Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    สธ.ลุยผลิตยาติดสิทธิบัตร

    ข่าวจาก Manager วันนี้

    กลุ่มธุรกิจยาประกาศแช่แข็งการลงทุนในไทย พร้อมทบทวนแผนการลงทุนใหม่ทั้งหมดในประเทศไทยหลังกระทรวงสาธารณสุขเตรียมบังคับใช้สิทธิผลิตยาที่ติดสิทธิบัตร 2 ชนิดคือยาต้านไวรัสเอดส์และยาโรคหัวใจ ลั่นต้องการให้เคารพกฎหมายที่ถือเป็นกติกาสากลและต้องการความมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถรับประกันความปลอดภัยในทรัพย์สินของบริษัทผู้ผลิต ด้าน “หมอมงคล” โต้เชื่อแค่คำขู่เพื่อรักษาผลประโยชน์ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มียาใช้ เพราะไม่เคยมีบริษัทยาที่ไหนที่จะเลิกขาย เผยทำเพื่อต้องการให้คนไทยได้ใช้ยาราคาถูก และได้ลงนามบังคับใช้แล้ว

    จากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ปรารภเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2550 ถึงแผนการที่จะบังคับใช้สิทธิบัตรยากับอีกหลายบริษัท เพื่อผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ และยาโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมทั้งได้เปิดเผยถึงรายชื่อยาอื่นๆ ที่อยู่ในแผนการในอนาคต ซึ่งรวมถึงยาต้านโรคมะเร็ง และยาปฏิชีวนะนั้น

    นายธีระ ฉกาจนโรดม นายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (PReMA) กล่าวว่า
    สมาชิกสำคัญของสมาคมส่วนหนึ่งต่างก็ตะลึงกับการปรารภเจตนาดังกล่าว และต่างก็ได้ยืนยันว่า ได้สั่งชะลอแผนการลงทุนใหม่ทั้งหมดในประเทศไทย เพื่อทบทวนบรรยากาศการลงทุนในประเทศใหม่ เพราะทุกบริษัทต่างก็เป็นกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศที่รัฐบาลไม่สามารถให้การรับรองเบื้องต้นถึงความปลอดภัยในทรัพย์สินของบริษัทเขาได้

    “พวกเรามีความปิติที่ได้ยินคำรับรองจากปากท่านนายกรัฐมนตรีที่ได้ให้ไว้กับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเมื่อวานนี้ว่า ประเทศไทยยังคงเปิดอ้อมแขนต้อนรับการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนพลวัตทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยได้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นด้วยการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จนกว่าท่านรัฐมนตรีจะแสดงเจตนารมณ์ของการขานรับนโยบายท่านนายก เราจะพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะขยายการลงทุนต่อไปในประเทศไทยเราคงไม่สามารถคาดหวังให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศใดก็ตาม ที่ไม่สามารถให้การรับรองเบื้องต้นถึงความปลอดภัยในทรัพย์สินของพวกเขาได้”

    นายธีระกล่าวด้วยว่า เท่าที่ทราบมายังมียารักษาโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และยาปฏิชีวนะ ที่ตกเป็นเป้าหมายในการถูกบังคับใช้สิทธิบัตร (compulsory licensing) ของรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขด้วย

    “เราชื่นชมกับท่านรัฐมนตรีที่ให้ความเอาใจใส่ในสุขภาพของประชาชนและรู้สึกเห็นใจกับปัญหาทางการเงินที่กระทรวงสาธารณสุขต้องประสบอย่างที่ท่านรัฐมนตรีได้อธิบายไว้ อย่างไรก็ตาม การกระทำที่ดีที่สุด สำหรับปัญหาเช่นนี้ คือมีการพูดคุยกันเพื่อที่จะหาจุดสมดุลในการแก้ปัญหา การที่รัฐบาลบังคับเอาทรัพย์สินของเอกชน เพราะไม่สามารถซื้อได้นั้น เป็นแบบอย่างที่อันตราย และจะทำให้ทำลายชื่อเสียงของประเทศว่า เป็นประเทศที่ไม่ให้ความเคารพต่อกฎกติกาสากล”

    นายธีระกล่าวเสริมว่า โดยปกติกฎหมายได้อนุญาตให้รัฐทำเช่นนี้กับเวชภัณฑ์ใด ๆ ได้ในกรณีที่เป็นเรื่องฉุกเฉินของชาติจริง ๆ หรือในระหว่างสงครามเท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังต้องมีการเจรจาตกลงกับบริษัทที่เกี่ยวข้องก่อน สิ่งที่รัฐมนตรีสาธารณสุขมีแผนจะทำเป็นข้อยกเว้นทางกฎหมายที่จะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อจะไม่ให้กระทบกระเทือนต่อความมั่นใจของนักลงทุน

    ที่สำคัญคือนายกรัฐมนตรีเองได้กล่าวกับสมาชิกสมาคมหอการค้าต่างประเทศว่า ประเทศไทยเป็นตัวอย่างของการประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจเพราะต้อนรับการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ไม่มีประเทศไหนที่หวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนการค้าโลกจะสามารถทำอย่างที่ประเทศไทยคิดจะกระทำ โดยไม่สูญเสียมูลค่านับพันล้านจากการลงทุน จากรายได้ และโอกาสในการพัฒนา

    “การกระทำโดยไม่ได้หารือกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเช่นนี้ จะนำประเทศของเราไปสู่การถูกโดดเดี่ยวจากนักลงทุนต่างชาติในที่สุด ที่ผ่านมาบริษัทด้านชีววิทยาศาสตร์ต่างก็พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพของภูมิภาคนี้ การประกาศเจตนาเช่นนี้มีโอกาสจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้พยายามทำมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ในการที่จะแสดงให้สำนักงานใหญ่ของเราเห็นถึงความน่าสนใจของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และการกระทำเช่นนี้ทำให้คู่แข่งของเราในภูมิภาคยิ่งได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น”

    “หากไม่มีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเหมาะสมจะไม่มีแรงจูงใจ หรือการช่วยเหลือทางการเงินหรืออื่นใด ที่เพียงพอ ก็ไม่สามารถที่จะดึงบริษัทวิจัยพัฒนาเข้ามาลงทุนได้”

    นายธีระกล่าวด้วยว่า ในประเทศที่ประสบปัญหาเอดส์/การติดเชื้อเอชไอวี บริษัทสมาชิกของสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์เต็มใจอย่างยิ่งที่จะเจรจากับรัฐบาลในการให้การสนับสนุนการรักษาในราคาต่ำ และบางครั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ อย่างไรก็ตาม การที่กระทรวงสาธารณสุขบังคับใช้สิทธิผลิตยา (compulsory licensing) กับยาอื่น ๆ ทำให้มีกังวลว่าทางกระทรวงกำลังดำเนินนโยบายยึดทรัพย์สินของเอกชน เพียงเพราะกระทรวงมีงบประมาณไม่เพียงพอเท่านั้น

    ด้าน นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มียาใช้ บริษัทยาคงไม่ปิดโรงงานแล้วเลิกขาย เพราะไม่เคยมีบริษัทยาที่ไหนที่จะเลิกขาย ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงการขู่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเขาเท่านั้น

    ทั้งนี้ การที่ไทยจะบังคับใช้สิทธิบัตรไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง แต่เนื่องจากปัจจุบันยาดังกล่าวมีราคาแพง ขณะที่ประเทศของเรามีงบประมาณน้อย ดังนั้น ก็จะต้องหาวิธีการที่จะซื้อยาในราคาที่ถูก หากตัดในส่วนของประกันสังคมและกองทุนข้าราชการ เรามีประชาชนที่จะต้องดูอีก 18 ล้านคน ไม่เช่นนั้นคนเหล่านี้ก็จะต้องเสียชีวิต

    ยกตัวอย่างเช่น ยารักษาโรคหัวใจที่จะบังคับใช้สิทธินั้น มีการกำหนดราคาเอาไว้ที่เม็ดละ 70 บาทมาเป็นเวลา 20 แล้ว หากบังคับใช้สิทธิบัตรก็จะได้ยาในราคาไม่เกิน 7 บาท คนที่เป็นโรคหัวใจก็จะรอดชีวิตมากขึ้น ซึ่งวานนี้(25 ม.ค.) ได้ลงนามในหนังสือบังคับใช้เรียบร้อยแล้ว แต่จะประกาศอย่างเป็นทางการให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 29 มกราคมนี้

    “ถ้าเกิดรวยเราคงไม่ทำ ถ้าเกิดเขาขู่แล้วก็ยังยอมเราก็จะคงต้องเป็นทาสเขาตลอดไป”นพ.มงคลกล่าว


    ---------------------------------------------------
    คืดยังไงกับการที่ประเทศเรา ตั้งใจละเมิดสิทธิบัตร เพื่อราคายา
    และคิดว่าจะส่งผลกับการวิจัย การลงทุน ขนาดไหน

    ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ

    จากคุณ : ยาติดสิทธิบัตร - [ 25 ม.ค. 50 23:17:20 A:68.43.57.100 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom