ความคิดเห็นที่ 1 หาเหตุผลก่อนนะ จากคุณ : krapoh_tung - [ 14 มิ.ย. 50 03:48:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทำไมจึงไม่มีอะไรเลย แทนที่จะมีบางสิ่ง ? จากคุณ : Abell 1367 - [ 14 มิ.ย. 50 04:18:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ความบังเอิญเกิดขึ้นได้เสมอในโลกของวิทยาศาสตร์ หากว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งนั้นเป็นศูนย์ เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น วิทยาศาสตร์จะให้เหตุผลนั้นว่าเป็นความบังเอิญ เป็นความอัศจรรย์... การศึกษาในทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ จะเน้นความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ใด ๆ แทบไม่มีการบันทึกวิธี หรือเหตุการณ์ใด ๆ ที่ทำการทดลองแล้วเกิดความล้มเหลว ไม่สำเร็จคือไม่สำเร็จ ลองแล้วไม่ได้คือไม่ประสบผล ไม่มีการบันทึก ไม่ดัง ไม่มีการตีพิมพ์... ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุ มีปัจจัย อ้างอิงจาก จขกท. เรื่องค่าสำคัญ 6 ค่าที่กำหนดเงื่อนไขของเอกภพ เมื่อทุกอย่างพอเหมาะ หาไอเท็มลับ 6 อย่างมาประกอบพิธี เมื่อนั้นจึงเกิดเอกภพ บางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นธรรมดาสามัญ ยกตัวอย่างเช่นการจุดไฟ ประสบการณ์จากการจุดไม้ขีด จุดไฟแช็ค หรือจุดเตาแก๊ส ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหลือเกิน แต่ถ้ามองไปถึงเหตุ และปัจจัยต่าง ๆ ให้ลึกลงไปแล้ว ไอ้เรื่องง่าย ๆ ที่คิดนั้น มันต้องการปัจจัยมากมาย เราต้องการการสันดาป ต้องการเชื้อเพลิง ต้องการประกายไฟ ต้องการออกซิเจน ต้องการความนิ่งของมวลอากาศในระดับหนึ่งภายใต้กรอบของความชื้นที่เหมาะสม... ฯลฯ ซึ่งหากขาดปัจจัยแห่ง "ความบังเอิญ" ดังที่ยกตัวอย่าง อุปมาดั่งลิงน้อยพยายามจุดไม้ขีดไฟในอวกาศ จุดให้ตายยังไงไฟก็ไม่ลุก ตอบคำถามที่ว่า "ทำไมถึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย?" หรือ "ทำไมถึงไม่มีอะไรเลย แทนที่จะมีบางสิ่ง?" เพราะทุกอย่างล้วนมีเหตุ มีปัจจัย... หากสติปัญญาของมนุษย์ก้าวไปถึงจุดที่สามารถมองเห็นความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง เห็นเหตุ  เห็นปัจจัย... เมื่อนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะไม่มีคำว่า "บังเอิญ" เกิดขึ้นอีกเลย จากคุณ : Lanoz - [ 14 มิ.ย. 50 05:12:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่เห็นซับซ้อนเลยครับ ก็ถ้ามันไม่มีอะไรเลย แล้วเราจะมีอยู่ได้ยังไงครับ คำถามนี้ก็ไม่เกิดขึ้น ต่อให้มีค่าคงที่เป็นล้านๆ ค่า ที่ทำให้มีเอกภพที่เราอยู่ ก็ไม่เห็นน่าจะแปลกใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นได้ครับ จากคุณ : vandalism - [ 14 มิ.ย. 50 05:29:11 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อยากจะบอกว่า นี่เป็นคำถามที่ผมสงสัยค้นคว้าถามอาจารย์ตั้งแต่อยูป.1 และเกือบถูกพาเข้าศาสนาคริสต์แล้ว เนื่องด้วยอาจารย์บอกว่า ในคัมภีร์ไบเบิลมีบอกไว้ =w= จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 14 มิ.ย. 50 06:01:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 "ไม่มีความบังเอิญเกิดขึ้นในโลกนี้ ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผลเสมอ" จากคุณ : PowerBerry - [ 14 มิ.ย. 50 06:41:54 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ความบังเอิญก็คือเหตุผลอย่างนึง จากคุณ : kunikun - [ 14 มิ.ย. 50 07:23:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา   จากคุณ : neoheart (โมบี_ดิก) - [ 14 มิ.ย. 50 07:33:53 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อโรคยา ปรมา ลาภา  ^ ^ จากคุณ : Rata_RG - [ 14 มิ.ย. 50 07:58:37 ]

ความคิดเห็นที่ 10 กมมุนา วตตีโลโก เอ อันนี้ห้องศาสนาแล้วแน่ๆ จากคุณ : Epinephrine - [ 14 มิ.ย. 50 08:28:55 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในเมื่อมี"บางสิ่งได้  ก็"ไม่มีอะไรเลย"ได้ จะมี หรือไม่มี ก็มันัย ได้ทั้งนั้น การจะมี หรือ ไม่มีก็มีความหมาย และมีความสัมพันธ์กัน จากคุณ : นีโม่จัง - [ 14 มิ.ย. 50 08:35:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สาธุ อาเมน จากคุณ : หนอนไผ่ - [ 14 มิ.ย. 50 09:00:33 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เพราะว่า สมดุลย์ที่แท้จริง เกิดขึ้นได้ เฉพาะในห้องปฎบัติการเท่านั้น ในเอกภพอันกว้างใหญ่ มีตัวแปรมากมายทั้งที่มนุษย์ค้นพบได้ และ รอการค้นพบอยู่ คำตอบมันอาจจะไม่ได้ล่องลอยอยู่ในจักรวาลนี้ก็ได้ครับ เหมือนเราจะแก้ปัญหา ๆ หนึ่ง เราควรจะมองจากข้างนอก มองทั้งระบบ ในเมื่อปัจจุบัน วิทยาการของมนุษย์ยังไม่สามารถมองทั้งระบบได้ ดังนั้น คำตอบในเรื่องนี้ก็เป็นแค่การคาดเดา จากคุณ : มั่ว ใช่มั้ยเนี่ย (Pixzz) - [ 14 มิ.ย. 50 09:08:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 บางสิ่งมีเพราะความแตกต่างและโดดเด่น คิดได้แค่นี้อ่ะ จากคุณ : ของเล่นใหม่ - [ 14 มิ.ย. 50 09:55:07 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าไม่มีอะไรเลย ก็จะไม่มี สติปัญญาใดๆตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่มีอะไรเลย อาจจะมีจักรวาลนับล้านๆแบบก็ได้ที่ matter-anti matter หักล้างกันหมด หรือจักรวาลที่ Plank's Constant แตกต่างออกไปจากที่ๆเราอยู่ แต่ในเมื่อไม่มีอะไรอยู่เลย ก็ย่อมไม่มีใครเห็นมันได้ จากคุณ : Nexus - [ 14 มิ.ย. 50 10:13:59 ]

ความคิดเห็นที่ 16 หลายๆครั้งเราบอกว่าบังเอิญเพราะว่าเราหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ได้ จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 14 มิ.ย. 50 10:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 17 "ทำไมจึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย" เพราะถ้าไม่มีบางสิ่ง มันก็จะไม่มีอะไรเลย ^^ คำถามแบบนี้เป็นคำตอบในตัวของมันเอง พอๆกับถามว่าทำไมคนตายจึงไม่มีชีวิตอยู่ จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ 14 มิ.ย. 50 10:27:45 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมคิดว่าสองสิ่งนี้ไม่ได้หลักล้างกันครับ มันไม่อาจรวมกันได้และไม่อาจแยกจากกันได้ เมื่อสองสิ่งนี้เข้าใกล้กันเกินระยะวิกฤติในทิศทางที่จะรวมกันมันจะพลักกัน(ใกล้กันเกินไป) และเมื่อมันถูกพลักออกไปในทิศทางแยกจากกันเกินระยะวิกฤติขาออก(ไกลกันเกินไป)มันจะดูดกันกลับเข้ามา และการที่มันมีอะไรได้ก็เพราะมันมีที่ว่างในการเคลื่อนที่ สรุปคือมันมีขอบเขตในการเคลื่อนที่อยู่สองค่าคือค่าวิกฤติตอนจะรวมกันกับค่าวิกฤติตอนพลักกัน และมันจะสะท้อนกันไปมาระหว่างของเขตนี้ภายในที่ว่างทำให้มันกำเนิดสิ่งต่างๆขึ้นมาแต่สิ่งต่างๆที่กำเนิดขึ้นมาก็ยังคงอยู่ภายใต้กฏเกณท์ของค่าวิกฤติสองค่านี้ จากคุณ : . - [ 14 มิ.ย. 50 11:02:20 A:203.114.119.54 X: TicketID:140423 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เพราะว่าท่านเทพมังกรบันดาลให้เป็นเช่นนั้น สาวๆ เอนมา หนุ่มๆ เอนไป เทพมังกรอวยชัย เอนมา เอนมา จากคุณ : Professor - [ 14 มิ.ย. 50 11:03:49 ]

ความคิดเห็นที่ 20 รู้ได้ไงครับ ว่าเราคือ "บางสิ่ง" จริงๆแล้วมันไม่มีอะไรเลยต่า่งหาก.... จากคุณ : Tire Tracks Studio - [ 14 มิ.ย. 50 11:07:52 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แล้วทำไมจะมีไม่ได้ละครับ ^^ จากคุณ : nutxnut - [ 14 มิ.ย. 50 11:26:43 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ... จากคุณ : (-_-") - [ 14 มิ.ย. 50 12:04:59 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 14 มิ.ย. 50 12:16:33 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ช่วงที่มันเข้ามารวมกัน ณ.จุดหนึ่งจะทำให้เกิดความมีอยู่อย่างมหาศาลชนิดเกือบเป็นอนันต์ซึ่งมันไม่สามารถที่จะมีค่าเป็นอนันต์ได้ ณ.จุดๆหนึ่งภายในที่ว่างมันจึงต้องระเบิดออกจากแกนกลาง เมื่อมันระเบิดออกด้วยแรงพลักอันมหาศาลของการระเบิดด้วยมวลที่เกือบจะเป็นอนันต์ ณ.จุดศูนย์กลางการพลักจึงมีพลังมหาศาลและส่งผลให้เกิดความว่างยิ่งยวด ณ.จุดที่เป็นแกนกลางมันจึงถูกดึงกลับเข้ามากระแทกลง ณ.จุดเดิมอีกครั้งและทำให้เกิดมวลมหาศาลจนเกือบอนันต์ ณ.จุดศูนย์กลางอีกครั้งและระเบิดออกมาใหม่เป็นวัฐจักรแบบนี้ไม่สิ้นสุด จากคุณ : . - [ 14 มิ.ย. 50 12:20:00 A:203.188.46.160 X: TicketID:140423 ]

ความคิดเห็นที่ 25 โอ . . . จากคุณ : INEOS - [ 14 มิ.ย. 50 12:53:01 ]

ความคิดเห็นที่ 26 #21+24 ฟังดูเหมือนพูดถึงบิกแบง กับ negative energy อยู่เลยครับ รอฟังแนวคิดท่านต่อไปครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 14 มิ.ย. 50 13:21:47 ]

ความคิดเห็นที่ 27 Cogito, ergo sum จากคุณ : pzifrius - [ 14 มิ.ย. 50 13:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมคิดว่าเราอาจสร้างธาตุที่เราต้องการได้ด้วยการสร้างความว่างยิ่งยวดขึ้นมา ณ.จุดหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นมากแล้วรีบใส่มวลเข้าไปให้ทันและมวลที่ใส่เข้าไปนั้นต้องเท่ากับมวลของธาตุที่ต้องการสร้าง จากคุณ : . - [ 14 มิ.ย. 50 13:24:26 A:203.188.7.181 X: TicketID:140423 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เวียน ว่าย = วิเวียนว่ายน้ำ -*- จะให้คำตอบแบบวิทย์ฯก็ไม่ได้อีกเพราะผมจบสารศิลป์อ่ะ จากคุณ : Ottopong - [ 14 มิ.ย. 50 13:27:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 แจกสมุดเป็นเล่มเลยหรือ  ถ้าผมตอบ  ผมก็จะตอบว่า   เพราะมีจิตรับรู้  ถ้าจิตไม่มีรับรู้ ก็จะไม่มีอะไรเลย  แทนที่จะมีบางสิ่ง จากคุณ : jedi-jaidee - [ 14 มิ.ย. 50 13:37:01 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผมคิดว่าสสารเกิดขึ้นมาได้เพราะความว่าง โดยแนวคิดนี้ผมคิดว่าสูญญากาศและอวกาศยังไม่ใช่ความว่างที่สมบูณณ์ และที่ใดที่เกิดความว่างยิ่งยวดขึ้นก็จะเกิดสสารขึ้น แต่ประเด็นคือความว่างยิ่งยวดนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราสามารถสร้างความว่างยิ่งยวดขึ้นมาได้เราก็อาจได้คำตอบว่าเอกภพเกิดขึ้นมาได้ยังไง จากคุณ : . - [ 14 มิ.ย. 50 14:19:19 A:203.188.14.152 X: TicketID:140423 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อ่านแล้วเครียด.....-*- ไปหาโหลดหนังต่อดีกว่า........ จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 14 มิ.ย. 50 14:34:38 ]

ความคิดเห็นที่ 33 .. ในทางพุทธศาสนา กล่าวว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ" อาจแปลได้ว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี" อาจแปลให้ชัดว่า "เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนั้น เพราะไม่มีสิ่งนี้ จึงไม่มีสิ่งนั้น" หรือ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ทั้งสิ่งทั้งปวง เป็นไปตาม (เหตุ) และ (ปัจจัย) .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 14 มิ.ย. 50 14:55:56 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คห.3 คุณ Lanoz + คห.33 คุณไม่เป็นดั่งใจ กล่าวว่าทุกอย่าง ล้วนเป็นไปตามเหตุ และปัจจัย ไม่มีความบังเอิญ มีความสัมพันธ์กับข้อความที่อยู่ในกระทู้โด่งดังในหว้ากออันหนึ่งในสมัยก่อน เรื่องเหตุการณ์สุ่มมีจริงหรือไม่ ซึ่งยังประทับใจผมอยู่ตลอดมา แสดงว่าในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่ง และนักการศาสนา เห็นว่าเหตุการณ์สุ่มที่แท้จริง ไม่มีอยู่จริง หากแต่มีเหตุปัจจัยให้เกิด แต่การเกิดเหตุการณ์หนึ่ง จะเป็นแบบสุ่มหรือไม่ หรือว่าการสุ่มนั้น(เป็นต้นว่าสัญญาณรบกวนในชั้นบรรยากาศ) มีเหตุที่ทำให้เกิดทั้งสิ้น หรืออันที่จริง มีสองอย่างผสมกัน นั่นคือเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นได้เพราะมีเหตุ แต่เหตุเกิดขึ้นอย่างสุ่ม นั่นคือในความจริงที่เราอยู่กันนี้ มีสถานการณ์สุ่ม และสถานการณ์ที่ไม่สุ่มผสมอยู่ปนกัน เหมือนว่าเหตุการณ์ที่ไม่สุ่ม(มีเหตุและปัจจัย) เป็นเหตุการณ์สุ่มที่ถูกลดรูปลงมาในเงื่อนไขเฉพาะ ทำให้ดูเหมือนไม่สุ่ม ที่เรียนถามความเห็นจากท่านผู้รู้ เพราะผมสนใจมาพักใหญ่ แต่ไม่มีหนังสือที่อธิบายได้ง่าย แต่ถ้าจะหาอ่าน ก็ต้องทำความเข้าใจกับคณิตศาสตร์ในตำราเหล่านั้นซึ่งคงอีกพักใหญ่ๆ กว่าจะได้ทำความเข้าใจ เพราะยังมีงานต้องทำอยู่มาก ที่สนใจขึ้นมาในช่วงนี้ เพราะพอดีคราวล่าสุดที่ขึ้นมาเชียงใหม่ จากบ้านที่กรุงเทพฯนี้ ขอตบหนังสือตำราพ่อผมมาเล่มหนึ่ง เรื่องการใช้ทฤษฎีความยุ่งเหยิงในการผสมของเหลว(Chaos theory applied to fluid mixing) ยังไม่ได้เปิดอ่านดูเลย เห็นชื่อแล้วน่าสนุก ผมมักเป็นแบบนี้เสมอ คือเวลาเห็นหนังสือแล้วตื่นเต้น กระตือรือล้น แต่อ่านสักพักก็วาง แล้วเดี๋ยวก็กลับมาอ่านใหม่ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 14 มิ.ย. 50 15:27:49 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ปรัชญาสุดๆ อิอิ จากคุณ : MinIEs - [ 14 มิ.ย. 50 16:01:42 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมก็เชื่อว่าไม่มีความบังเอิญ แต่ปัจจัยบางตัวมันผ่านมาแล้วย้อนไปควบคุมไม่ได้ จากคุณ : Dr.slump - [ 14 มิ.ย. 50 16:15:11 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ทำไมจึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย ? เวลาไม่เคยรอใคร จากคุณ : Dr.slump - [ 14 มิ.ย. 50 16:19:54 ]

ความคิดเห็นที่ 38 .. ผมไม่เข้าใจ Chaos theory หรอกนะครับ แต่เมื่อเราเข้าใจว่า สรรพสิ่ง ล้วนเป็นไปตาม เหตุ และ ปัจจัย เพียงเท่านี้ เราแทบจะเข้าใจ ทั้งโลก และจักรวาล ผมจะลองยกตัวอย่าง อย่างการจุดไฟ องค์ประกอบ คร่าวๆ ที่ควรจะต้องมี คือ 1. ความร้อน 2. เชื้อเพลิง (ออกซิเจน + [ฟืน,กระดาษ,น้ำมัน,เทียนไข ฯลฯ]) ทีนี้เมื่อเหตุ คือ ความร้อน (อุณหภูมิมากพอ ที่จะถึงจุดติดไฟ ของสารเชื้อเพลิงแต่ละอย่าง) มาพอเหมาะพอดี กับเชื้อเพลิงในอุณหภูมิติดไฟ ก็จะลุกติดเป็นไฟขึ้นมา นี่อย่างคร่าวๆ นะครับ แต่ถ้ามองเข้าไปสู่เหตุและปัจจัย (อย่างละเอียด) มันจะมีองค์ประกอบมากกว่านั้น เช่น ผมจะขอสมมุติว่า จะเผากระดาษสักแผ่นก็แล้วกันนะครับ ถ้ากระดาษแผ่นนี้ มีอุณหภูมิติดไฟ อยู่ที่ 200 องศาเซลเซียส (อันนี้เป็นตัวเลขสมมุติ) ถ้าผมใช้ไฟแช็คแล้วลนที่มุมกระดาษข้างหนึ่ง ในลักษณะที่กระดาษเอียงมุมลงด้านล่าง เพียงแค่เปลวไฟสัมผัสกระดาษ ไฟก็ลุกไหม้ทันที แต่ถ้าผมหงายกระดาษในลักษณะแบนราบ วางบนพื้นโต๊ะ แล้วเอาไฟแช็คลนข้างบน ไฟจะไม่ติดในทันที แต่จะใช้เวลาสักพักนึงกว่าที่ไฟจะลุกติด ทีนี้เราก็จะมาดูว่า เหตุปัจจัยอะไรกันล่ะ ที่ทำให้กระดาษ (ที่สมมุติว่ามีจุดติดไฟเดียวกันคือ 200 องศาเซลเซียส) ถึงทำให้มันลุกไหม้ในเวลาที่ไม่เท่ากัน ก็จะเห็นปัจจัยอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย เช่น เป็นเพราะความร้อนจากไฟแช็ค มันสูญเสียไปโดยลอยขึ้นด้านบน กระดาษจึงยังไม่ได้รับความร้อนที่ 200 องศาเซลเซียสจริง แม้กระนั้นก็ตาม ถ้าคุณวางแผ่นกระดาษแนวราบ แล้วเอาไฟแช็คลนจากด้านล่าง ก็จะเห็นว่า ไฟจะติดช้ากว่า การที่เอาไฟลนที่มุมล่างของกระดาษ (ตามตัวอย่างแรก) คุณก็จะเห็นว่า มันมีปัจจัยบางอย่างทำให้มันเป็นแบบนั้น ทีนี้หากผมเอากระดาษแบบเดียวกัน ซ้อนกันหลายร้อยแผ่น (เหมือนกระดาษที่เป็นรีมๆ) ผมเอาไฟแช็คเผาจากทางด้านล่าง อาจจะใช้เวลานานมาก กว่าไฟจะลุกติดขึ้นมา ทีนี้ก็มาดูว่า เพราะเหตุปัจจัยอะไร ทั้งๆ ที่กระดาษมีจุดติดไฟที่ 200 องศาเท่ากัน (แต่พอเอามาซ้อนๆ กันหนาๆ ทำไมถึงไม่ติดไฟ จากการที่ใช้ไฟแช็คเผา เหมือนอย่างกรณีเผาเพียงแผ่นเดียว) ด้วยตัวอย่างแบบนี้ หากคุณต้องการรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นนั้น มีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง คุณก็ค้นหามันให้เจอ (ก็แค่นี้เอง) แต่บางอย่าง มีเหตุปัจจัยบางอย่าง ที่ซับซ้อนยิ่งกว่านี้ มีเหตุปัจจัยมากกว่านี้ จึงเป็นความยากลำบากเหลือเกินที่จะรู้ถึงเหตุปัจจัยนั้น แต่เพียงแค่เข้าใจเรื่องของเหตุและปัจจัย เราก็จะรู้จักทั้งหมดโลกและจักรวาล เช่น คำถามว่า นอกจากโลกนี้ แล้วยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่บนดาวดวงอื่นไหม ก็ตอบได้ทันทีว่า ถ้าที่ใดก็ตาม มีปัจจัย เหมาะแก่การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต และที่นั่น มีเหตุ ให้มีเชื้อของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น ณ ตรงนั้นได้ ที่ตรงนั้น ก็ย่อมจะมีสิ่งชีวิตได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ตรงนั้นอยู่ตรงไหน หากคุณอยากรู้ ก็ค้นหากันไป หาเจอที่ไหน ก็ที่นั่นแหละ มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าไปเจอแล้ว สิ่งมีชีวิต หน้าตาไม่เหมือนกับบนโลกใบนี้ คุณก็ไปหาต่อว่า ณ ที่แห่งนั้น มีปัจจัยอะไรที่แตกต่างจากบนโลกนี้บ้าง เช่น ปริมาณออกซิเจน มากกว่าหรือน้อยกว่าบนโลก หรือ บางทีอาจเป็นสิ่งอื่น แทนที่จะเป็นออกซิเจน ที่สัตว์นั้นใช้หายใจ หรืออาจจะเป็นระดับของค่า g ของแรงโน้มถ่วงบนดาวดวงนั้น อาจสูงกว่าหรือต่ำกว่าบนโลกนี้ จึงเป็นเหตุผลว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มีเหตุ มีปัจจัยของมัน ที่จะมี หรือ ไม่มีสิ่งนั้น เหตุและปัจจัยพร้อมเมื่อใด สิ่งนั้นก็มี เหตุและปัจจัยไม่พร้อม (อาจจะไม่มีเหตุ หรือ อาจจะขาดปัจจัยบางอย่างไป) สิ่งนั้นก็ไม่มี เป็นคำตอบสำหรับคำถามในกระทู้นี้ครับ .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 14 มิ.ย. 50 16:31:50 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ เดี๋ยวขอค้างประเด็นไว้ก่อน ว่างๆเดี๋ยวจะกลับมาคุยกันต่อ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 14 มิ.ย. 50 17:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มัน "มี" ในสิ่งที่เราเรียกว่า "ไม่มี" ไงละท่าน ความ "มี" มันอาจจะ "มี" แค่ในมิติที่เราอยู่ แต่ ความ "ไม่มี" มันอาจจะ "มี" ในอีกมิติคู่ขนานก็ได้ จากคุณ : Living Extreme - [ 14 มิ.ย. 50 21:54:05 ]

ความคิดเห็นที่ 41 บอกตามตรงว่า "ไม่เข้าใจคำถามครับ" คำถามคือ (1) ถามลอยๆว่า "ทำไมจึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย" หรือ คำถามคือ (2) "หากว่าโอกาสที่จะเกิดเอกภพขึ้นมา กับการไม่เกิดมีโอกาสเท่าๆกัน เหมือนการโยนเหรียญ แบบที่คุณ Amygdala กล่าวไว้ในบล็อกแกงค์ของแก ถ้าหากว่าในสุญญากาศมีการเกิด quantum fluctuation จนเกิดอนุภาค และปฏิอนุภาคตลอดเวลาหักล้างกันจนกลายเป็นศูนย์...แล้วทำไมจึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย" ซึ่งหมายถึงว่า ถ้าไม่เกิดเอกภพใช่ไหมครับ? คำว่า "...หักล้างกันจนกลายเป็นศูนย์...แล้วทำไมจึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย" ตกลง "บางสิ่ง" นั้นใครบอกว่ามี?? แล้วเขาบอกว่ามีอะไร?? (2.1) หรือเขาบอกว่า มีอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่ามีแน่ๆ ไม่มีทางว่างเปล่าแน่นอน ซึ่งทำให้ (2.1.1) อยากรู้ว่าอะไรนั้น คืออะไรแน่ หรือ (2.1.2) ทำไมมันไม่ว่างล่ะ มันหักลบไปหมดแล้วนี่ คือว่า งงกับคำถามน่ะครับ ช่วยตอบหน่อยนะครับ จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 14 มิ.ย. 50 22:41:26 ]

ความคิดเห็นที่ 42 "ทำไมจึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย" ผมคิดว่าน่าจะเป็น  "ทำไมจึงมีทุกสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย" มีคำกล่าวแนวเต๋าว่า ไม่มีก่อเกิดมี มีก่อเกิดหยินหยาง ..ก่อเกิดสรรพสิ่ง เมื่อไล่ไปแนวนี้ ไม่มีก่อเกิดสรรพสิ่ง ดังนั้น ไม่มีเป็นเหตุ มีเป็นผล ดูเหมือนตรงกับ quantum fluctuation ว่า เกิดสสารและปฏิสสารในสูญญากาศได้ http://www.historyoftheuniverse.com/hotuwiki/index.php/Quantum_fluctuation A quantum fluctuation is the appearance of equal but opposite particles out of vacuum. A particle of matter and another of antimatter can appear for a moment then quickly meet and annihilate each other. เต๋าแห่งฟิสิกส์ : ฟริตจ๊อฟ คาปร้า เขียน : สดชื่น วิบูลยเสข แปล http://www.midnightuniv.org/midschool2000/newpage20.html มีคนแต่งหนังสือว่าเข้าใจเต๋า เข้าใจฟิสิกส์ใหม่เพิ่มขึ้น จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ 14 มิ.ย. 50 22:51:16 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เรื่องมิติคู่ขนานก็น่าสนใจครับ แต่แนวคิดนี้มันมีปัญหาอยู่ตรงที่ว่าถ้ามันไปโผล่อีกด้านของมิติแล้วอะไรทำให้มันถูกบีบกลับไปกลับมาระหว่างมิติ แต่ถ้าเราเชื่อว่ามีมิติเรามิติเดียว แรงพลักกลับมันก็มาจากมวลที่ถูกบีบอัดจนใกล้สู่อนันต์และถูกดึงกลับโดยความว่างอย่างยิ่งยวด แต่ถ้าเราอธิบายว่าการย้อนกลับไปกลับมาระหว่างมิติคู่ขนานมันคือการย้อนกลับไปกลับมาของเวลา นั่นก็หมายความว่าทุกอย่างได้ถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จากคุณ : . - [ 14 มิ.ย. 50 22:55:27 A:203.188.37.198 X: TicketID:140423 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอแสดงความคิดเห็นดังนี้ "แล้วทำไมจึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย" ถ้าเจอคำถามสอบเข้าภาคปรัชญาเป็นแบบอย่างนี้ ผมเป็นพวกไม่ชอบตอบยาวจะเขียนแค่ "คุณคิดว่า ความไม่มีอะไร จริงๆมันมีไหม?" ("Is there a true nothingness ?") ของคุณไม่เป็นดั่งใจ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องการนิยาม(define) เลย ขอเสริมดังนี้ ปกติเวลาเราพูดถึงเหตุ(Cause) แล้วมักจะเป็นSet ของconditions ซึ่งขึ้นอยู่กับเราด้วยว่าจะนิยามมันรอบคอบและครอบคลุมแค่ไหน เช่น ถ้าเราอยากรู้ว่าการเผาไหม้เกิดขึ้นได้อย่างไร พยายามหาเหตุได้ดังนี้ เหตุการณ์เผาไหม้ (Combustion) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องมีConditions คือ 1. มีสิ่งที่ติดไฟได้ 2. มีอุณหภูมืที่เหมาะสม 3. มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งถ้าครบทั้ง3 อย่าง การเผาไหม้ควรจะเกิด การเอียงกระดาษทำให้ติดไฟไม่พร้อมกันนั้น เพราะข้อ 2 คืออุณหภูมิยังไม่ถึง แต่ถ้าครบอย่างไรก็ไหม้ แต่ถ้าจะให้คิดเรื่องการติดไฟไม่พร้อมกันว่าเกิดจากอะไร ก็ต้องนิยามEvent และconditions กันใหม่ แต่ที่สนุกก็ึคือ เราจะให้หลักการอะไรเพื่อที่จะเชื่อมโยงConditions กับEvent (นั้นก็คือถามว่าคุณใช้หลักการอะไรบอกว่าสิ่งนี้เป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์) จากคุณ : KL - [ 14 มิ.ย. 50 22:57:49 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เรื่องการบังเอิญ ก่อนอื่นต้องมาดูก่อนว่า แต่ละคนให้ความหมายกับคำว่าบังเอิญว่าอย่างไร สำหรับผม คิดว่าบังเอิญ คือเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย ซึ่งมันก็บอกในตัวว่าโอกาสน้อยแต่ก็เกิดได้ ดังนั้นสำหรับผมบังเอิญตามนิยามข้างบนมี แต่ก็ต้องดูดีๆว่า เหตุการณ์ใดมีความน่าจะเป็นน้อยจริงๆ เช่น สมมติ ในสภาวะเหมาะสม มีอสุจิของมนุษย์ 10ล้านตัวกับไข่ของมนุษย์ ถามว่าโอกาสเกิดเป็นผมเป็นเท่าไร ก็คงใกล้ๆ 1 ใน 10 ล้าน แต่ถ้าถามว่าโอกาสเกิดเป็นคนหนึ่งคนเท่าไรก้คงใกล้เคียง 100% จากคุณ : KL - [ 14 มิ.ย. 50 23:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 46 แต่ที่สนุกก็ึคือ เราจะให้หลักการอะไรเพื่อที่จะเชื่อมโยงConditions กับEvent (นั้นก็คือถามว่าคุณใช้หลักการอะไรบอกว่าสิ่งนี้เป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์) ^ ^ คุณ KL น่าสนใจมากๆเลย แต่วันนี้ผมง่วงไม่ไหวแล้ว ท่องศัพท์ถึงตัว K เตรียมสอบภาษา เดี๋ยวไว้อาจจะแตกกระทู้ไปคุยกันต่อ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 15 มิ.ย. 50 00:17:44 ]

ความคิดเห็นที่ 47 มีความเป็นไปได้ครับว่าในอวกาศบริเวณที่เป็นที่ว่างจะมีการเคลื่อยนไหวของอนุภาคมูลฐานอย่างยุ่งเยิงและเร็วมากในระดับความเร็วแสงหรือมากกว่าความเร็วแสงอยู่และเกิดบังเอิญที่อนุภาคมูลฐานนั้นวิ่งมาชนกันจากทุกทิศทางทำให้เกิดมวลที่มีขนาดใกล้เคียงค่าอนันต์ ณ.จุดหนึ่งเข้าแล้วมันก็สะท้อนออกมาจากแกนกลางกลายเป็นความว่างเปล่ายิ่งยวดแล้วเริ่มวัฐจักรของการมีตัวตนของมันที่เราสัมผัสได้ จากคุณ : . - [ 15 มิ.ย. 50 08:20:33 A:203.188.37.131 X: TicketID:140423 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ผมคิดว่าฟิสิกส์สมัยนี้คุ้นเคยกับความมีจนละเลยความไม่มีเกินไป ถ้าฟิสิกส์สมัยใหม่หันมาศึกษาความไม่มีมากขึ้นอาจสร้างอาวุธทำลายล้างที่รุนแรงกว่าระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาก็ได้เช่นการสร้างแบล๊คขนาดต่างๆ สมมุติมีมนุษย์ต่างดาวแล้วเราต้องรบกับมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาวอาจส่งแบล๊ดโฮลเล็กๆมายังโลกทำให้โลกหายไปในพริบตาแล้วระเบิดออกมาเหมือนที่เราเห็นการระเบิดของดวงดาวอันไกลโพ้นจากกล้องฮับเบิลก็ได้ จากคุณ : . - [ 15 มิ.ย. 50 15:20:34 A:203.114.117.222 X: TicketID:140423 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เพราะมันมีบางสิ่งขึ้นมา คำว่า "ทำไม" จึงมี ถ้าไม่มีอะไรเลย ก็ไม่มีคำว่า "ทำไม" จากคุณ : QuaOs - [ 15 มิ.ย. 50 16:55:56 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ผมคิดว่าการสร้างแบล๊คโฮลนั้นเป็นไปได้แต่เราต้องสร้างฟิสิกส์ที่อยู่เหนือกว่าฟิสิกส์แบบไอสไตน์ให้ได้ก่อนเพราะฟิสิกส์ของไอสไตน์ถูกจำกัดความเร็วในการเคลื่อนที่ไว้แค่ความเร็วแสงซึ่งการจะสร้างมวลเป็นลบได้นั้นต้องใช้ความเร็วเหนือแสงจึงจะดูดกลืนทุกสิ่งได้แม้แต่แสง จากคุณ : . - [ 15 มิ.ย. 50 17:43:58 A:203.188.61.171 X: TicketID:140423 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอตอบแบบยาวๆ และอ่านยากหน่อยนะครับ หวังว่าคงจะมีคน discuss ด้วยครับ คำถามน่าสนใจครับ เป็นคำถามเกี่ยวกับ ความมีตัวตน(existence) ของสิ่งต่างๆ ที่ถามว่า "ทำไมถึงมี?" "ทำไมจึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย ?" 1. วิเคราะห์คำถาม 1.1. ความหมายของความ "มีตัวตน" และไม่มีตัวตน" เราจะบอกได้อย่างไร ว่าสิ่งนี้มีอยู่ และสิ่งนี้ไม่มี การทำกิริยา(action หรือ interaction) ของสิ่งใดๆ กับสิ่งอื่นๆ ย่อมเป็นการยืนยันถึง "ความมีตัวตน" อยู่ของ "ผู้กระทำ" เราสามารถตรวจพบสิ่งต่างๆ ได้จากผลของกิริยาที่มันทำกับอีกสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่ ไม่สามารถทำกิริยากับวัตถุใดๆ ในจักรวาลของเราได้เลยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เราก็ควรถือว่าวัตถุนั้น ไม่มีตัวตน ในจักรวาลของเรา ถ้าวัตถุใดไม่มีตัวตน วัตถุนั้นย่อมไม่สามารถก่อให้เกิดเหตุการณ์ (event) ณ ตำแหน่งหรือเวลาใดๆ ในจักรวาลได้ แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 50 05:48:13 จากคุณ : ikkyu - [ 16 มิ.ย. 50 02:47:57 ]

ความคิดเห็นที่ 52 1.2. สมมุติฐานล่วงหน้า (Presumption) ของคำถาม คำถามนี้มีสมมุติฐานล่วงหน้า (ก่อนที่จะถาม) คือ บางสิ่งต้องมีอยู่จริง (there exists something) เสียก่อนจึงจะถามคำถามนี้ได้ แล้วบางสิ่ง(อะไรก็ได้)มีอยู่จริงหรือ? บางสิ่งอย่างเช่นตัวตนของเรามีอยู่จริงไหม? 1.2.1 วิเคราะห์ presumption :: บางสิ่งมีอยู่จริงหรือ? Descartes นักปรัชญา เคยกล่าวว่า Cogito ergo sum หรือ I think, therefore I am (exist). เขาได้ข้อสรุปว่า ตัวเราที่กำลังคิดอยู่ นั้นมีตัวตนจริง เพราะ "การมีตัวตนของผู้คิด" เป็น "เงื่อนไขจำเป็น" (necessary condition) ในการที่จะสามารถ "คิด" ถ้าไม่มีเราซึ่งกำลังคิดอยู่ แล้วแมวที่ไหนล่ะที่มันกำลังคิด (เชิญอ่านรายละเอียดใน blog ของผม) จากคุณ : ikkyu - [ 16 มิ.ย. 50 02:49:58 ]

ความคิดเห็นที่ 53 1.2.2 ความมีอยู่จริง และอนัตตา การมีตัวตน ในที่นี้อาจจะคนละความหมายกับศาสนาพุทธ ที่พยายามกล่าวว่าสิ่งต่างๆ ไม่มีตัวตน โดยวิธีการเช่น 1) มองแบบแยกส่วน หรือ 2) มองว่าตัวตนนั้นมีอยู่เพียงชั่วคราว แท้จริงแล้ว ตัวตนก็มักจะมีอยู่ชั่วคราว และประกอบด้วยองค์ต่างๆ เป็นธรรมดา เราเรียกรถยนต์ว่ารถยนต์ นาฬิกาว่านาฬิกา ก็ต่อเมื่อมันประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่เอามารวมกันอย่างถูกที่ถูกทาง จนมันมีคุณสมบัติตามนิยามของรถยนต์ หรือของนาฬิกา การ "มีอยู่ชั่วคราว" ต่างจาก "ความไม่มี" อย่างลิบลับ 1) การคิดแยกเป็นองค์ประกอบ ไม่ได้ทำให้รถหมดความเป็นรถ เว้นเสียแต่ว่าจะแยกส่วนมันเป็นชิ้นๆ จริงๆ 2) การมองไปห้าสิบปีข้างหน้า หรือย้อนไปในอดีต ซึ่งเป็นเวลาที่รถคันนี้จะไม่มีสภาพเป็นรถอีกแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้รถในวันนี้ไม่มีตัวตน "บางสิ่ง" นั้นสามารถมีอยู่จริง อย่างน้อยก็ในตำแหน่ง และช่วงเวลาที่จำกัดช่วงหนึ่ง (หรืออาจมีกรณีที่ มันมีอยู่ต่อไปอย่างไม่จำกัดระยะเวลาก็ไม่ทราบได้) ดังนั้นคำถามว่า "ทำไมจึงมีบางสิ่ง แทนที่จะไม่มีอะไรเลย ?" นั้นจึงสามารถถามได้ เพราะไม่พบว่า presumption เป็นเท็จ แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 50 03:07:15 จากคุณ : ikkyu - [ 16 มิ.ย. 50 02:52:12 ]

ความคิดเห็นที่ 54 2. Question of Origin (ปัญหาต้นกำเนิด) 2.1) คำถามนี้เกี่ยวกับ Question of Origins อย่างไร Question of Origin หมายถึงคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของจักรวาลและสิ่งต่างๆ คำถามนี้และคำตอบของมัน มักจะพบได้ในศาสนาแทบทุกศาสนา เนื่องจากตัวตนสามารถมีขึ้นจากการ "กำเนิด" ถ้ามีการกำเนิด ก็ย่อมทำให้ผู้ถูกกำเนิดมีตัวตน อย่างไรก็ตาม คำถามที่เรากำลังพิจารณา ("ทำไมจึงมีบางสิ่ง") ไม่สนใจว่าสิ่งต่างๆ มีต้นกำเนิด หรือกระบวนการกำเนิดอย่างไร ส่วน Question of Origin ก็ไม่สนใจการกำเนิดของ Origin ไม่สนว่าทำไมมันถึงมี (How/Why did the origin exist?) หรืออาจกล่าวว่า ต้นกำเนิดไม่ได้ถูกสร้าง มีอยู่เช่นนั้นมาตลอด ดังนั้นคำถามที่เรากำลังพิจารณานี้ จึงแตกต่างกับ Question of Origin (แต่อาจเกี่ยวข้องกันบ้าง) จากคุณ : ikkyu - [ 16 มิ.ย. 50 02:57:07 ]

ความคิดเห็นที่ 55 2.2) ต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ถือกำเนิดมาจากความว่างเปล่า ใช่หรือไม่? เมื่อเราย้อนถามไปทีละขั้น ว่าสิ่งต่างๆ กำเนิดมาได้อย่างไร ย้อนไปจนถึงต้นกำเนิด คำถามสุดท้ายที่เราจะถามคือ "ต้นกำเนิด" นั้น เกิดมาได้อย่างไร ใครสร้าง (คำว่า "ใครสร้าง" เป็นคำถามที่มี presumption ว่าต้นกำเนิดต้องเป็น 'บุคคล' ศาสนิกชนของศาสนาเทวนิยมต่างๆ เช่นคริสต์ อิสลาม จึงนิยมคำถามนี้ ผนวกกับข้ออ้างเหตุผลอื่นๆ) นักดาราศาสตร์มีเหตุผลรองรับที่สรุปได้ว่า ต้องมีจุดกำเนิด จากที่ขนาดจักรวาลเป็นจุด และเวลาเริ่มต้นที่ศูนย์ นั่นคือปรากฏการณ์ big bang และนักฟิสิกส์ก็สามารถอธิบายกระบวนการกำเนิดมวลสารและพลังงาน ณ เศษเสี้ยวของเวลา ณ จุดเริ่มต้นอันนั้นได้ ที่จริงนักฟิสิกส์ทฤษฏียังไปไกลกว่านั้น แต่ก็ยังมีหลักฐานทางปรากฏการณ์ไม่เพียงพอที่จะรองรับว่าจริงเท็จเพียงใด ในที่สุด ปัญหาของเราคือ สิ่งต่างๆ ทั้งมวล รวมทั้งจักรวาลนี้ (และจักรวาลอื่นๆ ถ้ามี) ทำไมถึงมีมันขึ้นมา ผมคิดว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องตั้งสมมุติฐานว่าสิ่งแรกเริ่มนั้นจะต้องถือกำเนิดจากความว่างเปล่า เช่นในทางคริสต์ ก็นิยมสรุปว่าพระเจ้านั้นมีมาตลอด ไม่ขึ้นกับกาลเวลา และไม่ถูกใครหรือสิ่งใดสร้างขึ้นมา ยิ่งกว่านั้นอาจไม่จำเป็นว่าต้องมีสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดเพียงหนึ่งเดียวก็เป็นได้ คำถาม "ใครสร้างพระเจ้า?" เป็นคำถามที่ขัดกับนิยามของพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นต้นกำเนิด ถ้ามีผู้สร้างอีกก็ไม่ใช่พระเจ้า แต่คำถามว่า "ทำไมต้นกำเนิด(หรือพระเจ้า) ถึงมีอยู่ แทนที่จะไม่มี" (Why is there God/"the origin" rather than nothing?/Why does God exists?) ย่อมสามารถถามได้ เพราะคำถามดังกล่าวไม่มีการตั้ง presumption ว่าต้นกำเนิดหรือพระเจ้าถูกใครสร้างขึ้นมา แต่อย่างใด แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 50 03:02:54 จากคุณ : ikkyu - [ 16 มิ.ย. 50 03:00:52 ]

ความคิดเห็นที่ 56 3. ประเด็นวิเคราะห์และข้อถกเถียงต่างๆ 3.1) สมมุติฐานหลายจักรวาล ถ้าหากจักรวาลที่เราอาศัยอยู่ เป็นเพียงหนึ่งในจักรวาลจำนวนมาก ที่มีกฏธรรมชาติ (หรือค่าคงที่ทางฟิสิกส์) แตกต่างกันไป บ้างก็ว่างเปล่า บ้างก็ไม่ว่างเปล่า จักรวาลที่เราถือกำเนิดมาและดำรงอยู่ ย่อมเป็นจักรวาลที่ไม่ว่างเปล่า ย่อมมีกฏธรรมชาติ และสภาวะแวดล้อมที่เหมาะกับการมีสิ่งมีชีวิต เราไม่มีทางกำเนิดมาในจักรวาลที่ว่างเปล่าแน่นอน อย่างไรก็ตาม ต่อให้มันเป็นจริงตามข้อนี้ เราก็ยังอธิบายไม่ได้ ว่าทำไมจักรวาลที่เราอยู่(และจักรวาลอื่นๆ) จึงมีตัวตนอยู่ ผมจึงคิดว่าข้อสมมุติฐานนี้ไม่ช่วยให้เราได้คำตอบ และก็จะไปติดที่คำถามว่า "ถ้ามีหลายจักรวาลเช่นนั้น แล้วทำไมมันถึงมีจักรวาล แทนที่จะไม่มีอะไรเลย?" จากคุณ : ikkyu - [ 16 มิ.ย. 50 03:01:55 ]

ความคิดเห็นที่ 57 3.2) ข้อถกเถียงเชิงสถิติ (Statistical Argument) หากพิจารณาสถานะที่เป็นไปได้ทั้งหมดในการมีบางสิ่งและการไม่มีสิ่งใดเลย จะพบว่า - สถานะที่ไม่มีสิ่งใดเลยมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นเดียวกับเซ็ตว่าง ที่มีได้เพียงแบบเดียว - สถานะที่ "มีบางสิ่ง" นั้นมีเป็นอนันต์ มีได้ไม่จำกัดแบบ (นี่ไม่ได้หมายถึงว่ามีหลายจักรวาลจริงๆ แบบข้อ 3.1 แต่เราพูดถึง "แบบของจักรวาลทั้งหมดที่เป็นไปได้") ดังนั้น โอกาสที่เราจะพบว่าจักรวาล "มีบางสิ่ง" ย่อมสูงกว่าโอกาสที่จักรวาล "ไม่มีอะไรเลย" จากคุณ : ikkyu - [ 16 มิ.ย. 50 03:04:16 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ถึงแม้การไม่มีสิ่งใดเลยจะมีได้แบบเดียว แต่มันโอกาสเกิดน้อยกว่าจริงหรือ? นักปรัชญาบางคนคิดว่า ในกรณีที่จักรวาลไม่มีอะไรเลยนอกจากกฏทางฟิสิกส์ เราก็ยังสามารถมี "จักรวาลว่างเปล่า" ที่มีกฏทางฟิสิกส์แตกต่างกันไปอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้น ข้อถกเถียงข้อนี้อาจยังไม่นำไปสู่ข้อสรุปเช่นกัน จากคุณ : ikkyu - [ 16 มิ.ย. 50 03:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 59 แล้วอีกนานมั้ยที่บางสิ่งจะกลับมาเป็นไม่มีอะไรเลย  หรือไม่มีวัน จากคุณ : RedMiyoun - [ 16 มิ.ย. 50 03:22:09 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอยั่วยุต่อดังนี้ครับ ความว่างเปล่า (Nothingness) คืออะไร การที่มีจักรวาลหรือมิติที่ไม่มีแม้แต่สสาร แต่มีกฎหรือค่าคงที่ทางฟิสิกส์จะถือว่ามันว่างเปล่าหรือไม่(เพราะมีกฏหรือค่าคงที่ แต่ไม่เหมาะให้เกิดสสาร) และการที่มันอยู่ในมิติ นั้นจะถือว่ามันจะ"มีอะไร" หรือไม่ เพราะอย่างน้อยก็มี"มิติ" และถ้าสมมติว่ามีที่ว่างเปล่าจริง การที่เรายื่นตัวเราหรือเครื่องมือเข้าไปสังเกต จะทำให้การว่างเปล่านั้นกลายเป็น"มีอะไร" หรือไม่ จากคุณ : KL - [ 16 มิ.ย. 50 10:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขยายความจากความเห็นเดิม สิ่งที่ไม่เคยมี ถ้าเราพบวิธีเปรียบเทียบหาความแตกต่างที่ต่างจากสิ่งอื่นได้ หาความโดดเด่นที่เด่นจากสิ่งเดียวกันได้ มันก็จะมีอยู่ขึ้นมาครับ จากคุณ : ของเล่นใหม่ - [ 16 มิ.ย. 50 12:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 62 #60 นั่นนะสิครับ แค่มีจักรวาล ก็น่าจะถือได้ว่ามี something ที่ไม่ใช่เพียง nothing แล้ว จากคุณ : ikkyu - [ 18 มิ.ย. 50 00:45:19 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เพิ่งกลับมาดูครับ น่าสนใจสุดๆ ขอบคุณที่เข้ามาพูดกันในประเด็นปัญหาต่อนะครับ อยากบอกว่ายังสนใจอยู่นะครับ ยังไงขอเซฟกระทู้นี้เก็บไว้ด้วย คืนนี้นั่งแปลปรัชญาวิทยาศาสตร์อยู่ครับ แปลเสร็จโหลดขึ้นเว็บแล้วจะมาบอกนะครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 19 มิ.ย. 50 00:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ปรัชญาวิทยาศาสตร์ น่าสนใจครับ "ปรัชญาต่างจากวิทยาศาสตร์อย่างไร?" จากคุณ : KL - [ 20 มิ.ย. 50 20:53:32 ]

ความคิดเห็นที่ 65 มีเหมือนไม่มี ไม่มีเหมือนมี จากคุณ : : : Golfie : : - [ 21 มิ.ย. 50 08:25:34 ]