ความคิดเห็นที่ 1 เราว่า...มันคงหยุดกันหมดเลยรวมตัวเราด้วย เวรกรรม แล้วถ้าเวลาหยุด อวัยวะภายในเรายังทำงานต่อรึเปล่า จากคุณ : PattyPukes - [ 28 ก.ค. 50 23:30:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เวลาตามนาฬิกาเป็นสิ่งสมมติครับ เราเอาสิ่งสมมติมาใช้วัดปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆไม่ได้  เวลาในความหมายที่แท้จริงคือ การก้าวไปข้างหน้าตามทิศทางของเอนโทรปี  ดังนั้นถ้าหยุดเวลา ปฏิกิริยาทางเคมีทั้งหมดต้องหยุดไปด้วย รวมทั้งเมแทบอลิซึมภายในร่างกายเรา ต้องหยุดอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่หยุดกิจกรรมภายนอก     เวลาต้องสัมพัทธ์กับทุกสิ่งในจักรวาล ถ้าจะหยุดเวลาต้องหยุดเวลาทั้งจักรวาล ไม่ใช่อ้างอิงเฉพาะจุดบนโลก และตราบใดที่จักรวาลยังขยายตัวออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง การจะย้อนเวลาหรือหยุดเวลา เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลย     ถ้าเราจะหยุดเวลา มีทางเดียวคือ หยุดที่ตัวเรา เช่นค้างคาวบางชนิด สามารถกดเมแทบอลิซึม ลงไปได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ หัวใจที่เคยเต้นนาทีละสองร้อยครั้ง เหลือเพียงห้าครั้งต่อนาที ค้างคาวที่ออกจากจำศีล จะมีชีวิตยืนยาวถึงยี่สิบปี ในขณะที่ ค้างคาวทั่วไปจะมีชีวิตเพียงสามสี่ปี นั่นก็คือการหยุดเวลา คือทำเวลาภายในเราให้หยุด แต่เวลาภายนอกก็ผ่านไปเรื่อยๆตามกฎของจักรวาล      เราสามารถหยุดเวลาจริงๆได้ ถ้าเรารู้ความลับของแรงโน้มถ่วงเพราะความเร็วแสง กับ แรงโน้มถ่วง สัมพันธ์กัน  ในที่แสงเดินทางช้าลง  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมดจะเดินทางช้าลง ทำให้เมแทบอลิซึม และ ปฏิกิริยาเคมีทั้งหมด ในบริเวณนั้น ช้าลงไปโดยอัตโนมัติ     ไอน์สไตน์รู้ดีว่า เราไม่สามารถเดินทางเร็วกว่าแสง ในเมื่อเราไม่สามารถเดินทางเร็วกว่า แสง แต่ถ้าเราฉุดแสงให้ช้าลงได้ เราจะพบความลับของแสงเช่นเดียวกัน       ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจเรื่องแรงโน้มถ่วงดีพอ เราจะไม่มีทางหยุดเวลาได้  ลองนึกดูว่า ขณะเครื่องบินกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า หรือนกกำลังร่อนอยู่กลางเวหา เมื่อหยุดเวลา ทุกสิ่งจะหยุดทันที เครื่องบินจะค้างอยู่ที่ตำแหน่งนั้น นกจะนิ่งเหมือนถูกสต๊าฟไว้กลางอากาศ     ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงไว้  นักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามศึกษาเรื่อง เกรวิตอน เหมือนกับที่ไอน์สไตน์ศึกษาเรื่อง โฟตอน แต่ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครเปิดความลับของเกรวิตอนออกมาได้      ถ้าเราเข้าใจแรงโน้มถ่วง เราจะสามารถควบคุมได้ทั้งแสง และ เวลา           บางคนอาจค้าน อ้าว  ก็เซอร์ ไอแซ็ค นิวตัน นั่นไง  ค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วงแล้ว       ขอตอบว่า  กฎแห่งแรงโน้มถ่วง ของนิวตัน เป็นเพียงกฎที่อธิบายคุณสมบัติภายนอกของแรงโน้มถ่วง แต่นิวตันไม่ได้อธิบายเลยว่า แรงโน้มถ่วงคืออะไร     เช่นเดียวกับ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ อันมีชื่อเสียง ทฤษฎีเรื่องจิต ของฟรอยด์ ก็เป็นเพียงคุณสมบัติภายนอกที่แสดงออกของจิต แต่ ฟรอยด์ไม่ได้อธิบายเลยว่า จิต คืออะไร     ทั้งแรงโน้มถ่วง และก็ จิต  พระพุทธองค์ทรงพบความลับของสองสิ่งนี้อย่างแจ่มแจ้ง  แต่เลือกที่จะไปอธิบายในเรื่องจิตแทน ส่วนเรื่องแรงโน้มถ่วง รู้ไปก็ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น พระองค์ท่านจึงตัดออกไปจากคำสั่งสอนในพระไตรปิฎก  แต่เรื่องขององค์ประกอบจิต (เจตสิก) และการทำงานของจิต พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้อย่างละเอียดยิบในภาคอภิธรรม    นักวิทยาศาสตร์กลับมองตรงกันข้าม บอกว่าเรื่องจิตไม่สำคัญเท่าแรงโน้มถ่วง  แรงทั้งสี่ในจักรวาล แรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่เราเจออยู่ตลอดเวลา แต่มันกลับเป็นแรงที่เราเข้าใจมันน้อยที่สุด    ผมว่าสักวันหนึ่ง ต้องมีนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ ค้นพบคุณสมบัติของเกรวิตรอน เช่นเดียวกับที่ โฟตอน       การค้นพบโฟตอน ปฏิวัติโลกเข้าสู่คลื่นลูกที่สาม คลื่นแห่งการสื่อสาร เทคโนโลยี ที่ทำให้การค้นพบในคลื่นลูกที่สองเช่นเทปคาสเซ็ท นาฬิกาไขลาน ล้าสมัยไปเลย   การค้นพบเกรวิตรอน จะปฏิวัติโลกเข้าสู่คลื่นลูกที่สี่  ทำให้มีสิ่งประดิษฐ์มหํศจรรย์ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่เราคิดไม่ถึงขึ้นมาอีกมากมาย หนึ่งในนั้น คือ เครื่องหน่วงเวลา (อาจจะไม่ถึงขั้นหยุดเวลา )      แต่อย่าลืมนะครับ นักวิทยาศาสตร์ทฤษฎีแบบอภิมหาอัจริยะ นานๆ จะเกิดสักคน เช่น ไอแซ๊ค นิวตัน เสียชีวิตไปตั้งเกือบสองร้อยปี อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถึงจะมาเกิด  และกว่า ทฤษฎีของไอน์สไตน์ จะถูกนำมาใช้เป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์เพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์เข้าสู่คลื่นลูกที่สาม ก็อีกเกือบร้อยปี       แต่ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ อัจฉริยะระดับเดียวกับนิวตัน กับ ไอน์สไตน์ ยังไม่มีมาเกิดบนโลกใบนี้อีกเลย ดังนั้น แสดงว่า ในช่วงชีวิตของเรา คงไม่ได้เห็นเครื่องหน่วงเวลา อย่างแน่นอน  ( แต่มันทำได้จริงๆ )        พระพุทธเจ้าทรงพบความลับข้อนี้แล้ว และในสมัยพุทธกาล เรื่องการหน่วงเวลา  พระพุทธองค์ทรงนำมาใช้อยู่หลายครั้ง เช่น ตอน ที่องคุลิมาลวิ่งไล่ฟันพระพุทธเจ้า แต่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ทัน นั่นไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ แต่เป็นการค้นพบความลับของเวลา ผ่านทางอภิญญาจิต จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ 28 ก.ค. 50 23:52:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เท่าที่อ่านจาก ฮิสทอรี่ออฟไทม์ ของ สตีเฟน ฮอกกิ้นส์ ผมเข้าใจว่าเวลาเป็นเรื่องสมมุตินะ มันไม่น่าจะเหมือนพวกแรงโน้มถ่วงที่สามารถวัดค่าได้และมีอยู่จริง เด๋วจะไปคิดตัวอย่างมาให้ จะเปรียบเทียบลักษณะของเวลากับลักษณะของแรงโน้มถ่วง.. ... ในระหว่างที่นี้จะให้เพลงไปฟังซักเพลง สุดยอดแห่งโซโลกีต้าร์ หวานหยดติ๋งๆ.. (ผมกะลังฟังอยู่ตอนนี้) Spider-Man 3 Soundtrack Simon Dawes - Scared of Myself May I never become unloved by you May you never have to know my shadows by the name You're my heroine and you're a rose in my tea May I never become unloved by you. May I always be on my way to you May I never have to meet the man I'd be alone I'm your criminal and you're my only friend May I always be on my way to you. Cause I'm scared, scared of myself Oh, I'm scared, scared of myself Oh, I'm scared, scared of myself without you. I have found a way to watch over you I have found a way to face the burden of my dreams they are crooked but they're,well they're all I have I have found a way to watch over you. Yes, I'm scared scared of myself Oh, I'm scared, scared of myself Oh, I'm scared, scared of myself without you. Cause I'm scared, scared of myself without you. Without you. จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 00:06:29 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หลังจากอ่านสองแล้วรู้สึกว่าผมเข้าใจเกี่ยวกับเวลาตามไอส์ไตน์ผิดฟล่ะ 555 (ถ้าสองเข้าใจถูกนะ) บอกแล้ววิชานี้กระเดือกยากมาก.... แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 00:16:38 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 00:12:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มันช่างล่ำลึกอะไรเช่นนี่ จากคุณ : คนข้างๆ - [ วันอาสาฬหบูชา 00:26:42 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณปัจจตัง (ปัจจตัง) อธิบายได้ละเอียดดีคะ เห็นด้วยคะ จากคุณ : qgee - [ วันอาสาฬหบูชา 00:40:01 A:202.5.87.147 X: TicketID:142037 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขออนุญาติ copy จากคุณ : qgee - [ วันอาสาฬหบูชา 00:41:15 A:202.5.87.147 X: TicketID:142037 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ่ะ ให้ประโยคนี้ไปอ่านเล่นๆก่อน ..ตอนนี้ผมกะลังรีวิว A Brief History of Time - Stephen Hawking อยู่ That is, each event could be labeled by a number called "time"; in a unique way, and all good clocks would agree on the time interval between two events. However, the discovery that the speed of light appeared the same to every observer, no matter how he was moving, led to the theory of relativity – and in that one had to abandon the idea that there was a unique absolute time. Instead, each observer would have his own measure of time as recorded by a clock that he carried: clocks carried by different observers would not necessarily agree. Thus time became a more personal concept, relative to the observer who measured it. +++++++++ แต่ถ้าเป็นไปตามคอนเซ็ป entropy ของ #2 " เวลาในความหมายที่แท้จริงคือ การก้าวไปข้างหน้าตามทิศทางของเอนโทรปี" อย่างนี้ถ้าเวลาหยุดทุกอย่างจะหยุดหมด เช่นควันบุหรี่ปกติจะค่อยกระจายออกไป ก็จะหยุดนิ่งไม่กระจายต่อ (อันนี้ไม่แน่ใจว่าตรงตาม the second law of thermodynamics รึปล่าว รอผู้รู้มายืนยัน เพราะผมอ่านมานานแล้ว) +++++++++ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 00:57:21 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 00:56:19 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าดูตามงานเขียนของ Stephen Hawking ผมเข้าใจว่าเวลาที่แท้จริงของ#2 น่าจะหมายถึง a unique absolute time ซึ่งจะไม่ตรงกับ SR Instead, each observer would have his own measure of time as recorded by a clock that he carried: clocks carried by different observers would not necessarily agree. Thus time became a more personal concept, relative to the observer who measured it. ผมเข้าใจได้ประมาณนี้.. จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 01:04:56 ]

ความคิดเห็นที่ 10 why we don't see broken cups gathering themselves together off the floor and jumping back onto the table is that it is forbidden by the second law of thermodynamics. This says that in any closed system disorder, or entropy, always increases with time. An intact cup on the table is a state of high order, but a broken cup on the floor is a disordered state. One can go readily from the cup on the table in the past to the broken cup on the floor in the future, but not the other way round. In other words, it is a form of Murphy's law: things always tend to go wrong! (อันนี้สงสัยเป็นมุก 55) แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 01:24:35 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 01:23:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Star Platinum The World แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 01:43:04 จากคุณ : สิงห์น้ำปั่น - [ วันอาสาฬหบูชา 01:42:04 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตามสัมพัทธภาพพิเศษของไอนสไตน์ เวลาจะแปรผันกับ มวล ความหนาแน่น และ ความเร็ว ในกรณีการหยุดเวลาจะเกิดขึ้นได้ (ตามทฤษฏี) ในหลายกรณี - ความหนาแน่นของวัตถุนั้นสูงเป็นอนันต์ - ความเร็วเท่าความเร็วแสง และเวลาไม่ใช่ Absolute Time ที่ทั่วเอกภพมีค่าเท่ากัน แต่เวลาเป็น Relative Time ที่เวลาแต่ละจุดของเอกภพมีค่าต่างกันขึ้นกับตัวแปรต่างๆ ที่ผมอ้างอิงไว้ข้างต้น ============= ผมคิดขัดแย่งนิดหน่อยกับความเห็น #2 ที่บอกว่า >> เวลาต้องสัมพัทธ์กับทุกสิ่งในจักรวาล ถ้าจะหยุดเวลาต้องหยุดเวลาทั้งจักรวาล ไม่ใช่อ้างอิงเฉพาะจุดบนโลก ในเมื่อเวลาเป็นสัมพัทธ์ ดังนั้นเวลาแต่ละจุดของเอกภพไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ดังนั้น ในทางทฤษฏีการหยุดเวลาจะเกิดขึ้นได้ที่จุดใดจุดหนึ่งที่มีปัจจัยเรื่องความหนาแน่น และความเร็วตามที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น >> ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจเรื่องแรงโน้มถ่วงดีพอ เราจะไม่มีทางหยุดเวลาได้  ลองนึกดูว่า ขณะเครื่องบินกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า หรือนกกำลังร่อนอยู่กลางเวหา เมื่อหยุดเวลา ทุกสิ่งจะหยุดทันที เครื่องบินจะค้างอยู่ที่ตำแหน่งนั้น นกจะนิ่งเหมือนถูกสต๊าฟไว้กลางอากาศ ตัวอย่างดังกล่าวไม่อาจใช้ได้ในทฤษฏีสัมพัทธภาพยกเว้นการเพิ่มข้อมูลเข้าไปว่า เครื่องบินบินเร็วเท่าแสง หรือนกมีความหนาแน่นเป็นอนันต์ แม้จะเพิ่มข้อมูลดังกล่าวเข้าไปแล้ว เวลาของวัตถุอย่างเครื่องบินหรือนก จะหยุดนิ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเวลารอบๆ ตัวเครื่องบิน หรือนก หยุดเดิน ดังนั้น กรอบอ้างอิงของเรา คือเครื่องบินและนก ไม่ใช่สภาพแวดล้อมภายนอก เครื่องบินและนก ยังคงจะวิ่งความเร็วแสงต่อไป แต่เวลาในตัวเครื่องบิน หรือนกเท่านั้นที่จะหยุด ในภาคปฏิบัติ คงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากการเพิ่มความเร่งจนเครื่องบิน หรือนก บินได้เร็วเท่าความเร็วแสงนั้น จะเกิดผลให้มวลของวัตถุนั้นๆ เพิ่มขึ้นจนเข้าใกล้อนันต์ การเพิ่มความเร่งให้กับมวลที่เป็นอนันต์นั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการหยุดเวลาน่าจะเกิดได้กับอนุภาคที่ไร้มวลเท่านั้น เช่น อนุภาคแปลกๆ ที่เชื่อกันว่ามีจริง แต่ยังหาไม่พบ อย่างเตคีออน ซึ่งมีมวลเป็นจำนวนจินตภาพ หรือมวลติดลบ (ตัวอย่างเช่น เตคีออนมีน้ำหนัก -3 กก.) >> ผมว่าสักวันหนึ่ง ต้องมีนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ ค้นพบคุณสมบัติของเกรวิตรอน เช่นเดียวกับที่ โฟตอน ในความเข้าใจของผม Quantum Field Theory ได้อธิบายคุณสมบัติพื้นฐานของกราวิตอนได้ละเอียดในระดับหนึ่งแล้ว โดยอิงอยู่บนสมการคลื่นของชโรดิงเจอร์ แต่เหตุผลที่เราไม่สามารถพิสูจน์ว่ากราวิตอนมีอยู่จริงหรือไม่ นั่นเป็นเพราะขนาดที่เล็กมากของกราวิตอน ที่ไม่สามารถหาเครื่องเร่งอนุภาคที่จะสร้างความถี่ที่สูงมากพอที่จะตรวจจับอนุภาคขนาดเล็กนี่ได้ จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 01:49:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เพิ่มอีกหน่อย ในทางทฤษฏีสัมพัทธภาพ สภาวะในหลุมดำ ที่เรียกกันว่า Singularity นั้นมีความหนาแน่นเป็นอนันต์ และมีขนาดเป็น 0 ดังนั้นเวลาภายในหลุมดำน่าจะหยุดนิ่ง แต่ในสภาวะ Singularity นั้น ทฤษฏีสัมพัทธภาพไม่อาจอธิบายหลักฟิสิกข์ใดๆ ในหลุมดำได้ อาจต้องรอเวลาที่ทฤษฏีใหม่ๆ ที่พยายามรวม Quantum เข้ากับสัมพัทธภาพอย่างพวก String Theory หรือ M Theory ประสบความสำเร็จก่อน เราจึงจะเข้าใจสภาพใน Singularity, การเคลื่อนที่ความเร็วแสง, และการหยุดเวลา ได้อย่างชัดเจน จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 01:54:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตอบคุณ root :-D ========= แต่ถ้าเป็นไปตามคอนเซ็ป entropy ของ #2 " เวลาในความหมายที่แท้จริงคือ การก้าวไปข้างหน้าตามทิศทางของเอนโทรปี" อย่างนี้ถ้าเวลาหยุดทุกอย่างจะหยุดหมด เช่นควันบุหรี่ปกติจะค่อยกระจายออกไป ก็จะหยุดนิ่งไม่กระจายต่อ (อันนี้ไม่แน่ใจว่าตรงตาม the second law of thermodynamics รึปล่าว รอผู้รู้มายืนยัน เพราะผมอ่านมานานแล้ว) ======== ในความเข้าใจของผม กฏข้อที่ 2 ของ thermodynamics ที่พูดถึงการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปีใน "ระบบปิด" ดังนั้น คำว่าระบบปิดดังกล่าวก็คือบริเวณโดยรอบควันบุหรี่ เช่น ถ้าผมสูบบุหรี่ แล้วพ่นควันเข้าไปในกล่องใบหนึ่ง ปิดกล่องให้แน่น แล้วปล่อยกล่องให้วิ่งไปด้วยความเร็วแสง หากเวลาของกล่องหยุดนิ่ง ควันภายในกล่องจะต้องหยุดนิ่ง เหมือนกับทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างในกล่อง จะหยุดทั้งหมด ถ้าคิดแบบนี้ ยานอวกาศความเร็วแสงจะไม่มีทางถูกสร้างขึ้นได้ เนื่องจากความเร่งของยานอวกาศเกิดจากการทำงานของเครื่องยนต์ภายในยาน เมื่อยานดังกล่าวเร่งความเร็วเข้าใกล้แสงแล้ว เวลาภายในยานจะเดินช้าลงเรื่อยๆ จนหยุดลงเมื่อวิ่งได้เท่าความเร็วแสง พอเวลาหยุด เครื่องยนต์ไม่เผาผลาญ ก็ไม่มีทางจะวิ่งความเร็วแสงได้ต่อไป กฏข้อสองของ Thermodynamics ไม่เคยกล่าวอ้างสถานะของเวลาที่มีความโค้งงอเป็น 0 (เวลาหยุดนิ่ง) แต่ในความเข้าใจของผม การหยุดเวลาหากเกิดขึ้นจริง จะไม่ฝืนกฏของ Thermodynamics เนื่องจาก entropy หยุดเมื่อเวลาหยุดในระบบปิดนั้นๆ ไม่เกี่ยวข้องกับเวลาภายนอกที่เดินตามปกติ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 02:04:54 จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 02:02:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Hawking (ในบทที่9) ใช้สามค่าในการอธิบาย arrows of time entropy เป็นแค่หนึ่งในสาม there are at least three arrows of time that do distinguish the past from the future. They are the thermodynamic arrow, the direction of time in which disorder increases; the psychological arrow, the direction of time in which we remember the past and not the future; and the cosmological arrow, the direction of time in which the universe expands rather than contracts. จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 02:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องของ psychological arrow ของฮอว์กิ้ง ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยอย่างแรง เนื่องจากในสามัญสำนึกของมนุษย์อย่างเราๆ ปัจจุบันเกิดขึ้นตามอดีต ดังนั้น หาก psychological arrow วิ่งกลับด้านอย่างที่ฮอว์กิ้งบอกจริงๆ การที่เราจะอนาคตได้แต่ไม่รู้อดีต จะเป็นเรื่องที่ฝืนสามัญสำนึกอย่างมาก และสมมุติว่าถ้า psychological arrow มีจริง เอกภพนี้จะเป็นไปตามหลัก determinism อย่างแรง หมายถึงทุกๆ อย่างในเอกภพ เกิดขึ้นตามกฏเกณฑ์อะไรซักอย่างที่ควบคุมทุกอย่างอยู่แล้ว (อาจเรียกว่า พรหมลิขิต) คนเราจะไม่ต้องดิ้นรนทำอะไรเลย เพราะความคิด และการตัดสินใจทุกอย่างของคนเราขึ้นกับพรหมลิขิต (หรือพระเจ้า) ดังนั้น คนเราก็อาจเลิกทำงาน นอนอยู่บ้านเฉยๆ (นั้นก็เพราะฟิสิกข์ของพรหมลิขิตบันดาลให้เราคิดและตัดสินใจอย่างนั้น เราไม่ได้ตัดสินใจเองนะครับ อิอิ) จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 02:09:46 ]

ความคิดเห็นที่ 17 Thanks Angos""" ผมเคยอ่าน SR มาหลายเล่มแต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจเลยว่าเข้าใจถูกรึปล่าว เขาถึงบอกว่าคอนเซ็ปต์ของ SR ค่อนข้างขัดกับสามัญสำนึกทั่วๆไป จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 02:15:21 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ลืมตอบเจ้าของกระทู้ ในความเห็นของผม หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นตาม Choice ข้อ 4 ครับ จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 02:16:22 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เท่าที่ผมตีความหมาย psychological arrow ของฮอล์กิ้นดูเหมือนเขาก็บอกไว้นะว่า ไม่น่าจะวิ่งกลับด้านได้ เพราะฮอว์กิ้นบอกว่าถ้าแทนที่เราจะจำอดีต กลับไปจำอนาคตแทน อย่างนี้คนเล่นหุ้นก็สบายเพราะรู้ว่าในอนาคตหุ้นตัวใหนจะได้กำไร 55 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 02:20:27 ]

ความคิดเห็นที่ 20 หากสมมุติว่า thermodynamic arrow กับ cosmological arrow เดินย้อนหลังได้จริงๆ (เช่น ในสภาวะที่วัตถุเดินทางเร็วกว่าแสง) psychological arrow ก็น่าจะเดินย้อนกลับได้เหมือนกันหรือเปล่าครับ ผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 02:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 21 #20 ฮอล์กิ้น บอกว่าได้ (ในทางทิสดี) เช่นตอนหนึ่ง ฮอล์กิ้น บอกว่าให้เอานักบินอวกาศ ไปทิ้งในหลุมดำซึ่งเวลาในนั้นหยุด เขาก็จะเห็นอนาคตได้ แต่แกก็พูดกันไว้ว่ามันเป็นไปได้ยาก ในทางปฎิบัติ เด๋วจะหา quote มาแป่ะ จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 02:35:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 But what would happen if and when the universe stopped expanding and began to contract? Would the thermodynamic arrow reverse and disorder begin to decrease with time? This would lead to all sorts of science-fiction-like possibilities for people who survived from the expanding to the contracting phase. Would they see broken cups gathering themselves together off the floor and jumping back onto the table? Would they be able to remember tomorrow's prices and make a fortune on the stock market? It might seem a bit academic to worry about what will happen when the universe collapses again, as it will not start to contract for at least another ten thousand million years. But there is a quicker way to find out what will happen: jump into a black hole. The collapse of a star to form a black hole is rather like the later stages of the collapse of the whole universe. So if disorder were to decrease in the contracting phase of the universe, one might also expect it to decrease inside a black hole. So perhaps an astronaut who fell into a black hole would be able to make money at roulette by remembering where the ball went before he placed his bet. (Unfortunately, however, he would not have long to play before he was turned to spaghetti. Nor would he be able to let us know about the reversal of the thermodynamic arrow, or even bank his winnings, because he would be trapped behind the event horizon of the black hole.) +++++++++++++ สำหรับคำถามของ จกท ผมก็ว่าเป็นไปตามข้อ 4 +++++++++++++ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 02:47:20 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 02:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 กระทู้นี้อ่านสนุกดี รออ่านต่อนะครับ จากคุณ : จั๊กกะจี๋ - [ วันอาสาฬหบูชา 02:47:57 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เป็นกระทู้ที่มีคุณภาพมากครับ อยากให้มีมากๆ จากคุณ : Solar system - [ วันอาสาฬหบูชา 03:33:58 A:203.155.247.98 X: TicketID:138290 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เดี๊ยวมาตามอ่านรวดเดี๊ยวจบดีกว่า ดึกๆ มึน จากคุณ : คนข้างๆ - [ วันอาสาฬหบูชา 03:46:29 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มีหลายคนเข้าใจว่าเวลาคล้ายกับแรงโน้มถ่วง โดยเปรียบเทียบเครื่องชั่งน้ำหนักกับนาฬิกา เช่นถ้าเอาเครื่องชั่งไปชั่งน้ำหนักคนบนดวงจันทร์น้ำหนักจะลดลง ทำนองเดียวกับนาฬิกาจะเดินช้า ลงถ้าเดินทางไกล้แสง! (ใช้คอนเซ็ปต์ในการมองแบบเดียวกัน) ตรงนี้ผมไม่สงสัยถ้าเป็นนาฬิกาแสง แต่ถ้าเป็นนาฬิกาใขลาน นาฬิกาแมคคานิกเนี่ยมีผล (ให้เดินช้า) หรือไม่มีผลเนี่ยคิดว่าก็น่าจะเป็นประเด็นเหมือนกัน... ตอนนี้กะลังหาหนังสืออีกเล่มนีงเคยอ่านนานแระ เด๋วจะเอามาแชร์... จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 04:08:11 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แหม เห็นรูป ในกระทู้ 15 และ 26 แล้ว อยากหยุดเวลา ดูนานๆ เรื่องของ "เวลา" ที่เรากำลังถกกันอยู่ในกระทู้นี้ ผมว่าไม่มีใครผิด เหมือนตาบอดคลำช้าง  ใครคลำเจอจุดไหนก็บอกว่า ช้างเป็นแบบนั้น แม้จะเป็นที่ยอมรับกันว่า ขนาดของเวลา ไม่ใช่สิ่งที่ไม่คงที่ แต่สำหรับผมเห็นว่า ตรงกันข้ามครับ เวลาเป็นสิ่งที่คงที่แน่นอน แต่ที่เราว่าเห็นว่าไม่คงที่ เพราะเราไปยึดติดกับเวลาตามนาฬิกา ในความคิดของ สตีเฟน ฮอร์กิ้ง ที่บอกว่า เวลาขึ้นอยู่กับ They are the thermodynamic arrow, the direction of time in which disorder increases; the psychological arrow, the direction of time in which we remember the past and not the future; and the cosmological arrow, the direction of time in which the universe expands rather than contracts. ผมว่า ทั้งสามข้อนี้ เป็นเหตุและปัจจัยซึ่งกันและกัน  การขยายตัวของจักรวาล มีอิทธิพลต่อ thermodynamic arrow และ การที่เอนโทรปีเพิ่มขึ้น เช่นทำให้เซลล์เราแก่ลง มีอนิจจัง ทุกขัง อิทัปปจยตา ก็เป็นผลให้เกิด Psychological arrow ถ้าจะหยุดเวลา ต้องหยุด ทั้งสามตัวนี้ ไม่ใช่ตัวใดตัวหนึ่ง ที่สำคัญคือ ใคร จะไปหยุด การขยายตัวของจักรวาลได้ !!! ดังนั้น ผมจึงฟันธงว่า การย้อนเวลาหรือหยุดเวลา เป็นไปไม่ได้ อย่างมากก็แค่หน่วงเวลาไว้ และถึงหน่วงไว้ได้ แต่ในที่สุด พลังจักรวาลก็จะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นแบบเดิม ( เรื่องนี้จะนำไปอธิบายกฎแห่งกรรมได้ด้วย สามารถหน่วงได้ แต่ในที่สุด มันก็จะสะท้อนผลกลับตามที่ควรจะเป็น ในทางการแพทย์ก็เช่นกัน คนไข้ที่ใช้แรงไปดึงคางเพื่อเร่ง Growth ขณะเร่งคางเขาจะยาวขึ้นกว่าเด็กคนอื่น แต่หลังจากนั้นการเจริญจะชะงัก ช้ากว่าเด็กคนอื่น สรุปก็คือ พออายุ 20 ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ) ตามที่ท่าน Angos บอกไว้ในความเห็นที่ 12 ว่า  ......ในเมื่อเวลาเป็นสัมพัทธ์ ดังนั้นเวลาแต่ละจุดของเอกภพไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ดังนั้น ในทางทฤษฏีการหยุดเวลาจะเกิดขึ้นได้ที่จุดใดจุดหนึ่งที่มีปัจจัยเรื่องความหนาแน่น และความเร็วตามที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น...... อย่ามองข้าม เรื่อง เมตาบอลิซึมนะครับ  สมมติว่า เราเดินทางไปบนยานที่ใกล้ความเร็วแสง เวลาบนยานจะเดินช้ามาก เมตาบอลิซึม ของเราก็จะช้าไปด้วย ( แต่เราจะไม่รู้สึกถึงความช้าของตัวเอง ) แน่นอนว่า 10 ปีบนพื้นโลก อาจจะเท่าแค่ 1 ปี บนยาน ถ้ามองที่ตัวเลข  10 กับ 1  ไม่ใช่ตัวเลขเดียวกัน ไม่เท่ากันแน่  แต่อย่าลืมว่า เมตาบอลิซึมของคนบนยาน ช้ากว่า คนบนโลก 10 เท่า  ดังนั้น สมมติว่าคนบนยาน จะทำอะไรสักอย่าง ที่คนบนโลกใช้เวลา 10 ปี  เมื่อขึ้นไปทำบนยานลำนั้น ก็จะต้องใช้เวลา 10 ปีบนยาน เช่นกัน    ดังนั้น ถ้าคิดเวลา ในกฎของ  psychological arrow ,psychological arrow,cosmological arrow ตามที่ สตีเฟน ฮอร์กิ้งบอกแล้ว ไม่ว่าคนบนยาน หรือ บนโลก เวลาจะเท่ากันครับ    แม้แต่บนพื้นโลก สุนัขที่ อัตราเมตาบอลิซึม สูงกว่าคนมาก มันมีอายุ แค่ 12-15 ปีแล้วก็ตาย คนเรารู้สึกว่ามันตายเร็วไป ถามว่า ในความรู้สึกของสุนัข มันรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่เลย ในความรู้สึกของมัน ก็อายุยืนเท่าๆกับคน  เช่นเดียวกับเต่า ที่เมตาบอลิซึมช้ามาก อายุยืน 150 ปี คนบอกว่า อายุยืนมาก ถามว่า ในความรู้สึกของเต่า มันรู้สึกนานขนาดนั้นหรือไม่ เปล่าเลย เต่ามันก็จะบอกว่า 150 ปี ไม่เห็นนานเลย     กบจำศีลก็เช่นกัน มันอยู่นิ่งๆ ได้หกเดือน โดยไม่กินอะไรเลย ในความรู้สึกของกบ มันเข้าใจว่า มันอยู่แค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นแหละ ไม่ใช่หกเดือนอย่างที่มนุษย์เข้าใจ เพราะเอาความรู้สึกของตัวเองเข้าไปวัด     ตอนที่ผมเขียนหนังสือ "พระพุทธเจ้าพบ ไอน์สไตน์เห็น" ออกมา มีคนต่อว่าเยอะ ว่าผมอธิบายเรื่องเวลา ผิด     ก็จริงอยู่ แต่อาจจะเป็นการคลำช้างที่ผมเจอในอีกส่วนก็ได้ เป็นส่วนที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และใช้จิตคลำ จนเห็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งอาจไม่ตรงกับที่นักวิทยาศาสตร์คิดเท่าใดนัก     กรอบของวิทยาศาสตร์มิใช่หรือ ที่ทำให้ แม๊กเวลล์ ไม่กล้า เสนอทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพราะไปขัดกับกฎของนิวตัน จนเมื่อไอน์สไตน์ออกมาคิดทะลุกรอบ และช่วยยืนยัน จึงจะยอมรับกัน แม้ตัวไอน์สไตน์เอง ตอนคิดทฤษฎีสัมพัทธภาพ ก็ถูกกล่าวหาว่าเสียสติ ไปหลายปี      ยังมีความจริงของจักรวาล ที่เหมือนกับการค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ อีกเยอะครับ แต่ยังไม่มีใครค้นพบ  เท่าที่เห็นทุกวันนี้  ยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยด้วยซ้ำ      ตอนที่ นิวตัน กำลังโด่งดังสุดขีด นักฟิสิกส์ บอกว่า นิวตัน ค้นพบทุกสิ่งทุกอย่าง ในจักรวาล แล้ว  นับแต่นี้ ฟิสิกส์ กำลังจะถึงทางตัน     แล้วเป็นไง ไอน์สไตน์ มาเปิดทางใหม่ ที่มหัศจรรย์ พิลึก มากกว่าเยอะ  ถึงตอนนี้ ก็มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาฟันธง อีกแหละว่า  ฟิสิกส์ก้าวหน้าจนถึงขีดสุดแล้ว คงไม่สามารถไปไกลกว่านี้ได้อีก      คนที่คิดแบบนี้ อยู่ในกรอบที่แคบมาก จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ วันอาสาฬหบูชา 09:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 28 WHAT IS TIME? ST. AUGUSTINE FAMOUSLY wrote. If no one asks me, I know. But if I wanted to explain it to one who asks me, I plainly do not know. 555 ผมว่าการอธิบายเวลายังงัยมันก็ไม่ผิดหรอก ถ้าอธิบายกันตามความรู้สึก ความเข้าใจ แต่มันมีวิธีอธิบายเวลาด้วยวิธีคณิตศาสตร์ด้วย ซึ่งวิธีนี้จะยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ มีความเห็นจะเสริมใน #27 นิดหน่อย เด๋วมาต่อ.... แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 10:24:56 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 10:24:10 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 10:23:15 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 10:22:27 ]

ความคิดเห็นที่ 29 Time itself is a strange quantity to some people. To many of us, time never seems to be going at the right rate— sometimes too fast, sometimes too slow. In some parts of the world, promptness and being on time are important aspects of the local culture. In other regions, time is almost irrelevant. In this chapter, we have created a mixture of familiar challenges and many new ones in preparation for later chapters in which time shares its role with space as a major ingredient of motion, chapters that look at concepts such as the space-time of the special theory of relativity and the world of astrophysics. +++++++++++ เวลาที่อธิบายโดยอ้างถึงการใช้จิต น่าจะเป็นเวลาที่เป็น culture ทางศาสนา มากกว่าเวลาในความหมายทางฟิสิกส์ และวัตถุประสงค์ของมันก็ต่างกัน ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าเขาสามารถทำให้ disordered state กลับกลายเป็น state of high order ภายในจิตใจตัวเองได้ ....แต่นั่นไม่ใช่ความหมายที่เกี่ยว ข้องกับความหมายของ entropy ในทางฟิสิกส์... เด๋วจะมาต่อถึงความหมาย และวัตถุประสงค์ของ Time quantity ในความหมาย ทางวิทยาศาสตร์... +++++++++++++ แต่อย่าลืมว่า เมตาบอลิซึมของคนบนยาน ช้ากว่า คนบนโลก 10 เท่า   ดังนั้น สมมติว่าคนบนยาน จะทำอะไรสักอย่าง ที่คนบนโลกใช้เวลา 10 ปี   เมื่อขึ้นไปทำบนยานลำนั้น ก็จะต้องใช้เวลา 10 ปีบนยาน เช่นกัน เด๋วจะมาต่อที่ประเด็นนี้ด้วย....ตอนนี้ให้ดูรูปสาวๆไปพลางๆก่อง เหอๆๆ (ใครเน็ตช้าก็ซวยไป!) ++++++++++++++ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 10:48:23 ]

ความคิดเห็นที่ 30 Metabolism ถ้าจะนำมาโยงกับเวลาผมเข้าใจว่าน่าจะหมายถึงเรื่องของ Molecular Clock (Metabolism ต้องรอให้ผู้เรียนมาทางไบโอมาอธิบาย) Molecular Clock Different species of organisms have enormous regions of DNA that are the same or very similar. Humans and chimpanzees, for example, share about 98 percent of their DNA. We share much less of our DNA with rodents and amphibians and insects. In a general way, the percentage of shared DNA might be a means to establish a molecular clock—that is, the more DNA that is shared, the more recent was the separation of the family tree. And, if by accident, the changes in the DNA happened to proceed at a common rate, then one could set up a timeline also. However, the genetic changes do not occur with any regularity. Why not? (เปิดประเด็นไว้ก่อง...เด๋วมาต่อ) ++++++++++++++++ SPACE IS RELATED TO POSITION, DISTANCE, AND size and has its own paradoxes and influences. We live in a space of three dimensions, but our ability to visualize three-dimensional relationships among objects is not as easy as judging distance. Our brain activity relies on neural connections in a 3-D biomass that would probably become moronic if limited to two dimensions. However, robots usually operate in our 3-D space by following computer programs that maneuver in multidimensional configuration spaces that often far exceed three dimensions. Recent theoretical research in quantum physics hints that the natural world may be as large as 11-dimensional, with seven dimensions curled up too small for our senses, leaving the four dimensions of space-time. In this chapter we have created a mixture of familiar challenges and many new ones regarding space in preparation for a later chapter on the space-time of the special theory of relativity. +++++++++++++++++ จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 11:20:43 ]

ความคิดเห็นที่ 31 I put tape on the mirrors in my house so I don't accidentally walk through into another dimension. STEVEN WRIGHT, COMEDIAN แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 11:46:46 จากคุณ : ว่างมากวันนี้... (root :-D) - [ วันอาสาฬหบูชา 11:39:19 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ระหว่างนี้เอาตลกไปอ่านกันก่อน ... The other day, I was walking my dog around my building . . . on the ledge. Some people are afraid of heights. Not me, I am afraid of widths. --STEVEN WRIGHT, COMEDIAN +++++++++++ A SILLY SYLLOGISM Nothing is better than eternal life; A salami sandwich is better than nothing; Therefore, a salami sandwich is better than eternal life! +++++++++++ จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 11:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตอบคุณปัจจตังดังนี้ครับ ที่คุณได้บอกว่า... >> แต่สำหรับผมเห็นว่า ตรงกันข้ามครับ เวลาเป็นสิ่งที่คงที่แน่นอน แต่ที่เราว่าเห็นว่าไม่คงที่ เพราะเราไปยึดติดกับเวลาตามนาฬิกา ถ้าจะตีโจทย์เรื่องช้าหรือเร็ว หรือหยุดนิ่ง ผมยังคงเชื่ออย่างมาก ว่าไม่ว่าจะมองในมุมไหน เวลาเป็นสิ่งที่ไม่คงที่แน่นอน ผมยกตัวอย่างง่ายๆ คำว่า เร็วกว่า ช้ากว่า หรือหยุดนิ่ง ไม่ว่าจะพูดถึงเวลา หรือสิ่งอื่นๆ เช่น ความเร็ว คุณต้องมีอะไรมาอ้างอิง เช่น นาย ก วิ่งเร็วกว่านาย ข, กรุงเทพมีขนาดเล็กกว่านิวยอร์ค, ฯลฯ เวลาก็เช่นกัน หากบอกว่า เวลาของคนในจรวดวิ่งช้าลงหรือเร็วขึ้น คำถามก็คือ เทียบกับอะไร? ถ้าเทียบกับเวลาภายในจรวด, เวลาของคนในจรวดคงที่แน่นอน แต่ถ้าเทียบกับเวลาบนโลก, เวลาของคนในจรวดเดินช้าลง ไม่คงที่ ------------- ในความหมายของ Relative Time การที่กล่าวว่าเวลาไม่คงที่ หมายถึงการสังเกต "เวลา" จาก "กรอบอ้างอิงภายนอก" ที่มองเข้าไป ดังนั้น - เวลาคงที่ ในกรอบอ้างอิงเดียวกัน เช่น ในจรวด - คนในจรวดไม่รู้สึกว่าเวลาตัวเองเดินช้าลง แต่จะเห็นเวลาภายนอกเดินเร็วขึ้น - แต่ไม่ได้หมายความว่า เวลาในจรวด เท่ากับเวลานอกจรวด ไม่ว่ายังไงก็แตกต่างกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ผมก็ยังรู้สึกว่า เวลาเป็นตัวแปร -------------- ดังนั้นหากคุณปัจจตังจะยืนยันว่า เวลาเป็นสิ่งคงที่แน่นอน ผมขอเพิ่มคำขยายเข้าไปอีกหน่อยว่า เวลาเป็นสิ่งคงที่แน่นนอน หากมองจากกรอบอ้างอิงเดียวกัน... จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 12:25:27 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เพิ่มเติมเพื่อให้ชัดเจน ผมขอใช้ Twin Paradox มาประกอบเพื่อความสะดวกในความเข้าใจ Twin Paradox ว่าไว้ว่า มีฝาแฝดสองคนอยูบนโลก วันดีคืนดี มีคนส่งฝาแฝด A ขึ้นไปบนจรวดความเร็วใกล้แสง แล้ววิ่งออกไปจากโลกด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่มันจะทำได้ ส่วน B อยู่บนโลก เวลาผ่านไปหลายปี A กลับมายังโลก ด้วยทฤษฏีสัมพัทธภาพ จะเห็นได้ว่า A จะอายุน้อยกว่า B เนื่องจากเวลาในจรวดเดินช้าลง เมื่อความเร็วของจรวดเข้าใกล้แสง แน่นอนว่า A ไม่ได้รู้สึกว่าเวลาเดินช้าลงแต่อย่างใด แต่กลับมองสภาพภายนอกว่าเวลาเดินเร็วขึ้น ผมเข้าใจว่าคุณปัจจตังเห็นว่าเวลาคงที่ โดยการมองที่มุมนี้ ------- ในกรณีของสุนัขที่มีอัตราการเมตะบอริซึ่มสูง ผมไม่เห็นด้วยว่าสุนัขจะรู้สึกว่าตัวเองอายุยืนเท่าๆ กับคน เพราะอารมณ์และความรู้สึกของสุนัขในกรอบอ้างอิงบนโลก ก็ยังคงมีเวลาที่คงที่เหมือนกับมนุษย์ เมตาบอริซึ่มที่สูง ไม่ได้หมายถึงการทำงานของสมองหรือการเคลื่อนไหวของร่างกายจะเร็วขึ้น ดังนั้นในแง่ของอารมณ์ความรู้สึกที่มีผลกับระยะเวลา ผมเชื่อว่า คน (หรือสุนัข) ที่มีอัตตราการเมตาบอริซึ่มที่แตกต่างกัน ไม่ได้แปลว่าจะรู้สึกว่ามีอายุยืนใกล้เคียงกัน อย่างที่คุณปัจจตังบอกครับ PS. แม้คนสองคนที่เมตาบอริซึ่มใกล้เคียงกัน ยังมีความรู้สึกถึงคำว่า "อายุยืน" แตกต่างกันเลย ดังนั้น เราต้องมีกรอบอ้างอิงเพื่อทำการเปรียบเทียบว่า อย่างไร จึงเรียกว่าอายุยืน... ในตอนนี้ ผมคิดว่ามีนาฬิกาเพียงอย่างเดียว ที่จะวัดขนาดของเวลาได้ ไม่ว่านาฬิกาบนจรวด หรือนาฬิกาบนโลก ดังนั้น ผมจึงยึดถือว่า เวลาเป็นสิ่งไม่คงที่ เมื่อวัดด้วยนาฬิกา และมีกรอบอ้างอิงที่แตกต่างกัน จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 12:40:31 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่ใช่เฉพาะเวลาครับ ขนาด ระยะทาง   ก็เป็นสิ่งที่ไม่คงที่ ถ้ามองจากคนละกรอบอ้างอิง ผมสงสัยอีกเรื่องครับ  คือในหนังสือ แฟนพันธ์แท้ไอน์สไตน์ บอกว่า คนบนโลก ถ้ามองไปที่ยานอวกาศความเร็ว 0.6 C (อ้างอิงที่พื้นโลก)  แล้วยิงจรวดออกไปที่ความเร็ว 0.5 C (อ้างอิงที่ยานอวกาศ)   แน่นอนว่า ถ้าบวกกันตามกฎของนิวตัน ความเร็วของจรวดที่วัดจากพื้นโลกต้องได้ 1.1 C ซึ่งเร็วกว่าแสง เป็นไปไม่ได้ แต่ที่ผมสงสัยก็คือว่า C ณ.ตำแหน่งที่อ้างอิงบนพื้นโลก  กับ C (ความเร็วแสง) ณ.ตำแหน่งที่อ้างอิงบนยานอวกาศ จะเท่ากันได้อย่างไร  ก็ในเมื่อความเร็ว = ระยะทาง/เวลา   ณ.ตำแหน่งอ้างอิงบนยานอวกาศคาบเวลา ไม่เท่ากับบนโลก แม้ ทั้งสองตำแหน่งจะเห็นแสงเร็วที่ 300,000 กิโลเมตร/วินาที เท่ากัน แต่ ในความจริงมันไม่เท่ากัน เพราะเวลาณ.จุดอ้างอิงทั้งสอง ไม่เท่ากัน ดังนั้น เป็นไปได้ไหมครับ ที่ความเร็วแสงไม่คงที่ แต่ที่เราเห็นว่าคงที่เท่ากันที่ 300,000 กิโลเมตร/วินาที ทั่วทั้งจักรวาล เพราะเข้าไปวัด ณ.จุดอ้างอิงนั้น ความโน้มถ่วงแบบนั้น และคาบเวลาแบบนั้น มีอีกกระทู้ครับ ผมโพสไว้ที่ห้องสินธร พอดีเกี่ยวข้องกับเรื่องเวลา เช่นเดียวกัน พออ่านประกอบได้ครับ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I5654843/I5654843.html จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ วันอาสาฬหบูชา 12:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 36 สรุปก็คือ หากเป็นดังความเห็น #35 ของคุณปัจจตัง ผมขอสรุปตามความเข้าใจของผม คือ คุณปัจจตังเห็นตรงกับผมว่าเวลาเป็นสิ่งไม่คงที่ หากวัดจากกรอบอ้างอิงที่แตกต่างกัน เช่น โลก และจรวดความเร็วใกล้แสง ดังนั้น หากผมย้อนกลับไปความเห็นที่ #2 ที่คุณปัจจตังว่าไว้ว่า >> เวลาต้องสัมพัทธ์กับทุกสิ่งในจักรวาล ถ้าจะหยุดเวลาต้องหยุดเวลาทั้งจักรวาล คิดว่ามันขัดแย้งกับความเห็นที่ #35 ครับ เนื่องจาก หากเวลาในบางจุดของจักรวาล หยุดลง (เช่น ในหลุมดำ) เวลาส่วนอื่นๆ ยังคงเดินอย่างต่อเนื่อง แต่เราก็สามารถนิยามว่า "เวลาในหลุมดำหยุดลง" ได้ ด้วยความเคารพ ผมไม่ได้ต้องการเอาชนะ หรือจับผิดนะครับ เพียงอยากแลกเปลี่ยนความเห็น และทำความเข้าใจกับข้อขัดแย้งต่างๆ ให้กระจ่างเท่านั้น ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นและได้พูดคุยกันครับ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 12:54:21 จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 12:53:41 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ส่วนเรื่อง เมตาบอลิซึม กับ เวลา  ระหว่างสัตว์กับมนุษย์ ผมเปรียบเทียบให้พอเข้าใจครับ ความจริงมันไม่ได้แปรผันกันตามแบบสมการเส้นตรง เพราะยังมี Factor อื่นอีกเยอะที่ยังไม่ได้นำเข้ามาร่วมเป็นตัวแปรด้วย เช่นเรื่อง DNA ดังที่กล่าวข้างบน พอดีผมจบทางจิตวิทยามาด้วย มีหนังสือเล่มหนึ่งของปรมาจารย์ทางด้านจิตวิทยา ชื่อหนังสือว่า เวลาเด็ก เวลาผู้ใหญ่ ( ชื่อภาษาอังกฤษผมจำไม่ได้ ) แต่เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้วิเคราะห์เจาะลึก ในเรื่องเวลา ซึ่งหนึ่งปีของเด็ก กับ หนึ่งปีของผู้ใหญ่ เวลาไม่เท่ากัน และในทางจิตวิทยา เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไอน์สไตน์เคยเปรียบเทียบว่า เวลาของคนเอามือวางบนเตาร้อนหนึ่งนาที ยาวนานเท่ากับนั่งกับสาวงามหนึ่งชั่วโมง ผมเข้าใจว่า เป็นการพูดเล่น แต่ก็แฝงไปด้วยนัยยะของเวลาตามรู้สึกไว้เหมือนกัน ( แต่เรื่องนี้ไม่น่าเกี่ยวกับเมตาบอลึซึม ) ถ้าจะเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม ผมได้ยกตัวอย่าง ไว้ในหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระเจ้าเห็น เช่น กรณี คนจะถอดชนวนระเบิดเวลา ที่ตั้งไว้ว่า จะระเบิดภายในห้านาที คนที่เมตาบอลิซึมสูง หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก จิตใจร้อนรน เวลาห้านาทีของเขาจะผ่านไปเร็วมาก จนกู้ระเบิดไม่ทัน  ในทางตรงกันข้าม คนที่สุขุม ใจเย็น กู้ระเบิดไปอย่างเนิบๆช้าๆ ราวกับว่าห้านาทีนั้นยาวนานเหลือเกิน กลับปลดชนวนระเบิดได้ทันเวลา   กรณีนี้ผมเคยอธิบายไว้ ในกระทู้ ไมเคิล จอร์แดน แต่ไม่รู้กระทู้นี้ตกไปอยู่หน้าไหนแล้ว ขออธิบายอีกรอบ หัวข้อกระทู้   ไม่ทราบว่า การที่ไมเคิล จอร์แดน สุดยอดนักบาสเก็ตบอลของ NBA สามารถลอยตัวอยู่ในอากาศ ได้นานกว่ามนุษย์ทั่วไป ถือว่า เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรือปล่าวครับ จนคนดูบอกว่าเขาบินได้  ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้โดดสูงกว่านักกีฬาคนอื่นๆ  มันขัดกับกฎทางฟิสิกส์ชัดๆ ตอบ   ผมเคยเห็นแกกระโดดลอยตัว จากเส้นเขตโทษ แล้วเอาลูกบาสไปยัดลงห่วงได้ ราวปาฎิหาริย์  ไม่ใช่เพราะเขาสามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้นานกว่าคนอื่น  แต่ความจริงเกิดจากไมเคิล จอร์แดน มีสมาธิสูงกว่านักบาสทั่วไป แถมยังเป็น ขณิกสมาธิ  ( สมาธิชั่วขณะ ) เสียด้วย จะสังเกตได้ว่า ขณะลอยตัว เขาสามารถเอามือคลึงลูกบาสหมุนไปมา ตวัดขึ้นลง ไปทางซ้ายทางขวา และยัง ขยับเท้าเหมือนกับว่า กำลังเดินอยู่กลางอากาศ ทุกท่วงท่าของเขามีสมาธิอยู่ตลอดเป็นสมาธิแบบขณิกะ  ถ้าเสี้ยววินาทีนั้น ใครกระโดดขึ้นปัด เขาจะตวัดลูกบาส หลบได้ทันที   ต่างจากนักบาสคนอื่นๆ ที่ขณะกระโดดจะตั้งใจโดดแบบสมถะสมาธิ คือจิตจดจ่ออยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลา ในที่นี้จิตจะจดจ่ออยู่ที่แป้นบาส ดังนั้น เวลามีใครมาสกัดหรือปัด นักกีฬาเหล่านี้จะหลบไม่ทัน    ขณิกสมาธิ สามารถทำให้ว่องไว และจิตนิ่ง  ปกติความว่องไว กับความนิ่งของจิต มักจะสวนทางกัน คือยิ่งไว จิตยิ่งส่าย  แต่ถ้าฝึกถึงระดับที่จิตนิ่งด้วยไวด้วย เวลาจิตของคนนั้น จะยาวนานกว่าคนอื่น ( แม้ว่าเวลาทางนาฬิกาจะเท่ากันก็ตาม ) เทคนิคนี้ ท่านปรมาจารย์ตั๊กม๊อ ก็เคยนำมาสอนพระในวัดเส้าหลิน เลยเป็นผลพลอยได้ ทำให้วิทยายุทธ์ของวัดเส้าหลิน นิ่งและไวมาก  ในยุทธจักรสมัยนั้น ยกย่องวรยุทธ์วัดเส้าหลินให้เป็นหนึ่ง เพราะไม่มีใครสู้ได้ ว่ากันว่า ผู้ที่ฝึกขณิกสมาธิถึงระดับสูงๆ จะสามารถต่อสู้กับคนทั่วไปพร้อมๆกันได้ถึง 18 คนทีเดียว เพราะความไวของจิต จะทำให้เขาเห็นการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ เป็นแบบสโลว์โมชั่น    แต่สำหรับ ไมเคิล จอร์แดน ขณิกสมาธิที่ได้ เป็นพรสวรรค์แต่กำเนิด ไม่ใช่จากการฝึก เพราะแกไม่ได้นับถือพุทธ หลักขณิกสมาธิมีในศาสนาพุทธเท่านั้น จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ วันอาสาฬหบูชา 13:00:10 ]

ความคิดเห็นที่ 38 #35 แต่ที่ผมสงสัยก็คือว่า C ณ.ตำแหน่งที่อ้างอิงบนพื้นโลก  กับ C (ความเร็วแสง) ณ.ตำแหน่งที่อ้างอิงบนยานอวกาศ จะเท่ากันได้อย่างไร  ก็ในเมื่อความเร็ว = ระยะทาง/เวลา   ณ.ตำแหน่งอ้างอิงบนยานอวกาศคาบเวลา ไม่เท่ากับบนโลก แม้ ทั้งสองตำแหน่งจะเห็นแสงเร็วที่ 300,000 กิโลเมตร/วินาที เท่ากัน แต่ ในความจริงมันไม่เท่ากัน เพราะเวลาณ.จุดอ้างอิงทั้งสอง ไม่เท่ากัน ...STR ได้หักล้างแนวคิดนี้ไปแล้วหนิ ดังนั้น เป็นไปได้ไหมครับ ที่ความเร็วแสงไม่คงที่ แต่ที่เราเห็นว่าคงที่เท่ากันที่ 300,000 กิโลเมตร/วินาที ทั่วทั้งจักรวาล เพราะเข้าไปวัด ณ.จุดอ้างอิงนั้น ความโน้มถ่วงแบบนั้น และคาบเวลาแบบนั้น ....รอคนอื่นมาตอบ เท่าที่ผมเคยอ่านผ่านๆ แสงจะมีบางคอนดิชั่นที่ความเร็วไม่คงที่ ?? +++++++++++ ผมสงสัยอีกเรื่องครับ  คือในหนังสือ แฟนพันธ์แท้ไอน์สไตน์ บอกว่า คนบนโลก ถ้ามองไปที่ยานอวกาศความเร็ว 0.6 C (อ้างอิงที่พื้นโลก)  แล้วยิงจรวดออกไปที่ความเร็ว 0.5 C (อ้างอิงที่ยานอวกาศ)   ....กรณีนี้คนที่มองจากพื้นควรจะเห็นเวลาเป็นติดลบ ??! สมมุติว่ายานลำนั้นเคลื่อนที่แบบสลับไปมาซ้าย ขวา ด้วยความเร็วน้อยกว่าแสง แล้วบนตัวยานติดเครื่องยิงแสงไปยังจุดอ้างอิงจุดหนึ่งซึ่งลอยอยู่เหนือตัวยาน เวลานับจาก ที่ยานยิงแสงไปที่จุดอ้างอิงจนกระทั่งแสงจากจุดอ้างอิงตกลงมากระทบตัวยานเท่ากับหนึ่งวิ ในกรณีที่ยานเคลื่อนที่สลับไปมาด้วยความไวปกติ หนึ่งชั่วโมงของยาน (วัดจากการตกกระทบ ของแสงที่ตัวยานเอง) ก็จะเท่ากับเวลาปกติบนโลก คือในหนึ่งนาทีแสงที่ยิงไป 60 ครั้งจะ สะท้อนกลับมาโดนตัวยานทั้ง 60 ครั้ง! ในกรณีที่ยานเคลื่อนที่เป็น 0.6 C แสงจะตกกระทบตัวยานเป็นลักษณะ ?? ในกรณีที่ยานเคลื่อนที่เร็วเท่าแสง แสงจากจุดอ้างอิงจะไม่สามารถสะัท้อนกลับมาที่ตัวยานได้ทัน (ถือว่าไม่มีเวลา หรือเวลาหยุด) ในกรณีที่ยานเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง แสงจากจุดอ้างอิงจะตกลงมากระทบได้เป็นบางจังหวะ ซึ่งทุกๆวินาทีที่ได้จากการตกกระทบถือว่าเป็นวินาทีที่ติดลบ ?! (อันนี้คิดในแง่ของอุดมคติโดยไม่สนใจเรื่องมวลกับเอเนอจี) แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 13:40:04 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 13:37:43 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 13:32:58 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอนอกเรื่องนิด คือไปอ่านกระทู้ของคุณ ปัจจตัง ที่ให้ไว้ใน คห.35 แล้วงงๆครับ "  ถ้ามองในทางพุทธศาสนา การตัดสินใจของมนุษย์ เป็นไปตามกฎแห่งกรรม การที่คนเราจะได้แต่งงานกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นเรื่องของพลังแห่งกรรมที่ทั้งคู่ได้ทำร่วมกันมา ก่อให้เกิด เจตสิก และดวงจิต ที่รักใคร่ ชอบพอตามกฎแห่งกรรม ทั้งคู่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกันได้ ต้องมาเป็นคู่กรรมกันอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะถูกขัดขวางจากอำนาจภายนอกใดๆ  ดังนั้น จักรวาลที่เกิดขึ้นมีเพียงจักรวาลเดียวคือ ทั้งคู่ได้แต่งงานกันดังนั้น    ถ้ามีการย้อนเวลาจริง ในทางพุทธศาสนามองว่า คนที่ย้อนเวลา จะไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนอดีตได้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร พ่อกับแม่ ก็ต้องได้แต่งงานกัน และกำเนิดขึ้นมาเป็นตัวเขา" ผมเข้าใจว่า ถ้าแบบนี้แสดงว่ามนุษย์เราไม่มีสิทธิ์กำหนดอนาคตของเราได้เลย ถ้ากรรมกำหนดให้ผมเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ผมจะขยันขันแข็งหาเงิน หรือนั่งๆนอนๆ ยังไงผมก็ได้เป็นมหาเศรษฐีอยู่ดีใช่ไหมครับ ไม่ใช่สิ เพราะกรรมคงไม่ยอมให้ผมนั่งๆนอนๆแล้วรวยแหงๆ กรรมต้องกำหนดให้ผมขยันขันแข็งมากกว่า แบบนี้แสดงว่าเราไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจเลยสินะครับ ทางเลือกที่มีก็มีไว้หลอกๆ เพราะยังไงเราก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเลือกข้อไหน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่จักรวาลกำเนิดแล้วใช่ไหมเอ่ย จากคุณ : Naruse_X - [ วันอาสาฬหบูชา 13:42:08 ]

ความคิดเห็นที่ 40 กระทู้คุณภาพแห่งปี ... เด๊ยวต้อง print เก็บไว้อ่านซะแล้ว เพียบเลย ... อ่านจบแล้วเดี๋ยวจะมาแชร์ความเห็นนะครับพี่ ๆ น้อง ๆ จากคุณ : [:Rexagon:] - [ วันอาสาฬหบูชา 13:47:00 ]

ความคิดเห็นที่ 41 Suppose that a spaceship travels at constant velocity between two planets, A and B. The spaceship sends out a light flash in all directions every 10 minutes by its own clock reading. Traveling toward B, its light flashes are seen at 5-minute intervals on planet B. What is the flash interval time as seen on planet A? จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 13:50:01 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อ่ะ...ให้ตลกไปอ่านอีกอันนึง A student riding in a train looks up and sees Einstein sitting next to him. Excited, he asks, "Excuse me, Professor. Does Boston stop at this train?" 555 ++++++ อธิบายมุกสำหรับสาวๆที่ใช้เป็นแต่สมองซีกซ้าย.. ประมาณว่าคนทั่วๆไปจะกินทิสดีของไอส์ไตน์ได้ยาก เหมือนนักศึกษาพวกนี้ดูจากคำถามก็รู้เลยว่ามันกินหญ้าเป็นอาหาร แล้วก็อย่าหวังว่าพวกนี้จะลงเรียนคอร์ท STR เอิ้กส์ +++++++ ว่างจัดเลยตรู.... จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 13:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ^^^ ||||| ไม่ได้ฝืด หรือไม่ฮา แต่...แป้ก จากคุณ : [:Rexagon:] - [ วันอาสาฬหบูชา 14:05:02 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ตอบคุณปัจจตังเพิ่มเติมเรื่องที่ว่า... >> ผมสงสัยอีกเรื่องครับ  คือในหนังสือ แฟนพันธ์แท้ไอน์สไตน์ บอกว่า คนบนโลก ถ้ามองไปที่ยานอวกาศความเร็ว 0.6 C (อ้างอิงที่พื้นโลก)  แล้วยิงจรวดออกไปที่ความเร็ว 0.5 C (อ้างอิงที่ยานอวกาศ)   >> แน่นอนว่า ถ้าบวกกันตามกฎของนิวตัน ความเร็วของจรวดที่วัดจากพื้นโลกต้องได้ 1.1 C ซึ่งเร็วกว่าแสง เป็นไปไม่ได้ ผมคิดว่าผมเข้าใจคุณปัจจตังได้ถูก... นั่นก็คือ ตัวเลขอ้างอิง C-โลก กับบนยานแม่นั้นไม่เท่ากัน เนื่องจาก Space-Time บนยานอวกาศได้ถูกทำให้โค้งงอ (Warped) ตามกฏสัมพัทธภาพพิเศษดังนั้น ตอนที่ยิงจรวดลำที่สองออกไปด้วยความเร็ว 0.5C-ยานแม่ นั้น เมื่อเทียบเคียงความเร็วสัมพัทธ์รวม ของแม่กับลูก เมื่อมองจากพื้นโลก จะมีค่าเข้าใกล้ C-โลก คือประมาณ 0.99 C-โลกเท่านั้น ไม่มีทางทะลุไป 1.1 C-โลก ได้ครับ ดังนั้นไอนสไตน์จึงเชื่อว่า ไม่ว่าเราจะพยายามอย่างไร ก็จะไม่สามารถเอาชนะขีดจำกัดของความเร็วแสงซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของจักรวาลไปได้ จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 14:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เราสามารถคำนวณตัวเลขดังกล่าวได้ด้วยการหา Strech Factor (k) จากสูตรการแปลงของ Lorentz (Lorentz Transformation) ซึ่งเป็นสมการพื้นฐานทางทฤษฏีสัมพัทธภาพ ไม่แน่ใจว่าจะมาโพสดีหรือไม่ กลัวว่ามันจะลึกจนเกินไป และผมก็เขียนสมการในกระทู้พันธ์ทิพย์ไม่เป็นเสียด้วย.. ยังไงถ้าเจอข้อมูลอ้างอิงดีๆ จะนำมาเล่าสู่กันฟังครับ จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 14:17:05 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ตอบคุณ Naruse_X #39 ในทฤษฏีฟิสิกข์เกี่ยวกับจักรวาลวิทยาบางสาย เช่นความเชื่ออันหนึ่งของสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง (เค้ามีหลายความเชื่อเหลือเกิน) เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว และเวลาก็เป็นเหมือนเครื่องเล่นเทป คือเมื่อคุณเดินไปสุดทางของเวลา คุณจะย้อนกลับมาจุดเริ่มต้น หรือหากคุณย้อนเวลาได้กลับไปที่จุดเริ่มต้น (ณ บิกแบง) คุณก็จะทะลุมาอยู่ปลายทางสุดท้ายของเวลาอีกครั้ง ดังนั้น ฟิสิกข์นิวตัน หรือควอนตัม หรือสัมพัทธภาพ เป็นเพียงการอธิบายปรากฏการณ์ในอนาคต จากการกระทำในอดีต ในรูปแบบต่างๆ กันเท่านั้น คนเราไม่สามารถเลือกหนทางได้ด้วยตัวเอง ฟิสิกข์แห่งพรหมลิขิต ได้เลือกทุกอย่างมาให้คุณแล้ว.. ซึ่งผมไม่เชื่อ และไม่อยากจะเชื่อ ในเรื่องนี้ครับ จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 14:26:16 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอ ปุจฉา ด้วยนะครับ... "กบจำศีลก็เช่นกัน มันอยู่นิ่งๆ ได้หกเดือน โดยไม่กินอะไรเลย ในความรู้สึกของกบ มันเข้าใจว่า มันอยู่แค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นแหละ ไม่ใช่หกเดือน" อันนี้ผมไม่แย้ง เพราะอย่างไรก็ไม่มีอะไรมาเป็นตัววัดความรู้สึกของกบได้ แต่ผมลองเปรียบเทียบกับตัวเอง...ถึงช่วงเวลาที่ผมนอน แล้วตื่นขึ้นมา ถ้าไม่อาศัยดูเวลา(จากนาฬิกา)หรือว่าอาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ (ที่ทำให้พอจะทราบได้ว่า น่าจะเช้า สาย หรือ บ่าย)และจากสภาพแวดล้อม เปรียบเทียบให้ชัดเจนอีกที... ถ้าเป็นคนไข้ที่สลบไปนาน เป็นวันๆ (อัตราเมตาบอลิซึม ของเขาตอนสลบอยู่จะเป็นอย่างไรสูงหรือต่ำกว่าคนทั่วไป รึเปล่า) เขาไม่สามารถจะทราบ(หรือรู้สึกได้แน่)ว่าหลับไปนานแค่ไหน ต้องเรียกว่า ไม่รับรู้หรือรู้สึกอะไรเลย ซะด้วยซ้ำไป "เช่นเดียวกับเต่า ที่เมตาบอลิซึมช้ามาก อายุยืน 150 ปี คนบอกว่า อายุยืนมาก ถามว่า ในความรู้สึกของเต่า มันรู้สึกนานขนาดนั้นหรือไม่ เปล่าเลย" อันนี้ผมก็ไม่ขอแย้ง...แค่ขอลองยกตัวอย่างง่ายๆ(ที่พอจะไกล้เคียงกับหัวข้อกระทู้นี้) ว่า.... ถ้าแมลงหวี่แมลงวัน ที่บินกวนประสาทเราอยู่ หวี่ ๆ ๆ ... ความไวที่มันบินอยู่รอบๆตัวเรา คงจะทำให้มันมองเห็นมนุษย์เราเชื่องช้า มากกว่ามันซะเหลือเกิน ถึงเวลาที่มันหยุดบินลงเดิน หรือเกาะอยู่ต่อหน้าเรา แค่เราขยับจะเข้าไปให้ไกล้ๆมัน มันก็บินออกไปซะแล้ว (ผมไม่ทราบว่าตอนที่มันบินวนอยู่รอบๆตัวเรา อัตราเมตาบอลิซึม ของมันจะแตกต่างกับตอนที่มันเดินหรือหยุดบินมากรึเปล่า) (เคยมีใครจับมันตรวจหาอัตราเมตาบอลิซึมตอนที่มันขยับปีก กับตอนที่มันอยู่นิ่งๆ บ้างรึเปล่าครับ) เปรียบเทียบให้เข้าเรื่องชัดเจนขึ้นอีก... คือถ้ามนุษย์เรา สามารถเคลื่อนที่ได้ไวกว่าปรกติมาก จนสามารถเห็นคนรอบๆตัวเราเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ หรือเชื่องช้า มากๆ อาจมากจนอาจจะเรียกได้ว่าแทบจะเห็นเป็นภาพที่หยุดอยู่กับที่(ซึ่งไม่ได้หยุดสนิทจริง แค่ช้ามากๆ มากที่สุด แค่นั้น) ในกรณีนี้ ผมนึกถึงการเดิน การวิ่ง กับการนั่งอยู่บนรถที่วิ่งอยู่เฉยๆ (คิดว่าอัตราเมตาบอลิซึมคงไม่แตกต่างกันซักเท่าไหร่) ถ้าอย่างนั้นถ้าอนาคตมีเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์เราสามารถหลุดจากแรงโน้มถ่วงได้ หรือสามารถหน่วงเวลาได้มากๆจนแทบจะเห็นเหมือนหยุด...จริงๆ ในแง่วิทยาศาสตร์ผมว่าน่าจะสามารถทำได้ แต่ไม่น่าจะถึงกับหยุดได้สนิทจริงๆหรือว่าย้อนเวลาได้... ปล.อัตราเมตาบอลิซึมจะเกี่ยวเนื่อง(หรือว่าส่งผลกระทบ)กับการที่มนุษย์เราจะสามารถจะหยุดหรือหน่วงเวลาได้ จริงหรือไม่กันครับ หรือว่าถ้าทำได้จริงจะส่งผลอย่างไรกับอัตราเมตาบอลิซึมของมนุษย์แบบไหนกันครับเนี่ย ------------------------------------------------- ลืมตอบคำถาม จขกท.คือ... ถ้าเราหยุดเวลาไว้จะทำอะไรดี ...... เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างหยุด(เรียกใหม่ว่า ดำเนินไปอย่างช้าๆ จะดีกว่า) เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปเรื่อยๆอยู่ (ในจังหวะเวลาที่คงที่ตามเดิม) แล้วมีแต่ตัวเราที่ อยู่ในสภาวะที่แตกต่างออกไป ผมคงจะไม่ทำอะไรให้มากเกินกว่าความพอดี...กลัวครับ เช่น...ถ้าผมเอาช่วงจังหวะที่สามารถ หน่วงเวลานั้นๆมาใช้ประโยชน์ได้ อย่าง... การเอาโหมทำงานที่ต้องการจะให้เสร็จภายในเวลา(ที่เป็นปรกติ)อันสั้น แล้วใช้มันติดต่อกันเรื่อยๆ ผมก็คงจะโทรมลง อาจจะแก่ลงก่อนเพื่อนๆ ภายในเวลาแค่เดือนร่างกายผมอาจจะทรุดโทรมลงเทียบได้กับคนอายุร่วมสี่สิบ-หรือห้าสิบปีก็ได้ อย่างนั้นแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน ------------------------------------------------- แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 14:43:31 จากคุณ : JiGGo_KaPoLo - [ วันอาสาฬหบูชา 14:40:37 ]

ความคิดเห็นที่ 48 “The only reason for time is so that everything doesn't happen at once.” ผมเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่46ครับ เราเลือกที่จะใช้เวลา ไม่ใช่เวลาเลือกให้เราใช้ จากคุณ : !!^^!!CaTaStRoPhE!!^^!! - [ วันอาสาฬหบูชา 14:41:49 ]

ความคิดเห็นที่ 49 . แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 14:42:51 จากคุณ : JiGGo_KaPoLo - [ วันอาสาฬหบูชา 14:41:54 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เข้ามาอ่าน ......   กระทู้นี้เจ๋งมากๆ ครับ จากคุณ : PureTruth - [ วันอาสาฬหบูชา 14:57:03 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ตอบความเห็นที่ 39 ใช่ครับ อนาคตถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าทางรูปธรรม ก็ซ่อนอยู่ใน DNA  ส่วนทางนามธรรม ซ่อนอยู่ใน ภวังคจิต   เรื่องนี้ยาวครับ ถ้าจะอธิบาย คงต้องพิมพ์กันเป็นร้อยหน้า แต่ในหนังสือ เกิดเพราะกรรมหรือความซวย กับ ทวารหกศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเอง  ได้เขียนไว้อย่างละเอียด สตีเฟน ฮอร์กิ้ง เอง ผมว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะระดับน้องๆไอน์สไตน์ ความคิดเห็นของเขาไม่ใช่เรื่องที่เพ้อฝัน แต่เป็นการหยั่งรู้ด้วยมันสมองที่เหนือมนุษย์ทั่วไป  ฮอร์กิ้ง ก็เชื่อเรื่องอนาคต ถูกกำหนดไว้แล้วครับ  เขาเคยพูดประโยคหนึ่งว่า......อดีต อนาคต เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ที่ข้าพเจ้าสงสัยเหลือเกินก็คือ ทำไม มนุษย์จึงจำแต่อดีตได้ แต่จำอนาคตไม่ได้....... ผมอ่านประโยคนี้ แล้วพยายามคิดอยู่เป็นเดือน จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังงง ว่า สตีเฟน ฮอร์กิ้ง ทำไมถีงพูดอย่างนี้ เพราะไม่เข้าใจ นี่ถ้า ฮอร์กิ้ง สุขภาพเขาแข็งแรง เหมือนคนปกติ ผมว่า เขาต้องคิดทฤษฎีอะไรที่เหนือมนุษย์ขึ้นมาได้อีกคน แน่ๆเลย จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ วันอาสาฬหบูชา 15:09:44 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ยานอวกาศเร็ว 0.6 C (อ้างอิงที่พื้นโลก) ยิงจรวดออกไปที่ความเร็ว 0.5 C(อ้างอิงที่ยานอวกาศ)   ถ้าบวกกันตามกฎของนิวตัน ความเร็วของจรวดที่วัดจากพื้นโลกต้องได้ 1.1 C ซึ่งเร็วกว่าแสง เป็นไปไม่ได้ ถูกต้องครับเป็นไปไม่ได้ การเอาความเร็วมาบวกลบกันแบบนิวตันไม่ถูกครับ การบวกลบความเร็วแบบดื้อๆนี้ใช้กับความเร็วต่ำๆ ถ้าเร็วสูงใช้ทฤษฎีสัมพัทธ์ ตามรูป Cเป็นโลก Bเป็นยานอวกาศ Aเป็นจรวดยิงออกไป         w = (u + v)/(1 + uv/c2)         w = (u0.6c + 0.5c)/(1 + 0.6*0.5c2/c2)         w = 0.84615384615384615384615384615385c รูปข้างล่างจาก http://math.ucr.edu/home/baez/physics/Relativity/SR/velocity.html จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันอาสาฬหบูชา 15:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 53 #43 ....เส้นลึกเกินไปแว้ว ว มาดูตัวอย่างความไม่เท่ากันของเวลา ของวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เกือบเท่าแสง (จากหนังสือเล่มหนึ่ง) Twin Paradox On their twenty-first birthday, Peter leaves his twin brother, Paul, behind on Earth and goes off in a straight line for 7 years on his own wristwatch time (2.2 * 108 seconds) at 0.96 c with respect to an inertial reference frame at rest with respect to Earth, then reverses direction, and in another 7 years of his time returns at the same constant speed. Paul sees Peter's wristwatch running slower, so Peter ages root(1-v^2/c^2) = 0.28 as much, or 1.96 years for each direction. But Peter looks back to see Paul's clock running slower than his own wristwatch, so Paul should be aging slower by 0.28 as much--that is, 1.96 years for each direction. On his return, Peter is surprised: "I know that I aged 14 years, but Paul should have aged only 3.92 years. ++++++++++ เท่าที่ผมตีความหมายจากตัวอย่างนี้คือทั้ง Paul & Peter จะเห็นว่านาฬิกาของอีก ฝ่ายช้าลง 0.28 Paul เดินทางไปกลับด้วยความเร็ว 0.96C เป็นเวลาไป 7 ปี กลับ 7ปี เมื่อให้ทั้งคู่ดูเวลาซึ่งกันและกัน Paul จะเห็นว่า Peter อายุแค่ 3.92ปี ส่วน Peter ก็เห็นว่า Paul อายุ 3.92 ปีเหมือนกันโดย Peter แสดงว่ามีเวลาสามค่าจากตัวอย่างนี้คือ 1 เวลาจากคนที่อยู่บนโลกจะเท่ากับ 14 ปี (หรือเวลาของ Paul&Peter ในขณะที่ มองดูนาฬิกาของตัวเอง) 2 เวลาของ Paul ที่มองโดย Peter จะเท่ากับ 3.92 ปี 3 เวลาของ Peter ที่มองโดย Paul จะเท่ากับ 3.92 ปี ++++++++++++ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 15:30:13 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 15:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 54 Twin Paradox http://en.wikipedia.org/wiki/Twin_paradox เรื่องปฏิทรรศน์คู่แฝด ฝาแฝดบนโลก คนนึงอยู่บนโลก อีกคนไปจรวดเร็วสูง เมื่อจรวดกลับมายังโลก แฝดบนจรวดจะอายุน้อยกว่าแฝดบนโลก พูดถึงนาฬิกาบนจรวดจะช้ากว่านาฬิกาบนโลก ฝาแฝดก็เป็นนาฬิกาทางชีวภาพก็ช้าตามไปด้วย metabolismช้าลงด้วย ช้าลงเทียบกับแฝดคนที่อยู่บนโลก ปฏิทรรศน์คู่แฝด ถ้าคิดถึงเฉพาะนาฬิกาอ้างถึงการทดลอง Hafele-Keating experiment-การทดลองของฮาเฟล-คีตติ้ง http://en.wikipedia.org/wiki/Hafele-Keating_experiment ซึ่งถ้าเชื่อการทดลองนี้ก็น่าเชื่อว่านาฬิกาบนจรวดเดินช้ากว่าบนโลก จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันอาสาฬหบูชา 15:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 55 Twin Paradox ยังคงเป็นปริศนา เหอๆๆ ++++++++++++++ Einstein simply postulates what we have deduced, with some difficulty and not altogether satisfactorily, from the fundamental equations of the electromagnetic field. H. A. LORENTZ, 1906, QUOTED IN ALBRECHT FOLSING, ALBERT EINSTEIN: A BIOGRAPHY แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 15:56:39 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 15:55:20 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อ๊ะ! ไมโพสต์รูปไม่ได้หว่า- -" แค่จะมาบอกว่า โหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ^^" แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 15:59:47 จากคุณ : marvolo - [ วันอาสาฬหบูชา 15:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ความคิดเห็นที่ 53 Paul เดินทางไปกลับด้วยความเร็ว 0.96C เป็นเวลาไป 7 ปี กลับ 7ปี เมื่อให้ทั้งคู่ดูเวลาซึ่งกันและกัน Paul จะเห็นว่า Peter อายุแค่ 3.92ปี ส่วน Peter ก็เห็นว่า Paul อายุ 3.92 ปีเหมือนกันโดย Peter แสดงว่ามีเวลาสามค่าจากตัวอย่างนี้คือ 1 เวลาจากคนที่อยู่บนโลกจะเท่ากับ 14 ปี (หรือเวลาของ Paul&Peter ในขณะที่ มองดูนาฬิกาของตัวเอง) 2 เวลาของ Paul ที่มองโดย Peter จะเท่ากับ 3.92 ปี 3 เวลาของ Peter ที่มองโดย Paul จะเท่ากับ 3.92 ปี ไม่น่าจะถูกต้องครับ ปัญหาของ paradox คือมักสับสนได้ง่าย ทฤษฎีสัมพัทธ์นั้นว่าเวลาขึ้นกับใครเป็นผู้สังเกตุและใครถูกสังเกตุ Twin Paradox กำหนดให้คนบนโลกเป็นผู้สังเกตุ คนบนจรวดถูกสังเกตุ เพราะคนบนจรวดเดินทางไปแล้วกลับมาเทียบกับคนบนโลก ไม่ใช่คนบนโลกตามจรวดไปเปรียบเทียบ ตามสูตรทฤษฎีสัมพัทธ์ที่คำนวนมาจะมีความเร็วแสงคงที่สำหรับผู้สังเกตุ ฉะนั้นสำหรับผู้ถูกสังเกตุความเร็วแสงจึงไม่คงที่ สรุปว่าแฝดบนจรวดจะอายุน้อยกว่าครับ ถ้าเวลาของ Paul ที่มองโดย Peter จะเท่ากับ 3.92 ปี เวลาของ Peter ที่มองโดย Paul จะเท่ากับ 3.92 ปี...เป็นจริง อ้างถึงการทดลองฮาเฟลคีตติ้ง http://en.wikipedia.org/wiki/Hafele-Keating_experiment นาฬิกาซีเซี่ยมบนโลกกับบนเครื่องบินที่บินรอบโลกต้องเท่ากัน แต่ผลการทดลองไม่เท่ากันครับ จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันอาสาฬหบูชา 16:01:26 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ความเห็นที่ 8   ถ้าเวลาหยุด ควันบุหรี่ ต้องหยุดฟุ้ง ด้วยครับ ไม่อย่างนั้น ไม่เรียกหยุดเวลา และการที่ควันบุหรี่กระจาย ก็ขึ้นกับแรงทั้งสี่ในจักรวาล ดังนั้น ถ้าเราสามารถรวมแรงทั้งสี่ แล้วนำมาใช้ในทางปฏิบัติได้ การหยุดควันบุหรี่ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ส่วนในความเห็นที่ 47 ถ้าเปรียบเทียบกับลิง  ลิงมันก็จะเห็นมนุษย์เคลื่อนไหวเป็นแบบสโลว์โมชั่นครับ  (คล้ายๆกับเราเห็นคนแก่อายุ 80 เดิน )  เวลาของสัตว์กับคนไม่เท่ากันแน่นอน  สุนัขที่มันรอเรากลับบ้าน วันหนึ่งของมันจะยาวนานกว่าคน เวลาเรากลับ มันถึงดีใจจนเว่อร์ เพราะมันรู้สึกว่าเราหายไปนานมาก แม้แต่มนุษย์ด้วยกัน ก็สามารถยืดเวลา หน่วงเวลาได้ ถ้าเข้าถึงความลับของมัน   ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ เคยจำศีล ถึงเก้าปี นั่งอยู่เฉยๆในถ้ำ ( เรื่องนี้เป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ ) จนผนังถ้ำที่เงาร่างท่านพาดผ่าน เป็นสีแตกต่างจากส่วนอื่น   และผลจากการจำศีล หยุดเมตาบอลิซึ่ม ทำให้ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ มีอายุยืนถึงร้อยปี     โดยธรรมชาติ มนุษย์ เป็นสัตว์เลือดอุ่น คืออุณหภูมิภายในร่างกายจะคงที่เสมอ ไม่ว่าอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไปเท่าใดก็ตาม      ถ้าร่างกายไม่สามารถฝืนอุณหภูมิภายในจนปล่อยให้อุณหภูมิภายในร่างกายเราต่ำหรือสูงกว่าที่จะเป็น ร่างกายก็คงอยู่ไม่ได้ ( เช่นตอนเราเป็นไข้ อุณหภูมิสูงขึ้นแค่ 1 องศา ยังจับไข้เกือบตาย ไม่ต้องคิดไปถึงการเปลี่ยนแปลงระดับ 10 องศาเซลเซียส ) ดังนั้นเมแทบอลิซึมของมนุษย์จะไม่มีทางลดลงจากที่เป็นอยู่      ต่างจากพวกกบหรือคางคกที่จำศีล พวกนี้เป็นสัตว์เลือดเย็น อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงได้มาก ตามสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติจึงสร้างระบบร่างกายภายในให้สามารถเปลี่ยนแปลงอัตราเมแทบอลิซึมได้  ในสัตว์บางชนิด สามารถลดอัตราเมแทบอลิซึมได้เกือบถึง 100 เท่าที่เดียว (คือเหลือแค่ 1%)     ถ้ามนุษย์ทำได้เช่นนั้น ก็สามารถข้ามเวลาได้ด้วยการจำศีลหนึ่งปี แล้วออกมากลายเป็นร้อยปี บนโลก ( เวลาที่ผมพูดถึงคือเวลาตามความรู้สึก หนึ่งปีของการจำศีลในอัตราเมแทบอลิซึมแค่ 1% มันก็จะยาวนานเท่ากับ 100 ปีของการไม่จำศีล )     ที่จริงแล้ว สัตว์เลือดอุ่นบางพวกก็จำศีลได้ เช่นค้างคาว หนูหรือหมีบางพันธ์ พวกนี้จะใช้วิธีการนอนยาวตลอดฤดูหนาว แต่การจำศีลของสัตว์เลือดอุ่นพวกนี้ ไม่ได้กดเมแทบอลิซึมลงไปได้ต่ำมากขนาดสัตว์เลือดเย็น     ในพุทธมหายาน ก็มีการนั่งสมาธิจำศีล ที่เรียกกันว่า “ปี้กู่” โดยเมื่อเข้าสมาธิ ถึงขั้นลึก จะสามารถเปลี่ยนพลังงานจาก ชี่ รอบตัว มาใช้ แทนการ กินข้าวปลาอาหารได้ แต่หัวใจของการจำศีลแบบปี้กู่นี้ ก็คือ จิตต้องว่าง ถ้าเมื่อใดที่จิตเกิดตัณหา ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เมื่อนั้นสภาวะจำศีลก็จะสิ้นสุดลง เพียงแค่คิดนึกอยาก ก็เกิดกิเลส ตัณหาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จิตจะว่างถึงระดับนั้น      โดยปกติคนเราต้องขับถ่ายทุกวัน แต่ท่านปรมาจารย์ตั๊กม๊อนั่งสมาธิอยู่เฉยๆในถ้ำถึง 9 ปี จนได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แสดงว่า ท่านสามารถกดเมแทบอลิซึมของร่างกายลงได้จนเหลือไม่ถึง 1% และเมื่อออกจากการจำศีล แม้คนภายนอกจะมองว่าท่านหายไป 9 ปี แต่เวลาภายในของท่านปรมาจารย์ตั๊กม๊อ ไม่ได้ผ่านไปเลย ท่านคงอายุเกือบเท่าเดิมเหมือนตอนก่อนจำศีล ทำให้ท่านมีอายุยืนยาวกว่าคนทั่วไป     ที่สัตว์สามารถจำศีลได้ เพราะสัตว์ไม่มีจินตนาการ ไม่มีกิเลส ตัณหา ทั้งหมดเป็นเพียงสัญชาติญาน แต่มนุษย์ตรงกันข้าม สภาวะจำศีลที่จิตไม่นิ่ง ไม่ว่าง ไม่มีทางลดเมแทบอลิซึมได้      วันนี้ผมมีเวลาตอบเยอะ  เดี๋ยวต้องไปวัดแล้ว  ขอตัวก่อนนะครับ จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ วันอาสาฬหบูชา 16:26:52 ]

ความคิดเห็นที่ 59 #57 มิน่าเมื่อก่อนผมก็เคยอ่านแล้วเข้าใจแบบนั้นนะ... ตอนนี้ผมกะลังหาหนังสืออีกเล่มนึงที่สรุปแบบเดียวกับคุณเมษ เด๋วจะเอามาโพส กะลังรู้สึกแปลกๆเหมือนกันว่านาฬิกาของ Paul มันจะช้าลงยังไงหว่า... หรือว่าถ้าเราลองคิดประมาณนี้ว่าสมมุติว่าขณะที่ Paul อยู่บนยานแล้ว Paul สามารถมองเห็น นาฬิกาของ ปีเตอร์ ส่วนปีเตอร์อยู่บนโลกแต่สามารถมองเห็นเข็มนาฬิกาของพอลบนยาน ??? ผลที่ได้จะประมาณใหน ?!? แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 20:25:58 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 17:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ตอบ #57 ในการวิ่งหนีแสง คนที่อยู่ในวัตถุที่เคลื่อนที่ จะเห็นภาพภาพนอกช้าลงเสมอครับ นั่นเป้นเพราะ แสงวิ่งตามเค้าอยู่ ถ้าที่จุดเริ่มต้นมีหอนาฬิกาขนาดใหญ่มากตั้งอยู่ แล้วเรานั่งอยู่ในจรวดโดยหันหลังไปมองหอนาฬิกาดังกล่าว กรณี 1 - จรวดวิ่งไปด้วยความเร็วเท่าแสง เราจะเห็นเข็มนาฬิกานั้นหยุดนิ่ง เนื่องจากแสงวิ่งมาเข้าตาเราไม่ทัน ภาพสุดท้ายคือภาพ ณ. จุดที่เราเร่งความเร็วจรวดจนถึงความเร็วแสง และภาพนั้นจะค้างในลูกตาไปตลอด กรณี 2 - จรวดวิ่งไปด้วยความเร็วน้อยกว่าแสง เราจะเห็นเข็มนาฬิกาเดินช้าลง กรณี 3 - จรวดวิ่งไปด้วยความเร็วสูงกว่าแสง เราจะเห็นเข็มนาฬิกาเดินถอยหลัง (คือเห็นภาพย้อนในอดีตนั่นเอง) เนื่องจาก เราวิ่งแซงแสงที่ได้วิ่งเลยเราไปแล้ว ทั้งหมดเป็นเพียงทฤษฏีครับ ไม่ว่าเข็มนาฬิกาที่คนในจรวดเห็นจะหยุด จะช้าหรือจะถอยหลัง นั่นเป็นเพียงเพราะแสงที่วิ่งเข้าตามันมีความเร็วสูสีๆ กับจรวดนั่นเอง แต่ในความเป็นจริง สภาพภายนอก เวลาเดินไปตามภายนอก (ปกติ) และสภาพภายในยาน เวลาก็เดินไปตามภายในยาน (หน่วงช้าลง จนเกือบหยุด และจะหยุดเมื่อ V=C และจะถอยหลังเมื่อ V>C ซึ่งคิดยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ผิดหลักสามัญสำนึก) ดังนั้น Paul และ Peter จะเห็นเข็มนาฬิกาที่ไม่ตรงกับสภาวะจริงๆ ขณะนั้น เพราะขีดจำกัดของความเร็วของแสงนั่นเองครับ ผิดถูกอย่างไร ขอความเห็นเพิ่มเติมครับ จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 18:06:16 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อันนี้เหมือนของ #57 Twin Paradox The twins are five years old when one of then is sent off in a spaceship that travels nearly the speed of light and the other remains on spaceship Earth. After 50 years Earth time the spaceship returns. The twins greet each other and compare their experiences. We know that the twin who experiences accelerations will age slower and return to Earth much younger than 55 years old. Precisely how does the general theory of relativity explain the aging of the twin during accelerations? จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 19:09:42 ]

ความคิดเห็นที่ 62 หยุดเวลาไว้ได้จริง ๆ แล้วหล่ะก็ อะไร...ที่จะเกิดขึ้นตามมาบ้าง ? สำหรับผมมองสาวในรูปข้างล่างนี้ก็เหมือนเวลาหยุดแล้ว จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันอาสาฬหบูชา 19:25:54 ]

ความคิดเห็นที่ 63 โอ้  เข้าใจ แจ่มแจ้งทะลุปรุโปร่งเลยครับ คุณปัจจตัง ขอบคุณมากครับ... งั้นถ้าเป็นไปได้ในกรณีที่ถ้าอนาคตจะสามารถทำได้...ในทางวิทยาศาสตร์ก็น่าจะส่งผลเสียหายต่อตัวมนุษย์ที่กระทำการหยุด(หรือหน่วงเวลา)นั้นไม่มากก็น้อย แน่ๆเลย อย่างนั้นรึเปล่าครับ จากคุณ : JiGGo_KaPoLo - [ วันอาสาฬหบูชา 19:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เรื่องปีเตอร์กับพอลมีเฉลยไว้ตอนท้ายแหะ แสดงว่าของคุณ เมษถูก...... ทริกมันอยู่ที่ acceleration นะเท่าที่อ่านดู..... Peter experiences actual accelerations during his spaceship journey that will result in less aging than for his twin brother, who has remained at home on Earth. Even if the acceleration was simply an immediate turnaround at the farthest distance, the spaceship velocity vector reversed direction from +V to -V, a change of 2V, in a time interval T. Peter felt the acceleration. Therefore, all observers will agree that Peter was the traveler and that his clocks ran slow, so he ages less than his stay-at-home twin. Feynman, R. P., R. B. Leighton, and M. Sands. The Feynman Lectures on Physics. Vol. I. Reading, Mass.: Addison-Wesley, 1966, pp. 16-3 to 16-4. แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 19:50:25 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 19:48:09 ]

ความคิดเห็นที่ 65 จัดให้..... น้องดุจดาวสุดสวย. ใครช่วยยืนยันทีว่าไม่ว่านาฬิกาประเภทใหนก็จะมีผลเหมือนกัน นั่นคือเดินช้าลงเมื่อถูกทำให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วไกล้แสง อ่านประโยคนี้ชักไม่มั่นใจความคิดเดิมที่ผมเชื่อว่านาฬิกาโบราณ เช่นพวกนาฬิกาใขลานไม่น่าจะมีผล --Therefore, a moving clock ticks slower than an identical clock at rest. And this phenomenon is true for all clocks, no matter how they are made.-- Light Clock The clock will continue to keep accurate time in both reference frames, in the laboratory frame, and in the rest frame of the clock. But the tick rates will be different. In the frame moving with the clock, the light flashes follow the same path as before, reflecting perpendicularly to each mirror, keeping the same tick rate. In the laboratory frame, the light continues to reflect off each mirror repeatedly, but during transit from one mirror to the other the path length is longer, being the diagonal of a right triangle. If the speed of light is the same value in both reference frames, then the time interval between reflections (and clock ticks) will be longer in the lab frame now than for the clock at rest. Therefore, a moving clock ticks slower than an identical clock at rest. And this phenomenon is true for all clocks, no matter how they are made. Feynman, R. P., R. B. Leighton, and M. Sands. The Feynman Lectures on Physics. Vol. 1. Reading, Mass.: Addison-Wesley, 1963, pp. 15-5–15-7. จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 20:07:12 ]

ความคิดเห็นที่ 66 http://en.wikipedia.org/wiki/Twin_paradox ตี๊ต่างว่ายานจากโลกเดินทางไปดาวห่าง4.45ปีแสง ความเร็ว0.866c ใช้เวลาเดินทาง10.28ปีของเวลาโลก เวลายานจะลดลงตามปัจจัยลอเรนซ์=0.5 ทำนายว่าคนบนจรวดจะแก่ลง0.5×10.28 = 5.14ปี Specific example Consider a space ship travelling from Earth to the nearest star system: a distance d = 4.45 light years away, at a speed v = 0.866c (i.e., 86.6% of the speed of light). The round trip will take t = 2d / v = 10.28 years in Earth time (i.e. everybody on earth will be 10.28 years older when the ship returns). Those on Earth predict the aging of the travellers during their trip will be reduced by the factor , the reciprocal of the Lorentz factor. In this case ε = 0.5 and they expect the travelers to be 0.5×10.28 = 5.14 years older when they return. คนในจรวดคำนวนระยะทางεd = 0.5d = 2.23ปีแสง ระยะทางหด จึงใช้เวลาเดินทาง(2.23 / v )×2= 5.14 ปี The ship's crew members also calculate how long the trip will take them. They know that the distant star system and the earth are moving relative to the ship at speed v during the trip, and in their rest frame the distance between the earth and the star system is εd = 0.5d = 2.23 light years ("length contraction"), for both the outward and return journeys. Each half of the journey takes 2.23 / v = 2.57 years, and the round trip takes 2×2.57 = 5.14 years. Their calculations show that they will arrive home having aged 5.14 years, in complete agreement with the calculations of those on Earth. ถ้าวันเดินทางฝาแฝดเกิด คนนึงอยู่บนโลก อีกคนไปกับยานอวกาศ พอกลับมาเจอกันแฝดจากยานอายุ5.14ปี แฝดโลกอายุ10.28ปี ผลนี้ทำนายจากทฤษฎีสัมพัทธ์เฉพาะของไอน์สไตน์ If a pair of twins were born on the day the ship left, and one went on the journey while the other stayed on earth, the twins will meet again when the traveller is 5.14 years old and the stay-at-home twin is 10.28 years old. This outcome is predicted by Einstein's special theory of relativity. It is a consequence of the experimentally verified phenomenon of time dilation, in which a moving clock is found to experience a reduced amount of proper time as determined by clocks synchronized with a stationary clock. Examples of the experimental evidence can be found at Experimental Confirmation of Time dilation. จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันอาสาฬหบูชา 20:09:00 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ความคิดเห็นที่ 65 ใครช่วยยืนยันทีว่าไม่ว่านาฬิกาประเภทใหนก็จะมีผลเหมือนกัน นั่นคือเดินช้าลงเมื่อถูกทำให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วไกล้แสง อ่านประโยคนี้ชักไม่มั่นใจความคิดเดิมที่ผมเชื่อว่านาฬิกาโบราณ เช่นพวกนาฬิกาใขลานไม่น่าจะมีผล http://www.phys.unsw.edu.au/einsteinlight/ ทฤษฎีสัมพัทธ์มี2กรอบเวลา กรอบอ้างอิงกะกรอบเคลื่อนที่ กรอบเคลื่อนที่เวลาช้ากว่ากรอบอ้างอิงตามปัจจัยลอเร้นซ์ ดูรูปข้างล่างประกอบ http://www.phys.unsw.edu.au/einsteinlight/jw/module4_time_dilation.htm เชื่อว่านาฬิกาทุกชนิด..นาฬิกาซีเซี่ยม นาฬิกาไขลาน นาฬิกาควอทซ์... รวมทั้งนาฬิกาชีวภาพคือชีวิต จะเดินช้าในกรอบเคลื่อนที่เทียบกรอบอ้างอิง จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันอาสาฬหบูชา 20:37:27 ]

ความคิดเห็นที่ 68 คุณ Root :-D ความเห็น #65 ผมเข้ามายืนยันเรื่องของ Light Clock ที่ว่า ตามความเข้าใจของผม แม้แสงจะเดินทางด้วยความเร็วคงที่ในกรอบอ้างอิงใดๆ ก็ตาม Light Clock ก็ยังคงเดินช้าลงอยู่ดี ไหนๆ คุณเมษได้กล่าวถึง Lorentz Transformation แล้ว ผมขอใช้ Lorentz Transformation มากล่าวอ้างอีกรอบ ว่าหากมองที่ "ความเร็วแสง" คงที่แล้ว "ระยะทาง" ของสองกรอบอ้างอิงจะเปลี่ยนไป ตามหลักการแปรเปลี่ยนอย่างเสมือนกันของ Lorentz (Lorentz Covarient) สุดท้ายระยะทางที่แสงวิ่งจะไม่เท่ากัน (ซึ่งเป็นผลจากระยะทางที่ถูกบีบอัด) ทำให้นาฬิกาจับเวลาได้แตกต่างกันอยู่ดีครับ เข้าใจถูกมั้ยหว่า.. แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 20:44:21 จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 20:40:52 ]

ความคิดเห็นที่ 69 น้องดุจดาวสุดสวย สวยแต่ไขมันบางจุดน้อยไปนิดอ่ะ โหมดติดใจน้องดุจดาวสุดสวย แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 20:55:53 จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันอาสาฬหบูชา 20:47:28 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เติมอีกหน่อย อันความจริงแล้วผมเข้าใจว่า เราสามารถพิสูจน์เรื่องของ Twin Paradox สามารถทำได้สองวิธี วิธีแรก ใช้สัมพัทธภาพทั่วไป คือนำความเร่งมาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการโค้งงอของ Time วิธีที่สอง ใช้สัมพัทธภาพพิเศษ (ซึ่งง่ายกว่า) คือการคำนวณด้วย Lorentz Transformation โดยไม่ต้องนำความเร่งมาเกี่ยวข้อง จากคุณ : Angos - [ วันอาสาฬหบูชา 20:59:16 ]

ความคิดเห็นที่ 71 อืม ....แท้งค์ 69&70 สวยแต่ไขมันบางจุดน้อยไปนิดอ่ะ ...ใช่ส่วนตรงหน้าอกป่ะ ผมลองใช้ Lorentz Transformation คำนวนดูแล้วได้ประมาณ 33 นะ. จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 21:19:43 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ช่างเป็นทิสดีที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 21:26:11 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ความคิดเห็นที่ 57 ทฤษฎีสัมพัทธ์นั้นว่าเวลาขึ้นกับใครเป็นผู้สังเกตุและใครถูกสังเกตุ สูตรทฤษฎีสัมพัทธ์ที่คำนวนมีความเร็วแสงคงที่สำหรับผู้สังเกตุเท่านั้น สำหรับผู้ถูกสังเกตุความเร็วแสงจึงไม่คงที่ http://www.cord.edu/dept/physics/credo/etrain_credo.html ดูรูปข้างล่าง รถไฟความเร็ว0.5c ผู้หญิงยืนกลางรถไฟ คาวบอยยืนที่พื้น ขณะที่รถไฟผ่านคาวบอยมีแสงวาบที่ปลาย2ข้างของรถไฟ Einstein's Train:  A Thought Experiment To see how the postulates require us to give up the idea of a "universal" definition of simultaneity imagine an extremely high speed train moving at approximately 1/2 the speed of light with respect to the ground.  Inside the train a passenger stands in the center of the train.  Outside the train a lone cowboy watches it speed by. คาวบอยเห็นแสง2ข้างพร้อมกัน เห็นแสงหัวรถถึงหญิงสาวก่อนแสงท้ายรถ เพราะคาวบอยเห็นความเร็วแสงคงที่ As the train passes the cowboy two lightening bolts strike either end of the train leaving burn marks on the track and sending flashes of light into the train.  The cowboy sees the lightning bolts strike the two ends of the train simultaneously.  The cowboy sees the two flashes of light meet at the center of the distance between the two burn marks หญิงสาวในรถจะเห็นแสงไฟวาบพร้อมกัน เห็นแสงท้ายรถถึงคาวบอยก่อนแสงหัวรถ การเห็นของคาวบอยและหญิงสาวไม่เหมือนกัน เพราะแสงเร็วคงที่เฉพาะคนที่เป็นผู้สังเกตุ ผู้ถูกสังเกตุความเร็วแสงไม่คงที่ จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันอาสาฬหบูชา 21:28:00 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ความคิดเห็นที่ 71 สวยแต่ไขมันบางจุดน้อยไปนิดอ่ะ ...ใช่ส่วนตรงหน้าอกป่ะ ผมลองใช้ Lorentz Transformation คำนวนดูแล้วได้ประมาณ 33 นะ ผมใช้ Lorentz Transformation คำนวนดูแล้วได้แค่ 30 สงสัยมีความคลาดเคลื่อนทางทฤษฎี โหมดติดใจน้องดุจดาวสุดสวย จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันอาสาฬหบูชา 21:41:10 ]

ความคิดเห็นที่ 75 คห. 37ที่คุณปัจจตัง กล่าวไว้.. ผมเคยเห็นแกกระโดดลอยตัว จากเส้นเขตโทษ แล้วเอาลูกบาสไปยัดลงห่วงได้ ราวปาฎิหาริย์  ไม่ใช่เพราะเขาสามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้นานกว่าคนอื่น  แต่ความจริงเกิดจากไมเคิล จอร์แดน มีสมาธิสูงกว่านักบาสทั่วไป แถมยังเป็น ขณิกสมาธิ  ( สมาธิชั่วขณะ ) เสียด้วย จะสังเกตได้ว่า ขณะลอยตัว เขาสามารถเอามือคลึงลูกบาสหมุนไปมา ตวัดขึ้นลง ไปทางซ้ายทางขวา และยัง ขยับเท้าเหมือนกับว่า กำลังเดินอยู่กลางอากาศ ทุกท่วงท่าของเขามีสมาธิอยู่ตลอดเป็นสมาธิแบบขณิกะ  ถ้าเสี้ยววินาทีนั้น ใครกระโดดขึ้นปัด เขาจะตวัดลูกบาส หลบได้ทันที   ต่างจากนักบาสคนอื่นๆ ที่ขณะกระโดดจะตั้งใจโดดแบบสมถะสมาธิ คือจิตจดจ่ออยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลา ในที่นี้จิตจะจดจ่ออยู่ที่แป้นบาส ดังนั้น เวลามีใครมาสกัดหรือปัด นักกีฬาเหล่านี้จะหลบไม่ทัน   ขณิกสมาธิ สามารถทำให้ว่องไว และจิตนิ่ง  ปกติความว่องไว กับความนิ่งของจิต มักจะสวนทางกัน คือยิ่งไว จิตยิ่งส่าย  แต่ถ้าฝึกถึงระดับที่จิตนิ่งด้วยไวด้วย เวลาจิตของคนนั้น จะยาวนานกว่าคนอื่น ( แม้ว่าเวลาทางนาฬิกาจะเท่ากันก็ตาม ) เทคนิคนี้ ท่านปรมาจารย์ตั๊กม๊อ ก็เคยนำมาสอนพระในวัดเส้าหลิน เลยเป็นผลพลอยได้ ทำให้วิทยายุทธ์ของวัดเส้าหลิน นิ่งและไวมาก  ในยุทธจักรสมัยนั้น ยกย่องวรยุทธ์วัดเส้าหลินให้เป็นหนึ่ง เพราะไม่มีใครสู้ได้ ว่ากันว่า ผู้ที่ฝึกขณิกสมาธิถึงระดับสูงๆ จะสามารถต่อสู้กับคนทั่วไปพร้อมๆกันได้ถึง 18 คนทีเดียว เพราะความไวของจิต จะทำให้เขาเห็นการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ เป็นแบบสโลว์โมชั่น ถ้าจำไม่ผิด ในชีวิตที่ผ่านมาประมาณ2ครั้ง ที่ผมมีประสบการณ์ไกล้เคียงกับตัวอย่างที่ว่าไว้... ครั้งที่สอง คือช่วงที่โดนถีบ(ด้านหลัง)ตกน้ำ(ซึ่งขณะนั้นว่ายน้ำไม่เป็น) ช่วงเวลาก่อนที่จะตกลงจมน้ำ ไม่น่าจะเกินหนึ่ง-สองวินาที แต่ภาพทุกอย่างที่ผมเห็นรอบตัวเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นภาพสโลว์โมชั่น ความรู้สึกที่รับรู้ช่วงนั้นเหมือนกับเวลาถูกหน่วงเรื่อยๆ ประมาณราว10วินาทีได้ก่อนจะร่วงลงน้ำไป ในหัวคิดอยู่ตลอดว่า ตัวเราว่ายน้ำไม่เป็นจะทำอย่างไรดี(เพราะถ้าจมลงไป)คงไม่มีใครโดดตามไปช่วย... เพราะว่าก่อนจะโดนถีบเล่นดำน้ำอึดกัน(พอดีผมเป็นคนกอดเสาท่าน้ำเอาไว้เลยชนะขาดลอย)พวกคิดว่าผมว่ายน้ำเป็นแน่นอน สมองคิดหาวิธีรอดชีวิต-ว่าเคยอ่านผ่านตามาว่า คนจมน้ำจะลอยขึ้น(ทะลึ่งพรวด)ขึ้นมาก่อน... สรุปในทันทีครับ ว่าจมไปต้องรอจังหวะที่ลอยขึ้นมาแล้วค่อยตะโกนบอกว่า "ช่วยด้วย"(จมเอา ๆ ครับ T_T) ถ้าตามความเข้าใจผม ในขณะนั้นเกิดภาวะบางอย่างที่ทำให้ร่างกาย ปลุกกระแสประสาทรับรู้ทั่วร่างกายขึ้นมา ก็คงจะไม่เกี่ยวกับ ขณิกสมาธิ ระดับสูงแบบนั้น เพราะคิดว่าเมตาบอลิซึมก็คงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนครับ ถ้าอย่างนั้นมนุษย์เราจะสามารถ เข้าสู่ภาวะ(ที่แทบจะเหมือนหยุดเวลา)หน่วงเวลาเช่นนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบรึเปล่าครับ(ด้วยตัวเองนะครับ) ------------------------------------------------------- แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 23:14:01 จากคุณ : น้องแพนเค็กก็น่ารักครับ (JiGGo_KaPoLo) - [ วันอาสาฬหบูชา 23:10:40 ]

ความคิดเห็นที่ 76 #73 จาก Einstein's Train:  A Thought Experiment ตรงนี้ผมตั้งสังเกตุสองข้อ เด๋วมาต่อ... จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 23:26:20 ]

ความคิดเห็นที่ 77 "As the speed of light is a constant in her frame as well she must conclude that the front of the train was stuck by lightning before the back of the train. จากประโยคนี้ผมตีความว่าความเร็วของแสงจะคงที่ทั้งสองเฟรม (คาวบอยกับผู้หญิง) เพียงแต่ผู้หญิงจะคิดว่าแสงที่ท้ายรถใฟกับหัวรถไฟไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน (ไม่เท่าในแง่ความรู้สึก เนื่องจากเธอเห็นแสงจากที่มาทางหัวรถไฟมาถึงตัวก่อน) อันนี้เป็นข้อสังเกตุที่หนึ่ง ส่วนข้อสังเกตุที่สองผมกำลังคิดว่าจากรูปนี้เราสามารถเชื่อมโยงไปอธิบายว่าเวลาจะช้าลง (ในเฟรมของ คาวบอย)ถ้าเร่งความเร็็วรถไฟขึ้นอีก สมมติเป็น 0.9 C ได้รึปล่าว ?? !!!! ++++++++++++ The passenger sees things differently.  She is standing in the middle of the train.   After the lightning strikes she first sees a flash of light from the front of the train then a bit later a flash of light from the back of the train.   As the speed of light is a constant in her frame as well she must conclude that the front of the train was stuck by lightning before the back of the train. The cowboy and the passenger disagree as to whether the two events (the front and back lightning strikes) are simultaneous.   They are both correct. You might be tempted to say that the cowboy must be correct as the passenger is moving and he is not.   But the first postulate tells us that we can not tell the difference between moving frames.   (Surely both the passenger and the cowboy are "moving" as they are both on the Earth which is spinning on its axis and rotating around the Sun.) แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 23:56:15 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 50 23:53:55 จากคุณ : root :-D - [ วันอาสาฬหบูชา 23:47:35 ]

ความคิดเห็นที่ 78 อืม ... kinematics and Dinamics concept !!!! หรือความลับแห่งชีวภาพสัมพัทธ์จะอยู่ที่นี่ ?!?!! แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 50 02:47:28 จากคุณ : ดุจดาวหมดสต๊อกแระ... (root :-D) - [ วันเข้าพรรษา 01:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ทฤษฎีสัมพัทภาพ อ้างอิงกับแสง และ มวล ดังนั้นการหยุดเวลาในกรอบของทฤษฎีนี้ก็คือ เมื่อคุณเคลื่อนที่ได้เท่ากับแสง คุณก็หยุดเวลาได้ จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ วันเข้าพรรษา 01:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ูอืม.....นาฬิกา and gravitational potential! The local equivalence of a gravitational field and an accelerating frame is a starting point for Einstein's General Theory of Relativity. One of the consequences of the general theory is that clocks at high gravitational potential run more quickly than those at low potential. อย่างงี้นี่เอง... จากคุณ : ไม่อยากจะเชื่อเล้ย (root :-D) - [ วันเข้าพรรษา 02:36:05 ]

ความคิดเห็นที่ 81 อืม ม ... ถ้ามองตาม Einstein's General Theory of Relativity แสดงว่าเวลาในทาง ฟิสิกส์ (มิติที่สี่)จะมีค่าอยู่จริง เหมือนค่าของแรงโน้มถ่วง?! ฉะนั้นถ้าถามว่าหากหยุดเวลาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ก็คล้ายๆกับถามว่าถ้าเราสามารถหยุดแรงโน้มถ่วง ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ???!! จากคุณ : root :-D - [ วันเข้าพรรษา 03:47:36 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เอ่อ..........ผมอ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ตัวเองนี่มันยังโง่เขลายิ่งนัก    เหอ เหอ จากคุณ : มีคน..มีต้นไม้..มีสัตว์ป่า - [ วันเข้าพรรษา 05:24:25 ]

ความคิดเห็นที่ 83 อืม ม """" จาก GTR/STR การจะตอบคำถามว่าถ้าหยุดเวลาแล้วเกิดอะไรขึ้น คิดว่าต้องแยกตอบเป็นอย่างน้อยสามคอนเซ็ปต์ คอนเซ็ปต์แรกคือ Kinematics เป็นคอนเซ็ปต์ที่ไม่มี M and E คำถามของคอนเซ็ปต์นี้ก็คือมีกี่วิธีในการหยุดเวลา และจะหยุดได้อย่างไร Dinamics concept  <-- E=MC^2 คำถามสำหรับคอนเซ็ปต์นี้คือ ถ้าหยุดเวลาจะเกิดอะไรขึ้นกับ E, M และคอนเซ็ปต์ชีวภาพสัมพัทธ์ <-- อันนี้ผมตั้งชื่อเองโดยตั้งข้อสังเกตุจาก Twin paradox!!!!! คำถามสำหรับคอนเซ็ปต์นี้คือ ในกรณีที่การหยุดเวลาทำได้และสามารถข้าม ข้อจำกัดของสองคอนเซ็ปต์แรกได้ จะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสภาพที่ เวลาหยุดนิ่ง !!!!! จากคุณ : root :-D - [ วันเข้าพรรษา 11:57:31 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ความเห็นหลังๆมีสิ่งรบกวนการเข้าถึงทฤษฎีครับ จากคุณ : hj - [ วันเข้าพรรษา 13:37:07 A:58.9.195.16 X: TicketID:145104 ]

ความคิดเห็นที่ 85 Time dilation เวลายืดออก ยืดมากๆก็คือเวลาหยุด http://en.wikipedia.org/wiki/Time_dilation สูตรเวลา  t=t0/square root(1-v^2/c^2) ถ้าv-->cจะคล้ายเวลาหยุด ข้อเสียคือมี Lorentz contraction http://en.wikipedia.org/wiki/Length_contraction นั่นคือความยาวหดตามแนวแกนที่เคลื่อนที่ ถ้าผู้ชายที่เคยยาวก็สั้นลง ถ้าสั้นอยู่แล้วยิ่งสั้นลงไปอีก สั้นลงตามLorentz factor http://en.wikipedia.org/wiki/Lorentz_factor จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันเข้าพรรษา 17:51:09 ]

ความคิดเห็นที่ 86 โหมดติดใจน้องดุจดาวสุดสวย จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ วันเข้าพรรษา 18:01:44 ]

ความคิดเห็นที่ 87 กำลังมันส์เลยครับ ------------------------ จาก คห. 75 นะครับ ถ้าเชื่อมโยงเรื่องนี้ เข้ากับทางชีวะ นะครับ เกี่ยวกับเรื่อง ของการส่งกระเเสประสาท ~ ส่วนตัวผมก็คิดว่า อาจจะเป็นไปได้ ที่เราจะหน่วงเวลาได้ คือ ถ้าเราทำให้ การรับรู้ กับส่งกระเเสประสาท การประมวลผลต่างๆ ภายในตัวเรา ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับ เมเเทบอลิซึ่มด้วย "เร็วขึ้น มากอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับคนทั่วไป" เราก็จะรู้สึกเหมือน สภาพรอบตัวเรา ช้าลง...(จริงๆไม่ได้ช้าลง เเต่เราเร็วขึ้น) ระบบประสาท ของคนเรา สามารถที่จะช้า หรือ เร็ว ได้ครับ ซึ่ง ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดขึ้นเหมือนกัน อย่างที่ ประสบการณ์ที่คุณ คห. 75 ประสบมา ส่วนกรณีของงจอร์เเดน น่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์ ที่ติดตัวมาตั้งเเต่เกิด ข้อสังเกต**ตามที่ คุณปัจจตัง กล่าวไว้ ว่าจอร์เเดนสามารถทำหลายๆ อย่างได้ ขณะลอยตัวอยู่ไม่กี่วินาทีนั้น เป็นเพราะ จอร์เเดนสามารถรับรู้ได้ไว ประสาทสัมผัสไว เมเเทบอลิซึ่ม สูงในชั่วขณะนั้น หรือเปล่า ? ---น่าจะมีการตรวจสอบ วิเคราะห์ วิจัย ดูนะครับ อิอิ--- ผมว่าถ้าสามารถ วิเคราะห์ออกมาได้น่าจะมีประโยชน์มาก อ่านเรื่อง ของ การส่งกระเเสประสาท เซลล์ประสาทได้ที่นี่ครับ http://www.mut.ac.th/~vet/Anat-html/nervous/nervous.html **มีการ์ตูนหลายๆเรื่อง ใช้หลักการของการ ทำให้ ประสาทรับรู้เร็วขึ้น เเล้ว คนใช้ก็กลายเป็นยอดมนุษย์ เช่น OMEGA TRIBE ที่ตัวเอก ประสาทรับรู้ไวขึ้น 80 เท่า เเต่หลังจากใช้ ก็จะหมดเเรงข้าวต้ม เรื่องของเวลานี่น่าสนใจนะครับ ...ส่วนคำถามของ จขกท ผมก็ยังไม่อาจจะทราบได้เหมือนกัน เเต่ถ้าหากมี " เครื่องหยุด/หน่วงเวลา" จริงๆ ผมว่าน่าจะเป็น 4 นะ จากคุณ : SK-love - [ 31 ก.ค. 50 01:11:23 A:58.9.164.178 X: TicketID:141557 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ปล. คนที่ผมรัก น่ารักกว่าดุจดาวอีกครับ : P /me ฟิ้วววว~ จากคุณ : SK-love - [ 31 ก.ค. 50 01:14:05 A:58.9.164.178 X: TicketID:141557 ]

ความคิดเห็นที่ 89 .. มันผิดตั้งแต่คำถามแล้วครับ คำถามเริ่มต้นด้วยคำว่า ถ้าเวลาหยุด จะเกิดอะไรขึ้น เพราะคำว่า เวลาหยุด ไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น ทุกสิ่งก็หยุด ทุกสิ่งหยุด ทุกสิ่งจบ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ส่วนที่เราต้องการคำอธิบายในเรื่องนี้นั้น ผมคงต้องตอบไปอีกแนวทางหนึ่ง นั่นคือ ธรรมชาติของจิตใจเรานั้น (ชอบ) ที่จะให้อะไรๆ ที่ถูกใจ หยุดอยู่อย่างนั้น แม้แต่สิ่งที่ไม่ชอบ ก็อยากให้หยุดอยู่แบบนั้นเหมือนกัน เวลาคุณชอบผู้หญิงสวยๆ คนหนึ่ง เวลาคุณได้คุยกับเค้าสักหน่อย คุณจะจดจำช่วงเวลานั้นไว้ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มันก็เพียงชั่วคราว เธอไม่ได้สวยอยู่อย่างนั้นตลอด เธอไม่ได้พูดเพราะๆ กับคุณอย่างนั้นตลอด แต่คุณเลือกที่จะจดจำช่วงเวลานั้นไว้ และนี่เอง คือ เหตุให้เกิดทุกข์ หากคุณเข้าใจว่า ทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ก็ไม่ได้สนใจแล้วว่า หากเวลาหยุด จะเป็นอย่างไร เพราะไม่ว่ามันจะหยุดหรือไม่หยุด คุณก็จะเข้าใจว่า สิ่งประทับใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านพ้นไปแล้ว และมันจะไม่เป็นอยู่อย่างนั้น สิ่งที่เรานึกถึง จำได้นั้น เป็นแค่เพียงธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้น คนที่เรานึกถึง ก็เป็นธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง ที่น่าประทับใจในตอนนั้น เมื่อเข้าใจว่า มันก็เป็นเช่นนี้เอง เรื่องเวลาที่มันดำเนินไป มันก็เป็นเช่นนี้เอง แล้วจะต้องการคำตอบว่า "ถ้าสามารถหยุดเวลาได้จริงๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น" ไปเพื่ออะไรอีกเล่า .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 31 ก.ค. 50 22:27:25 ]