ความคิดเห็นที่ 1 สายล่อฟ้า ชื่อก็บอกแล้วว่าล่อฟ้าให้มาผ่า จะล่อไปที่อื่นได้อย่างไรกัน เพราะมันจะมีลักษณะปลายแหลมซึ่งประจุจะมารวมตัวกันหนาแน่น ทำให้เป็นสื่อนำไฟฟ้าในอากาศได้ดี ก็คือเป็นตัวล่อนั่นเอง จากคุณ : ง่ะน่ะ - [ 17 ก.ค. 50 18:55:20 A:58.10.161.90 X: TicketID:061788 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มีทั้ง 2 แบบครับ แบบแรก เป็นแท่งตรงๆ เอาไว้ให้ฟ้ามาผ่าในจุดที่ต้องการ ถ้าไปผ่าที่จุดอื่นจะเกิดความเสียหาย ข้อดีคือถูก ติดตั้งง่าย ข้อเสีย ไม่สามารถป้องกันการเกิดการรบกวนจากสนามแม่เหล็ก (EMP) ในระบบไฟฟ้าได้ จากคุณ : กฤตยฎีกา - [ 17 ก.ค. 50 19:00:19 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แบบที่สอง เพื่อแก้ปัญหาข้างต้นจึงได้มีการคิดค้นว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ฟ้าผ่า จึงเกิดล่อฟ้าในแบบนี้ขึ้น หลักการของมันก็คือ ให้ท้องฟ้าค่อยๆคายประจุลงสู่ดิน ไม่ใช้ถ่ายเทพรวดเดียวจนเกิดเป็นฟ้าผ่า รูปร่างของมันจะคล้ายๆร่ม บนนั้นจะมีหนามแหลมเล็กๆเต็มไปหมด ถ้าลองสังเกตดูตามยอดเสารับสัญญาณมือถือจะเห็นใช้แบบนี้กันครับ เพราะถ้าใช้แบบแรก ฟ้าผ่าลงมาตูมเดียว อุปกรณ์พังหมดครับ จากคุณ : กฤตยฎีกา - [ 17 ก.ค. 50 19:05:00 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สรูปว่า หลอดไฟใน #3 ถ้าติดตั้งสายล่อฟ้าแบบ #2 ฟ้าผ่าลงมา หลอดไฟจะแตกใช่ไหมครับ จากคุณ : npn - [ 17 ก.ค. 50 21:45:10 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เข้าไปอ่านบทความในเวปนี้เลยครับ.... http://www.stabil.co.th จากคุณ : เสือห้าว - [ 17 ก.ค. 50 21:50:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 หลายปีก่อนคนในพันทิพส่วนใหญ่ ยังเถียงกันอยู่เลยครับ ว่ามันมีแต่แบบแรกที่คุณกฤตยฎีกาได้โพสบอกไว้ โดยไม่รู้ว่ามันมีแบบที่ 2 - แบบที่ 1 คือ ล่อให้ฟ้ามาผ่า จะได้ไม่ผ่าจุดอื่น แบบที่ 2 คือ ป้องกันไม่ให้ฟ้าผ่า ตอนนั้นมีหนังเรื่องสายล่อฟ้า แบบที่ 2 มันไปทำให้ชื่อเรื่องหนังเพี้ยนไปเลย เลยมีคนมาโพสทักชื่อเรื่อง แบบที่ 1 ใจกล้าท้าดวล รับไว้เอง ผ่ามาสิ แบบที่ 2 ฉลาดไม่ชอบมีเรื่อง เจรจาก่อนที่เรื่องจะเกิด - - ตอนนั้นมีคนมาโพสอธิบายแบบ ความคิดเห็นที่ 3 แต่กลับโดนด่าสะมากมาย เพราะคนด่าชอบหนังเรื่องนี้ /ผมอธิบายช่วยคนโพสสมัยนั้น ก็ยังโดนด่าด้วยเลย จากคุณ : วมแย์ราจาอ - [ 18 ก.ค. 50 00:47:07 A:125.24.148.185 X: TicketID:137077 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แบบแท่งเรียกว่าแฟรงกิ้นรอด Franklin-rod รวมไปถึง วิธี Early streamer Emission ( ESE ) วิธีกัมมันตรังสี  วิธีใช้แบตเตอรี่ มาจากพื้นฐานนี้คือให้ผ่ามาที่จุดที่เตรียมไว้ให้ จุดอื่นๆ จะปลอดภัย Franklin-rod เป็นมาตรฐานที่บังคับให้อาคารส่วนราชการต้องมี เหมือน ๆ สายดินสีเขียวที่ต้องติดตั้งด้วย(ไม่รวม ESE ) ส่วนอีกแบบเป็นเทคโนโลยีใหม่ยังอยู่ในขั้นพิสูจน์ว่ามันทำงานได้จริงตามที่อ้างหรือไม่ มาตรฐานยังไม่รับรอง   หลักการคือสลายประจุไม่ให้ก่อตัวได้ หรือเรียกได้ว่าไล่ฟ้าผ่าให้ไปใกล ๆ อย่ามายุ่งกะตึกฉัน....วิธีนี้ยัง sub-standard  อยู่นะครับ จากคุณ : =Lord Gary= - [ 18 ก.ค. 50 11:23:11 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อย่างไรก็ตาม ทั้ง ESE และวิธีไล่ฟ้าผ่าไปไกล ๆ ส่วนใหญ่จะยื่นส่วนที่เป็นหัวล่อฟ้า air terminal  ให้ยาวออกไปผิดกับชาวบ้านเขา คือยาวกว่าสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ  ก็หมายความว่ามันเป็น Franklin-rod  ไปในตัว จึงเป็นการป้องกันได้สองชั้น ถ้า วิธีไล่ที่ต้องการมันล้มเหลว ตัวมันเองก็ยังเป็น Franklin-rod ได้ในตัว จากคุณ : =Lord Gary= - [ 18 ก.ค. 50 11:29:25 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ลิ้งค์นี้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเทคโนโลยี ESE ลองอ่านดู  หรือแค่ดูรูปก็พอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง http://www.lightningsafetyalliance.com/documents/streamer_emission.pdf จากคุณ : =Lord Gary= - [ 18 ก.ค. 50 11:40:21 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ดูรูปหัวล่อฟ้าแบบต่าง ๆ ที่เป็น ESE  ที่นี่ครับ สวยๆ ทั้งนั้นเลย ถึงสวยแต่มาตรฐานของเมกา ที่ชื่อ NFPA ปฏิเสธที่จะทำมาตรฐานรับรองมัน โดยบอกว่ามันไม่ได้ดีไปกว่าของเดิมเลย http://www.ees-group.co.uk/downloads/ESE%20paper.PDF จากคุณ : =Lord Gary= - [ 18 ก.ค. 50 12:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 รูปสวยๆ ตาม #3 เป็นวิธีไล่ฟ้าผ่า หรือสลายฟ้าผ่า เรียกว่า dissipation array  หรือบางทีก็เรียก charge transfer system โดยอ้างว่าก่อนฟ้าจะผ่า ที่จุดแหลมคมของตึกจะมีประจุไปกระจุกกันอยู่ เมื่อใช้เข็มแหลมๆ ไปไว้ก็จะมีโคโรน่าเกิดขึ้น เจ้าโคโรน่านี้เป็นปรากฏการณ์คายประจุไฟฟ้าให้กับอากาศ    อากาศก็รับประจุไปโดยไม่เต็มใจ และหอบหิ้วหนีไปด้วย ผลคือที่ปลายเข็มมีสนามไฟฟ้าลดลงจนไม่มากพอที่จะเกิดฟ้าผ่าได้  พ่อค้าหัวใสก็คิดหาวิธีนำเอาเข็มแหลมหลายๆ อันมาช่วยกันกระจายประจุให้สนามไฟฟ้าหมดไปอย่างรวดเร็ว รูปตาม #3 จึงมีหนามแหลม ๆ กระจายอยู่ในโลหะคล้ายร่มนับพัน ๆ อัน ก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้ วิธีนี้ก็ยังเป็นที่สงสัย   ทั้งใน NFPA และ  IEEE ยังไม่ขานรับว่าได้ผลจริง เวบนี้บอกรายละเอียด  ทั้งหลักการที่คนต้นคิดโมเมเอาเอง  ชนิดล้วงลึกถึงสมการและตัวเลขจากการศึกษาที่อ้างว่าเป็นวิทยาศาสตร์ แฉกันจะจะว่าใครทำอะไรได้ผลเท่าไหร่ http://www.lightningsafety.com/nlsi_lhm/magic.pdf จากคุณ : =Lord Gary= - [ 18 ก.ค. 50 12:45:45 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จริงๆแล้วคนคิด แบบที่ 2 คือ Nicola Tesla ครับ จากคุณ : กฤตยฎีกา - [ 18 ก.ค. 50 23:53:09 ]