้ครับ (มีอะไรที่เป็นเกณฑ์ตรงนี้หรือเปล่า ?? ) แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 49 13:09:07 จากคุณ : PureTruth - [ 26 ธ.ค. 49 13:08:15 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ผมหา ความแตกต่างของ DNA สุนัขบ้าน กับสุนัขจิ้งจอกไม่พบหน่ะครับ แต่หาเจอ ความแตกต่างของ mitrocondria DNA ของหมาป่าสีเทา กับหมาป่าโคโยตี้ ซึ่งอยู่ใน จีนัส Canis เช่นกัน แต่คนละ Sub genus ความแตกต่างของ DNA ของมันคือ 4% ครับ ถ้าหลักฐานนี้เป็นจริง ก็คงจะคาดได้ไม่ยากว่า ขนาดพวก Genus เดียวกัน ยังห่างกันได้ 4% พวกคนละ Genus อย่างสุนัขบ้านกับหมาจิ้งจอก อาจจะมากกว่า 4% ก็เป็นได้ครับ ดังลิงค์ต่อไปนี้ http://www.accessexcellence.org/AE/AEPC/WWC/1995/canidae.html และ http://www.idir.net/~wolf2dog/wayne2.htm แต่เป็นงานวิจัยที่ค่อนข้างเก่า เลยไม่รู้โดนล้มล้างไปหรือยัง จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 26 ธ.ค. 49 21:59:04 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ขอบคุณสำหรับข้อมูลคร้าบ.....  ^^ จากคุณ : PureTruth - [ 27 ธ.ค. 49 00:15:41 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ขอถามคุณ อุ้ย หน่อยนะครับ ว่า AMD เจ๋งกว่า Intel กี่เปอร์เซ็นต์ เอ๊ย.. (ผมเป็นแฟน AMD ของคุณ อุ้ยอยู่น่ะครับ) สุนัขบ้าน กับสุนัขจิ้งจอก สามารถสืบพันธ์กันได้ (เห็นว่า ต้นตระกูลของสุนัขบางแก้วเป็นอย่างนั้น) แต่ผมไม่คิดว่า คนกับชิมแปนซีจะสามารถทำได้อย่างนั้น อันนี้ไม่ทราบว่า จะทำให้เหตุผลในการจัด Family มีความขัดแย้งหรือเปล่าครับ จากคุณ : ksk - [ 27 ธ.ค. 49 08:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 100 สวัสดีครับ ผมเจ้าของกระทู้นะครับ ก็จะมาบอกว่าผมยังตามอ่านอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้ทิ้งกระทู้นี้ไปไหนนะครับ อันดับแรกต้องขอขอบคุณข้อมูลจากเพื่อนๆ ทุกคนเลยนะครับ เป็นรายชื่อดังนี้ ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน silverspider อะธีลาส นายสาระแน Punky Chaos dragon PureTruth ksk cookiecompany anitjung อุ้ย (digimontamer) และที่ผมไม่ได้เอ่ยนาม ก็ต้องขอขอบคุณเช่นกันที่แบ่งเวลามาร่วมถกกระทู้ของผม ซึ่งแต่เดิมผมตั้งเพื่อต้องการแค่คำตอบง่ายๆ เหมือนกับเด็กที่สงสัยอะไรสักอย่างก็ตั้งคำถามขึ้นมาเลย ไม่นึกว่าคำตอบของมันจริงๆ ลึกถึงขนาดนี้ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ โดยเฉพาะท่านที่มาถกประเด็นตั้งยาวเลย ซึ่งผมก็จะตามอ่านต่อไปจนกว่ากระทู้นี้จะหยุดสนทนา แต่ถ้าให้ร่วมถกด้วยคงเป็นไปไม่ได้เพราะไม่ได้มีความรู้มากพอ ทำได้อย่างมากคงเป็นการตั้งคำถามจากสิ่งที่ผมสงสัยจากการตามอ่านข้อมูลของเพื่อนๆ นะครับ จากคุณ : จขกท - [ 28 ธ.ค. 49 12:56:12 A:125.25.128.105 X: TicketID:124790 ]