ความคิดเห็นที่ 56
เรื่องนี้ผมไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี มีการให้อำนาจการบริหารสู่ภาคประชาชนแล้วคือ อบต. อบจ. มีการให้เงินทุนประชาชนให้ไปบริหารทางกองทุนหมู่บ้านไปแล้ว มหาวิทยาลัยก็มีการออกนอกระบบไปแล้ว การปฏิรูประบบราชการก็ทำไปแล้ว
โครงสร้างของตำรวจก็จะมีการแก้ไขใหม่ ผมมองว่ามันคงไม่ได้หยุดแค่นี้แน่ หน่วยงานอื่นคงตามมาไม่ช้า
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ต้านแปรรูป กฟผ. ใครทำลายสมบัติชาติกันแน่? โดย ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ลงในคอลัมน์ มองมุมใหม่ นสพ. กรุงเทพฯ ธุรกิจ วันที่ 27 เมษายน 2549
พลันที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาให้พระราชกฤษฎีกาแปลงสภาพการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้เป็นบริษัทมหาชนว่า มิชอบด้วยกฎหมาย กลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ก็ไชโยโห่ร้อง เปล่งเสียง ชัยชนะ กันอย่างกึกก้องว่า พวกตน ปกป้องสมบัติชาติ ไว้ได้ในที่สุด พวกเขาคัดด้านการแปลงสภาพ กฟผ. โดยอ้างว่ากิจการสาธารณูปโภคจะต้องอยู่ในมือของรัฐเท่านั้น การแปลงสภาพ กฟผ. จะมีผลให้เอกชนเข้ามาผูกขาดกิจการไฟฟ้าของประเทศ ทำให้ไฟฟ้ามีราคาแพงเพราะต้องบวกกำไรของเอกชน และที่เลวร้ายกว่านั้น คือ ทุนต่างชาติอาจเข้ามายึดครอง กฟผ. ทำให้ ทรัพย์สินของชาติ จำนวนมหาศาลตกไปอยู่ในมือของต่างชาติ นัยหนึ่ง กฟผ. คือ ชาติ และการแปลงสภาพ กฟผ. ก็คือ ขายชาติ แต่ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการบิดเบือนข้อมูล ปลุกปั่นอารมณ์คลั่งชาติและเกลียดกลัวต่างชาติอย่างไร้เหตุผลโดยกลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์เท่านั้น โดยไม่สนใจผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นกับคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศและกิจการไฟฟ้าโดยรวมในระยะยาว ข้อเท็จจริงคือ ปัจจุบัน กฟผ. ไม่ใช่ผู้ผลิตไฟฟ้าเพียงรายเดียวให้กับประเทศไทยแต่มีผู้ผลิตเอกชนร่วมด้วย เพราะที่ผ่านมา เศรษฐกิจและความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น กฟผ.ไม่มีเงินทุนที่จะขยายการผลิตไฟฟ้าให้ทัน จึงต้องมีโครงการให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเข้ามาลงทุนตั้งดรงไฟฟ้าแล้วป้อนไฟฟ้าเข้าสู่ระบบของ กฟผ. ปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 24,000 เมกะวัตต์ เป็นของ กฟผ. 15,000 เมกะวัตต์ หรือร้อยละ 63 เป็นของโรงไฟฟ้าเอกชน 9,000เมกะวัตต์ หรือร้อยละ 37 แต่ในการผลิตไฟฟ้าจริงคิดเป็นล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี กฟผ.ผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้เพียงร้อยละ47 ในขณะที่ผู้ผลิตเอกชนผลิตได้ร้อยละ 50 อีกร้อยละ3 เป็นการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
ฉะนั้น ครึ่งหนึ่งของปริมาณไฟฟ้าที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จึงเป็นไฟฟ้าที่ผลิตโดยเอกชน และค่าไฟฟ้าทุกวันนี้ก็ได้รวมกำไรและดอกเบี้ยของผู้ผลิตเอกชนไว้ด้วย ถึงแม้ยังไม่มีการแปรรูป กฟผ. เลยก็ตาม ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ เนื่องจาก กฟผ.ยังคงผูกขาดรับซื้อไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียวจากเอกชน ไปขายต่อให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำให้ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนจ่ายทุกวันนี้ต้องรวมกำไรผูกขาดค้าส่งของ กฟผ. เข้าไปอีกทอดหนึ่งด้วย
สถานะทางเงินของ กฟผ. เห็นได้จากทรัพย์สินซึ่งมีทั้งสิ้น 400,000 ล้านบาท หนี้สิน 240,000 ล้านบาท มีภาระจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยสูงถึงปีละ 40,000-50,000 ล้านบาท ในขณะที่มีกำไรปีละ 20,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อทรัพย์สินเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น กฟผ.ยังโอบอุ้มพนักงานเอาไว้มากถึง 30,000 คนทั่วประเทศ มีค่าใช้จ่ายบริหารทั่วไปสูงถึงประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี รวมเงินเดือน โบนัส สิทธิประโยชน์ต่างๆ ค่าตอบแทนผู้บริหาร และค่าบริหารสำนักงานอื่นๆ คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 330,000บาทต่อพนักงานหนึ่งคนต่อปี ข้อสำคัญคือ หนี้สินของ กฟผ. ปัจจุบันจำนวน 240,000 ล้านบาท เป็นหนี้สินที่รัฐบาล แบกภาระค้ำประกันอยู่ และถูกรวมไว้ในยอดหนี้สาธารณะของรัฐบาลไทยที่เจ้าหนี้และนักลงทุนต่างชาติใช้คำนวณหเพื่อประเมินความเข้มแข็งทางการคลังของรัฐบาลไทยด้วย ข้อสังเกตคือ ปัจจุบัน มีผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรวม 63 โครงการเป็นเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 300,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับประหยัดเงินลงทุนและหนี้สินของ กฟผ. และลดยอดหนี้สาธารณะที่ค้ำประกันโดยรัฐบาลไปได้จำนวนเดียวกัน ถ้าไม่มีผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนหล่านี้ กฟผ. ก็จะมีหนี้สินสูงถึง 540,000ล้านบาท มากกว่าทรัพย์สิน เท่ากับว่า กฟผ. จะอยู่ในสภาพล้มละลาย ปัญหาขณะนี้คือ ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประมาณว่า ประเทศไทยจะต้องมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมอย่างน้อย 30,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2554 คือเพิ่มจากปัจจุบันอีก 6,000 เมกะวัตต์ เท่ากับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 6-10 โรง เป็นเงินลงทุนอีก 200,000 ล้านบาท ถ้าจะให้ กฟผ. ขยายตัวรองรับความต้องการส่วนนี้ กฟผ.ต้องมีแหล่งเงินทุนใหม่ที่ไม่ใช่เงินกู้ค้ำประกันโดยรัฐบาล และนี่คือสาเหตุที่ต้องแปลงสภาพ กฟผ. ให้เป็นบริษัทมหาชนแล้วนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 เพื่อให้ กฟผ. สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนระดมเงินจากประชาชนและกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยรัฐบาลไม่ต้องค้ำประกัน หาก บริษัท กฟผ.จำกัด(มหาชน) สามารถขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าได้เต็มจำนวนอีก 6,000 เมกะวัตต์ กฟผ. ก็จะคงมีส่วนแบ่งกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศมากที่สุดคือ ร้อยละ 70 ที่เหลือเป็นของเอกชน และเมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ใน กฟผ.ยังคงเป็นกระทรวงการคลัง ก็เท่ากับว่า กิจการไฟฟ้าของประเทศยังคงอยู่ในมือรัฐบาลนั่นเอง ฉะนั้น การต่อต้านการแปลงสภาพ กฟผ. ก็คือ การทำให้ กฟผ. เป็นต้นไม้แคระหรือบอนไซ ไม่สามารถเติบโตไปหาแหล่งเงินกู้มาขยายการผลิตไฟฟ้าได้ และถ้าไม่มีผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหม่เข้ามา ปัญหาที่คนไทยจะประสบในอนาคตอันใกล้คือ วิกฤตการณ์ขาดแคลนไฟฟ้า มีปัญหาไฟฟ้าดับในวงกว้างเป็นช่วงๆ ดังที่กำลังเกิดขึ้นในจีนและฟิลิปปินส์ปัจจุบัน
หากฝ่ายต่อต้านโลกาภิวัตน์สามารถสกัดการแปลงสภาพ กฟผ. ได้ตลอดไป รัฐบาลก็จะถูกบีบให้หาทางออกที่ถูกต่อต้านน้อยที่สุดคือ ให้บริษัทเอกชนเข้ามาขยายการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 6,000 เมกะวัตต์แทน กฟผ. ผลก็คือ กฟผ. จะลดความสำคัญลงในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าของประเทศ ในขณะที่ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะมีส่วนแบ่งและบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใน สภาพเช่นนี้ แม้ว่า กฟผ.จะยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ แต่ก็แคระแกร็น ขณะที่กิจการไฟฟ้าส่วนใหญ่ของประเทศจะถูกแปรรูปเป็นเอกชนเต็มรูปไปในสุด และค่อนข้างแน่นอนว่า เอกชนรายใหญ่ที่เข้ามาจะมีหุ้นส่วนเป็นทุนต่างชาติ ซึ่งมีทั้งเทคโนโลยีและเงินทุนอีกด้วย ส่วนพวกที่อ้างตัวว่า รัก กฟผ. ปกป้องสมบัติชาติ และกำลังได้ดิบได้ดีอยู่ทั้งในสภาและนอกสภาขณะนี้ ถึงวันนั้น ก็คือผู้ทำลาย กฟผ. ทำลายสมบัติชาติ นั่นเอง
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
จากคุณ :
พรานพื้นเมือง
- [
10 ม.ค. 50 12:23:30
]
|
|
|