ความคิดเห็นที่ 21
V--Bank--V อธิบายไปเกือบหมดแล้วครับ
Pharmacokinetic เป็นหนึ่งในวิชาที่แตกแขนงมาของ Pharmacology ครับ ดังนั้นเภสัชทุกคนต้องเรียน
Clinical Pharmacist เรียนมากหน่อย
Pharmacologist -> เป็นที่ีปรึกษาการวิจัยยาและอาจารย์ครับ
Clinical Pharmacist -> นำหลักการทาง Pharmacology และ Pathology มาปรับปรุงและดัดแปงเพื่อใช้งานจริง
ถ้ามีปัญหาจริงๆ เช่นการเลือกยาในกรณีพิเศษ หรือการออกฤทธิ์ของยาใหม่บางตัว จึงไปปรึกษา Pharmacologist ครับ
Pharmacologist ไม่ได้มีส่วนช่วยตอนการรักษา (Clinical Treatment) นะครับ
Clinical Pharmacist ทุกคน ต้องสามารถทำความเข้าใจถึงหลัก Pharmacology และ Pathology ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเอะอะต้องไปปรึกษาอาจารย์ จะสั่งใช้ยาก็ต้องปรึกษาอาจารย์
แล้วจะมีหมอและเภสัชกรไว้ทำไมหละครับ
กลไกที่ลงลึกระดับ Molecular pharmacology น่ะ
Clinical Pharmacist เกือบทุกคน ต้องสามารถอ่านแล้วเข้าใจได้ (ไม่ได้แปลว่าต้องรู้)
เรื่องสั่งยานอกน่ะ ยืนยันตาม V--Bank--V ครับ
ยกตัวอย่าง Vitamin C ของแต่ละค่าย
มีการวิจัยทาง Pharmacokinetic อย่างชัดเจนครับ ว่าไม่มีความต่างของการดูดซึมไม่ว่าจะเป็น Bio C, Buffer C, Ester C หรือ Ascorbic Acid
แต่ที่ทุกวันนี้ต้อง Blackmore ก็เป็นแค่ค่านิยมไร้สาระของคนครับ
ยอมรับอย่างหนึ่งว่ายา Original มักจะมีความสมบูรณ์พร้อมกว่า
แต่การที่ยาไทยจะขายได้ ก็ต้องผ่านการทดสอบมาหลายขั้นตอนแล้วครับ หนึ่งในนั้นคือการทดสอบ Bioequivalent (BE) ซึ่งเป็นการทำสอบการดูดซึมของยาสู่กระแสเลือดครับ
ต้องเทียบเท่ายา Original หรือดีกว่า อย่าคิดว่ายาไทยที่ดูดซึมดีกว่าไม่มีนะครับ มีครับ ---------------------------------------------------------------
ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ครับ
ง่ายๆ ก็หาตาม Google ได้เลย
แต่ว่าจะไม่ได้กลไกที่ลงลึกถึงรายละเอียดอย่างที่บนๆ เถียงกัน
จากคุณ :
Epinephrine
- [
วันเถลิงศก (15) 14:03:47
]
|
|
|