Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    นิสิตจุฬาฯ พ.ศ.2550 (จากมุมมองของอาจารย์จุฬาฯ)

    นิสิตจุฬาฯ พ.ศ.2550

    สองสามวันนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกอึดอัด คับข้องใจ กับสิ่งที่ได้พบได้เห็นในเขตรอบๆ รั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จะไม่ถึงกับหงุดหงิดจนออกไปในทางโมหะจริต แต่ก็มากจนอยากหาที่ระบายถ่ายทอดความคิดเห็นส่วนตัวให้ใครๆ ได้รับรู้ไว้บ้าง จะถูกจะผิด ควรหรือไม่ควรอย่างไร ผมไม่รู้หละนะครับ เอาเป็นว่าผมขัดเคืองใจก็แล้วกัน

    12 ปีเศษที่ผมทำงานในฐานะอาจารย์อยู่ในคณะวิศวฯ จุฬาฯ กับอีก 4 ปีที่เป็นนิสิตระดับปริญญาตรีที่นี่ ก็สิริรวมแล้วแล้วเป็นเวลาถึง 16 ปี เผลออีกแป๊บเดียวผมก็คงพูดได้เต็มปากว่าอยู่จุฬาฯ มายี่สิบปี เห็นการเปลี่ยนแปลง (ไม่อยากใช้คำว่าพัฒนาการ หรือวิวัฒนาการ เพราะมันฟังดูเหมือนว่าดีขึ้น) ของชีวิต ของสังคมวิชาการรอบๆ รั้วจุฬาฯ มากพอสมควร ประกอบกับการได้เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการศึกษาของประเทศที่เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ตามแต่ ฯพณฯ ผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดินจะผลักไสให้ทิศทางกระเด็นกระดอนไปทางไหน แม้จะพยายามบอกพยายามเตือนตัวเองอยู่เป็นระยะๆ ว่า "เรามองโลกในแง่ร้ายมากเกินไปหรือเปล่า?" แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ยังคงไม่สามารถหลอกความรู้สึกของตัวเอง หรือปฏิเสธความคิดที่รู้สึกว่า "สังคมการศึกษา" ในแผ่นดินไทยกำลังเดินทางไปสู่จุดตีบตัน เดินไปสู่ภาวะอิ่มตัว สักระยะสังคมอาจจะได้พบกับการล่มสลายลงของระบบการศึกษาแบบไทยๆ

    ทำไมหนะหรือ? ...

    เอาเรื่องใกล้ๆ ตัวในรอบ 2-3 วันนี้ก่อนนะครับ เช้าวันหนึ่งผมเดินออกจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน "สามย่าน" ขณะกำลังเลี้ยวขวาเข้าประตูของมหาวิทยาลัยที่หน้าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่าคณะบัญชี ปรากฏการณ์อย่างแรกที่สุดแสนจะคุ้นสายตา (แต่ไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างและไม่น่าสนับสนุน) เนื่องเพราะตามปรกติก็เห็นกันอยู่ทุกวัน จนเป็นเหมือนเรื่องธรรมดาๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็แค่นิสิตในชุดเครื่องแบบของจุฬาฯ ทั้งหญิงทั้งชายจำนวน 4-5 คน กำลังพยายามแทรกตัวเองผ่านรั้วบนเกาะกลางถนนพญาไทเพื่อจะข้ามถนนจากฝั่งตลาดสดสามย่านมายังฝั่งคณะบัญชี ด้านซ้ายมือห่างออกไปราวๆ 40-50 เมตร ก็จะมีสี่แยกไฟแดงซึ่งเกิดจากถนนพญาไทไปสิ้นสุดตัดกับถนนพระรามที่สี่ ไม่ต้องออกแรงให้ลำบากยากเย็นอะไรนักก็จะสามารถมองเห็นทางม้าลายสำหรับข้ามถนนอยู่ตรงนั้น ส่วนทางขวามือห่างออกไปอีกราวๆ 40-50 เมตรพอกัน ก็มีสะพานลอยสำหรับคนข้าม ก็แลดูแข็งแรงปลอดภัยดี รั้วบนสะพานลอยก็ทำเป็นราวสเตนเลสสีเงินสวยงาม ในบางวันถ้าจะมีคนสังเกตกันบ้างก็อาจจะได้เห็นสุนัขจรจัดสีขาวๆ ใช้ข้ามถนนไปมา ดูน่ารักน่าเอ็นดูกว่านิสิตในเครื่องแบบที่กำลังพยายามแทรกตัวเองผ่านรั้วบนเกาะกลางถนนเป็นไหนๆ ที่ผมรู้สึกอดสูใจก็เพราะมองเห็นคนขับรถบนถนนจะต้องชะลอความเร็วของรถยนต์ลงเพราะเกรงว่าจะไปชนเข้ากับนิสิตหนุ่มสาว 4-5 คน ที่กำลังรีๆ รอๆ ข้ามถนน ภาพแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกทอดถอนหายใจ จนอยากจะตะโกนออกไปดังๆ ว่าพวกคุณมีการศึกษาสูงเสียเปล่า ได้มีโอกาสร่ำเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยในรั้วจามจุรีซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ กับไอ้แค่เรื่องระเบียบจราจรเพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวเองและคนขับรถทั่วไปก็ไม่รู้จักใส่ใจสำนึกเสีย เรื่องแค่นี้ยังมองข้าม เรื่องใหญ่ๆ ที่สำคัญกว่าอื่นๆ จะสนใจอะไรกันเป็น

    แต่ผมก็คงทำได้แค่คิด ... จุฬาฯ เคยรณรงค์เรื่องเหล่านี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็เหมือนสายลมบางเบาวูบหนึ่ง ไม่ใคร่จะมีนิสิตใส่ใจ โดยเฉพาะพวกที่กำลังข้ามถนนอย่างขาดจิตสำนึกอย่างที่เห็น

    ผมมองดูอย่างเบื่อหน่าย พูดไม่ออกบอกไม่ถูกแล้วก็เดินเลี้ยวขวา ก้าวเท้าเข้ามาในเขตจุฬาฯ จำได้ติดตาเพราะสิ่งแรกที่ได้เห็นคือ นิสิตหญิงฝาแฝด 2 คน หน้าตาสะสวย รูปร่างสมส่วน เรียกได้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของหล่อนทั้ง 2 คน น่ารักน่าเอ็นดูดีแท้ เธอกำลังเดินสวนทางผ่านไป แต่สิ่งที่ทำให้ผมขัดเคืองสายตาเป็นลำดับที่สองของเช้าวันนี้ คือ ทั้งสองคนสวมเสื้อนิสิตรัดติ้วเข้ารูป ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกมาจากขอบกระโปรงตัวจิ๋วคะเนด้วยสายตาว่าชายของมันน่าจะห่างจากหัวเข่ากว่าคืบ หล่อนคาดเข็มขัดหนังหัวโลหะสีเงินดุนตราพระเกี้ยวไว้แบบหลวมๆ เหมือนคล้องไว้กับเอวมากกว่าจะเป็นการใส่ให้เรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็น เดินพูดคุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งผ่านไป ความคิดวูบหนึ่งผ่านเข้ามาในสมองของผมว่าเครื่องแบบที่เห็นถ้าเข้าใจไม่ผิดก็เป็นเครื่องแบบพระราชทาน นิสิตรุ่นเก่าๆ ที่ร่วมกันก่อร่างสร้างชื่อเสียง สร้างเกียรติภูมิให้กับจุฬาฯ ใช้สวมใส่อย่างสง่าผ่าเผยกันมาหลายๆ สิบปี จะป่นปี้เสียราคาก็เพราะเด็กวัยรุ่นไม่ประสา ความคิดยังไม่ตกผลึกเหล่านี้หละหรือ ขณะกำลังคิดอยู่ก็มีนิสิตหญิงอีกคนเดินสวนทางผ่านไป ชุดนิสิตที่สวมใส่ก็มีลักษณะพอกันดีว่าชายเสื้อยังไม่หลุดลุ่ยออกมาเท่า ในมือถือกระเป๋าหนังแบรนด์เนมราคาแพง รองเท้าส้นสูงสีแดงแปร๊ด นี่มันอะไรกัน! หลายวันก่อนผมก็ฉงนกับรองเท้าสีเหลืองอ๋อยของนิสิตหญิงคนหนึ่งแถวๆ คณะรัฐศาสตร์มาทีหนึ่งแล้ว วันนี้ได้มีโอกาสพบเห็นรองเท้าสีแดงสด เป็นเกือกแดงแรงฤทธิ์แห่งยุคสมัยจริงๆ

    เอาเถอะนะครับ จะบอกว่าผมเริ่มทำตัวเป็นคนแก่ไม่ทันสมัย ไม่ตามแฟชั่นที่กำลังเป็นที่นิยมก็ตามทีเถิด คำพูดที่ผมได้ยินบ่อยครั้งจากปากของนิสิตหนุ่มๆ สาวๆ หลายต่อหลายรุ่นเมื่ออาจารย์รุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นแม่วิพากย์วิจารณ์การแต่งเครื่องแบบ เด็กๆ จำนวนมากจะบอกว่า "การแต่งตัวไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการศึกษา" หรือ "เมืองนอกเมืองนาอารยประเทศเขาก็ไม่ใช้เครื่องแบบกันแล้ว ก็เห็นเขาเจริญ เห็นเขาพัฒนากว่าประเทศไทยตั้งแยะ จะมาจ้ำจี้จำไชกับการแต่งตัวของนักเรียนกันทำไม"

    ข้อแก้ตัวเหล่านี้เป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่ผมและคณาจารย์ผู้ใหญ่อื่นๆ กำลังคิดอยู่นัก

    ผมเดินผ่านมาถึงสี่แยกหน้าศาลาพระเกี้ยว มองไปบนอาคารสถาบันภาษาสิ่งที่ได้เห็นในเช้าวันนั้นคือป้ายผ้าขนาดใหญ่มีตัวอักษรสีดำอยู่บนแผ่นผ้าเนื้อหาทำนองว่าชักชวนให้เพื่อนนิสิตงดเรียน มาร่วมกันประท้วง "การออกนอกระบบของจุฬาฯ" นัยว่าทำให้ค่าเทอมแพงขึ้น คนจนจะไม่มีสิทธิ์เรียนหนังสือ มหาวิทยาลัยจะกลายเป็นสถานที่สำหรับคนรวย และเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย บอกตรงๆ ครับว่าผมหนะแม้ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับการออกนอกระบบแต่ตัวเองก็พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นในด้านต่างๆ ทั้งด้านดี และด้านไม่ดีของการออกนอกระบบไปเป็นมหาวิทยาลัยอิสระในกำกับของรัฐบาล

    ประเด็นสำคัญๆ ในเรื่องการบริหารจัดการ ประสิทธิภาพการเรียนการสอน การพัฒนางานวิชาการ งานวิจัย งานบริการวิชาการ ไล่ไปจนการบริหารทรัพยากรต่างๆ โดยเฉพาะทรัพยากรมนุษย์ ผู้ต่อต้านการออกนอกระบบจำนวนมากมักไม่ค่อยยกขึ้นเป็นประเด็นมาตอบโต้กัน จะด้วยมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนให้คิด ให้วินิจฉัย ให้ไตร่ตรองค่อนข้างมาก เผลอๆ ตีความแถลงไขกันไม่ดีตัวเองก็จะพาลสับสนงงกันไปเอง ด้วยเหตุนี้ หลายปีที่ผ่านๆ มาเมื่อมีการกล่าวโจมตีการออกนอกระบบ ผมก็มักจะได้ยินได้ฟังแต่เรื่องเดิมๆ คือ "จุฬาฯ จะกลายเป็นสถานที่สำหรับลูกคนมีสตางค์ ลูกตาสีตาสาจะไม่มีโอกาสได้ก้าวเท้าเข้ามา" ซึ่งจะว่าไปแม้คดีนี้จะพอมีมูลแต่ก็ได้รับการชี้แจงจากคณะผู้ก่อการไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง ถ้าจะใส่ใจค้นคว้าหาข้อมูลเก่าๆ หัวข้อเดิมๆ ที่พูดกันไป พูดกันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบมาศึกษาดูบ้าง ก็คงจะได้มีโอกาสเปลี่ยนประเด็นไปคุยกันในเรื่องอื่นๆ ที่มีความคลุมเครือไม่จัดเจนมากกว่า แต่ก็ไม่ค่อยได้ยินได้เห็นหรอกครับ ทุกๆ ครั้งก็จะคุยกันเรื่องเดิมๆ ว่า "คนจนจะหมดสิทธิ์เรียนจุฬาฯ"

    จริงๆ ก่อนหน้าที่จะได้เห็นป้ายผ้าผืนนี้บนอาคารสถาบันภาษา 2-3 วันก่อนผมก็ได้เคยเห็นนิสิตชายจำนวนหนึ่งกำลังขึงป้ายผ้าที่มีเนื้อหาเดียวกันอยู่ที่หน้าคณะรัฐศาสตร์ ใกล้ๆ กันนั้นในเวลาเดียวกัน ก็เห็นมีนิสิตหญิง 3-4 คน นั่งอยู่บนม้าหินที่หน้าคณะ พวกหล่อนกำลังจับกลุ่มกรี๊ดกร๊าดอยู่กับอะไรบางอย่างบนโทรศัพท์มือถือ จะเป็นรูปถ่าย คลิปวิดิโอ หรือข้อความอะไรก็ไม่ทราบได้ นิสิตเหล่านี้มีเรื่องสนุกสนานเฮฮาในชีวิตมากมายเกินกว่าที่อาจารย์หนุ่มวัย 35 อย่างผมจะเข้าใจได้ มันเป็นภาพที่ผมรู้สึกว่ามีความ "สุดโต่ง" และมี "ส่วนเปรียบต่าง" หรือที่ฝรั่งเรียกว่า "contrast" อย่างรุนแรง กลุ่มหนึ่งดูเหมือนจะให้ความสนใจกับปัญหาของสังคมที่ตัวเองอาศัยอยู่แม้ว่าผมจะไม่รู้สึกยินดีนักเนื่องเพราะอยากให้เขาเหล่านั้นได้ใช้เวลาไตร่ตรองสาระสำคัญของปัญหาที่ตัวเองสนใจให้มากกว่าที่เป็น แต่ก็ยังดูมีสีสันกว่าอีกกลุ่มหนึ่งที่โลกของตัวมีแต่สิ่งฟุ้งเฟ้อ วัตถุสิ่งของและความบันเทิงเริงรมย์

    ถ้าจะมีใครลองตั้งข้อสังเกต เมื่อเราก้าวเท้าเข้ามาในเขตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึงเวลาย่ำค่ำ เราเคยสังเกตเห็นอะไรบ้าง?

    ภาพคุ้นตาที่ผมเห็นมาตลอดในรอบสิบกว่าปี และเริ่มมากขึ้นๆ คือ สำหรับนิสิตบางคน 8-9 โมงเช้า มีเรียนก็เข้าเรียนอย่างเฮๆ ฮาๆ เมื่อว่างถ้าไม่จับกลุ่มสรวลเสเฮฮาอยู่กับเพื่อนๆ อยู่ตามโต๊ะม้าหิน ม้าไม้ต่างๆ ก็เตะฟุตบอลโกลหนูให้เป็นที่น่าหวาดเสียวอยู่ที่ลานเกียร์หน้าอาคาร 3 บ่อยครั้งที่ผมจะเห็นนิสิตชาย-หญิง นั่งจีบกันอยู่ตามใต้ถุนตึก เล่นเลี๊ยบตุ่ย เล่นไพ่ เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์กันอยู่ใต้ตึกกิจกรรมนิสิต บางคนเมื่อพ้นเวลาเรียนก็ไปเดินตะลอนๆ กันอยู่ตามย่านสยามสแควร์ มาบุญครอง พาราก้อน ฯลฯ

    มีน้อยครั้ง และน้อยคนที่จะเดินเข้าไปหาอาจารย์ ร่วมมือกันทำปฏิบัติการในห้องแล็บ ค้นคว้า ประดิษฐ์คิดค้นอะไรๆ

    นิสิตวิศวฯ รุ่นหลังๆ เริ่มเดินถอยห่างไปจากรายวิชาเทคนิคเฉพาะทางวิศวกรรมมากขึ้นๆ ใช้เวลากับการบ้านที่อาจารย์มอบหมายให้น้อยลงๆ ไม่ต้องพูดถึงปัญหาการลอกการบ้านหรือแม้แต่ให้เพื่อนทำงานแทนเพื่อมาส่งอาจารย์เลยนะครับ หลายๆ ปีที่ผ่านมา ผมสังเกตเห็น "ความเป็นคนช่างฝัน ที่ไม่ยอมลงมือทำ" ของนิสิตรุ่นใหม่ๆ มากขึ้นๆ

    จนชักจะเริ่มสงสัยว่า "เด็กเก่งๆ เหล่านี้ที่สามารถผ่านด่านการสอบเอนทรานซ์เข้ามาเรียนในคณะวิศวฯ จุฬาฯ ได้ เป็นเด็กที่ QUALIFIED จะเป็นวิศวกร (หรืออาชีพอื่นๆ ในคณะอื่นๆ) จริงๆ หรือเปล่า"

    กระแสความฟุ้งเฟ้อ ความอ่อนแอทางการศึกษา ทางระบบเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางวัฒนธรรม กำลังจะนำพาประเทศและเยาวชนรุ่นใหม่ๆ ไปในทิศทางไหน

    เรียนๆ จนจบมัธยมปลาย ที่ไม่ต้องสอบแต่ผ่านมาโดยการจับฉลากก็มาก ไม้เรียวก็ห้ามตีห้ามใช้กันแล้ว หลังๆ นี่เอะอะๆ ก็ต้องเลิกการท่องจำ มาเรียนกันแบบ "Child-Center " เน้นการเรียนรู้โดยอิสระ โตแล้วก็แย่งกันเข้ามหาวิทยาลัยกันมา เก่งๆ สายวิทย์ก็ไปเรียนหมอเรียนวิศวฯ เก่งๆ สายศิลป์ก็ไปเรียนนิเทศ เรียนอักษร กลางวันเดินสยาม กลางคืนดูอะแคเดมีแฟนตาเซีย โหวตดาราที่ชอบผ่าน SMS ดึกๆ แชตผ่าน MSN พอเช้าก็มาเริ่มต้นวงจรชีวิตอย่างเดิมๆ พอจะเรียนจบปีสี่ก็จะเกิดคำถามอย่างงงๆ ว่า "กูทำอะไรเป็นมั่งวะ" .... เมื่อนึกอะไรยังไม่ออกก็เรียนต่อปริญญาโทมันซะอีกซักใบ ... บางคนสองใบ สามใบ

    คิดแล้วก็สุดแสนจะเศร้าใจนะครับ ... เด็กดีๆ ในสังคมนี้หนะมีมากมาย ผมไม่เถียงเลย แต่เด็กที่เข้มแข็งและเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคมช่างหาได้ยากเย็นขึ้นทุกวัน

    บางทีรู้สึกเหมือนตัวเองมองโลกในแง่ร้ายพิกลนะครับ ...

    -------------------------------------------
    pramual
    http://www.ie.eng.chula.ac.th/forums-2007/question.php?question_id=Q20070225174221

    จากคุณ : Saint_North - [ 25 พ.ค. 50 12:32:53 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom