ความคิดเห็นที่ 1 Generic Copy, Local Made คือทำยาที่เป็นตัวยาสำคัญ ตัวเดียวกับยาต้นฉบับครับ โดยที่ยาต้นฉบับนั้นหมดอายุสิทธิบัตรไปแล้ว หรือไม่มีสิทธิบัตรในประเทศที่ผลิต เช่นไม่ได้ส่งเข้ามาขาย ระยะเวลาสิทธิบัตรคือ 20 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่กฎหมายห้ามผู้ผลิตเจ้าอื่น ผลิตยาตัวนี้มาขายแข่งกับต้นฉบับ ถ้าหักเวลาวิจัย ก็จะเหลือเวลาขายจริงไม่เกิน 10 ปี (แต่เรื่องนี้มีลูกเล่นในการเพิ่มเวลา โดยแยกจดหลายส่วน หลายแบบ เช่นอันดับแรกจดตัวยา ต่อมาจดการดัดแปลงโครงสร้างให้เป็นยา ทำให้เวลายืดออกไปได้หหลายปี) Complusory Licensing อำนาจบังคับเหนือสิทธิบัตร หมายถึงในประเทศนั้นๆ มียาต้นฉบับ เจ้าของสิทธิบัตรอยู่ แต่รัฐใช้อำนาจ บังคับไม่ให้เจ้าของสิทธิบัตร ใช้สิทธิบัตรนั้น ทำให้ผู้ผลิตยารายอื่น ผลิตยาตัวนั้นขายได้ โดยไม่ต้องสนใจว่าสิทธิบัตรนั้นยังไม่หมดอายุ ในเมื่อผู้ผลิตอื่นไม่ได้ทำวิจัย ทำให้มีต้นทุนถูกลง ทำให้ขายยาได้ราคาถูกกว่าต้นฉบับ ที่ทำวิจัยมาตั้งแต่คิดค้นยา และทดลองใช้ จากคุณ : อะธีลาส - [ วันฉัตรมงคล 07:29:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ประเมินคร่าวๆ ได้ว่า ยาหนึ่งตัวจะใช้ค่าวิจัยตลอดอายุสิทธิบัตรซัก 200-500 ล้านเหรียญ เกือบทั้งหมดใช้ใน 10 ปีแรก (บริษัทยามักจะบอกว่าประมาณ ห้าร้อย ถึงพันล้าน แต่นั่นมีการหมกเม็ดค่าการตลาดเอาไว้ด้วย) ใครอยากวิจัยยาในเมืองไทย ก็ใช้เงินเริ่มต้นซักปีละห้าร้อยล้านบาท ห้าปี ต่อด้วยปีละสามร้อยล้านอีกซัก 5 ปี ถ้าไม่ล้มเหลวซะก่อน ครบสิบปีก็จะเริ่มขายยา ได้ผลตอบแทนกลับคืนมาแล้ว   แล้วก็ใช้เงินวิจัยทางคลินิกอีกซักปีละร้อยล้าน 10 ปี ถ้าสำเร็จ จากห้าพันล้านบาทที่ลงไป (น้อยกว่าบริษัทยาระดับโลกตั้งเยอะ) ก็จะกำไรหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้ว ซักหมื่นล้านบาทได้ ในเวลายี่สิบปี ---------------------------------------- รายได้รวมของบริษัทยา 10 อันดับแรกของโลก ทำรายได้ใกล้เคียงกับธุรกิจอื่น 500 อันดับแรกของโลกรวมกัน (ไม่นับอาวุธสงคราม กับยาเสพติด) ปีนี้ปีเดียวคนไทยจ่ายค่ายาไปราวๆ 7-8 หมื่นล้านบาท เกินครึ่ง จ่ายให้บริษัทข้ามชาติ ยาที่ใช้เงินมากที่สุดคือยามะเร็งราวๆ หมื่น ถึงสองหมื่นล้าน (เกือบทั้งหมดใช้สิทธิ์เบิกจ่ายของข้าราชการ ส่วนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแม้จะมีผู้ป่วยมาก แต่ได้ยาถูก) รองลงมาเป็นยาต้านการติดเชื้อ โดยเฉพาะยารักษาการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่แพงกว่าทองซะอีก ตามด้วยยาโรคเรื้อรังทั้งหลาย เช่นพวกหัวใจ เบาหวาน ความดัน ส่วนยาเอดส์ไม่ติดอันดับ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 50 08:30:34 จากคุณ : อะธีลาส - [ วันฉัตรมงคล 08:17:35 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขยายความเพื่อยกตัวอย่าง ให้เห็น ที่สิทธินาน มากจนบริษัท localmade ในไทยไม่ได้ทำน่าจะเป็นเช่น viagra แสดงว่า power น่าจะเยอะเพราะยาoriginalบางตัวไม่กี่ปีก็ บริษัทยาในไทยก็ทำ เป็นlocalmade ได้แล้ว เช่น zocor คิวต่อไปน่าจะเป็น lipitor คิดว่าถ้าทำได้ยักษ์ใหญ่อย่าง pfizer  ขาดรายได้หลักไปหลายอยู่ นะ แต่สิทธินี้ก็ขายคนเดียวมานานแล้ว และแพงมาก  ซึ่งทั้งข้อ 1และ 2ที่ถามมาและตอบไปแล้วตาม คห 1 ครับ ทั้ง 2ข้อ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ ราคาแพง มากๆๆจริงๆๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยต้องทานยาไปตลอด โดยเฉพาะยาเอดส์ แพงสุดๆๆ ซึ่ง เป็นผลดีกับผู้ป่วยได้มากและลดค่าใช้จ่ายการนำเข้ายาดังกล่าว ตอนนั้ องค์การเภสัชก็ผลิตได้อยู่ จากคุณ : smecta - [ วันฉัตรมงคล 08:23:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Lipitor ของไทยผลิตได้นานแล้วครับ ผ่านการวิจัยทางคลินิกในเมืองไทยเรียบร้อยแล้วด้วย แต่ติดปัญหาว่าขายไม่ได้ เพราะสิทธิบัตรยังไม่หมดอายุ ไฟเซอร์แยกจดสิทธิบัตรเป็นหลายส่วน ตอนนี้ตัวยาหมดอายุไปแล้ว แต่กระบวนการผลิตตัวยา ยังไม่หมด ดังนั้นตัวยาที่ผลิตด้วยวิธีนี้ จะยังขายไม่ได้ ถ้าจะขายก็ต้องผลิตตัวยาด้วยวิธีอื่น ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครทำได้ ถ้าหมดเมื่อไหร่ บริษัทนี้ (เข้าใจว่าจะเป็นบริษัทเบอร์ลิน ของอาจารย์หมอที่ศิริราช) สามารถวางขายยาก็อปปี้ของลิปิเตอร์ได้ทันที --------------------------- ลูกเล่นการแยกจดสิทธิบัตรเป็นหลายส่วนนี่ นิยมใช้กันครับ ทำให้ยาหลายตัว ไม่หมดสิทธิบัตรซักที แม้ตัวยาจะเกิน 20 ปีั จนตัวยาหมดสิทธิบัตรไปแล้ว แต่ยังติดสิทธิบัตรในส่วนอื่นอยู่ ยาที่หมดสิทธิบัตรหลังปี ค.ศ.2000 มักจะจดสิทธิบัตรแยกหลายส่วนกันทั้งนั้น ยาที่หมดสิทธิบัตรก่อนปี 2000 ยังไม่เห็นว่าใช้ลูกเล่นนี้ --------------------------------- ปีนี้ไฟเซอร์ น่าจะมียอดขายราวๆ เจ็ด-แปดพันล้าน สูงกว่าปีก่อน พันกว่าล้าน ยาขายดี 5 อันดับแรกของบริษัท ทำรายได้สี่พันล้านบาทได้มั้ง จากคุณ : อะธีลาส - [ วันฉัตรมงคล 08:50:53 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เขาไม่ให้ขาย ก้ให้บริษัทยาในไทยทำแจกคนป่วยเลยสิครับ รัฐค่อยให้เงินบริษัทยา จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ วันฉัตรมงคล 09:32:36 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เพิ่มเติมพี่อะธีลาส สิทธิบัตรนี้ นอกจากจะใช้ลูกเล่นอย่างที่บอกแล้ว สิทธิบัตรยังให้สิทธิสองแบบครับคือสิทธิในการต่ออายุ กับสิทธิที่จะจดสิทธิบัตรที่เกี่ยวเนื่อง (ก็คือลูกเล่นที่ว่า) เพราะยาตัวนึง กว่าจะคิดเคมีขึ้นมาได้มันนาน เลยต้องให้สิทธิตรงนี้ ทีนี้ก็เป็นดาบสองคม เราไม่พูดกันตรงนั้น ในอินเดีย ไม่มีกฎหมายสิทธิบัตร ดังนั้น ใครจะตอกอะไรจะทำอะไรก็ไม่ผิดครับ ยาอินเดียเลยมหาศาล (ตามจำนวนคนของเค้า) ส่วนเรื่อง CL เป็นการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรนั้นๆ ถามว่าเป็นการละเมิดสิทธิบัตรหรือไม่ ตอบได้เต็มปากครับว่า ไม่ แต่เป็นการบังคับใช้สิทธิโดยชอบธรรมตามข้อตกลงของ WHO เมื่อใช้อย่างสมเหตุผลครับ กรณี HIV ไทยนั้น เปรียบเหมือนศูนย์กลางการรักษาเอดส์ของโลกเชียวนะครับ เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จที่สุดในการดูแลผู้ป่วย เราใช้วิธีต่อรองมากกว่าการบังคับครับ สมมุติว่ายาเอดส์สองตัว ต้นทุนยาเท่ากัน ที่เม็ดละ 30 บาท กำไรจากการขายอยู่ที่ 70 บาทต่อเม็ด บ.A ขายได้หนึ่งล้านเม็ดต่อปี แต่ไม่ยอมรับ CL ถอนตลาดไป ดังนั้น กำไรจะหายไป 70 ล้านบาท บ. M ขายได้หนึ่งล้านเม็ดต่อปีเช่นกัน แต่เจรจาผ่อนผันลดราคายา โดยหั่นราคายาเหลือแค่ 60 บาท หรือเหลือกำไรลดลง 30 บาทต่อเม็ด แต่เมื่อยาของ บ. A ไม่มี ก็อาจจะขายได้เพิ่มเป็น 2 ล้านเม็ด หรือได้กำไรเป็น 60 ล้านบาทต่อปี ก็...คิดเอาเองครับ ปล. อันนี้ตัวอย่างจริงๆ นะครับ ไม่ได้อิงจากหลักการรักษาหรืออะไร จากคุณ : Epinephrine - [ วันฉัตรมงคล 11:19:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ยาที่เป็นปัญหาทั้ง 3 ตัว  มันหนักข้อกว่ายารักษามะเร็งครับ  เพราะเป็นยาที่ต้องใช้ในคนส่วนใหญ่ ซึ่ง 1)เป็นกันมาก 2)ฐานะยากจน 3)ไม่รักษาตายหรือพิการไว  เอาง่ายๆ อย่างยาต้านเลือดแข็งตัว  คนไทยเป็นโรคที่เกิดจากเลือดแข็งตัวเร็ว .. พวก IHD + CVA นั่นแหละ ปีละ 50,000 ราย  ค่าใช้จ่ายในการรักษา ขั้นแรก ประมาณ 100,000/ราย  ค่าใช้จ่ายแอบแฝงอื่นๆ + ค่าเสียโอกาส (ของคนที่ต้องมาดูแล) ประเมินว่า 200,000/ราย/ปี  สมมุติว่า คนไข้เป็นอยู่ 3 ปี แล้วกลับคืนสู่สภาพปกติ ไม่เป็นภาระสังคม  ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายใน 3 ปีคือ 700,000 บาท  คูณ 50,000 เข้าไป มันก็สยองขวัญเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน  ถ้าให้ยาป้องกันหละ?  วันนึงๆ รวมทุกตัวแล้วประมาณ 150 บาท  เดือนนึง 5,000 ปีนึง 60,000  สามปีแสนแปด  ถึงจะคุ้ม ที่ต้องจ่ายแสนแปด เพื่อป้องกันไม่ให้เป็น  แทนที่จะ่ต้องจ่ายเจ็ดแสน เพื่อรักษา และป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำ     แต่  180,000 x 50,000 =  9,000,000,000 บาท  เก้าพันล้านบาท!!!  มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ  และถ้าจะให้การป้องกันได้ผลจริงๆ  ต้องให้ยาชุดดังกล่าว ในคนหมู่กว้างขึ้น    ตีซะว่า 500,000 คน    ก็จะเป็นต้นทุน 500,000 x 180,000 หรือ 90,000,000,000 บาท ...  ในระยะเวลาแค่สามปี จ่ายเก้าหมื่นล้าน    ร้องโอ้กเหมือนกันครับ  ในยาชุดนี้ ทำ copy ได้แล้วเกือบทั้งหมด  เหลือตัวที่ต้อง CL เท่านั้น ซึ่งเป็นต้นทุนหลัก ... ลดลงมาได้ 1/3  ก็ยังต้องร้องโอ้กเหมือนเดิม  แต่ ... ถ้า CL ตัวปัญหาได้ ... ต้นทุนยาป้องกันชุึดนี้ จะเหลือ 10 บาท/วัน  และถ้า CL ได้ การให้ยาชุดนี้ แก่คน 500,000 คน ที่กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงอย่างสูงต่อ IHD+CVA ระยะเวลา 3 ปี สิ้นค่าใช้จ่ายแค่หกพันล้านบาทเท่านั้น  ปีละ 2,000 ล้าน เพื่อคนห้าแสนคน  กับปีละสามหมื่นล้าน เพื่อ บริษัทยาข้ามชาติ 1 บริษัท  เลือกเอาเองแล้วกันครับ ว่า จะอยู่ข้างไหน จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ วันฉัตรมงคล 13:54:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ทำไมไม่ CL กับยามะเร็งของคุณอะธีลาส ???  เพราะมันป้องกันการรุนแรงขึ้นของโรค (progression) ไม่ได้ครับ  และยาที่ใช้กับมะเร็ง มีหลายหลากตัว ไม่ใช่ตัวเดียวโดดๆ เหมือน Px จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ วันฉัตรมงคล 14:06:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คนที่ 6 น่าสนใจครับ ถ้าอันไหนให้ประโยชน์กับประเทศเรามากกว่า น่าเลือกทางนั้น เพราะคนป่วยก็ได้รับประโยชน์ ประเทศก็ได้รับประโยชน์ ส่วนบริษัทยาจะเป็นไงช่างมันเหอะ เอาคนในประเทศให้รอดก่อน แถมรอดแบบมีชั้นเชิงด้วย จากคุณ : น่าสนใจ - [ วันฉัตรมงคล 14:39:09 A:124.120.98.187 X: TicketID:118563 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณแมวเหมียวพุงป่อง นำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งด้วยสิครับ ถ้าถูกตัดสิทธิทางการค้า เกษตรกรที่ลงทุนไปกับ (น้ำเต้า) ปู ปลา ผัก ผลไม้ ส่งสินค้าออกไปขายได้ลดลง เงินเข้าประเทศลดลง น้ำหนักทางไหนจะได้หรือเสียประโยชน์มากกว่ากัน ถ้าประกาศซีแอลแล้วชาติประหยัดค่ายาได้สิบบาท แต่ทั้งประเทศขายของได้กำไรลดลงห้าสิบบาท เปรียบเทียบกับการไม่ประกาศซีแอล แต่พยายามขายของให้ได้กำไรมากขึ้น แล้วให้รัฐเอากำไรจากการขายของมาช่วยบรรเทาค่ายาจะดีกว่าไหมครับ ถ้าเกษตรกรเจ๊ง แล้วออกมาประท้วงบ้างล่ะครับ รัฐบาลจะทำยังไง บางทีการบริหารประเทศก็ไม่จำเป็นจะต้องตัดสินใจ เลือกทางใดทางหนึ่ง เพียงทางเดียวเท่านั้น บางทีเลือกทั้งสองทางหรือไม่เลือกทั้งสองทางก็ได้ หาทาง win-win ที่ทำให้ประเทศชาติได้ผลประโยชน์สูงสุดจะดีกว่า จากคุณ : dolt - [ วันฉัตรมงคล 14:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เมกาไม่กล้าตัด GSP หรอกครับ เพราะจะผิดกฎของ WTO สามารถโดนร้องได้ เมกาซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีของ WTO ก็คงไม่อยากมีปัญหาตรงนี้หรอก แต่บทสรุปของเรื่องนี้คิดว่า เราก็คงซื้อยา licenseน่ะแหละ แต่ได้ในราคาที่ถูกมากและสมเหตุามผล ตอนนี้ล่าสุด มีบ.ยาเจ้าเดิม ที่เคยเขายาให้เรา 5000USDต่อคนต่อปี ยอมลดเหลือให้ 1000USD ต่อคนต่อปีแล้ว(ให้ถูกกว่าราคาของยา copy อีก)คือยอมลดกำไรเพื่อที่จะรักษายอดขายไว้ดีกว่า ไม่ได้ขายเลย และัคิดว่าเราจะได้ถูกกว่านี้อีกหลังลงนามในมูลนิธิคลินตัน ร่วมกับอีก 16ประเทศเพื่อต่อรองราคายา นี่แหละครับ เทคนิคการใช้ CL เพื่อการต่อรอง ไม่ใช่เอะอะก็กลัวเขาเรื่อยไปแบบยุคก่อนๆจนยอมใช้ยาราคาแพงกว่าปกติ3-5เท่า(บางประเทศเขาได้ deal ที่3000USD แต่เราได้ 5000USD ทำไมเราต้องซื้อแพงกว่าเขา? ถามรมต.สาธารณสุขคนก่อนๆดูแล้วกัน) แล้วมีคนอีกเกือบแสนคนต้องตายเพราะไม่มีเงินพอจะหายามาใช้่ จะมองเรื่องนี้ต้องมองหลายๆด้้าน ไม่ใช่เอาอคติทางการเมืองมามองครับ จากคุณ : ....4จุด - [ วันฉัตรมงคล 15:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าไทยเป็น Health Center ของโลกอย่างที่เคยตั้งใจไว้จริง volume ของยาที่ใช้ในไทยจะขนาดไหน? ลองคิดกันเล่นๆ ครับ บ. ยาไม่เอาอนาคตไปทิ้งหรอกครับ เพราะตอนนี้ไทยก็เป็นที่ที่มีการใช้ยา Original สูงอยู่แล้ว แล้วดูกันเล่นๆ บ.ยาในไทยน่ะ มีไม่กี่บ. ที่สัญชาติอเมริกันแต่กำเนิด (pfizer, abbot) ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปครับ บ.ใหญ่ๆ อื่นๆ ลูกผสม (เช่น Sanofi-Aventis) หรือไม่ก็ไม่ใช่อเมริกัน (Roche) ดังนั้น ประเทศอื่นรับรู้และเข้าใจเราอยู่แล้วครับ รวมทั้งหลายๆ องค์กรก็เห็นด้วย การเมืองน่ะ คิดได้ แต่อย่าให้มันเป็นผลเสียกับประเทศครับ แล้วอย่างเรื่องขายสินค้าเกษตร เราก็ไม่ได้โดนห้ามเพราะมาตรการกีดกันอะไรนะครับ เราโดนเพราะมาตรฐานสินค้าเกษตรเราไม่ดีก็เยอะ แล้วถ้าขายสินค้าเกษตรได้ แต่ไม่มีเงินรักษาตัวอยู่ดี จะทำอย่างไรดีครับ ??? เราต้องประเมิน Risk-benefit ให้ดีนะครับ แล้วคุณ Dolt คิดว่าสินค้าเกษตรเรามีมูลค่าเท่าไหร่ครับ เกษตรกรต้องขายข้าวกี่เกวียน กว่าจะมาซื้อยาได้ 1 สำหรับ 1 เดือน?? จากคุณ : Epinephrine - [ วันฉัตรมงคล 16:01:41 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ข่าวล่าสุดสุรยุทธยอมแล้วนี่ เหลือไว้แต่ยาเอดส์ตัวเดียวที่จะทำCL และจะทำความร่วมมือกับสหรัฐเพื่อ ขอให้กลับไประดับเดิมในเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ คงกลัวหัวหดละถึงยอมเขา จากคุณ : tH f - [ วันฉัตรมงคล 16:14:36 A:125.27.2.39 X: TicketID:070639 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ^ หลุดมาจากขุมไหนหละเนี่ย บ. อื่นยอมเจรจาลดราคาครับ ถึงไม่ได้ใช้ CL เหลือแต่ Abbott บ. เดียว ที่ไม่ยอม เลยต้องทำ จะตามข่าวก็ใช้่สมองตามด้วยครับ จากคุณ : Epinephrine - [ วันฉัตรมงคล 17:00:25 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เอางี้ครับ เรื่องนี้มีการคุยกันในที่ประชุม Prema (ชื่อยาว เรียกย่อๆ ว่าสมาคมบริษัทยาละกัน) สรุปว่าตอนนี้ "ไม่มี" บริษัทไหนที่ถูก CL ครับ นอกจากแอบบอท (ตอนนี้อยู่ระหว่างเจรจาขั้นสุดท้าย) สาเหตุที่ไม่ทำ CL เพราะบริษัทยายอมลดราคาครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น เพราะองค์กรการค้าโลก ในการเจรจารอบโดฮา "อนุญาต" ให้ประเทศต่างๆ ใช้ CL ได้ หากสหรัฐตัดสิทธิ์ GSP ก็จะเปิดช่องให้ถูกพิจารณาได้ว่าเป็นการตอบโต้ทางการค้ากับมาตรการ CL ของไทย (ซึ่ง CL ได้รับอนุญาตจาก WTO แล้ว) เรื่องราวมันจะเดือดร้อนกับรัฐบาลสหรัฐ กว่าผลประโยชน์ ที่บริษัทยาสหรัฐเสียไป ซึ่งสหรัฐไม่กล้าเสี่ยงแน่ ขนาดผู้บริหารระดับสูงในบริษัทที่ผมอยู่ ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกัน ยังบอกเลยว่าแอบบอทเดือดร้อนแน่ เพราะรัฐบาลสหรัฐไม่กล้าตอบโต้ไทยรุนแรงหรอก ------------------------------------------- ข่าวล่าสุดเมื่อบ่ายวันศุกร์ มีคนมาบอกผ่านๆ หูผมว่า แอ๊บบอท ยอมลดราคาลง 50% แล้ว ส่วนบริษัทอื่นเค้าลดกันมาหลายเดือนแล้ว อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในบล็อก ---------------------------------------- ยามะเร็งก็ยังที่หมอแมวเหมียวว่าครับ ยาแพง ทำได้แค่ยืดชีวิตออกไปได้ "ไม่กี่เดือน" เมื่อเทียบกับยาถูก จะไปทุบราคายาให้ลงมา ก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไร สู้ใช้วิธีบีบให้ใช้ยาถูกด้วยระบบ จำกัดการเบิกจ่าย ได้ผลดีกว่าเยอะ จากคุณ : อะธีลาส - [ วันฉัตรมงคล 22:19:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ที่จริง กระทรวงเคยเรียกบริษัทยาไปเจรจาขอลดราคารอบนึงแล้ว แต่ไม่มีการลดราคา ทำให้ต้องมีการประกาศ CL ออกมา แต่ในส่วนบริษัทยา บอกว่า ไม่เห็นจะคุยอะไรเลย อยู่ๆ ก็ถามว่า จะลดราคาได้เท่าไหร่ อารมณ์ประมาณเจ้านายถามพนักงานบริษัทว่า "คุณอยากจะลดเงินเดือนตัวเองเหลือสักเท่าไหร่ " ลิงที่ไหนมันจะไปยอมลดวะ แทนที่จะบอกให้ชัดๆ ลงไป ว่า "ผมอยากให้คุณย้ายไปงานขาย ซึ่งจะได้คอมมิชชั่นเพิ่ม แต่คุณต้องลดเงินเดือน คุณจะลดเงินเดือนสัก 30% ได้ไหม" เออ... อันนี้ค่อยน่าคุยหน่อย เช่นเดียวกัน ถ้าบอกสักหน่อยว่าถ้าลดราคายาแล้ว จะผ่อนคลายการบังคับไม่ให้ใช้ยา (ซึ่งเกิดกับยาบางตัวอยู่) อันนี้ค่อยน่าต่อรองด้วย -------------------------------- ซึ่งน่าจะดู สปสช. เป็นตัวอย่าง ยาโครงการในหลายโครงการก็ต่อรองในลักษณะนี้ บางตัวต่อราคาจาก 8,000 เหลือ 5,000 แลกกับการใช้ยาในคนไข้เฉพาะกลุ่ม ที่มีปัญญาจ่าย มาใช้กับคนไข้ในวงกว้างมากขึ้น ในโครงการ แต่บริษัทยาต้องไปดิ้นรนหาคนไข้มาเข้าโครงการเอง ซึ่งก็ยังดีกว่าเดิมที่ไม่มีโอกาสเลย จากตัวเลขที่มี คนไข้บางโรค ถ้าฉุกเฉินมาโรงพยาบาล รัฐบาลต้องเสียค่ารักษาคนละห้าแสน ถึงเกือบล้านบาท และมักจะมาโรงพยาบาลกันเป็นประจำ บางคนมาเดือนเว้นเดือน แต่จ่ายยาป้องกันไม่กี่สิบล้านก็ช่วยคนไข้ได้หลายร้อยคนให้มีชีวิตเป็นปกติได้  และลดค่าการรักษาไปได้เป็นร้อยล้านบาท แบบนี้สิครับ ค่อยคุ้มค่าที่จะลดราคา โดยไม่ต้อง CL จากคุณ : อะธีลาส - [ วันฉัตรมงคล 22:52:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ผมมองว่า จุดสำคัญอยู่ที่คนไทยเราให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญาแค่ไหน ไม่ใช่คิดกันแต่เรื่องเงินว่าทำ CL แล้วไทยจะ save เงินกว่าเสีย GSP หรือเปล่า นี่มันความคิดเห็นแก่ตัวนะครับผมว่า กว่าบริษัทยาเขาจะคิดค้นยาขึ้นมาได้ตัวนึง เสียต้นทุนไปเป็นหลายล้านเหรียญ และต้องมาผ่านขั้นตอนทดลองให้แน่ใจว่าใช้กับคนแล้วไม่มีผลเสีย เรา ๆ ท่าน ๆ ถึงได้กล้าใช้กัน และต้องลงทุนค่าการตลาดให้ยาติดตลาดอีก ทำไปทั้งหมดนี้แล้ว เขาก้อต้องได้ค่าความคิดมั่งสิครับ ค่ายาก้อเลยต้องแพงขึ้น และสิทธิบัตรยา ก้อถือว่าอลุ้มอล่วยแล้ว คือไม่ได้คงอยู่ตลอดไป ถึงเวลาหนึ่งก้ออนุญาตให้ก๊อปกันได้ (ไม่เหมือนหนังสือ หรือ เพลง ต้องรอคนเขียนตายก่อน เท่าที่ทราบ) สำหรับคนไทย อาจจะคิดกันว่า ยาของจริงเม็ดหลายร้อย ของก๊อปเม็ด 7 บาท 10 บาท ต้นทุนแค่นี้ ทำไมขายแพง บริษัทยาหวังเงินเกินไป ฯลฯ มันไม่ใช่อยู่ที่ต้นทุนค่าผลิตยาเม็ดนึงหรอกครับ มันอยู่ที่ต้นทุนที่เขาคิดยาขึ้นมาแต่แรกต่างหาก + กำไรที่เขาเก็บ + ค่าความเสี่ยงที่เขาต้องรับไว้ในการทำยาใหม่ ๆ ขึ้นมาซักเม็ดให้คนกินแล้วหาย ไม่ใช่ตาย ถ้าในที่สุดทรัพย์สินทางปัญญาทุกอย่างถูกก๊อปได้ฟรี ก้อจะไม่มีคนคิดอะไรอีกแล้ว เพราะกว่าจะคิดอะไรให้เป็นจริงได้สักอย่าง มันลงทุนลงแรงมากกว่าคนก๊อปมาก แต่แล้วคนก้อก๊อปขายกันฟรี ๆ ดูอะไรรอบ ๆ ตัวท่านได้หลายอย่าง เพลงไทยสมัยนี้มีแต่ cover ของเก่าซะเยอะ เพราะกว่าจะแต่งขึ้นสักเพลงยากจริง แต่ไม่เกิน 1-2 วันมีเป็น MP3 แผ่นละ 50-100 บาทแล้ว CD จริง ๆ ขายได้ไม่กี่แผ่น จัดคอนเสิรต์เสร็จ อัด VCD/DVD concert ขาย ก้อก๊อปอีก เป็นคุณคุณจะอยากคิดอะไรขึ้นมาขายซักอย่างมั้ย ถ้ารู้ว่าหาก idea work จริงแล้วขายเป็นเทน้ำเทท่า ได้สองวันจะโดนคนก๊อปแล้วตัดราคาเหลือแค่ 5-10% แล้วคุณจะไม่ได้ค่าเหนื่อยอย่างที่ตั้งใจไว้ ... แต่ถ้าคุณขายไม่ได้ คนก๊อปมันก้ออยู่เฉย ๆ นะ เพราะของมันไม่ work จะก๊อปทำไมให้โง่ คุณก้อขาดทุน และหัวปรุคิดของใหม่ จนกว่ามันจะ work คนก๊อปจะได้รอก๊อปตอนนั้น... ไอ้ที่ว่ายาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือมีความสำคัญต่อคนในชาติ ขอถามว่ายาอะไรไม่มีความสำคัญบ้างครับ ยาที่เสี่ยงโดน CL ก้อต้องเป็นยารักษาโรคฮิต ๆ ที่คิดยากๆ และแพง ๆ ใช่ไหม เราเลยไม่มีเงินซื้อ แล้วก้อเลยบอกขอ CL ส่วนตัวผมไม่เลือกข้างไทยหรือข้างสหรัฐหรอกครับ ผมเลือกอยู่ข้างคนที่เขาใช้หัวคิดและลงแรงทำให้อะไรสำเร็จขึ้นมาซักอย่าง ผมคิดว่าเขาควรได้รับผลตอบแทนสำหรับการกระทำนั้น ๆ (และความเสี่ยงที่จะทำฟรีถ้าคิดแล้วไม่ work หรือต้องรับผิดชอบค่าเสียหายถ้าคนกินแล้วตาย) ถ้าวันนึงคนไทยทำยา original ขึ้นมาได้ แล้วสหรัฐมาขอทำ CL ยาของเรา ผมก้อยังอยู่ข้างเดิมครับ คือข้างเจ้าของ idea สหรัฐไม่มาขอทำ CL ยาอุทัยบ้างก้อแล้วไป... จากคุณ : เด็กบ้านสวน - [ วันฉัตรมงคล 23:18:23 A:58.10.87.31 X: TicketID:076397 ]

ความคิดเห็นที่ 18 #17 อย่าเอาเรื่อง GSP มาปนกับเรื่อง CL ครับ เพราะการตัด GSP เป็นแึ่ค่คำขู่ที่เรากลัวกันไปเอง ซึ่งถ้าจะทำกันจริงๆ เราก็มีช่องทางร้อง WTO อยู่ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าใช้ CL แล้วจะโดนตัด GSP แน่ๆเสียหน่อย ส่วนประัเด็น CL ก็ไม่เกี่ยวกับประเด็นเรื่ิองทรัพย์สินทางปัญญาโดยตรงสักเท่าไร จริงๆมันเป็นประัเด็นที่ว่า คนขายเอากำไรมากจนเกินควรตะหาก ยาบางตัวที่ผมยกตัวอย่างมา เราซื้อในราคา 5000USD ต่อคนต่อปี แต่อีกประเทศนึงที่ไม่ได้รวยหรือจนกว่าไทยสักเท่าไร ซื้อได้ในราคา 3000USD ต่อคนต่อปี ทำไมไม่ขายให้เท่ากันล่ะครับ? ในเมื่อคุณสามารถลดให้คนอื่นได้ ก็แปลว่ายังไงก็ยังได้กำไร(เพราุะถ้าขาดทุน คงไม่ทำขายแล้วล่ะจริงไหม) แค่ยอมลดกำไรลงเท่านั้น เราจึงใช้CL เป็นเื่งื่อนไขในการต่อรองเพื่อขอลดราคายาลง (แค่ลดกำไรไม่ใช่ขาดทุน) นี่เขาก็ยอมเสนอราคาที่ 1000USD ให้แล้วล่ะ ผมว่า หลายคนรับฟัง"ข่าวปล่อย" จากบ.ยามากไปแล้วเอาการเมืองไปปนมากเสียจน ไปคิดว่าเรากำลังจะโกงบ.ยา หรือไม่ทำให้เจ้าของสิทธิบัตรขาดทุนจนไม่มีเงินวิจัยยาตัวใหม่ๆไปเสียอีกนะครับ ลองอ่านข่าวหลายๆแหล่งดูก่อนดีกว่า ว่าเราใช้ CL เพื่อต่อรองลดราคายาพร้อมกับอีก 16ประเทศนะครับ แล้วที่บ.ยาลดราคา ก็ใช่ว่าเขาจะขาดทุน แต่เขาได้กำไรมามากแล้วตะหาก ลองไปดูรายได้ของบ.ยาพวกนี้บ้างว่าเขาได้กำไรมหาศาลขนาดไหนกัน ไม่ต้องเป็นห่วงรายได้ของเขาหรอกครับ ห่วงคนไทยบ้าง เราใช้ยาแพงกว่าชาวบ้านหลายเท่ามาหลายปี ถ้าเราได้ยาราคาถูกลง เราก็จะช่วยคนได้เพิ่มอีกหลายหมื่นคน คนหลายหมื่นคนที่อาจจะตายไปเพราะไม่มีเงิน มันไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วนเลยหรือ? หรือว่าคนที่ป่วยเขาไม่ใช่ญาติพี่น้องคุณ คุณเลยไม่ใส่ใจ? เรากำลังโดนทุนนิยมครอบงำเสียจนลืมคำว่าจริยธรรมไปแล้วกระัมัง ไม่ต้องถึงกับทำแจกฟรีหรอก แต่ขายในราคาที่สมเหตุสมผลก็พอ ส่วนเรื่องประัเด็นทรัพย์สินทางปัญญาคงต้องแตกประเด็นประกระทู้ใหม่ แต่ถามแค่ว่าใน PC ทุกตัวของคุณใช้ software ลิขสิทธิ์ทุกอย่างเลยหรือเปล่า?(ไม่ใช่แค่ OS แต่หมายถึงทุกอย่างเลย ไม่ว่าเกมส์ แอพพลิเคชัน รูปภาพที่โหลดจากเนท ฯลฯ) ถ้าคุณละเิมิดwindows เพราะบอกว่า บิล เกต รวยแล้ว ทำไมจะใช้กับยาไม่ได้บ้าง? ผมไม่ได้่บอกว่าการละเมิดลิขสิืทธิ์ถูกต้องหรอกนะครับ แต่มันมีอะไรที่ต้องพูดถึงมากกว่าแค่ว่า ละเิิมิดหรือไม่ละเิมิด ผิดหรือถูก แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 50 23:41:25 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 50 23:37:17 จากคุณ : ....4จุด - [ วันฉัตรมงคล 23:36:29 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมเห็นด้วยกับ คุณ ....4จุด ที่ว่าบริษัทยาควรคิดราคายากับประเทศที่มีฐานะใกล้เคียงกัน ให้เท่ากันครับ ส่วนเรื่อง "ราคาที่สมเหตุสมผล" นั้น ผมว่าพูดยาก คนซื้อก้ออยากได้ของถูกทั้งนั้น เอาอะไรมาวัดดี ถ้าเรามีหลักเกณฑ์ตรงนี้ได้ (เช่น ไม่เกิน X% จากต้นทุนการผลิตต่อเม็ด) แล้วกำหนดเท่ากันทุกบริษัท ก้อน่าจะดี แต่ในโลกเศรษฐกิจเสรี ราคาสินค้า ถูกตั้งโดยความพอใจของผู้ซื้อ และผู้ขายครับ รถเบ็นซ์ราคาคันละ 3 ล้านได้ทั้งที่ต้นทุนต่อคันไม่ถึงล้าน เพราะมีคนซื้อที่ราคานั้น แต่ผมก้อเห็นด้วยนะ ถ้าการตั้งราคาของยา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต จะไม่ถูกปล่อยเสรีเหมือนสินค้าทั่ว ๆ ไป ส่วนการใช้ CL ต่อรอง เหมือนพูดว่า "ผมอยากได้ของคุณ แต่คุณขายแพงมาก ถ้าไม่ลดลงมาเหลือเท่านั้นเท่านั้น ผมก้อจะก๊อป คุณจึงต้องยอม" ผมว่าฟังดูไม่ถูกต้องครับ ผมยังไม่เห็นด้วยกับการใช้สิทธิก๊อปปี้ทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทที่เรามองว่า "รวยแล้ว" เพื่อมาช่วยคนที่ไม่มีเงินสามารถซื้อของที่เขาคิดขึ้นมา ผมว่า ประเด็นผมคงอยู่ที่เรื่องทรัพย์สินทางปัญญามากกว่า ผมมองว่าการก๊อป คือผิดแน่ ๆ ครับ ยกเว้นแต่เจ้าของเขาจะให้ก๊อป เพราะมันเป็นของของเขา เขาคิดขึ้นมาได้เอง เขาจะรวยจะจน ไม่เกี่ยว ก๊อปก้อเหมือนขโมยนั่นแหละครับ ขโมยความคิด ซึ่งถ้าเป็นความคิดที่มีค่า (ขายได้) ก้อคือขโมยเงินเขาทางอ้อมนั่นเอง มีการขโมยอะไร ที่ถือว่าถูกมั้ยครับ ผมยังสรุปอย่างเดิมครับ ว่า ถ้าเรามีเหตุผลในการก๊อปโน่นก๊อปนี่กันมาก ๆ สุดท้ายง่ายที่สุดกลไกมันจะบีบให้คนคิดเลิกคิด ผมรู้ว่าเขาไม่ขาดทุนหรอกครับ แต่เขาแค่ไม่มีแรง(เงิน)จูงใจให้คิดยามาให้เราอีกในอนาคตเท่านั้น เราจะได้ยา AIDS อันนี้ที่ราคาถูก หรือเกือบฟรีถ้าเขายอมให้ก๊อป แต่เขาคงไม่ผลิตยามาขึ้นทะเบียนในตลาดเราอีกแล้ว เพราะไงก้อไม่คุ้ม ถึงตอนนั้น CL ก้อไร้ค่า เราก้อจะได้ตายผ่อนส่งในช่วงลูกหลานกันครับ อยากเห็นนักร้องนักแต่งเพลงอยู่แต่งเพลงให้เราต่อ ซื้อเทป/CD เขาครับ อยากเห็นบริษัทยาคิดยาใหม่ ๆ มาช่วยเรา ซื้อยาเขาครับ ถ้าซื้อไม่ไหวก้อต่อรองราคาเขาด้วยจริยธรรมดี ๆ เหมือนลูกค้าซื้อของทั่ว ๆ ไปครับ ถ้าเขาไม่ลด ก้อถึงเวลาต้องลองคิดว่าเราจะต้องผลิตของมาใช้เองมั่งมั้ย หรือต้องพยายามทำงานหาเงินมากขึ้นมาซื้อของในราคาที่เขายินดีขาย ลองคิดกันดูครับ ผมว่าหลายคนคิดได้หลายแบบ คงไม่มีใครถูก 100% จากคุณ : เด็กบ้านสวน - [ 6 พ.ค. 50 00:31:49 A:58.10.87.31 X: TicketID:076397 ]

ความคิดเห็นที่ 20 #19 เรื่องจะไม่มียาใหม่ๆ คงต้องดูกันว่า การที่เขาขายให้เราถูกลงนั้น จะมีผลต่อผลกำไรโดยรวมของบ.ยาหรือไม่ เพราะถ้าผลกำไรโดยรวมลดลงมากจนแทบไม่กำไร เขาก็คงไม่อยากจะคิดยาใหม่ แต่ถ้าผลกำไรลดลงบ้างแต่ก็ยังได้กำไรมากอยู่ดี ผมคิดว่าเขาก็คงไม่ได้ล้มเลิกที่จะทำยาใหม่หรอก ในเมื่อช่องทางทำกำไรมันก็มีอยู่ดี จนกว่าจะทำแล้วขาดทุนน่ะแหละเขาถึงจะิเลิกทำครับ ผมเองทำงานอยู่ในวงการนึงที่เมื่อก่อนกำไรต่อหน่วยสูงมากๆ ชนิดว่า ทำสิบชิ้นขายได้ชิ้นเดียวก็ยังกำไรเหลือๆ แต่ตอนนี้กำไรต่อชิ้นลดลงมากและต้องขายในราคาถูก เพราะเทคโนโลยีมันพัฒนาและแพร่หลายจนต้องทำให้ได้ yield ไม่ต่ำกว่า 70% ถึงจะอยู่ได้ แต่เขาก็ยังทำต่อไปอยู่ดี แปลกไหมที่เขาไม่เลิกทำกันไปเพียงเพราะว่ากำไรลดลง แถมทุ่มงบวิจัยเพิ่มอีกมหาศาลอีกด้วย เรื่องกฎหมาย จริงๆแล้ว การใช้ CL เป็นสิ่งที่ทำได้ภายใต้กฎของ WTO ถ้าคุณคิดว่าการทำ CL ผิดต่อเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา คุณก็ต้องร้องให้ WTO ยกเลิกกฎข้อนี้สิครับ น่าเสียดายที่ประัเทศที่เจริญแล้วเกือบทั้งหมด ก็ยอมอยู่ภายใต้ WTO เสียด้วยสิ ถ้าจะบอกว่าการใช้ CL เพื่อต่อรองราคา เป็นการขโมยไม่ถูกต้องหรือไม่มีจริยธรรมก็ต้องถาม WTO แล้วล่ะครับว่าออกกฎนี้มาได้อย่างไร และอย่าลืมว่า ยา ไม่เหมือนทรัพย์สินทางปัญญาชนิดอื่นๆ ไ่ม่ว่าจะเป็น เทป  CD นักร้อง หรือแม้แต่ software นะครับ การมาเทียบกัน คงเทียบกันตรงๆไม่ได้ เพราะความจำเป็นมันต่างกัน ต่อให้เราเลิกฟังเพลง เลิกใช้ software เราก็แค่ลำบากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยและไม่ได้บันเทิงเท่านั้น แต่ถ้าขาดยาแล้วเราตาย การใช้กรอบความคิดคงเอาให้เหมือนกันหมดไม่ได้ครับ ส่วนเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา บอกไปแล้วว่าต้องพูดกันอีกยาว(น่าจะแตกประเด็น) ว่า ควรมีขอบเขตแค่ไหนในการแสวงหากำไรจากสิ่งที่เราคิดขึ้นมา? แล้วสิ่งที่เกี่่ยวเนื่องกับจริยธรรม และความอยู่รอดของมนุษย์ รวมไปถึงภูมิปัญญาพื้นฐานควรจะมีกรอบในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาหรือไม่?  การมองในกรอบของทุนนิยมเสรี ในตลาดเสรีที่ไม่เสรีแท้จริง(ไม่มีตลาดเสรีจริงๆในโลกนี้) ควรจะมีข้อจำกัดที่แตกต่างจากอุดมคติอย่างไร? ว่ากันยาวล่ะครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 6 พ.ค. 50 01:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ใจเย็นครับ ค่อยศึกษา นี่แค่ส่วนหนึ่งของกระบวนการเสรีทางการค้าครับ ถ้าศึกษาและเข้าใจ เราก็จะอยู่ในระบบการค้าเสรีที่เค้าออกแบบมาค่อนข้างดี แต่ถ้าไม่ศึกษาและไม่พยายามเข้าใจ ก็ไม่ต่างจากเป็นหมู ไปให้ระบบการค้าเสรีทุบเล่น -------------------------------------------------------------- มาเรื่องเทป/ซีดีเถื่อน ปัญหาแรกจริงๆคือบริษัทเพลงเอากำไรมากไปต่างหาก ยังจำกันได้ไหมครับว่าแผ่น CD เพลงในยุคแรกๆ มันราคาแผ่นเท่าไหร่ครับ 350 บาท แล้วพอเจอซีดีเถื่อนเข้าไปทำไมถึงขายที่ 155 ได้ นั่นแสดงว่าราคาที่ 350 บาทเอากำไรเกินไป แต่ทีนี้ระบบซีดีเถื่อนนี่มันไม่เหมือนกับ CL คือ พอเจ้าของเข้าลดราคาแล้วมันยังไม่เลือกเถื่อน อันนี้บริษัทค่ายเพลงก็ซวยไป แต่ระบบ CL นี่มันออกแบบมาเพื่อลงโทษพวกค้ากำไรเกินควรเท่านั้น ถ้าเค้ายอมลดราคาเราก็ต้องเลิก CL ไม่งั้นเดี๋ยวจะเข้าข่ายอยากจะเถื่อนตลอดการ อันนี้สิจะโดน ตัด GSP แน่ๆ จากคุณ : oatcpe - [ 6 พ.ค. 50 01:17:28 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ยืนยันอีกครั้งว่าการ CL ไม่ได้ขโมยครับ แต่เป็นการพึงเรียกร้องสิทธิของผู้บริโภคโดยชอบธรรม ถ้าไม่ชอบธรรม คงไม่ผ่าน WTO แน่ๆ จากคุณ : Epinephrine - [ 6 พ.ค. 50 02:10:43 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เอ สงสัย อะครับผม  ลอง แค่คิด ดูนะ หากผมเป็น บริษัทยาแล้วการทำ CL ไม่ผิดทำกันได้ การลงทุนคิดและผลิตยาตัวใหม่ๆๆมันจะมีเหรอครับผม แบบว่าหากผมเป็นเจ้าของบริษัทยาหากทำแบบนี้ ผมก็ไม่ลงทุนคิดผลิตยาใหม่ๆๆออกมาแล้วหละ ลงทุนไปหลายล้านบาทแต่พอทำออกมาขายก็โดน CL ให้ยาบริษัทอื่นcopyแล้วไม่ผิดด้วย ต่อไปในอนาคตข้างหน้าระยะยาวนะ..... จะมียาใหม่ๆๆ  ออกมาให้ใช้กันเหรอ การแพทย์จะไม่ถอยลงไปเรื่อยๆๆเหรอ เช่น ยา antibiotic เป็นต้น ยาใหม่ๆๆในปัจจุบันนี้ ต่อไป ก็เป็นยาเก่าและเชื้อโรคก็จะดื้อยาเหล่านี้มากขึ้น จำเป็นต้องมียาใหม่ๆๆ ขึ้น มาตลอด หาก ใครมา CL ยา antibiotic ไม่มียาใหม่ ใช้เนื่อง จากไม่มีบริษัทไหนกล้า ผลิตยาใหม่เพราะ ทำไป ก็ โดน CL เชื้อ ดื้อยากันหมดแล้ว เราไม่ตายกันเหรอครับผม จากคุณ : neuro_guy - [ 6 พ.ค. 50 03:03:41 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อ้อ อ่านไม่จบ เข้าใจแล้ว ตอบกันแล้ว ขอบคุณครับผม จากคุณ : neuro_guy - [ 6 พ.ค. 50 03:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ฮืม แต่อ่านแล้ว ก้ เข้าใจแล้วหละ  สรุปว่า การทำ CL ไม่ผิดสามารถทำกันได้ถูกกฎหมาย และสัญญาว่าจะไม่เป็นเจ้าของบริษัทยาที่ต้องคิดผลิตยาใหม่แน่นอน ผมว่ามันน่ากลัวมากๆๆ  ขาดทุนเห็นๆๆเลยหรืออาจไม่ขาดทุนแต่ได้ไม่คุ้มเวลาที่เสียไป ผมเป็นบริษัทยาlocal made ดีกว่า รอ ให้ CLได้แล้วเสียบอย่างเดียวน่าจะ work กว่า......อยากให้ทำ CL ยาทุกตัวเลย ผมเล็งเห็น ทาง ธุรกิจ ที่น่าจะ work แล้วหละ......พูดทางการ ก็คือ การทำ CL แต่แปลตรงๆๆ คือ การ copy เลียนแบบมาขายได้โดยไม่ผิด กฏหมายมันก็คือ การทำ CL นั้นเอง ผมยืนยันนะหากผมมีอำนาจในรัฐบาล จะทำให้ได้ จะ CL ยาทุกตัวเพราะ ถือว่าการพึงเรียกร้องสิทธิของผู้บริโภคโดยชอบธรรม ไม่ผิดกฎหมาย 1.หาก CL ได้ คนทั้งประเทศ ยกย่อง ว่าทำเพื่อประเทศชาติ ให้คนทั้งประเทศได้ใช้ยาดีและถูกลง 2.ให้ญาติทีสนิทไปตั้งบริษัทยาที่ทำ CL ได้แล้วขายเอากำไรไม่มากขายถูกกว่าบริษัทoriginal ( ใครจะไปรู้ว่าเป็นบริษัทเราไม่ได้ใช้ชื่อเรา) เห็นมีแต่ทางได้กับได้........ไม่มีเสียเลย ( แต่ประเทศชาติ จะเสียอะไรหรือมีผลกระทบอะไรตามมาจาก ต่างประเทศ ไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่ใช่เรื่อง ) ผมว่า มัน work มากเลย แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 50 03:40:50 แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 50 03:34:19 จากคุณ : neuro_guy - [ 6 พ.ค. 50 03:19:13 ]

ความคิดเห็นที่ 26 #25 ไม่ต้องประชดก็ได้ครับ เอาเป็นว่าคุณไปหาข้อมูลมาดีกว่าว่า การทำ CL ตอนนี้ทำให้ MERC กับ ABBOT ขาดทุนจนล้มเลิกการทำยาใหม่ๆจริงๆน่ะเหรอ? หรือแค่กำำไรน้อยลงหน่อยเท่านั้น? แล้วการทำ CL ใช่ว่าจะทำกับยาทุกชนิดได้ตามใจชอบสักหน่อย ที่ทำก็แค่ไม่กี่ตัวที่จำเป็นจริงๆและมีผลร้ายแรงกับคนจำนวนมากเท่านั้น และอย่าเพิ่งไปคิดว่าการสั่ง CL เป็นการทำการโกงแบบบูรณาการณ์ โดยการที่ตัวเองออกคำสั่งแล้วญาติๆได้ผลประโยชน์แบบที่บางคนเคยทำบ่อยๆในยุคก่อนเลยครับ เรื่องนี้เอาแค่ความรู้สึกมาพูดไม่ได้ครับ ต้องดูข้อเท็จจริง แปลกที่คนกลัวบ.ขาดทุนกลัวไม่มีคนทำยาใหม่ๆ(ซึ่ีงมันไม่จริง เป็นแค่ความเชื่อที่ถูกปล่อยมา) มากกว่ากลัวคนร่วมชาติตายกันแฮะ จากคุณ : ....4จุด - [ 6 พ.ค. 50 14:37:17 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แหม คุณ 4 จุดครับผม ผมไม่ได้ประชด ใดๆๆทั้งนั้นครับผม ผม เขียน อย่าง ผู้ไม่มีความรู้ทางด้านนี้ เท่านั้นเอง และผม เองเป็นนัก ธุรกิจ ก็ต้องการ ทำการค้าที่ได้ผล กำไร และช่วยเหลือ สังคมด้วย 1.หนึ่งในงาน ที่ได้ กำไร แน่นอน......ต้องยอมรับว่า คือการ copy ของขาย   ไม่เคยมีอะไร copy ของ ขายแล้ว ขาดทุน   การ copy ของขาย  มีแต่ทางได้กำไร อย่างแน่นอน 2.การcopy ของขาย ทั้งหมด ที่รู้จัก คือการทำผิดกฎหมาย ที่copy ทั้งหมดแล้วขาย ส่วนใหญ่โดนจับกันทั้งหมด 3.และเพิ่งจะรู้ว่าการ copy ยาขาย โดย ยาที่เป็น local made เอง หรือ ยาที่ ทำ CL อะไร เถือกนี้หละ ที่พูดกันมา ไม่ผิด กฏ หาก ได้ ผ่านการทำ CL แล้ว...........ยังมี ของที่ COPY แล้วไม่ผิด กฏหมาย  ก็ เห็น แต่ เรื่องนี้หละ 4.ในเมื่อ ผม เป็น นัก ธุรกิจ ย่อม มองหาทาง ขายของ ได้กำไร หาก มันเป็น เช่นนั้นจริงๆๆ   การค้าขาย ในเรื่องยา มันก็ น่าจะทำกำไร ได้ดี ใน อนาคต...............นั่น คือสิ่งที่ผม คิด และหาก  ผม  ทำออกมาขายได้จริง  นอกจาก จะได้ กำไร  ยังช่วยเหลือ สังคมอีกคือ 1.original ราคา 100 บาท/เม็ด  ผม อาจขายได้ 30 บาท/เม็ด...........คนไข้ ก็ ซื้อ ได้ ถูกลง   ผลประโยชน์ ของคนไทย จริงไหม ครับผม.................เท่ากับว่าผม ได้ช่วยเหลือ สังคม ใช่ไหม 2.ราคาที่ผม ขาย 30 บาท/เม็ด..........ผม ก็ยังได้กำไร อยู่...........ทำธุรกิจ ย่อม หวังผล กำไร จริงไหม ฉะนั้น...........จะเห็นได้ว่า  ไม่มี ธุรกิจไหน จะได้ ช่วยเหลือ สังคม จริงๆๆ  และ  เราก็ ได้เงินด้วย  ( เข้าข่ายที่เรียกว่า ได้ทั้งหน้า ได้ทั้งเงิน ) ก็ ธุรกิจนี้ ธุรกิจ เดียว เท่านั้น ที่ ผม มองเห็น ส่วน สังคมส่วนใหญ่ ของ ประเทศ จะโดนผลกระทบยังไง เช่น USA จะทำอะไร กับ ไทยในอนาคต......ประมาณว่า เมืองไทย ทำ CL ไม่ผิด WTO ที่พูดกันมาข้างต้น และทาง USA อาจจะไม่กล้าทำอะไร เมืองไทย ในกรณี นี้ หรือ ไม่กล้า ตอบโต้ไทย อย่างที่พูดกัน..........แต่แน่ใจเหรอ ว่าเค้าจะไม่ทำจริงๆๆ.......เท่าที่ผม ศึกษาประเทศนี้มา.....เค้าไม่ยอมเสียอะไรง่ายๆๆ อยู่แล้ว.......หาก โต้ตอบ แรงๆๆ  อาจจะโดน หลายชาติ ประนาฌ ฉะนั้น เค้าไม่กล้าทำอะไร ตรงๆๆแน่ๆๆ..............แต่สิ่งที่จะทำ ทางอ้อมๆๆๆๆ  มีหลายอย่าง  ที่เรา ไม่รู้ และ คาด ไม่ถึง ( USA นะ หาก เปรียบเหมือนในละคร เหมือนกับ ภาพนางอิจฉา ที่ภาพพจน์ เป็นผู้ดี แต่ ร้ายลึกนั้นหละ ) แน่นอนว่าเค้าไม่กล้าทำไรกับไทย ตรงๆๆและแรงๆๆแน่......แต่ อีกหลายๆๆอย่างทางอ้อม เค้า สามารถทำได้ โดยที่เราแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป เมื่อ รู้ตัว อาจสายไปแล้ว.................แน่หละ คือ  USA อย่าได้ เข้าใจผม ผิดว่า ประชด หรือ อะไร ทั้งนั้น.........ขออกตัวว่า ไม่มีความรู้ทางด้านนี้.........เดี๋ยวจะมีคนมาด่าว่าโง่.............เป็น แค่นัก ธุรกิจที่พยายามหาช่องทางการค้าขายและ ศึกษาประวัติศาสตร์ ของ USA มาก็เท่านั้นเอง หาก เป็น แบบนี้จริง ขอให้ รัฐบาล เปิดช่องให้เอกชนทำ ยา COPY ด้วยก็ดี............ไม่ใช่ให้ผูกขาดกับ องการเภสัช ที่เดียว ไม่งั้น มันก็ ไม่มีการ แข่งขันราคา กันอย่างแท้จริง  ท้ายที่สุด ราคายา อาจจะไม่ถูกจริง เพราะ ผูกขาด โดยองการ เภสัช ที่เดียว จากคุณ : neuro_guy - [ 6 พ.ค. 50 15:59:12 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คห.11 ตอนนี้ล่าสุด มีบ.ยาเจ้าเดิม ที่เคยเขายาให้เรา 5000USDต่อคนต่อปี ยอมลดเหลือให้ 1000USD ต่อคนต่อปีแล้ว แล้วถ้าเขาผลิตได้แ่ต่ไม่ยอมขายให้เราล่ะครับ บริษัทอาจเลือกขายให้ประเทศที่ยอมจ่ายแพงกว่า เช่น เราต้องการ 10000 แต่ในวันส่งมอบของบอกว่าให้ได้แค่ 2000 ถ้าเราไม่ใช้ CL กว่าจะใช้ CL และเริ่มผลิตยาได้จะใช้เวลานานไหมครับ จากคุณ : Axl - [ 6 พ.ค. 50 16:00:45 A:203.151.206.73 X:203.209.119.187 TicketID:140031 ]

ความคิดเห็นที่ 29 #28 มีบ.ยา generic copy เป็นตัวเลือกแืทนไงครับ พวกบ.ยาใน อินเดียทั้งหลายน่ะ support เราได้เพียงพอแน่นอนหากมีปัญหาแบบนั้นขึ้นมา ยกเ้ว้นว่าเกิดสงครามแล้วขาดแคลนกันทั่วโลก อันนี้เราคงต้องผลิตเองเท่านั้น #27 การใช้ CL ไม่ได้อิสระแบบนั้น แต่เฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้นและมีเหตุผลพอที่จะตอบกับ WTO ได้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าจะ copyขายได้อย่างเสรีจนทำให้บ.ยาเจ๊งกันหมดแบบที่คุณพยายามพูดสักหน่อย ส่วนเมกาจะัทำไรหรือไม่ ก็อาจมี เพราะบ.ยาก็ใช้เงินสนับสนุนนักการเืมืองเพื่อให้ทำที่ต้องการเหมือนๆกันน่ะแหละ แต่เราก็มีช่องทางตอบโต้เช่นกัน(WTO) แต่ไม่ใช้่กลัวขี้หดตดหาย จนไม่กล้าทำอะไรเลย หลายๆ deal ที่เราเคยต่อรองกับเมกา มูลค่ามากกว่านี้อีก เขาก็ขู่เราอยู่เป็นประจำน่ะแหละ  แต่ผลประโยชน์พวกนี้มันไม่ได้มากพอที่เขาจะกล้าทำรุนแรงจริงๆ(ถ้าเราไปขัดผลประโยชน์น้ำมัน หรือ บ.ค้าอาวุธ รับรองว่าเมกา ยกพลขึ้นบกไทยทันทีล่ะัครับ) ธุรกิจย่อมหวังผลกำไร ใช่ครับ ตราบใดที่ยังทำแล้วกำไรคุ้มค่าที่ลงทุน ก็ยังทำต่อไปแน่นอน ผมยกตัวอย่างวงการที่ผมเกี่ยวข้องแล้วไง ว่ากำไรลดลงมาก เพราะเทคโนโลยีแพร่หลาย แต่ก็ยังทำต่อไป จาก margin ชิ้นละหลายร้อยUSDเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เหลือชิ้นละไม่กี่สิบ USD ก็ยังทำต่อไป เพราะมันก็ยังกำไรอยู่ดี ไม่ได้ทำแล้วขาดทุนสักหน่อย แถมจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งเสียอีก มองโลกให้กว้างครับ อย่าไปเชื่อที่เขาบอกมาง่ายๆว่า แค่กำไรลดแล้วจะไม่ยอมพัฒนาอะไรออกมาขายอีกเลย เพราะมีบ.อื่นๆที่เขาพร้อมจะยอมรับกำไรที่น้อยกว่าหน่อยเพื่อที่จะแทรกตัวเข้ามาในธุรกิจนี้อยู่แล้ว ตามหลักตลาดเสรี(กึ่งผูกขาด) อยากให้พยายามเข้าใจถึงกลไกของระบบทรัพย์สินทางปัญญา ว่าสิทธิบัตรแต่ละอย่างมีความแตกต่างกัน กลไก CL ของ WTO เกิดขึ้นมาก็เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ บ.ยา เอาเปรียบหรือผูกขาดโก่งราคาจนเกินไปจนละเลยถึงมนุษยธรรม เพราะยา มันมีความจำเป็นในการดำรงอยู่กับมนุษย์(ปัจจัย4) จะปล่อยให้มีการแสวงหากำไรกับสิ่งนี้อย่างอิสระเสรีมากเกินไปไม่ได้ ก็เท่านั้น ป.ล. ต่อจากคคห.เก่าผม ทำไมไม่มีใครแถวนี้เดืิอดร้อนแทน บิล เกต บ้างเลยว่าทำไมปล่ิอยให้มีการละเมิดลิขสิืทธิ์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันในหลายๆประเทศ ไม่กลัว บิล เกต กำไรลดแล้วท้อใจไม่ออก windows version ใหม่บ้างเหรอ ? จากคุณ : ....4จุด - [ 6 พ.ค. 50 17:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ยาที่จะถูกทำ CL ได้ ไม่ใช่ยาทุกตัวนะครับ มันมีกฎเกณฑ์ในการพิจารณาว่ายาใดอยู่ในข่ายทำ CL ได้ เท่าที่บริษัทยารับทราบคร่าวๆ คือ เป็นยาจำเป็น มีการใช้อย่างมาก ในโรคที่ร้ายแรง (แน่นอน เราไม่มีวันที่จะเห็นการ CL ยารักษาสิวแน่ๆ) เข้าข่ายผูกขาด หรือกึ่งผูกขาด มีการขายในราคาที่แพงผิดปกติไปมาก หรือจำกัดการขาย ลองพิจารณา คาเล็ตตร้าดู ในกรณีของยารักษาโรคเอดส์ ยาลำดับแรกที่นิยมใช้คือ AZT+DDI+3TC หรือสูตรอะไรประมาณนี้ มีให้เลือกอยู่ 2-3 สูตร ต่อมาหากดื้อยา ก็จะเปลี่ยนยาเป็นยาลำดับที่สอง หรือสาม ซึ่งทุกสูตร จะมี คาเล็ตตร้าผสมอยู่เสมอ คาเล็ตตร้าเป็นยาที่แพงที่สุดในตอนนี้ ผูกขาด จำเป็นต้องใช้รักษาโรคร้ายแรง ไม่มีทางเลือกในการใช้ยาแทน   ไม่เคยประณีประนอมลดราคาเลย และเป็นยาเอดส์ตัวเดียว ที่ขึ้นราคาเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวอื่นลดราคาลงเรื่อยๆ การถูก CL ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ----------------------------- ยากำไรมากเกินไป??? ให้ข้อมูลแวดล้อมเพื่อตัดสินดีกว่า ต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์สมมุติ ทีมขายยาเล็กๆ ทีมหนึ่ง ยอดขาย 80 ล้านต่อปี ผู้แทนขาย 7 คน รายได้คนละ 5 หมื่นบาทต่อเดือน โดยเฉลี่ย ระดับบริหาร 3 คน รายได้ 1 แสนบาทต่อเดือน จ่ายใต้โต๊ะ เอ๊ย.. สวัสดิการให้โรงพยาบาล 5% จากยอดขาย มีค่าใช้จ่ายการตลาดแบบวิชาการ 2 ล้านบาทต่อปี มีค่าใช้จ่ายทางการขาย แบบไม่วิชาการ 2 ล้านบาทต่อปี ค่าใช้จ่ายแบบไม่ลงบัญชี อีกประมาณ 1 ล้านบาทต่อปี บริษัทพาพนักงานไปเที่ยวต่างประเทศปีละ 1 ครั้ง ในประเทศ ปีละ 3 ครั้ง ออฟฟิศอยู่ในย่านธุรกิจการค้าที่ค่าเช่าแพงมาก เฟอร์นิเจอร์ในออฟฟิศก็อย่างหรู พื้นที่ออฟฟิศก็เกือบทั้งชั้นของตึก   ยาที่ขายอยู่ตอนนี้พนักงานขาย สามารถลดราคาลงได้ 20% โดยไม่ต้องขออนุญาตหัวหน้า แต่หัวหน้าลดได้มากสุดแค่ไหน ไม่รู้ ในบางที่ขายครึ่งราคายังกล้าขาย หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วมีกำไรส่งไปต่างประเทศ 20% จากยอดขายทุกปี ถ้าจะบอกว่าต้นทุนรวมค่าวิจัย ไม่รวมค่าการตลาดแล้ว ตกประมาณครึ่งหนึ่งของราคายา ผมว่ามันออกจะประเมินสูงไปหน่อยนะ จากคุณ : อะธีลาส - [ 6 พ.ค. 50 20:54:21 ]

ความคิดเห็นที่ 31 การใช้ CL ของเรา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความเสียหายรุนแรงแก่บริษัทยา ถึงขั้นที่จะส่งผลถึงการทดลองวิจัยยาชนิดใหม่ๆ ได้ เช่นเดียวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ software ของบริษัทใหญ่ๆ อย่าง MS ก็คงไม่ทำให้เขา ขาดทุน หรือเลิกพัฒนา (แต่บริษัท software เล็กๆ ในประเทศ ที่ริอ่านมีผลิตภัณฑ์ของตนเอง ก็ตายมาแล้วหลายเจ้า) ที่ต่างกันอย่างมาก คือ การละเมิดลิขสิทธิ์ software มันไม่ได้ทำโดยระดับรัฐบาลครับ ถ้ารัฐบาลเราประกาศเอา Microsoft Windows มา crack แล้วใช้ฟรีเมื่อไหร่ คนในประเทศเอง และต่างประเทศก็คงมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกันนี่แหละครับ คุยกันดีๆ เถอะครับ อย่าคิดว่าตัวเองรักชาติคนเดียว คนอื่นเค้าก็ไม่ได้รักบริษัทยาหรอกครับ แค่กลัวจะเป็นคนไม่ดีในเวทีโลกเท่านั้นเอง สิ่งที่คุณควรทำก็คือการอธิบายว่าเรามีสิทธิ์ที่จะทำ ควรทำ หรือจำเป็นต้องทำอย่างไร (ซึ่งคุณก็อธิบายไปแล้ว) แต่ก็ไม่ควรหวังว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับคุณนะครับ เพราะต่างคนต่างก็มีอิสระในการคิดครับ ผมก็ตระหนักถึงพฤติกรรมที่ขัดมนุษยธรรมหลายๆ อย่างของบริษัทยา ครับ และเห็นด้วยกับที่คุณเล่าให้ฟัง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไปเอาทรัพย์สินทางปัญญาเขามาได้ ในเมื่อเขาเอาเปรียบ เราก็ต้องเจรจาต่อรอง. CL จะนับเป็นเครื่องมือต่อรองอย่างนึงก็คงได้ แต่น่าจะเป็น "ท่าไม้ตาย" ไม่ใช่ท่าแรกที่ใช้เปิดศึก (ผมก็ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้เรามีการต่อรองอื่นใดหรือไม่ เพื่อให้ลดราคายาพวกนี้) เพราะคนดูทั้งฝ่ายเรา และฝ่ายเขา เห็นแล้วตกใจครับ กลัวว่าเราจะถูกจับแพ้ฟาวล์ แล้วคนที่เดือดร้อนก็คือฝ่ายเรา ซึ่งจนถึงวันนี้ เขาก็ไม่ได้อยู่เฉย แถมยังประกาศแล้วว่าเราทำฟาวล์ แลกกับการทีเราได้ยาลดราคาเป็นผลตอบแทน ในเมื่อมันมีทั้งด้านลบและบวก คุณยังจะหวังให้ทุกคนเห็นด้วยหมดได้อย่างไรครับ จากคุณ : ikkyu - [ 6 พ.ค. 50 21:42:48 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แล้วก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลทุกด้าน จากทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยนะครับ ไม่อยากให้ดูหมิ่นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตน ด้วยคำอย่างเช่น ไม่รักชาติ หัดใช้สมองบ้าง อะไรพวกนี้ จากคุณ : ikkyu - [ 6 พ.ค. 50 21:47:31 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอฟันธงบอกว่า เรื่อง CL ที่เป็นประเด็นร้อน  เพราะ บ.ยา (บางบริษัท) ผู้บริหารระดับบนๆ หน้ามืดตามัวครับ  เขาให้ ลดกำไรลงนิดหน่อย ไม่ยอมลด  พอโดน CL ตูมเข้า ... ลดได้หูตาเหลือก  ทำไมถึงว่า ลดกำไรลงนิดหน่อย  เพราะกำไรส่วนใหญ่ มาจากประเทศที่ ... รายได้ประชากร  ต่ำมากๆ จนค่าใช้จ่ายในการหายาเพื่อรักษาโรค ร้ายแรง+เร่งด่วน+ป้องกันได้ มันต่ำกว่ารายได้มากๆ  ที่สำคัญสุดคือ ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นโรคดังกล่าว เป็น lower class citizen ซึ่งไม่มีหนทางทำมาหากินเพื่อให้ได้รับการรักษา  การไม่ใด้การรักษาดังกล่าว จะต้องส่งผลร้ายแรง ต่อประเทศนั้นๆ โดยส่วนรวม เสียหายถึงความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาประเทศอย่างเห็นชัด  ยาใดๆ + โรคใดๆ + ประเทศใดๆ ก็ตาม ที่เข้าข่าย (criteria) ที่ว่ามาข้างบนทั้งหมด ... WTO อนุญาตให้ใช้ CL ได้  USA หรือ EU หรือ G7 ไม่มีสิทธิ CL ครับ  แม้ว่าจะเป็นประเทศที่คิดค้น หรือผลิตเอง  ..........  อย่าบอกว่า software ไม่มี CL เลย  มันไม่มีตรงๆ แต่มีอ้อมๆ  เมื่อไม่กี่ปีก่อน พอประเทศไทยประกาศว่า จะสนับสนุนการพัฒนา Thai Linux เต็มที่ เพื่อแจกจ่ายไปกับ low cost computer ...  ทาง M$ กลืนน้ำลายตัวเองที่ถ่มรดฟ้า จากที่ประกาศว่า One Windows, One Price ... ราคาเดียวทั้งโลก  ... ปรับเปลี่ยนลดราคาให้ทันควัน เพื่อป้องกันไม่ให้ linux โต  (และ linux ในไทยก็ตายสนิท ตามที่ M$ ต้องการ) จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 6 พ.ค. 50 23:28:27 ]

ความคิดเห็นที่ 34 นั่นอ่ะดิ ที่ WTO มี CL เพื่อเปิดช่องให้ชาติด้อยพัฒนาที่มีรายได้น้อย มีช่องทางที่จะเข้าถึงตัวยา ผมเห็นมุมมองของคนค้านใช้โลกทัศน์พูดราวกับว่าในโลกนี้มีแค่ 2 ชาติคืออเมริกาผู้ผลิตและโขกราคายา กับไทยเราผู้ใช้ยา ไม่รู้ว่าเค้าเข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจว่าทั้งโลกเนี่ยมันใหญ่มากๆ และตลาดยาที่มีมูลค่าสูงมากๆของเค้าก็คือในประเทศเค้าเองและชาติที่มีกำลังซื้อทั้งหลาย และที่ยิ่งไปกว่านั้น HIVก็มีความเป็นมาที่คลุมเครือว่าจะเกี่ยวข้องกับ Lab ในอเมริกาเป็นคนสร้างขึ้นมาเสียด้วย จากคุณ : x - [ 7 พ.ค. 50 00:58:14 A:210.246.64.167 X: TicketID:052378 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คนลงทุนทำการค้นคว้าวิจัยเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เค้าก็ต้องการมีกำไร เป็นแรงกระตุ้นให้ทำการค้นคว้าต่อไป ทำแบบนี้อีกหน่อยใครอยากลงทุนคิดอะไรใหม่ ๆ ทางที่ดีควรหาจุดที่ทั้งสองฝ่ายเดินมาเจอกันได้ แต่เรื่องอยู่ดี ๆ ใช้อำนาจยึดนี่ ทำเหมือนโลกไม่มีกฎเกณฑ์นี่ใช้ไม่ได้ รัฐบาลเผด็จการ วิสัยทัศน์สั้นก็แบบนี้แหละ ผลเสียทางเศรษฐกิจ ความมั่นใจต่อการลงทุนในประเทศไทยมีมหาศาล จากคุณ : micky - [ 7 พ.ค. 50 09:48:29 A:203.151.206.73 X:58.8.3.130 TicketID:098315 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ^ ^ ^ ได้อ่านข้อความข้างบน ๆ หรือเปล่าครับ เช่น "เรื่องอยู่ดี ๆ ใช้อำนาจยึดนี่ ทำเหมือนโลกไม่มีกฎเกณฑ์นี่ใช้ไม่ได้" ถ้าคุณอ่านข้างบน ก็จะทราบว่ามีกฎเกณฑ์ระบุไว้แล้วครับ จากคุณ : MAX - [ 7 พ.ค. 50 10:13:18 ]

ความคิดเห็นที่ 37 สงสัยไม่ได้อ่าน WTO (อันมีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรือใหญ่) "อนุญาต" ให้ประเทศยากจนใช้ CL ได้ครับ แต่ "ไม่อนุญาต" ให้ประเทศร่ำรวยใช้ CL "อนุญาต" ให้ใช้ CL ในยาที่จำเป็น ผูกขาด ไม่มีการแข่งขัน  ราคาแพงผิดปกติ โรคร้ายแรง "ไม่อนุญาต" ให้ CL ในยาที่มียาทดแทนได้ โรคไม่ร้ายแรง ยาราคาไม่แพง ยามีการแข่งขัน ไม่ใช่จู่ๆ ก็ใช้อำนาจ ขัดกับชาวโลกเสียเมื่อไหร่ อ่านให้ละเอียด ก่อนออกความคิดเห็นนะครับ จากคุณ : อะธีลาส - [ 7 พ.ค. 50 10:43:21 ]

ความคิดเห็นที่ 38 มองในแง่เศรษฐศาสตร์ดีๆสิครับ ไม่มีทางที่บริษัทนั้นๆจะยอมเลิกการผลิตยาหรอกตราบเท่าที่มันยังทำ้กำไรให้ผู้ถือหุ้นได้ ถ้าบริษัทจะเลิกหรือจะล้มก็คงเป็นเพราะว่าึความผิดพลาดในการบริหารงานเช่น วิจัยไม่เข้าเป้า การตลาดไม่ดีซะมากกว่า ต่อให้มีบางบริษัทเลิกไป นั่นเท่ากับว่าบริษัทที่เหลือรอดจะมี Demand มากขึ้นชดเชยกัีบอัตรากำไร/หน่วยที่ลดลงเนื่องจากราคาที่ลดลง ลองมองในแง่ร้ายสุดๆคือบริษัทยาถอดใจล้มบริษัทหมด ตลาดก็จะเกิดช่องว่างก็มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาเปิดบริษัทเท่านั้นเอง ระบบทรัพย์สินทางปัญญามันเป็นดาบสองคมคือหนึ่งปกป้องผู้คิดค้น แต่ในทางกลับกันก็อาจจะบิดเบือนระบบตลาดเสรีไปในตัว จากคุณ : Nexus - [ 7 พ.ค. 50 10:56:35 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ลองมาดูตัวเลขจริงๆกัน ลองดูตารางข้างล่างได้เลยนะครับดูตรงคอลัมน์ Industry ก็ได้ จะเห็นว่าต้นทุนการผลิตเฉลี่ยย้อนหลังห้าปีนั้นอยู่ที่ 26.5% เมื่อดูที่ EBIDT ที่รวมค่าบริหารจัดการและค่าโสหุ้ยต่างๆเอาไว้แล้วจะเห็นว่าค่าใช้จ่ายส่วนนั้นเท่ากับ 43.97% ซึ่งตรงนี้ผมไม่ทราบว่าเป็นค่าการตลาด ค่าวิจัย ค่าบริหารกี่ % เลยลงมาตรง Net Profit margin เลยแล้วกัน ถึงจะหักโน่นหักนี่ไปแล้วก็ยังเหลือกำไรสุทธิถึง 18.4% ซึ่งยังมากกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทใน S&P 500 Index ถึง 5.66% ลองมาดูกันเป็นจำนวนเงินดีกว่าครับ Pfizer มีรายได้ปี 2006 เท่ากับ 48,371 ล้าน US$ (1,644,614 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิ 21.17% เท่ากับ 10,240.14 ล้าน US$ (337,924.64 ล้านบาท) ถ้า Pfizer ยอมลดกำไรลงมานิดหน่อยเหลือซักเท่าๆกับบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน ประเทศยากจนคงได้ใช้ยาที่ราคาถูกลงอีกพอสมควรเลยทีเดียว เครดิต: ข้อมูลจาก Reuters ครับ http://www.investor.reuters.wallst.com/stocks/Ratios.asp?rpc=66&ticker=PFE แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 50 12:02:06 จากคุณ : Nexus - [ 7 พ.ค. 50 11:59:49 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สารภาพว่าอ่านไม่หมดค่ะ แต่ขอบคุณคุณอะธีลาสที่ยกมาให้ คือเราได้ข้อมูลมาบอกว่า CL สามารถทำได้ในสองกรณีคือ ระหว่างสงคราม และเมื่อประเทศอยู่ในภาวะฉุกเฉิน เช่น โรคระบาดร้ายแรง คือยังไงเราก็สนับสนุนให้มีการเจรจาพบกันครึ่งทาง หรือการกำหนดราคาที่ยุติธรรม ไม่ใช่ใช้อำนาจยึด แบบที่รัฐบาลนี้ทำคือ ตัดงบสาธารณสุข ไปโปะงบทหาร เราเชื่อว่าตราบใดที่รัฐบาลสามารถบริหารประเทศชาติให้มีเศรษฐกิจที่ดี มีความมั่นคง เราก็สามารถมีเงินช่วยเหลือคนจนให้สามารถเข้าถึงยาได้ ในสมัยนายกทักษิณ จำได้ว่าประเทศซึ่งต้องรับเงินช่วยเหลือจากที่อื่นมาโดยตลอด จนถือเป็นเรื่องธรรมดา ได้มีศักดิ์ศรีพอที่จะปฏิเสธเงินช่วยเหลือจากต่างชาติ บอกว่าเราสามารถช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับมาเป็นโจรซะ แล้วก็ดันตัดอนาคตการลงทุนของประเทศซะอีก นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะ ยินดีรับฟังความเห็นคนอื่น ๆ จากคุณ : micky - [ 7 พ.ค. 50 12:30:14 A:203.151.206.73 X:58.8.3.130 TicketID:098315 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ู^ ^ ^ ลองอ่านดูสักหน่อยสิครับ สิ่งที่คุณว่ามาเขาทำไปจะหมดแล้ว ถ้าไม่อยากอ่านหลายความเห็นก็ลองชำเลืองความเห็นที่ 15~16 ก็ได้ ส่วนเรื่องค่อนแคะทางการเมืองผมไม่ขอแสดงความคิดเห็นครับ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 50 13:08:19 จากคุณ : Nexus - [ 7 พ.ค. 50 12:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วค่ะ... แล้วก็อ่านของคุณเด็กบ้านสวนเหมือนกัน เราคิดว่า ความจริงแล้วการมีจริยธรรมเป็นสิ่งถูกต้องที่สุด แต่จริยธรรมในที่นี้คือ บริษัทยาที่ต้องตั้งราคายา อย่างสมเหตุสมผล เห็นใจคนจน ไม่ใช่การไปยึดของเค้ามา และบอกว่าทำเพื่อจริยธรรม ถ้าใช้ CL ขู่ได้ผลก็ทำไปเถอะ แต่ถ้ามันแฟร์มั้ยเราก็ว่าไม่แฟร์อยู่ดี ว่าแต่ไม่เอาเรื่องการเมืองมาเกี่ยวหน่อยหรือ อันนี้แหละสำมะคัญ ฮ่า ฮ่า ... พูดเล่นค่ะ เดี๋ยวขี้เกียจต่อเรื่องนายกทักษิณโกงไม่โกงอีก จากคุณ : micky - [ 7 พ.ค. 50 13:31:33 A:203.151.206.73 X:58.8.3.130 TicketID:098315 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ลืมบอกไป มาตรการนี้มีไว้ขู่ครับ ไม่ได้เอามาใช้จริงๆ จากคุณ : อะธีลาส - [ 7 พ.ค. 50 13:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 44 บริษัทยาตั้งราคาอย่างสมเหตุสมผล? ลองอ่านความเห็นที่ 39 ของผมดูสิครับแล้วน่าจะพอรู้ได้คร่าวๆ ว่าราคามันสมเหตุสมผลหรือไม่ ส่วนเรื่องจริยธรรม......ถ้าบริษัทยามีจริยธรรมก็คงไม่ต้องบังคับกันกระมัง ถ้าทุกคนมีจริยธรรมก็คงไม่จำเป็นต้องมีกฎหมาย ผมไม่คิดว่ามีคำว่าจริยธรรมหรอกครับในทางธุรกิจ มีแต่คำว่ากำไรสูงสุดเท่านั้นแหละ เรื่อง CL นี่เป็นเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์ โดยใช้อาวุธที่ WTO ให้ไว้กับประเทศที่อำนาจการต่อรองต่ำ เมื่อมีให้ใช้ก็ควรจะใช้ซะ แต่อย่าใช้พร่ำเพรื่อเท่านั้นเอง จากคุณ : Nexus - [ 7 พ.ค. 50 15:04:48 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ดีครับคุยกันอย่างมีเหตุผล .. อ่านแล้วได้ความรู้ดี   จากที่อ่านมา ส่วนตัวผมเห็นด้วยว่า การที่รัฐบาลเปิด CL เป็นเรื่องที่ทำได้ครับ ไม่ผิด  !! แต่ขั้นตอนในการเจรจา ขอต่อรองราคายา  มันมีมากว่านั้นครับ เพราะการที่ขอให้ บริษัทเจ้าของยาลดราคาตัวเองลง ต้องมีการเจรจา ต่อรองกัน .......               ผมว่าการที่ตกลงกันไม่ได้ จนถึงขั้น ที่ประเทศไทยเกิปัญหา กับประเทศคู่ค้าสำคัญของเรา  มันไม่เป็นผลดีกับเราซักนิด ผมอยากให้ราคาลดลง แต่ก็ไม่ได้อยากให้ลดลง จนถึงขั้นประเทศ ไทยมีการขัดแย้ง  ถึงขั้นมีการขู่ตัด GSP ไทย               ผมเห็นด้วยที่บอกว่า สหรัฐไม่กล้าตัด GSP ไทย เพราะ มีช่องทางในการร้องกับ WTO  แต่เรื่องมันก็ไม่ควรมาถึงขั้นนี้ ผมขอติงการทำงานของ รัฐมนตรีสาธารณะสุข ครับ หลักการคิดดี มีประโยชน์   แต่ทำไม่เป็นไม่รู้จักเจรจาต่อรองที่สันติ มีแต่การหักด้ามพร้าด้วยเข่า  ด้วยการเร่งเปิด CL เร็วเกินควร จนทำให้ประเทศไทย ต้องขัดแย้งกับประเทศคู่ค้า ที่สำคัญในการส่งออก  และ เศรษฐกิจด้านอื่น จากคุณ : rockaun - [ 7 พ.ค. 50 19:26:03 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ^ ^ ^ องค์กรอื่นต่อรองกันมานานแล้วครับ เหลือแค่กระทรวงสาธารณสุขเท่าันั้น ที่ไม่ทำให้ได้ผล แต่ถามพี่อะธีลาสดีกว่า ว่าทำไมถึงไม่ได้ผล จากคุณ : Epinephrine - [ 7 พ.ค. 50 20:03:41 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ข้อมูลจริงผมไม่รู้อ้ะ ผมรู้แต่ "นิยาย" เป็นนิยายจากประเทศแถวๆ อาฟริกา มีคนบอกว่าบริษัทเต้าฮวยข้ามชาติ ซื้อ รัฐมนโทในคณะรัฐบวมได้ อย่างน้อยสองคน คนหนึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอาหาร อีกคนก็เป็นช่วยว่าการ ส่วน นาย ก. ก็ได้ข่าวว่ารับทรัพย์จากบริษัทเต้าฮวยไปไม่น้อย เวลาที่เจรจาขอลดราคาเต้าฮวยทีไร เลยไม่สำเร็จซักกะที คนในประเทศนั้นก็เลยต้องกินเต้าฮวยราคาแพง องค์กรผู้บริโภคเต้าฮวยแห่งชาติ และแห่งอื่นๆ อีกหลายแห่งก็เจรจาต่อรองอยู่ ก็ลดราคาได้แค่น้ำขิง ส่วนเต้าฮวยก็ยังแพงอยู่ต่อไป รัฐบวมเองก็ไม่ยอมไปต่อรองราคาให้ แถมยังประกาศบรรจุเอาเต้าฮวยเป็นอาหารแห่งชาติ บังคับให้ทุกคนกินอีกต่างหาก --------------------------------- วันดีคืนดี พอรัฐบวมหมดอำนาจ รัฐบาลใหม่ดันชอบกินเต้าฮวยมาก เลยประกาศทุบราคาเต้าฮวยในประเทศ เพราะจะได้กินเต้าฮวยราคาถูก ก็แค่นั้นเอง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใครชอบเต้าฮวย ก็ต้องพยายามต่อรองราคาเต้าฮวย จะได้กินเต้าฮวยถูกๆ จากคุณ : อะธีลาส - [ 7 พ.ค. 50 22:42:17 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อ่านนิยายแล้วก็เศร้าครับ ถ้าผมเป็นโรคติดเต้าฮวยชนิดที่ถ้าไม่ได้กินต้องลงแดงตายคงต้องตายแหงมๆเลย จากคุณ : Nexus - [ 7 พ.ค. 50 23:02:11 ]

ความคิดเห็นที่ 49 รัฐบวมเก่าประเทศในเอฟริกานี่เก่งจังนะครับ ไม่มีใครจับได้มีหลักฐานเลยเอาผิดได้เลย สงสัยคนที่จับผิดโง่จริง ๆ แหละ แต่ผมว่ารัฐบามเก่าโดน ตัวโกง ให้ร้าย มากกว่านะ จากคุณ : sss (rockaun) - [ 7 พ.ค. 50 23:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 50 โกงไม่โกงไม่รู้แต่ถ้าเห็นๆอยู่ทนโท่ว่าถ้ารัฐบาลแอฟริกาที่อยู่มาสี่ซ้าห้าปี ยังไม่เจรจาให้สำเร็จ ก็คงนึกเหตุผลออกไม่กี่ข้อเช่น 1. รัฐบาลบ่จี๊ สมรรถภาพเสื่อม - ก็ประเทศอื่นๆเจรจาได้ ทำไมประเทศนี้เจรจาไม่ได้? 2. รัฐบาลไม่อยากเจรจาให้สำเร็จ - เพราะ? ไม่ต้องเอาที่ว่าโกงไม่โกงหรอกครับ เอาแค่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานก็พอแล้ว ในการเจรจาเรื่องเต้าฮวย ก็เห็นๆกันอยู่ หรือว่าเป็นเพราะว่ามี Job Rotation กันบ่อยก็ไม่รู้ ป.ล. คันปากอ่ะ "ทีเรื่องแปลงร้านหูฉลามน้ำแดงให้เป็นมหาชนล่ะก็เร่งยิกๆ ทำไมเรื่องต่อราคาเต้าฮวยมันไม่เห็นเดินหน้าอย่างนั้นบ้างเลย" คนกินเต้าฮวยก็คนนะครับ ใช่ว่าทุกคนจะมีเงินกินหูฉลามซะเมื่อไหร่  ตอนที่เขาแปลงร้านคาร์เวียร์เป็นมหาชนหลายคนก็ไม่ทันกินไปครั้งแล้ว รอบนั้นขายดิบขายดีหมดในห้าวิ ตอนนั้นได้ข่าวว่ามีหลายตระกูลโดนข้อหากินไม่แบ่ง จากคุณ : Nexus - [ 7 พ.ค. 50 23:38:15 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เอิ๊ก ๆ เป็นการเมืองไปซะแล้ว จากคุณ : MAX - [ 7 พ.ค. 50 23:53:37 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โห....เปรียบเทียบได้เห็นภาพเลยครับ ได้ความรู้ใหม่แล้ว ซ้อแว่นก็ร่วมกินราคาเต้าฮวยกับเค้าด้วย รู้แต่ว่าแกกินไก่ติดโรคไปพันล้าน ทีแท้กินไม่เลือก มิน่า สามีแกเลยไม่อยากเจรจาลดราคาเต้าฮวย ทีประเทศอื่นคนผลิตเต้าฮวยรีบวิ่งโร่ลดราคาให้ จากคุณ : x - [ 7 พ.ค. 50 23:56:22 A:210.246.64.153 X: TicketID:052378 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ใครมีความรู้เรื่องเต้าฮวย ลองเอาบัญชีอาหารหลักแห่งชาติมาเทียบดูก็จะเห็นครับ ว่าแต่ละรัฐบวมในอาฟริกาเค้าจัดบัญชีอาหารอย่างไร บัญชีอาหารหลักแห่งชาติฉบับล่าสุดนี่ ชื่ออย่างเป็นทางการคือฉบับดาวเทียม แต่บริษัทเต้าฮวยเค้าเรียกว่าฉบับปล่อยผีครับ มีอาหารราคาแพงที่ไม่จำเป็นหลุดเข้าไปเพียบเลย เรียกได้ว่า อาหารทุกชนิดของบริษัทเต้าฮวยข้ามชาติ อยู่ในบัญชีทั้งหมด ยกเว้นอาหารที่เพิ่งวางตลาด เตรียมข้อมูลโภชนาการไม่ทัน เห็นว่ารัฐบวมเผด็จการกำลังจะรื้อบัญชีอาหารหลักแห่งชาติใหม่ จะเก็บไว้เฉพาะอาหารหลัก 5 หมู่ เท่าที่จำเป็นต่อสุขภาพประชาชน ตอนนี้บริษัทเต้าฮวยหนาวๆ ร้อนๆ กันเป็นแถว กลัวเต้าฮวยของตัวเองหลุดจากบัญชี กำลังวิ่งเต้นกันให้ฝุ่นตลบ   เดือนนี้ผมได้รับคำสั่งจากบริษัทเต้าฮวย ให้เดินทางไปล็อบบี้กรรมการพิจารณาบัญชีอาหารหลัก ที่อาฟริกา บริษัทเต้าฮวยของผมให้เงินติดกระเป๋ามาไม่น้อย พร้อมสั่งสู้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าบนโต๊ะ หรือใต้โต๊ะ ขอให้เต้าฮวยไม่หลุดจากบัญชี ไม่รู้ว่ากรรมการอาหารชุดเผด็จการ จะซื้อง่ายขายคล่องเหมือนรัฐมนโทดาวเทียมรึเปล่า ป.ล. โชคดีจัง ที่เป็นเรื่องแต่ง ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่เกี่ยวกับประเทศไทยเลย สาบานได้ ให้ฟ้าผ่าหัวนักการเมืองสิ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 50 01:38:34 จากคุณ : อะธีลาส - [ 8 พ.ค. 50 01:35:39 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ดีใจครับที่ยังมีคนได้อ่านนิยายเรื่องนี้   นิยายดีๆ อ่านแล้วฉลาด   น่าบรรจุให้เป็นหนังสือเรียนระดับประฐมไปเลย   แทน มานี มานะ กะ ชูใจ จากคุณ : ยากจริงจริง - [ 8 พ.ค. 50 10:29:36 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ผมว่าอย่าไปโทษรัฐบาลเก่าเลยครับ แม้แต่จะกล่าวหา พวกคุณยังไม่กล้าเล่าเป็นเรื่องเป็นราว  แต่งนิยายมากระแนะกระแหนเขา อาจจริงรัฐบาลเก่าควรมีการจัดการต่อรองลดราคายามาก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่เห้นแปลกที่ไม่ได้ทำ ก็ในเมื่อมันไม่ได้อยู่ในนโยบายที่เค้าประกาศ และมุ่งเน้น หรืออาจจะคิดไม่ถึง เพราะงาน และปัญหาประเทศนี้มันก็เยอะอยู่แล้ว ผมว่ากรณีรัฐบาลเก่า พวกคุณ ๆ ที่อคติกัน ขอให้มองเป็นกลาง มองภาพการทำงานโดยรวม ของรัฐบาลเก่า และรัฐบาลนี้  โดยรวมดีกว่า ว่าประเทศมันดีขึ้นหรือไม่ และหลังจากไล่ไปแล้วมีรัฐประหาร ประเทศดีขึ้นใหม่ รัฐบาลดำเนินการทำงานดีขึ้นมั้ย  ทุกอย่างในประเทศมันดีขึ้นหรือไม่ จะดีกว่าครับ  ( แต่ผมว่ารัฐบาลนี้ทำงานไม่เป็น ฟันธงดีกว่า ) ไอ้เรื่องการต่อรองเรื่องราคายานี้ คุณก็ไปเล่านิทานอ้าง ว่าเรื่องมันมาจากรัฐบาลเก่า แต่คุณไม่เคยคิดถึงการทำงานของ รัฐมนตรีสาธารณะสุข ชุดนี้ว่า การตกลงทำการต่อรองราคา มันมีมา 6 เดือนแล้วนะครับ ที่รัฐมนตรีคนนี้สามารถดำเนินเรื่องต่อรองราคายา ได้  ถ้าคนมันเก่งผลออกมาต้องดี มีการประณีประนอม มากกว่านี้ไม่ใช่หรือ แล้วสรุปผลมันออกมาเป็นแบบนี้ ถือว่ามีปัญหา   พวกคุณจะมาโทษรัฐบาลเก่ามันก็ไม่ถูก เพราะรัฐบาลเก่าหลุดจากการ ดำเนินงานตรงนี้มา 6 เดือนแล้วนะครับ ผมถึงบอกว่าพวกคุณ ๆ บางคนก็หัดลดอคติซะบ้าง หัดมองคนที่ทำงานปัจจุบัน  ว่าทำงานดีหรือไม่จะดีกว่ามั้ยครับ อย่าเข้าข้างให้มันมากนัก เอาผลเสียอื่น ๆ มาคิดบ้าง ผมเห็นการตัดสินใจดำเนินการต่าง ๆ เช่น - การฉีกรัฐธรรมนูญ 40 แทนที่จะแก้ใข ปรับปรุง - กรณีต้องการยึดดาวเทียม - กรณีเรื่องหวย - กรณีเรื่อง การตรวจสอบรัฐบาลเก่า - เรื่องทุนการศึกษา - การจัดจ้างบริษัท ลอบบี้ลีส ประชาสัมพันธ์ประเทศไทย - กรณีการโปรโมทโจมตีสุวรรณภูมิ - ฯลฯ บอกตามตรง ความรู้สึกมันคือ ล้มเหลวครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 50 23:21:59 จากคุณ : rockaun - [ 8 พ.ค. 50 23:13:27 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เข้าเรื่องการเมืองจนได้ จากคุณ : Evil_Dog - [ 9 พ.ค. 50 00:58:08 ]

ความคิดเห็นที่ 57 #55 กระทู้นี้เขาพูดเรื่องยากัน ก็พูดแต่เรื่องยาสิครับ ข้อเท็จจริืงมันก็ออกมาอยู่ ตอนแรกเห็นด่ากันว่ารมต.สาธารณสุขทำ CL เพื่อต่อรองลดราคายาเหมือนไปโกงประเทศอื่น/เผด็จการ ฯลฯ พอเขาอธิบายข้อเท็จจริงว่าประโยชน์มีมากมายชนิดน่าจะำทำมานานแล้วก็ไปด่าเรื่องอื่นแทน แล้วจะคุยกันจบได้ไหมนั่น จากคุณ : ....4จุด - [ 9 พ.ค. 50 07:44:19 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ท่าทางมันจะไม่ได้อ่านรายละเอียด การเจรจาต่อรองราคายาในเมืองไทย ในระดับราชการ แบบรุนแรงมีมาไม่ต่ำกว่า 2 ปีแล้วครับ ที่จริงองค์กรเอดส์ทั่วโลกเค้าเจรจามาตั้งแต่ก่อนการประชุมรอบโดฮา หลังการประชุมรอบโดฮา องค์กรเอดส์และองค์กรเอกชนด้านสุขภาพ (เช่นกาชาด แพทย์ไร้พรมแดน ฯลฯ) ก็เจรจาขอลดราคาในเมืองไทย ซึ่งก็ได้มามากบ้างน้อยบ้าง ในยาหลายตัว (อย่างที่บอกคือ ยกเว้นคาเล็ตตร้า เป็นตัวเดียวที่ขึ้นราคา 40% ก่อนจะถูกระดับนโยบายในกระทรวงสาธารณสุขกดดันให้ลดราคา) โรงพยาบาล และผู้บริหารระดับกรมลงมา ช่วยกันต่อรองราคา และกดดันมากขึ้น โดยเฉพาะ ในรอบสองปีหลัง ที่โรงพยาบาลเริ่มขาดทุนจากโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีการเจรจาเป็นการภายใน และเรียกตัวแทนไปเจรจา ทั้งในกระทรวง และตามโรงพยาบาล เจรจากันมานานแล้ว การต่อรองราคาไม่ใช่เพิ่งทำเมื่อวานซืนนี้ เพียงแต่ระดับนโยบาย ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น คำขอจากโรงพยาบาล และจากกรม ที่ส่งขึ้นไป ก็ไม่มีการตอบสนอง ทั้งๆ ที่ก็เห็นตัวเลขค่ายาว่ายาออริจินัลราคาแพง มันมียอดการใช้วิ่งขึ้นทุกวัน แล้วจะให้คนทำงานคิดว่าอย่างไร ส่วนผมที่อยู่ในบริษัทยาน่ะ ไม่แปลกใจ เพราะทีมขาย อย่างพวกเรานี่แหละ ที่เป็นคนวิ่งเต้นเอง ส่วนวิ่งกับใคร จ่ายเท่าไหร่ ผมไม่รู้ข้อมูลแท้จริง รู้แต่ว่ายาที่ผมขายอยู่ เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติเบิกจ่ายฟรีแน่ๆ ตั้งแต่ก่อนประกาศหลายเดือน ก่อนคณะกรรมการจะประชุมซะอีก ทั้งๆ ที่มียาที่ดีกว่า เป็นมาตรฐานกว่า และราคาถูกกว่า อยู่ในบัญชีแล้วก็เถอะ แต่จะไม่เชื่อก็ได้ เพราะอย่างที่บอก ผมถนัดแต่งนิยายมากกว่า จากคุณ : อะธีลาส - [ 9 พ.ค. 50 07:56:39 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ส่วนในรัฐบาลนี้ หลังจากรัฐประหารกลางกันยายน กลางเดือนตุลา มาจนปลายพฤศจิกา ก็เรียกบริษัทยาเข้าไปเจรจาทีละบริษัท หลายรอบ บริษัทออริจินัลในเมืองไทย โดนกันถ้วนหน้า และไม่ได้เจรจากับยาทุกตัว แต่เจรจาในยาบางตัวเท่านั้น เป็นการเจรจาต่อเนื่องจากที่ข้าราชการระดับปฏิบัติการได้เจรจาค้างไว้เป็นปีแล้ว และไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐมนตรีนั่นแหละ   หลังจากที่บริษัทยาไม่ยอมลดราคา (เพราะคิดว่ารัฐมนตรีชั่วคราวไม่น่าจะกล้าทำอะไร) ก็มีการประกาศบังคับใช้อำนาจเหนือสิทธิบัตรขึ้นมา ทีนี้บริษัทยาก็วิ่งไปเจรจาลดราคากันเป็นแถว ลดราคามากบ้าง น้อยบ้างแล้วแต่ยา และความจำเป็น http://www.rachanont.com/ http://www.fringer.org/?p=236 จากคุณ : อะธีลาส - [ 9 พ.ค. 50 08:06:16 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ใช่ค่ะ... ขนาดในอเมริกาเองก็การทำclเหมือนกันนั่นแหละค่ะ.... ... เราว่าหลักสูตรการศึกษาของเราน่าจะเน้นสร้างนักเจรจาต่อ รองนักล๊อบบี้ยิสต์ให้มากขึ้น......อิอิ..ขอนอกเรื่องนิดนึงค่ะ.... จากคุณ : บาร์บี้girl - [ 9 พ.ค. 50 10:26:13 A:203.144.229.20 X: TicketID:109907 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อ่ะหากระทู้ไม่เจอครับ เลยนานไปหน่อย อื่นกระทู้ แล้วรู้สึกว่าคุณ อะธิลาส  จะเข้าใจผิด เห็นพยายามอธิบาย เรื่องการต่อรองที่มีมาเนิ่นนาน ผมรู้ครับว่าการต่อรองของไทยมีมานานแล้ว และต้องโทษรัฐมนตรีเก่า ๆ มันไม่ได้เรื่อง ( ย้ำเฉพาะในเรื่องนี้ ) แต่มารัฐมนตรีชุดนี้  จัดการต่อราคากันยังไง  ถึงไปขู่เปิด CL เขา ซึ่งเป็นมาตราการสุดท้าย ที่รุนแรงที่สุด ที่กระทบกับผู้ใช้ลิขสิทธ์ยา  ทำให้เจ้าของลิขสิทธ์ ( ซึ่งเค้าก็ถูกต้อง ) เสียประโยชน์มากว่าที่จะยินยอม จึงไปฟ้อง รัฐบาลของตน ทำให้รัฐบาลสหรัฐ ขู่ตัด GSP ไทย ( ซึ่งคุณ อะธีลาส บอกว่า ฟ้อง WTO ได้  ซึ่งมันไม่ได้ครับ ลองหาดูคลิป กรองสถานะการณ์  คืนวันที่ 10 /5/07  ครับ สภาการค้าไทยเค้าคุยเรื่องยากันอยู่   GSP เป้นสิทธิพิเศษที่ เมกา ให้เราซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนา และอีกหลายประเทศ เป็นมาตราการลดภาษี เพื่อความได้เปลียบในการส่งสินค้าเข้าประเทศเขา เพราะฉะนั้น เค้าจะตัด GSP ไม่เกี่ยวกับ WTO ครับ  ) แม้การเปิด CL ครั้งนี้จะได้ราคายาที่น้อยลง แต่ก็กำลังจะแลกกับการที่โดนตัด GSP  ซึ่งส่งผลกับธุรกิจอื่น อีกมากมาย ซึ่งเรื่องของเรื่อง ถ้ารัฐมนตรีสาธรณะสุข มีการเจรจาที่ดี (กว่านี้) แม้จะตกลงลดราคาน้อยกว่านี้หน่อย แต่ไม่มีมีปัญหากับ บริษัทยา และ ประเทศสหรัญ  มันจะดีกว่านี้มั้ย คุณ อะธีลาส ผมเชื่อว่ารัฐบาลนี้จะเจรจาลดค่าการจับตาพิเศษ  ให้ประเทศเราได้ แต่ก็ไม่อยากให้ประเทศเป็นข่าว ด้านแบบนี้ครับ  มันเสียชื่อเสียง จากคุณ : rockaun - [ 11 พ.ค. 50 01:28:53 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ใช่ค่ะ... ขนาดในอเมริกาเองก็การทำclเหมือนกันนั่นแหละค่ะ.... ... เราว่าหลักสูตรการศึกษาของเราน่าจะเน้นสร้างนักเจรจาต่อ รองนักล๊อบบี้ยิสต์ให้มากขึ้น......อิอิ..ขอนอกเรื่องนิดนึงค่ะ.... จากคุณ : บาร์บี้girl ------------------------------ จริงอยู่ครับ ว่าอเมกาเค้าเคยทำ CL มาแล้ว แต่คราวนั้นเมกา มีการระบาดของโรคแอนแทค ซึ่งเป็นโรคร้ายแรง ฉุกเฉิน  เพราะติดง่าย และตายเร็ว  ผลิตไม่ทัน เค้าจึงเปิด CL เพื่อซื้อยา ไม่ใช่หรือครับ เรื่องนี้ก็พึ่งฟังจากกรองสถานการ เมื้อกี้ แหม พอดีเลยครับ และเห็นด้วยกับคุณ บาร์บี้girl  ครับว่า ต้องจัดการคนที่มีความสามารถในการต่อรอง ที่ดีกว่า ครับ จากคุณ : rockaun - [ 11 พ.ค. 50 01:34:09 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอ 3 กระทู้ติดเลยนะครับ ไม่ได้ศรีธนนชัยนะครับ ตัดดแปะมาเพื่อตอบให้เคลียร์น่ะครับ  ข้อความต่อเนื่องนะครับ "และไม่ได้เจรจากับยาทุกตัว แต่เจรจาในยาบางตัวเท่านั้นเป็นการเจรจาต่อเนื่องจากที่ข้าราชการระดับปฏิบัติการได้เจรจาค้างไว้เป็นปีแล้ว และไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐมนตรีนั่นแหละ  " ก็แน่ล่ะครับ ยาบางตัวเป็น ลิขสิทธ์ของทางยุโรป จึงไม่กล้าเปิด CL ลิขสิทธ์ยามัน เพราะไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่ม ( แค่เมกาก็ดังจะตายอยู่แล้ว ) "หลังจากที่บริษัทยาไม่ยอมลดราคา (เพราะคิดว่ารัฐมนตรีชั่วคราวไม่น่าจะกล้าทำอะไร) " โหคิดงั้นเลยเหรอ ผมว่าเค้าไม่ยอมลดหรอกครับ เพราะยังตกลงราคากันไม่ได้ เหมือนผมขายของ ถ้าลูกค้ามาต่อรอง แล้วผมได้กำไรน้อยไม่พอค่าใช้จ่าย(ไม่คุ้ม) ผมก็ไม่ตกลงครับ ก็เป็นสิทธืไม่ใช่เหรอ ก็มีการประกาศบังคับใช้อำนาจเหนือสิทธิบัตรขึ้นมา ทีนี้บริษัทยาก็วิ่งไปเจรจาลดราคากันเป็นแถว ลดราคามากบ้าง น้อยบ้างแล้วแต่ยา และความจำเป็น " ก็แน่นอนครับ มีการขู่จะเปิด CL ( เอายาระเมิดลิขสิทธ์เข้ามา ) บริษัทยารู้ว่าขายไม่ได้แน่แท้ กับราคานี้  ก็ต้องพยุงบริษัทยาใว้ก่อน และสั่งของน้อยลง ( เพราะรัฐบาลเอายาผีมาแข่ง )  ก็ต้องขอดูลาดเลาก่อนล่ะครับ ปล. ผมไม่รู้คิดผิดหรือคิดถูกแหละ แต่ต้องขอติติงการทำงานของรัฐมนตรีคนนี้ซักหน่อยครับ จากคุณ : rockaun - [ 11 พ.ค. 50 01:49:39 ]

ความคิดเห็นที่ 64 โหคิดงั้นเลยเหรอ ผมว่าเค้าไม่ยอมลดหรอกครับ เพราะยังตกลงราคากันไม่ได้ เหมือนผมขายของ ถ้าลูกค้ามาต่อรอง แล้วผมได้กำไรน้อยไม่พอค่าใช้จ่าย(ไม่คุ้ม) ผมก็ไม่ตกลงครับ ก็เป็นสิทธืไม่ใช่เหรอ ถูกครับ แต่ผมไม่คิดว่าเราจะต่อรองจนถึงขั้น ไม่คุ้ม หรอกครับ กำไรของบริษัทยามัน มหาศาล (ยาตัวเดียวกัน องค์การเภสัชจะขายถูกกว่า 2-3 เท่า) ดูที่นี่ครับ http://www.forbes.com/lists/2007/18/biz_07forbes2000_The-Global-2000_IndName_9.html การต่อรองไม่ถึงกับลดจนขาดทุนหรอกครับ แต่ลดให้กำไรน้อยลงหน่อย เพื่อช่วยผู้ป่วย แต่ Abbot คงไม่ยอม จากคุณ : xinematic - [ 11 พ.ค. 50 11:27:52 A:125.25.204.40 X: ]

ความคิดเห็นที่ 65 คุณ xinematic ผมเข้าใจครับว่า การที่ประเทศเราจะไปต่อรองราคายา กับบริษัทยา เราก็ต้อง คำนวณแล้วว่าบริษัทยาอยู่ได้ แต่วิจาณญาณ ของคืนซื้อกับคนขายมันต่างกันครับ คนขายเค้าก็ต้องการกำไรสูงสุด ( เท่าที่เป็นไปได้ ) ส่วนคนซื้อก็ต้องการราคาที่ถูกที่สุด ซึ่งเป้นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นมันต้องมีการต่อรอง กันอย่างยุติธรรม แต่ในกรณีนี้ ผมไม่ทราบว่า ทางรัฐมนตรีเราไป ขอลดราคาเขาขนาดไหน บริษัทเขาถึงไม่ตกลง ซึ่งผมคิดว่า บริษัทยากก็คงตกลงลดราคาบ้างแล้ว แต่กระทรวงสาธรณะสุขของเราก็ไม่ตกลง ( เพราะต้องการให้ลดลงอีก ) จึงมีการเจรจามาตลอด  ซึ่งก็ถูกต้อง ไปตามขบวนการต่อรอง แต่หลังจากนั้น รัฐมนตรีของเราดันไป เปิด CL ซึ่งเป็นการข่มขู่ โดยกฏหมาย WTO เปิดช่องใว้ ให้ประเทศที่วิกฤติ  ยากจน เงินน้อย ( ซึ่งไม่รู้ว่าหน่วยงานไหนพิจารณาว่า สมควร เปิด CL หรือไม่ ) เลยกลายเป็นผลกระทบระหว่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจ แล้วหน้าตาประเทศเสื่อมเสียอย่างแรง ซึ่งในความคิดของผม คิดว่า มันไม่ควรอย่างแรง เพราะน่าจะทำ และตัดสินใจได้ดีกว่านี้ ประเทศชาติก็ไม่เสียชื่อเสียง และกระทบธุรกิจอื่น ๆ เขา ส่วนเรื่องราคายาลดลงนั้น ผมเห็นด้วยว่าดีครับ เน้นเลยนะ  แต่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการ หักคอ บริษัทยาครั้งนี้ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 50 13:27:57 จากคุณ : rockaun - [ 11 พ.ค. 50 13:25:00 ]

ความคิดเห็นที่ 66 กระทู้นี้ได้ความรู้ดีครับ แต่จะดีกว่านั้นถ้าไม่เอาประเด็นการเมืองเข้ามายุ่งครับ จากคุณ : I_Feel_Control - [ 11 พ.ค. 50 15:13:45 ]

ความคิดเห็นที่ 67 "แต่ในกรณีนี้ ผมไม่ทราบว่า ทางรัฐมนตรีเราไป ขอลดราคาเขาขนาดไหน บริษัทเขาถึงไม่ตกลง ซึ่งผมคิดว่า บริษัทยากก็คงตกลงลดราคาบ้างแล้ว แต่กระทรวงสาธรณะสุขของเราก็ไม่ตกลง ( เพราะต้องการให้ลดลงอีก ) จึงมีการเจรจามาตลอด  ซึ่งก็ถูกต้อง ไปตามขบวนการต่อรอง" ตกลงตรงนี้คุณรู้ หรือไม่รู้ครับ? สิ่งที่คุณรู้คืออะไรกันแน่? อย่างเพิ่ง Discredit ส.ธ ด้วยการคาดเดาเลยครับ เท่าที่ผมจับใจความได้ คุณไม่รู้ว่าก่อนหน้าประกาศ CL ทางผู้ผลิตยอมลดราคาลงมาขนาดไหน (ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ายอมลดหรือเปล่า) แต่คุณกลับมาตำหนิ ส.ธ. เสียแล้วว่า ร.ม.ต ไปขู่เขา ผมขอถามข้อเท็จจริงจากคุณ rockaun ไม่มาก-ไม่น้อย เอาแค่ว่าก่อนหน้าประกาศ CL ทาง ABBOT ยอมลดราคาลงมาเท่าไหร่? เท่านั้นก็พอครับ หรือจะลงเป็นลิงค์ หรือเอกสารการประชุมก็ได้ ผมจะพยายามตามไปหามาอ่านครับ จากคุณ : Nexus - [ 11 พ.ค. 50 22:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 68 คุณ Nexus จริงครับที่ผมไม่รู้ว่า ก่อนหน้าประกาศ CL ทาง ABBOT ยอมลดราคาลงมาเท่าไหร่? แต่มันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะครับ  ถึงเค้าจะลดลงมาน้อย หรือมาก   แต่ผลสรุปแล้ว ว่ากระทรวงสาธารณะสุขไม่พอใจราคาที่  ABBOTเสนอ  จึงทำการเปิด CL แล้วไอ้การเปิด CL นี่แหละที่ผมไม่เห็นด้วย เพราะมันยังไม่ควรข่มขู่เขาถึงขนาดนั้น   และมันก็ทำให้เกิดปัญหา จริง ๆ แล้วถ้าการเปิด CL มันดี  เค้าเปิดกันมานานแล้วครับ ตกลงกับราคากับ บริษัทยาไม่ได้ก็เปิด  เล่นง่าย ๆ  แต่.... ( ใคร ๆ ก็รู้ว่าการเปิด CL  เป็นการข่มขู่บริษัทยา แบบหักคอ กดราคา และมันจะทำให้เกิดปัญหา ระหว่างประเทศเจ้าของยา กับประเทศที่เปิด CL ) ไม่อย่างนั้นเค้าทำกันทั่วโลกแล้วครับ ไม่ต้องคิดมากหรอก เรื่องการเปิด CL น่ะ ถ้าคุณ Nexus คิดว่าเปิด CL เป็นการดีล่ะก็  ทำไมไม่บอกให้ สธ เปิดให้หมดเลยสิครับ  กล้ามั้ยล่ะ   ลองไปพิจารณาซิว่าทำไม ส.ธ  ต้องการเปิด CL แต่เปิด แค่ตัวเดียว ตอบว่า ก็เพราะว่าไม่อยากให้กระทบกับ  ลิขสิทธ์ของบริษัทยาประเทศอื่น ๆ อีก คุณอย่างมาเข้าข้างสาธรณะสุขมากขนาดนั้นเลยน่ะ  ไอ้ยาถูกใคร ๆ ก็อยากได้  และเห็นประโยชน์กับคนป่วยที่บากจนทั้งนั้นแหละ แต่การได้มาซึ่งราคายา นั้น ก็ไม่สมควรที่จะกระทบ  หรือแลกมาด้วยกับ  สิ่งอื่น ๆ  เช่นเศรษฐกิจ การส่งออก และมิตรประเทศ  และชื่อเสียงของประเทศ โปรดเข้าใจด้วยครับ ว่าผมไม่ได้สนใจหรือไปตามหรอกว่า ก่อนไทยจะประกาศ CL .............. บริษัทยาลดราคาถึงไหนเท่าไหร่   เพราะมันเป็นเรื่องของการเจรจาต่อรอง  ซึ่งเป็นการต่อรอง กับเจ้าของลิขสิทธ์ ขอให้พิจารณาข้อติติงของผมบ้าง อย่าโยก โย้ ประเด็นผมไปทางโน้นทางนี้ได้มั้ยครับ จากคุณ : rockaun - [ 12 พ.ค. 50 11:33:03 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เกือบลืม  ที่คุณ Nexus ว่ามา "เท่าที่ผมจับใจความได้ คุณไม่รู้ว่าก่อนหน้าประกาศ CL ทางผู้ผลิตยอมลดราคาลงมาขนาดไหน (ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ายอมลดหรือเปล่า) แต่คุณกลับมาตำหนิ ส.ธ. เสียแล้วว่า ร.ม.ต ไปขู่เขา " ผมตอบว่าผมมั่นใจครับว่า ตอนมีการตกลงต่อรองเรื่องราคายา บริษัทยาต้องยอมลดราคายามา ระดับหนึ่งแล้วแน่นอน  แต่ ส.ธ ไทยไม่พอใจกับราคาที่เค้าลด จึงทำการหักดิบ ( ไม่ใช่แค่ขู่นะ ) เปิด CL ทันที ถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น จากคุณ : rockaun - [ 12 พ.ค. 50 11:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ต้องขอโทษเจ้าของกระทู้อย่างแรงนะครับ  เพราะผมอาจละเลย ไปคุยกันถึงเรื่อง  ข้อดีข้อเสียของการเปิด CL มากเกินไป และที่จริงผมก็ได้ link กระทู้นี้มากจากราชดำเนิน  ก็เลยไม่ได้ดูว่าเป็นห้องหว้ากอ ยังไงก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ จากคุณ : rockaun - [ 12 พ.ค. 50 16:58:52 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เอาข้อมูล CL มาให้อ่านอีกชุดละกันครับ... ^^ (ขอโทษด้วยนะครับ สำหรับภาษาที่ออกจะทางการไปนิด...  ขี้เกียจพิมพ์ใหม่) การประกาศบังคับใช้สิทธิในสิทธิบัตรยาของประเทศไทย ครั้งที่ 1   กรณียาโรคเอดส์ Efavirenz หรือที่มีชื่อทางการค้าว่า STOCRIN® ของบริษัทเมอร์ค จำกัด สัญชาติสหรัฐอเมริกา  เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 ครั้งที่ 2 กรณียาโรคเอดส์สูตรดื้อยา LPV/r (Lopinavir/Ritonavir) หรือที่มีชื่อทางการค้าว่า KALETRA® ของบริษัทแอบบ๊อทท์ ลาโบราโตรีย์ สัญชาติสหรัฐอเมริกา  เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2550 ครั้งที่ 3 กรณียาป้องกันการอุดตันในเส้นเลือด Clopidogrel bisulfate หรือที่มีชื่อทางการค้าว่า PLAVIX ®  ของบริษัทซาโนฟี-อเวนทิส สัญชาติฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2550   ข้อกฎหมาย มาตรา 51 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดจากการผูกขาดของสิทธิบัตรได้ โดยจะต้องเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะและไม่มุ่งกำไร (public non-commercial use)  กฎหมายสิทธิบัตรไทยได้กำหนดสาเหตุของการใช้มาตรการนี้ไว้ ดังนี้ - เพื่อประโยชน์ในการประกอบกิจการอันเป็นสาธารณูปโภค หรือ - การอันจำเป็นเพื่อป้องกันประเทศ หรือ - การสงวน รักษา หรือการได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม หรือ - ป้องกันหรือบรรเทาการขาดแคลนอาหาร ยา หรือสิ่งอุปโภคบริโภคอย่างอื่นอย่าง รุนแรง หรือ - เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น กฎหมายจึงกำหนดให้อำนาจไว้เฉพาะกระทรวง ทบวง กรม เท่านั้นที่มีอำนาจใช้มาตรการนี้ได้ โดยจะกระทำการเองหรือมอบให้บุคคลอื่นกระทำการแทนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเจรจาขอใช้สิทธิจากเจ้าของสิทธิล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม  หน่วยงานของรัฐที่บังคับใช้สิทธิบัตรจะต้องแจ้งให้เจ้าของสิทธิบัตรทราบโดยไม่ชักช้าและเสียค่าตอบแทนแก่เจ้าของสิทธิ  โดยค่าตอบแทนให้เป็นไปตามความตกลงระหว่างหน่วยงานฯ กับเจ้าของสิทธิบัตรนั้น  และยื่นข้อเสนอค่าตอบแทนที่ตกลงกันได้และเงื่อนไขที่กำหนดให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาทราบต่อไป  ในกรณีที่ไม่สามารถตกลงกันได้ หน่วยงานฯ หรือเจ้าของสิทธิอาจแจ้งต่ออธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อพิจารณากำหนดค่าตอบแทนที่เพียงพอต่อพฤติการณ์แห่งกรณี แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 50 18:45:51 จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 12 พ.ค. 50 18:45:19 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีการบังคับใช้สิทธิในยาโรคเอดส์ Efavirenz 1. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (WHO), World Bank และ NGO ได้ศึกษานโยบายสาธารณสุขเกี่ยวกับการเข้าถึงยาโรคเอดส์ จากการศึกษาพบว่าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์ในไทยอยู่ในขั้นรุนแรง เนื่องจากมีจำนวนผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยจำนวนมากและราคายาต้านไวรัสเอดส์มีราคาแพง ส่งผลให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างสมบูรณ์ และได้เสนอแนะทางเลือกในการกำหนดนโยบายสาธารณสุข อาทิ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้พอเพียง นำโรคเอดส์เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพ หรือบังคับใช้สิทธิในสิทธิบัตรยาโรคเอดส์ ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการรณรงค์ควบคุมและป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น 2.  ตั้งแต่ปี 2544 รัฐบาลมีการดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal-access to essential healthcare) ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของประชาชนชาวไทยให้ได้รับการบริการทางด้านสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน มีความเท่าเทียม และทั่วถึงกัน โดยมีหลักการและเหตุผลเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของประชาชนที่ยากจนและมีรายได้น้อย ส่งผลให้รัฐบาลมีการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของคนไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเพียงร้อยละ 5 ในปี 2543 เป็นร้อยละ 12 ของงบประมาณปี 2550 อย่างไรก็ตาม งบประมาณเหล่านี้ก็ยังไม่เพียงพอในการรองรับผู้ป่วยโรคต่างๆ รวมทั้งเอดส์ ที่มีจำนวนมาก จากทั่วประเทศ 3.  ในปีงบประมาณ 2549 รัฐบาลได้ผลักดันให้โรคเอดส์เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 2,800 ล้านบาท เพื่อให้บริการแก่ผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์ อย่างไรก็ตาม งบประมาณดังกล่าวสามารถรองรับการให้บริการได้เพียง 82,000 คนเท่านั้น จากทั้งหมดกว่า 5 แสนคนที่จำเป็นต้องใช้ยา (ประมาณการว่ามีผู้ติดเชื้อในไทยทั้งหมด 1 ล้านคน) โดย สปสช. ได้เสนอให้ สธ. ดำเนินการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ (ผ่านคณะกรรมการฯ การบังคับใช้สิทธิยาต้านไวรัสของ สปสช.) 4.  เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 สธ. ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522  มอบให้กรมควบคุมโรคประกาศบังคับใช้สิทธิในสิทธิบัตรยา STOCRIN® หรือที่มีชื่อสามัญคือ Efavirenz และให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ใช้สิทธิแทนในการผลิต ขาย หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยอ้างเหตุผลความจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะในการเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขอบเขตการให้บริการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในระบบหลักประกันสุขภาพของไทย ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น และเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการแพ้ยาต้านไวรัสตัวอื่น ซึ่งมีอัตราสูงถึงร้อยละ 25 ขณะเดียวกันได้แจ้งเจ้าของสิทธิให้ทราบการดำเนินการดังกล่าวของ สธ. ด้วย 5.  ทางด้านสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ IP Regional Office ประจำประเทศไทย และผู้แทนสมาคมผู้ผลิตและวิจัยยาประเทศไทย ได้แสดงความกังวลต่อกรณีการบังคับใช้สิทธิในสิทธิบัตรยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz โดยไม่ได้มีการหารือกับเจ้าของสิทธิก่อนล่วงหน้า รวมทั้ง USTR ที่มีความกังวลเช่นกันและเห็นว่าไทยควรจัดให้มีกระบวนการปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะออกประกาศดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัท Merck  มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับไทยในการผลิตยารักษาโรคเอดส์มาเป็นเวลานาน โดยในเบื้องต้นไทยอาจต่อรองให้บริษัทลดราคายาลง ในขณะที่การบังคับใช้ควรเป็นมาตรการที่ใช้ในลำดับสุดท้าย และเห็นว่าไม่ประสงค์ให้ประเด็นดังกล่าวขยายตัวเป็นประเด็นสาธารณะ โดยเสนอแนะให้มีการหารือในกลุ่มเล็ก 6.  สธ. โดยกรมควบคุมโรค ได้หารือกับบริษัท Merck เจ้าของสิทธิเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2549 ผลการหารือเบื้องต้นบริษัทยาได้แจ้งที่จะลดราคายาลงจากเดิมค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นแนวทางที่ดี 7.  องค์การเภสัชกรรมได้นำเข้ายาโรคเอดส์งวดแรกจากอินเดียมาแล้วตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2550 ในจำนวน 16,500 กล่อง  และอยู่ระหว่างการเตรียมกระจายยาไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ให้แก่ผู้ติดเชื้อ จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 12 พ.ค. 50 18:46:59 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีการบังคับใช้สิทธิในยา KALETRA ® และ PLAVIX ® 1.  สธ.ได้ออกประกาศบังคับใช้สิทธิในสิทธิบัตรยา เพิ่มเติมอีก 2 รายการ ได้แก่   - ยา KALETRA ®  (ยารักษาโรคเอดส์ในสูตรดื้อยา) ของบริษัทแอบบ๊อทท์ ลาโบราโตรีย์ สัญชาติสหรัฐอเมริกา ในวัน ที่ 24 มกราคม 2550 และ -  ยา Clopidogrel bisulfate หรือมีชื่อทางการค้าว่า  PLAVIX ® (ยาป้องกันการอุดตันในเส้นเลือด) ของบริษัทซาโนฟี-อเวนทิส สัญชาติฝรั่งเศส ในวันที่ 25 มกราคม 2550 2.  สธ. อยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของสิทธิของยาทั้ง 2 รายการ เพื่อหาทางออกร่วมกัน  แต่ยังไม่มีข้อสรุปในขณะนี้ จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 12 พ.ค. 50 18:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 74 สถานการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้สิทธิ 1.  CL กับมาตรา 301 พิเศษ     เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อประเทศประเทศคู่ค้าที่ไม่ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพภายใต้กฎหมายการค้าของสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ โดยจัดประเทศไทยให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List – PWL)  โดยมีการอ้างเหตุผลประการหนึ่ง คือ การที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศบังคับใช้สิทธิบัตรยา 3 รายการ อย่างไม่โปร่งใสและไม่มีการหารือกับเจ้าของสิทธิก่อน  รวมทั้งไม่เปิดโอกาสให้สามารถอุทธรณ์การบังคับใช้สิทธิต่อศาล 2.  การตั้งคณะกรรมการต่อรองราคายาที่มีสิทธิบัตร -  คณะกรรมการฯ (เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเป็นประธาน) จะทำหน้าที่เป็นผู้วางแนวทางในการเจรจาต่อรองราคายาสิทธิบัตรให้ลดลงหรือมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และหากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ ในที่สุดอาจนำไปสู่การใช้ CL  รวมถึงอำนาจในการเจรจาค่าชดเชย/ค่าตอบแทนให้แก่ผู้ทรงสิทธิในกรณีที่มีการใช้ CL แล้ว 3.  คณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงยา -  ล่าสุด สธ. โดยคณะกรรมการสนับสนุนการดำเนินการใช้สิทธิในสิทธิบัตรยาโดยรัฐ (นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ เป็นประธาน) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงยา เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการเข้าถึงยาร่วมกันอย่างยั่งยืน แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 50 09:50:17 จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 12 พ.ค. 50 18:49:11 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ความเห็นผมเองมั่ง... ผมว่าการดำเนินการของ สธ. ที่ผ่านมาสอดคล้องกับทั้งกฎหมายไทยและพันธกรณีของ WTO อยู่แล้ว  และในความเป็นจริงท่าทีอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ ที่ USTR ออกมาแถลงก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกับสิทธิของไทยที่จะใช้ CL เพียงแต่ต้องการให้ไทยเราทำอย่างโปร่งใส และมีการหารือกับภาคเอกชนของเค้าด้วยเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างอื่น ส่วนรายงานของ US for innovation ...  ต้องเข้าใจว่านี่เป็นรายงานของบริษัท lobbyist ที่เอกชนกลุ่มหนึ่งในสหรัฐฯ จ้างมาให้ทำ PR ข้อมูลบางส่วนก็บิดเบือน  ต้องวิเคราะห์นิดนึงอย่าไปเชื่อทั้งหมด และก็อย่างเหมาว่าเป็นท่าทีของ "สหรัฐฯ" ครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในความเป็นจริงกฎหมายไม่ใช่ทั้งหมดของทุกอย่าง  มันยังจะต้องคำนึงถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความรู้สึกของนักลงทุน ความไม่มั่นใจต่างๆ ด้วย ที่เราส่งสัญญาณออกไปจากการใช้ CL ด้วย... ไม่ใช่ทำให้โลกเค้าเข้าใจว่าไทยไม่ให้ความสำคัญแก่เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา นึกจะยึด จะเพิกถอนอะไรก็ทำ ถ้าเป็นอย่างงั้น ใครเค้าจะกล่าเข้ามาทำการค้ากับเรา  จริงมั้ยคับ ^^ จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 12 พ.ค. 50 18:57:57 ]

ความคิดเห็นที่ 76 คุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน ผมได้อ่านบทความของคุณ ลูกหมูแก้มอ้วน ทั้งหมดแล้วครับ ได้ความรู้ดี      ช่ายครับ ผมก็งงเหมือนกันว่า ทำไมรัฐมนตรีสาธรณะสุข ถึงกล้าสั่งเปิด CL ยา Efavirenz       ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการรเจรจากับบริษัทยา และมีการให้บริษัทยาร้องอุธร เรื่องราคา อะไรเลย ผมรู้ว่าเรื่องนี้จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องไม่ใหญ่มาก แต่ ถ้ามันกระทบประเทศคู่ค้าที่สำคัญ มันจะลำบาก ผู้ทำธุรกิจส่งออกเค้าล่ะครับ จากคุณ : rockaun - [ 13 พ.ค. 50 03:29:50 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ลองอ่านกระทู้ผมให้ดีๆนะครับ ผมถามไว้ชัดเจนแล้วว่าคุณ "รู้" "ข้อเท็จจริง" หรือเปล่าก่อนมาตำหนิการกระทำของ ส.ธ.? เพราะถ้าเกิดว่าข้อเท็จจริงออกมาว่าทางบริษัทยาที่ว่าไม่เคยที่จะยอมลดราคาเลยแม้แต่ Dime เดียว "สาเหตุ" ของคุณที่ใช้ตำหนิจะ Invalid ทันที สาเหตุที่ผมถามเพราะผมต้องการให้มีการพูดกันบนพื้นฐานของขอ้เท็จจริงที่ยืนยันได้ มีหลักฐานรองรับ อย่างเช่นของคุณลูกหมูแก้มอ้วนเป็นต้นซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่อยากให้การสนทนาดำเนินไปบนพื้นฐานของ ความเชื่อ, การคาดเดา หรือ Prejudice ที่ผมถามไปนั้นเพราะผมต้องการทราบว่าคุณ rockaun มี Fact ที่รองรับคำวิจารณ์ของคุณขนาดไหน ถามให้สั้นลงว่าความมั่นใจของคุณมาจากไหน? มาจากข้อมูลที่มีหลักฐานยืนยันหรือมาจากคนที่เชื่อถือได้ หรือมาจากข่าวลือ หรือว่ามาจาก...ความเชื่อ จากคุณ : Nexus - [ 13 พ.ค. 50 07:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 78 คุณ : Nexus ถึงแม้ผมไม่ได้คุลกคลีกับวงการยาหรอกครับ แต่ผมก็พยายามหาอ่าน และหาข้อมูล เช่นกระทู้นี้มีคนให้ข้อมูลมากมาย  แต่ไม่ค่อยตรงประเด็นนัก สิ่งที่ผมติติงการทำงานของรัฐ ในการดำเนินการทำข้อตกลงกับ บริษัทยา ซึ่งก็มีคนเห็นด้วย ถึงความห่วยของขั้นตอนการจัดการ เรื่องนี้ คุณกลับมาถามผมว่ารู้ข้อมูลจริงหรือเปล่า   ขอให้คุณลองอ่าน เอาข้อมูลของคุณ ลูกหมูแก้มอ้วน  ก็ได้ จะเห็นได้ว่า การประกาศบังคับใช้สิทธิในสิทธิบัตรยาของประเทศไทย ครั้งที่ 1   กรณียาโรคเอดส์ Efavirenz หรือที่มีชื่อทางการค้าว่า STOCRIN® ของบริษัทเมอร์ค จำกัด สัญชาติสหรัฐอเมริกา  เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 แต่มีการเรียกบริษัทมาตกลงเจรจา คณะกรรมการฯ ได้เรียกประชุมบริษัทยาเจ้าของสิทธิบัตรยาทั้ง 3 รายการที่มีการบังคับใช้สิทธิ และบริษัท Novatis เจ้าของสิทธิบัตรยามะเร็งเม็ดเลือดขาว Glivec เพื่อเจรจาขอให้ลดราคายา  ผลการเจรจาต่อรองราคาล่าสุด (วันที่ 10 เมษายน 2550) ในยา 4 รายการ มีดังนี้ ลองไปอ่านดูละกัน จากคุณ : rockaun - [ 13 พ.ค. 50 11:01:14 ]

ความคิดเห็นที่ 79 การเจรจาต่อรองราคานั้นมีมานานแล้วครับ ทั้งระดับโรงพยาบาล และระดับกอง ในกระทรวงสาธารณสุข และคลัง แต่เรื่องมันหยุดอยู่ที่ระดับกรม และกระทรวงมานานเป็นปี ทั้งๆ ที่ผู้บริหารโรงพยาบาล และองค์กรเอดส์ต่างๆ ก็เสนอเรื่องไปที่ระดับกระทรวงแล้ว อันนี้อาจารย์หมอซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวง เป็นคนบอกเองว่าต้องออกแรงต่อรองกับบริษัทยาเอาเอง เพราะระดับกระทรวงไม่ยอมเจรจา และอาจารย์ก็มาเจรจาต่อรองราคากับผมนี่แหละในฐานะตัวแทนบริษัท จำได้ว่าตอนนั้นมีการลดราคายาที่ผมขายลงไปนิดหน่อย และเท่าที่รู้คือ Kaletra ไม่ลดราคา ระดับบริหารของบริษัทเพิ่งไปเจรจากับระดับกระทรวงหลังจากปฏิวัตินี่เอง และมาแจ้งกับทีมขายว่า "ไม่มีการลดราคา" เพราะทางกระทรวงไม่ได้มีท่าทีที่ชัดเจน ว่าจะมีข้อแลกเปลี่ยนอย่างไร นอกจากขอให้ลดราคาลงดื้อๆ กระทรวงไม่ได้ตั้งแง่ ว่าต้องลดลงมากี่บาท กี่เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ถามว่า จะลดได้เท่าไหร่ ลดลงได้มากกว่านี้อีกไหม ลดลงมากสุดเท่าไหร่ การเจรจาในครั้งนั้นเจรจากับ ทุกบริษัทในยาราคาแพง ที่มีการใช้มากทุกตัว โฟกัสไปที่ยาเอดส์ และไม่มีบริษัทใด หรือยาใด ที่ยอมลดราคา แม้แต่นิดเดียว อย่างมากคือให้ส่วนลดแก่โรงพยาบาลเล็ก (ซึ่งปกติก็ให้อยู่แล้วในโรงพยาบาลใหญ่) เป็นเหตุให้มีการเปิด CL ตามมา ในความเป็นจริง จะมียาอีกหลายตัวที่จะถูก CL ตามมา แต่บริษัทได้เข้าไปเจรจาต่อรองราคากับกระทรวงล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว หลังจากเห็นว่ากระทรวงเอาจริง ครึ่งปีหลัง หลายบริษัท จะมีการลดราคายาหลายตัวที่อยู่ในข่ายจะถูกทำ CL ให้แก่โรงพยาบาล หลังจากต่อรองราคา และเงื่อนไขกับกระทรวงเรียบร้อยแล้ว แต่อันนี้อาจจะไม่เป็นข่าวออกมา เพราะเป็นการเจรจากันภายใน โดยเฉพาะยาต้านการติดเชื้อในโรงพยาบาลหลายยี่ห้อ ที่ถูกเรียกคุยมาหลายรอบแล้ว จากคุณ : อะธีลาส - [ 13 พ.ค. 50 11:09:29 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ถ้าได้ยามะเร็งอีกตัวคงจะดี จากคุณ : Dr.slump - [ 13 พ.ค. 50 13:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 81 อ่ะที่คุณอธีลาส อธิบายมาก็ถือ และรับฟังครับ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังขอบอกว่า ยังไม่ค่อยพอใจ ส.ธ อยู่ดีในเรื่องนี้ เพราะข้อมูลที่แต่ละท่านให้มา เมื่อเอามาพิจารณา ข้อดีข้อเสียแล้ว ผมว่ามันเกินกว่าเหตุ ที่เราจะเปิด CL ( จริง ๆ แล้วใช้ขู่ได้ แต่ก็ไม่ควรทำเพราะมันกระทบหลายอย่าง ) ส่วนถ้าคุณ อะธีลาสบอกว่า มีการดำเนินการไปตามขั้นตอน แล้ว แต่บริษัทยาเค้าไม่ยอมลด ก็มีความหมายว่า บริษัทเค้าให้รัฐยื่นข้อเสนอ ในการตกลงข้อแลกเปลี่ยน แต่รัฐกลับไปเปิด CL ยาเค้าทำไมล่ะครับ จริง ๆ ถ้าจะให้ดีที่สุด เรื่องมันควร จะจบลงด้วย ราคายาที่ลดลง ( แม้จะไม่ถูกเท่ายาผี ) และ ไม่มีผลกระทบ หรือเคืองกันระหว่างประเทศ ก็ไม่กระทบกับภาคส่งออก ผมไม่ทราบว่าเรื่องลิขสิทธ์  เมื่อก่อนต่างชาติเค้ามองเรายังไงนะครับ แต่ความรู้สึกว่า ประเทศไทยก็ไม่ของระเมิดลิขสิทธื  มากมาย แต่ ก็มีส่วนดีที่ประชาชนที่ไม่เงินถุงเงินถัง จะได้ซื้อหาได้สะดวก  และผมก็ไม่เห็นว่า ต่างประเทศเช่นอเมริกา มันจะมาแอนตี้อะไรเรา แต่หลังจาก เปิด CL ทำไมอเมริการถึงได้ร้อนรนถึงกับเสนอให้ เพิ่มอัดตราการเฝ้าจับตาประเทศเรา ในเรื่องลิขสิทธ์ เพิ่มขึ้น ...........ผมก็คิว่านั่นคือสัญญารเตือนอยู่แล้วว่าไม่พอใจ การที่ไทยเปิด CL โดยเค้าเข้าใจว่าเราไม่ได้มีการตกลงกัน และมีการเสนอ ข้อแลกเปลี่ยนมาก่อน เป็นการขอลดดื้อ ๆ แบบหักดิบ    เหมือนบอกว่า "ถ้าคุณไม่ตกลงราคานี้  ผมก็จะใช้กฏหมายบังคับเพื่อระเมิดลิขสิทธ์คุณ " แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 50 21:05:37 จากคุณ : rockaun (rockaun) - [ 13 พ.ค. 50 20:56:21 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ถ้าให้เดา ผมว่าการบังคับให้ลดราคาไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้สหรัฐอเมริกาไม่พอใจ น่าจะเป็นเรื่องการออกข่าวมากกว่า เพราะทำให้หลายๆ ที่ฉวยโอกาสผสมโรง CL ไปด้วย ถ้าทำเงียบๆ คงไม่มีอะไร เพราะที่ผ่านมายาเอดส์บางตัว ถูกต่อรองลดครึ่งราคา (หรือกว่านั้น) มาแล้ว โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน   ด้วยฝีมือองค์กรเอกชน และแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยเอดส์ (ที่ผ่านมารัฐบาลไหนๆ ก็ไม่เคยมีบทบาทเรื่องนี้) แต่ก็ไม่เคยมีการโวยวายจากอเมริกา การที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหน (ทุกประเทศ ทุกรัฐบาลในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา) กล้าหือกับบริษัทยา (โปรดอ่านนิทานในความคิดเห็นด้านบนประกอบ) เป็นเหตุผลหนึ่งที่บริษัทยาไม่เชื่อว่ารัฐมนตรีจะกล้าทำอะไรโหดๆ แบบนี้ และที่ตอบปฏิเสธไป เพื่อรอนัดเจรจารอบหน้า เพื่อต่อรองเงื่อนไข   เช่น ลดราคาเพื่อแลกกับการไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนยา generic หรือเพื่อให้ยาอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรืออยู่ในนโยบายการรักษา หรืออื่นๆ แต่รัฐมนตรีคนนี้แกไม่รอครับ พอบริษัทยาปฏิเสธปุ๊บ อาทิตย์ต่อมาประกาศ CL เลย โหดจริงๆ ไม่มีข่าววงในรั่วแม้แต่นิดเดียว ถ้ามีข่าวรั่วเหมือนที่ผ่านมา ก็คงรีบเจรจาต่อรองกันไปแล้ว ไม่ใช่มาเจรจาหลังจาก CL เหมือนตอนนี้ แม้ผลการเจรจาจะไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเจรจาก่อน หรือหลัง CL (ดูข้อต่อรองแล้ว ผมว่ารัฐบาล "ยอม" บริษัทยามากเกินไป เงือนไขแบบนี้ไม่ต้องขู่ด้วย CL บริษัทยาก็ยอมครับ) แต่การประกาศ CL ก่อนแล้วต่อรองทีหลัง ทำให้ประเทศอื่น CL ตามกันเป็นพรวน เพราะเห็นว่าทำแล้วได้ผล น่าจะเป็นเหตุผลนี้แหละครับ ที่ทำให้มหาอำนาจไม่พอใจ ไม่ใช่เพราะต่อรองมากเกินไปหรอก จากคุณ : อะธีลาส - [ 14 พ.ค. 50 02:03:55 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ได้ความรู้ดีครับ ยอดมากเลย จากคุณ : tuinui98 - [ 14 พ.ค. 50 04:17:05 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เพิ่มเติมความเห็นด้วยคนนะครับ 1.  ทำ CL ดีมั้ย? ควรใช้แค่เป็นเครื่องมือขู่รึเปล่า? CL เป็นข้อยืดหยุ่นอย่างนึงที่เราใช้ได้จริง และหลายๆ ประเทศในโลกก็มีการใช้กัน รอบๆ บ้านเรา ทั้งมาเล อินโด ก็ใช้ CL กับยาเอดส์มาหมดแล้ว (ส่วนยาโรคหัวใจ เท่าที่เคยหาข้อมูลดูเหมือนจะเคยมีโดมินิกันหยายามจะใช้แต่สุดท้ายรัฐบาลฝรั่งเศสเข้ามาเจรจาขวาง ไมรู้เหมือนกันว่าผลสุดท้ายเป็นยังไง)  สหรัฐฯ ก็เป็นอีกประเทศที่มีการใช้ CL มากที่สุดในโลก... ไม่ใช่เฉพาะยา... 2.  ความอ่อนไหวสำหรับการใช้ CL ในกรณีของประเทศไทย อยู่ตรงไหน? ต่างจากประเทศอื่นๆ ยังไง คงเป็นที่แนวทางในการทำของเราดูออกจะดูก้าวร้าวไปนิด เร่งรัดไปหน่อย และเหมือนจะมีเป้าหมายแล้วว่าจะต้องใช้ CL ให้ได้ โดยไม่สนใจว่าจะเจรจาสำเร็จแค่ไหน (อาจจะแค่เจรจาพอเป็นพิธีให้รู้ว่าคุยแล้วก็ได้ ...  อันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่เคยคุยกับอาจารย์หมอบางคนในคณะที่พิจารณาการใช้ CL คุณหมอจะค่อนข้างมีอคติกับบริษัทยา ว่าเขี้ยวมั่ง แทคติกเยอะมั่ง ถ้ามั่วทำอะไรช้าๆ เดี๋ยวจะมีการเมืองเข้ามาแทรกแซง)  ก็เลยเดือนร้อนถึงประเทศแม่เค้าที่ต้องออกมาปกป้องธุรกิจของเค้าในระดับหนึ่ง และเพื่อไม่ให้ประเทศอื่นๆ ทำตาม แต่ถ้ามองถึงสภาพในปัจจุบัน...  ผมว่าสธ.ก็เริ่มรับฟังมากขึ้น และพยายามดึงบริษัทยาเอกชนเข้ามาร่วมมากขึ้นแล้ว  คิดว่าต่อไปคำครหาคงจะน้อยลงไปครับ... 3.  ความเชื่อมโยงกับ 301 / การตอบโต้ทางการค้า (ความเห็นส่วนตัวนะคับ)  ไม่มีผลกระทบอะไรมากนักหรอกคับ  GSP ในสินค้าตัวจะอาจจะถูกตัดก็เป็นตัวที่อยู่ในข่ายที่จะถูกตัดอยู่แล้ว เพราะเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ ถือว่า graduate ไปแล้ว (คือแข่งขันได้ ไม่จำเป็นต้องให้แต้มต่อ) อีกอย่าง ธุรกิจไทยถ้ามั่วแต่คิดพึ่ง GSP มากไป ก็จะเคยตัว ไม่รู้จักว่าตัวเองแข่งได้แค่ไหน ไม่ยั่งยื่นหรอกคับ เพราะ GSP มันก็เหมือน "ทาน" ที่เค้าจะเลิกให้เมื่อไหร่ก็ไม่ผิดกฎ WTO ...... จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 14 พ.ค. 50 09:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ขออภัยที่ต้องใช้พื้นที่ตรงนี้กับเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องนิดหนึ่งนะครับ ต่อจาก #78 ก็แล้วกัน ขณะนั้น "#68" ผมถามไปที่ "#65" ว่าตอนที่คุณแสดงความคิดเห็นใน "#65" นั้น คุณมีข้อมูลอะไรสนับสนุนข้อความที่ว่า โดยเฉพาะตรงที่ขีดเส้นใต้ "แต่ในกรณีนี้ ผมไม่ทราบว่า ทางรัฐมนตรีเราไป ขอลดราคาเขาขนาดไหน บริษัทเขาถึงไม่ตกลง ซึ่งผมคิดว่า บริษัทยากก็คงตกลงลดราคาบ้างแล้ว แต่กระทรวงสาธรณะสุขของเราก็ไม่ตกลง ( เพราะต้องการให้ลดลงอีก ) จึงมีการเจรจามาตลอด  ซึ่งก็ถูกต้อง ไปตามขบวนการต่อรอง" ผมไม่ได้ถามถึงข้อมูลของคุณ "ลูกหมูแก้มอ้วน" เพราะเป็นข้อมูลที่มีมาตรฐานที่ดี ให้ข้อมูลที่น่ารับฟังเป็นพื้นฐานของการสนทนาต่อไปอย่างมีคุณภาพ ผมถามถึงข้อมูลของคุุณเองว่ามีแค่ไหน มาจากไหน....เท่านั้นเอง ส่วนตัวผม ผมจะพยายามจำกัดการตอบของผมในเรื่องที่มีข้อเท็จจริงให้มากที่สุด ส่วนเรื่องไหนที่เป็นความคิดเห็นผมมักจะระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นความคิดเห็น ส่วนเรื่องไหนที่เป็นการคาดการณ์ผมก็จะระบุไว้เสมอว่าเป็นการคาดการณ์(ซึ่งผมมักไม่ค่อยคาดเท่าไหร่นักหรอก) ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่ถกเถียงหักล้างกันได้ในเรื่องของข้อเท็จจริง ความคิดเห็นเป็นสิ่งที่เสวนากันได้ในเรื่องของความคิดเห็น แต่การคาดการณ์(คาดเดา) เป็นสิ่งที่คุยกันยาก และถ้าการคาดเดานั้นเป็นไปในทางไม่สู้จะดีนัก ก็ยิ่งคุยด้วยยากเข้าไปใหญ่ ท้ายที่สุดนี้ถ้าผมทำให้คุณ rockaun ไม่พอใจก็คงต้อขออภัยไว้ที่ตรงนี้ด้วย แล้วผมคงไม่ยกเรื่องนี้มาอีก เพราะผมเชื่อว่าได้แสดงความเห็นไปอย่างเพียงพอแล้ว เพียงแต่ผมอาจจะอ่านราชดำเนินมากไปหน่อย เลยได้เห็นเรื่องที่บางทีก็เป็นเพียงการคาดเดา แลัวเอามาเป็นเรื่องราวใหญ่โต ด่าทอกันไป-มา จากผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่าย ... ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเรื่องไม่มีมูล ซึ่งถ้าตามอ่านมาสัก 5~6 ปีก็จะได้เห็นว่าเรื่องพวกนี้มีมาเป็นระยะๆ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 50 10:53:50 จากคุณ : Nexus - [ 14 พ.ค. 50 10:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ความคิดเห็นที่ 11   เมกาไม่กล้าตัด GSP หรอกครับ เพราะจะผิดกฎของ WTO สามารถโดนร้องได้ เมกาซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีของ WTO ก็คงไม่อยากมีปัญหาตรงนี้หรอก GSP เป็นสิทธิ์ของเมกาไม่เกี่ยวกับ WTO ครับ จากคุณ : เฟืองเก่า - [ 14 พ.ค. 50 13:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 87 #86 เกี่ยวครับ เพราะถ้าการใช้มาตรการ 301 ของสหรัฐฯ มีผลมาจากการที่ไทยใช้ CL ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ทำได้ของ WTO เราสามารถร้องเรียนได้ว่า สหรัฐฯ กีดกันทางการค้าโดยใช้วิธีที่ขัดกับหลักการของWTO ครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 14 พ.ค. 50 20:09:41 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เห็นด้วยกับคุณ อะธีลาส และ คุณ ลูกหมูแก้มอ้วน  และขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ     ผมถึงบอกว่าผมไม่ปลื้มกับลำดับขั้นตอนการทำงาน ของ ส.ธ  เค้าแหละครับ ส่วนคุณ Nexus ที่ผมพูดว่า ... "แต่ในกรณีนี้ ผมไม่ทราบว่า ทางรัฐมนตรีเราไป ขอลดราคาเขาขนาดไหน บริษัทเขาถึงไม่ตกลง ซึ่งผมคิดว่า บริษัทยากก็คงตกลงลดราคาบ้างแล้ว แต่กระทรวงสาธรณะสุขของเราก็ไม่ตกลง ( เพราะต้องการให้ลดลงอีก ) จึงมีการเจรจามาตลอด  ซึ่งก็ถูกต้อง ไปตามขบวนการต่อรอง" ผมยอมรับว่าคาดเดา  และผมก็บอกแล้วไงว่า  "ผมคิดว่า" ซึ่นคนอื่นก็ย่อมรับรู้ทั่วกันแล้วว่าเป็นความคิดของผม ไม่ใช่หรือครับ ใครก็คิด และจินตนาการได้ครับว่าขั้นตอนการดำเนินงานต่อรอง มันก็ต้อง มีขั้นตอนที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว  ในเมื่อ (ผมคิดว่า ) ว่า สธ มีการต่อเรื่องราคา มาหลายครั้งแล้ว แต่มาตกลงกันไม่ได้ก่อนจะมาเปิด CL  ซึ่งนั้นเป็นแนวคิดที่ดีต่อ ส.ธ มากกว่า แต่นี่มารู้เมื่อ คุณ ลูกหมูแก้มอ้วน ให้แนวคิดในข้อ 2.  ความอ่อนไหวสำหรับการใช้ CL ในกรณีของประเทศไทย อยู่ตรงไหน? ต่างจากประเทศอื่นๆ ยังไง คงเป็นที่แนวทางในการทำของเราดูออกจะดูก้าวร้าวไปนิด เร่งรัดไปหน่อย และเหมือนจะมีเป้าหมายแล้วว่าจะต้องใช้ CL ให้ได้ โดยไม่สนใจว่าจะเจรจาสำเร็จแค่ไหน (อาจจะแค่เจรจาพอเป็นพิธีให้รู้ว่าคุยแล้วก็ได้ ...  อันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่เคยคุยกับอาจารย์หมอบางคนในคณะที่พิจารณาการใช้ CL คุณหมอจะค่อนข้างมีอคติกับบริษัทยา ว่าเขี้ยวมั่ง แทคติกเยอะมั่ง ถ้ามั่วทำอะไรช้าๆ เดี๋ยวจะมีการเมืองเข้ามาแทรกแซง)  ก็เลยเดือนร้อนถึงประเทศแม่เค้าที่ต้องออกมาปกป้องธุรกิจของเค้าในระดับหนึ่ง และเพื่อไม่ให้ประเทศอื่นๆ ทำตาม และ คุณ อะธีลาส ในข้อความนี้ แต่รัฐมนตรีคนนี้แกไม่รอครับ พอบริษัทยาปฏิเสธปุ๊บ อาทิตย์ต่อมาประกาศ CL เลย โหดจริงๆ ไม่มีข่าววงในรั่วแม้แต่นิดเดียว ถ้ามีข่าวรั่วเหมือนที่ผ่านมา ก็คงรีบเจรจาต่อรองกันไปแล้ว ไม่ใช่มาเจรจาหลังจาก CL เหมือนตอนนี้ แม้ผลการเจรจาจะไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเจรจาก่อน หรือหลัง CL (ดูข้อต่อรองแล้ว ผมว่ารัฐบาล "ยอม" บริษัทยามากเกินไป เงือนไขแบบนี้ไม่ต้องขู่ด้วย CL บริษัทยาก็ยอมครับ) ก็น่าจะเข้าใจได้ตรงกันว่า ลำดับขั้นตอนการทำงาน มันไม่ถูกต้อง  การเจรจาที่ถูกต้อง มันต้องไม่มีผลเสียแบบนี้ครับ     !!! ใคร ๆ ก็บอก สธ ทำไม่ถูกครับ ส่วนคุณ Nexus คิดว่าผมโกรธ ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไม่ได้ร้ายกาจอะไรครับ และไม่เคยคิดโกรธ คุณ Nexus เลยนะครับ     เพราะผมคิดว่าคุณก็มีเหตุผลในการคิด และ พูด  ไท้ได้ข้าง ๆคู ๆ ผมเองก็ฟังความคิดเห็นคนอื่นเช่นกัน ครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 50 20:57:46 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 50 20:53:59 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 50 20:52:32 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 50 20:43:44 จากคุณ : rockaun - [ 14 พ.ค. 50 20:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ได้ความรู้ดีค่ะ เหนื่อยเลย จากคุณ : jusjus - [ 15 พ.ค. 50 00:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 90 คุณอะธีลาส ทำงานบริษัทยาข้ามชาติ ขายยาแพงๆ  แต่มองเรื่อง CL ในแง่ว่า มนุษยธรรม และชีวิตมนุษย์ อยู่เหนือ การค้า และกำไร  ทุกความเห็นโต้แย้ง คือ ต้อง CL ให้ได้ แม้ประเทศชาติ และประชาชนจะจนลง  คุณ rockaun ทำงานบริษัทประเทศไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่ได้เกี่ยวกับการสาธารณสุข  แต่มองเรื่อง CL ในแง่ว่า การค้า และกำไร ต้องมาก่อนมนุษยธรรม และชีวิตมนุษย  ทุกความเห็นคือ ประเทศชาติ และประชาชนต้องอยู่อย่างมีเกียรติ ไม่ข่มขู่ ตกลงการค้าให้ชัดเจนก่อน แม้จะมีคนเจ็บ ป่วย พิการ ตาย ก็ไม่สำคัญ  มันตลกดีอ่ะ  แต่ผมอยาก มากกว่า  โหวตดีกว่า จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 15 พ.ค. 50 06:43:41 ]

ความคิดเห็นที่ 91 http://www.newstarget.com/021832.html จากคุณ : NaCl - [ 15 พ.ค. 50 09:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ผมอยู่บ.ยาแต่ไม่มีผลกระทบจาก CL นะครับ... ขอเพิ่มเติมข้อมูลที่ยังขาดให้นิดหนึ่งครับ.. ไทยเป็นตลาดที่เล็กในมุมมองของบ.ยาข้ามชาตินัครับ...ไม่ขายบ้านเราเขาไม่กระทบหรอกครับ...ที่ผมว่าน่าเป็นห่วงคือถ้าเขาตกลงไม่ขายแล้ว..อีกหน่อยในอนาคตเราอาจจะมีปัญหาในคุณภาพของการรักษาพยาบาลนะครับ ผมว่าเราคงจะไม่เห็นยาเอดส์ใหม่ ๆ เข้ามาในบ้านเราในอีกปีสองปีนี้แน่..เพราะว่าบ.ยาคงไม่กล้าเสี่ยง...อีกทั้งตอนนี้อินเดียเข้า WTO แล้ว..ดังนั้นยาที่จดลิขสิทธิ์หลังปี 2005 จะก็อปไม่ได้แล้วครับ..ผมว่าระยะสั้นเรามียาใช้ แต่ต้องแก้เรื่องภาพลักษณ์ของประเทศอีกนาน เพราะไม่ใช่แค่ธุรกิจยานะครับที่กระทบ..ธุรกิจอื่นก็นำปัจจัยนี้ไปประเมินความเสี่ยงเหมือนกัน...ที่จริงเรื่องนี้ถ้ากท.สา,สุขหารือกท.พานิชย์กับตปท.ก่อนจะไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตหรอกครับ..ผมว่าเจตนาดี..แต่วิธีการมีปัญหาครับ.. จากคุณ : คุณพ่ออุลต้าแมน - [ 15 พ.ค. 50 10:26:58 ]

ความคิดเห็นที่ 93 คุณ แมวเหมียวพุงป้อง อย่ามาตีความเห็นของผมว่า "คุณ rockaun ทำงานบริษัทประเทศไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่ได้เกี่ยวกับการสาธารณสุข แต่มองเรื่อง CL ในแง่ว่า การค้า และกำไร ต้องมาก่อนมนุษยธรรม และชีวิตมนุษย์ ทุกความเห็นคือ ประเทศชาติ และประชาชนต้องอยู่อย่างมีเกียรติ ไม่ข่มขู่ ตกลงการค้าให้ชัดเจนก่อน แม้จะมีคนเจ็บ ป่วย พิการ ตาย ก็ไม่สำคัญ" แม้ผมจะทำงานใหน ธรุกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องยา  แต่ผมก็สามารถมองการทำงาน ของรัฐออก ในกรณีเรื่องยา  ว่ามันทำการต่อรองแบบห่วย   ซึ่งควรจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ ทางที่ดีรัฐควรเจรจา ราคายาจนได้ข้อสรุปจนเป็นที่แน่นอนว่า บริษัทยาไม่ยอมลดราคายาแน่นอนแล้ว จึงทำการขู่เปิด CL แล้วค่อยตกลงอีกครั้ง ก่อนเปิด CL เพื่ออยู่เหนือ ลิขลิทธ์ยาเขา ไม่ใช่กระทำ การลัดขั้นตอน แบบที่เป็นอยู่นี้ และกรุณาอย่ากล่าวหากันลอย ๆ ว่าผมไม่เห็นความสำคัญของการลดราคายาเพื่อ ผู้ป่วย และมนุษยธรรม   ขอให้คุณ แมวเหมียวพุงป่องลองไปดูกระทู้ที่ผมตั้งก่อนหน้านี้  ว่าผมเห็นด้วยว่า ราคายาลดลง ประเทศได้ประโยชน์ ถือว่าเป็นความคิดที่ดี   ( ท้ายความเห็น 65 ) แต่ควรแล้วหรือที่เราต้องเร่งร้อนเรื่องนี้ ขนาดที่ แลกมาด้วยการจุดฉนวนความไม่พอใจของมิตรของประเทศคู่ค้า เจ้าสำคัญซึ่งมีผลกับธุรกิจส่งออกของประเทศ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ คุณแมวเหมัยวพุงป่องออกจะตีความผมผิดไปแล้วมั้งครับ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 50 15:38:16 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 50 15:32:01 จากคุณ : rockaun - [ 15 พ.ค. 50 15:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ทางที่ดีรัฐควรเจรจา ราคายาจนได้ข้อสรุปจนเป็นที่แน่นอนว่า บริษัทยาไม่ยอมลดราคายาแน่นอนแล้ว จึงทำการขู่เปิด CL  เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร?  เรื่องยาที่จำเป็นต่อชีวิต เรื่องของมนุษยธรรม เรื่องของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์  ถ้าจะว่ากันไปแล้ว มันไม่ควรต้องทำ CL ด้วยซ้ำ  ถ้าเพียงแค่ บ.ยาข้ามชาติ สำนึกในเจตนารมย์แรกตั้งบริษัท และทำตามนั้น เรื่องพวกนี้ ก็จะไม่ใช่ปัญหา  แต่ควรแล้วหรือที่เราต้องเร่งร้อนเรื่องนี้ ขนาดที่ แลกมาด้วยการจุดฉนวน ความไม่พอใจของมิตรของประเทศคู่ค้า เจ้าสำคัญซึ่งมีผลกับธุรกิจส่งออกของประเทศ  ยามที่คนประเทศเขา บาดเจ็บ ล้มตาย เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง สักเพียงแค่คนเดียว  ประเทศเขา พร้อมจุดชนวนความไม่พอใจ แม้กระทั่งก่อสงคราม  ในขณะที่คนประเทศเรา ป่วย เจ็บ ตาย เพราะความใจดำของ บ.ยาข้ามชาติ  ประเทศเรากลับกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ ต้องอ้อนวอน (ตกลง) ให้เขาเมตตาปราณี ...  คุณ roackaun เคยทราบไหมว่า ทุกวัน ทุกชั่วโมง ที่รอ"ความเมตตาปราณี" ... คนกี่คน ที่เจ็บ ที่ป่วย ที่ตาย เพราะไม่ได้รับการรักษา พยาบาล???  ......................  แปลกนะ ... ที่เมื่อเหตุการณ์เดียวกัน แต่ถ้าเกิดในประเทศไทย ...  คนไข้ไม่สบายเร่งด่วน  ไปโรงพยาบาล  ทาง(ตัวแทน)โรงพยาบาลถามว่า มีเงินไหม? ถ้าไม่มีเงินไปรักษาต่อที่อื่น  คนไข้ต่อรองว่า มีเงิน แต่ไม่มากนัก ขอให้ รพ.ลดค่ารักษาพยาบาล และช่วยชีวิตก่อน  รพ.ไม่ยอม  ทั้งคนไข้่ ญาติ ไทยมุง สื่อ ฯลฯ จะร่วมกันด่าประณาม รพ.ว่า หน้าเลือด ไร้เมตตา ขาดมนุษยธรรม ฯลฯ  ไม่มีใครไปบอกคนไข้ และญาติเลยว่า  อย่าเพิ่งไปด่าเขา อย่าเพิ่งไปเอาสื่อมากดดันเขา ควรตกลงต่อรองกับ ทาง รพ. เพื่อหาทางออกที่ดีทั้งสองฝ่าย  ไม่มีใครไปบอกคนไข้ และญาติเลยว่า  อย่าทำการต่อรองแบบห่วยๆ ซึ่งควรจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 15 พ.ค. 50 20:40:36 ]

ความคิดเห็นที่ 95 มันก็ถูกต้องที่คุณบอกว่า.... "เรื่องยาที่จำเป็นต่อชีวิต เรื่องของมนุษยธรรม เรื่องของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์" แต่มันก็ต้องคำนึงถึงคนที่จัดทำบ้าง บ. เค้าไม่ได้นำยา มาง่าย ๆ นะครับ เค้ามีการลงทุน เป็นธุรกิจประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้นไอ้เรื่อง การต่อรองลดราคา เพื่อ คนจนจะได้เข้าถึงยาได้ มันก็ถูกต้อง แต่ไม่ใช่จะไปเปิด CL เพื่ออยู่เหนือลิขสิทธ์ เขาแล้วเอายาผีมาขาย คนทำการค้าเขาจะอยู่ได้อย่างไรครับ  หัดรู้จักใจเขาใจเราซะบ้าง ไม่ใช่จะเอาประโยชน์ฝ่ายเดียว เห็นแก่ตัวล่ะให้มันน้อย ๆ หน่อยครับ ถ้าจะให้ลดราคา ก็ต่อรองไป ไม่ใช่จับลิขสิทธ์เค้าเป้นตัวประกัน อย่างที่ผมพูดแหละ  แบบนี้เลย ขู่บริษัทยาว่า " ถ้าเมิงไม่ลดราคาจนกรูพอใจ กรูจะออกกฏหมายเอายาผีมาขายตัดราคาเมิง " หลังจากนั้นก็จัดการจริง ๆ  ก็สมควรโดนเพิ่ม ค้าการจับตามองด้สนลิขสิทธ์ แหละครับ   อย่างนี้ใครจะรับได้  ถ้าเป็นยา บริษัทผม หรือคุณ หรือใคร ๆ โดนแบบนี้บ้าง ผมว่ามันอยู่ที่ความพอดีของการตกลงราคา ซะมากกว่า แต่นี่เล่นไม่ตกลง แค่บอกเค้าว่าจะให้ลดราคา หลังจากนั้น ก็เปิด CL เป็นใครจะยอมได้ล่ะ ส่วนเรื่องที่คุณ เอามายกตัวอย่างมันไม่เกี่ยวครับ เพราะมันคนละเรื่อง ไม่สามารถเทียบกันได้เลย  ไปกันคนละแบบเลยหละ และไม่อยาก เฉไฉ ออกจากเรื่องยาครับ เพราะฉะนั้นผมจึงควรถาม คุณ แมวเหมียวพุงป่อง  ซะมากกว่า ว่าคุณจะคุยเรื่องอะไรกันเอาให้แน่นะ เรื่อง ยา  กับ  สธ ก็เรื่องนึง เรื่อง รพ กับ  คนใข้ ก็อีกเรื่องครับ มันคนละเหตุการณมันมีเนื้อหา ผลกระทบที่ต่างกัน ช่วยตรงประเด็นด้วยครับ   แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 50 21:49:49 จากคุณ : rockaun - [ 15 พ.ค. 50 21:38:48 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ถาม แมวเหมียวพุงป่อง  หน่อยเห็นคุณอ้างมนุษยธรรมจัง แล้วคุณไม่ให้ความยุติธรรม และมีมนุษยธรรม กับ บริษัทยา ที่เค้าเป็นเจ้าของลิขสิทธ์ เค้าบ้างเหรอครับ   ส่วนผมให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่ายอยู่แล้วครับ คือ  อยากให้ราคายาลดลง  และ บริษัทยารับได้  เราก็ได้ยาถูกลง แค่นี้มันก็ น่าจะดีกว่าตอนนี้มาก เสียชื่อ ๆ หมด ประเทศระเมิดลิขสิทธ์   บอกตามตรงนะ เห็นกรณีนี้แล้ว  ผมว่ายกเลิกเหอะ กฏหมายลิขสิทธ์ น่ะ  เอาให้ทั่วถึงเลยจะดีกว่ามั้ย ก๊อปมันทุกอย่างเลยดีกว่า จะได้ซื้อของถูกตังดี  ได้ประโยชน์กับประชาชน ดีมั้ยครับคุณ แมวเหมียว แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 50 21:56:23 จากคุณ : rockaun - [ 15 พ.ค. 50 21:55:28 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ผมกลับมองว่าการกล้างัดข้อใช้ CL นี่กลับเป็นสิ่งที่ดีในระยะยาว ถ้าจะลองไปอ่านตรงกลางๆที่ผมเอา Financial Statement มาลงจะเห็นได้ว่าบริษัทยาเก็บเกี่ยวกันขนาดไหน จะเห็นได้ว่าที่เอกชนอเมริกาพยายามเตะตัดขาประเทศไทยในการประกาศ Cl เพราะว่ากลัวว่าจะเกิดการทำเลียนแบบขึ้นมา ซึ่งถ้ามีตัวอย่างที่เป็นผลสำเร็จแล้วประเทศยากจน - กำลังพัฒนา จะมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการต่อรองมากขึ้น การเจรจาต่อรองนั้นผมเข้าใจว่าต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน มันถึงจะ Win-Win ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้อยกว่าสัญญามันก็ไม่เท่าเทียม (อย่างเช่นสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเป็นต้น) การที่มี CL และการที่นำออกมาใ้ช้จริง ถ้าสำเร็จและประเทศต่างๆที่เข้าข่ายกล้านำออกมาใช้มากขึ้น จะเป็นแรงกดดันให้บริษัทยาต่างๆต้องพิจารณาความเหมาะสมของราคาให้มากขึ้น ไม่ใช่ว่าถือว่าตัวเองมีสิทธิบัตรจะตั้งราคายังไงก็ได้ตามใจชอบ จากคุณ : Nexus - [ 16 พ.ค. 50 07:30:51 ]

ความคิดเห็นที่ 98 แต่ที่สหรัฐฯ บางกลุ่มออกมาแสดงความคิดเห็นก็มีประเด็นเหมือนกันนะครับ  อย่างเช่น (เฉพาะหลักๆ นะคับ) ถ้าไทยให้ความสำคัญกับเรื่องการสาธารณสุขจริงๆ -  ทำไมยังมีภาษีนำเข้า และ VAT ในสินค้ายา -  ทำไมยังอนุญาตให้ รพ. (GPO ด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ) mark up price ของยาให้สูงขึ้นจากราคาเดิมตั้งเยอะ... มีอีกตั้งหลายจุดที่เราสามารถแก้ไขปรับปรุงระบบการกระจายยา และลดต้นทุนลงได้มาก  แน่นอน... ผมไม่ได้พูดว่าการต่อรองขอลดราคายา หรือทำ CL จะไม่ใช่วิธีที่ดี  แต่มันมีคำถามว่า เราได้พยายามทำวิธีอื่นแค่ไหนแล้วน่ะคับ?? ปล.  ผมก็ไม่ได้ทำงานด้าน สธ. โดยตรงนะคับ ^^ จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 16 พ.ค. 50 09:24:36 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เข้าใจคุณ  Nexus ครับว่า การงัดข้อกับบริษัทยา ( อาจรวมประเทศเจ้าของยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ) โดยใช้วิธีการ CL เพื่อกดดัน ให้บริษัทยาลดราคา เป็นวิธีที่ใช้ได้ผล แต่ถ้ามาพิจารณาถึง สภาพรวมของผมประโยชน์ ระหว่าง ประเทศไทย กับประเทศ อเมริกา  นั้นเราเล็ก และ ด้อยกว่าเค้า เสียเปรียบเค้า เยอะครับ  เพราะฉะนั้นการงัดข้อ โดยใช้ CL นั้น ประเทศเราจะเสียเปรียบครับ แต่ไหน ๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็เห็นกับคุณ  Nexus ว่าการเจรจาตกลง ควรจะตั้งอยู่ใน พื้นฐานของความเท่าเทียม  และราคากลางที่ยุติธรรม ที่ทั้ง 2 ฝ่าย รับได้ และเห็นด้วยกับคุณ  ลูกหมูแก้มอ้วนครับ ว่าเรายังมีวิธี ที่ทำให้ราคายาลดลง เพื่อมนุยธรรม อีกมากมาย แต่การทำ CL ไม่ใช่วิธีแรกแน่นอน จากคุณ : rockaun - [ 16 พ.ค. 50 12:35:41 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ประเด็นใน #98 นั้นผมก็อยากทราบข้อมูลเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ผมแก้ปัญหาอย่างลวกๆ ผมคงต่อรองลด-ยกเว้นภาษี ของยา **บางประเภท** หรือให้โควตาที่สามารถ Refund ภาษีได้ ส่วนเรื่องการ Mark up ราคายาก็คงต้องใช้มาตรฐานเดียวกับบริษํทยา นั่นคืออาจจะต้องมีการกำหนด Fair Price สำหรับยา **บางประเภท** จากคุณ : Nexus - [ 17 พ.ค. 50 01:29:00 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ประเทศใหญ่ก็มีแต้มต่อของประเทศใหญ่ ประเทศเล็กก็มีแต้มต่อของประเทศเล็กครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถ Exploit แต้มต่อของเราได้ขนาดไหน แต้มต่อแรกที่เห็นคือ ถึง ประเทศเราเล็กแต่ในฐานะที่เป็นประเทศย่อมเสียงดังตามธรรมชาติ ถ้าต้องการจะงัดข้อกับบริษัทยาข้ามชาติ การทำให้เป็นเรื่องที่ลงสื่ออย่างนี้เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าเดินถูกครับ ถ้าเรามั่นใจว่าเราทำถูกระเบียบ ยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตคนแล้วด้วย น่าจะได้เสียงเชียร์มากพอสมควรเชียวล่ะครับ ขั้นต่อไปก็อยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนเสียงเชียร์ให้เป็นเสียงสนับสนุนในระดับ สภาหรือรัฐบาลได้อย่างไรเท่านั้นเอง ถึงตอนนั้นก็เป็นการสู้กันในระดับสื่อ + Lobby แล้วล่ะครับ ว่าข้อมูลและการนำเสนอของฝ่ายไหนจะน่าสนับสนุนมากกว่ากัน และไทยมีแต้มต่อสำคัญอีกคือเรื่องชีวิตมนุษย์นับล้านคน ที่เป็นเรื่อง Sensitive อย่างมากทีเดียว แนวทางของฝ่ายตรงข้ามก็ต้องหาทาง Discredit หรือเบี่ยงเบนประเด็นออกจากสองเรื่องนี้ให้ได้ ซึ่งถ้าไปอ่านในเวบของฝ่ายตรงข้ามที่แสดงตัวออกมาอย่างชัดเจนจะเห็นได้ครับว่าเขาพยายาม เบี่ยงประเด็นออกไปเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ แล้วแตะจุดอ่อนสำคัญของอเมริกาที่กำลังจะเข้ายุคถดถอยทางเศรษฐกิจ ถ้าผมจะให้ผมเสนอวิธีการสู้รบผมคงเสนอให้สู้ด้วยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่ารักษาเทียบกับรายได้ประชากร  ส่วนเรื่องผู้ติดเชื้อก็ให้เสนอเป็นตัวเลขไปจะกี่ล้านคนก็ว่าไป อย่าไปหลงเทียบเป็นสัดส่วนต่อจำนวนประชากร แล้วก็ต้องนำเสนอข้อมูลด้วยว่าถ้าไม่สามารถใช้ยานี้ได้ จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน จำนวนผู้เสียชีวิตจะเป็นขนาดไหน จากคุณ : Nexus - [ 17 พ.ค. 50 01:46:34 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ขอแจมนิดนึงครับ... เรื่อง concept นะผมเห้นด้วยนะครับ...ว่าเราควรต่อรอง แต่ควรหาวิธีการที่ดีกว่านี้...ทำกันเป็นทีมเวิร์ก..ระหว่างกท.สา.สุข,ตปท.,พานิชย์..ไม่ใช่โชว์เดี่ยวครับ... จากคุณ : คุณพ่ออุลต้าแมน - [ 17 พ.ค. 50 15:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 103 แถมอีกนิด..ถ้าเรามี strategic planning ก่อนแล้วทำตามนั้นจะไม่เกิดปัญหาต้องมาตามแก้แบบนี้ครับ..เพราะ ในระหว่างทำ Strategic planning จะมีการ Discuss upside & DOwnside แล้ว Constingency plan ก่อน...ไม่ได้ลุยถั่วแบบที่เราๆเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน..ผมขอย้ำว่าหมอมงคลแกเจตนาดี..แต่วิธีการจัดการและการบริหารมีปัญหาเท่านั้น... จากคุณ : คุณพ่ออุลต้าแมน - [ 17 พ.ค. 50 15:04:11 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ผมกลับคิดว่าถ้าหมอมงคลไม่เด็ดเดี่ยว surprise attack แบบนี้ เีรื่องก็คงเงียบต่อไปเรื่อยๆ ต่อรองกันเงียบๆได้บ้างไม่ได้บ้าง ขึ้นกับหุ้นส่วนบ.ยาจะกรุณาประเทศยากจนลดให้สัก 10% หรือยอมขายในราคาเ่ท่ากับที่ขายให้ประเทศอื่น(บางตัวเราซื้อแพงกว่าประเทศอื่น เพราะเขาตั้งราคาไม่เท่ากัน) เหมือนที่ผ่านๆมาล่ะครับ การวางแผนน่ะดี แต่กับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาล การชักช้ามีแต่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามใช้อิทธิพล(เงิน) กลบฝังเราได้มิดไปซะเสียอีก นี่การที่บ.ยาใช้ lobbyist มันก็คือการใช้เงินเพื่อผลักดันทางการเมืองเหมือนกันน่ะแหละ(ต่างจากติดสินบนนักการเมือ งบ้านเราตรงที่มันถูกกฎหมาย ?) จากคุณ : ....4จุด - [ 17 พ.ค. 50 17:01:12 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ผมกลับคิดว่าถ้าเราทำกันเป็นทีมทั้งกท.ตปท.พานิชย์ สา,สุข จะดีกว่านี้...ตอนนี้เหมือนสาสุขได้หน้าแต่คนอื่นเขาต้องมาคอยเก็บกวาดให้..มันไม่แฟร์ครับ...แล้วไอ้ที่ประหยัดเนี่ย..ไม่น่าเกินพันล้านนะครับ...ไม่ถึงหนึ่ง % ของงบประมาณกระทรวงสาสุข...ประมาณงบโฆษณาของสสส เท่านั้น.. จากคุณ : คุณพ่ออุลต้าแมน - [ 18 พ.ค. 50 13:31:31 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ตอนนี้เลยไม่ได้เข้ามาตอบต่อเลย ไปเล่นเรื่อง ปิดวิทยุชมชน หลังจากทักษิณให้สัมภาษที่ราชดำเนิน น่ะครับ อิอิ หวังว่าเหตุผลทั้งหลายแหล่ จะทำให้ได้ความคิด และข้อมูลกันไปเยอะแยะ ( รวมทั้งผมด้วยครับ ) จากคุณ : rockaun - [ 19 พ.ค. 50 16:51:16 ]