ความคิดเห็นที่ 1 จุดระเบิดไอพ่น ความเร็วเพิ่มขึ้นครับ แต่ถ้าจะทำให้ถึงความเร็วแสง ทำไม่ได้ครับ เพราะไม่มีที่เก็บเชื้อเพลิงมากแบบนั้น และขัดกับทฤษฎีสัมพัทธภาพด้วยครับ ขนาด e- มวลน้อยแบบนั้น ใส่พลังงานเข้าไปมากยังไง ก็มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 0.99c ของความเร็วแสงเองครับ แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 23:40:27 จากคุณ : Styer - [ 25 มิ.ย. 50 23:40:13 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้างั้นก็มีโอกาสเป็นไปได้ใช่ไหมครับ ถ้าหาเชื้อเพลิงที่มันใช้ได้ปริมาณน้อยๆ แต่ระเบิดได้แรงๆ ใช้แบบจุดติดแล้วดับ จุดติดแล้วก็ดับไปเรื่อยๆ น่าจะไม่เปลืองเท่าไร เป็นการพิสูจน์ทฤษฎีไปด้วย จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 00:06:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่ามันก็น่าจะเร็วเท่าเดิมนะ พอจุดอีกทีแล้วมันจะเร็วขึ้นได้ยังไงอะ นึกไม่ออก แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 00:09:12 จากคุณ : Limelight - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 00:08:25 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เวลาความเร็วเพิ่มขึ้นมวลจะต้องเพิ่มขึ้นตามด้วย มวลที่เพิ่มขึ้นจะได้มาจากพลังงานและตามทฤษฎีสัมพัทธภาพถ้าความเร็วเท่ากับแสงมวลจะมีค่าเป็นอนันค์(Infinity) ดังนั้นพลังงานที่มีค่าเท่ากับInfinityมอบให้กับจรวดถึงจะทำให้มันมีความเร็วเท่ากับแสงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้   แต่มีข่าวดีมาบอกนักวิทยาศาตร์ได้ค้นพบสิ่งที่เดินทางได้เร็วกว่าแสงโดย ไม่ผิดต่อกฏของทฤษฎีสัมพัทธภาพ จากคุณ : einstein (vicseng) - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 00:15:16 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อืมถ้าจรวดผลิตพลังงานที่ใช้เองได้ ก็จะใช้พลังงานเท่าไหร่ก็ได้ แต่กว่าความเร็วจะได้สงสัยจรวจอาจพังก่อนแหะ วิธีเดินทางได้เร็วกว่าแสงที่ค้นพบใหม่ที่ว่าคืออะไรเหรอครับ คงไม่ใช่การถอดวิญญาณ นะครับ...(อิอิ...ย้อเย่น) จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 00:32:14 ]

ความคิดเห็นที่ 6 making light go faster than the speed of light! จากคุณ : root :-D - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 00:38:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ว่ากันว่าในอวกาศไม่ได้ว่างโหรงซะทีเดียว มันมีฝุ่นเยอะ และกาซเยอะทีเดียว ค่าเฉลี่ยหลายล้านอะตอมต่อลูกบาศก์เมตร ลองหาดูกระทู้เก่าไม่เกินสามสี่วันมีคนตอบไว้ข้างล่าง ถ้าดูตามนี้ก็บอกได้ว่ามันมีความเสียดทานต้านการเคลื่อนที่อยู่(แต่น้อยมาก) ถ้าจุดไอพ่น เร่งเครื่องก็ได้ความเร็วเพิ่มยืนยันตาม คห 1 Styer แต่ไม่เท่าความเร็วแสงเพราะมันขัดกับทฤษฎี กลไกมันเป็นอย่างไรถึงไม่เท่าแสงนั้น ว่ากันว่าเมื่อเข้าใกล้ความเร็วแสงแล้ว  การจะเร่งให้เร็วขึ้นอีกต้องใช้พลังงานมากตามไปอีก ถ้าดูตามนี้ ก็บอกได้ว่ากฎนิวตั้น f = ma ที่เรียนในมอปลาย ใช้ไม่ได้อีกต่อไป กล่าวคือใช้แรงจุดระเบิด f เท่าเดิม มวลยาน m เกือบเท่าเดิม แต่ ความเร่ง a ที่ได้จะน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนความเร่ง a จะได้เท่าไหร่นั้นมีสูตรคำนวณที่เรียกว่าการแปลงลอเรนซ์คับ ความหมายคือยิ่งใกล้ความเร็วแสง ความเร็วที่เพิ่มได้ ก็ยิ่งน้อย ทั้งที่ใช้พลังงานไปเท่าเดิม เรื่องนี้มีเรียนในฟิสิกส์ระดับมหาวิทยาลัย ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น อันนี้เกินมันสมองของผมคับ แรงดึงดูดระหว่างดวงดาวมีทั้งฉุดยานและเพิ่มความเร็วยานครับ ถ้าไปในทิศหนีจากดาวที่กำลังดูดมันก็คือถูกฉุดไว้ ยานช้าลง แต่ถ้าวิ่งเข้าหาก็จะถูกเร่งให้เร็วขึ้น  มันก็ง่ายๆ คอมมอนเซนต์ครับ จากคุณ : =Lord Gary= - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 00:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ๋อเรื่องแรงดึงดูดดาวที่สงสัย ว่าจะทำให้ความเร็วลดลงไหมนั้น เป็นเพราะว่าในอวกาศ(ในความคิดของผม) มีดาวอยู่มากมายทุกทิศทุกทาง(บน/ล่าง/ซ้าย/ขวา พร้อมๆกัน) และเราก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปอยู่ในรัศมีการดูด ตอนไหน ที่นี้ดูดมาจากหลายๆทาง เลยสงสัยว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของแรงต้านที่ทำให้ยาน มันช้าลงหรือปล่าวครับ เพราะเห็นดาวหางอยู่ไกล้ไกล ดวงอาทิตย์ยังดูดมาได้เลย... ปล. ขอบคุณที่ช่วยอธิบายครับผมพอเข้าใจแล้วว่ามีผลต่อความเร็ว...ขอบคุณนะครับ แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 02:58:02 แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 01:40:25 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 01:38:52 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่    จขกท  พูด   เป็นหลักของยานอวกาศในอนาคตครับ ยานอวกาศพลังงานนิวเคลียร์ในอนาคต     จะเคลื่อนที่เป็นแบบpulse  เนื่องจากใช้การระเบิดของระเบิดนิวเคีลยร์(แบบfusion หรือfissionนี้ผมไม่แน่ใจ) ที่ท้ายยาน   เพื่อส่งให้ยานเคลื่อนที่ไปข้างหน้า นี้เป็นความคิดของnasaอ่ะคับ จากคุณ : alphaX - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 10:48:00 ]

ความคิดเห็นที่ 10 พลังงานอย่างเดียวไม่พอขับเคลื่อนยานครับ การขับดันแบบ Propulsion ยังต้องมีการใช้มวลช่วยขับดันด้วย ตอนนี้ำพลังงานไม่ใช้ปัญหาของการเดินทางในอวกาศครับ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะเอามวลสารจากไหนมาขับดันยาน เพราะว่าการเดินทางของยานใช้กฏการอนุรักษ์โมเมนตัม จากคุณ : Nexus - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 12:23:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 การเคลื่อนที่ในอวกาศ และความเร็วแสง   The Light Barrier ขีดจำกัดแสง   http://homepage.eircom.net/~timetravelna/light_barrier.htm จรวดหนัก 1000 กก.วิ่งที่ครึ่งกำลังได้ 0.5c วิ่งเต็มกำลังน่าได้ c The rocket is trying to travel at the speed of light. It weighs 1000 Kilograms. At half power it can make 1000 Kilograms of rocket travel at half the speed of light. Logic suggests that at full power it should reach the speed of light with no problems. แต่ยิ่งเร็วน้ำหนักยิ่งเพิ่มต้องใช้กำลังเพิ่ม ใกล้ความเร็วแสงน้ำหนักอนันต์ มวลจึงมิอาจข้ามขีดจำกัดความเร็วแสง This is not true as the faster it travels the heavier it gets. So above half the speed of light the rocket doubles in weight so more power is needed to make it go faster. When it approaches the speed of light it weights over twice as much so it needs double the power just to stay going, leaving none left to break the light barrier. When an object reaches the speed of light its mass becomes infinite so the power required to reach the speed of light is infinite. So thus, the light barrier cannot be crossed by anything with mass. จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 14:41:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 7---f=ma hold good only for the case  c>>v.as v approach the c ,m aproach infinity as m=m0/square root of (1 - v^2/c^2).   from lorentz transformation,one can interpret that ,to achieve the speed of light ,infinite magnitude of force needed to apply for infinitely long time.so it is illogical.So even if we have advance techlogy to produce the power,it is still impossible.    if u disscus about the use of gravity field for acceleration ,u will also need to consider the space-time curvation. จากคุณ : vicseng - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 20:10:23 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนนี้ยังไม่มีแต่อนาคต อาจจะมี technology ที่เรายังคิดไม่ออกตอนนี้ก็ได้ครับส่วน #12 หมายถึง ว่าจะใช้แรงดึงดูดของโลกในการเพิ่มความเร็วใช่ไหมครับ ถ้าแปลผิดขออภัยด้วย ส่วนเรื่องน้ำหนักใน#11 ในอวกาศมันไม่มีแรงต้านเป็นตัวถ่วงทำไมมันเพิ่มได้ล่ะครับ แถมในอวกาศ อะไรก็ลอยไปหมด(สภาวะไร้น้ำหนัก) ดังนั้นน้ำหนักมันมีผลต่อการเคลื่อนที่ด้วยหรือครับ ปล. เห็นว่ากาแลกซี่ก็กำลังเคลื่อนที่ออกจากจุดกำเนิด(ไม่รู้ว่าอัตราคงที่หรือไม่) แล้วถ้าไม่คงที่งั้นโลกไม่หนักขึ้นด้วยหรือ... ต่ออีกนิดดีใจที่คิดเหมือนฝรั่งแหะ ถึงจะช้าไปก็เหอะ แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 22:29:24 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 22:25:49 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แรงดึงดูดของดาวไหนก็ได้ครับ ส่วนเรื่องของ TECHNOLOGY ไม่ใช่ปัญหาครับ ถ้าเรามี technology ที่ดีจริงๆ ปัญหาจะกลายเป็นเรื่องของปริมาณของเชื้อเพลิงไปครับ จากคุณ : vicseng - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 22:41:35 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตามกฏของทฤษฎีสัมพัทธภาพ โลกจะหนักขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ กรอบอ้างอิ้งของผู้มองครับ แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 22:51:16 จากคุณ : vicseng - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 22:50:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ในอวกาศไม่มีสภาวะไร้น้ำหนักอย่างสมบูรณ์หรอกครับ ในอีกเเง่หนึ่ง--- สภาวะไร้น้ำหนักคื่อการเคลื่อนที่ภายใต้อำนาจของเเรงโน้มถ่วงอย่างสมบูรณ์ครับ คนที่กำลังตกลงมาจากตึกก็อยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักนะครับ จากคุณ : vicseng - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 23:06:53 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตอบ 13 จขกท ส่วนเรื่องน้ำหนักใน#11 ในอวกาศมันไม่มีแรงต้านเป็นตัวถ่วงทำไมมันเพิ่มได้ล่ะครับ แถมในอวกาศ อะไรก็ลอยไปหมด(สภาวะไร้น้ำหนัก) ดังนั้นน้ำหนักมันมีผลต่อการเคลื่อนที่ด้วยหรือครับ ที่บอกว่าน้ำหนักมันเพิ่มเป็นมุมมองของผู้สังเกตในกรอบนิ่ง ครับ คือเราอยู่บนโลกจะเห็นคนบนยานมีมวลมากขึ้น แต่คนบนยานเอาตราชั่งมาชั่งบนยานก็ยังคงได้มวลเท่าเดิม   นี่เป็นข้อแตกต่างประการหนึ่งที่ไอน์สไตน์ทำนายเอาไว้ จากคุณ : =Lord Gary= - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 23:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ต่อความเห็นที่ 7 ความเร่งในที่นี้ที่พูดถึงคือความเร่งที่คนในยานรู้สึก หรือวัดได้เมื่อเทียบกับชาวโลกซึ่งถูกมองว่าโลกเป็น inertial reference frame หรือจะเรียกว่าติดตั้ง accelerate-meter ไว้ที่ยานที่ซึ่งพยายามเร่งตัวเองให้หนีห่างจากโลกให้เร็วใกล้ความเร็วแสง มิเตอร์ดังกล่าวก็ย่อมจะแสดงค่าที่คนในยานรู้สึก ไม่ใช่ความเร่งที่คนบนโลกรู้สึก ต่อคำถามว่ากลไก มันเป็นอย่างไรถึงเร่งให้เท่าความเร็วแสงไม่ได้ วิกิ บอกว่าที่ความเร็วขนาดนั้น แรงที่กระทำจะถูกแสดงออกมาเป็นเวกเตอร์ทั้งสี่มิติ เรียกว่า four-force  ได้ความเร่ง ซึ่งก็แสดงออกมาในรูปเวกเตอร์สี่มิติเช่นกันเรียกว่า  Four-acceleration ดูที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Four-acceleration มีส่วนขยายความว่า ที่ความเร็วน้อยๆ ส่วนประกอบของเวกเตอร์ทั้งสี่ทิศจะเหลือเพียง แกนเดียว แกนอื่นๆ ที่เหลือจะถูกการแปลงแบบลอเรนซ์ ทำให้มันหดเล็กลงจนเป็นศูนย์ กฎนิวตันก็ใช้ได้เต็มที่ไม่มีผิดเพี้ยน  แต่เมื่อความเร็วสูงมากๆ ส่วนประกอบของเวกเตอร์ในแกนอื่นๆ จะเริ่มแสดงออกมา ทั้งของ four-force และ  Four-acceleration นั่นคือออกแรงเท่าเดิมจากแรงขับของจรวด แต่กลับได้แรงในทิศเดิมไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะมันถูกยักย้ายไปโผล่ที่แกนอื่นของเวกเตอร์ ความเร่งเองก็ ถูกแปลงในทำนองเดียวกัน ผลคือ ได้ความเร่งที่เครื่องวัดที่ติดไปกับยานอ่านค่าเป็นตัวเลขเดิม อ่ะอย่าเพิ่งสับสนว่าทำไมได้เท่าเดิม เพราะ   "ตัวเลขเดิม" นี้แท้ที่จริงมันคือผลรวมของเวกเตอร์ทั้งสี่ ซึ่งต้องตีความต่ออีก ตีความต่อได้อีกว่าความเร่งในทิศทางเดิมก็จะถูกลดทอนไป  ส่วนที่ถูกลดทอนไปก็ไปปรากฎในเวกเตอร์ในแกนเวกเตอร์ที่เหลือ ถ้าดูตามนี้ก็บอกได้ว่ากฎนิวตั้นใช้ได้เสมอ เพียงแต่ว่า แรง f ก็แทนด้วยแรง four-force ความเร่ง a ก็แทนด้วย Four-acceleration และความเร็วยาน  v ก็จะเป็น  four-velocity นอกจากนี้ยังมี four-vector,  four-momentum, ถึงตรงนี้ก็อธิบายได้ว่าที่เราไม่สามารถเร่งให้เร็วเท่าแสงได้เพราะแรงที่ใส่เข้าไปเร่งนั้นมันถูกยักย้ายไปเร่งในแนวแกนอื่นของเวกเตอร์ความเร็ว ลองอ่านดูครับผมก็มั่วไปเรื่อย เพราะภาษาปะกิดผมไม่สันทัดจับความได้งูๆ ปลาๆ http://en.wikipedia.org/wiki/Hyperbolic_motion_%28relativity%29 แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 23:59:17 แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 23:35:57 จากคุณ : =Lord Gary= - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 23:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตึ๊บเลย...เจอสูตรไป...แต่ว่าแค่ four เองเรอะ น่าจะเป็น six มากกว่า (เหะๆ อย่าสนใจผมเลยครับ คิดแบบคนไม่เข้าใจสูตร) อย่างไรก็ตามก็ขอคุณนะครับถ้าใครจะเพิ่มก็ขอบคุณครับกระทู้ที่ตั้งไว้ผมจะเช็ดทุกๆวันนานเป็นเดือนแหละครับเพื่อได้ข้อมูลที่อยากรู้เพิ่ม จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 27 มิ.ย. 50 00:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คหท--18 เเกนอื่นที่ว่านี้เป็นเเกนของเวลาหรือครับ จากคุณ : vicseng - [ 27 มิ.ย. 50 00:59:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 งง มันจะเร้วขึ้นได้ยังไง? ลองเปรียบเทียบเป็นรถดูสิ สมมุติว่ารถเคลื่อนที่แบบไม่มีแรงเสียดทานจากอะไรเลยนะ รถคันนี้เหยียบคันเร่งจนได้ความเร็วสูงสุดที่ 120km/h สุดๆแล้ว พอถอนคันเร่งออก รถก็จะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆที่ 120km/h <<< ที่ความเร็วนี้แม้จะเหยียบคันเร่งอีกรถก้ไม่เร็วไปกว่านี้แล้วครับ เพราะสุดๆมันได้แค่ 120km/h อ่ะ ยานก็เหมือนกันแหล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 50 02:31:57 จากคุณ : pabada - [ 1 ก.ค. 50 02:31:38 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เราไม่ต้องเคลื่อนไปไหนหลอกคับ (จุดสังเกตุ) อยู่นิ่งๆ นี่แหละ แต่กระตุ้นให้อณุภาคมูลฐาน เปลี่ยนขั้วให้เร็วมากๆ เป็น C กำลัง (n-1) จำทำให้ขอบฟ้าเหตุกาล บิดตัวเข้าหากันจดมาทับกันที่จุดที่เรายืนอยู่ แล้วทำกระตุ้นให้อณุภาคมูลฐานของขอบฟ้าเหตุกาล ที่เราอยู่จุดแรก ให้เร็วที่ C กำลัง (n-2) เราก้อจะไปยืนอีกจุดหนึ่งของจักวาลแล้วครับ จากคุณ : ohm_bank (OHM_BANK) - [ 2 ก.ค. 50 18:32:40 ]