ความคิดเห็นที่ 1 ชุมชนชาวเหนือแห่งเกาะกรีนแลนด์ เลี้ยงแกะ แพะ และวัว ทำฟาร์มเพาะปลูกในฤดูร้อน ล่ากวางคาริบูและแมวน้ำเป็นอาหารเสริมในฤดูหนาว พวกเขาค้าขายหนังสัตว์และงาของวอลลัส ที่เป็นที่ต้องการสูงของพ่อค้าจากแผ่นดินใหญ่ยุโรป แลกกับเครื่องเหล็กที่เป็นของจำเป็น Leif Erikson ลูกชายของ Erik เป็นผู้นำชาว Greenlandic ออกสำรวจแผ่นดินไกลออกไปทางตะวันตก และพบแผ่นดินที่เขาตั้งชื่อว่า Vinland ซึ่งเชื่อว่าคือบางแห่งบนทวีปอเมริกาเหนือ ก่อนการค้นพบของโคลัมบัส ประวัติศาสตร์ของชาวเหนือบันทึกเรื่องราวการสำรวจ Vinland หลายครั้ง มีความพยายามจะตั้งอาณานิคมที่นั่น แต่ประสบอุปสรรคจากชนพื้นเมืองจนต้องเลิกล้มในที่สุด อาณานิคมของชาวเหนือ ดำรงอยู่ที่เกาะกรีนแลนด์อย่างน้อยสี่ร้อยปี ในช่วงรุ่งเรืองที่สุด มีประชากรราว 5,000-6,000 คน กรีนแลนด์ เข้าร่วมในสหพันธรัฐ Kalmar (นอร์เวย์-สวีเดน-เดนมาร์ก) มีการสถาปนาเขตปกครอง มีสภา ศาลากลาง มีแม้แต่ตำแหน่ง บิชอบแห่งกรีนแลนด์ ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากวาติกัน แต่พอถึงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบสี่ อาณานิคมแห่งเกาะกรีนแลนด์ ก็ค่อยๆเสื่อมลง พอถึง คศ. 1408 ชาวเหนือทั้งหมดก็หายสาบสูญไปจากเกาะกรีนแลนด์ สิ่งที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อารยะธรรมของชาวเหนือแห่งเกาะกรีนแลนด์ล่มสลายคือ ภูมิอากาศโลกเกิดพลิกกลับไปสู่ความหนาวเย็นอย่างผิดปกตินานสี่ร้อยปี ที่นักอุตุนิยมวิทยาเรียกว่า Little Ice Age (LIA) จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 10:55:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 LIA ประกอบด้วยคลื่นความหนาวสี่ระลอก (ดูรายละเอียดใน blog ภูมิอากาศในยุคโบราณของผม) ถิ่นฐานตะวันตกล่มสลายลงในคลื่นความหนาวระลอกแรก ส่วนถิ่นฐานตะวันออกยังคงอยู่ต่อมา จนสาบสูญไปในคลื่นความหนาวระลอกที่สองที่รุนแรงกว่า คลื่นความหนาวระลอกที่สามคือ Maunder minimum ที่รุนแรงที่สุด เกือบจะล้มล้างถิ่นฐานของมนุษย์บนเกาะไอซแลนด์ และมีผลกระทบทั่วยุโรปและทั่วโลกอย่างกว้างขวาง ส่วนระลอกที่สี่ Dalton minimum เป็นระลอกสุดท้ายมีความรุนแรงน้อยลง ก่อนที่ทฤษฎีโลกร้อนเพราะการกระทำของมนุษย์ จะถูกประชาสัมพันธ์อย่างแพร่หลาย นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า ภูมิอากาศของโลกมีการเปลี่ยนแปลง ร้อนขึ้น แล้วก็เย็นลง เป็นวัฏจักร เรียกว่า Late Holocene Neoglacial Fluctuation ที่มีระยะเวลาอบอุ่นและหนาวเย็นสลับกัน ช่วงละหลายร้อยปี ด้วยพลังทางธรรมชาติที่ยังไม่เข้าใจแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเกิดจาก ความผันแปรของพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่ไม่คงที่ หลักฐานทางโบราณคดีบอกว่า ภูมิอากาศของโลกค่อนข้างเย็นในช่วงต้นยุคโรมัน (Roman cool period) และอุ่นขึ้นในปลายยุคโรมัน (Roman warm period) แล้วกลับเย็นลงในต้นคริสต์กาล (Dark Age cool period) และอุ่นขึ้นอีกครั้งตอนกลางคริสตกาล (Medieval Warm Period) แล้วก็กลับเย็นลงอีกในศตวรรษที่สิบสี่ (Little Ice Age) ก่อนที่จะกลับอุ่นขึ้นในศตวรรษที่สิบเก้า จนถึงปัจจุบัน (Recent Warm Period) นักอุตุนิยมวิทยาเคยเชื่อว่าโลกกำลังฟื้นตัวจากความหนาวเย็นของยุค Little Ice Age ด้วยพลังทางธรรมชาติ ตามวัฏจักรที่ปรากฏมาก่อน โลกอาจจะกำลังกลับคืนสู่ช่วงที่อบอุ่น ที่เทียบเท่ากับยุค Medieval Warm ที่ชาวเหนือเข้าไปตั้งถิ่นฐานบนเกาะกรีนแลนด์อีกครั้ง ในหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ตั้งทฤษฎีว่าโลกที่กำลังร้อนขึ้นในขณะนี้ เป็นเพราะกาซเรือนกระจก และอ้างว่าขณะนี้โลกกำลังร้อนที่สุดในรอบพันปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ตรงกับความจริง เพราะสภาวะโลกร้อนในปัจจุบันยังห่างไกลจาก Medieval Warm Period มากพอควร และยิ่งเทียบไม่ได้เลยกับความร้อนอย่างระอุเมื่อแปดพันปีก่อน ในช่วงที่เรียกว่า Holocene Maximum จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 10:58:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มี link โบราณคดีที่น่าสนใจ ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน น่าจะลองดูสักครั้ง เพราะให้ข้อมูลที่บ่งบอกสภาพความอบอุ่นของเกาะกรีนแลนด์เมื่อพันปีก่อนอย่างน่าทึ่ง.. นักโบราณคดีน่าจะถือได้ว่าเป็นกลาง เพราะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับนักวิทยาศาสตร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง น่าจะลองอ่านแล้วเปรียบเทียบว่า ที่นักอนุรักษ์ประชาสัมพันธ์ข่าวอย่างแพร่หลายในตอนนี้ ว่าโลกกำลังร้อนที่สุดในรอบพันปีนั้นเป็นเรื่องจริงแค่ไหน Viking farm under the sand in Greenland http://www.expressnews.ualberta.ca/article.cfm?id=776 Greenlandic Viking http://www.rudyfoto.com/grl/greenlandvikings.html Fate of Greenland Viking http://www.archaeology.org/online/features/greenland/ The rise and fall of the Viking http://www2.sunysuffolk.edu/mandias/lia/index.html The Greenland Viking Mystery http://web.missouri.edu/~chemrg/bruice/chapter10/A0761.html The norse settler in Greenland http://www.greenland-guide.gl/leif2000/history.htm จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:01:09 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ภูมิประเทศในปัจจุบัน และซากอาคารบนเกาะกรีนแลนด์ ปัจจุบันค้นพบแล้วกว่า 300 แห่ง โบสถ์ 12 แห่ง และร่องรอยของฟาร์ม 450 แห่ง แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 11:03:44 จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:02:22 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ซากโบสถ์ Hvalseys Church ที่ Brattahlid จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:03:03 ]

ความคิดเห็นที่ 6 หลุมศพที่เชื่อว่าเป็น บิชอปแห่งกรีนแลนด์ จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:05:05 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณที่เอาข้อมูลมาแบ่งปันครับ จากคุณ : redistuO - [ 12 มี.ค. 50 11:13:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ลักษณะจำลองบ้านของชาวกรีนแลนด์เมื่อพันปีก่อน กำแพงใช้หินวางเรียงเป็นฐานล่าง และวางซ้อนด้วยก้อน "พีท" ที่เป็นฉนวนความร้อน จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:13:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ซากบ้านในปัจจุบันเหลือแต่หินที่เป็นฐานของกำแพง [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:15:38 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ซากอาคารที่อาจจะเคยเป็น สภา จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:19:29 ]

ความคิดเห็นที่ 11 หลุมศพอื่นๆ จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:20:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ซากต้นไม้ จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:21:15 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ป่าแคระเขตหนาว (boreal forest) ที่น่าจะเป็นภูมิประเทศของกรีนแลนด์เมื่อพันปีก่อน จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:22:43 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เพราะฉะนั้น อย่าตกใจ มาเลือกแอร์คอนดิชั่นดีกว่า จะเอายี่ห้อไหนดี...... จากคุณ : เด็กน้อยขี่ม้าก้านกล้วย - [ 12 มี.ค. 50 11:25:45 ]

ความคิดเห็นที่ 15 กระทู้ดีมีสาระ ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ  ^^ จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 12 มี.ค. 50 11:32:03 ]

ความคิดเห็นที่ 16 โลกกำลังร้อนขึ้น.... ข้อนี้ไม่มีใครเถียง จุดที่เป็นข้อถกเถียงคือโลกร้อนขึ้นเพราะเหตุใด แต่เดิม เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นเอง ด้วยสาเหตุทางธรรมชาติหลายๆอย่างประกอบกัน เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงระหว่างยุคน้ำแข็ง ที่ภูมิอากาศไม่คงที่ ต่อมามีผู้ตั้งทฤษฎีว่าโลกร้อนขึ้น เพราะการกระทำของมนุษย์ คือ Anthropogenic Global Warming (AGW) theory เชื่อว่ามนุษย์ทำให้อิทธิพลของปรากฏการณ์เรือนกระจกในบรรยากาศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ผมจะขอนำความเห็นส่วนตัว ที่ได้จากการตกผลึกทางความคิด มาเล่าสู่กันฟัง ผมก็เริ่มด้วยการเชื่อตามที่ได้ฟังกันต่อๆมา เหมือนคนทั่วไปว่า โลกกำลังร้อนขึ้นเป็นผลจาก กาซเรือนกระจก ที่มนุษย์ผลิตขึ้น แต่เมื่อหลายปีก่อน มีผู้แนะนำให้ดูข้อมูลของทางฝ่ายที่โต้แย้งทฤษฎี AGW หลังจากได้ศึกษาดู ก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ของฝ่ายที่โต้แย้งนั้นหนักแน่นกว่ามาก แต่ไม่ถึงขั้นหักล้างทฤษฎีโลกร้อนเพราะการกระทำของมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด ผมติดตามข้อมูลของทั้งสองฝ่าย อยู่หลายปีตามโอกาสอำนวย จนถึงปัจจุบัน ผมเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน แต่ความเห็นจะเอียงไปทาง “ไม่เชื่อ” มากกว่า ความรู้เกี่ยวกับกาลอากาศในยุคโบราณ เรียกว่า Paleoclimatology ผมขอเล่าข้อมูล ประวัติของภูมิอากาศโลกย้อนหลังไปประมาณหนึ่งหมื่นปี เพราะมีความสำคัญ ต่อการใช้วิจารณญาณ ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ โลกกำลังอยู่ในมหายุคน้ำแข็งครั้งที่สี่ เรียกว่า Pleistocene Ice Age แต่ระหว่างมหายุคน้ำแข็ง โลกไม่ได้หนาวเย็นต่อเนื่องตลอดเวลา มีช่วงเวลาที่หนาวเย็น และอบอุ่น เปลี่ยนแปลงสลับกันหลายต่อหลายครั้ง ช่วงที่ธารน้ำแข็งก่อตัวกว้างขวาง เรียกว่า glacial period ช่วงอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็งเรียกว่า interglacial period สี่ล้านปีที่ผ่านมา ธารน้ำแข็งแผ่ขยายและถดถอยสลับกันมากกว่ายี่สิบครั้ง ช่วงที่ธารน้ำแข็งขยายตัวปกคลุมโลก มักจะยาวนานเป็นหลักแสนปี แต่ช่วงอบอุ่นระหว่างธารน้ำแข็งมักจะสั้น เป็นหลักหมื่นปีเท่านั้น จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:39:57 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าร้อนมากๆ ก็แค่อพยพหนีกลับขึ้นเหนือ เรื่องเล็กจังเลย... ^ ^" จากคุณ : ของเล่นใหม่ - [ 12 มี.ค. 50 11:39:58 ]

ความคิดเห็นที่ 18 การขยายตัวของธารน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเรียกว่ายุคน้ำแข็ง Wisconsin ซึ่งเริ่มต้นเมื่อประมาณหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นปี  (ดูกราฟ) จนสิ้นสุดลงเมื่อหมื่นหกพันปีที่แล้ว โลกค่อยๆอุ่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธารน้ำแข็งค่อยๆถดถอยอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปีก่อนปัจจุบัน เป็นช่วง transition ระหว่างยุคน้ำแข็ง กับยุคที่โลกอบอุ่นที่เรียกว่า Younger-Dryas (YD) โลกอุ่นขึ้นอย่างฉับพลัน ละลายธารน้ำแข็งนอกเขตขั้วโลกหมดไปอย่างรวดเร็ว เรียกว่า YD warm period  แล้วก็โลกพลิกกลับหนาวลงอย่างรวดเร็ว จนเกือบกลับเข้ายุคน้ำแข็งเต็มตัวเป็นช่วงสั้นๆ เรียกว่า YD cool period แล้วก็กลับอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง จนกลับมาอุ่นเท่ากับตอนเริ่มต้น YD เมื่อประมาณเก้าพันห้าร้อยปีก่อนปัจจุบัน (ปรากฎการณ์ Younger-Dryas cool period เป็นทฤษฎีที่ใช้ในภาพยนตร์ The Day After Tomorrow) หลังจากสิ้นสุด Younger-Dryas โลกก็เข้าสู่ยุคที่อากาศอบอุ่น Interglacial Period ระหว่าง 8000-5000 ปีก่อนปัจจุบัน เป็นยุคสมัยที่โลกอบอุ่นกว่าปัจจุบัน เรียกกันว่า Holocene Optimum โดยมีช่วงที่อุ่นที่สุด เรียกว่า Holocene Maximum ประมาณระหว่าง 5500-7000 ปี ก่อนปัจจุบัน ช่วง Holocene Maximum ภูมิอากาศอุ่นจัดกว่าปัจจุบันมาก เขต Tropical ที่กระหนาบ เส้นศูนย์สูตร ขยายตัวกว้างขวาง ลุ่มน้ำสินธุและเมโปเตเมียยุคนั้น ได้รับอิทธิพลลมมรสุมมากกว่าในปัจจุบัน มีความชุ่มชื้นมากพอ ช่วยให้อารยะธรรมมนุษย์ก่อนที่จะรู้จักชลประทานก่อกำเนิด ในอัฟริกา เขต tropical ขยายตัวเบียดทะเลทราย ซาฮารา ให้ถอยร่นขึ้นไปทางเหนือ มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ที่มี จระเข้ และฮิปโปโปเตมัส อาศัย กระจายอยู่ทั่วซาฮาราตอนใต้ ปัจจุบันกระดูกของสัตว์เหล่านั้นยังคงปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ใต้ตะกอนทราย ภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ตามผนังถ้ำที่อยู่กลางทะเลทรายซาฮาร่าในปัจจุบัน เต็มไปด้วยรูปสัตว์ที่ในปัจจุบันอยู่ห่างลงไปทางใต้หลายร้อยกิโลเมตร ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคสำริด มนุษย์ได้รับประโยชน์จากความอบอุ่นของ Holocene Optimum ช่วยให้เผ่าพันธุ์มนุษย์กระจายไปทั่วโลก พอถึงประมาณ 5000  ปีที่แล้ว ถูมิอากาศของโลกก็เริ่มเย็นลง เกิดเป็นช่วงที่อบอุ่นบ้าง เย็นบ้าง หนาวบ้าง สลับกันหลายครั้ง แต่ละช่วงจะกินเวลาหลายร้อยปี เรียกว่า Late Holocene Neoglacial Fluctuation อารยะธรรมของมนุษย์ที่ได้รับพรจากความอบอุ่นที่ยาวนาน ตลอดยุคหินจนถึงต้นยุคสำริด เริ่มพบกับความหนาวเป็นครั้งแรกในปลายยุคสำริดต่อเนื่องจนถึงยุคเหล็ก จนกระทั่งถึงต้นยุคโรมัน โลกค่อนข้างเย็น เรียกว่า Roman Cool Period พอถึงปลายยุคโรมัน โลกจึงกลับมาอุ่นขึ้นอีก เรียกว่า Roman Warm period ช่วงต้นยุคคริสตกาล โลกกลับเย็นลง เรียกว่า Dark Age Cool Period พอถึงกลางคริสต์กาล โลกก็กลับมาอุ่นอีกครั้ง เรียกว่า Medieval Warm Period แล้วก็กลับเย็นลงอย่างมาก ที่ได้ทำลายอาณานิคมกรีนแลนด์ เรียกว่า Little Ice Age ก่อนที่จะกลับมาอุ่นขึ้นอีกครั้งในปัจจุบัน Recent Warm Period แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 11:44:35 จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:42:51 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ช่วงอบอุ่นที่สุดของ Medieval Warm Period (MWP) ตรงกับศตวรรษที่ 9-11 เป็นช่วงเวลาที่มีการจดบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์ ค่อนข้างแพร่หลาย ความอบอุ่นช่วยให้การเพาะปลูกในยุโรปอุดมสมบูรณ์  ทำให้ประชากรยุโรปเพิ่มขึ้น โลกอุ่นถึงขั้นที่ฟยอร์คตอนใต้สุดของเกาะกรีนแลนด์ ในฤดูร้อนปลอดจากน้ำแข็ง เกิดมีทุ่งหญ้า มีชาวไวกิ้งเข้าไปตั้งหมู่บ้าน เลี้ยงแพะ แกะ วัว ที่ตอนใต้สุดของเกาะ ส่วนเกาะไอซ์แลนด์ ที่อยู่ถัดไปหน่อย อบอุ่นพอที่จะปลูกธัญพืช เช่นข้าวสาลีได้ หลักฐานการเก็บภาษีเก่าแก่ บอกว่าอังกฤษมีไร่องุ่นและผลิตไวน์เป็นจำนวนมาก หลักฐานทางเอเชียก็บอกถึงการปลูกส้มในภาคเหนือของจีน ในช่วงที่โลกอุ่นนั้น ธารน้ำแข็งถดถอย น้ำแข็งที่ละลาย อาจทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ช่วงนี้ตรงกับสมัยทวาราวดีปลายๆ ถ้าใครเคยเห็นแผนที่ทางโบราณคดีของยุคนั้น จะเห็นแนวชายฝั่งทะเลของอ่าวไทยโบราณ กินแดนลึกเข้ามาถึงอ่างทอง จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:46:18 ]

ความคิดเห็นที่ 20 พอผ่านพ้นศตวรรษที่ 12 โลกก็กลับเย็นลงอย่างต่อเนื่อง และทำท่าจะกลับเข้ายุคน้ำแข็งอีกครั้ง โดยตำราส่วนใหญ่จะนับระหว่างปี 1450-1850 นักอุตุฯเรียกว่าช่วงเวลาที่หนาวเย็นผิดปกติราวสี่ร้อยปีนี้ว่า Little Ice Age (LIA) จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:47:23 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ธารน้ำแข็ง ตามที่ต่างๆเริ่มขยายตัวมากขึ้นอีกครั้ง ความหนาวขับไล่ไวกิ้งให้อพยพออกไปจากเกาะกรีนแลนด์ ไร่องุ่นหายไปจากเกาะอังกฤษ ไร่ส้มหายไปจากภาคเหนือของจีน ช่วงที่หนาวที่สุดของ LIA เรียกว่า Maunder Minimum ระหว่างปี 1645-1715 การเกษตรในยุโรปได้รับความเสียหาย เพราะอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติ เกิดทุกภิกขภัยครั้งใหญ่ๆหลายระลอก ทำให้ประชากรในยุโรปค่อยๆลดลง บันทึกของอังกฤษบอกว่าช่วงหลายปีนั้นอากาศหนาวจัดจนแม่น้ำเทมส์เป็นน้ำแข็งทุกปี ความหนาวเกือบจะทำลายเกาะไอซแลนด์ลงด้วยเช่นกัน การเกษตรล้มเหลว เหลือแต่ทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ ประชากรลดลงครึ่งหนึ่ง บันทึกของทางไอซ์แลนด์บอกว่าในช่วงนั้น ทะเลรอบเกาะจะกลายเป็นแพน้ำแข็ง ไม่สามารถเดินเรือเข้าออกจากเกาะได้ เหลือเพียงชายฝั่งตอนใต้เพียงทางเดียว ซึ่งต่างจากปัจจุบัน ที่ทะเลน้ำแข็งจะอยู่แค่นอกชายฝั่งด้านเหนือเท่านั้น หลักฐานประวัติศาสตร์ บอกว่าธารน้ำแข็งตามภูเขาสูง แถบเทือกเขาแอล์ป รวมทั้งสแกนดิเนเวียขยายตัว คืบคลานเข้าทับหมู่บ้านในหุบเขาไปนับร้อยแห่ง มีบันทึกของวาติกัน ถึงคำขอร้องจากชาวบ้านที่ถูกธารน้ำแข็งคุกคาม มีการส่ง บิชอบแห่งฟลอเรนส์ ไปทำพิธี Exorcist ขับไล่ธารน้ำแข็ง ธารน้ำแข็งที่ก่อตัวมากขึ้น อาจจะทำให้ระดับน้ำทะเลลดลง พื้นดินบริเวณที่ลุ่มของภาคกลางตอน รวมทั้งกรุงเทพโผล่พ้นน้ำในช่วงนี้ การที่ปัจจุบันเมืองท่าโบราณในสมัยทวาราวดี อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน และอยู่ในทำเลที่ตั้งที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลในปัจจุบันประมาณ 5 เมตร เป็นข้อที่น่าพิจารณาว่าระดับน้ำทะเลอาจจะลดลง ไม่ใช่ทะเลตื้นเขินจนเป็นแผ่นดิน พอถึงปี 1850 โลกก็ผันกลับสู่ความอบอุ่นอีกครั้ง (Recent Warm Period) ในช่วงแรกโลกค่อยๆอุ่นขึ้นในอัตรา ศตวรรษละ 1 องศา จนอุ่นที่สุดในกลางทศวรรษ 1940s แล้วก็มีทีท่าจะกลับเย็นลงอย่างช้าๆ แต่พอถึงช่วงใกล้เปลี่ยนศตวรรษ โลกก็กลับอุ่นขึ้นอีกครั้ง อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เป็นเหตุให้คนทั้งโลก พากันวิตกถึงภาวะโลกร้อน จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:48:44 ]

ความคิดเห็นที่ 22 โชคไม่ดี ที่เทอร์โมมิเตอร์และการวัดอุณหภูมิอากาศ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วง LIA ดังนั้นถ้าไปค้นบันทึกของอุณหภูมิอากาศในอดีต ก็จะเห็นแต่ความหนาวเย็น คนที่ไม่รู้เรื่องของกาลอากาศในยุคโบราณ อาจจะคิดว่าโลกมีความหนาวเป็นเรื่องปกติ ความอบอุ่น ที่ถูกบันทึกไว้ด้วยเรื่องราวในประวัติศาสตร์ และร่องรอยในชั้นดิน จึงกลายเป็น นิทานปรัมปรา แต่อย่างไรก็ตาม ความอบอุ่นในตำนาน มีหลักฐานทางโบราณคดีรองรับ รวมทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แต่ร่องรอยละอองเกสรพืชมากมาย ที่ฝังอยู่ในชั้นดิน บอกให้รู้ถึงชนิดของพืชที่เคยขึ้นอยู่ในยุคสมัยต่างๆ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณหาอุณหภูมิของโลกในช่วงเวลาต่างๆได้ ถ้าในอดีตอากาศเคยผันแปรอุ่นขึ้นแล้วก็เย็นลงได้เอง เป็นวัฏจักรด้วยพลังธรรมชาติ จะสรุปได้อย่างไรว่า โลกอุ่นขึ้นในเวลานี้ เป็นเพราะปรากฏการณ์เรือนกระจก บางที โลกอาจจะกำลังกลับสู่สมดุล ที่อุ่นแบบระอุหน่อยๆ อย่างที่เคยเป็น เรื่องราวของ Holocene maximum, Medieval Maximum, Little Ice Age เหล่านี้ เป็นความรู้อย่างสามัญของ Paleoclimatology ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพียงแต่เรื่องของภูมิอากาศในยุคโบราณ ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสนใจ จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:51:08 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เด็กข้างบ้านบอกว่าโลกร้อนขึ้นเพราะ การผลิต ตด ของสิ่งมีชีวิต จริงไหมค่ะ... จากคุณ : โปจิ - [ 12 มี.ค. 50 11:51:26 A:202.44.73.170 X: TicketID:105644 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ...ยังมีต่อ จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 11:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 25 งั้นเด๋วมาอ่านต่อนะ จากคุณ : once_day - [ 12 มี.ค. 50 11:55:59 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณนะครับ เข้ามาได้อ่านบทความของคุณกาลามะชนแล้วได้ประโยชน์ทุกที ช่วงก่อนปิดเทอมผมยุ่งมากจนไม่ได้เข้าเน็ต หรือเข้าพันทิปตั้งนาน ก็เลยไม่ได้อัพเดท พอเข้ามาแล้วเห็นนามแฝงที่คุ้นเคยยังอยู่ก็รู้สึกเหมือนได้กลับมาบ้าน จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 12 มี.ค. 50 13:52:28 ]

ความคิดเห็นที่ 27 โหวตนะครับ แจ่มๆ จากคุณ : k3v1n - [ 12 มี.ค. 50 14:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ่า.... ดีมากเลยครับ จากคุณ : ksk - [ 12 มี.ค. 50 14:52:25 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ทำไมโลกถึงร้อน อยู่ link นี้ http://www.vcharkarn.com/include/article/en_article_javafeed.php?aid=16298 จากคุณ : Aqua Aerospace (p_narin2000) - [ 12 มี.ค. 50 14:55:43 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อดไม่ได้ แบบนี้ต้อง vote จริงๆผมก็เคยคิดแบบจขกท.เหมือนกันแหละครับ ที่ว่าถ้าลองย้อนกลับไปดูในอดีตแล้ว จริงๆอุณหภูมิโลกก็มีขึ้นๆลงอยู่แล้วเป็นปรกติ อาจจะเคยขึ้นลงกันหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า มนุษย์เราเริ่มมีการจดบันทึกกันอย่างละเอียดในช่วงหลังๆนี้ ซึ่งก็พอดีเป็นจังหวะที่อุณหภูมิโลกเริ่มร้อนขึ้นจริงๆพอดี และด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น+มีการขยายพื้นที่อาศัียของมนุษย์ออกไป  พอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนนิดนึงตรงใหนก็ตาม ก็มีคนได้รับผลกระทบเสมอ ก็เลยเป็นที่ตกอกตกใจกัน แต่ถ้าช่วยๆกันรักษาสภาพแวดล้อมหน่อยก็ดีนะครับ เอาว่าอย่างน้อยก็อย่าไปซ้ำเติมกันเลยเนาะ จากคุณ : ลูกจ้างดีเด่น - [ 12 มี.ค. 50 15:08:59 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ้าว ลืมยกป้ายให้ จากคุณ : ลูกจ้างดีเด่น - [ 12 มี.ค. 50 15:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 32 โหวตให้คับ จากคุณ : THE_AR - [ 12 มี.ค. 50 17:45:42 ]

ความคิดเห็นที่ 33 voteๆ กระทู้ดีมีสาระ^^ จากคุณ : an-expert-lover - [ 12 มี.ค. 50 18:15:12 ]

ความคิดเห็นที่ 34 โหวตๆๆ จากคุณ : (-_-") - [ 12 มี.ค. 50 19:12:45 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ^^ จากคุณ : Epinephrine - [ 12 มี.ค. 50 19:18:10 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ถ้าโลกร้อนขึ้น แล้วทำให้น้ำท่วมกรุงเทพตามแผนที่ใน ความคิดเห็นที่ 19 ผมว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมและชาวกรุงเทพแน่นอน  บ้านก็ยังผ่อนไม่หมดกลับจะเจอน้ำท่วมเนื่องจากโลกร้อนด้วย   อย่างน้อย ๆ ต้องอพยพขึ้นไปถึง ลพบุรี   ไม่รู้จะมีปัญญาหรือเปล่า   แต่แน่ๆ คงไม่มีปัญญาย้ายไปแผ่นดินใหม่ตรงกรีนแลนด์หรอก จากคุณ : auny (auny) - [ 12 มี.ค. 50 19:20:00 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คำว่ากาซเรือนกระจก Green House Gas (GHG) เป็นชื่อที่ไม่ตรงนัก   เรือนกระจกจริงๆ ทำให้อากาศข้างในโรงเรือนอุ่นได้ โดยการด้วยการสะท้อนรังสีความร้อน ให้ย้อนกลับสู่วัตถุในโรงเรือน ทำให้วัสดุอุ่นขี้น และคายความร้อนสู่อากาศในโรงเรือนอีกที สิ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกในบรรยากาศของจริง คือเมฆ ทำหน้าที่สะท้อนความร้อนจากพื้นโลกกลับสู่พื้น ไม่ให้กระจายออกสู่อวกาศ บรรดากาซที่เรียกว่า กาซเรือนกระจกนั้นเป็นเพราะมีคุณสมบัติ สามารถดูดกลืนรังสีความร้อน และทำให้มวลอากาศอุ่นขึ้น แม้จะมีหลักการที่ต่างกัน แต่ก็ทำให้อากาศอุ่นขึ้นได้เหมือนกัน ก็พอจะอนุโลมเรียกเป็นปรากฏการณ์เรือนกระจก กาซแต่ละชนิด จะดูดกลืนความร้อนได้ดีมากน้อยต่างกัน กาซที่มีสองอะตอม อย่างออกซิเจน และไนโตรเจน แทบจะไม่ดูดซับความร้อนเลย กาซคาร์บอนไดออกไซด์ และโอโซน ดูดซับความร้อนได้ดีขึ้นมาหน่อย กาซบางชนิด เช่น มีเธน จะดูดซับความร้อนได้ดีปานกลาง ส่วนกาซที่มีฟลูออรีนเป็นองค์ประกอบ ดูอินฟาเรดได้ดีมาก จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 19:31:12 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ดาวศุกร์ เป็นที่ๆเราทราบว่ามีปรากฏการณ์เรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ มักจะถูกยกมาใช้เป็นตัวอย่างให้คนเข้าใจถึงผลของปรากฏการณ์เรือนกระจก ดาวศุกร์นั้น มีบรรยากาศเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เกือบร้อยเปอร์เซนต์ และมีความหนาแน่นเป็น 100 เท่าของบรรยากาศโลก บรรยากาศโลก มีกาซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 370 ppm (370 ส่วนในล้านส่วน) หรือประมาณ 0.037 % ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก หากคิดอิทธิพลเทียบกับดาวศุกร์ โลกจะมีพลังเรือนกระจกGHP (Green House Potential) ประมาณหนึ่งในหมื่นของดาวศุกร์เท่านั้น ! น้อยจนนักอุตุฯส่วนใหญ่เชื่อว่า ต่อให้เพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเป็นสองเท่า ก็ไม่น่าจะมีผลมากพอที่จะทำให้บรรยากาศเกิดการเปลี่ยนแปลง ข้อที่บรรยากาศโลกมีคาร์บอนไดออกไซด์น้อยเหลือเกิน เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อน เคยคิดและยังคงเชื่อว่า การเพิ่มกาซคาร์บอนไดออกไซด์ เท่าที่ผ่านมา ไม่มีผลมากพอที่จะทำให้โลกร้อนขึ้น จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 19:34:02 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แต่มีข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่น่าจะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดทฤษฎีโลกร้อนฯในเวลานี้ นั่นคือการค้นพบว่าปริมาณกาซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ เปลี่ยนแปลงสอดคล้องเข้ากันได้สนิทกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลก ตลอดระยะเวลาหลายแสนปี ไม่ผิดเพี้ยน ในขณะที่ฝ่ายเสนอทฤษฎีโลกร้อนฯ เห็นว่า นี่คือหลักฐาน ของอิทธิพลปรากฏการณ์เรือนกระจกจากคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศโลก แต่นักวิทยาศาสตร์อีกส่วนมีความเห็นว่า เป็นสมดุลการละลายของกาซคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทร กาซคาร์บอนไดออกไซด์มีคุณสมบัติละลายในน้ำได้ดีมาก ในบรรยากาศโลก มีกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 730 พันล้านตัน ในขณะที่มหาสมุทร มีกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ละลายอยู่ 39,000 พันล้านตัน ในสภาพสมดุลปัจจุบัน จะเห็นว่ามวลกาซส่วนใหญ่ละลายอยู่ในน้ำ การเปลี่ยนแปลงความสามารถในการละลาย ของมหาสมุทรเพียงเล็กน้อย ย่อมมีผลต่อปริมาณกาซในบรรยากาศค่อนข้างมาก อุณหภูมิ มีผลต่อการละลายของกาซในน้ำ   ถ้าอุณหภูมิโลกอบอุ่น น้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้กาซละลายในน้ำได้น้อยลง กาซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ก็จะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าอุณหภูมิโลกเย็นลง น้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมิลดลง ทำให้กาซละลายในน้ำได้มากขึ้น กาซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ก็จะลดลง นักวิทยาศาสตร์ฝ่ายค้านทฤษฎี AGW เชื่อว่า อุณหภูมิของโลกต่างหากที่เป็นตัวการ ทำให้ปริมาณ กาซคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศ เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง โดยดึงกาซออกจากมหาสมุทร หรือคืนกาซให้กับมหาสมุทร จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 19:39:20 ]

ความคิดเห็นที่ 40 โหวตครับ จากคุณ : Nexus - [ 12 มี.ค. 50 19:50:39 ]

ความคิดเห็นที่ 41 กราฟปริมาณ CO2 ในบรรยากาศเทียบกับอุณหภูมิ ย้อนหลังสี่แสนปี ผ่านยุคน้ำแข็ง 5 ยุค จะเห็นว่าปริมาณ CO2 เข้ากันได้พอดีกับรอบการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกในยุคน้ำแข็ง ทฤษฎี AGW กล่าวว่า CO2 ที่มีน้อยนิดนี้มีพลังมากพอที่จะเป็นตัวขับดันอุณหภูมิโลก แต่มีคำถามที่ขัดแย้งว่า ช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะมีมนุษย์ขุดเชื้อเพลิงฟอสซิลขึ้นมาเผา อะไรที่ทำให้ CO2 เปลี่ยนแปลงขึ้นลงเป็นรอบๆได้ตรงกับยุคน้ำแข็งอย่างนี้ CO2 เป็นตัวเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลก.. หรืออุณหภูมิโลกเป็นตัวเปลี่ยนแปลง CO2 และขอให้สังเกตว่าระหว่างยุคน้ำแข็ง ปริมาณ CO2 เปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่าง 200 -280 ppm ในขณะที่อุณหภูมิระหว่างช่วง glacial กับ interglacial จะอยู่ระหว่า 8 องศาเซลเซียส ถ้าทฤษฎี AGW เป็นจริงปริมาณ CO2 ที่เปลี่ยนแปลงแค่ 80 ppm สามารถทำให้อุณหภูมิโลกเปลี่ยนได้ถึง 8 C การเพิ่ม CO2 ที่เพิ่มขึ้นจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม 70 ppm ก็น่าจะทำให้โลกพินาศไปแล้ว ลำพังกราฟข้อมูลนี้ ก็แทบจะล้มทฤษฎี AGW ได้แล้ว แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 20:04:29 จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 19:55:12 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ทำไมอมยิ้มแปลกๆล่ะ ทำไงๆ จากคุณ : yongkung - [ 12 มี.ค. 50 20:04:06 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ลงชื่อมาอ่านดูแล้ว จากคุณ : เนเวอร์แลนด์ - [ 12 มี.ค. 50 20:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ประเด็นในคห 41 ผมก็เคยคิดเหมือนกันคับ เพราะจากกราฟ จะเห็นว่า ปริมาณ CO2 ในบรรยากาศ มันขึ้นไปเยอะแล้ว แต่ ทำไม Temp ยังไม่ขึ้นตาม โดยส่วนตัว ถ้าจะคิดคล้อยตาม ก็น่าจะ เพราะ การดูดซับความร้อน ต้องอาศัยเวลา ด้วย  ที่คิดอย่างนี้ เพราะ จากข้อมูลที่บันทึก อุณหภูมิ พบว่า สถิติสูงสุดอยู่ในช่วงไม่กี่สิบปี ก่อนหน้า ทั้งนั้น และ ปี 2007 นี้ก็ร้อนที่สุดตามคาด (อ่านจากCNN) แต่ถ้าจะคิดอีกมุม ก็เหมือนที่ คห39 บอกไว้ และผมคิดอีกอย่างว่า มันเปนทั้ง 2 แบบ ในอดีต อุณหภูมิ สูงขึ้น ลดลง เป็นวัฏจักรอยู่แล้ว เนื่องจาก ดวงอาทิตย์ หรือ อะไร ไม่รู้แน่ชัด และในปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วง อุ่นขึ้น ตามกราฟ แต่ การอุ่นขึ้นนี้ มันเร็ว ผิดปกติ ซึ่งสาเหตุนั้น เชื่อว่า มาจาก co2 ที่เพิ่มขึ้น จากรายงานของ IPCC รายงานว่า สถานะการณ์ตอนนี้ กิจกรรมของมนุษย์ มีผลมากที่สุด (เขาใช้คำว่า very likely น่าจะหมายถึงเปนไปได้มากที่สุด) จากคุณ : GreenEyes - [ 12 มี.ค. 50 20:44:44 ]

ความคิดเห็นที่ 45 โอ๊วว พระเจ้า จากคุณ : แฟตโฟเบีย - [ 12 มี.ค. 50 20:47:38 A:124.121.62.89 X: TicketID:132026 ]

ความคิดเห็นที่ 46 กระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3721530/X3721530.html ผมไม่เคยลืมเลือนเลยครับ และคงจะจำกระทู้นี้ไปตลอดด้วย จากคุณ : Azureus - [ 12 มี.ค. 50 21:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ...มาดู  มาดู้...มาโหวต.... จากคุณ : เอื้องป่า - [ 12 มี.ค. 50 21:32:12 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้าใครพูดถึงเรื่องโลกร้อน ก็จะเอาบทความของจขกท.ให้ดูอ่ะ อยากให้คนเชื่อในวิทยาศาสตร์ด้วยเหตุผลรอบด้านหน่อย.. จากคุณ : ด้วยคนจิ - [ 12 มี.ค. 50 21:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ ขอให้อ่านทำความเข้าใจ # 39 และ # 41 เป็นพิเศษ CO2 กับอุณหภูมิโลก เคยเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆอย่างสัมพันธ์กันมาหลายรอบ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ในระยะยาวไกล ก่อนที่จะเกิดมีมนุษย์เผาเชื้อเพลิงฟอสซิล CO2 ที่เพิ่มขึ้น มาจากไหน ??? ดังนั้นจึงน่าเชื่อได้ว่าระดับ CO2 ถูกขับดัน โดยอุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนแปลง มากกว่าที่ CO2 จะเป็นฝ่ายขับดันการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลก ผมเชื่อว่าสมมติฐาน #39 เป็นข้อเท็จจริง เป็น fact สิ่งที่จะตามมาคือ CO2 ที่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงเพราะการเปลี่ยนอุณหภูมิโลก จะย้อนกลับมาเพิ่มปฏิกิริยาสภาวะเรือนกระจกทำให้โลกร้อนยิ่งขึ้นได้หรือไม่ ถ้า CO2 ที่เพิ่มขึ้นสามารถย้อนกลับมามาเร่งสภาวะเรือนกระจก ทำให้โลกร้อนขึ้นได้ จะเกิดสภาพที่เรียกว่า positive feed back คือปฏิกิริยาดำเนินต่อไปไม่หยุด โลร้อน > มหาสมุทรคาย CO2 > โลกร้อนขึ้นไปอีก > CO2 เพิ่มขึ้นอีก > > > > โลกพินาศ แต่โลกไม่ได้พินาศ จึงน่าจะเชื่อได้ว่าผลกระทบของการเพิ่ม CO2 ไม่ได้เป็น positive feed back คำอธิบายน่าจะมาจาก #38 คือ CO2 แม้จะเป็นกาซเรือนกระจก แต่ระดับกาซในบรรยากาศ ~300 ppm นั้นน่าจะเจือจางเกินกว่าจะเห็นผลอะไรได้ จากคุณ : กาลามะชน - [ 12 มี.ค. 50 21:52:29 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ร้อนขึ้นเฉยๆยังไม่เท่าไหร่ ตายบ้างเล็กน้อยพอทนอยู่กันได้ แต่ไอ้ UV B ที่ลอดผ่านชั้นโอโซนมาเนี่ย  สงสัยจะตายกันค่อนโลก จากคุณ : ZXR - [ 12 มี.ค. 50 22:29:40 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ต่ออีกนิด มะกี้เนทบ้านผมเน่า  T_T สำหรับผู้สนใจ IPCC = Intergovernmental Panel on Climate Change ครั้งนี้เปนครั้งที่ 4 แล้วครับ เป็นการประชุมที่รวมนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก จัดที่ฝรั่งเศส เมื่อ ต้นกุมภา 2550 นี่เอง ไม่รุ้ คุณ กาลามะชน  ได้อ่านรึยัง คุณต้องสนใจแน่ ข้อมูล ภาพ กราฟ เยอะดี ดาวน์โหลด สรุปผลการประชุมฉบับ ย่อ ได้ที่นี่ครับ http://www.ipcc.ch/   ใต้ตรงที่เขียนว่า Working Group I "The Physical Science Basis" แถบสีฟ้าๆ โดยส่วนตัว ผมว่า ก็เปนกระแสที่ดีนะคับ ที่คนเริ่มหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่วน เรื่องเล็กไหมนี่ ผมว่า ไม่ว่ามันจะมาจากสาเหตุไหน มันก็ เรื่องไม่เล็กนา (เพราะบ้านอยู่ กทม.) แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 23:55:06 จากคุณ : GreenEyes - [ 12 มี.ค. 50 22:33:00 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : hooya - [ 12 มี.ค. 50 22:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ... จากคุณ : Grid Line - [ 12 มี.ค. 50 22:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับผม จากคุณ : kaibaboy - [ 12 มี.ค. 50 22:47:26 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับความรู้ดีๆ ที่มาแบ่งปันกัน จากคุณ : 10wayswhy - [ 12 มี.ค. 50 23:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 56 vote จากคุณ : Komi (komi_to) - [ 12 มี.ค. 50 23:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 57 bookmark ไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านใหม่.. อ้อ โหวตด้วยอีก 1 จากคุณ : เหวเห้ว - [ 12 มี.ค. 50 23:42:02 ]

ความคิดเห็นที่ 58 พอดีเจอ ข้อมูลที่แย้งกับ ที่ว่า "อุณหภูมิ มีผลต่อการละลายของกาซในน้ำ   ถ้าอุณหภูมิโลกอบอุ่น น้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้กาซละลายในน้ำได้น้อยลง กาซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ก็จะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าอุณหภูมิโลกเย็นลง น้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมิลดลง ทำให้กาซละลายในน้ำได้มากขึ้น กาซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ก็จะลดลง นักวิทยาศาสตร์ฝ่ายค้านทฤษฎี AGW เชื่อว่า อุณหภูมิของโลกต่างหากที่เป็นตัวการ ทำให้ปริมาณ กาซคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศ เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง โดยดึงกาซออกจากมหาสมุทร หรือคืนกาซให้กับมหาสมุทร " จากตรงนี้ หมายความถึง กรณีที่ total CO2 เท่าเดิมนะครับ (ถ้าในอากาศเพิ่ม ในทะเลลด) แต่ถ้า total CO2 มีมากขึ้นเรื่อยๆ (จากการเผาเชื้อเพลิงใต้พื้นโลก) มันก็เป็นอีกกรณีไปเลยนะครับ ซึ่งปัจจุบันพบว่า ปริมาณ CO2 ทั้งในมหาสมุทร และ ในอากาศ มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นทั้งคู่นะครับ ไม่มีลดลง ปัญหาที่เกิดขึ้น และกำลังเปนที่สนใจอย่างนึง เกิดที่ เกรชแบริเออรีฟ ครับ ปะการัง สัตว์น้ำต่างๆกำลังแย่ลงๆ  เปนผลจาก การที่น้ำทะเลอุ่นขึ้น และ มีความเป็นกรดมากขึ้น เพราะ CO2 ในน้ำทะเล เยอะขึ้น ซึ่ง อุณหภูมิน้ำ มีผลต่อการเกิดปะการังฟอกสี ความเปนกรดที่เพิ่มขึ้น ทำให้สัตว์น้ำอยู่ลำบากขึ้น และถ้าความเปนกรดสูงจนถึงจุดหนึ่ง สัตว์น้ำต่างๆ จะเริ่มไม่สามารถ คงสภาพโครงสร้างแคลเซียม (เช่น เปลือก กระดูก) ของมันไว้ได้ และตายหมด สำหรับผลของ ความสามารถในการละลายที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิ เท่าที่จำได้ มันมีผลไม่มากนักนะครับ แต่ที่เกิดขึ้นตอนนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ประมาณ0.5 C ปริมาณ CO2 เพิ่มขึ้นไปเกือบ 100ppm (ไว้จะลอง คำนวณดูจาก henry law ขอตัวไปเที่ยว อาทิตย์นึง) ปล. ยังอ่านblog ไม่จบเลย จากลับมาอ่านต่อนะครับ น่าสนใจมาก จากคุณ : GreenEyes - [ 13 มี.ค. 50 00:28:41 ]

ความคิดเห็นที่ 59 (เวลามีการเสนอประเด็นนี้มักมีการเชือมโยงไปสู่เรื่องสนธิสัญญาเกียวโต และการจำกัดก๊าซเรือนกระจกทุกที ลองดูตัวอย่างจากกระทู้เก่าของจขกท.ก็ได้ ดังนั้นขอเสนอความเห็นดังนี้ครับ) โลกอาจร้อนขึ้นเป็นวัฐจักรก็จริง แต่การเอาทฤษฎีนี้ (ยังไม่ใช่ ultimate fact) มาปัดความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อมในการที่เราผลิต CO2 จำนวนมหาศาลนี่ผมรับไม่ได้ครับ หรือคุณจะพูดได้หน้าตาเฉยว่าก๊าซบ้าบอที่เราสร้างนี่มันไม่ได้มีผลร้ายอะไรต่อสภาพแวดล้อมเลย กลายเป็นว่าคนบางคนเอาเรื่องโลกร้อนมาหักล้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ลัทธิอัตสาหกรรมสุดขั้วได้หน้าชื่นตาบาน จะได้ละเลยข้อเท็จจริงด้านผลร้าย อื่นๆไป ----------->บอกว่าปล่อยก๊าซไม่ทำให้โลกร้อน เพราะฉะนั้นมาปล่อยก๊าซกันตามสบายเถอะ แต่กลับไม่ยอมพูดว่าของเสียอุตสาหกรรมนี้มันสร้างผลร้ายขนาดไหน โลกอาจร้อนด้วยตัวมันเองก็จริง ซึ่งตามหลักฐานในอดีตผมเชื่อว่าจริง แต่จากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดตัวแปรอื่นอีกมาก ทำให้ผมไม่อยากเชื่อผลในอดีตเพียงอย่างเดียว แล้วก็ประมาทกันไป แต่ลัทธิอุตสาหกรรมสุดขั้วนี่ยังไงมันก็สร้างความบอบช้ำให้โลกแน่ๆ และเราก็ไม่ควรปัดความรับผิดชอบด้วย แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 01:53:06 จากคุณ : ฟ (อัศวินม้าเขียว) - [ 13 มี.ค. 50 01:52:06 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คุณ กาลามะชน มาทีไร ได้เรื่อง(ดีๆ)ทุกที อย่างนี้ต้องโหวตอย่างเดียวครับ จากคุณ : Seamaster (Omega1120) - [ 13 มี.ค. 50 01:52:18 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เพิ่งดู an Inconvenient Truth จบพอดี มาหาข้อมูลเพิ่มเติมดีกว่า จากคุณ : Prince Baro5 - [ 13 มี.ค. 50 03:03:01 ]

ความคิดเห็นที่ 62 โหวตให้ค่ะ น่าสนใจมากๆ จากคุณ : กังกา - [ 13 มี.ค. 50 09:05:37 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ดูหนังเรื่อง An Inconvenient Truth น่ากลัวเหมือนกันนะคะ จากคุณ : ชุติกาญจน์ - [ 13 มี.ค. 50 09:17:36 ]

ความคิดเห็นที่ 64 (Credit:ยืมมาจากgingercd) Movie : An Inconvenient Truth ประเภท Documentary เรทภาพยนตร์ PG วันที่เข้าฉาย 31 สิงหาคม 2549 ความยาว 100 นาที พากย์ ไทย กำกับโดย Davis Guggenheim นำแสดงโดย  Al Gore  ...  Himself สร้างโดยประเทศ USA จำหน่ายโดย ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชันแนล พิคเจอร์ส (F.E.) เรื่องย่อ     เหตุการณ์จริงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของโลกที่กำลังเผชิญอยู่ อัล กอร์ ผู้ซึ่งเคยลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีกด้านหนึ่งนั้น เขาเป็นคนที่สนใจอย่างจริงจังในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เขาได้ออกเดินทางท่องไปทั่วโลก เพื่อนำเสนอผลงานที่ว่าด้วยเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ผลงานของเขาได้ชี้บอกข้อมูลที่ว่าในเวลานี้ มนุษยชาติต้องเผชิญหน้ากับอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น หรืออาจต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่จะติดตามมา ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการติดตามการเดินทางทั่วโลกของ อัล กอร์ เพื่อทำหน้าที่เสมือนตัวแทนของการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของโลก การสำรวจว่า อัล กอร์ เริ่มหลงใหลในประเด็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร ผสมรวมเข้ากับเรื่องราวที่ว่าโลกก้าวมาสู่สภาวะที่เป็นอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร และที่สำคัญพวกเราสามารถทำอะไรได้บ้าง อัล กอร์ บอกว่านี่คือการรณรงค์ ไม่ใช่เพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง แต่เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คนทั่วโลกเกี่ยวกับวิกฤตสภาพอากาศ และเพื่อชี้หนทางไปสู่ทางออกซึ่งยังมีอยู่ แต่ต้องตอบสนองและลงมือกระทำอย่างเร็วที่สุด จากคุณ : ชุติกาญจน์ - [ 13 มี.ค. 50 09:20:10 ]

ความคิดเห็นที่ 65 จากความเห็นที่ 49 ที่ว่า CO2 กับอุณหภูมิโลก เคยเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆอย่างสัมพันธ์กันมาหลายรอบ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ในระยะยาวไกล ก่อนที่จะเกิดมีมนุษย์เผาเชื้อเพลิงฟอสซิล CO2 ที่เพิ่มขึ้น มาจากไหน ??? ผมเห็นว่า สาเหตุการสูงขึ้นของอุณหภูมิในตอนนั้น อาจมาจากสาเหตุอื่นก็เป็นได้ ไม่จำเป็นว่าต้องมาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเดียว เช่น อาจมาจากระเบิดของ methane hydrate จากใต้ทะเลทำให้เกิดก๊าซมีเทนในบรรยากาศมากขึ้น ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น (ถ้าเชื่อเรื่องก๊าซเรีอนกระจกทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น) เพราะมีเทนมีความสามารถกักเก็บความร้อนได้มากกว่า CO2 ประมาณ 21 เท่า หรือมีเหตุการณ์ธรรมชาติอีกหลายอย่างที่ทำี่ให้อุณหภูมิสูงขึ้นได้เช่นกัน คือแค่อยากจะบอกว่า อย่าเอาข้อมูลทีมีไม่มากพอมาสรุปเลยว่า แต่ก่อนไม่มีการเผาเชื้อเพลิง แต่โลกร้อนขึ้น แล้วสรุปไปว่า โลกไม่ได้ร้อนขึ้นเนื่องจากการเผาเชื้อเพลิงที่ปล่อย CO2 สู่ชั้นบรรยากาศ เพราะตอนนั้น โลกอาจร้อนขึ้นเพราะสาเหตุอื่น ส่วนเรื่อง positive feed back คือปฏิกิริยาดำเนินต่อไปไม่หยุด นั้น ผมว่าอย่าคิดง่ายๆแบบนั้น เพราะโลกมีการปรับตัวตลอดเวลา โลกอาจพยายามปรับตัว ทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์นั้น เช่น ผมเดาเอานะ แค่สมมุติ การเพิ่ม CO2 ทำให้การเติบโตของพืชเร็วกว่าเดิม ทำให้เกิดการกำจัด CO2 ในบรรยากาศได้เร็วขึ้น จึงเกิดลักษณะการปรับตัวแบบ Oscillation คือขึ้นๆลงๆ ผมว่า ต้องดูว่า ไอ้การส่ายขึ้นๆลงๆ เนี่ยมันมีแนวโน้ม ลู่เข้า หรือ ลู่ออก คือ ถ้าลู่ออก (ช่วงกว้างของจุดต่ำสุดกับสูงสดจะค่อยๆเพิ่มขึ้น) ในช่วงที่มีการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างในปัจจุบัน ก็อาจพอจะสันนิษฐานว่า การใช้เชื้อเพลิงในปัจจุบันมีผลทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น แต่โชคร้ายที่เราไม่มีข้อมูลมากพอที่จะดูแนวโน้มนี้ได้ ผมว่าการด่วนสรุปไปเลยว่า การเพิ่มของอุณหภูมิโลกไม่เกี่ยวกับการเผาเชื้อเพลิงเลยจากการอ้างอิงเหตุการณ์ในอดีต ซื่งไม่มีการใช้เชือเพลิงฟอสซิลเลย ก็ดูจะง่ายไปหน่อย แต่แต่ก่อนมีการใช้น้ำมันมากเหมือนปัจจุบัน แล้วพบว่า อุณหภุมิไม่เปลี่ยนแปลงหรือเย็นลง นี่สิถึงพอจะพูดได้ว่ามันไม่เกี่ยวกัน ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงความเห็นผมนะ แต่แน่นอนว่าข้อมูลของ จขกท ก็ีมีประโยชน์น่านำมาถกเถียงกัน คือมันมีเหตุการณ์หลายๆอย่างในปัจจุบันที่แสดงให้เห็นความผิดปกติของสภาพอากาศในโลก ซึ่งตอนนี้สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะอธิบายได้คือก๊าซเรือนกระจก อาจเป็นความโชคร้ายของอุตสาหกรรมน้ำมันก็ได้ที่อุณหภุมิเกิดผิดปกติมากในช่วงนี้ แต่มันก็เป็นเหตุผลหลักอันนึงที่สามารถโยงไปได้ ถ้าไม่ใช่ คุณคิดว่าอะไรอีกที่สามรถทำให้เกิดความผิดปกติแบบนี้ ซึ่งไม่เคยเกิดเลยในช่วงห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปี จากคุณ : ไทเกอร์ อู๊ด - [ 13 มี.ค. 50 10:19:26 A:71.162.59.116 X: TicketID:064569 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ได้ความรู้ อีกแล้ว จากคุณ : NukeSkywalker - [ 13 มี.ค. 50 10:27:13 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณสำหรับสาระและความรู้ ที่แบ่งปันกันค่ะ :) จากคุณ : kwancheewaa - [ 13 มี.ค. 50 11:01:54 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ช่วงที่อบอุ่นที่สุดในอดีตอุณหภูมิประมาณเท่าไหร่หรือคะ หนนี้จะสูงกว่าเดิมมากรึเปล่าเนี่ย แค่นี้ก็ร้อนจะแย่แล้ว -_-" จากคุณ : เฮ้อ (บางเวลา) - [ 13 มี.ค. 50 11:08:38 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้ และร่วมโหวตอีก 1 เสียงค่ะ จากคุณ : blacksatinrose - [ 13 มี.ค. 50 12:19:59 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ผมคิดง่ายๆ ว่าโลกคือก้อนดิน ก้อนหนึ่ง การเผาเชื้อเพลิงทำให้มันร้อนขึ้นกว่าการไม่เผาอะไรเลย เพราะอัตราการได้รับแสงอาทิตย์ของโลก มันเท่ากันทุกปีอยู่แล้ว และสาเหตุที่ทำให้ผิวโลกอบอุ่น ไม่เย็นเฉียบเหมือนผิวพระจันทร์ เพราะมันมีแกสต่าง ๆ บนผิวโลกคอยดูดซับ (absorb) ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย จริงไหม ๆ . . แต่ความปลาด (anomaly) ที่เกิดขึ้นคือ มันมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะภูมิอากาศในสถานที่ต่าง ๆ แต่ความร้อนโดยรวมของโลก (energy net) ก็ยังเป็นไปตามที่กล่าวมาแล้ว - - แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 12:50:01 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 12:47:11 จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 13 มี.ค. 50 12:26:38 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณค่า จากคุณ : zaijaidee - [ 13 มี.ค. 50 12:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 72 อิ อิ มาทีไร ได้เรื่องทุกที ตามมาเซฟเก็บไว้เหมือนเดิมครับ ฝากไว้สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านกระทู้เก่าของน้ากาละมัง http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3721530/X3721530.html ใครจะเชื่อแบบไหน หรือไม่เชื่อแบบไหน อภิปรายถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลกัน ว่ากันด้วยเหตุผล และหลักฐาน ช่วยสร้างเสริมปัญญาได้ครับ ผมไปหาอ่านเอกสารอ้างอิงมานิดหน่อย ผมโน้มเอียงไปทางน้ากาละมังแฮะ จากคุณ : อะธีลาส - [ 13 มี.ค. 50 16:39:14 ]

ความคิดเห็นที่ 73 แล้วเรื่องราวเกี่ยวกับชาวเอเชียที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเหนือ โดยเดินทางผ่านช่องแคบแบริงนี่สอดคล้องกับทฤษฏีนี้รึเปล่าครับ เพราะตรงนั้นผมคิดว่ามันหนาวนะ จากคุณ : ลานกา - [ 13 มี.ค. 50 17:09:39 ]

ความคิดเห็นที่ 74 #58 >จากตรงนี้ หมายความถึง กรณีที่ total CO2 เท่าเดิมนะครับ (ถ้าในอากาศเพิ่ม ในทะเลลด) >แต่ถ้า total CO2 มีมากขึ้นเรื่อยๆ (จากการเผาเชื้อเพลิงใต้พื้นโลก) มันก็เป็นอีกกรณีไปเลยนะครับ >ซึ่งปัจจุบันพบว่า ปริมาณ CO2 ทั้งในมหาสมุทร และ ในอากาศ มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นทั้งคู่นะครับ ไม่มีลดลง ปริมาณคาร์บอนที่มนุษย์เผาสู่บรรยากาศไปในแต่ละปีนั้น หนึ่งในสามจะหายไปจากบรรยากาศ เชื่อว่าละลายลงสู่มหาสมุทรกับน้ำฝน คงเหลือในบรรยากาศประมาณสองในสามเท่านั้น นี่อาจจะเป็นข่าวดีอย่างหนึ่ง คือถ้ามนุษย์หยุดเผาเชื้อเพลิง เพียงไม่กี่ปีคาร์บอนจะถูกน้ำฝนชะล้างละลายลงสู่มหาสมุทรจนเข้าสู่สมดุล ก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม บรรยากาศมี CO2 ประมาณ 550 พันล้านตัน ส่วนมหาสมุทรมี 39,000 พันล้านตัน สมดุลโดยประมาณคือ 1:70 มีความเป็นไปได้ที่ธรรมชาติจะปรับตัวจัด total carbon เข้าหาสัดส่วนนี้ แล้วคาร์บอนที่ละลายลงสู่มหาสมุทรจะเป็นอย่างไรต่อไป ตรงนี้ข้อมูลไม่ตรงกันครับ ตามที่ผมทราบข้อมูลส่วนใหญ่ยอมรับว่า ความเข้มข้นอนุมูลคาร์บอเนทในมหาสมุทรยังไม่เปลี่ยน แต่เคยได้ยินเหมือนกันว่ามีงานวิจัยส่วนน้อยที่อ้างว่ามีความเปลี่ยนแปลง แต่ผมยังไม่เจอเองเลย ทำไมคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายลงมหาสมุทร จึงไม่มีผลอะไร เพราะในมหาสมุทรมีสมดุล คาร์บอเนท-ไบคาร์บอเนท เป็นเหมือนบัฟเฟอร์ อธิบายอย่างรวบรัดคือ มหาสมุทรสามารถปรับสภาพสมดุลทางเคมี โดยการแปรรูป คาร์บอเนท-ไบคาร์บอเนท กับ หินปูนที่มีมากมายตามก้นมหาสมุทร คล้ายกับโลกมี carbon sink ที่จะช่วยกักเก็บคาร์บอน ถึงสองชั้น ชั้นแรกคือการละลายในมหาสมุทร ชั้นที่สองคือหินปูนก้นมหาสมุทร จากคุณ : กาลามะชน - [ 13 มี.ค. 50 17:19:43 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณเช่นกันครับ สำหรับกำลังใจจากเพื่อนๆทุกท่านที่ติดตามกระทู้ จากคุณ : กาลามะชน - [ 13 มี.ค. 50 17:58:24 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เห็นด้วยกับ คห 70 "Make everything as simple as possible, but not simpler" คิดง่ายๆแบบธรรมดาๆ จากคุณ : vt.knight - [ 13 มี.ค. 50 18:49:58 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณความรู้ที่มาเป็นกาละมังชาม ของท่านกาละแมชน จากคุณ : ไม้ไผ่โย่ง - [ 13 มี.ค. 50 18:59:02 ]

ความคิดเห็นที่ 78 #68 คุณบางเวลา ช่วงที่โลกอบอุ่นที่สุดในยุค Medieval Warm 16 C ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 14.5 C จากคุณ : กาลามะชน - [ 13 มี.ค. 50 19:01:09 ]

ความคิดเห็นที่ 79 เรื่องโลกร้อนนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะเป็นประเด็นทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองของอเมริกา พรรคการเมืองหนึ่งหยิบเรื่องโรคร้อนมาเป็นประเด็น พร้อมทั้งออกความเห็นว่าพวกเราควรรักษาธรรมชาติ ลดการสร้าง CO2 ช่วยกันดูแลรักษาโลกนี้ให้ดีขึ้น อีกพรรคการเมืองซึ่งค่อนข้างจะฝักไฝ่ในการก่อสงคราม ก็มักจะแย้งว่าโลกร้อนเป็นเรื่องไร้สาระ มันเกิดของมันเองไม่ใช่เพราะมนุษย์ทำลายธรรมชาติสักหน่อย พอมีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยว ก็มักมีการสร้างข้อมูลต่างๆรวมทั้งสร้างความไขว้เขว ตามแบบที่นักการเมืองชอบทำกัน ต่างฝ่ายต่างก็รวบรวมข้อมูลหลักฐานโน้มน้าวความเชื่อของตัวเอง หาข้อโต้แย้งเพื่อทำลายความเชื่อของอีกฝ่าย ข้อมูลอาจมีจริงบ้างเท็จบ้าง หว่านเงินไปยังสื่อและผู้คนที่สนับสนุนความเชื่อแบบที่ตนเองเชื่อ --------------------------- ตัวผมเองก็ไม่ใช่ผู้หยั่งรู้ว่าแท้จริงนั้นเกิดจากอะไร ได้แต่อ่านจากหลายๆแหล่ง และเลือกเชื่อตามที่ตัวเองคิดว่าสมเหตุสมผลกว่า โดยส่วนตัวผมก็ยังเชื่อว่าเพราะ CO2 และมลภาวะที่พวกเราทั้งหลายก่อขึ้นกันนั่นแหละครับ --------------------------- Ice Age Cycle มันเป็นวัฏจักรก็จริง แต่ในรอบนี้ ที่ซึ่งอารยธรรมมนุษย์ก่อให้เกิด CO2มหาศาล อุณหภูมิมันพุ่งพรวดเกินกว่าวัฏจักรที่เคยเป็นมาไปหลายเท่าแล้วนะครับ ---------------------------- รูปประกอบ "อุณหภูมิโลกในรอบสี่แสนปีที่ผ่านมา" จาก wikipedia อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Global_warming แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 19:16:20 จากคุณ : zmen - [ 13 มี.ค. 50 19:12:17 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เชื่อว่าหลายคนรู้สึกว่า ทุกวันนี้ก็ร้อนจะแย่แล้ว หลายคนที่มีอายุ จะรู้สึกว่าปัจจุบันร้อนกว่าเมื่อก่อนมาก มีประเด็นหนึ่งที่ควรทราบจะอย่างยิ่ง นั่นคือ Urban Heat Island Effect (UHI) หมายถึงการที่อุณหภูมิของชั้นอากาศใกล้พื้นดิน ในเขตชุมชน อุ่นกว่าปกติ เพราะมลภาวะทางความร้อนโดยตรง จากสองสาเหตุคือ การขาดร่มเงา และการทิ้งความร้อน 1. การเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นความร้อนเพราะขาดร่มเงา ในเขตชุมชนมักจะขาดต้นไม้ ที่คอยดูดซับพลังงานแสง และเปลี่ยนเป็นพลังงานศักย์เคมีในกระบวนการสังเคราะห์แสง เมื่อไม่มีต้นไม้ช่วยดูดซับแสง แสงแดดก็จะกระทบกับพื้นดินและสิ่งก่อสร้างโดยตรง กลายเป็นความร้อนในวัตถุ และถ่ายเทออกสู่อากาศ รอบๆอีกที 2. การทิ้งพลังงานของมนุษย์ พลังงานทุกประเภท ทั้งจากแหล่งพลังงานสะอาด หรือเชื้อเพลิงฟอสซิล เมื่อถูกใช้ประโยชน์แล้ว ส่วนหนึ่งจะกลายสภาพเป็นความร้อน ถูกทิ้งสู่บรรยากาศรอบตัว นอกจากนี้ในเมืองที่มีมลภาวะทางอากาศสูง ยังอาจเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกเฉพาะพื้นที่เกิดขึ้น เพราะหมอกควันและฝุ่นละอองที่แขวนลอยในอากาศ สามารถดูดซับรังสีความร้อนได้ดีมาก ดีกว่าอิทธิพล GHP ของกาซอย่าง CO2 หรือ methane หลายร้อยเท่า รวมทั้งอากาศในเขตเมืองก็มักจะมีปริมาณ CO2 สูงกว่าบรรยากาศหลายเท่าตัว เมืองที่มีมลภาวะทางอากาศสูง อาจจะมีปรากฏการณ์เรือนกระจกเฉพาะพื้นที่เกิดขึ้นร่วมด้วย ปรากฏการณ์เกาะร้อนรู้จักกันมานานประมาณ 100 ปีแล้ว โดยมีผู้สังเกตพบว่าในแผนที่แสดงอุณหภูมิของอากาศ จะปรากฏเขตอากาศอุ่นผิดปกติ ในบริเวณเหนือเขตชุมชนปรากฎเป็นหย่อมๆ เหมือนเกาะบนแผนที่ จึงเรียกว่าปรากฏการณ์เกาะร้อน (Urban Heat Island) เขตเกษตรกรรมก็มีมลภาวะทางความร้อนน้อยๆด้วยเช่นกัน เพราะทุ่งนาย่อมอุ่นกว่าป่าไม้ธรรมชาติ ในปัจจุบันเขตชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรมขยายตัว จนในบางประเทศ เขตเกาะร้อนเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน กลายเป็นผืนเดียวครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางเกือบทั้งประเทศ อิทธิพลของเกาะร้อน สามารถแผ่ออกในทิศทางตามลมได้ไกลมาก เมืองใหญ่ๆบางแห่งสามารถแผ่อิทธิพลตามลมได้ไกลถึงสามสิบกิโลเมตร ทั้งกระแสลม และมลภาวะทางความร้อนจากพื้นที่เกษตรกรรม มีส่วนทำให้การเก็บข้อมูลอุณหภูมิอากาศเพื่อทำสถิติ ในหลายจุดคลาดเคลื่อน จริงๆแล้วสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ข้อมูลอย่างเป็นทางการของ IPCC จากรายงานการประเมินฯครั้งที่ 3 บอกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่งจะอุ่นขึ้นเพียง 0.6 องศาเท่านั้น ซึ่งมนุษย์แทบจะไม่รู้สึก นอกจากจะวัดด้วยทอร์โมมิเตอร์ ที่มีความละเอียดสูง แต่มลภาวะทางความร้อน จากปรากฏการณ์เกาะร้อน สามารถทำให้อากาศในเขตเมืองอุ่นขึ้นได้ 3-6 องศาทีเดียว แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 19:22:34 จากคุณ : กาลามะชน - [ 13 มี.ค. 50 19:17:40 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 13 มี.ค. 50 19:19:59 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ปรากฏการณ์การณ์เกาะร้อน จึงเป็นปัญหาใหญ่และใกล้ตัว ที่คนมักจะมองข้าม เพราะการประชาสัมพันธ์ถึงปัญหาสภาวะโลกร้อนแบบตุกติก ทำให้ประชาชนสับสน คือมักจะไม่บอกให้ทราบว่า โลกยังมีปัญหาแทรกซ้อนจากปรากฎการณ์เกาะร้อน ที่มีอิทธิพลรุนแรงกว่า ทำให้คนคิดว่าอากาศร้อนมากขึ้น ที่เรารู้สึกสัมผัสได้ เป็นผลของปรากฏกการณ์เรือนกระจก คนที่ไม่เคยรู้จักปรากฏการณ์เกาะร้อน จึงมักจะวิตกนึกว่าสภาวะโลกร้อนเข้าขั้นสาหัสแล้ว ปัญหาเกาะร้อน มีผลร้ายแรงกว่าปัญหาเรือนกระจกมาก กรุงเทพเป็นเมืองที่มีปัญหาเกาะร้อนสูง ความร้อนขนาดที่คนกรุงเทพประสบ ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ ทำให้ประสิทธิภาพของคนที่ต้องทำงานกลางแจ้งลดลง ทำให้ต้องใช้พลังงานในการปรับอากาศภายในรถยนต์และอาคารมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย การแก้ปัญหาเกาะร้อน ต้องแก้ที่ภูมิสถาปัตย์ ด้วยการใช้วัสดุที่มีสีอ่อน ที่สะท้อนแสงได้ดีสร้างอาคาร ปลูกต้นไม้ สร้างแหล่งน้ำและสวนสาธารณะภายในเขตชุมชนเมืองให้มากขึ้น ประหยัดการใช้พลังงาน และระวังการทิ้งพลังงานทุกชนิด ซึ่งรวมถึงพลังงานสะอาดด้วย แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 19:29:27 จากคุณ : กาลามะชน - [ 13 มี.ค. 50 19:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 83 #79 >Ice Age Cycle มันเป็นวัฏจักรก็จริง >แต่ในรอบนี้ ที่ซึ่งอารยธรรมมนุษย์ก่อให้เกิด CO2มหาศาล >อุณหภูมิมันพุ่งพรวดเกินกว่าวัฏจักรที่เคยเป็นมาไปหลายเท่าแล้วนะครับ คุณคิดว่าการตั้งถิ่นฐานของไวกิ้งบนเกาะกรีนแลนด์เมื่อพันปีก่อนเป็นเรื่องจริง หรือเท็จ ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องจริง ก็ควรเชื่อว่าอุณหภูมิโลกยังไม่ได้ร้อนมากมาย เมื่อเทียบกับอดีต ตอนนี้โลกยังแค่อุ่นๆนะครับ เมื่อเทียบกับโลกร้อนในสมัย Medieval Warm Period ในสมัยนั้นอุณหภูมิโลกประมาณ 16 C เทียบกับตอนนี้ 14.5 C แต่ที่เรารู้สึกร้อนตับแลบในทุกวันนี้ เกิดจากปรากฎการณ์เกาะร้อนมากกว่า ผมคิดว่าการทำความคิดความเข้าใจให้ตรง มีความสำคัญ เราควรลดความสนใจ AGW ที่ร้อนแค่ 0.5 C แล้วหันมาสนใจจัดการกับ UHI ที่ร้อน 3 - 6 C จะดีกว่า แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 20:01:14 จากคุณ : กาลามะชน - [ 13 มี.ค. 50 19:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เอ่อ อยากทราบข้อมูลนิดนึงครับ จาก คห.1 ที่บอกว่า แต่พอถึงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบสี่ อาณานิคมแห่งเกาะกรีนแลนด์ ก็ค่อยๆเสื่อมลง พอถึง คศ. 1408 ชาวเหนือทั้งหมดก็หายสาบสูญไปจากเกาะกรีนแลนด์ สิ่งที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อารยะธรรมของชาวเหนือแห่งเกาะกรีนแลนด์ล่มสลายคือ ภูมิอากาศโลกเกิดพลิกกลับไปสู่ความหนาวเย็นอย่างผิดปกตินานสี่ร้อยปี ความหนาวเย็นอย่างผิดปกตินี่  แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งโลกเลยรึเปล่าครับ  เพราะถ้ากินเวลา400กว่าปี นับจากคศ.1400 นี่ก็ใกล้เคียงกับเวลาปัจจุบันมาก แล้วในช่วงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ที่มีบันทึกเอาไว้รึเปล่าครับ น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกเลยทีเดียว จากคุณ : charoka - [ 13 มี.ค. 50 19:59:54 ]

ความคิดเห็นที่ 85 อ่านเฉยๆ อ่านจนจบ... (อีกแล้ว) เหมือนกับ คคห.46 ...รออ่านต่อ และจิ๊กข้อมูลไปโม้ต่อ บรืนๆๆ~ จากคุณ : Jinx D Wednesday - [ 13 มี.ค. 50 20:10:19 ]

ความคิดเห็นที่ 86 #84 หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สนับสนุน Little Ice Age Influence on Climate Shifts on European Civilization http://www2.sunysuffolk.edu/mandias/lia/little_ice_age.html Geoscience Research Institute http://www.grisda.org/origins/10051.htm บทที่ 10 จากหนังสือ How Climate Made History ที่มีชื่อเสียงของ Fagan http://williamcalvin.com/readings/Fagan%201999%20chapter%20on%20LIA.htm ถ้าขี้เกียจอ่าน จะยกตัวอย่างเล็กน้อย ในสมัย medieval warm โลกอุ่นจัด เขตปลูกองุ่นแผ่ขยายเข้าไปในอังกฤษ อังกฤษในสมัยนอร์แมนเข้ายึดครอง ผลิตไวน์ได้มากไม่แพ้ฝรั่งเศส ไม่ใช่แค่อังกฤษ ภาคเหนือของฝรั่งเศส และเบลเยี่ยม ก็ ปลุกองุ่นได้ดีเช่นกัน หลักฐานเกี่ยวกับการผลิตไวน์อังกฤษมีมากมาย และไม่มีใครค้าน อุตสาหกรรมไวน์ของอังกฤษ ค่อยๆสลายตัวลงในยุค LIA เพราะอากาศหนาวขึ้น อังกฤษเพิ่งจะกลับมาปลูกองุ่นในเชิงพาณิชย์ได้อีกครั้งหลังปี 1940s เมื่อโลกเริ่มอุ่นขึ้น อีกตัวอย่าง แม่น้ำเทมส์ ไม่ได้แข็งเป็นน้ำแข็งบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่แข็ง จะมีการบันทึก ในยุค LIA แม่น้ำเทมส์แข็งบ่อยกว่าปัจจุบันมาก แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 20:55:14 จากคุณ : กาลามะชน - [ 13 มี.ค. 50 20:39:50 ]

ความคิดเห็นที่ 87 อา ทำนองว่ามันเป็น cycle ของโลกใช่ไม๊ครับ อืม ปล พยายามอ่านให้จบ จากคุณ : Alovera - [ 13 มี.ค. 50 22:35:34 ]

ความคิดเห็นที่ 88 อา ทำนองว่ามันเป็น cycle ของโลกใช่ไม๊ครับ อืม ปล พยายามอ่านให้จบ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ จากคุณ : Alovera - [ 13 มี.ค. 50 22:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 89 #83 จากรูปใน #79 จะเห็นว่าแต่ละ Cycle ใช้เวลานับแสนปีนะครับ จากส่วนที่ zoom ในกราฟ #79นั้นที่เป็น 1000 ปีย้อนหลัง เมื่อพันปีก่อนก็ยังอยู่ในช่วงอากาศอบอุ่นครับ ---------------------------- ข้างล่างนี้เป็นการเอารูปจาก #49 มาซูมให้เห็นในช่วงหนึ่งแสนปีหลัง จะเห็นว่าช่วงอุณภูมิหนาวรอบที่แล้วเกิดเมื่อ 20000 (สองหมื่น) ปีก่อน ช่วงหมื่นปีที่ผ่านมาอยู่ในช่วงโลกอุ่นแล้วครับ ช่วงไวกิ้ง (หรือช่วงใหนๆของอารยธรรมมนุษย์) ก็ยังอยู่ในช่วงนี้ และในช่วง 200 ปีที่ผ่านมานี้ ที่ซึ่งมนุษย์ได้พัฒนาอุตสาหกรรมมากมายมีการปล่อย CO2 มหาศาล พุ่งกระฉูดสุดๆ (Dramatic Rise) และพุ่งสูงทะลุช่วงที่เคยร้อนที่สุดของทุกๆวัฎจักรที่ผ่านมาเท่าที่สามารถบันทึกได้ แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 23:39:12 จากคุณ : zmen - [ 13 มี.ค. 50 23:35:18 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ยก heat island มาอ้างอีกแล้ว คุณกาลามะชน กระทู้ที่แล้วยังไม่พออีกเหรอ คุณเล่นยกแต่ข้ออ้างของฝ่ายตรงข้ามมาเล่าแบบนี้ เด็กๆก็เข้าใจผิดกันหมดสิ ทั้งๆที่จริงแล้วน้ำหนักของแต่ละฝ่ายมันคานกันอยู่ ไม่ใช่ว่าไปว่าฝ่ายที่บอกว่าเกิดจากมนุษย์เป็นเรื่องเหลวไหล อยากได้ข้อมูลไม่ bias ก็ลองอ่านที่นี่ดีกว่าครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Global_warming_controversy ถ้าชอบเรื่อง conspiracy theory ละก็ ลองคิดดูละกันว่า มหาอำนาจที่ไม่ยอมรับ kyoto protocol ก็คืออเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมหาศาล และผู้ที่ให้เงินสนับสนุนนักวิจัยฝ่ายตรงข้ามมากที่สุดบริษัทหนึ่งก็คือ Exxonmobil ของอเมริกา และผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณกาลาถึงเข้าข้างฝ่ายนี้ เพราะแสดงตัวว่าเป็นพวก pro-fossil fuel มาตลอด จากคุณ : ม้าหงอย - [ 13 มี.ค. 50 23:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 14 มี.ค. 50 00:18:08 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เรื่องของโลกของสัตว์ของลิงของประโยชน์ของอำนาจ และของๆๆๆ bla bla bla น่าเบื่อ สุดท้ายก็ดิสเครดิตกันมาถึงขั้นระดับเวบบอร์ดและโลจิคเดิมๆ ก็จะตามมา เกลียด1 = ชอบ0 เกลียด0 = ชอบ1 จากคุณ : Azureus - [ 14 มี.ค. 50 01:21:56 ]

ความคิดเห็นที่ 93 จากการที่ได้อ่านกระทู้นี้นะฮะ.. ส่วนตัวข้าเจ้าไม่ใช่คนมีความรู้อะไรมากมายด้านนี้และก็ไม่ได้มี IQ. สูงด้วย ก็เลยลองคิดในแบบรับข้อมูลจากกระทู้นี้เพียวๆ กับที่ตัวเองมีอยู่ .. โดยยังไม่ได้ไปหาเพิ่ม... - จขกท. ก็พยายามนำเสนอข้อมูลอีกด้านที่น่าจะเป็นสาเหตุผลักดันให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น (ไม่ใช่สูงจนผิดปกติจากความรู้สึกของมนุษย์) .. - เกาะร้อนในเมือง ข้าเจ้าจำได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับมลพิษด้วยนี่ฮะ.. ok ว่าสถาปัตยสถานแบบเมืองมีส่วนด้วยแน่นอน.. เพราะเป็นส่วนที่กักหรือสะท้อนความร้อนให้ยังอยู่ในเขตเมือง เอ่อ... แต่เราจะแก้กันตรงนั้นอย่างเดียวเลยเหรอฮะ.. เป็นเข้าเจ้าคิดว่า แก้จากการลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลจะง่ายและถูกกว่ามั้ยฮะ.. อย่างน้อยมันยังสามารถลดพวก smog ทั้ง 2 แบบ (London smog กับ LA. smog) ก่อนที่มันจะไปโดนสถาปัตย์อย่างที่ จขกท. ว่ามาทำให้เป็นเกาะร้อนได้ ... เท่านี้ก็น่าจะเวิร์คแล้วนะฮะ - เรื่องวัฏจักรอุณหภูมิที่ว่า กับปริมาณ CO กับ CO2 ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ (จากมนุษย์นะฮะ ยังไม่ได้รวมไปถึงจากธรรมชาติ)... ข้าเจ้าว่า ไหนๆ โลกเราธรรมชาติเองก็สร้างก๊าซนี้มากพออยู่แล้ว... เราจะมาช่วยเค้าสร้างเพิ่มแล้วรอให้ธรรมชาติเค้ามาเก็บกวาดเหมือนในข้อมูลในประวัติศาสตร์ที่ว่าทำไมล่ะฮะ... เกิดเมื่อถึงที่สุดเค้ารับมือไม่ไหว จุดไหนล่ะฮะที่เป็นจุดบ่งชี้ว่า "เค้ารับไม่ได้แล้วนะ.. จะเริ่มบรรลัยแล้วนะ" ข้าเจ้าว่าถึงเวลาจริงๆ เราคงไม่ทันรู้หรอก สภาพที่ว่านี้ คิดว่าเราก็อาจกำลังเจอกันอยู่ก็ได้นะ (อาจ นะ ไม่ใช่เจออยู่แล้ว) ข้าเจ้าเชื่อในคำสอนพระพุทธองค์เรื่องความไม่ประมาท...! - จริงๆ คิดว่าโลกร้อนมันไม่น่าไปเพ่งอยู่แค่เรื่องก๊าซสายพันธุ์ไฮโดรคาร์บอนเพียงอย่างเดียวนะฮะ.. มันหลายอย่างจริงๆ เรื่องนึงที่ข้าเจ้าสงสัยเรื่องการเพิ่มอุณหภูมิของทะเลที่มีผลต่ออัตราการละลายน้ำของ CO หรือ CO2 ไม่น่าจะอยู่ที่อุณหภูมิพื้นผิวเพียงอย่างเดียว... ไหนจะกระแสลม ไหนจะพวกภูเขาไฟต่างๆ ทั้งบนดิน หรือในทะเล.. แล้วที่ข้าเจ้าสงสัยมากที่สุดคือ เรื่อง Ozone Hole .. ข้าเจ้าว่าเจ้านี่น่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยตัวสำคัญนะ... คือ มันไปมีผลต่ออัตราเร่งการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ทุกวันนี้ละลายกันไปเยอะแล้วนิ ... ถ้าจะไปโบ้ยว่าเป็นเพราะวัฏจักรอยู่แล้ว ถามจริงๆ เหอะ.. ไอ้วัฏจักรปกติ กับการโดนเร่งด้วยรูโอโซนเพิ่มเข้าไปด้วยนิ อันไหนมันน่ากลัวกว่ากันฮะ.. (เนื่องจากข้าเจ้ามีความรู้แค่นิดหน่อย ก็ขอปล่อยไก่เอามาถกบ้างว่า รูโอโซนที่ว่า เท่าที่เคยได้ยินมา นอกจากเรื่องรังสีอันตรายที่เข้ามาได้มากขึ้นแล้ว.. มันไปมีผลต่อการละลายมาผิดปกติของน้ำแข็งขั้วโลกด้วยใช่มั้ยฮะ) - จากเรื่องน้ำแข็งขั้วโลกละลาย มันสามารถมีผลต่อกระแสน้ำอุ่นในทะเลด้วยใช่มั้ยฮะ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็คงเป็นตัวการอีกอย่างใช่มั้ยฮะที่ทำให้โลกเรามีสภาพอุณหภูมิที่ผิดปกติ....  ข้าเจ้าว่าที่เรากลัวๆ กันเรื่องโลกร้อน ไม่น่าจะเป็นเพราะโลกร้อนขึ้นหรอก.. โลกมันร้อนเป็นวัฏจักรขึ้นลงอยู่แล้ว.. แต่ที่เค้าว่ากัน คือน่าจะเป็นเรื่องโลกร้อนไม่ถูกที่ด้วย ที่ที่เคยอุณหภูมิเฉลี่ยอย่างนึง กลับกลายไปเป็นอะไรที่สุดขั้ว จนสิ่งมีชีวิตเริ่มไม่สามารถปรับตัวได้...อันนี้ดิ.. น่าจะเป็นสาเหตุแห่งความกลัวมากกว่า... - อีกสาเหตุที่ข้าเจ้าว่าทำให้โลกร้อนด้วย.. คงเป็นเรื่องกิจกรรมเพิ่มความร้อนของมนุษย์เองมั้ง.. พวกไปลดพื้นที่ป่าไม้ เปลี่ยนโครงสร้างตามธรรมชาติจนเสียสมดุล.. - เอ่อ.. สังเกตว่าข้อมูลที่ จขกท. ยกมา มันเป็นปัญหาและข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของโลกในโซนแคบๆ เองนิฮะ.. เน้นไปทางยุโรปที่เดียว.. กระจุกอยู่แค่ตรงนั้น.. น่าสังเกตดีอะ.. ข้าเจ้าเลยอยากถามว่า ในความเป็นจริง อนุฯ เกียวโต เค้าไม่คิดจะมองข้อมูลตรงนั้นบ้างเหรอก่อนลงนามกัน.. เหมือนกับว่าฉันทามติของเกือบทุกประเทศ มันพลาดเรื่องใหญ่ของ จขกท. ว่ามา คือ ข้อมูลแค่พื้นที่ตรงนั้น มันสามารถเป็นข้อมูลตัวแทนของทุกพื้นที่ในโลกด้วยหรือฮะ ? - ลืมถามไป.. แล้วเรื่องกระแสน้ำอุ่น - เย็นในทะเล ข้อมูลตรงนี้ท่านใดพอจะอธิบายได้บ้างมั้ยฮะว่า .. มันสามารถกลายเป็นวิกฤติอย่างที่บางแหล่งข้อมูลว่าไว้ได้หรือป่าว? คือ ถ้ามันจู่ๆ มันไหล หรือถ่ายเทอุณหภูมิผิดไปจากเดิม หรือหยุดไปดื้อๆ อย่างนั้นมันน่ากลัวกว่ามั้ยฮะ.. แล้วมันเป็นไปตามวัฏจักรธรรมชาติจริงๆ หรือปล่าว..? (ก็เห็นว่าจขกท. เอาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในอดีตมาให้ดู ก็เลยถือโอกาสรบกวนให้ช่วยอธิบายลึกอีกนิดนึง ว่าไอ้ตอนที่เกิดช่วงอุ่น - เย็นสลับกันตามธรรมชาติอย่างที่ว่า ข้อมูลของกระแสน้ำ หรืออุณหภูมิน้ำในทะเลเค้ามีมาว่าไงบ้างฮะ.. มีผลมากน้อยแค่ไหนต่อการเกิดยุคต่างๆ ด้วย... ท่านอื่นที่รู้ตอบก็ได้นะฮะ ข้าเจ้าจะได้เพิ่มความรู้ไปในตัวด้วย ขอบคุณล่วงหน้าเลยฮะ) .....ส่วนตัวแล้ว... ไม่ว่ามันจะเป็นไปตามวัฏจักรธรรมชาติจริงๆ หรือไม่ เราก็ไม่น่าจะปฏิเสธได้ว่า กิจกรรมของมนุษย์ไม่มีส่วนในความผันแปรนี้ด้วย แต่จะมากน้อยมันก็อีกเรื่องนึง . .. ถ้าสมมติฐานเรื่องว่ามันก็เกิดสลับไปๆ มาๆ เป็นเรื่องจริง อีกเดี๋ยวมันก็กลับมาเย็น ไม่จำเป็นต้องไปตื่นตูมมากนัก....เราจะไปเพิ่มในส่วนที่เป็นแนวโน้มผลร้ายของปรากฏการณ์โลกร้อนกันทำไมล่ะฮะ... ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องถกเถียงทางวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนา หรือนโยบายห้ำหั่นทางการเมือง.. เราไม่มาช่วยกันคิดทำให้โลกมันดีกว่านี้เหรอฮะ.. ดีกว่าคิดว่า "ใครคิดผิด ใครคิดถูก" จากคุณ : _K_F_C_ - [ 14 มี.ค. 50 01:52:09 ]

ความคิดเห็นที่ 94 อ้อ... เกือบลืม ข้าเจ้าเคยเรียนจากอาจารย์ท่านนึง ท่านสอนเกี่ยวกับ Polution ... ท่านว่า ไม่เคยมีคำว่า "มลภาวะ" อะฮะ.. มีแต่คำว่า "มลพิษ" และก็ "ภาวะมลพิษ" ใครเขียนตอบไปในข้อสอบเจอหักคะแนนด้วย.. ( อิอิ อันนี้ข้าเจ้าแซวเล่นๆ ฮะ ไม่ซีเรียส ) จากคุณ : _K_F_C_ - [ 14 มี.ค. 50 01:56:18 ]

ความคิดเห็นที่ 95 คห 59 อ่านไม่ครบอ่านใหม่ครับ เห็นด้วยครับที่ไม่ควรปัดความรับผิดชอบ แต่ไม่เห็นด้วยที่คุณอ่านไม่ครบแล้ววิจารณ์ จขกท เสียๆหายๆไร้ความรับผิดชอบ หากคุณคิดว่าทุกคนควรรับผิดชอบเรื่องการปล่อย co2 ผมว่าควรเริ่มต้นด้วยการรับผิดชอบคำพูดเสียๆหายๆของคุณที่อ่านข้อมูลไม่ครบถ้วนก่อน คห 65 เช่นเดียวกัน อ่านไม่ครบถ้วน จขกท ไม่ได้สรุปว่า co2 ไม่มีผล แต่สรุปได้ความว่า ระดับ co2ที่มีตอนนี้เทียบก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ปัจจุบันน้อยกว่ามาก ซึ่งผมไม่ขอตอบว่าทำไมก่อนหน้านี้จึงมี co2 มากกว่าปัจจุบันได้ แต่ขอตอบว่า ก่อนหน้านี้สิ่งมีชีวิตยังดำรงอยู่ได้ นั่นหมายถึงข้อสรุปว่า co2ต่อให้เพิ่มกว่านี้ ก็ไม่ทำให้มนุษย์ตาย แต่ไม่ได้หมายถึงว่า เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการปล่อย co2 มองด้วยใจเป็นกลางครับ คห 70 เช่นกัน อ่านไม่ครบถ้วน อัตรการได้รับแสง ไม่ได้เท่ากันทุกปี หากข้อมูลดาราศาตร์เป็นจริง ซึ่ง จขกท เคยพูดไปแล้ว และผลที่เกิดขึ้นตามที่คุณอ้าง ถ้าคุณอ่านดีๆ จขกท ก็สรุปให้หมดแล้ว แล้วชี้ปัญหาที่น่าจะแก้ก่อน-หลังแล้ว คห 79 เช่นกัน ข้อมูลรวมถึงรูป จขกท ให้ไว้หมดแล้วทั้งสิ้น ส่วนรูป ถ้าผมแปลไม่ผิดไม่ใช่อุณหภูมิโลกแต่เป็นปริมาร co2 ซึ่ง จขกท ให้ไว้ก็ตรงกันคือ 370 ppm โดยประมาณ  co2มากขึ้นก็จริงตามที่คุณอ้าง ซึ่ง จขกท ก็ได้ให้ข้อมูลไว้ครบถ้วนแล้วว่าหลักฐานทางประวัติศาตร์และอื่นๆ บ่งชี้ว่า อดีต โลกเคยมี co2 มากกว่านี้10เท่า คือ 3700 ppm ถ้าข้อมูล จขกท ไม่ผิด เรื่องที่คุณสรุปก็ยังไม่ถูกต้องนักทีเดียว คห 90 ผมรอคุณมาให้ข้อมูล bias ที่ลบล้าง จขกท ได้อยู่นะ เพราะเท่าที่อ่านมา จขกท ลบล้างข้อมูลของคุณได้จนผมแทบจะบอกว่าหมดสิ้นทุกข้อสงสัยของผมแล้ว จากเดิมที่ผมเคยเชื่อตามข้อมุลของฝ่ายโลกร้อนมาตลอด และคุณน่าจะให้ความเป็นกลางด้วยก็ดี ผมเห็นได้ชัดว่าทั้ง2ฝ่าย(ไม่ได้หมายถึงคุณกับ จขกท แต่หมายถึงนักวิทย์ฯทั้ง2ฝ่าย)ที่กล่าวอ้างล้วนแฝงไปด้วยผลประโยชน์ไม่มากก็น้อยทั้งนั้น ถ้าผมต้องการแค่ข้อเท็จจริง โดยไม่มีการ discredit จขกท ได้จะเป็นพระคุณอย่างสูง คห 93 ผมอ่านแล้วงงนิดๆ จขกท เค้าบอกว่า Heat Island ทำให้เรารู้สึกร้อนขึ้นหลายองศา ในขณะที่ co2 กับปรากฏการณ์เรือนกระจก ให้ผลแค่ 0.6องศา Heat Island ไม่ได้ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น หากแต่ทำให้อุณหภูมิของผิวโลกสูงขึ้น หรือจะเรียกว่า surface warming จขกท ไม่ได้บอกว่าจะแก้กันแค่ Heat island แต่ควรเริ่มจาก ตรงนี้เพราะผลมันกระทบมากสุด เรื่องของโอโซน นั้น คห93คงอ่านยังไม่ครบ จขกท มีอธิบายไว้หมดแล้ว ว่า อเมริกา เห็นชอบด้วย แต่นั่นเป็นเรื่องของ การเมืองซึ่งรวมถึงที่คุณถามด้วยวเรื่อง ฉันทามติฯ..ผมงดออกความเห็นละกัน แต่อยากให้ทราบว่า เรื่องโอโซนข้อนี้ทั่วโลกเห็นด้วยกับคุณแล้วด้วยการลดใช้สารประเภท CFC เรื่องกระแสน้ำ อ่านได้ใน link ด้านล่าง จขกท postอธิบายไว้นานแล้ว *สมมติฐานและการตอบของผมตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ข้อมูลของ จขกท นั่นเป็นข้อเท็จจริง มิใช่มั่วมานะ ถ้าใครจะหักล้างขอ ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือ link แทนจะดีกว่า ** สำหรับ คห ที่ผมอ้างว่าอ่านไม่ครบถ้วน รบกวนอ่าน link นี้ให้จบก่อนนะครับ ข้อมูลในนั้นค่อนข้างครบถ้วนจริงๆแล้วเป็นเรื่องที่ จขกท เคยpostมาแล้ว http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3721530/X3721530.html ส่วนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวที่อ่านแล้วอาจทำให้ผมเป็นเครื่องมือของฝ่ายค้านไปเลย^^" เนื่องจากผมเคยมีข้อมูลจากฝ่ายโลกร้อนเพียงอย่างเดียวมาตลอด จากข้อมูลที่ได้รับมาและความเข้าใจของผมตอนนี้เชื่อว่าตราบเท่าที่มนุษย์ยังไม่สามารถเอาชนะภัยธรรมชาติได้ น้ำท่วม ไฟป่า แผ่นดินไหว ฯลฯ มนุษย์ยังไม่มีความสามารถทำลายโลกได้โดยไม่ตั้งใจ (หากตั้งใจผมเชื่อว่าทำได้ ^^") ผลที่กระทำของมนุษย์อาจทำให้ อารยธรรมล่มสลายแต่ไม่อาจทำให้โลกพินาศ เพราะฉะนั้นปัญหาใดๆที่ควรเร่งด่วนก็ควรเร่งด่วน อันไหนควรทำก็ควรทำก่อน สรุปเห็นด้วยกับ จขกท ที่ควรเร่งแก้ปัญหา Heat Island ก่อน แต่ไม่ควรแก้ที่ปลายเหตุเพียงอย่างเดียว เช่น ตึกสีขาว เป็นต้น มันไม่ค่อย make sense เท่าไหร่ เลยรวมไปว่าน่าจะลดอะไรก็ตามที่เพิ่มความร้อนผิวโลกไปด้วยเลยรวมไปถึง co2ด้วยในคราวเดียว ...(โลภไปไหมนะ ^^") ก็อยากให้เข้าใจ จขกท ใหม่นะครับ จขกท และผมอย่างน้อยคนนึงที่คิดว่าควรลดco2แต่ควรให้ข้อเท็จจริงปรากฏด้วย ผมไม่อยากถูกสวมเขา จากคุณ : zeralf - [ 14 มี.ค. 50 11:07:53 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณครับ น่าสนใจทีเดียว จากคุณ : ood2282 - [ 14 มี.ค. 50 11:48:05 ]

ความคิดเห็นที่ 97 โลกร้อน เรื่องเล็ก... โลกเล็ก เรื่องใหญ่...... จากคุณ : Death_Sentence - [ 14 มี.ค. 50 15:12:16 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ขอบคุณมากนะคะ สำหรับกระทู้ดีๆ อ่านไปอ่านมานึกถึงหนังเรื่อง An Inconvenientruth เลย  ^^ จากคุณ : a r i t s u m e m o o n - [ 14 มี.ค. 50 17:22:59 ]

ความคิดเห็นที่ 99 #95 "คห 70 เช่นกัน อ่านไม่ครบถ้วน อัตราการได้รับแสง ไม่ได้เท่ากันทุกปี" - เกือบเท่ากันครับ ต่างกันน้อย อย่างกรุงเทพ ประมาณ 17+-3 MJ/m^2 และสาเหตุที่ไม่เท่า ก็เพราะฝนตกไม่เท่ากันทุกปี ซึ่งมีผลมากต่อเครื่องมือวัดแสง(pyranometer) แต่การส่องแสงของดวงอาทิตย์ และวงโคจรของโลกอาจถือว่าไม่เปลี่ยนก็ได้ . . http://ozone.tmd.go.th/annual%20solar.htm แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 17:35:54 จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 14 มี.ค. 50 17:26:14 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ขอบคุณมากค่ะ ได้ประโยชน์มากเลย ^^ จากคุณ : printcess of the moon - [ 14 มี.ค. 50 17:44:32 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ที่จริง ผมกลัวอากาศเป็นพิษมากกว่า เช่น ที่ชาวเชียงใหม่กำลังอ่วมอรทัยในขณะนี้ อีกประการหนึ่งคือ ความวิปริตของสภาพอากาศ ที่ซึ่งเคยร้อนกลับหนาว ที่ซึ่งเคยหนาวกลับร้อน ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล - - กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศ ปริมาณความร้อนไม่สามารถเข้าสู่สมดุลย์ (equilibrium) ได้อย่างทั่วถึง เกิดจุด extreame ขึ้นหลายจุด จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 14 มี.ค. 50 17:56:11 ]

ความคิดเห็นที่ 102 - ขอบคุณ #95 ที่เอาลิ้งเก่าที่ข้าเจ้าพลาดไม่ได้ดูมาอุดรูรั่วในความรู้ข้าเจ้า รวมทั้งข้อติติงที่ว่ามาด้วยฮะ.. เพราะข้าเจ้าออกตัวไว้แล้วว่าอ่านเฉพาะที่อยู่ในกระทู้นี้รวมกับที่ข้าเจ้ามีอยู่เดิม ยังไม่รวมพวกที่ต้องไปวิ่งหามาเพิ่มจริงๆ (ไม่มีแรงลงไปค้นกระทู้เก่าๆ เลยต้องขอแรงบางท่านที่ทราบนำมาแปะช่วยข้าเจ้าด้วย) - ที่ข้าเจ้าขอแจมถกเรื่องนี้ด้วย ไม่ได้มาค้านเรื่องที่ จขกท. นำเสนอว่ามันผิด เพียงแต่โดยส่วนตัวกำลังคิดว่า ถ้าภาวะโลกร้อนมันมีสาเหตุรวมไปถึงรูโอโซนด้วย ข้าเจ้าก็อยากทราบว่าอันนั้นมันเป็นผลกระทบที่น่าแก้เป็นการเร่งด่วนกว่ามั้ย... เพราะถึงแม้มันมีคาบวัฏจักรการเกิดสลับร้อน - เย็นอย่างที่ว่า.. มันก็ไม่อาจจะยังไม่ถึงขั้นทำให้พวกเราอยู่กันไม่ได้... แต่กิจกรรมบางอย่างของมนุษย์ มันกลายไปเป็นเหมือนเร่งให้มันรุ่นแรงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการขยายตัวของรูโอโซนที่ว่า ...ข้าเจ้ากลัวตรงนี้มากกว่าเกาะร้อนซะอีก.. - CO หรือ CO2 แทบจะไม่ได้ทำให้ข้าเจ้ากลัวว่ามันจะเป็นสาเหตุทำให้โลกร้อนเลยฮะ... ส่วนตัวตั้งแต่เคยได้รับรู้เรื่องราวความผิดปกติของธรรมชาติมา ข้าเจ้าเอามันไว้อันดับ 3 อันดับ 4 เลยอะ.. กลับไปสนใจเรื่อง CFC หรือ พวกฝนกรด รังสีอันตรายที่หลุดชั้นบรรยากาศเข้ามาได้มากกว่าอีก... เพียงแต่ตอนแรกที่เห็นกระทู้จั่วหัวภาวะโลกร้อน ข้าเจ้าก็ลองเข้ามาดูว่าเดี๋ยวนี้มีข้อมูลคืบหน้าเรื่องอะไรบ้าง... ส่วนตัวคิดเหมือนหลายๆ ท่านอยู่แล้วเรื่อง CO กับ CO2 มันเป็นไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว ถึงมนุษย์จะทำเพิ่ม ก็กระทบต่ออุณหภูมิเฉลี่ยน้อยมาก.. แต่ข้าเจ้าก็รู้สึกว่านั่นไม่ควรเป็นสามารถให้วางใจได้เลย เพียงแต่โลกร้อนข้าเจ้าไม่ได้มาเพ่งอยู่กับเรื่องเกาะร้อน วัฏจักร หรือเรือนกระจกเป็นหลัก แต่สนใจเรื่องรูโอโซนมากกว่า เพราะพอลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว มันอาจจะเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ส่งผลกระทบได้เร็วมากกว่า ทีนี้ ข้าเจ้าก็เลยมานั่งนึกๆ ว่าอะไรเป็นสาเหตุได้บ้าง... ok ฮะ ตามลิงค์ที่เอามาแปะให้ดูแล้ว ก็เข้าใจเรื่องนโยบายการเมืองมากขึ้น.. ก็เคยคิดไว้อยู่แล้วว่ามันก็แปลกๆ ที่อเมริกากับออสซี่ไม่ยอมลงนามด้วย... หากแต่ว่าข้าเจ้าไม่ค่อยจะแคร์เรื่องอากาศในเมืองมันจะร้อนจนต้องดิ้นเป็นเจ้าเข้ามากกว่าที่จู่ๆ น้ำมันท่วมมากผิดปกติในหลายๆ พื้นที่ของโลก หรือมรสุมอากาศที่นับวันมันจะผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงมากขึ้น ผิดที่มากขึ้น... ข้าเจ้าว่าเรื่องพวกนี้น่าสนใจกว่าภาวะ CO ซะอีก.. เพราะถึงจะลดอุณหภูมิในตัวเมืองแล้วไงฮะ... น้ำแข็งขั้วโลกก็ยังละลายอยู่ดี... - ข้าเจ้าเพียงแต่เห็นว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นมาค้านกันไปมามากกว่าหาวิธีแก้อะฮะ.. แต่ถ้าข้าเจ้าตามกระทู้นี้จากความคิดเห็นหลายๆ ท่านไม่ทัน (เพราะไม่ใช่ขาประจำที่นี่) ก็ขออภัยด้วยฮะ... เห็นมางัดกันแค่เรื่องว่ามันใช่หรือไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้โลกร้อนกัน ก็กลัวว่ามันจะเป็นการส่องแว่นขยายผิดจุดป่าว.. โลกเราไม่ได้กำลังแย่เพราะตัวมันเองมีการเปลี่ยนแปลงตามอายุขัยอย่างเดียวแล้วนิ.. จากคุณ : _K_F_C_ - [ 14 มี.ค. 50 18:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 103 คุณอีคิวฯครับ พลังงานจากดวงอาทิตย์ไม่คงที่ครับ และเป็น patern ที่ซับซ้อนจากหลายอนุกรมผสมผสานกัน คาบที่รู้จักดีคือ Schwabe cycle ที่ดวงอาทิตย์จะร้อนสลับเย็นเป็นคาบ 11 ปี ความแตกต่างของพลังงานระหว่างปีที่ร้อนสุดกับเย็นสุด จะต่างกัน 0.1% มีความสัมพันธ์กับจุดดับในดวงอาทิตย์ สาเหตุมาจากสนามแม่เหล็กภายใน เกิดการสลับขั้วทุก 11 ปี (ดังนั้นคาบที่แท้จริงๆคือ 22 ปีเรียกว่า Hale cycle) กราฟแสดงความผันแปรของพลังงาน แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 19:46:53 จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 19:43:10 ]

ความคิดเห็นที่ 104 และคาบ Hale cycle ยังมีการแปรผันเชิงซ้อน จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 19:51:08 ]

ความคิดเห็นที่ 105 เนื่องจากความผันแปร เกิดจากสนามแม่เหล็ก ซึ่งสัมพันธ์กับจำนวนจุดดับ Activity ของดวงอาทิตย์ในอดีต จึงคำนวณได้จากจำนวนจุดดับ และไอโซโทปที่เกิดจากรังสีจากดวงอาทิตย์ เช่น C14 กราฟแสดงจำนวนจุดดับย้อนหลัง 400 ปี จะเห็นว่าในช่วง Little ice Age จุดดับในดวงอาทิตย์ลดน้อย โดยเฉพาะในช่วง Mauder minimum ที่หนาวมากที่สุด จุดดับแทบจะหายไปเลย แสดงว่าในช่วงดังกล่าวดวงอาทิตย์มี activity น้อยกว่าปกติ ซี่งหลายคนเชื่อว่า ความเกียจคร้านของดวงอาทิตย์ คือสาเหตุของความหนาวเย็นในช่วง LIA ถัดมาคือ Dalton minimum ระลอกสุดท้ายของ LIA ดวงอาทิตย์ก็มีจุดดับน้อยเช่นกัน และพอถึงปัจจุบันจะพบว่าจำนวนจุดดับเพิ่มสูง แสดงว่าดวงอาทิตย์กำลังขยันมาก ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของสภาวะโลกร้อนที่เกิดในขณะนี้ แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 20:11:10 จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 20:05:55 ]

ความคิดเห็นที่ 106 อ่านแล้วสงสัยครับ คือดู Incon.. มาแล้ว ในสารคดีเรื่องนั้น ในประเด็นที่ว่า ภาวะร้อนขึ้น และเย็นลงนั้นเป็นวัฎจักรปกติ ในหนังนั้น อัล กอร์ บอกว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถรู้อุณหภูมิ และ CO2 ของปีต่างๆ ในอดีตได้ ด้วยการวิเคราะห์จากการขุดลงไปในน้ำแข็งขั้วโลก (คล้ายๆกับการนับวงปีของต้นไม้) ซึ่งกราฟนี้จะดู CO2 / อุณหภูมิย้อนหลังไปได้ถึง 650000 ปี ซึ่ง จากกราฟ 650000 ปีที่ผ่านมานั้น กราฟแสดงการขึ้นลงของ CO2 / อุณหภูมิ เป็นวัฎจักรจริง โดย CO2 และ อุณหภูมินั้น จะขึ้นลงเป็น pattern แบบเดียวกัน แต่ในช่วงสุดท้ายของกราฟ ช่วงร้อยปีนี้ กราฟของ CO2 ขึ้นสูงเกินกว่า 650000 ปีที่ผ่านมา แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 20:17:00 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 20:13:21 จากคุณ : tgih - [ 14 มี.ค. 50 20:07:48 ]

ความคิดเห็นที่ 107 และเมื่อมองพลังงานดวงอาทิตย์ยาวไกลออกไปเป็นหลายพันปี โดยคำนวณจาก isotope ที่เกิดจากรังสี จากดวงอาทิตย์ พลังงานที่ว่าต่างกัน 0.1% ในช่วง ร้อนสุด-เย็นสุด ของ Schwabe cycle เมื่อรวมกับ cycle อื่น เป็นคาบเชิงซ้อน อาจจะต่างกันได้มากถึง 0.5% หรือกว่านั้น ซึ่งเชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อภูมิอากาศอย่างใหญ่หลวง อนึ่ง ผมไม่คอยทราบเรื่องดาราศาสตร์มากนัก ขอเชิญอ่านเพิ่มเติมจากhttp://en.wikipedia.org/wiki/Solar_variation แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 20:35:16 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 20:31:24 จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 20:26:43 ]

ความคิดเห็นที่ 108 #106 ความเห็นที่ 41 น่าจะเป็นคำตอบ สิ่งที่คุณสงสัย ก็คือข้อบกพร่องของทฤษฎี AGW ขอให้สังเกตุว่าช่วงระหว่างยุคน้ำแข็งกับยุคอบอุ่น อุณหภูมิต่างกัน 8 C โดยมีค่า CO2 ต่างกัน 80 pp ตอนนี้มนุษย์เผาเชื้อเพลิงแถม CO2 ให้ไปอีก 70 ppm แต่อุณหภูมิเพิ่มจริงๆแค่ 0.5 C (ไม่นับอิทธิพลเกาะร้อน) แล้วจะสรุปได้ไหมว่าที่ร้อนขึ้น 0.5 C คืออิทธิพลของ CO2  70 ppm อย่าลืมว่าดวงอาทิตย์ในขณะนี้ ร้อนกว่ายุค LIA มากพอดู อุณหภูมิที่เพิ่ม 0.5 C อาจจะเป็นอิทธิพลของดวงอาทิตย์ก็ได้ แล้ว CO2  70 ppm ไม่มีผลเลยหรือ อาจจะเป็นเพราะ CO2  370 ppm ยังคงเจือจางเกินไป เหมือน "สารหนู" ที่รุ้กันว่าเป็นยาพิษร้ายแรง แต่สารหนูจะทำให้คนป่วยได้ ต้องมีความเข้มข้นอย่างต่ำ 100 ppm ถ้าเรารู้ว่าในอ่างเก็บน้ำที่ทำน้ำประปา มีสารหนูละลายอยู่ 10 ppm แล้วมีคนทำสารหนูหกลงไปในอ่างเก็บน้ำ ทำให้เป็นเข้มข้นเป็น 20 ppm คนที่ดื่มหรือใช้น้ำได้ไม่เป็นอะไรเลย เพราะยาพิษน้อยเกินกว่าจะเห็นผล การเพิ่ม CO2 ในบรรยากาศก็เหมือนกัน บางที CO2  370 ppm อาจจะยังน้อยเกินกว่าจะเห็นผลกระทบต่อบรรยากาศ แต่เรื่องมันยากตรงที่ไม่รู้แน่ชัดว่าความเข้มข้นเท่าใดจึงจะเป็นอันตรายต่อโลก ชาวโลกร้อนอาจจะคิดว่าโลกร้อน 0.5 C มาจาก CO2 (ดวงอาทิตย์ไม่มีผลเลย) จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 21:12:38 ]

ความคิดเห็นที่ 109 คุณ zeralf ขอบคุณมาก คุณ _K_F_C มลภาวะ หมายถึงสภาวะที่มีสิ่งเจือปน โดยที่สิ่งนั้นอาจจะไม่ได้เป็นพิษ อาจจะไม่มีอันตราย แต่เราไม่ชอบให้มีการปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอมนั้น จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 21:19:29 ]

ความคิดเห็นที่ 110 #95 ไปตามอ่าน link ที่ผมให้มานั่นแหละ อ่านให้ครบแล้วก็จะเข้าใจเอง ผมไม่ได้ discredit จขกท. แต่พยายามแสดงให้เห็นอีกด้านว่า จขกท.พยายามชี้ว่าการโปรโมทเรื่องโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์เป็นเรื่อง politics แต่จริงๆแล้วการค้านทฤษฎีนี้ก็เป็นเรื่อง politics เหมือนกัน #108 WHO แนะนำว่าปริมาณ arsenic ในน้ำดื่มไม่ควรเกิน 0.01 ppm ไม่ใช่ 100 จากคุณ : ม้าหงอย - [ 14 มี.ค. 50 21:50:12 ]

ความคิดเห็นที่ 111 Urban heat island effects were determined to have neglible influence (less than 0.0006 °C per decade over land and zero over oceans) effect on these measurements. เนื้อหามันเยอะมาก ไปอ่านกันเอาเอง หรือถ้าขี้เกียจอ่าน จะเชื่อจขกท.ก็ตามใจครับ http://en.wikipedia.org/wiki/IPCC_Fourth_Assessment_Report จากคุณ : ม้าหงอย - [ 14 มี.ค. 50 22:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 112 "ชาวโลกร้อนอาจจะคิดว่าโลกร้อน 0.5 C มาจาก CO2 (ดวงอาทิตย์ไม่มีผลเลย)" นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการบิดเบือนข้อมูล (เช่นเดียวกับการบิดเบือนข้อมูลเรื่อง heat island) ถ้าคนที่ไม่เคยอ่านผลการศึกษาอาจจะเชื่อ แต่จริงๆแล้วมีการศึกษาผลของ solar radiation ไว้ด้วย http://en.wikipedia.org/wiki/IPCC_Fourth_Assessment_Report#Factors_that_warm_or_cool_the_planet จากคุณ : ม้าหงอย - [ 14 มี.ค. 50 22:15:30 ]

ความคิดเห็นที่ 113 โลกร้อน เรื่องเล็ก ระดับน้ำทะเลกลับไปเป็นเหมือนก่อน เรื่องเล็ก เพราะคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อาจไม่มีอายุยืนจนถึงวันที่เห็น "เรื่องเล็ก" เหล่านี้ เสียดาย ไม่มีไทม์แมชชีน เลยย้อนกลับไปสัมภาษณ์คนที่กรีนแลนด์ในยุคนั้นไม่ได้ ว่าสภาพภูมิอากาศที่เขาเจอจนถึงขั้นอาณานิคมล่มสลาย เป็นเรื่องเล็กหรือเปล่า . หมดเวลาเถียงกันว่าโลกร้อนเป็นเรื่องของธรรมชาติหรือมนุษย์ เอาเวลาไปรับมือกับ "เรื่องเล็ก" ที่กำลังจะเกิดขึ้นดีกว่า จากคุณ : Conservative_Progressive - [ 14 มี.ค. 50 22:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 114 #110 ในกระทู้นั้น ผมได้แสดงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ที่มีน้ำหนักหักล้างทฤษฎี AGW สภานการณ์โดยรวมของกระทู้นั้น สิ่งที่ผมนำเสนอได้เปรียบในเชิงวิชาการ แต่มีคนแย้งว่า แล้วทำไมรัฐบาลของประเทศต่างๆจึงเชื่อถือและยอมลงนามในสัญญาเกียวโต ผมได้ให้เหตุผลว่า การเลือกลงนามน่าจะเป็นเรื่องของการเมืองและผลประโยชน์ ประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่รู้ว่าสหรัฐจะกระทบหนักจนแทบเป็นอัมพาธ และคิดว่าตนเองจะปรับตัวได้ไม่ยาก ก็ยอมลงนามเพื่อที่จะได้ก้าวขึ้นมาแทนที่สหรัฐ ประเทศที่กำลังพัฒนาเห็นโอกาสที่จะขายสิทธิ CO2 emission หรือมิฉะนั้นก็คาดว่าจะมีโรงงานย้ายเข้าไปตั้ง เพื่อขออาศัยสิทธิผ่อนผัน เมื่อมีแต่ได้กับได้ แล้วทำไมจะไม่ยอมลงนาม ก็ใช่ตามที่คุณม้าหงอยว่า การค้านทฤษฎก็เป็นเรื่องของการรักษาผลประโยชน์เช่นกัน แต่สูตรสำเร็จของชาวโลกร้อนในต่างประเทศ คือเมื่อเถียงด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ จะใช้วิธีดิสเครดิตว่าฝ่ายที่ค้านเป็นเพราะจะเสียประโยชน์จากสัญญาเกียวโต แล้วก็จะผูกตรรกะในทำนองว่า สิ่งที่นำเสนออาจจะเป็นเรื่องโกหกเพื่อรักษาผลประโยชน์ เป็นการตัดบท ทำนองว่าไม่ควรเชื่อเหตุผลโต้แย้ง (ที่ชาวโลกร้อนตอบไม่ได้) ส่วนฝ่ายค้านนั้น ก็ไม่ยอมถูกกล่าวหาข้างเดียว สวนกลับด้วยข้อหาว่า ชาวโลกร้อนตุกติกฉ้อฉลในเชิงวิชาการ เพื่อหาทางรวบรัดให้ชาวโลกเชื่อ จากการศึกษา ผมเชื่อข้อมูลของฝ่ายค้าน มากกว่า และเมื่อได้พิจารณาข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย ผมเชื่อว่าชาวโลกร้อนมีเจตนาตุกติกเจืออยู่จริง อาจจะเป็นด้วยความหวังดี คิดว่าการ "โกหกสีขาว" เพื่อประโยชน์ในเชิงอนุรักษ์ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 23:17:54 จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 22:31:26 ]

ความคิดเห็นที่ 115 คุณ คห. 95 นี่แปลกดี เอาการแสดงความเห็นของผมไปเปรียบในระนาบเดียวกับการรับผิดชอบต่อ Global Warming เฉยเลย ตรรกะแปลกๆนะ แล้วผมไม่ได้ต่อว่าคุณกะลามะชน แต่ผมอ้างอิงถึงลิ้งเดิมที่ว่าอเมริกันไม่ลงนามสัญญาเกียวโตเพราะบอกว่าโลกไม่ได้ร้อนเพราะมนุษย์ ที่ว่าเอาทฤษฎีนี้มาปัดความรับผิดชอบก็คืออเมริกา และคนอื่นๆที่หาผลประโยชน์จากการหักล้างเรื่องโลกร้อน เพื่อสูบเพื่อเผาพลังงานกันโดยไม่ยั้งคิดต่อไป ถ้าคุณอยากจะรับข้อหานี้ก็ไม่เป็นไรครับ ผมยอมเป็นพวกอ่านไม่ครบเองก็ได้ คุณจะได้เอาไปเปรียบแบบแปลกๆอย่างนี้ได้ต่อไง "หากคุณคิดว่าทุกคนควรรับผิดชอบเรื่องการปล่อย co2 ผมว่าควรเริ่มต้นด้วยการรับผิดชอบคำพูดเสียๆหายๆของคุณที่อ่านข้อมูลไม่ครบถ้วนก่อน" พิจารณาดูละกัน จากคุณ : ฟ (อัศวินม้าเขียว) - [ 14 มี.ค. 50 22:33:20 ]

ความคิดเห็นที่ 116 # 111 UHI จะมีผลแค่ 0.0006 C ต่อทศวรรษ อย่างที่คุณม้าหงอยอ้างอิงอย่างนั้นหรือ ผมเชื่อว่าชาวกรุงเทพฯที่มีอายุสักหน่อยจะค้านทุกคน อีกเหตุผล ภาวะโลกร้อนตามประกาศของ IPCC อยู่ที่ 0.6 C เท่านั้นเอง แล้วความร้อนที่ชาวกรุงเทพรู้สึกร้อนตับแลบ ถ้าไม่ใช่ UHI แล้วจะเป็นอะไร #112 ชาวโลกร้อนคิดค่า Solar intensity จริง แต่พอเอาเข้าสมการคำนวณแล้ว เกือบจะไม่มีผล เพราะในแบบจำลอง เขาให้น้ำหนักผลกระทบของ CO2 สูงเกินไป ซึ่งนั่นก็เป็น basis ของทฤษฎี AGW แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 23:12:26 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 23:11:32 จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 22:44:50 ]

ความคิดเห็นที่ 117 #113 มาแล้ว.. คำถามที่ผมอยากจะได้ยิน โลกร้อนเป็นเรื่องของธรรมชาติ เรากำลังหลงประเด็น คิดว่าถ้าหยุดการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ก็จะหยุดโลกร้อนได้ เราน่าจะยอมรับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ยอมรับว่าโลกอาจจะร้อนขึ้นไปอีก ถ้าโลกร้อนพอที่จะกลับไปทำฟาร์มที่กรีนแลนด์อีกครั้ง น้ำท่วมโลกแน่ ลองดูแผนที่สมัย ทวาราวดี ดู โครงการสร้างเขื่อนยักษ์สูง 6 เมตร ยาว 1500 ไมล์ เพื่อปิดกั้นชายฝั่งแบบเนเธอร์แลนด์ อาจจะเป็นคำตอบ จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 22:52:58 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ถ้าใครเชื่อว่าน้ำมันใกล้จะหมดโลก ในอนาคตอันใกล้ ก็ควรเลิกกังวลเรื่องโลกร้อน ควรทราบว่า มหันตภัยโลกร้อน ในแบบจำลองของ IPCC คำนวณผลกระทบการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในอัตราก้าวหน้า และตั้งเงื่อนไขสมมติว่า โลกมีเชื้อเพลิงฟอสซิลให้ใช้ได้ ไม่จำกัด มนุษย์ขุดขึ้นมาใช้ได้มากเท่าที่ต้องการ ไม่รู้จักหมดสิ้น ตามแบบจำลอง สภานะการณ์โลกร้อน จะไปถึงจุดที่เป็นหายนะ ประมาณปลายศตวรรษที่ 21 นี้ ตอนนี้เป็นทราบกันทั่วว่า น้ำมันแพงขึ้นมาก และมีแนวโน้มจะขาดแคลน มีคนจำนวนมากที่เชื่อว่า น้ำมันจะมีพอใช้ต่อไปอีกแค่ 40 ปีเท่านั้น และการผลิตน้ำมัน จะขึ้นถึงจุดสูงสุดในอีกไม่ถึงสิบปีข้างหน้า (อย่างเร็ว 2008 อย่างกลาง 2012 อย่างช้า 2016) หลังจากนั้นการผลิตน้ำมันจะค่อยๆลดลงตามลำดับ ถ้าการผลิตน้ำมัน มาถึงจุดสูงสุด เร็วกว่าที่คาดการณ์กันไว้หลายสิบปี ปริมาณ CO2 emission ก็จะหายไปจากสมมติฐานของแบบจำลองมากโข กลุ่มคนที่ศึกษาวิกฤตการณ์พลังงาน ที่เชื่อว่าน้ำมันใกล้จะหมดโลก คือ ASPO (Association for the Study of Peak Oil and Gas) นำโดย Anders Sivertsson ได้นำข้อมูล เกี่ยวกับสถานการณ์การใช้พลังงานในอนาคต ไปใช้แทนที่เงื่อนไขสมมติ ในแบบจำลองสภาวะโลกร้อนของ IPCC เพื่อหาว่าผลกระทบ ในแบบจำลองโลกร้อนจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ปรากฏว่ามหันตภัย โลกร้อน ไปไม่ถึงดวงดาว เพราะโลกมีเชื้อเพลิงฟอสซิลที่จะนำขึ้นมาใช้ได้ในทางปฏิบัติ เหลืออยู่ไม่มากพอ ที่จะทำให้โลกหายนะได้ ดังนั้น.. ถ้าใครเชื่อว่าน้ำมันใกล้จะหมดโลกแล้ว.. ก็ควรเลิกกังวลถึงสภาวะโลกร้อน แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 19:14:14 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 23:39:00 จากคุณ : กาลามะชน - [ 14 มี.ค. 50 23:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 119 นี่เป็นอีกเวปที่มีข้อมูลหักล้างดีๆอยู่เยอะ http://www.realclimate.org/ จากคุณ : ม้าหงอย - [ 15 มี.ค. 50 00:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 120 #116 นี่แสดงว่าคุณไม่เข้าใจการศึกษาเรื่อง climate change ผลที่เค้าบอกนี่เป็นผลต่ออุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ไม่ใช่แค่อุณหภูมิในกรุงเทพฯหรือเมืองใหญ่ๆ จากคุณ : ม้าหงอย - [ 15 มี.ค. 50 00:05:49 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ยังไงก็เถอะนะ ผมว่าโลกร้อนน่ะก็เรื่องใหญ่นะครับ แค่ทุกวันนี้ก็แย่กันแล้ว จากคุณ : Skalidis - [ 15 มี.ค. 50 02:41:13 ]

ความคิดเห็นที่ 122 คห 115 ขอโทษด้วยครับที่เข้าใจผิด ผมคิดไปเองว่าคุณหมายถึง จขกท ขอบคุณ คุณม้าหงอยด้วยครับสำหรับ link ซึ่งผมก็มีข้อสงสัยเช่นเดียวกับ จขกท ที่ว่า 0.0006 องศา c /ทศวรรษ จาก UHI กับ 0.6 องศาc ของ Global warming มันทำให้ผมรู้สึกร้อนกว่าเมื่อ10ปีที่แล้วได้มากถึงขนาดนี้จริงๆหรือเปล่า ส่วนเรื่อง solar intensity ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมครับ ส่วนเรื่อง politic เห็นด้วยครับว่ามันเป็นทั้งสองฝ่าย ในส่วนนี้เป็นคำถามนะครับ คือ ถ้ามอง co2 มีเยอะขึ้นในบรรยากาศ แล้วมันทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้นได้เพราะปรากฏการณ์เรือนกระจก ในทางกลับกันทำไมแสงอาทิตย์ก่อนเข้ามาสู่โลกมันจะไม่สูญหายไปเพราะม่าน co2 กั้นไว้ด้วย %การดูดซับที่ใกล้เคียงกันไหม? ถ้ามันใกล้เคียงกัน หมายความว่าที่เรารู้สึกว่าร้อนขึ้นกว่าก่อนมากมันควรจะเป็นจาก วัฏจักรของโลก หรือไม่ก็ความร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งจุดนี้ทำให้ผมตัดเรื่อง solar intensity ออกไปจากfactor สำคัญ และให้น้ำหนักพอๆกันระหว่าง วัฏจักรโลกกับความร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้นถูกกักไว้ด้วย co2 บนเงื่อนไขที่ว่า co2 370ppm ถือเป็นปริมาณที่มากพอที่ทำให้ AGW สูสีกับ วัฏจักรโลก ผมขอค้างความคิดผมไว้แค่นี้ก่อน อีกเรื่องคือ ในยุคไดโนเสาร์ ผมเคยได้ยินทฤษฏีว่าภูเขาไฟระเบิด หรืออุกกาบาตตกแล้วทำให้กาซจำพวก มีเทน ซัลเฟอร์ ฯลฯ ปกคลุมชั้นบรรยากาศ ลักษณะจะคล้ายกับ ม่าน co2 แต่มันกลับทำให้ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นยุคน้ำแข็งซึ่งเป็นเหตุให้ไดโนเสาร์ที่ปรับตัวไม่ได้สูญพันธุ์ ทำให้ผมเชื่อว่า ถ้าม่านกั้นมันหนามากจริงๆ โลกควรจะหนาวหรือเย็นขึ้นกว่านี้หรือเปล่า? หรือมนุษย์สามารถผลิตความร้อนได้มากกว่าดวงอาทิตย์? ถ้าคิดว่า co2 มากพอ ? สรุปคือถ้าทฤษฏีโลกเป็นน้ำแข็งในสมัยไดโนเสาร์นี้ถูกต้อง ผมเข้าใจว่า มันจะมีจุดสมดุลของมันอยู่ในด้านความร้อนของ co2 ถึงจุดหนึ่งโลกจะได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ลดลงด้วยเช่นกันซึ่งไม่น่าจะทำให้โลกร้อนขึ้นไปเรื่อยๆได้ตามความเข้าใจของผม ถ้ายังร้อนขึ้นอีกผมก็มีความเชื่อว่ามันจะมาจากวัฏจักรโลกที่เดี๋ยวร้อนเดี่ยวเย็นเป็นคาบ มีอะไรจะเพิ่มเติมหรือโต้แย้งก็commentด้วยนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : zeralf - [ 15 มี.ค. 50 09:48:52 ]

ความคิดเห็นที่ 124 .. แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 50 17:50:54 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 50 12:23:05 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 50 11:42:33 จากคุณ : กาลามะชน - [ 15 มี.ค. 50 11:30:54 ]

ความคิดเห็นที่ 125 คห ที่ 123 ผมว่าที่คุณยกมามันไม่เกี่ยวกับกระทู้นะครับ อยากให้เอาประเด็นเรื่องโลกร้อน และสาเหตุ กับการอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์มาลงเพื่อให้เกิดความรู้กันดีกว่าจะมาสนใจว่าคนแต่ละคนเป็นยังไง ถกกันที่ประเด็นของกระทู้ดีกว่าครับ จากคุณ : tgih - [ 15 มี.ค. 50 13:11:30 ]

ความคิดเห็นที่ 126 เอ่อ ... แล้วเราจะแก้ปัญหาตอนนี้ของควันทางภาคเหนือได้ไงดีคะ คือ เห็นว่าหลายๆคนมีความรู้ น่าจะเอามาวิเคราะห์เรื่องใหญ่ใกล้ๆ และเกิดขึ้นจริงๆแล้วได้มั่งอ่ะค่ะ ขอโทษนะคะที่นอกเรื่อง จากคุณ : fat attack - [ 15 มี.ค. 50 15:16:32 ]

ความคิดเห็นที่ 127 #124 กาลามะชน งั้นคุณคงเป็น Neo-liberalism มั้งครับ แหะๆ #113 กาลามะชน คือผมโง๊โง่อะคับ อ่านไปเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ยังสงสัย ที่บอกว่า "ชาวโลกร้อนมีเจตนาตุกติกเจืออยู่จริง อาจจะเป็นด้วยความหวังดี คิดว่าการ "โกหกสีขาว" เพื่อประโยชน์ในเชิงอนุรักษ์ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้" แล้วถ้าสมมติชาวโลกไม่ร้อน ก็มีเจตนาตุกติกเพื่อประโยชน์ในการค้าน้ำมัน ล่ะจะยอมรับได้ไหมครับ เมื่อวานไปเล่นโดดยางกับพี่ ป.3 เขาเล่าว่า ถ้าอเมริกาต้อง tax หรือ ควบคุมบริมมาณ CO2 ตามพิธีสารเกียวโต เศรษฐกิจโดยรวมจะพังแหละ ว้า...แบบนี้แย่เลยนะครับ บริษัทที่โตจากการผูกขาดน้ำมันในอเมริกาต้องไม่ชอบแหงๆ เอ...ชื่อบริษัทอะไรน้า...ผมสมองไม่ดีด้วย ไครจำได้ช่วยตอบทีนะครับ ...ปวดหัวแล้วตอนนี้ ไม่รู้ฝ่ายไหนมีแรงจูงใจ+ผลประโยชน์จากการตุกติกมากว่ากัน "ดูไม่ออกเลย" #123 tgih ลองสนดูซักนิดนะฮะ คุณครูผมบอกว่าเพื่อผลประโยชน์ "เงินมันซื้อได้แม้แต่วิทยาศาสตร์" จากคุณ : เด็กป.2 - [ 15 มี.ค. 50 15:41:04 A:58.136.63.34 X: ]

ความคิดเห็นที่ 128 เวป realclimate.org ที่คุณม้าหงอยแนะนำ เป็นเวปของ Michael Mann เจ้าของผลงาน Hockey Stick Graph ที่อื้อฉาว อุปสรรคใหญ่สุดๆของทฤษฎี มนุษย์ทำให้โลกร้อน (AGW) คือ Medieval Warm Period (MWP) และ Little Ice Age (LIA) เนื่องจากสองเหตุการณ์นี้ ทำให้แบบจำลองพยากรณ์โลกร้อนของ IPCC เป็น fault คือสมการของ IPCC เข้ากันได้กับอดีตใกล้ๆ ในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ถ้ามองย้อนไกลถึง LIA และ MWP จะพบว่าเข้ากับแบบจำลองไม่ได้ กลายเป็นข้อโต้แย้งที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากไม่ยอมรับแบบจำลองของ IPCC การที่มีปรากฏการณ์ MWP และ LIA เกิดขึ้นในช่วงที่ระดับ CO2 เกือบจะคงที่ ก็น่าจะเชื่อได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดจากอิทธิพลของปัจจัยตัวอื่น และปัจจัยที่น่าเชื่อมากที่สุดก็คือ ความผันแปรของพลังงานจากดวงอาทิตย์ ที่เข้ากันได้กับ MWP, LIA และรวมถึง Recent Warm ด้วย เมื่อศึกษาความผันแปรของดวงอาทิตย์ในช่วง MWP และ LIA ก็จะสามารถคำนวณอิทธิพลของดวงอาทิตย์ที่มีต่อภูมิอากาศได้ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นปัจจัยหลักที่ขับดันภาวะโลกร้อน หลายคนเชื่อว่าดวงอาทิตย์มีอิทธิพลมากเสียจนแทบจะกลบ CO2 ให้หมดความหมาย จากคุณ : กาลามะชน - [ 15 มี.ค. 50 16:04:01 ]

ความคิดเห็นที่ 129 หลังจากการประเมินครั้งที่ 2  IPCC ไม่สามารถทำให้ชาวโลกเชื่อได้ โดยอุปสรรคใหญ่มาจากแบบจำลองเข้ากันไม่ได้กับ MWP และ LIA เมื่อพบว่าไม่มีหนทางที่จะปรับปรุงแบบจำลอง ให้เข้ากับ MWP และ LIA ได้ ฝ่ายโลกร้อนก็พยายามจะลบ MWP และ LIA ออกจากประวัติศาสตร์ ฝ่ายค้านนั้นทราบการเคลื่อนไหวนี้ จาก email ที่ distribute ผิด แม้จะทราบล่วงหน้าว่าทางฝ่ายโลกร้อนมีแผนจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ภูมิอากาศ แต่ก็ดูไม่น่าจะมีทางใดเลยที่จะลบ MWP และ LIA ออกจากตำราได้ เนื่องจากมีหลักฐานประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สนับสนุนมั่นคงมาก ถือว่าเป็นระดับ ultimate fact Michael Mann นับว่าเป็นอัจฉริยะ เมื่อเขาไม่สามารถหักล้างกับหลักฐานที่เป็น ultimate fact ได้ เขาก็ใช้วิธีทำให้หลักฐานต่างๆดูมีความหมายน้อยลงแทน Mann ตั้งประเด็นว่า MWP และ LIA เป็นปรากฏการณ์เฉพาะพื้นที่ ซึ่งเกิดแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่มีผลกระทบทั่วโลก Mann อาศัยข้อเท็จจริงว่าพื้นที่ต่างๆในโลกมีความอ่อนไหวไม่เท่ากัน พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวมากที่สุด คือบริเวณรอบๆขั้วโลกเหนือ ในบริเวณที่เคยมี ice sheet ปรากฏตัวอยู่ในยุคน้ำแข็ง เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงร้อนขึ้นหรือเย็นลง อุณหภูมิในบริเวณนี้จะเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่อื่น ในขณะที่ละติจูดต่ำลง จะเห็นความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เมื่อหลักฐานของ MWP และ LIA จะปรากฏชัดในพื้นที่ซีกโลกเหนือใกล้ขั้วโลก Mann จึงชูประเด็นว่า MWP และ LIA เป็นปรากฏการณ์เฉพาะพื้นที่ ซึ่งดูเหมือนบางคนอาจจะเคยได้ยินข้อแก้ต่างแบบนี้มาแล้ว ถ้าคิดว่า Mann ถูกต้อง เราก็จะสามารถพูดได้ว่า ice age เป็นปรากฏการณ์เฉพาะที่ได้เช่นกัน แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 50 16:10:20 จากคุณ : กาลามะชน - [ 15 มี.ค. 50 16:07:57 ]

ความคิดเห็นที่ 130 Mann และทีม พยายามจะลบภาพ MWP และ LIA โดยการวิจัยที่ใช้ข้อมูลจากพื้นที่ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งฟังดูน่าจะเป็นเหตุผลที่ดี แต่จริงๆแล้วเป็นการเอาข้อมูลจากพื้นที่ที่ไม่ค่อยอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลง มาใช้ถ่วงน้ำหนักเพื่อให้ภาพของ MWP และ LIA ดูจางลง การสร้างประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกในอดีต 1000 ปี Mann นั้นใช้วิธีวัดหาอุณหภูมิจากอัตราการเติบโตของต้นไม้จากทั่วโลก การประเมินภูมิอากาศจากต้นไม้ เป็นวิธีที่ถือว่ามีความแม่นยำค่อนข้างต่ำ เพราะมี factor รบกวนหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของความแห้งแล้งที่เราไม่ทราบ รวมทั้งข้อมูลที่มาจากซีกโลกใต้ก็มักจะถูกรบกวนจาก El Nino และ La Nina เมื่อเอากราฟข้อมูลอุณหภูมิ ที่เก็บรวบรวมจากต้นไม้ทั่วโลกมาทาบรวมกัน กับผลการวิจัยอื่นๆของคณะอื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มาจากค่ายเดียวกับ Mann ผลคือ chart รวม ที่เส้นกราฟย่อยๆ แตกกระจายไปคนละทิศละทาง เส้นกราฟพันกันยุ่งเหยิงไม่มีลักษณะที่จะบอกทิศทางหรือแนวโน้มอะไรได้เลย นักวิชาการฝ่ายค้านชอบล้อว่ากราฟในขั้นตอนนี้ว่า spaghetti graph แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 50 20:23:40 จากคุณ : กาลามะชน - [ 15 มี.ค. 50 16:13:47 ]

ความคิดเห็นที่ 131 กราฟข้อมูลที่มีการกระจายสูงเช่นนี้ ง่ายที่จะลากเส้นผ่ากลางแนว ซึ่งจะทำให้ได้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่ค่อนข้างราบเรียบ มีชื่อเล่นเรียกกันว่ากราฟ hockey stick จากคุณ : กาลามะชน - [ 15 มี.ค. 50 16:15:36 ]

ความคิดเห็นที่ 132 เท่านี้ Mann ก็สามารถสร้างข้อสรุปใหม่ ว่าโลกไม่เคยมี MWP ไม่เคยมี LIA ประวัติศาสตร์โลกฉบับใหม่ของ Mann ถูกใช้เป็นหลักอ้างอิงในการประเมินครั้งที่ 3 ของ IPCC หลังจากนั้นก็มีคนเขียนติเตียนผลงานของ Mann มากมาย นับแทบไม่ถ้วน ถ้าลองค้นหาด้วยคำว่า hockey stick debate จะพบว่ามีลานตาไปหมด แต่จะขอแนะนำที่น่าสนใจ  เป็นของนักสถิติ  ซึ่งอธิบายเข้าใจง่าย http://www.marshall.org/pdf/materials/316.pdf จากคุณ : กาลามะชน - [ 15 มี.ค. 50 16:24:30 ]

ความคิดเห็นที่ 133 เหมือนอ่านนิยายของไครช์ตั้น เรื่อง State of Fear เลย คุณกาลามะชนอ่านหรือยังครับ ถ้ายังไม่ได้อ่าน ไปหามาอ่านเลยครับ คุณน่าจะชอบ เพราะนิยายเรื่องนี้เบสออนทฤษฎีทั้งหลายแหล่พวกนี้แหละครับ และสนับสนุนว่าโลกไม่ได้ร้อนจากมนุษย์ แต่เป็นความพยายามของพวก NGO เพื่อระดมทุนตะหาก จากคุณ : ชาเขียว - [ 15 มี.ค. 50 16:49:27 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ความเห็นของผมคิดว่า ต่อให้โลกมันร้อนขึ้นๆ ลงๆ ของมันเอง มนุษย์เราก็ควรที่จะรักษาสภาพแวดล้อมของโลกให้ดีอยู่นั่นเอง ลดการใช้พลังงาน และปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะถึงมันจะไม่มีผลกับโลกร้อน แต่มันก็มีผลกับคุณภาพชีวิตของมนุษย์และสัตว์โลกร่วมโลกใบนี้ การที่มีทฤษฎีมากมายมารองรับว่าโลกไม่ได้ร้อนเพราะมนุษย์ ไม่ได้ทำให้เราควรประมาทหรือชะล่าใจเลย ต่อให้โลกไม่ร้อนเพราะเรา ก็ยังควรประหยัด ก็ยังควรรักษาสิ่งแวดล้อมกันอยู่ดี จากคุณ : ชาเขียว - [ 15 มี.ค. 50 16:53:09 ]

ความคิดเห็นที่ 135 อีกหนึ่งตัวอย่างของการจับแพะชนแกะของจขกท. ในความเห็นที่ 41 ที่มาบอกว่าข้อมูล paleoclimatology ที่ตัดมาแปะสามารถล้ม AGW ได้เลย นั้น แสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้เข้าใจข้อมูลอย่างแท้จริง เพราะกราฟอันนั้นมาจากการศึกษา ice core ที่ Vostok ดังนั้นอุณหภูมิที่ estimate ได้ ก็เป็นอุณหภูมิที่ Vostok ที่เดียว ไม่ใช่ mean global temperature มันคนละเรื่องกัน และกราฟอันนั้นก็แค่แสดงว่า trend มันไปทางเดียวกัน ไม่ได้บอกว่า CO2 ขึ้นไปแค่นั้นแล้วอุณหภูมิของโลกจะต้องขึ้นไปเท่านั้น ถ้าคุณคิดว่านี่เป็นกระบวนการ discredit แล้วที่คุณเขียนมาทั้งหมด ไม่ใช่กระบวนการ discredit ฝ่ายตรงข้ามหรือไง จากคุณ : ม้าหงอย - [ 15 มี.ค. 50 17:14:34 ]

ความคิดเห็นที่ 136 คุณม้าหงอย เอาแต่ติเล็กติน้อย ขอข้อมูลโต้แย้งให้ตรงเป้าหน่อยครับ ประเภท medieval warm เป็นเรื่องเหลวไหล หรือโลกนี้ไม่เคยมี little ice age เพราะสองเหตุการณ์นี้ เป็น fault ของทฤษฎี AGW แต่อย่างใช้ hockey stick ของ Michael Mann มาแย้งนะครับ.. ของ Mann ผมไม่รับ จากคุณ : กาลามะชน - [ 15 มี.ค. 50 17:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 137 คุณชาเขียว ผมเห็นด้วยกับไครส์ตันว่ามนุษย์มีเหตุผลมากมายที่จะหยุดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยไม่จำเป็นต้องปั้นเรื่องโลกร้อนขึ้นมาเป็นเครื่องมือ จากคุณ : help fight global fooling (กาลามะชน) - [ 15 มี.ค. 50 17:58:28 ]

ความคิดเห็นที่ 138 - เรื่องคำว่ามลพิษหรือมลภาวะ ข้าเจ้าทักเล่นๆ ด้วยความรู้สึกเกรียนลองแซว เพราะตอนที่เรียนดันโดนห้ามตอบข้อสอบด้วยคำว่ามลภาวะ ไม่สลักสำคัญอะไร (พอดีลองถามรุ่นพี่ดู เห็นว่ามลภาวะเป็นศัพท์ที่ทางม.จุฬาเค้าบัญญัติเป็นคำแปลของภาษาอังกฤษคำว่า pollution) - อาจจะเกรียนไปอีกซักนิด ที่ข้าเจ้ามองข้ามเรื่องว่ามันจะเป็นเหตุตุกติกของพวกมองโลกร้อน หรือนโยบายทางการเมืองของมะกัน.. ถ้าสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมาแม้จะเพียงเล็กน้อย เมื่อมองในเรื่องขององค์ประกอบแบบ ppm ของ จขกท. แต่ถ้ามันเป็นผลไม่ดีต่อธรรมชาติของโลก ข้าเจ้าคงคิดว่าตัวเองไม่ผิดที่ควรจะแก้ที่ตัวเราเองก่อน ดีกว่านั่งหาเหตุผลมานอนใจเล่น.. (ไม่ได้ว่า จขกท. ว่าเป็นคนไม่สนใจสิ่งแวดล้อมนะฮะ เพียงแต่ในขณะนึง อาจมีบางความคิดของบางท่านเผลอวางใจ) ... ข้าเจ้ายังไม่อยากให้เกิดเรื่องเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (มั่วดีแท้ๆ อิอิ) - นู๋เองง่ะ... ข้าเจ้าไม่อยากอธิบาย เอาเป็นว่ากระทู้นี้อาจจะซีเรียสนิดๆ กลัวคุณจะพลาดอะไรบ้างจุด ฉะนั้น ข้าเจ้าและเพื่อนๆ ที่ห้องนอกเรื่องยังรออยู่จ้า... อิอิ - ถ้าความคิดแบบเด็กๆ ของข้าเจ้ามันออกจะงง พี่ชาเขียวพูดแทนใจข้าเจ้าได้ตรงดีฮะ ... #126 อาจจะเป็นคำตอบที่น่าจะดีที่สุดสำหรับกระทู้นี้... โลกร้อนมันอาจจะนิยามที่มาได้หลายแบบ... จะโคตรเซียนห้องสมุด สุดยอดนักปราชญ์ จะมานิยามที่มาที่แท้จริงยังไง ชาวบ้านอย่างเราๆ ก็อาจจะขอมองง่ายๆ ที่ปัญหาใกล้ตัวแบบนี้ดีกว่า เพราะถึงที่สุด ไอ้วัฏจักรโลก หรือกระแสน้ำอุ่น กับรูโอโซน อย่างไหนจะเป็นผู้ชนะ กระทู้อาจจะไม่สามารถแก้อากาศโลกร้อนในแบบที่ชาวเหนือกำลังเดือดร้อนได้มั้งฮะ... - บางที ไอ้ที่เรามัวเถียงกัน อาจจะกลายเป็นปัญหาไก่กับไข่ อะไรจะเกิดก่อนกันก็ได้.. ใครจะจับแพะชนแกะยังไง ข้าเจ้าก็ยังเชื่อว่าทุกท่านในนี้มีสำนึกดีต่อสิ่งแวดล้อมและการแก้ปัญหา climate changed ทั้งนั้นอะ.. จากคุณ : _K_F_C_ - [ 15 มี.ค. 50 18:24:49 ]

ความคิดเห็นที่ 139 Mann เป็นใคร.. สำคัญอย่างไร เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐ เป็นบุคคลากรระดับหัวกะทิของ IPCC ประวัติของเขาหาดูได้จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Michael_Mann_%28scientist%29 ผมไม่ได้ดิสเครดิต Michael Mann แต่มันเป็นความจริงที่ว่าเขาโดนแอนตี้อย่างมาก สาเหตุเนื่องจากกราฟอุณหภูมิข้างล่าง เป็นกราฟมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในตำราต่างๆมานาน ใครๆก็ใช้กราฟนี้.. แม้แต่การประเมินครั้งก่อนๆของ IPCC ก็ใช้กราฟนี้ด้วยเช่นกัน แต่อยู่ๆวันหนึ่ง พอมีฝ่ายค้านมาท้วงติงว่าแบบจำลองโลกร้อน ใช้ไม่ได้กับประวัติศาสตร์โลก Mann กับพวกก็ลุกขึ้นมาทำวิจัย แล้วก็เขียนประวัติศาสตร์โลกขึ้นมาใหม่ ที่เข้ากันได้กับแบบจำลอง เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ คนที่อยู่ในวงการ เป็นใครก็คงต้องร้องโวยวาย จึงไม่แปลกที่จะเห็นคนแสดงความเห็นคัดค้านปรากฏอยู่อย่างมากมาย จากคุณ : กาลามะชน - [ 15 มี.ค. 50 19:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 140 แวะมาอ่าน เหนเกี่ยวกับสารคดีเรื่องที่สนใจอยู่อ่าค่ะ An Inconvenient Truth >> ที่หลายคนพูดถึง...หากอ่าน กระทุ้นี้แล้ว คงนึกว่าคุณกาลามะชนกำลังจะสร้างสารคดีใหม่ เพื่อหักล้าง . . . แน่นแน่ ??!!! ส่วนตัว เอนไปในข้างกลุ่มคคห. #59   115 #90   110   111   112   119   135 #133  134 #79    #93 หมายเหตุสงสัย ; คุณกาลามะชนใช้หลักอะไรเวลาเลือก จะใช้อมยิ้มหรอคะ ว่ากระทุ้ไหนควรจะใช้ล๊อคอินรูบิค หรืออมยิ้มธรรมดา??~? เีกี่ยวกับเพื่อความน่าเชื่อถือมั้ยคะ จากคุณ : Sary - [ 15 มี.ค. 50 21:01:00 ]

ความคิดเห็นที่ 141 เรื่องโลกร้อนนั้น ตามหลักของธรณีวิทยาโลก ก็เห็นว่า มันร้อนและอุ่นขึ้นตลอดเวลา และระดับน้ำทะเลมีการขึ้นลงตลอดเวลา ซึ่ง ณ ปัจจุบันถือเป็นเรื่องปกติที่โลกร้อนขึ้น เพราะอยู่ในยุคที่โลกเริ่มอื่นขึ้นครับ มันร้อนเพราะเป็นวัฎจักร อยู่แล้วครับ.... แต่มนุษย์อาจจะเป็นผู้สร้างปัจจัยให้โลกร้อนขึ้นเร็วขึ้นก็เป็นได้ จากคุณ : วารี (anable) - [ 15 มี.ค. 50 21:25:50 ]

ความคิดเห็นที่ 142 เหอะๆ ติเล็กติน้อยเหรอ ผมแยบจุดที่คุณยกมาอ้าง(บิดเบือน) ทั้งนั้นแหละ ตรงไหนที่ผมไม่เห็นจำเป็นต้องแย้ง เช่น เรื่องไวกิ้ง ผมก็ไม่ได้แย้ง เพราะผมไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับคุณที่จะต้องแย้งไปทุกเรื่อง #131 ก็เป็นอีกตัวอย่างนึง คุณบอกว่า "กราฟข้อมูลที่มีการกระจายสูงเช่นนี้ ง่ายที่จะลากเส้นผ่ากลางแนวซึงจะทำให้ได้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่ค่อนข้างราบเรียบ" แสดงว่าคุณไม่ได้เข้าใจข้อมูลที่ตัดมาแปะเลย จริงๆแล้วกราฟนั้นไม่ใช่เกิดจากการเอาข้อมูลที่กระจายกันมา plot รวมกันหมดแล้วลากเส้นผ่านแนวกลาง และไม่ได้นำข้อมูลมากจากเส้นรอบวงต้นไม้เพียงอย่างเดียว แต่นำข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น เส้นรอบวงต้นไม้ ice core, bore hole, การจดบันทึกอุณหภูมิในยุคที่มีเทอร์โมมิเตอร์ ซึ่งส่วนที่เป็นที่เทาๆในกราฟนั่นก็คือ error bar ซึ่งคำนวณตามความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น ถ้าเป็นข้อมูลในช่วงหลังๆซึ่งบันทึกโดยใช้ thermometer ก็จะเห็นว่า error bar จะเล็กมาก ในขณะที่ข้อมูลบางอย่างเช่น เส้นรอบวงต้นไม้จากหลายร้อยปีก่อน error bar ก็จะใหญ่ ซึ่งถ้าคนอ่านกราฟเข้าใจในจุดนี้ก็จะรู้ว่าข้อมูลในช่วงไหนที่น่าเชื่อถือ การที่คุณบอกว่าคนแย้งเพราะคนใช้กราฟใน #139 มานาน นั่นมันไม่ใช่เหตุผลทางวิทยาศาสตร์เลย มันเหมือนคุณบอกว่าทฤษฎีของไอนสไตน์ผิดเพราะคนใช้กฎของนิวตันมานาน นอกจากนี้หลังจากที่มีคนออกมาแย้ง US Congress ก็ฟอร์มทีมขึ้นมาศึกษางานของ Mann โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ของ National Research Council ได้สรุปว่าวิธีของ Mann มีจุดอ่อนจริง แต่ผลจากจุดอ่อนเหล่านั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงลักษณะของกราฟไปมากนัก ในขณะที่ทีมของผู้ที่ต่อต้านซึ่งนำโดย Wegman ออกมาสนับสนุนผู้ต่อต้าน แต่อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาของ Wegman ไม่ได้ผ่าน peer review และถึงแม้จะนำข้อแย้งจากการศึกษาของ Wegman มาปรับแก้กราฟแล้ว ผลก็ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก http://en.wikipedia.org/wiki/Hockey_stick_controversy#National_Research_Council_Report ยิ่งไปกว่านั้น นักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นยังเอาข้อมูลมาประมวลใหม่โดยไม่นำการถ่วงน้ำหนัก proxy (ที่ฝ่ายที่ต่อต้านด่านักหนาว่าทำให้กราฟออกมาบิดเบือน) มาใช้ ผลก็ปรากฎว่ากราฟยังออกมาเป็น hockey stick อยู่ http://www.cgd.ucar.edu/ccr/ammann/millennium/CODES_MBH.html ผมก็งงๆนะ ในเมื่อคุณบอกเองใน #22 ว่า "ความอบอุ่นในตำนาน มีหลักฐานทางโบราณคดีรองรับรวมทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แต่ร่องรอยละอองเกสรพืชมากมายที่ฝังอยู่ในชั้นดิน บอกให้รู้ถึงชนิดของพืชที่เคยขึ้นอยู่ในยุคสมัยต่างๆ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณหาอุณหภูมิของโลกในช่วงเวลาต่างๆได้" แต่คุณกลับไม่ยอมรับวิธีของ Mann -_-" แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 50 23:18:43 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 50 22:56:40 จากคุณ : ม้าหงอย - [ 15 มี.ค. 50 22:51:05 ]

ความคิดเห็นที่ 143 VOTE จากคุณ : บ้านน้อก...บ้านนอก - [ 16 มี.ค. 50 02:49:14 ]

ความคิดเห็นที่ 144 #142 การใช้ต้นไม้มีข้อจำกัดครับ การใช้พืชที่ผมอ้างถึง เขาใช้วัดขอบเขต permafrost ที่ไม่มีพืชพันธ์ขึ้นอยู่ ผลลัพท์เป็น yes หรือ no ซึ่งง่ายที่จะบอกว่าที่ตรงนี้ ในเวลานั้น เป็น permafrost หรือไม่ ถ้าเอาไปใช้วัดการแผ่ขยายหรือหดตัวของขอบเขตขั้วโลก จะได้ผลดีมาก (permafrost = พื้นดินเป็นน้ำแข็งทั้งปี ไม่มีการละลาย (เขตขั้วโลก)) ที่ห่างจากขอบของ permafrost ออกมา ก็จะใช้ร่องรอยองพันธ์พืชที่ขึ้นอยู่ พืชในเขตหนาวบางอย่าง จะไม่เติบโตหรือออกดอก ถ้าอากาศไม่อุ่นถึงระดับหนึ่ง เป็นการวัดแบบที่ได้ผลลัพท์เป็น yes หรือ no ซึ่งค่อนข้างเชื่อถือได้ จึงสามารถเอาร่องรอยการพบชนิดของพืช มาใช้สร้างแนวเส้นอุณหภูมิเท่าบนแผนที่ แต่ Mann ใช้ต้นไม้วัดอุณหภูมิในที่ห่างไกลจากเขตที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลง เขาคำณวนอุณหภูมิจากอัตราการเติบโตของต้นไม้ โดยวัดความหนาของวงปี โดยมีสมมติฐานว่าถ้าปีไหนอากาศหนาว พืชจะโตช้า ไปไหนอากาศอุ่น จะโตเร็ว วิธีนี้เชื่อถือได้น้อยกว่ามาก เพราะได้ผลลัพท์เป็นค่าที่แปรผันต่อเนื่อง และยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่นความแห้งแล้ง ไฟป่า น้ำท่วม มารบกวนการเติบโตของต้นไม้ แม้จะใช้ต้นไม้เหมือนกัน แต่ใช้ด้วยวิธีการที่ต่างกัน ความเชื่อถือได้จึงผิดกัน แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 50 19:27:36 จากคุณ : กาลามะชน - [ 16 มี.ค. 50 08:09:37 ]

ความคิดเห็นที่ 145 นอกจากนี้ ยังมีปัญหา CO2 fertilization effect ที่ทำให้ต้นไม้โตเร็วกว่าปกติด้วย วงการปลูกต้นไม้ทราบมานานแล้วว่า CO2 สามารถทำให้ต้นไม้โตเร็วอย่างน่าทึ่ง การเพาะต้นไม้ราคาแพงในโรงเรือน มักจะมีการโด๊ป CO2 เพื่อเร่งการเจริญเติบโต อุปกรณ์เพื่อการโด๊ป CO2 มีโฆษณาทั่วไปในหนังสือการเกษตรและอินเตอร์เนท ถ้าโด๊ป CO2 น้อยๆ ต้นไม้ส่วนใหญ่จะตอบสนองต่อการโด๊ปเป็นสัดส่วนโดยตรง คือเพิ่ม CO2 กี่เปอร์เซนต์ ก็จะโตเร็วขึ้นเป็นเท่านั้นเปอร์เซนต์ จนกระทั่งความเข้มข้นของ CO2 ขึ้นไปราวสองท่าจึงจะเริ่มลดอัตราการตอบสนอง และถ้า CO2 เข้มข้นเกินกว่า 4 เท่า ก็มักจะไม่เห็นความแตกต่าง Mann ไม่ได้ compensate ใน factor นี้เลย จะเห็นได้ว่า ส่วนปลายของกราฟ hockey stick จะกระดกขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ได้เป็นผลจากอุณหภูมิทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ fertilization effect เนื่องจากยุคอุตสาหกรรมมี CO2 เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้นไม้โตเร็วขึ้นเป็นสองเด้ง แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 50 12:12:58 แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 50 08:16:58 จากคุณ : กาลามะชน - [ 16 มี.ค. 50 08:16:24 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ยิ่งฟังยิ่งรู้ลึกขึ้นทุกทีๆ ผมรู้สึกตัวเองเป็นสนลู่ลม หูเบาๆยังไงพิกล คุณม้าหงอยพูดที ผมก็สงสัยคุณกาลามะชนที คุณกาลามะชนพูดที ผมก็สงสัยคุณม้าหงอยที แต่ผมรู้สึกว่าแบบท้ายๆตรงนี้แหละที่ผมต้องการรับทราบในเชิงวิชาการ รอเก็บเกี่ยวความรู้อย่างเดียวพอละ -..- ขอบคุณทุกๆคนนะครับที่ให้ความรู้ จากคุณ : zeralf - [ 16 มี.ค. 50 09:20:08 ]

ความคิดเห็นที่ 147 ลบเพราะโพสท์ซ้ำ แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 50 16:05:09 จากคุณ : กาลามะชน - [ 16 มี.ค. 50 13:06:20 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ส่วนที่กล่าวว่า คนอื่นตรวจสอบกราฟของ Mann แล้วได้ผลไม่ต่างกัน ก็ต้องถามว่าใครตรวจ ถ้าพวก IPCC ตรวจกันเอง ก็คงบอกว่าไม่ต่าง แต่ถ้าให้ฝ่ายค้านตรวจ ผลอาจจะต่างมากก็ได้ ยกตัวอย่างการตรวจสอบของฝ่ายค้าน พบว่า Mann  ใช้ข้อมูลจากสน bristlecone มากเกินไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้นไม้ชนิดนี้ไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรือโตได้สม่ำเสมอทุกสภาพกาลอากาศ ฝ่ายค้านไม่ได้ไปหาข้อมูลอะไรมาแย้ง แค่เอาข้อมูลดิบของ Mann มาใช้ แล้วตัดข้อมูลส่วนที่เป็นของ bristlecone pine ออกเพียงอย่างเดียว ไม้  hockeyของ Mann ก็เริ่มออกอาการ คด และพอเอาค่า CO2 fertilization effect ปรับแต่งเข้าไป แนวของ MWP และ LIA ก็เริ่มปรากฏให้เห็นได้ลางๆ ฝ่ายค้านมักจะล้อว่า ไม้ hockey ของ Mann ทำจากไม้สน bristlecone ยังมีประเด็นอื่นที่น่าสนใจ ขอให้ลองดูที่ http://www.marshall.org/pdf/materials/316.pdf จากคุณ : กาลามะชน - [ 16 มี.ค. 50 13:13:34 ]

ความคิดเห็นที่ 149 เมื่อมาถึงจุดนี้ ผมเชื่อว่าท่านที่สนใจติดตาม คงยากจะตัดสินใจ เพราะเริ่มมีประเด็นที่เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือในบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ผมมีแนวทาง ที่ท่านจะสามารถพิจารณา ด้วยตัวท่านเองได้ จากต้นเรื่องกระทู้ ผมได้เสนอเรื่องราวของไวกิ้งแห่งกรีนแลนด์ ผมเชื่อว่าทุกท่านคงจะเห็นด้วยว่าการตั้งถิ่นฐานของไวกิ้งเป็น ultimate fact ถ้าท่านยังมีข้อสงสัย ก็ขอให้ลองคลิกดู link เวบโบราณคดีใน คหท 3 ตามข้อมูลดั้งเดิม ไวกิ้งเข้าไปตั้งถิ่นฐานในช่วง MWP ที่โลกอบอุ่นกว่าปัจจุบัน แต่ถ้าเชื่อตามประวัติศาสตร์ใหม่ของ Mann ไวกิ้งจะเข้าไปตั้งถิ่นฐานในช่วงเวลา ที่เกาะกรีนแลนด์หนาวเย็นกว่าปัจจุบันพอควร ทุกวันนี้กรีนแลนด์ยังคงกันดารจนคนปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีพร้อม ยังอยู่ลำบาก ถ้าในอดีตตอนที่ไวกิ้งเข้าไปตั้งถิ่นฐานบนเกาะกรีนแลนด์ อากาศหนาวเย็นกว่าปัจจุบัน การตั้งถิ่นฐานของคนในยุคนั้น ยังจะเป็นไปได้หรือ แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 50 19:12:33 แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 50 16:25:47 จากคุณ : กาลามะชน - [ 16 มี.ค. 50 16:02:05 ]

ความคิดเห็นที่ 150 ท่านคิดว่ากราฟประวัติศาสตร์ฉบับใหม่ของ Mann สอดคล้องกับหลักฐานโบราณคดีของไวกิ้ง หรือกราฟจากตำราเก่าๆข้างล่าง ที่ดูมีความเป็นไปได้มากกว่ากัน แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 50 17:36:48 จากคุณ : กาลามะชน - [ 16 มี.ค. 50 16:19:31 ]

ความคิดเห็นที่ 151 อีก 2-3 อาทิตย์ไปอยู่แล้วจะมาตอบน่ะครับ อิอิ จากคุณ : chonlapat81 - [ 16 มี.ค. 50 17:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 152 ความรู้ดีๆทั้งนั้นเลยขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ โหวตให้1จึ้กค่ะ จากคุณ : THe Capital Monkey - [ 16 มี.ค. 50 17:09:49 ]

ความคิดเห็นที่ 153 ขอบคุณสำหรับข้อมูลความรู้เจ๋งๆครับ จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ 16 มี.ค. 50 19:28:58 ]

ความคิดเห็นที่ 154 อืมมม... ไปเที่ยวกลับมา คห เยอะจัง ยังอ่านไม่จบเลย พอดี กลับมา เจอปัญหา กับงานวิจัย ไม่รุ้จะไปทางไหนดี มีสองทาง คงต้อง หาข้อมูลก่อน (อีกทริปเลยอดไป ToT) โอ้ Mr fusion เข้ามาดูแล้วคับ รู้สึกดีคับ หุหุ สำหรับคนที่ บอกว่า ผลของอีกฝ่ายเชื่อไม่ได้ ผมคิดว่า ให้มองเป็นกลางไว้ก่อนคับ เอาไว้พิจารณาดูได้คับ ผมเอง เชื่อไปทาง โลกร้อน-เย็น เป็นผลจากทั้งคนและธรรมชาติ แต่ปัจจุบัน เป็นผลจากคน มากกว่าผลจากธรรมชาติ คห 80 กาลามะชน  โดมความร้อน รู้สึกว่า มีนักวิจัยไทยบอกว่า เริ่มเกิดที่กรุงเทพแล้วคับ คห 93 _K_F_C_  "จริงๆ คิดว่าโลกร้อนมันไม่น่าไปเพ่งอยู่แค่เรื่องก๊าซสายพันธุ์ไฮโดรคาร์บอนเพียงอย่างเดียวนะฮะ." เพิ่มให้คับ พอดีเคยอ่านมา ก๊าซที่มีผลนะคับ - คาร์บอนไดออกไซด์ จากอดีต 280 ppm เป็น 379 ppm  ในปี2005 เป็นผลจาก การใช้ fossil fuel เยอะสุด - มีเทน 715 ppb เพิ่มเป็น 1732 ppb ผลจากกิจกรรมของคนเยอะสุด - ไนตรัสออกไซด์ 270 ppb เพิ่มเป็น 319 ppb ผลจากกิจกรรมของคนเยอะสุด สำหรับผลของแต่ละตัว นะคับ ผมเอากราฟให้ดู  อธิบายกราฟนะคับ จะได้ดูง่ายขึ้น ค่า Radiative Forcing เป็นบวก + คือมีผลทำให้โลกอุ่นขึ้น ส่วน เป็นลบ - คือ ทำให้โลกเย็นลง พวกผลจากคน (anthropogenic) กลุ่มแรก พวกก๊าชที่จะคงทนในบรรยากาศนาน มี คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ และ ไฮโดรคาร์บอน พวกนี้ทำให้ร้อนขึ้น (กราฟไปด้านขวาซะเยอะ) กลุ่มถัดมา โอโซน แบ่งเป็นสองแบบ คือ stratospheric พวกนี้อยู่ในชั้น บรรยากาศ สูง กว่าที่เราอยู่ ช่วยกั้นรังสี ส่งผลดี (กราฟไปด้านซ้าย) และ tropospheric พวกนี้อยู่ในชั้นเดียวกับที่เราอาศัย ส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย พวกนี้ดูดความร้อนอีกตะหาก ทำให้ร้อนขึ้น (กราฟไปด้านขวา) ต่อไป กลุ่ม มีเทน มีผลให้อุ่นขึ้นนิดหน่อย ต่อไป  albedo คือ ความสามารถในการสะท้อนแสงของพื้นโลก ต่อไป aerosol คือ พวกฝุ่น สารประกอบคาร์บอน ซัลเฟต  พวกนี้ทำให้เย็นลง พวกผลจาก ธรรมชาติ (natural) solar irradiance คือ ผลจากแสงอาทิตย์ มีผลให้อุ่นขึ้น แต่น้อย เมื่อเทียบกับ ผลจากคน แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 50 21:22:09 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : GreenEyes - [ 16 มี.ค. 50 22:42:22 ]