 |
ภัยแล้ง ทำนครวัดสิ้นยุค!
พบซากปราสาทอีก 74 แห่ง..นครวัดอลังการ
ผู้จัดการรายวันนักวิทยาศาสตร์ของสี่ประเทศออสเตรเลีย ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และกัมพูชา ได้ประกาศการค้นพบซากปราสาทใหญ่น้อยอีก 74 แห่งในเขตเมืองพระนคร (Angkor Wat) พร้อมทั้งบึงน้ำใหญ่น้อยอีกกว่า 1,000 ซึ่งเป็นการยืนยันความเป็น "อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ก่อนกาล" ของนครวัด นักวิทยาศาสตร์คณะนี้ได้ยืนยันผลการศึกษาวิจัยที่ดำเนินมาหลายปีซึ่งได้พบว่านครวัด "เป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดของโลกในยุคก่อนที่จะมีการพัฒนาอุตสาหกรรม" มีอาณาบริเวณครอบคลุมเนื้อที่ราว 1,000 ตารางกิโลเมตรในดินแดนภาคเหนือของกัมพูชาปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ชุดเดียวกันได้ยืนยันผลการศึกษา ที่มีการเผยแพร่เมื่อต้นปีนี้ซึ่งระบุว่า ฐานะของ เมืองพระนคร (Angkor Wat) นั้นไม่แตกต่างไปจากนครลอสแอนเจลีส หรือ นครนิวยอร์ก แห่งโลกทุกวันนี้ เพียงแต่ว่า นครวัดเป็นมหานครที่เกิดก่อนกาล พึ่งพาอาศัยแหล่งน้ำและสายน้ำธรรมชาติ เพื่อการเกษตรและการดำรงชีพของประชากรประมาณ 1 ล้านคน มีการผันสายน้ำธรรมชาติเข้าสู่ใจกลางพระนคร แต่เมื่อดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไปตามยุค ควบคุมน้ำไม่ได้ ประชากรเพิ่มมากขึ้น มีการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งทำให้แม่น้ำลำธารตื้นเขิน ก็ทำให้อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 12 ค่อยๆ อ่อนแอลงและล่มสลายไปราว ค.ศ.1500 ทั้งหมดนี้เป็นรายงานผลการศึกษาวิจัยชิ้นล่าสุดที่ตีพิมพ์ล่วงหน้า เพื่อนำเสนอต่อสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Academy of Sciences) กลไกการควบคุมน้ำล้มเหลว ไม่ว่าจะทุ่มเทความพยามแก้ไขโดยใช้ทรัพยากรมากมายเพียงใดก็ตาม ดร.เดเมียน อีแวนส์ (Damien Evans) นักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์กล่าวในรายงานที่มีการเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (14 ส.ค.) อย่างไรก็ตามในชั่วเวลาประมาณ 6 ศตวรรษแห่งการดำรงอยู่ของอาณาจักรนครวัด ยังไม่มีอาณาจักรอื่นใดสามารถเทียบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองจากความจริงที่ว่า นครวัดเป็นอารยธรรมในจำนวนไม่กี่แห่งที่เกิดขึ้นในป่าดิบเขตร้อน ทั้งนี้เป็นความเห็นของ ดร.เวอร์นอน สคาร์โบโรห์ (Vernon L. Scarborough) แห่งมหาวิทยาลัยซินซินนาติ ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยครั้งนี้โดยตรง
ศาสตราจารย์สคาร์โบโรห์ชี้ไปยังบึงน้ำบารายตะวันตก (West Baray) ในเขตนครวัดเพียงที่เดียวก็มีขนาดใหญ่โตกว่าเมืองเขตโบราณติกาล (Tikal) ในอเมริกากลางแล้ว ศ.วิลเลี่ยม เอ แซทเทอร์โน (William A Saturno) แห่งมหาวิทยาลัยบอสตันก็มีความเห็นเช่นเดียวกันคล้ายกัน โดยชี้ว่าการก่อเกิดของอาณาจักรในท่ามกลางพงป่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย เพราะจะต้องมีการจัดการเรื่องสภาพแวดล้อมอย่างมาก นครวัดเป็นตัวอย่าง และจะเป็นโมเดลในการศึกษาอารยธรรมโบราณในเขตร้อน ศ.แซทเทอร์โนกล่าว เมื่อวันอังคารนักโบราณคดีของ 4 ชาติได้เปิดเผยแผนที่ที่จัดทำขึ้นจากการศึกษาครั้งใหม่ แสดงให้เห็นร่องรอยชุมชนเก่าแก่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่รายรอบปราสาทหินนครวัด เป็นการสนับสนุนความเชื่อที่ว่าเคยมีชาวบ้านจำนวนหลายหมื่นคนอาศัยอยู่ที่นั่น ทั้งยุคก่อนและยุคหลังการสร้างปราสาท แผนที่ใหม่นี้ต่างไปจากแผนที่อันแรกที่นำออกเผยแพร่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว คือ มีการพบซากปราสาทใหม่ๆ และ ยังพบบึงน้ำใหญ่น้อยมากมาย ซึ่งทั้งหมดถูกขุดขึ้นโดยแรงงานคน พื้นที่อันกว้างใหญ่ในปัจจุบันของเมืองพระนครในปัจจุบันปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าป่าไม้และซากเมืองโบราณ รวมทั้งซากบ้านเรือน ถนนหนทาง บ่อน้ำ และลำคลองจำนวนหลายพันแห่ง ที่ได้พังทลายลงไป "ตอนนี้พวกเราทราบแล้วว่า นอกจากปราสาทหินนครวัดแล้ว เขตเมืองพระนครประกอบด้วยปราสาทจำนวนมากมายหลายหลัง ดร.อีแวนส์ซึ่งศึกษาแหล่งโบรณคดีด้วยคอมพิวเตอร์ (Archaeological Computing Laboratory) กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์
นักวิทยาศาสตร์ชุดนี้ยังได้พบหลักฐานการติดต่อเชื่อมโยงระหว่างวัด ปราสาท กับชุมชน เช่น บ่อน้ำประจำหมู่บ้าน และวัดเล็กๆ ประจำหมู่บ้านอีกด้วย "ตอนนี้หลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้หลงเหลืออยู่น้อยเต็มที มีให้เห็นเพียงแค่กองอิฐธรรมดา...หากย้อนกลับไปเมื่อสัก 1,000 ปีที่แล้ว มันคงเคยเป็นเมืองที่ใหญ่โตและมีผู้คนอยู่อาศัยมากมาย เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แตกต่างจากภาพวัดวาอารามที่อยู่ในป่า" นายอีแวนส์กล่าว นครวัดสร้างขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ขณะที่แหล่งชุมชนดังกล่าวน่าจะมีอยู่ระหว่างปี ค.ศ.500-1500 "สิ่งที่พวกเราสามารถพิสูจน์ได้ในเบื้องต้นคือ เคยมีชาวบ้านกว่าแสนคน อาศัยอยู่บริเวณนครวัด...ซึ่งสันนิษฐานได้จากโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง ลำคลอง และเขื่อนขนาดใหญ่" นักโบราณคดีคนเดียวกันกล่าว หลังจากศึกษาแผนที่วาดด้วยมือ การออกสำรวจ ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ และเรดาร์สำรวจพื้นผิวโลกซึ่งได้รับจากองค์การนาซ่าแล้ว นักวิจัยกลุ่มนี้ระบุว่าก่อนหน้านี้เมืองพระนครเต็มไปด้วยบึงน้ำที่สร้างด้วยมือมนุษย์ วัดและคูเมือง ซึ่งตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยต้นไม้ใบหญ้า บ่อน้ำแต่ละบ่อมีความยาวตั้งแต่ 20 เมตร ถึง 8 กม. ใช้สำหรับดื่มกิน การชลประทาน ปศุสัตว์ และใช้ประโยชน์ในครัวเรือนด้านอื่นๆ โดยเฉพาะสำหรับเก็บไว้ใช้ในฤดูแล้ง "พื้นที่ทำนาข้าวในคูเมืองและอ่างเก็บน้ำถูกยกขึ้นสูงเล็กน้อย...ส่งผลให้ข้าวมีการเจริญเติบโตในระดับที่แตกต่างกัน และความชุ่มชื้นของเนื้อดินก็แตกต่างด้วยเช่นกัน ทำให้เรดาร์สามารถรับสัญญาณได้อย่างชัดเจน...ซึ่งข้าวจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าในบริเวณที่ชุ่มชื้นมากกว่า" ดร.อีแวนส์กล่าว นักวิจัยกลุ่มนี้เชื่อว่า ชุมชนดังกล่าวล่มสลายลงเนื่องจากการมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมากเกินไปและจากการตัดไม้ทำลายป่า "สิ่งที่พวกเราค้นพบก่อนหน้านี้คือ นครวัดมีขนาดใหญ่มากและระบบการจัดการน้ำค่อนข้างซับซ้อนและขยายวงกว้าง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมตามมา...ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ โครงสร้างพื้นฐานจึงมีความสำคัญมาก และยิ่งเพิ่มความยุ่งยากและลำบากในการรักษามากขึ้น"
การศึกษายังไม่ยุตินักโบราณคดีกลุ่มนี้กำลังจะลงลึกถึงความร้ายแรงของปัญหาสภาพแวดล้อม ตลอดจนความพยายามในการจัดการโดยประชาชนในท้องถิ่น ผศ.ดร.โรแลนด์ เฟล็ทเชอร์นัก (Roland Fletcher) โบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ อีกคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของทฤษฎี นครวัดล่มเพราะภัยแล้ง ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการศึกษานครวัดครั้งแรกเมื่อต้นปีนี้ การศึกษาแสดงให้เห็นถึงฐานะอันสำคัญของอาณาจักรนครวัด ในยุคที่รุ่งเรืองสุดขีด คือ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 หรือประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 19 ทีมนักโบราณคดีชุดนี้ศึกษาจากภาพถ่ายดาวเทียมขององค์การนาซา ที่ดำเนินมา 2-3 ปี ภาพถ่ายระบบอินฟาเรดแสดงให้เห็นว่า เมืองพระนครเมื่อประมาณ 800 ปีก่อน อาจจะเป็นชุมชนเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก่อนยุคอุตสาหกรรม รายงานดังกล่าวระบุว่า นครวัดสามารถเอาชนะธรรมชาติและดำรงอยู่ต่อมาอีกหลายร้อยปีด้วยระบบชลประทาน มีการจัดน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภคที่ทันสมัย รวมทั้งเพื่อป้องกันน้ำท่วม ชาวนครวัดได้บุกเบิกผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล เพื่อปลูกข้าวเลี้ยงดูประชากรที่มากมาย นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ ได้ร่วมกันศึกษาความเป็นไปของนครวัดภายใต้โครงการที่ชื่อ The Greater Angkor Project อันเป็นโครงการระหว่างประเทศ เมืองพระนครถูกทิ้งให้ว่างเปล่าอย่างเป็นปริศนาเมื่อประมาณ 500 ปีมาแล้ว นักประวัติศาสตร์จำนวนไม่น้อย เชื่อว่า ชาวนครวัดหนีออกจากราชอาณาจักรหลังจากที่ถูกกองทัพจากอาณาจักรสยามโบราณเข้ารุกราน และปล้นสะดมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ ผศ.ดร.เฟล็ทเชอร์ กับทีมงาน บอกว่า ร่องรอยและหลักฐานที่ค้นพบล่าสุดนี้ แสดงให้เห็นว่าวิกฤตการณ์น้ำต่างหากที่ทำให้อาณาจักรล่มสลายลง.
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ 15 สิงหาคม 2550 13:26 น. http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9500000095692
จากคุณ :
นกกินเปี้ยว
- [
15 ส.ค. 50 18:23:28
]
|
|
|
|
|