ความคิดเห็นที่ 1 ไปห้องศาสนาจะได้รับคำตอบที่ดีกว่านี้ จากคุณ : silverspider - [ 7 ม.ค. 50 03:55:13 ]

ความคิดเห็นที่ 2 นรก-สวรรค์ ตามหลักของพระพุทธเจ้า ทีนี้อยากจะให้รู้เสียเลย ที่เกี่ยวกับ ทวารเหล่านี้นะ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า นรกทางอายตนะ ฉันเห็นแล้ว สวรรค์ทางอายตนะ ฉันเห็นแล้ว เมื่อก่อน เขาพูดกัน ถึงเรื่อง นรกอยู่ใต้ดิน อย่าง ภาพเขียนฝาผนัง นั่นมันคือ นรกทางกาย นรกทางวัตถุ ก็หมายถึง ร่างกาย ถูกกระทำ อย่างนั้น เป็นนรกใต้ดิน ตามที่ว่า แล้วสวรรค์ ก็อยู่ข้างบน บนฟ้า ข้างบนโน้น มีวิมาน มีผู้เสวยสวรรค์ เป็นบุคคล มีนางฟ้า ส่งเสริม ความสุข เป็นร้อยๆ ร้อยๆ นั้นคือ สวรรค์ข้างบน แต่ เป็นเรื่อง ทางกาย หรือ ทางวัตถุทั้งนั้น นรกกับสวรรค์ ชนิดนั้น เขาพูดกัน อยู่ก่อนพระพุทธเจ้า เขาสอนกันอยู่ก่อน แต่คุณจับใจความให้ได้ มันเรื่องทางกายนี้ เจ็บปวดทางกายอยู่ใต้ดิน คือนรก เอร็ดอร่อยทางกายอยู่ข้างบน นั่นแหละสวรรค์ ทีนี้ พระพุทธเจ้าท่านมาตรัสเสียใหม่ว่า นรกที่อายตนะฉันเห็นแล้ว ก็คือที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; นี่นรก เมื่อทำผิด มันร้อนขึ้นมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันนรกที่ไม่ใช่วัตถุ ที่ไม่ใช่กาย มันเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึก เป็นทุกข์ร้อน อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่นรกฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ ฝ่ายวิญญาณ ทีนี้ สวรรค์ก็เหมือนกัน เมื่อถูกต้อง เขาก็จะเป็นสุขสนุกสนาน อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็นั้นแหละ คือ สวรรค์ เป็น สวรรค์ทางวิญญาณ มันคู่กัน อย่างนี้ มันคู่กันมา อย่างนี้ ถ้าเอาวัตถุ เอาร่างกายเป็นหลัก นรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า แล้วก็เป็นไป ตามเรื่องนั้น แต่ถ้าเอาเรื่อง นามธรรม ฝ่ายวิญญาณ เป็นหลักแล้ว ทั้งนรก ทั้งสวรรค์ มันอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ ความรู้สึก ที่เกิดขึ้น ที่นั่น พูดอย่างนี้ ชี้ไปยังที่ตัวจริง พูดอย่างโน้น มันอุปมา เหมือนกับว่า ถูกฆ่า ถูกเผา ถูกอะไรอยู่ หรือว่า เสวยอารมณ์ อันเป็น กามคุณอยู่ นั้นควรจะเป็นอุปมา แต่เขากลับเอามา เป็นตัวจริง ทีนี้ ผม อธิบายตาม พระบาลี เรื่องตัวจริง ว่า ร้อนอยู่ที่ อายตนะทั้ง ๖ นี้ มันเป็นนรก สบายอย่างนี้ เป็นสวรรค์ เขากลับหาว่า นี้อุปมา นี่มัน กลับกัน อย่างนี้ ใครโง่ ใครฉลาด? คุณก็ไปคิดเอาเอง แต่ผมยืนยันว่า ตามหลักของพระพุทธเจ้าว่า นี้คือ จริง : นรกที่อยู่ที่อายตนะ ๖ นี้ คือ นรกจริง สวรรค์ที่อยู่ที่อายตนะ๖ นี้คือ สวรรค์จริง ท่านจึงตรัสว่า ฉันเห็นแล้วๆ ก็ไม่ได้พูด ตามที่เขาพูดกัน อยู่ก่อนพระองค์ ที่เขาพูดกัน อยู่ก่อนพระองค์ นั้น เขาพูดกันว่า อย่างนั้น มันจะเป็น เรื่องคาดคะเน หรือ เป็นเรื่องอะไร ก็ตามใจเขา เราจะไม่แตะต้อง เราจะไม่ไปคัดค้าน นี่คุณช่วยจำไว้ ข้อหนึ่ง ด้วยนะ แทรกให้ได้ยินว่า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ตรงกับ ลัทธิของเรา พระพุทธเจ้า ท่านว่า อย่าไปคัดค้าน แล้วก็ ไม่ต้องยอมรับ เมื่อเราไม่เห็นด้วย เราก็ไม่ยอมรับ แต่แล้ว อย่าไปคัดค้าน อย่าไปด่าเขา อย่าไปอะไรเขา ก็บอกว่า คุณว่าอย่างนั้น ก็ถูกของคุณ เราไม่อาจจะยอมรับ แต่เราก็ไม่คัดค้าน แต่เรามีว่าอย่างนี้ๆ เราก็พูดของเราไป ก็แล้วกัน นี่ควรจะถือเป็นหลัก กันทุกคน ถ้าลัทธิอื่น เขามาในแบบอื่น รูปอื่น เราก็ไม่คัดค้าน เราไม่ยอมรับ แต่เราบอกว่า ของพุทธศาสนานี้ เป็นอย่างนี้ๆ ก็ว่าไป ไม่ต้องทะเลาะกัน ที่มันจะไป ทำลายของเขา ยกตัวของตัว ขึ้นมา นี้มันจะได้ทะเลาะกัน จะทำอันตรายกัน เพราะหลักธรรมะ นั้นเอง พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่พูด ถึงเรื่องอะไรๆ ที่เขาพูดกันอยู่ก่อน ในหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่อง นรก สวรรค์ นี้ด้วย แต่ท่านพูด ขึ้นมาใหม่ว่า ฉันเห็นแล้ว คือ อย่างนี้ๆ ฉะนั้น เรามี นรก สวรรค์ ทั้งที่เป็น การกล่าวกัน อยู่ตาม ทางวัตถุ ทางกาย มาสอนใน ประเทศไทย ตั้งแต่ ก่อนพุทธศาสนาเข้ามา ฝ่ายพุทธศาสนาเข้า เขาก็ไม่ได้เอา คำของพระพุทธเจ้า ข้อนี้ มาสอน ประชาชน ก็ยังถือตาม ก่อนโน้นๆ นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า นรก สวรรค์ อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสนี้ ไม่ค่อยมีใครสนใจ พอเอามาพูดเข้า เขาเห็นเป็น เรื่องอุปมา ไปเสียอีก มันกลับกัน เสียอย่างนี้ คัดจาก หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม เล่ม ๒ เรียบเรียงโดย นาย พินิจ รักทองหล่อ พิมพ์ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๔๐ โดย ธรรมทานมูลนิธิ จากคุณ : silverspider - [ 7 ม.ค. 50 03:58:27 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ปฏิจจสมุปบาท คือการเวียนว่ายตายเกิดแบบของพุทธ ซึ่งแตกต่างจากของพราหมณ์มาก ว่าแต่ปฏิจจสมุปบาทนี่เป็นคำสอนของใครล่ะ จากคุณ : silverspider - [ 7 ม.ค. 50 04:23:05 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่มีปัญหาหรอกครับถ้าจะบอกว่าพระไตรปิฎกผิด ปัญหาคือ "หลักฐาน" เท่านั้นเอง ถ้าหาสำเนาพระไตรปิฎกสมัยพระเจ้าอโศกมาได้แล้วมายืนยันว่าเพี้ยนไปมากจริงๆจากสมัยนี้นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าอ้างอาจาริยวาทผมก็คงต้องพิจารณาตามหลักมหาปเทศเสียก่อนแล้วค่อยเชื่อนั่นแหละครับ ตรรกะง่ายๆ คุณบอกว่าหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรผิด โดยอ้างคำบอกเล่าจากตัวบุคคลที่คุณไม่เปิดเผยชื่อ มันเอามาคัดง้างกันไม่ได้ครับ ถ้าจะแย้งว่าของปัจจุบันมันเพี้ยน คุณต้องเอาของเก่ากว่ามาให้ดู นี่เป็นเรื่องพื้นๆของการศึกษาประวัติศาสตร์ครับ ยกเว้นพวกนัก Conspiracy จากคุณ : Nexus - [ 7 ม.ค. 50 07:29:19 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คัมภีร์โบราณมักเจอปัญหานี้ทั้งนั้น ความหมายของคำในสมัยหนึ่งก็อาจไม่ตรงกับสมัยนี้แล้ว คัมภีร์ใบเบิลมีปัญหาตั้งแต่คนบันทึก ว่ามีหลายคนมากจนไม่อาจทราบได้ว่าข้อความใดถูกต้อง บางท่านก็บอกว่าเฉพาะของแมทธิวเท่านั้นที่เขียนตามที่พระเยซูตรัสแก่ชาวประมงค์จริง นอกนั้นเขียนขึ้นตามความรู้สึกของตนแต่อย่าไปกังวลมากกับกระพี้ต่างๆที่แถมมาดีกว่า เอาว่าหลักๆนี่เช่นเจริญสตินี่ทำกันได้จริงจังแค่ไหน จากคุณ : มหานอกวัด - [ 7 ม.ค. 50 08:18:38 A:203.113.61.230 X: TicketID:101872 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นด้วยกับ #4 ก่อนอื่นเราต้องแยกให้ออกระหว่างความเชื่อของเราเอง (ไม่ว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากใครหรือกลุ่มคนใด) กับความคิดที่ได้จากการวิเคราะห์หลักฐานที่สืบทอดมา ถ้าเราอ้างการวิเคราะห์หลักฐานของคนอื่น เราก็ต้องรู้ว่าเขาเอาหลักฐานอะไรมาหักล้าง แล้วความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่เอามาหักล้างกับความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่ถูกหักล้างนั้นเป็นอย่างไร แค่นี้ยังไม่พอ ถ้าได้หลักฐานที่สอดคล้องกับความเชื่อของเราแล้ว จะปิดหูปิดตาไม่รับฟังหลักฐานอื่นที่หักล้างกับความเชื่อของเราก็ไม่ได้ จู่ๆจะให้ผมไปเชื่อพระเกจิอาจารย์สักรูป สักโหล ที่เทศนาขัดแย้งกับหลักฐาน โดยอ้างแค่ว่าเชื่อเถอะ หรือบอกแค่ว่าอย่างนี้แหละทันสมัยเป็นวิทยาศาสตร์ ผมก็รับไม่ได้ วิทยาศาสตร์ก็วิทยาศาสตร์ ศาสนาก็ศาสนา คนละเรื่องกัน แต่ของทุกอย่างบนโลกแม้จะเป็นคนละเรื่องกันก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน บางส่วนของศาสนาก็พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เช่น รูปารมณ์ มีวรรณะคือสีแดงเป็นต้น (อายตนะภายนอก) กระทบ จักขุปสาท (อายตนะภายใน) มีจักขุวิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ไปรับรู้เป็นผัสสะ แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดวิญญาณตัวนี้ต้องประกอบด้วยองค์ 4 รูป ตา แสงสว่าง ความใส่ใจ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ หัวข้อนี้เราพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ต่อไปปฏิจจสมุปบาทบอกว่า สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา กระบวนการที่ยกมา 4 อาการนี้ปัจจุบันวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เพราะผัสสะ เวทนา ตัณหา เหล่านี้เป็นเจตสิก เป็นนามธรรม วิทยาศาสตร์ยังไม่มีหนทางวัดการเกิดดับของนามธรรม ถ้าเราศรัทธา เราต้องอาศัยความเชื่อและประสบการณ์ จะเห็นว่าโผล่คำว่าศรัทธามา 1 คำ คำนี้เป็นคำสำคัญ ในมิลินทปัญหาพระนาคเสนตอบอาการของศรัทธาว่ามีลักษณะแล่นไป นำไป ในอินทรีย์ 5 พละ 5 ซึ่งมาเอามารวมกันก็เป็นองค์ธรรมให้โพธิปักขิยธรรม ก็มีศรัทธาเป็นทั้งอินทรีย์ เป็นทั้งพละ และยังจัดเป็นองค์ธรรมข้อแรก ซ้ำยังจัดในลักษณะที่ข่มกับปัญญา คือ ถ้ามีศรัทธามาก แต่ปัญญาน้อย ก็งมงาย แต่ถ้ามีปัญญามาก แต่ศรัทธาน้อย ก็ฟุ้งซ่าน คิดเพ้อเจ้อเหลวไหล ออกนอกทาง ศรัทธา กับ ปัญญา ต้องเสมอกัน เหมือน วิริยะ กับ สมาธิ ที่ต้องเสมอกัน ส่วนอีกข้อคือ สติ ไม่มีคำว่าสติมากเกินไปอยู่แล้ว ยิ่งมากยิ่งดี ที่พูดมานี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า บางเรื่องในพุทธศาสนาเอาวิทยาศาสตร์ไปอธิบายได้ แต่บางเรื่อง (ยังไม่ต้องไปถึงนรก-สวรรค์-นิพพาน) ก็เอาวิทยาศาสตร์ไปอธิบายไม่ได้ ซื่อสัตย์ต่อหลักฐานที่มี อย่าไปฟังเสียงลือเสียงเล่าอ้าง หรือพยายามทำให้ทันสมัยต้องเป็นวิทยาศาสตร์เลยครับ จากคุณ : ศล - [ 7 ม.ค. 50 09:07:00 ]

ความคิดเห็นที่ 7 [sup]สมควรจะเชื่อความคิดของเราที่ได้[u]วิเคราะห์เหตุและผล[/u]แล้วต่างหากคับ" จากคุณ : S.nualrod[/sup] วิสัชนา พระพุทธศาสนามีหลักการคล้ายกับวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่วิธีการศึกษาไม่เหมือนกัน วิทยาศาสตร์ใช้การวิเคราะห์เหตุและผลด้วยความคิด ยิ่งคิดได้มากก็ยิ่งรู้มากได้ผลจากการพิสูจน์ทดลองมากเพราะความคิด แต่พระพุทธศาสนาโดยปรมัตถ์ไม่ต้องใช้ความคิด ผลการปฏิบัติต้องเป็นไปตามสภาวะที่มันเกิดขึ้นจริงโดยที่ผู้สังเกตุการณ์(ผู้ทดลอง) ไม่ต้องคิดห้ามคิดห้ามปรุงแต่งห้ามวิเคราะห์ในสภาวะของผลการทดลองที่ได้ เพราะหากบุคคลใดใช้ความคิดกับการปฏิบัติ บุคคลนั้นก็เสี่ยงต่อผลการทดลองที่คลาดเคลื่อนไปจากความจริง [b]วิทยาศาสตร์ยิ่งรู้ยิ่งต้องคิด แต่พุทธศาสนายิ่งรู้ยิ่งต้องปล่อยวางความคิด[/b]ถึงจะรู้จริงรู้แจ้ง. จากคุณ : หลอด ออฟ โอวัลติน - [ 7 ม.ค. 50 09:30:36 A:58.181.190.96 X: TicketID:121644 ]

ความคิดเห็นที่ 8 นรก-สวรรค์ อยู่ในใจไม่ใช่เหรอครับ? จากคุณ : 1+1 - [ 7 ม.ค. 50 10:04:15 A:58.8.123.100 X:203.144.143.10 TicketID:117317 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมไม่รู้ว่าทำไมคนถึงชอบเอาเรื่องศาสนามาถกกัน เช่นว่า คนที่เชื่อในศาสนา พยายามพูดว่า ศาสนานี่เป็นวิทยาศาสาตร์(ไม่ใช่ทั้งหมด) คนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ พยายามบอกว่า ศาสนาน่ะสอนผิดๆ เหลวไหล(ไม่ใช่ทั้งหมด) สำหรับผม ผมสนใจแค่ หลักคำสอนไหนที่สามารถทำให้ผมอยู่อย่างเป็นสุขได้ก็พอแล้ว จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 7 ม.ค. 50 10:22:38 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีกระบวนการคิด สอดคล้องกับหลักการคิดแบบวิทยาศาสตร์ แต่ศาสนาก็คือศาสนา วิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ ไม่จำเป็นที่จะต้องเอามาโยงเข้าหากัน หรือสอดคล้องกันแต่อย่างใด ส่วนเรื่องการสังคายนา ลองไปศึกษาดูดีนะคะว่าสังคายนาในศาสนาพุทธคืออะไร อย่าไปประมาทว่าการท่องพระธรรมวินัยแบบปากเปล่านั้นทำให้การจำผิดเพี้ยน เพราะท่องแบบคนหมู่มาก หากคนหนึ่งท่องผิด หรือจำมาผิด จะแปลกแยกกว่าคนอื่น ซึ่งก็จะมาสอบทวนความเข้าใจให้ตรงกัน แม้แต่มาถึงยุคจดบันทึก การสังคายนา ก็ยังใช้วิธีนี้อยู่ ปัจจุบันในพม่า พระเถระผู้ใหญ่บางรูป ท่องจำพระไตรปิฏกได้ครบถ้วน ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่ตัวเดียวก็ยังมีอยู่นะคะ แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 50 10:40:41 จากคุณ : @นางมารน้อย@ - [ 7 ม.ค. 50 10:38:56 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แต่ผมคิดว่าถ้าพระพุทธเจ้ายังมีชีวิต ท่านคงไม่ปลื้มที่จะเห็นคนมาเถียงกันบ่อยๆด้วยเรื่องอะไรแบบนี้ ท่านคงต้องการให้คนฟัง > คิด > พิสูจน์ แล้วค่อยเชื่อด้วยตัวเอง เค้าจะเชื่อกันแบบไหน ก็ปล่อยเค้าไปเถอะครับ ถ้าความเชื่อเหล่านั้นล้วนแต่ผลักดันให้เค้าทำความดี จากคุณ : Vagabundo - [ 7 ม.ค. 50 11:04:03 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อ่านคห.มาทั้งหมดทำให้นึกถึงหนังสือ พระไตรปิฏกที่ชาวพุทธควรรู้ (ไม่แน่ใจว่าจำชื่อได้ถูกต้องหรือเปล่า) ของท่าน ปยุตโต ที่เล่าถึงกรรมวิธีของการรักษาความถูกต้องของพระธรรมไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีการใช้ภาษาเขียนโดยการใช้วิธีสวดทุกวันโดยคนหมู่มาก ซึ่งถ้าบางคนสวดผิดเพี้ยนไปก็จะถูกดึงโดยหมู่มากที่สวดถูกต้องให้ไปกับคำที่ถูกต้อง นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมต้องสวดแล้วสวดอีกกันเป็นกลุ่มทุกวัน ด้วยวิธีนี้ปรากฏว่าสามารถรักษาความเที่ยงตรงของพระธรรมไว้ได้ดีกว่าสมัยที่ใช้รักษาด้วยภาษาเขียนเสียอีกเพราะพอมีภาษาเขียนแล้วทำให้เกิดความชะล่าใจในการเก็บรักษาทำให้มีการละเลยในการทบทวนทำให้เกิดความเพี้ยนในการตีความในที่สุด  อีกเรื่องคือเนื้อหาในพระไตรปิฏก ท่านปยุตโตได้ให้ความกระจ่างไว้ในหนังสือว่าสาเหตุที่ต้องมีสามตะกร้าเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านได้แบ่งคำสอนไว้สำหรับคนสามหมู่ที่มีระดับจิตใจไม่เหมือนกัน คือพระวินัยสำหรับสอนพระสงฆ์เพราะเกี่ยวกับข้อปฏิบัติของพระสงฆ์โดยตรง พระสูตรสำหรับสอนชาวบ้านโดยทั่วไปเพราะเป็นการทำให้เป็นเรื่องนิทานสนุกสนานไม่น่าเบื่อแต่แทรกธรรมะไปในตัว ส่วนพระอภิธรรม เป็นพระธรรมขั้นสูงสำหรับปัญญาชนที่เห็นว่าการฟังนิทานเป็นเรื่องน้ำท่วมทุ่งมีสาระน้อยจึงต้องการฟังพระธรรมในรูปแบบของทฤษฏีที่ต้องมีการวิเคราะวิจารณ์ นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นทีน่าสนใจที่ผมเก็บมาไม่หมดอีกเยอะในหนังสือเล่มนี้อยากแนะนำให้จขกทอ่าน จากคุณ : Cyber Sage - [ 7 ม.ค. 50 11:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สำหรับผมเชื่อน่ะเรื่องนรก สวรรค์ น่ะครับ ทั้งเรื่อง กรรม เรื่องเวร ผมเชื่อหมดแหละ ผมก็เคยบวชน่ะครับแล้วไปฟังพระอาจารย์เค้าเล่าเรื่องต่างๆๆเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า แล้วสำหรับการเวียนว่ายตายเกิด นั้น มันเกี่ยวกับเรื่องพวก วิบากกรรมครับพวกเรื่องวิบากกรรมนี้ผมก็เชื่อน่ะครับ ผมเอด้วยว่ากรรมเวรนั้น มีอยู่จริงครับ ส่วนพวกนรก-สวรรค์ ก็ตาม คห.2 ครับ จากคุณ : oatskii (oatskii) - [ 7 ม.ค. 50 11:14:57 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ครับ เข้าใจฮะว่าอยากจะมาบอกความจริง แต่ทำไมไม่ลองไปห้อง "ศาสนา" ดูละคับ อุอุ จากคุณ : Nanoดะ - [ 7 ม.ค. 50 11:21:02 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นด้วยกับ คห .1 ครับควรไปถามที่ห้องศาสนาดีกว่าครับ จากคุณ : kaiwe - [ 7 ม.ค. 50 12:07:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เจ้าอาวาสวัดพุทธก็คืออิหมานผู้ดูแลมัสยิดอิสลาม แต่อิหมานดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ เช่นเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ จากคุณ : จอมจักร - [ 7 ม.ค. 50 12:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สนฺทิฏฺฐิโก แล้วท่านเชื่อว่า นรก สวรรค์ ไม่มีจริงนั้น ด้วยอะไรครับ ??? แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 50 13:29:27 จากคุณ : Capo - [ 7 ม.ค. 50 13:27:40 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ประสบการณ์เรื่อง ฌาน ญาน เป็นวิสัยที่ผู้ได้ ประจักษ์ได้ด้วยตนเอง  เพียงแต่เหนือที่จะหาคำบรรยายให้ผู้อื่นทราบได้อย่างแท้จริงว่าภาวะดังกล่าวเป็นอย่างไร  ไม่ใช่ว่าไม่มีใครพิสูจน์ได้  รวมถึงนิพพานด้วย    เคยได้ฟังประสบการณ์ภาวะดังกล่าวจากผู้ที่ประสพด้วยตนเองท่านเล่าให้ฟัง   เมื่อบรรลุธรรมนั้นเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้นทั้งสามขั้นนั้น  ทุกครั้งจิตจะแหวกออกเข้าสู่นิพพานภาวะชั่วขณะหนึ่ง  ก่อนจะถูกห่อหุ้มกลับอีกครั้ง  จนกระทั่งขั้นสุดท้ายแล้วนั่นแหละครับ จิตถึงสละหลุดได้อย่างสิ้นเชิง   พระพุทธองค์ถึงทรงตรัสว่า  ธรรมแท้นั้นไม่ขึ้นกับกาล ท่านทั้งหลายต้องมาพิสูจน์ให้ประจักษ์ด้วยตนเองครับ   สัมมาทิฎฐิ  นั้นจึงสำคัญ  หากตั้งทิฎฐิความเห็นไว้ผิดแล้ว  แม้นมีวาสนาได้ใกล้ชิด  พบพานพระพุทธศาสนาแล้ว  ก็ยังพาให้ห่างไกลหนทางไปจนได้ จากคุณ : ไข่เจียวว - [ 7 ม.ค. 50 15:42:56 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ศาสนาพุทธ ต้องมี ปริยัติ - ปฏิบัติ - ปฏิเวธ อ่านแล้วคิดวิเคราะห์แค่แบบวิทยาศาตร์ก็ได้แต่ความรู้ที่เป็นสัญญาความจำเกิดแต่กิเลส จากคุณ : bgn - [ 7 ม.ค. 50 16:27:05 A:10.161.40.31 X:202.12.97.120 TicketID:093114 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ เข้าไปห้องศาสนาสิครับ เละกลับมาแน่ๆ จากคุณ : atheist - [ 7 ม.ค. 50 16:36:58 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อ่านกระทู้นี้ ก้อ คิดถึงห้องศาสนา แต่เดี๋ยวนี้ ผมเข้าไปไม่ได้แล้ว จากคุณ : คนโบราณ - [ 7 ม.ค. 50 16:40:52 A:203.153.166.60 X: TicketID:000815 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อืมมม ไม่ว่าจะอย่างไร คนเขียนพระไตรปิฎก มิใช่พระพุทธเจ้า ฉบับลายลักษณ์อักษรนั้น ก็เกิดขึ้นเมื่อสังคายนาครั้งที่ 4 ฉะนั้น จากความเข้าใจ และการท่องจำ อาจจะมีการคลาดเคลื่อนไปบ้าง และมีการเติมแต่งอะไรไปบ้างแน่นอน จนต้องมีอรรถกถา อธิบายออกมาเพิ่มเติม ผมว่า อย่ายึดติดกับพระไตรปิฎกมากนักเลยครับ เอาเป็นว่าเรา อ่าน ทำความเข้าใจ คิดให้รอบคอบจนเชื่อได้แล้วว่าจริง แล้วนำไปใช้ให้มีความสุขได้ นั่นก็เพียงพอแล้วครับ ปล. จะไปสนใจทำไม ว่าท่านประสูติที่ไหน หรือท่านมีดอกบัวรองรับเมื่อประสูติหรือไม่ ถ้ามีแล้วมันมีกี่กลีบ ฯลฯ ในเมื่อเราสนใจกันที่คำสอนของท่านที่เป็นปรัชญาชีวิต ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าดีจริงแล้วทำตาม ปลล. ที่พูดนี่ ผมไม่ได้ว่าไม่น่าเชื่อถือหรืออย่าไปเชื่อถือเลยนะครับ ผมหมายความว่า แค่อ่านแล้วคิดแล้วพิจารณาก้เพียงพอครับ จากคุณ : 125 66@MDCU62 - [ 7 ม.ค. 50 16:59:15 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แจ้งลบนะครับ ... จากคุณ : V--Bank--V - [ 7 ม.ค. 50 22:10:57 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แจ้งเลยคับ ความคิดเห็นยังไม่มี ยังจะแจ้งลบคนอื่นอีก มีคนแบบนี้เยอะๆก็ดีคับ จากคุณ : S.nualrod - [ 7 ม.ค. 50 22:35:11 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น นรก สวรรค์ เรื่องพวกนี้ก็แค่กุศโลบาย จากคุณ : Limelight - [ 7 ม.ค. 50 22:40:11 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอแซวเจ้าของกระทู้หน่อยเถอะ  แบบว่าขำๆนะครับ ------------------------------------------------------------------------------------------ จขกท. ว่า.....แม้แต่พระบางคนเองก็ยังหลงเชื่อในสิ่งผิดๆอยู่เลย ^ ^ ถูกผิด ใครตัดสินครับ คุณหรือใคร  และด้วยเหตุผลของใคร -------------------------------------------------------------- จขกท. ว่า.....แล้วไตรปิฎกที่เราอ่านๆกันอยู่เนี่ยมันจะไม่มีพลิกแพลงบ้างเลยเหรอคับ   ^ ^ ถ้าคุณหมายความว่ามันต้องมีพลิกแพลงแน่   หลักฐานอยู่ตรงไหนครับ  หรือว่าคุณพูดลอยลมเอาเอง ------------------------------------------------------------------ จขกท. ว่า.....คุณคงคิดว่าเมื่อ2000กว่าปีก่อนเค้าใช้คำว่านรก-สวรรค์เหรอคับ เอาง่ายๆกันเลยคับ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าใช้คำอะไรแต่มันไม่ใช่นรก-สวรรค์หรอกคับ ^ ^ โอว คุณบอกว่าคุณไม่รู้   แต่คุณก็ตอบแบบฟันธงเอาง่ายๆ ทั้งๆที่คุณก็ไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะครับ โอว...คุณทำได้ไงเนี่ย ------------------------------------------------------------------- จขกท. ว่า.....คนที่สังคายนานะคับมันเมคขึ้นมา(เมคด้วยความเข้าใจผิดตามความคิดตัวเอง) ^ ^ โถ...พระอรหันต์ตั้ง 500 รูป  เมคพระไตรปิฏกกันหมดเลยหรือนี่  น่าเศร้าจัง เอ...ว่าแต่คุณไปทราบความจริงเรื่องนี้มาได้  ยังไงกันล่ะเนี่ยครับ ---------------------------------------------------------------------- จขกท. ว่า.....แต่ยืนยันได้อย่างนึงว่าเรื่อง นรก-สวรรค์ ผี-ปีศาจ การเวียนว่ายตายเกิดเนี่ย ไม่เคยเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรอกคับ ^ ^ ยืนยันแทนพระพุทธเจ้าเลยเนี่ยนะครับ  นับถือ นับถือ ...5555 ---------------------------------------------------------------------- จขกท. ว่า.....แต่เชื่อเถอะคับทุกเรื่องที่พระองค์ตรัสไว้สามารถพิสูจน์ได้ทั่งหมด เว้นไว้เรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่อาจให้ใครพิสูจน์ได้ นิพพานคับ ^ ^ ที่ยืนยันมานี่  เอามาจากไหนครับ หรือว่าเป็นความเชื่อของคุณเอง   ------------------------------------------------------------------------- จขกท. ว่า....."ความเชื่อนะไม่ควรใช้ศรัทธาแบบมืดบอดหรอกคับ แต่ความเชื่อนะ สมควรจะเชื่อความคิดของเราที่ได้วิเคราะห์เหตุและผลแล้วต่างหากคับ" ^ ^ และเหตุผลที่ใช้ในการวิเคราะห์   ก็ต้องเป็นเหตุผลแบบของคุณเท่านั้นใช่ไม๊ครับ   ถ้าเป็นเหตุผลที่ไม่ตรงกับคุณ ถือว่าผิดหมด  555 ------------------------------------------------------------------ ขอเดาหน่อยนะครับ  แบบไม่ฟันธง....ฮา 1.คุณอายุไม่เกิน 19 ปี 2.คุณไม่เคยแตะพระไตรปิฎก  อย่างมากก็ได้แค่ด้อมๆมองๆ และไม่ เคยเปิดอ่านแม้แต่หน้าเดียว ( แต่พูดถึงพระไตรปิฏก ฉอดๆๆๆ  ) ปัญหาของคุณก็คือ   1.คุณมีพระพุทธเจ้าแบบในจินตนาการของคุณ  ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าที่ดีเลิศ และต้องทำในสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเท่านั้น พระพุทธเจ้าของคุณ  จะไม่มีวันทำในสิ่งที่คุณเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น  ถ้าคุณเห็นว่าสิ่งใดถูกต้อง  พระพุทธเจ้าของคุณจะต้องสอนแบบนั้น ถ้าคุณเห็นว่าสิ่งใดไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าของคุณ ก็จะต้องไม่สอนในสิ่งนั้น 2.พระพุทธเจ้าต้องเป็นแบบที่คุณกล่าวมาแล้วเท่านั้น  ถ้ามีตำราใด แม้แต่พระไตรปิฏก   ที่บอกว่า พระพุทธเจ้า ทำในสิ่งที่แตกต่างจากที่คุณคิด แสดงว่าตำรานั้นเขียนผิด พิมพ์ผิด  หรือไม่ก็บกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง 3.พระเถระผู้สังคายนาพระไตรปิฏก  เมคเรื่องขึ้นมา   แต่สิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากความคิดของคุณ คือความจริงที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เมื่อ 2500 ปีมาแล้ว 4.คุณทนไม่ไหว  หากภาพของพระพุทธเจ้า จะไม่เป็นแบบที่คุณคิด 5.คุณคิดว่าคุณเข้าใจกาลามสูตรดีเยี่ยม 6.คุณเข้าใจว่าคุณ  มีโยนิสมนสิการ ดีเยี่ยม ผม ไม่คาดหวังว่าคุณจะเข้าใจ สิ่งที่ผมเขียนหรอกนะ เนื่องจากผมไม่คิดว่าคุณจะเคยได้แตะต้องพระไตรปิฏกมาก่อน และผมก็ไม่ได้คิดจะมาต่อล้อต่อเถียงอะไร  แค่ชี้ให้ดูว่า สิ่งที่คุณเขียนมา  มันเข้าเนื้อเห็นๆ และดูเหมือนจะเป็นการเขียนที่เอาแต่ใจตนเองเป็นหลักอย่างร้ายกาจทีเดียว อย่าโกรธผมล่ะ  เพราะถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับผม  ผมก็ผิดเต็มประตูอยู่แล้ว จากคุณ : Perseus - [ 8 ม.ค. 50 02:58:12 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อยู่ที่การตีความแหละครับ เจ้าของกระทู้คงตีความหมายว่า นรกนั้นคือสถานที่ที่อยู่ใต้ดิน มีกระทะทองแดง มีต้นงิ้ว และ สวรรค์นั้นคือที่ที่อยู่บนฟ้า มีเทวดา มีวิมาน ซึ่งนรก-สวรรค์ในความหมายนี้นั้น จะว่าไม่มีสอนในพระไตรปิฎกก็คงจะไม่ผิด แต่ถ้าตีความว่านรก คือผลแห่งการกระทำชั่วหรือการกระทำในสิ่งที่ผิด และสวรรค์ คือผลแห่งการกระทำในสิ่งที่ถูก สิ่งที่ดี   เช่นว่าเมื่อนักเรียนนักศึกษาไม่ตั้งใจเรียน ผลสอบออกมาปรากฏว่าต้องซ้ำชั้น ต้องลงใหม่ ความทุกข์ใจก็เกิด สภาพนี้ก็คือเรากำลังตกนรก คนๆหนึ่งขาดงาน-ลางานไปเกือบทั้งเดือนเพื่อไปเที่ยวกับเพื่อน ไปเที่ยวกับแฟน เมื่อถึงสิ้นเดือนปรากฏว่าถูกหักเงินเดือนไปมากกว่าครึ่ง เกิดภาวะขัดสน เงินไม่พอใช้จ่ายใช้หนี้สิน สภาพของคนๆนั้นก็คือกำลังตกนรก และในทางกลับกันหากตั้งใจเรียน เกรดออกมาเพื่อนๆก็ชม แฟนสาวก็ปลื้ม พ่อแม่ก็มีของขวัญให้  หรือตั้งใจทำงานเมื่อสิ้นเดือนก็ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้โบนัส คนๆนั้นก็กำลังขึ้นสวรรค์ หากพิจารณาคำว่านรก-สวรรค์น้นแท้จริงแล้วคือเช่นนี้เอง ผมเชื่อว่าในไตรปิฎกคงต้องกล่าวถึงเรื่องนี้ครับ จากคุณ : charoka - [ 8 ม.ค. 50 03:33:10 ]

ความคิดเห็นที่ 28 --------------------------------------------------------------------------- อยู่ที่การตีความแหละครับ เจ้าของกระทู้คงตีความหมายว่า นรกนั้นคือสถานที่ที่อยู่ใต้ดิน มีกระทะทองแดง มีต้นงิ้ว และ สวรรค์นั้นคือที่ที่อยู่บนฟ้า มีเทวดา มีวิมาน ซึ่งนรก-สวรรค์ในความหมายนี้นั้น จะว่าไม่มีสอนในพระไตรปิฎกก็คงจะไม่ผิด ...........charoka -------------------------------------------------------------------------- ^ ^ ปัญหามันอยู่ที่ในพระไตรปิฏกเค้าสอนเรื่องนี้กันเต็มๆน่ะสิครับคุณ ถ้าจะเอาเนื้อความที่ว่า  ศาสนาพุทธสอนอะไรในพระไตรปิฏก   ก็ต้องบอกว่า สอนเรื่องนรก สวรรค์ กันเต็มๆ  และพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนแบบไม่ต้องตีความ ผมไม่ได้มาพูดเรื่องนรกสวรรค์ว่ามีจริงหรือเปล่า  นะครับ แต่ผมกำลังพูดถึงว่าที่จริงแล้วพระไตรปิฎกสอนอย่างไร ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนบางคนที่นับถือศาสนาพุทธ  แบบไม่ค่อยได้ศึกษา คนกลุ่มนี้ มักมีศาสนาพุทธในอุดมคติของตัวเองในแบบของลัทธิ อชิตะเกสกัมพลคือ ไม่เชื่อว่ามีนรกสวรรค์ พูดง่ายๆว่าอันที่จริงแล้ว เขานับถือลัทธิอชิตะเกสกำพลนั่นแหละ  แต่เข้าใจว่านั่นคือศาสนาพุทธ เมื่อคนกลุ่มนี้ ไปเจอข้อมูลในพระไตรปิฏก ที่สอนเรื่องนรกสวรรค์ ก็เลยขัดกับศาสนาพุทธในอุดมคติของตัวเอง ก็เลยเต้นผาง ประกอบกับการที่ที่ไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธอย่างจริงจัง ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง ได้แต่แทะๆเล็มๆนิดๆหน่อยๆ ก็นำมาพูดว่าพระไตรปิฏกสอนผิด ( ผิดไปจากศาสนาพุทธในอุดมคติของเขา  ) นรก-สวรรค์ที่แท้จริง ก็คือสวรรค์ในอก นรกในใจ  ( ซึ่งเป็นวิธีคิดของลัทธิ อชิตะเกสกัมพล ) อะไรทำนองนี้ วิธีการศึกษาเรื่องนี้  อันที่จริงก็ง่ายแสนง่าย  เพียงแค่เสิร์ชจากกูเกิ้ลเท่านั้นเอง ผมหามาเป็นตัวอย่างให้อันนึงละกัน http://webboard.mthai.com/7/2006-05-01/229582.html อันที่จริงกระทู้นี้ควรไปอยู่ที่ห้องศาสนามากกว่า นะครับ เมื่อมาเจอเรื่องนี้ที่นี่ ผมเกรงว่าจะเข้าใจพระไตรปิฏกกันผิดไป ก็เลยเอาข้อมูลอีกด้านมานำเสนอ ผมจะเข้ามาอ่านกระทู้นี้เป็นระยะ  แต่จะไม่เข้ามาตอบกระทู้นี้แล้วนะครับ  เดี๋ยวจะยาว และผมมองว่า มันเป็นความคิดฟุ้งซ่าน ของคนที่ไม่มีโอกาสศึกษาศาสนาพุทธ  ( หรือมีโอกาส แต่ไม่ยอมศึกษา ) แต่ใครจะเชื่ออย่างไร ก็ขอให้ทุกคนทำความดีนะครับ จากคุณ : Perseus - [ 8 ม.ค. 50 11:01:28 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ถามหน่อย คำภีร์ยังไม่เชื่อ  แล้วจะเอาอะไรเป็นหลักครับ หลักgu หรือไงครับ? ถามตรงๆแค่นี้แหละ เรื่องพระไตรปิฎกไปอ่านงานวิจัยของพระพรหมคุณาภรณ์ได้ครับ ท่านวิจัยมาแล้วว่าพระไตรปิฎกฉบับเถรวาทนั้นเก่าแก่และดั้งเิดิมที่สุดเท่าที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก หากไม่ยึดของเก่าสุดแล้วจะไปยึดใครที่ไหน คิดเองเออเองว่าพระพุทธเจ้าต้องสอนแบบนั้นแบบนี้ อันนี้คงเรียกว่าศาสนาใหม่แล้วล่ะครับ แค่หลักเริ่มต้นยังไม่มี แล้วจะไปปฎิบัติต่อไปได้อย่างไร สิ่งไหนยังสงสัยก็อย่าปักใจเชื่อ ให้พิสจน์จนเห็นจริงว่ามันจริงหรือไ่ม่จริง(วิธีพิสูจน์มีอยู่แล้ว กล้าทำไหม? นั่งสมาธิให้ได้ญาณต่างๆเลยน่ะ) แต่ถ้าคุณปักใจเชื่อว่าไม่จริงและไม่คิดจะพิสูจน์ ชาตินี้ก็ไม่ไปไหน เสียชาติเกิดที่ได้มีโอกาสเป็นชาวพุทธ(อันนี้พูดตรงๆ) จากคุณ : ....4จุด - [ 8 ม.ค. 50 17:18:43 ]

ความคิดเห็นที่ 30 #29 เคยอ่านกาลามสูตรมั้ยครับ จากคุณ : RT - [ 8 ม.ค. 50 23:57:23 A:210.203.179.122 X: TicketID:100823 ]

ความคิดเห็นที่ 31 #30 เคยสิครับ เลยต้่องพิสูจน์ด้วยตนเองไม่ใช่ปักใจเชื่อว่าไม่จริงแน่ๆทั้งๆที่ไม่ีเคยอ่านหรือวิเคราะห์จริงจังแบบบางความคิดเห็น จากคุณ : ....4จุด - [ 9 ม.ค. 50 18:24:50 ]

ความคิดเห็นที่ 32 พระพุทธเจ้าท่านมีคำสอนด้วยกันสองคัมภีร์นะครับ 1 . ตั้งแต่ตรัสรู้จนมาถึง8ปีก่อนปรินิพาน ท่านสอนเกี่ยวกับหลักปฏิบัติ ของสงฆ์ และฆาราวาส ก็คือพระไตรปิฎก 2. 8 ปีก่อนปรินิพานท่านสอน สัทธรรมบุญฑริกสูตร เป็นหลักธรรมะล้วนๆอยากแก่การเข้าใจ ซึ่งศาสนาพุทธได้แบ่งนิกายออกเป็น สอง นิกาย คือ หินยาน และ มหายาน หินยาน=พระไตรปิฎก มหายาน=สัทธรรมบุญฑริกสูตร (น่าจะใช่) ส่วนใหญ่ แต่การบิดเบือนคำสอนนั้น มีมากมายด้วยเวลา และความเข้าใจของแต่ละบุคคล การบิดเบือนทางศาสนาที่เห็นได้ชัดคือ อภินิหารต่างๆ ซึ่งมีมากมายและมีผู้ใช้ตรงนี้แสวงหาผลประโยชน์เยอะ เพราะสมัยก่อนไม่มีการจดบันทึก เมื่อมีการถ่ายทอดจาก อาจารย์สู่ศิษย์ จะเป็นลักษณะการจดจำมากกว่า ส่วนเรื่องจริงเท็จอันนี้ใช้วิจารณญาณ ของตนเองครับ ห้ามกันไม่ได้ จากคุณ : ฟฟ (ioekhte) - [ 9 ม.ค. 50 20:34:56 ]

ความคิดเห็นที่ 33 #32 ต้องพิสูจน์ไงครับว่าตรงไหนที่ไม่จริง ตรงไหนที่บิดเบือนเพิ่มเข้ามา ถ้าเอาแต่คิดไตร่ตรองตามหลักเหตุผล(ด้่วนปุถุชนวิสัย) แต่ไม่ปฎิบัติจริง ยังไงมันก็ยืนยันไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริง แค่นี้ก็ผิดหลักกาลามสูตรแล้วล่ะ จากคุณ : ....4จุด - [ 9 ม.ค. 50 20:46:43 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ง่ายมากครับ ที่จะพิสูจน์ ใช้หลักเหตุและผล ไงครับ แบบที่วิทยาศาสตร์ใช้ ถ้าคุณป่วย คุณไหว้พระสวดมนต์บนบาน ทั่วไป แต่คุณไม่ไปหาหมอ แล้วมันจะหายหรอครับ คุณจะเอ็นทราน คุณไปบนที่นู่นที่นี่ แต่คุณไม่อ่านหนังสือ จะได้หรอครับ อิอิ จากคุณ : ฟฟ (ioekhte) - [ 10 ม.ค. 50 10:17:13 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ส่วนเรื่องวิธีคิดแนวคิด มีครับ ผมบอกไม่ได้ ถ้าคุณมีบุญคุณก็จะเจอเอง จากคุณ : ฟฟ (ioekhte) - [ 10 ม.ค. 50 10:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 36 #34 ที่คุณยกมามันพุทธที่ไหนเล่า นั่นมันไหว้ผีไหว้พรหมแล้ว ผมพูดถึงเรื่อง สวรรค์นรก และญาิณทัศนะต่างๆนู่น เรื่องพวกนี้ใช้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ซะที่ไหนกัน เอาแค่เรื่องจิตเป็นสมาธิวิทยาศาสตร์บังคับให้เกิดได้ไหม? กาลามสูตรก็บอกไว้ชัดเจน ว่าต้องปฎิบัติให้เห็นเองด้วย เพราะเรื่องบางเรื่องใช้ตรรกะพื้นฐานของปุถุชนวิสัยตัดสินไม่ได้ครับ ยกเรื่องเต่ากับปลามากี่สิบรอบก็มีคนอ่านไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ ย้ำว่าหลักของพุทธน่ะมีพระพุทธเจ้าท้าพิสูจน์มานานแล้ว แต่ไม่ใช่หลักกรูคิดเองเออเองครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 10 ม.ค. 50 12:22:52 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณ ioekhte ออกทะเลไปแล้ว 6666 จากคุณ : monjangja - [ 13 ม.ค. 50 11:25:48 ]

ความคิดเห็นที่ 38 แล้วความเชื่อที่คุณรับมาพิสูจน์ไปหรือยังละ จขกท จากคุณ : Dr.slump - [ 18 ม.ค. 50 01:32:54 ]