ความคิดเห็นที่ 1 ส่วนสถาบันอื่นๆก็มีผลงานเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะ มช บางมด และมทส แต่นั่นคือภาพรวมนะครับ เพราะเมื่อโฟกัสลงไปยังแต่ละสาขาก็ใช่ว่าจุฬาฯจะเหนือกว่าสถาบันอื่นๆ เช่นคณะวิทย์สาขาคณิต อันดับ 1. คือ มช   ฟิสิกส์ อันดับ 1 ก็ มช ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย  และปีนี้ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งของภาควิชาคณิต มช ก็ได้รับรางวัลนักวิทย์ดีเด่น ซึ่งทางด้านคณิตกะฟิสิกส์ของ มช นั้นค่อนข้างจะมั่นคงแข็งแรงเอามากๆ (ไม่รู้ว่าค่ายสามย่านจะตามทันไหมน้อ?) หรือเมื่อหันไปดูทางสายวิศวะ จุฬาจะเด่นก็ทางเคมี กะไฟฟ้า ส่วนสาขาอื่นอย่างเครื่องกล ก็ยังตามสถาบันอื่นๆหลายสถาบัน ส่วนสาขาโยธาก็ถึงปี 2006 นี่เองที่ผลงานพอจะสูสีกะบางมด และสิรินธร  บังเอิญที่สาขาเคมีสาขาเดียวของวิศวะจุฬาฯก็สร้างผลงานสะท้านสะเทือน เลยทำให้ผลงานตีพิมพ์รวมห่างกะสถาบันอื่นๆมากๆๆๆ  เท่านั้นเอง  และท่าทางจะกู่ไม่กลับ ในปี 2007 นี้ผลงานตีพิมพ์รวม ของภาควิชาวิศวะเคมีจุฬาฯ เผลอๆอาจจะถึงร้อยเรื่องก็ได้ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 50 01:27:02 จากคุณ : กระบี่ไร้นาม - [ 16 ส.ค. 50 01:15:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 รามคำแหง  สถาบันอันเป็นที่รักของผมได้ตีพิมพ์บ้างมั๊ยน้อ จากคุณ : milanello - [ 16 ส.ค. 50 04:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จุฬา มีความหลากหลายมากกว่า จึงทำให้มีการพัฒนาไปได้หลายเรื่อง หลายด้าน และใช้เงินไปในทางพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยีได้ดี มหิดล มีฐานหลักมาจากการแพทย์และสาธารณสุข หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ การพัฒนาหลักๆที่เด่นๆ จึงเป็นด้านนี้เสียเป็นส่วนมาก แม้ระยะหลังจะมีการตั้งคณะวิศวะ หรืออื่นๆขึ้นมา ก็ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ทำให้มีงานวิจัยหรืออะไรๆด้านอื่นๆเติบโตได้ช้า ทำท่าว่า อัตราการผลิตงานจะน้อยกว่า ถ้าเอาปริมาณมาจับ จะสู้ไม่ได้ แต่งานที่ทำมักเป็นงานเด่น เป็นที่รู้จักและยอมรับกันในวงกว้าง จากคุณ : *Cookies* - [ 16 ส.ค. 50 07:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่รู้ๆปีนี้แน่ๆจุฬาได้ของผมไปอีก2เรื่อง อิอิ แซงมหิดลได้แล้ว จากคุณ : 123 (MIVA) - [ 16 ส.ค. 50 07:54:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผลงานวิจัยของมหิดลเอง โดยเฉพาะคณะวิทย์ไม่ได้หยุดแค่สายสุขภาพหรอกครับ ผลงานทางด้านอื่นเช่น Phytoremidiation ก็ก้าวหน้าไปกว่าจุฬามากนัก ยังมีเรื่อง Cancer research ที่เราก็ทำได้รวดเร็วกว่า การทำแล๊บวิจัยในภายหลังมีความรัดกุมมากขึ้น คณาอาจารย์ต้องการตีพิมพ์ในวารสารที่มี impact factor ที่สูงขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่จะตีพิมพ์ได้ช้ากว่า ไม่เชื่อลองเอาผลงานที่ตีพิมพ์มาดูได้ impact factor ก็ต่างกันอยู่เหมือนกัน ว่าแต่ ตอนนี้ก็แอบเซ็งๆ เปเปอร์ไม่ตีพิมพ์ซักที ... จากคุณ : V--Bank--V - [ 16 ส.ค. 50 08:05:25 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แล้วงานวิจัยของแต่ละมหาวิทยาลัย สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศบ้างรึปล่าว ลองเอามาบอกบ้าง อย่ามาคุยว่ามหาวิทยาลัยโน้นมากกว่ามหาวิทยาลัยนี้ ไม่อยากทราบ จากคุณ : ด.เด็ก - [ 16 ส.ค. 50 08:14:33 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เดี๋ยวก็กัดกันระหว่างมหาลัยอีก... จากคุณ : เด็กหอฮินาตะ - [ 16 ส.ค. 50 08:35:14 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ^ ^ นั่นสิ จขกท. กรณีนี้มันก้ำกึ่ง ยุแหย่อยู่น๊า จากคุณ : rbko - [ 16 ส.ค. 50 09:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ระวังโดนไฟแดง จากคุณ : IaMZ - [ 16 ส.ค. 50 09:14:57 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แจ้งลบนะครับ เรื่องดี แต่ก่อความแตกแยก จากคุณ : Epinephrine - [ 16 ส.ค. 50 09:16:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่ต้องลบหรอกครับ วางใจเป็นกลางเถอะ เรื่องทางวิชาการ มันต้องมีการแย้งกันมั่ง เห็นร่วมกันมั่ง ไม่งั้นเอะอะอะไร ก็ต้องเห็นด้วยครับ ใช่ครับ ตะพึดตะพือ หมดยุคแล้ว จากคุณ : เฒ่าน้อย - [ 16 ส.ค. 50 09:45:43 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เนื้อหาพอดูดีี แต่หัวข้อกระทู้ยังกับพาดข่าวหัวสี สรุปว่ายังไม่ได้แซง แต่คาดว่าจะแซงในปีนี้ เพราะดูอัตราการเติบโตของปีก่อนๆ? แหมยังกับทำนายเศรษฐกิจเลยนะ เอาอัตราการเติบโตมาทำนายจำนวน paper? ใครแซงกันผมว่าไม่ใช่ประเด็นเพราะ factor ต่างๆก็ต่างกันมาก แต่ประเด็นที่น่าดีใจก็คือ จุฬาฯ ทำงานวิจัยกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็ถือว่าช่วยพัฒนาชาติกันมากขึ้นแล้วล่ะครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 16 ส.ค. 50 10:04:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คห.7 นั่นสิ ถึงได้ไม่เชียร์ได้แต่เข้ามาดูเฉยๆ เพราะถ้าจะขยับเชียร์จุฬาฯ อีกส่วนหนึ่งของชีวิตก็อยู่ มช. มานาน จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 16 ส.ค. 50 10:15:26 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เรียนคณะวิทย์ มหิดลอยู่ครับ ภาคชีววิทยา ไม่ต้องแจ้งลบหรอกครับ ผมว่าความจริงก็คือความจริง การตีพิมพ์มากกว่า หรือได้impact factorสูงกว่า เป็นสิ่งที่ใช้วัดผลงานของแต่ละคณะ แต่ก็ไม่ได้บอกได้100%ว่ามหาวิทยาลัยไหนมีคุณภาพมากกว่ากัน ยังมีปัจจัยอื่นอีกตั้งเยอะที่จะเอามาคิดนะครับ งานวิจัยที่บอกตีพิมพ์เยอะๆ เอามาใช้ได้จริงมั้ย? หรือทำแล้วขึ้นหิ้ง Phytoremidiationของที่ภาค มีอาจารย์ทำกันหลายท่านเลยครับ แต่ถามว่า มีผลงานไหนที่เอาไปใช้ในพื้นที่จริงๆได้แล้วบ้าง??? การพัฒนาการสอน การสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ๆออกสู่สังคม ทำได้ดีแค่ไหน ถ้ามัวแต่วิจัยๆๆ แต่ไม่สร้างเด็กรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพขึ้นมา ก็ไม่ดีหรอกครับ เห็นด้วยกับคห.12นะครับ แทนที่จะมาคิดว่ามหาวิทยาลัยไหนโดนแซง เราน่าจะดีใจว่า นักวิทยาศาสตร์ของไทยมีงานวิจัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาช่วยกันพัฒนาประเทศดีกว่าครับ ป.ล. ปกติไม่ได้เล่นพันทิพครับ เลยไม่มีอมยิ้ม ^^ จากคุณ : นักวิทย์น้อยๆ - [ 16 ส.ค. 50 10:36:07 A:58.10.167.62 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นผลจากนโยบายที่ว่า เงินสนับสนุนมหาวิทยาลัย ขึ้นกับจำนวน นศ. และ ผลงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์รึเปล่าครับ จากคุณ : Detonator_Pao_ - [ 16 ส.ค. 50 11:38:22 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มีของเศรษฐศาสตร์มั่งมั้ย ตอนเศรษฐกิจดีๆนักวิชาการเยอะเหลือเกิน รัฐบาลอย่างโน้นอย่างนี้ ทำโน่นซิทำนี่ซิ อย่างนี่ไม่ดี ทำแบบนี้ม่ายด้าย บลา บลา บลา ดูข่าวแล้วเหมือนนักวิชาการล้นประเทศ นี่ค่าเงินแข็งค่า7-8เดือน ขาดทุนค่าเงิน5แสนล้าน ออกพัธบัตรดูดเงินจากระบบไป2.6ล้านล้านแล้ว นักวิชาการหายไปไหนหมด คนที่ออกมาแนะวิธีแก้ไขมีอยู่ไม่กี่คน คนตามเรื่องค่าเงินบาทจริงคงสังเกตุได้ทุกคนแหละ ...............ประเทศเดือดร้อนละหายหัวหมด จากคุณ : โผล่มาหน่อยซิ - [ 16 ส.ค. 50 12:28:50 A:125.27.2.208 X: TicketID:070639 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เห็นด้วยกับ #14 จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 16 ส.ค. 50 12:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เอ่อ... ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม จะต้องมาเปรียบเทียบว่า ม.ไหน"ในประเทศ" มีผลงานวิจัยมากกว่ากัน หรือ ม.อะไร"ในประเทศ" จะมีผลงานวิจัยมาเป็นอันดับ 1 "ในประเทศ" ในปีนี้ มันไม่เห็นจะน่าสนใจเท่ากับ ผลงานจากใหน จาก ม. "ในประเทศเรา" สร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ในระดับนานาชาติ เลยคับ ( จบจากไหนก็มีโอกาสจะมาเป็นสามล้อเหมือนกันนั่นแหละคับ ) จากคุณ : กิ้งก่าไรเดอร์ (กิ้งก่าไรเดอร์) - [ 16 ส.ค. 50 12:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อยากอ่านมั่ง อ่านได้ที่ไหนครับ จากคุณ : dakong - [ 16 ส.ค. 50 12:49:02 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ยุแหย่กันอีกแล้ว..... จากคุณ : arata_arty - [ 16 ส.ค. 50 12:53:21 ]

ความคิดเห็นที่ 21 รอความเห็นต่อไปละกัน จากคุณ : Rata_RG - [ 16 ส.ค. 50 12:59:04 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ใครจะมี paper มากกว่าแล้วยังไงหละครับ ไม่เห็นมีประโยชน์ คนในประเทศยังขูดเลขขอหวยขอพรกันอยู่เลย จากคุณ : recombination - [ 16 ส.ค. 50 13:05:17 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ยังไม่แซง แล้วทำไมหัวข้อเป็นงี้อ่ะคะ เห็นด้วยที่ว่า ควรพูดเรื่องประโยชน์ของงานวิจัยมากกว่าที่จะพูดว่าของสถาบันใดเยอะกว่า มากกว่า จากคุณ : chicky_entom - [ 16 ส.ค. 50 13:33:30 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เอาคุณภาพมาวัดกันดีกว่าปริมาณเน้อ (ไม่ได้บอกว่าใครเก่งกว่าใคร เหอๆ) จากคุณ : Angos - [ 16 ส.ค. 50 14:33:39 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ในฐานะนักวิจัยไทยคนนึง อ่านหลาย ๆ ความเห็นแล้วจนใจและท้อใจจังค่ะ เหมือนกับว่าที่ทำงานวิจัยกันอยู่นี่ไม่มีใครเห็นคุณค่ากันเลยเชียว อาชีพนี้ เป็นหนึ่งในไม่กี่อาชีพที่ผลตอบแทนไม่แปรผันตรงกับเวลาที่ให้กับงานค่ะ ผลสำเร็จที่ได้จากงานซึ่งออกมาในรูปผลงานตีพิมพ์ ถ้าเป็นวงการอื่นคงได้ค่าต้นฉบับ  ได้รายได้จากการขายหนังสือ แต่สำหรับนักวิจัยต้องจ่ายค่าต้นฉบับ ไม่แน่อาจต้องเสียค่า reprint เองอีกด้วย สิ่งเดียวที่เป็นกำลังใจที่ทำให้นักวิจัยทั้งหลาย(ทนทำงาน)อยู่ได้ ก็น่าจะเป็นความภูมิใจในความสำเร็จของผลงานวิจัย ทั้งในรูปแบบของการตีพิมพ์หรือยิ่งไปกว่านั้นก็คือการนำมาใช้ได้จริง แต่กลับกลายเป็นว่ากำลังใจอย่างเดียวที่เรามีอยู่ ดูเหมือนจะไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดเลยในสายตาคนนอก หลาย ๆ ความเห็นเหมือนจะสื่อว่าผลงานวิจัยที่สุดท้ายได้ออกมาเป็นเปเปอร์ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้แท้จริง แก้ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคมอะไรไม่ได้เลย อันนี้ยอมรับว่าอัตราส่วนของผลงานวิจัยที่นำมาใช้ได้จริง มันอาจไม่มากพอ และระยะเวลานับจากเริ่มวิจัยจนถึงผลสำเร็จสุดท้ายมันยาวนานจนไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่มันก็ไม่ใช่งานวิจัยทุกวันนี้มันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ขอยกตัวอย่างเร็ว ๆ นี้ เรื่องการผลิตน้ำนมจากเนื้ออกไก่, การพัฒนาวัคซีนโรคต่าง ๆ, สมุนไพรหรือยารักษาโรค, ชุด kits ตรวจโรคต่าง ๆ etc. ทุกอย่างนี้เป็นการต่อยอดจากงานวิจัยทั้งนั้นค่ะ งานวิจัยเบื้องต้นกิ๊ก ๆ ก๊อก ๆ บางทีมันก็เป็นความรู้พื้นฐานให้กับการพัฒนางานวิจัยใหญ่ ๆ ต่อไปได้ไม่ใช่หรือคะ ส่วนเรื่องงานวิจัยในประเทศสร้างประโยชน์และชื่อเสียงระดับนานาชาติ จริง ๆ แล้วมันมีไม่น้อยนะคะ เพียงแต่เราก็รู้กันอยู่ในวงนักวิจัยและผู้ที่สนใจริงๆ มากกว่า ซึ่งผลงานวิจัยที่โดดเด่นในระดับนานาชาติ ส่วนนึงมันก็มาจากแรงกระตุ้นที่เกิดจากการแข่งขันกันในวงการวิจัย (ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ) มีผลงานวิจัยของเด็กไทยหลายงานที่ได้ลงตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำ Nature, Science ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าฝรั่งเองจะลงกันได้ง่าย ๆ บางผลงานได้รับเลือกให้เป็นปกหน้าของ volume นั้น ๆ ด้วย (ซึ่งก็ไม่ง่ายอีกเช่นกัน) ส่วนเรื่องผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ย่อหน้าก่อนยกตัวอย่างไว้บ้าง ไว้มีโอกาสก็อยากรวบรวมงานวิจัยเด่น ๆ มาเผยแพร่เหมือนกันค่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเป็นนักวิจัยซะปล่าว แต่อ้างไปเรื่อยโดยไม่มีหลักฐานอ้างอิง :) สุดท้ายเรื่องการแข่งขันของแต่ละสถาบันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ค่ะ ยินดีด้วยกับจุฬา ส่วนมหิดลก็ต้องพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ อย่างที่บอกการแข่งขันเป็นส่วนกระตุ้นให้การวิจัยพัฒนาไปได้ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่านักวิจัยจำเป็นต้องอยู่กับการแข่งขันค่ะ ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม การแข่งขันในวงการวิจัยเป็นเรื่องที่ดี แต่จะดียิ่งกว่าถ้าแข่งขันกันด้วยและร่วมมือกันได้ในบางโอกาส งานวิจัยไทยจะพัฒนาอีกเยอะค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 50 15:04:54 จากคุณ : chutz - [ 16 ส.ค. 50 14:58:44 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จะบอกว่า จขกท. คิดกับจำนวนของเปเปอร์ได้แค่นี้เองหรอครับ ? เห็นด้วยกับคห.4 จากคุณ : -=| thopical |=- - [ 16 ส.ค. 50 15:30:28 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ใครจะมาเป็นนักวิจัย???? จบตรีได้ 8000 นี่ก็หรู จบโทได้ 12000-15000 เห็นติดประกาศมากสุดก็ 18000 จบเอก ได้ 30000 ไปทำ postdoc ต่างประเทศ ได้ 2500-3000 USD คูณ 34 เข้าไปได้ 85000-102000 ไม่มีสวัสดิการใดๆทั้งสิ้น ระยะงาน 1-2 ปี แล้วก็กลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ส่วนดร. จบใหม่เป็นอ. ได้ 18000-22000 ถ้าได้ทุนวิจัยก็ได้เพิ่มอีกเดือนหละ 10000 แล้วใครมันอยากจะมาเป็นในเมืองไทย พอได้ผลงานวิจัยก็เอาไปให้เอกชนทำต่อไม่ค่อยจะได้ เรื่อง paper มากหรือน้อยแทบจะไม่ได้ทำให้คนส่วนใหญ่กินดีอยู่ดีขึ้นมาเลย จากคุณ : recombination - [ 16 ส.ค. 50 16:15:40 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ข้าพเจ้าขอแสดงความเห็นดังต่อไปนี้ 1. ข้าพเจ้าจบการศึกษาจากฝั่งมหิดล อ่านแล้วก็เฉยๆ การวิจัยต่างๆ ไม่ได้วัดกันที่จำนวนอยู่แล้ว แต่ขึ้นกับเนื้องาน งานวิจัยบางอย่างก็ต้องใช้คนมาก บางอย่างต้องทำพร้อมกันหลายอัน การที่มหิดลทำช้ากว่า ก็ไม่ได้แปลว่ามีอะไรผิดปกติ การที่จุฬาทำมากกว่าก็ไม่ได้แปลว่าทำดีกว่าหรือทำสุกเอาเผากิน แปลผลอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่ยินดีกับทางจุฬา ที่ตอนนี้มีคนทำวิจัยมากขึ้น 2. บางคนยังชอบพูดว่า งานวิจัย ทำไปแล้วไม่ได้ประโยชน์ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้องนัก และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้งานวิจัยไม่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก งานวิจัยหลายๆอย่างทางวิทยาศาสตร์ แม้จะดูไร้สาระ แต่หากจับเอาเนื้องานมาดูจริงๆจะเห็นว่ามันสามารถต่อยอดไปได้เรื่อยๆ สุดแท้แต่ว่าใครจะมาจับตรงจุดนี้ ยกตัวอย่างงานวิจัย นมจากเนื้อไก่ .... สมัยก่อน เวลามาทำวิจัยหาว่ามีเด็กเป็นภูมิแพ้นมวัวกันกี่คน เป็นกันกี่ปี รักษาสูญเงินไปแค่ไหน ... มีใครเห็ฯความสำคัญบ้างหรือไม่ ... คิดว่าไม่มี ... เพราะตอนเมื่อก่อนนั้นเราก็นำเข้านมจากถั่วและนมชนิดที่ไม่ก่อภูมิแพ้ ...บางคนคิดไปว่า วิจัยค้นคว้าทำไมเสียเวลาเปล่า ฝรั่งเขาก็มีของสำเร็จรูปมาให้เราใช้แล้ว แต่พอทำการศึกษา ค้นคว้า เก็บข้อมูล จากงานที่ดูไม่มีค่า อย่างเช่น ปีนี้มีเด็กป่วยเป็นโรคนี้ปีละกี่คน สูญเสียเงินในการรักษาเท่าใด มีโรคอะไรกระทบเด็กในอนาคตบ้าง ... ก็นำไปสู่การศึกษาความคุ้มค่าในการวิจัยต่อยอด (คุ้มหรือเปล่าที่จะจ่ายเงินไปวิจัยตรงเรื่องนี้) ในที่สุดก็นำไปสู่การวิจัยส่วนนี้ เป็นงานระดับโลก 3. เรื่องการใช้พืชดูดสารพิษ Phytoremidiation ... ถ้าทำได้จริง และมีงานวิจัยที่เป็นด้านบวกออกมามาก ผมว่าต่อไปต้องมีคนทำไว้ใช้จริงในเชิงอุตสาหกรรม(แบบแพร่หลาย)แน่นอนครับ จากคุณ : หมอแมว - [ 16 ส.ค. 50 16:27:49 ]

ความคิดเห็นที่ 29 น่าจะมีการวิจัยเรื่องขอหวยของคนไทยว่าเกิดจากอะไร จะแก้ได้ยังไง จากคุณ : IaMZ - [ 16 ส.ค. 50 16:37:11 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ดีจริงๆที่มีการแข่งขันงานวิจัยกัน แต่ก็ต้องรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย จากคุณ : บจ - [ 16 ส.ค. 50 18:52:01 A:125.25.141.234 X: TicketID:038839 ]

ความคิดเห็นที่ 31 กลับมาตอบอีกครั้งนึง ดีใจนะครับที่มีกระทู้แบบนี้ขึ้นมา จะได้ช่วยสะท้อนให้เห็นว่าคนอื่นๆในสังคมคิดอย่างไรกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทางการแพทย์ หรือทางอื่นๆ ขอตอบความเห็น27 ใครจะมาเป็นนักวิจัย???? ผมเป็นครับ ผมรู้ว่าอุดมการณ์มันกินไม่ได้ ทำงานทางนี้เงินเดือนไม่เยอะ แต่พี่ครับ ถ้าเราไม่ช่วยกันพัฒนาประเทศเราเอง ใครจะมาพัฒนาให้ล่ะครับ พี่chutz คห.25 อย่าท้อเลยครับ ผมเป็นกำลังใจให้พี่นะครับ ขอยกตัวอย่างสักเรื่องนึงละกันครับ ที่ภาคผม มีอาจารย์ศึกษาเรื่องชะนี เรื่องนก เรื่องแมลง ถามว่ารู้ไปทำไม รู้แล้วทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้นมั้ย??? เด็กรุ่นใหม่ๆแทบไม่มีใครยอมเรียนทางtaxonomy ทางbiodiversity เห็นว่าน่าเบื่อ เรียนไปก็ทำอะไรไม่ได้ เรียนmolecularดีกว่า แล้วพอฝรั่งเข้ามาค้นพบสิ่งมีชีวิตในพื้นที่ประเทศไทย แล้วเอาไปจดลิขสิทธิ์เป็นของเค้า เสียใจกันมั้ยครับ ตอนนี้ก็มีฝรั่งมาเก็บตัวอย่างแมลงอยู่นะครับ อาจารย์ถามเค้าว่า พอเอาไปidentifyแล้วจะส่งตัวอย่างกลับมาประเทศไทยรึเปล่า เค้าตอบว่า ประเทศเราไม่มีพิพิธภัณฑ์ที่จะเก็บรักษาได้ดีเท่าของเค้าครับ ก็พูดบ่ายเบี่ยง ไม่อยากส่งกลับมา เราต้องสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าของประเทศไปให้เค้าอีกเท่าไหร่กันล่ะครับ จากคุณ : นักวิทย์น้อยๆ - [ 16 ส.ค. 50 19:19:51 A:10.90.5.95 X:202.28.181.10 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผมยอมรับครับว่า งานวิจัยที่เอามาใช้ได้จริงมันมีน้อยเมื่อเทียบกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมา ส่วนหนึ่งก็เพราะบ้านเรายังไม่ค่อยสนับสนุนทางด้านนี้ด้วยแหละครับ แต่งานบางอย่างมันต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะใช้ได้จริง อย่างถ้าจะผลิตวัคซีน อยู่ดีๆจะเอามาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า เกิดเป็นอันตรายจะทำไงล่ะครับ กว่าจะได้วัคซีนหรือยาขึ้นมาซักตัว ต้องศึกษากันตั้งแต่เชื้อที่ก่อโรค อาการของโรค host vector ฯลฯ พอสังเคราะห์ขึ้นมาได้แล้ว ก็ต้องมาทดสอบกับสัตว์ทดลองว่าได้ผลยังไง กว่าที่จะนำมาใช้กับคนได้จริงๆมันไม่ได้ง่ายๆนะครับ ที่ผลิตกันออกมาได้ในปัจจุบัน ก็เพราะมีการเก็บข้อมูลมาแล้วหลายๆปี ค่อยๆต่อยอดกันออกมาเรื่อยๆ "แล้วใครมันอยากจะมาเป็นในเมืองไทย พอได้ผลงานวิจัยก็เอาไปให้เอกชนทำต่อไม่ค่อยจะได้" "เรื่อง paper มากหรือน้อยแทบจะไม่ได้ทำให้คนส่วนใหญ่กินดีอยู่ดีขึ้นมาเลย" ใครทราบเรื่องงานวิจัยที่สวทช. ช่วยอธิบายให้พี่เค้าฟังหน่อยละกันครับ ที่ BIOTEC MTEC NECTEC วิจัยให้ทางบริษัทเอกชนเยอะแยะไปครับ ถ้าผมมีเวลาจะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติม ตอนนี้ขอไปทำแล็บต่อก่อนนะครับ . จากคุณ : นักวิทย์น้อยๆ - [ 16 ส.ค. 50 19:28:45 A:10.90.5.95 X:202.28.181.10 ]

ความคิดเห็นที่ 33 งานวิจัยไม่ว่าเรื่องขี้หมูขี้หมายังไงก็มีประโยชน์  แต่จะเป็นเดี๋ยวนี้หรือ อีก สิบ ปี ร้อยปีข้างหน้าก็ได้ใครจะไปรู้  และไม่ว่าที่ไหน จุฬา หรือ มหิดล ก็เร่งสร้างผลงานวิจัยกันทั้งนั้น  เป็นประโยชน์กับประเทศเหมือนกันนั่นหล่ะ  อย่าเอามาเทียบกันเลย จากคุณ : rosella - [ 16 ส.ค. 50 19:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ดีครับนักวิทย์น้อยๆ เรียนทาง molecular ใช่ว่าจะทำประโยชน์ได้นะครับ ยกตัวอย่างตัวผมเองเลยละกัน จบโทมาด้วยแบคทีเรีย GMO 9 ตัว ตอนนี้ยังอยู่ใน -80 กับงบวิจัย 3 ล้าน มันอยู่ที่ นโยบาย ครับ นโยบายล้วนๆ นักวิจัยตามมหาวิทยาลัยส่วนมากไม่รู้ว่าเอกชนต้องการอะไร และไม่ได้คุยกับเอกชนก่อนที่จะทำวิจัย ผลที่ได้มันก็ขายไม่ได้ ตอนนี้ภาควิชาที่ผมอยู่ก็ทำงานวิจัยกัยเอกชน 3-4 แห่งนั่นก็เป็นเรื่องดีผมก็อยู่ในทีมเหล่านั้นด้วย แต่มันเริ่มมาจากเอกชนเค้ามีปัญหาแล้วเข้ามา  แต่ดูงานวิจัยส่วนมากซิครับนักวิจัยเองทั้งนั้นแหละตั้งปัญหาเองแล้วแก้เอง งานวิจัยพื้นฐานก็สำคัญครับแต่อย่าลืมว่าประเทศเราไม่ได้มีเงินมากมายที่จะไปตอบสนองความต้องการของคนไม่กีคน จากคุณ : recombination - [ 16 ส.ค. 50 19:58:13 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เมืองไทยมันไม่ได้โคกับเอกชนเป็นรูปธรรมน่ะสิ ปกติแล้วพอเอกชนมีปัญหาก็วิ่งมาถามทางมหาลัย  แล้วมหาลัยก็วิจัยๆๆๆ ให้คำปรึกษาๆๆๆ แล้วส่งข้อมูลกลับไปแล้วก็จบ... ช่วงที่ทำโปรเจคนี่ำจำได้เลย...  รู้สึกว่าตัวนักศึกษา (ผม) เองจะไม่ค่อยได้ยุ่งอะไรเท่าไรกับอีกฝั่งเลย เพราะอาจารย์จะเป็นคนคุยและคุมให้ล้วนๆ -- --'' จากคุณ : Munch - [ 16 ส.ค. 50 20:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 36 จะมหาวิทยาลัยอะไรก็ตามแต่ ถ้าคุณ เดินตามพ่อหลวงของเรา ความสำคัญก็เท่ากันหมด มันก็แค่ค่านิยมเท่านั้นแหละครับ อยู่ที่ไหนแล้วทำให้เรามีความสุขหรือทำให้ชีวิตเรามีความสุข แค่นี้ก็พอแล้ว ดีกว่าไปอยู่ที่ดีๆพอจบมา สังคมในนั้นบมเพราะให้เราเข้ากับคนอื่นไม่ได้ หรือมีนิสัยเเปลก ชีวิตการทำงานก็ไม่มีความสุขหรอกครับ จากคุณ : crccsgt - [ 16 ส.ค. 50 20:53:24 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อาจารย์ผมบอกว่า คนชอบพูดว่า วิจัยแล้วขึ้นหิ้งๆ เอามาใช้จริงไม่ได้ แต่ตัวเค้า(อาจารย์) คิดว่า ขึ้นหิ้งเยอะๆสิดี ให้มันขึ้นไปเลย เพราะตอนนี้ ในเมืองไทยมันแทบจะไม่มีอะไรอยู่บนหิ้ง เวลาต้องการใช้อะไร ก็ไม่มีให้อ้างอิง ต้องไปเอาของฝรั่งหมด บางทีก็เสียตังค์ด้วย จากคุณ : Varga - [ 16 ส.ค. 50 21:21:36 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อืมม.. ผมตั้งกระทู้ไว้แล้วไม่ได้เข้ามา เพราะติดธุระ จริงๆต้องขออภัยที่ตั้งกระทู้นี้อาจจะทำให้คนเข้าใจผิด หาว่ายุแหย่ ผมเพียงแต่อยากบอกว่าทิศทางของสถาบันการศึกษาของเราเติบโตไปในทางที่ดีขึ้นในส่วนของการวิจัย มหาวิทยาลัยต่างๆมีส่วนร่วมการวิจัยมากขึ้น อย่างที่ผมบอกไว้ว่าแต่เดิม 50% ของประเทศผลงานที่ออกมาจะมาจากฝั่งของ มหิดล  ...แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว หลายคนอาจจะบอกว่าจุฬาฯมีงบวิจัยมาก  แต่ผมว่าคนน่าจะเข้าใจผิดๆเยอะ งบวิจัยของจุฬาฯเองมีน้อยกว่ามหิดลมาก เอาแค่รายได้จาก รพ ศิริราช กะรามา ก็ปีนึงกี่พันล้าน? รายได้ส่วนนี้ถือเป็นรายได้ของมหิดลนะครับ ส่วน รพจุฬาฯเป็นของสภากาชาดไทย รายได้จึงเข้าสภากาชาด ไม่ได้เข้าจุฬาฯ จะบอกว่าได้รายได้จากสยาม จากสามย่าน ผมว่ามันจิ๊บๆ ปีหนึ่งถึงร้อยล้านหรือเปล่ายังไม่รู้เลย  อีกอย่างบุคคลากรของ  ศิริราชมากกว่าจุฬาฯ เกือบ 3 เท่า รามา เกือบ 2 เท่า(รพ สอนดอกของ มช ก็ใหญ่กว่า รพ จุฬา มีบุคคลากรเยอะกว่า) แต่ก็น่าแปลกใจอีก ที่ผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติฐาน ISI ของศิริราชกะรามารวมกันมากกว่าของจุฬาฯอยู่นิดนึง ...เมื่อมองตรงจุดนี้ถ้าผมเป็นรัฐบาลผมพอจะมองออกว่าจะทุ่มงบประมาณไปลงที่ไหนเพื่อจะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถ้ารัฐบาลให้จุฬาฯเพิ่มบุคคลากรทางการแพทย์ ทางวิจัยเพิ่มขึ้นสามารถช่วยประเทศชาติได้มากมาย เพราะผลงานมันฟ้อง ชัดเจน แต่ขณะเดียวกันเรามามองมหาวิทยาลัยใหม่อย่าง มทส ผลงานกลับประจักษ์ชัดมาก ในสาขาฟิสิกส์นั้นของมทสมีทั้งปริมาณและคุณภาพ เราต้องมาทำความเข้าใจกันว่าทำไมสถาบันบางแห่งมีบุคคลากรเยอะกว่า ตั้งมานานกว่า แต่ผลงานสู้ มทส ไม่ได้ ...อันนี้น่าคิดมาก   สำหรับประโยชน์ต่อประเทศชาติ  ตรงส่วนนี้ผมมองว่าการวิจัยเป็นฐานสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ  เป็นฐานของการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ และตัวดัชนีชี้วัดก็ย่อมมาจากผลงานตีพิมพ์อยู่ดี ส่วนบางคนบอกว่าวิจัยไปแล้วอาจจะเอาไปขึ้นหิ้ง ผมก็ขำๆนะครับ ขำว่าบนหิ้งของเรามันมีงานวิจัยมากพอแล้วหรือ?  ถ้าบอกว่างานวิจัยตีพิมพ์ไม่สำคัญ ประเทศอุตสาหกรรมต่างๆจะผลิตงานวิจัยมามากมายทำไม อย่างญี่ปุ่นปีหนึ่งๆกว่า 1 แสนเรื่อง จีน เกาหลี ก็ปีละหลายหมื่นเรื่อง ส่วนเรื่องการนำไปใช้ประโยชน์ มันเป็นหน้าที่ของเอกชน และรัฐต่างหาก นักวิจัยเขามีหน้าที่วิจัย คิดค้นองค์ความรู้ใหม่ๆ ไม่ได้มีหน้าที่ไปสร้างสิ่งของ ผมยกตัวอย่างกลุ่มวิจัยทางเซมิฯที่ภาคไฟฟ้า ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งของประเทศเรา ได้รับงบสนับสนุนวิจัยจาก องค์กรอวกาศ (ถ้าจำไม่ผิด) ของอเมริกา เพราะเขาเห็นว่างานวิจัยของกลุ่มวิจัยนี้มีประโยชน์สามารถนำมาใช้งานได้ อเมริกามองเห็นแต่รัฐบาลไทย อาจจะมองไม่เห็น  งานวิจัยมีประโยชน์ทั้งนั้นแหละครับ จากคุณ : กระบี่ไร้นาม - [ 17 ส.ค. 50 12:16:32 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผมลืมบอกไปอีกอย่างว่า สมัยนี้นักวิชาการลดความเป็นค่ายลงไป  เราจะเห็นผลงานของนักวิชาการ จุฬาฯ ทำกะมหิดลบ้าง  มหิดลกะเกษตรบ้าง  ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีเอื้อต่อการพัฒนากิจการวิจัยของประเทศ  ไม่ได้แบ่งแยกว่าสถาบันใครสถาบันมัน ...สำหรับผมการแข่งขันเป็นเรื่องดี แต่แข่งไปด้วยร่วมมือกันไปด้วยจะดียิ่งกว่า  ยกตัวอย่าง ทางชีวเคมีของจุฬาฯ ก็ทำวิจัยร่วมกับของมหิดลนั่นแหละ เพราะอาจารย์ที่ภาคชีวเคมีของจุฬาฯส่วนใหญ่จบ เอก หรือโทจากมหิดล ทำให้ภาคชีวเคมีจุฬาฯเข้มแข็ง จนทำให้มี ศาสตราจารย์ใหม่ 2 ท่านเมื่อปี 2549  หรืออาจารย์ที่ภาคฟิสิกส์จุฬา ก็ยังทำวิจัยร่วมกะศาสตราจารย์ของ มทส   ...หรืออาจารย์ภาคเคมีจุฬาฯก็ยังทำวิจัยร่วมกับ ศ ท่านหนึ่งของ มช  นี่คือการแข่งขันแบบร่วมมือครับ ส่วนผลงานเป็นอีกเรื่อง จะมากน้อยสุดท้ายผลงานก็ตกกับประเทศชาติอยู่ดี ผมเพียงตั้งกระทู้ไว้เพื่ออยากชี้ว่า  การพัฒนาการวิจัยนั้นจุฬาฯทำได้ดี  และมีโอกาสก้าวไปอีกไกลมาก อันนี้น่าชื่นชมผู้บริหารของเขา  ทั้งที่มีขีดจำกัดอะไรหลายอย่าง ไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบว่าสถาบันไหนดีกว่า แย่กว่า เพราะลองไปสืบค้นดูตามเว็บไซต์ของห้องวิจัยต่างๆสิครับว่าพวกเรียนป เอก ที่จุฬาฯ ส่วนใหญ่ไม่ใช่จบตรีจากจุฬาหรอก  ...แต่ก็ไม่ได้บอกว่าที่อื่นจะสู้จุฬาฯไม่ได้ ดังที่ผมยกตัวอย่างมาแล้ว สุดท้ายจุฬาฯก็มหาลัยของเรานั่นแหละ เหมือนมหิดล เหมือน มช มข  ก็คือมหาลัยของเรา   แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 50 12:39:18 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 50 12:29:50 จากคุณ : กระบี่ไร้นาม - [ 17 ส.ค. 50 12:28:36 ]

ความคิดเห็นที่ 40 แย้งเรื่องงบวิจัยนิดหนึ่ง รายได้ก้อนใหญ่ๆของ ศิริราช ได้มาจากการบริจาค ไม่ใช่รายได้จากการ ประกอบการของ รพ. ลำพังแค่เงินจาก รพ.ไม่พอค่าใช้จ่ายหรอก ศิริราช มีคนอุปถัมภ์บริจาคเงินไม่ใช่แต่คนไทยเท่านั้น คนระดับเชื้อพระวงศ์จาก ต่างประเทศบางประเทศก็บริจาคทุกปีอยู่แล้ว ทุกวันนี้ศิริราชยินหยัดอยู่ได้ ไม่ใช่เงินจากภาครัฐหรือเงินรายได้ใดๆ แต่อยู่ได้จากเงินมูลนิธิศิริราชทั้งนั้น พึ่งอ่านเจอนิตยสารฉบับหนึ่งในห้องสมุดเมื่ออาทิตย์ก่อน โปรยหน้าปกว่า หักดิบสัญญาหมื่นล้าน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเช่าที่ห้างมาบุญครองและที่แถว center point อ่านผ่านๆตาใจความประมาณว่า สัญญาเช่าที่ๆแพงที่สุดของ ประเทศไทยคือสัญญาเช่าที่นี้แหละ อย่างน้อยรายรับก็หลักพันล้านไม่ใช่แค่ ไม่กี่ร้อยล้านอย่างที่เข้าใจ ยังน่าจะสามารถหารายละเอียดของนิตยาสารเล่ม นี้มาอ่านหารายละเอียดอยู่ได้นะ น่าจะพึ่งออกมาไม่นาน ส่วนเรื่องการวิจัยก็พึ่งอ่านข่าวเจอว่า ศิริราชสามารถทำนมจากเนื้อไก่แทน นมจากวัวเพื่อให้เด็กที่แพ้โปรตีนสามารถกินนมนี้แทนได้ ถ้าทุกมหาลัยมี การต่อยอดการวิจัยให้เห็นเป็นรูปธรรมเหมือนมหิดลก็จะดีไม่น้อย จุฬาอาจ จะมีในช่วงถัดไปจะรอติดตามผลงานวิจัยๆดีจาก จุฬาเช่นกัน จากคุณ : DEDETE - [ 17 ส.ค. 50 14:35:31 ]

ความคิดเห็นที่ 41 รายได้หลักของมหิดล มหิดลหาเองครับ(ทั้งบริการทางวิชาการ/ทางการแพทย์ สิทธิบัตร รวมไปถึงเงินบริจาค) ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะ 60-70% ของงบรายจ่ายต่อปีเลยนะครับ จะบอกว่ารัฐทุ่มให้หมดก็คงไม่ใช่ และอย่าลืมว่า ศิริราช คือรพ.ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย(ใครบางคนเคยบอกว่า เป็นที่สองของเอเชีย แต่อันนี้ผมไม่ยืนยัน)ค่าใช้จ่ายต่างๆ ย่อมมหาศาลมากกว่ารพ.ที่อื่นอยู่แล้ว ยิ่งกับปรัชญาฯ ของพระบิดาฯ ที่บอกว่า ใครมาถึงให้รับไว้หมด จำนวนผู้ป่วยของศิริราชจึงมากที่สุึดในประเทศ เพราะปฎิเสธเลือกเฉพาะเคสที่สนใจแบบบางที่ไม่ได้(บางรพ.ของมหิดลเอง สามารถเลือกรับคนไข้เฉพาะเคสด้วย ไม่ได้รับทั้งหมด นอกจากฉุกเฉิน) ก็ขนาดโครงการ 30 บาทยังทำให้ศิริราชเป็นหนี้หลายพันล้านบาทเลย เพราะเรียกเก็บเงินจากโรงพยาบาลที่ refer มาไม่ได้ และเพราะจำนวนผู้ป่วยที่มหาศาล การทำวิจัยจึงทั้งยากและง่าย(ยากในแง่ของเวลาว่าง ง่ายในแง่ของจำนวนเคสตัวอย่าง) ส่วนจะเทียบว่าที่ไหนมีประสิทธิภาพดีกว่ากัน คงต้องเอาจำนวน paper คูณกับ impact factorด้วย เพราะงานวิจัยระดับยากๆ มันก็ย่อมทำยากกว่างานวิจัยพื้นๆจำนวนมากเช่นกัน รวมไปถึงเรื่องการบริการสังคม ถ้าเป็นสถาบันวิจัยล้วนๆ ก็น่าจะมีเวลาวิจัยมากกว่าหน่วยงานที่ต้องทำงานบริการเป็นหลักแบบรพ. แล้ววิจัยเป็นเรื่องรอง(มหิดลก็มีสถาบันวิจัยโดยเฉพาะอยู่หลายแห่ง)จะมาเทียบกันตรงๆด้วยงบประมาณ ก็ลำบากอยู่ดี เพราะงบวิจัยจริงๆมันไม่ได้เยอะเหมือนงบรวมหรอก ส่้วนบางสถาบันที่ยังอิงรายได้จากค่าเช่าที่เป็นหลัก ก็คงต้องปรับตัว เน้นบริการทางวิชาการ ร่วมมือทำวิจัยกับเอกชน หารายได้จากสิทธิบัตรงานวิจัยให้มากขึ้น เพราะในอนาคต จะออกนอกระบบกันทั้งหมด ต้องเน้นการพึ่งพา่ด้วยตนเองมากกว่างบจากรัฐอยู่แล้ว จากคุณ : ....4จุด - [ 17 ส.ค. 50 16:47:44 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ดีใจจัง นึกว่าผมบ้า ข้อมูลแบบนี้อยู่คนเดียว ผมคนนึงก็สนใจเรื่องนี้ครับ อยากให้คนไทยหันมาสนใจเรื่องแบบนี้มากขึ้น ผมก็เป็นนักศึกษา แต่โง่จังคับ ผมมีคำถามมากมายอยู่ในหัว แต่ตีโจทย์ออกมาเป็นหัวข้อวิจัยไม่ได้ หรือว่าเราไม่เหมาะเป็นนักวิจัย ยินดีด้วยกับทั้งมหิดล และจุฬา นะครับ แข่งขันกันในด้านที่ดี สมควรแข่ง ครับ ผมขอนำเสนอ ข้อมูลบางอย่างซึ่ง ผมทำไว้นานแล้วแหล่ะ เป็นตารางแสดง ปริมาณ ผลงานวิจัย ของประเทศแถบเอเชีย(บางประเทศ) ที่ปรากฏในฐานข้อมูล ตัวเลขแสดงจำนวนฉบับ(article, review,letter, editorial material and book reviews are included) ของผลงาน ตีพิมพ์ แต่ละปี ประเทศเราอยู่ตำแหน่งไหนก้อต้องช่วยกันครับ ปี2000 2001 2002 2003         2004        2005 1Japan 78941 84504 82375 93470 84394      95217 2China 37640 36838 42054 51186 58784      80230 3Korea 14636 17643 18753 23370 24841      31575 4India 17501 19832 20847 23602 23744      29190 5Taiwan 10094 11987 12241 14308 14730      18441 6Israel 12223 13802 13262 15609 14560       16468 7Turkey 6074 7622 9546 12491 14107       17717 8Hongkong 5608 7253 7033 8422 8351 9634 9Singapore3757 4557 4969 5833 6114         7563 10Iran 1370 1738 2225 3277 3851 5578 11Thailand 1337 1576 1867 2349 2445 3074 12Malaysia 889 1045 1036 1329 1487 1806 13Indonesia457 577 487 607 571 703 14Philippines402 389 509 579 523 661 15Vietnam   356 391 384 573 475 665   แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 50 18:13:31 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 50 18:06:50 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 50 18:06:01 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 50 18:05:15 จากคุณ : cheychai - [ 17 ส.ค. 50 17:42:24 ]

ความคิดเห็นที่ 43 #38 ขอแทรกหน่อยละกัน อิอิ ลำพังจากมาบุญครองแห่งเดียว.. จุฬาฯ โขกค่าเช่าเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ 20 ปี ตั้งแต่ 2556-2576 เป็นเงิน 25,310 ล้านบาท http://www.thairssfeed.com/news/0000004938JXUTT/ เฉลี่ยคร่าวๆปีละ กว่าพันล้าน ค่ะ ไม่ใช่ร้อยล้านจิ๊บๆอย่างที่ว่า ยังไม่รวมพื้นที่สยามแสควร์ยาวไปจนถึงสามย่านอีก จากคุณ : *Cookies* - [ 17 ส.ค. 50 21:05:51 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ความคิดเห็นที่ 14 งานวิจัยที่บอกตีพิมพ์เยอะๆ เอามาใช้ได้จริงมั้ย? หรือทำแล้วขึ้นหิ้ง Phytoremidiationของที่ภาค มีอาจารย์ทำกันหลายท่านเลยครับ แต่ถามว่า มีผลงานไหนที่เอาไปใช้ในพื้นที่จริงๆได้แล้วบ้าง??? การพัฒนาการสอน การสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ๆออกสู่สังคม ทำได้ดีแค่ไหน ถ้ามัวแต่วิจัยๆๆ แต่ไม่สร้างเด็กรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพขึ้นมา ก็ไม่ดีหรอกครับ ความคิดเห็นที่ 32 ผมยอมรับครับว่า งานวิจัยที่เอามาใช้ได้จริงมันมีน้อยเมื่อเทียบกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมา ส่วนหนึ่งก็เพราะบ้านเรายังไม่ค่อยสนับสนุนทางด้านนี้ด้วยแหละครับแต่งานบางอย่างมันต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะใช้ได้จริง อย่างถ้าจะผลิตวัคซีน อยู่ดีๆจะเอามาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า เกิดเป็นอันตรายจะทำไงล่ะครับ กว่าจะได้วัคซีนหรือยาขึ้นมาซักตัว ต้องศึกษากันตั้งแต่เชื้อที่ก่อโรค อาการของโรค host vector ฯลฯ พอสังเคราะห์ขึ้นมาได้แล้ว ก็ต้องมาทดสอบกับสัตว์ทดลองว่าได้ผลยังไง กว่าที่จะนำมาใช้กับคนได้จริงๆมันไม่ได้ง่ายๆนะครับ ที่ผลิตกันออกมาได้ในปัจจุบัน ก็เพราะมีการเก็บข้อมูลมาแล้วหลายๆปี ค่อยๆต่อยอดกันออกมาเรื่อยๆ น้องถามเอง แล้วน้องเองก็ตอบด้วยตัวเองแล้วนะครับ ส่วนทางด้าน molecular ประโยชน์มันก็เห็นๆไม่ใช่หรือครับ ไม่ได้บอกว่าทาง Taxo มันไม่มีประโยชน์นะ แต่ทาง molecular ประโยชน์มันเห็นๆมากกว่า คนที่เรียนทางนี้เอาดีได้มากกว่า ไปได้ไกลมากกว่า ใครก็สนใจหนิครับ อีกอย่างนะครับ Molecular มันเป็นเครื่องมือ ขอให้คิดว่ามันเป็นเครื่องมือ จะทำ Texo น้องจะดูจาก comparative anatomy ก็ดี หรือจะใช้ molecular ช่วยมันก็ได้หนิ แต่ก็ดีใจกับน้องด้วย ที่เลือกทางนี้ ขอให้เป็นนักวิจัยที่ดี นำพาสิ่งที่ดีๆให้กับประเทศแล้วกันครับ จากคุณ : V--Bank--V - [ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 07:20:18 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คิดทำอะไรดีๆนะดีแล้วครับ เผื่อๆให้เด็กบ้านนอกบ้าง อย่าคิดเพื่อตัวเองเหมือนที่เห็นเป็นข่าวมาในระยะหลายปีจนถึงปัจจุบัน ช่วยทำสิ่งดีๆให้เด็กที่กำลังโตเห็นบ้างน่ะ บางคำถามตอบเด็กๆยากเหมือนกัน เห็นพฤติกรรมเด็กบางกลุ่มแล้วปวดใจ ต่อไปประเทศเราจะเป็นอย่างไร ทำสิ่งดีๆมากๆๆ ก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ จากคุณ : ไม่ใช่เพื่อนไอ้เช - [ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 07:38:52 A:116.58.231.242 X: TicketID:152103 ]

ความคิดเห็นที่ 46 งืมๆๆ จากคุณ : LAPD21 - [ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 15:44:23 ]

ความคิดเห็นที่ 47 จริงๆแล้วงานวิจัยที่ทำเพราะอยากรู้ ไม่ได้ทำเพราะอยากรวย ไม่ได้ทำเพราะอยากให้คนเอาไปใช้ประโยชน์ ไม่ใช่ทั้งนั้น ที่ทำเพราะอยากรู้ อยากรู้ความจริง อยากรู้สัจจะ อยากเข้าถึงความจริงแท้ อย่ามัวยึดติดกับมุมมองที่ตีราคาของสิ่งต่างๆโดยมองเป็นผลประโยชน์ ผลกำไร เป็นมุมมองของพ่อค้าไม่ใช่ของนักวิทยาศาสตร์ การค้นหาความรู้และความจริงนั้นโดยแท้แล้วลึกซึ้งมากกว่านั้นมาก เราไม่มีทางจะรู้ได้ว่าความจริงจะนำไปสู่อะไรถ้าเราไม่ได้รู้ซึ้งถึงความจริงนั้นๆเสียก่อน ความจริงที่ค้นพบจะนำไปสู่มิติใหม่ๆที่เราไม่ได้แม้แต่จะจินตนาการมาก่อน คนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์จะรู้ดีถึงความจริงข้อนี้ ไอ้พวกที่รู้น้อยด้อยความคิดก็ได้แต่ชะเง้อมองเห็นแค่ "หิ้ง" และงานวิจัยบนหิ้งเพราะความที่ตามองเห็นแต่เงิน เพราะคอยแต่จะจับผิดยกตนข่มท่าน ไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งต่างๆรอบตัวนี้มันพัฒนามาจากความคิดหรือ idea ที่เขียนบรรยายอยู่บนหิ้งนั้นทั้งสิ้น ที่น่าเศร้าคือไอ้พวกนี้บางคนคือคนที่มาบริหารประเทศนี้ จากคุณ : บจ - [ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 21:57:13 A:125.25.141.111 X: TicketID:038839 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ....4จุด ดูมั่นใจจังว่าจุฬาฯ ไม่รู้จักทำมาหากิน ไม่ลิ้งกับเอกชน หรือจดสิทธิบัตร เอารายได้แต่จากการเช่าที่ดิน เท่าที่ผมรู้อันน้อยนิด จุฬาฯ เองมีบริษัทที่เปิดเพื่อนำงานวิจัยไปต่อยอดอย่างน้อย 3 บริษัทมั้งครับ มหิดลก็น่าจะมีมั้งครับ 2 บริษัท รายได้ของจุฬาฯก็ใช่ว่าจะกระจุกตัวอยู่แค่มหาวิทยาลัยเท่านั้นนี่ครับ เคยเห็นงบบางส่วนของจุฬาฯ ก็จ่ายให้สภากาชาดไทย และในส่วนภูมิภาคเอง จุฬาฯก็มีศูนย์การศึกษาที่ต้องจ่ายด้วยนะครับ อย่างเช่นที่นครปฐม หรือศูนย์ทางทะเล จังหวัดชลบุรี รวมทั้ง งานทางด้านอนุรักษ์ เช่น พิพิธภัณฑ์จุฑาธุชราชฐาน ชลบุรี หรือ พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ เชียงใหม่ ก็คงต้องใช้งบประมาณไม่น้อย นี่ยังไม่รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในตัวมหาวิทยาลัยเองไม่น้อยกว่า 10 แห่งมั้งครับ ผมว่าด้วยตัวมหาวิทยาลัยเอง นอกจากรายจ่ายทางงานวิชาการ จุฬาฯ ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่หนึ่งที่จ่ายค่างานจิปาถะเยอะครับ ส่วนจำนวนเปเปอร์ ผมว่าจะมากจะน้อยไม่ค่อยน่าสนใจ จำนวนเปเปอร์จะไม่สำคัญเลย ถ้าหากไม่มีมหาวิทยาลัยบางแห่ง โหมโปรโมตว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีเปเปอร์มากที่สุดในประเทศจนใช้เป็นจุดขายก็ว่าได้ แล้วก็มีคนเอามาเสียดสีมหาวิทยาลัยอื่น ใช่ไหมครับ คุณ....4จุด แล้วถ้าคุณ....4จุดยังมีข้อข้องใจมาตรฐานการศึกษาระหว่างมหิดลและจุฬาฯเองนั้น ก็น่าจะดูผลการประเมินของ สมศ. มังครับของ 2 มหาวิทยาลัยนี้ผลออกมาแล้ว จะได้รู้ว่ามันเปนไง และอย่าตกใจถ้าเห็นว่า บางอันแพ้มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด หรือเอกชนเสียด้วยซ้ำ รู้สึกปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯสามารถผลิตงานวิจัยได้จำนวนมากที่สุดแซงคณะแพทย์จุฬาฯเสียอีก  หวังว่าวงการวิทยาศาสตร์บ้านเราน่าจะตื่นตัวกันมากขึ้น และเอาไปพัฒนาประเทศได้ในอนาคต สุดท้าย ผมว่า ลดอีโก้เรื่องสถาบันนิด หากจะวิจารณ์เรื่องสถาบันก็วิจารณ์แต่พอดี อย่ามานั่งประชดประชันสถาบันอื่นให้เป็นที่ขุ่นข้องหมองใจดีกว่าไหมครับ คุณ...4จุด ถ้าคุณยังประชดประชันอีก คุณก็คงจะเจอผมอีกเรื่อย ๆ ละครับ จากคุณ : Antares Kung - [ 19 ส.ค. 50 00:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 49 #42 ผมก็ตอบไปตามข้อเท็จจริงนิครับ ถ้าดูอัตราส่วนรายได้ของจุฬาฯเอง คุณก็จะพบว่า รายได้จากค่าเช่ามันเด่นขึ้นมากว่ารายได้ทางอื่น เมื่อเทียบสัดส่วนกับสถาบันอื่นๆ ซึ่งมันคงไม่ดี เพราะว่ารายได้ค่าเช่าเป็นอะไรที่พัฒนายากที่สุด และไม่ได้ชี้วัดอะไรเลย ส่วนรายจ่าย ผมว่าึคุณไปดูรายจ่ายของแต่ละสถาบันดีกว่าครับ แล้วจะรู้ว่า เจ้าไหนที่รายจ่ายเยอะที่สุด และโดนค่าใช้จ่ายแกมบังคับในส่วนของบริการสังคม/ภาครัฐมากที่สุดในประเทศเช่นกัน ส่วนประเด็นของหัวข้อกระทู้ที่ว่าแซงไปแล้ว แต่เนื้อหาก็ยังไม่ได้แซง แค่บอกว่าจากการทำนายโดยใช้อัตราการเติบโตเทียบปีก่อนๆแล้วน่าจะแซงได้ ก็ไม่เห็นจขกท.จะัชี้แจงเรื่องนี้ตรงไหนเลยว่าทำไมพาดหัวข้อยังกับหนังสือพิมพ์หัวสีแบบนั้น ถ้าจขกท. เขาไม่พาดหัวชี้นำแบบนี้ ก็คงไม่มีใครติดใจอะไรหรอกครับ หรือถ้าตั้งว่าผลงานวิจัยของจุฬาพัฒนาขึ้นมากเมื่อเทียบกับสิบปีที่แล้ว ก็ึคงมีแต่คนเข้ามาร่วมชื่นชมยินดีในพัฒนาการ ไม่มีใครคิดไปว่าเสียดสีใครกันหรอก ส่วนใครเสียดสีใครก่อนผมไม่ทราบ เพราะผมเห็นแต่สถาบันที่ด้อยกว่าบางเรื่อง(บางเรื่องก็ชนะ)ก็ชอบพูดว่า เรื่องนั้นวัดไม่ได้จริงเป็นแค่ตัวเลข แต่พอตัวเองเน้นพัฒนาเรื่องเดียวกันขึ้นมาจนจำนวนใกล้ขึ้นอีกหน่อย(เมื่อก่อนแพ้ขาดลอย) ก็ยกมาข่มกันซะงั้นว่าแซงแน่ๆ(แซงให้ได้ก่อนค่อยมาพูดจะดีกว่ามั๊ง) ผมว่ามหิดลค่อนข้าง low profile และเป็นข่าวน้อยมากต่อคนนอกวงการ ถ้าไม่มีใครยกมาข่มกันมั่วๆ ก็คงไม่มีใครออกมาแย้งหรือเสียดสีกลับหรอกครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 19 ส.ค. 50 22:15:30 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อย่าเนียนเลยครับคุณ....4จุด เพราะผมหมายถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาของคุณตั้งแต่กระทู้ในห้องสมุดที่ชอบยกจำนวนเปเปอร์มาอ้างว่ามหิดลดีกว่าจุฬาฯอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอลงรายละเอียดแต่ละคณะกลับเห็นอย่างชัดเจนว่า คณะแต่ละคณะในจุฬาฯ มีจำนวนเปเปอร์แซงมหิดลเกือบหมดใช่ไหมครับ แล้วคุณก็พยายามยกเหตุโน่นเหตุนี้มาอ้างใช่ไหมครับ งั้นผมว่าคุณไปพัฒนาคณะแต่ละคณะให้ดีกว่าถึงมาข่มคนอื่นดีกว่าไหมครับ ผมบอกคุณไปแล้วตั้งแต่กระทู้ในห้องสมุด ถ้ามหิดลมีคณะแพทย์เพียง 1 คณะ ป่านนี้โดนจุฬาฯแซงไปนานแล้วครับ แล้วคงไม่ต้องบอกนะครับว่ามหิดลพยายามทำอะไรบ้างเพื่อให้ได้รับการจัดอันดับของ THES ให้อันดับดีขึ้น หุหุหุ ถึงขนาด...เลยนี่ครับ   แล้วรายได้จากที่ดินนี่มันไม่ดีตรงไหนเหรอครับ เพราะจุฬาฯมีแผนการใช้ที่ดินในการหารายได้มาตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัยลองไปดูสิครับ ว่าใครเป็นคนดำริเรื่องการใช้ที่ดินมหาวิทยาลัยมาหารายได้ ไม่ใช่พึ่งมาใช้เมื่อ 10 ปีนี้นะครับ ส่วนรายจ่ายเยอะสุด ก็ที่ไหนมีโรงพยาบาลมากสุดก็ที่นั้นล่ะครับ และที่ไหนมีโรงพยาบาลมากที่สุดก็ที่นั่นก็มีรายรับมากที่สุดนั่นแหละครับ ผมเห็นเวปมหิดลเองก็โปรโมตเรื่องรายรับมากที่สุดในประเทศด้วย ไม่ทราบว่ามันมีประโยชน์ต่ิอการชี้วัดตรงไหนไม่ทราบ ผมก็อยากเห็นส่วนรายจ่ายส่วนของบริการสังคม/ภาครัฐแต่ละมหาวิทยาลัย และส่วนอื่น ๆ ดูเหมือนกันครับ ว่าที่ไหนจะเยอะสุดว่าง ๆ ก็ลองเอามาให้ดูบ้างนะครับ เพราะผมดูล่าสุดก็หลายปีแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นยกส่วนอื่น ๆ มาให้ดูละครับ หรือว่าส่วนอื่นมันน้อยกว่ามหาวิทยาลัยอื่นเหรอครับเลยปกปิด ส่วนกระทู้นี้เจ้าของกระทู้เขาก็ออกมาแสดงจุดประสงค์ของเขาแล้วนี่ครับ คุณ....4จุด น่าจะเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ก็แค่ปีนี้ จำนวนเปเปอร์จุฬาฯ-มหิดล ห่างกัน 6 เปเปอร์ ก็ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติแล้วครับ นี่ยังไม่ได้ลงระดับคณะนะครับ ไม่งั้นคงเห็นอะไร ๆ มากกว่านี้อีก ใช่ไหมครับ จากคุณ : Antares Kung - [ 20 ส.ค. 50 10:22:24 ]

ความคิดเห็นที่ 51 #50 หึๆ จขกท. เขาพูดตรงกับหัวข้อตรงไหนล่ะครับ ก็ข้อเท็จจริงมันก็ยังไม่ได้แซงสักหน่อย ผมก็บอกแล้วไงว่า แซงจริงๆค่อยมาพูดก็คงไม่มีใครติดใจอะไร แต่การตั้งหัวข้อกระทู้แบบนี้ แปลว่าตั้งใจเสียดสีมหิดลเต็มๆ เท่านั้นเองว่าอาจจะโดนแซงแล้ว(ทำนายแบบนี้ก็ไม่ต่างจากคิดไปเองน่ะแหละ) ส่วนรายได้ของรพ. หึๆไปดูรายละเอียดเถอะครับ รายได้จริงๆ(ค่ารักษา/กำไรค่ายา)ของรพ.น่ะติดลบทั้งหมด แค่โครงการ 30 บาทก็เป็นหนี้เกือบหมื่นล้านไปแล้ว(จนทักกี้ต้องยอมให้รัฐยกที่ดินข้างสถานีรถไฟบางกอกน้อยเก่าเพื่อชดเชย/ปิดปาก) เขาเอารายได้จากส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ค่ารักษาโดยตรงมาโปะครับ รายได้่หลักมาจาก บริการทางวิชาการ/วิจัย/สิทธิบัตร/เงินบริจาค แต่ไม่ใช่มาจากค่ารักษาแน่นอนครับ (แต่ก็ำกำลังมีโครงการนะ สร้างรพ. ที่เน้นผู้ป่วยinternational ตามโครงการ hub of health care ของทักกี้น่ะอันนี้คงเน้นรายได้จากค่ารักษาจริงๆ) ่ส่วนเรื่องเทียบสัดส่วนงานวิจัยต่อคณะ ผมว่าถ้าให้โหลดในการบริการรักษาลดลงเท่ากับอีกที่ ผมว่างานวิจัยก็น่าจะเยอะกว่านี้มาก เพราะโหลดของอาจารย์ที่ทำวิจัยในเรื่องของหน้าที่ในการรักษาผู้ป่วยทั่วไปค่อนข้างมากกว่าอีกที่พอสมควรเลยนา (อันนี้ไม่มีตัวเลขยืนยัน แต่จากข้อมูลส่วนตัวที่รู้จากคนรู้จัก ถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่confirmก็แล้วกัน) ว่าแต่ผมเคยตั้งกระทู้ เสียดสีหรือกระแนะกระแหน คนอื่นก่อนไหมล่ะครับ กระทู้เก่าๆที่เคยมีเรื่อง ก็มีคนอื่นเสียดสีก่อนทั้งนั้น ถ้าอีกฝ่ายไม่เริ่มก่อน มันก็ไม่เกิดเรื่องหรอก จริงไหม? เรื่องแบบนี้มีปัญหาก็เพราะการตั้งกระทู้โดยใส่ความคิดเห็นbiasและจิกกัดคนอื่นน่ะแหละ ถ้าจขกท. เขายกข้อมูลของจุฬาฯในแง่ของตัวเลขการเติบโตงานวิจัยล้วนๆ ไม่มีการขบกัด/เสียดสีสถาบันอื่น ก็คงไม่มีใครมาวุ่นวายหรือเสียดสีกลับหรอก(รวมทั้งผมด้วย) ประเด็นอยู่ตรงนี้แหละครับ ใครเริ่มเสียดสีก่อน ก็ควรรับผิดชอบไปด้วย ไม่ใช่ว่าเขาโต้กลับ แล้วมาหาว่าฝ่ายที่โต้หาเรื่องซะงั้น แทนที่จะเป็นกระทู้่ดีๆ ยกย่องชมเชยที่งานวิจัยกันมากขึ้น ช่วยพัฒนาชาติกันมากขึ้น แต่กลายเป็นทะเลาะกัน ก็เพราะการเสียดสีก่อนนี่แหละครับ /*เพิ่มเติม*/ ว่าแต่พอดีกว่า พูดไปพูดมาก็ไม่จบ แถมนอกเรื่องขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมเน้นสอง ย่อหน้าสุดท้ายของผมที่ว่าไปก็แล้วกัน ถ้าอยากจะตั้งกระทู้เพื่อการพูดคุยอย่างมีวัฒนธรรม เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการหรือข้อมูล ก็อย่าได้เสียดสีใครเขาก่อนครับ พูดกันเนื้อๆดีกว่า แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 50 20:13:10 จากคุณ : ....4จุด - [ 20 ส.ค. 50 20:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 52 พูดถึงเปเปอร์ของคณะแพทย์ แล้วอดไม่ได้ ที่บางคนชอบอ้างข้อมูลจากเปเปอร์อาจารย์ชิษณุสรร แล้วบอกว่า จำนวนผลงานตีพิมพ์ของแพทย์จุฬาฯ ในช่วงปีหลังๆ แซงหน้าศิริราชและรามาอย่างเด่นชัดนั้น มันไม่ตรงไปตรงมา มีอาจารย์ในคณะแพทย์จุฬาฯท่านหนึ่ง มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ ปี 2005 จำนวน 53 ฉบับ ปี 2006 จำนวน 60 ฉบับ ผลงานส่วนใหญ่เป็นชื่อเดี่ยว ไม่มี co-author หัวข้องานวิจัยกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางเลย ดูจำนวนเปเปอร์ก้อจะเห็นว่าตีพิมพ์ประมาณ สัปดาห์ละหนึ่งฉบับ เป็นไปได้หรือ มีคนเคยสุ่มเอาฉบับนึงมาดู ก๊อปข้อความในนั้นแล้วไป search ปรากฏอยู่ในเปเปอร์อื่นแบบออกมาเป็นประโยคเดียวกันทั้งดุ้นเลย plagiarism เห็นๆ ถามคนๆนั้นว่า ทำไมไม่ report เค้าบอกว่ามีเคยถามไปที่คณะต้นสังกัดแล้ว แต่ไม่เกิดอะไรขึ้น เค้าก็เลยไม่อยากยุ่งด้วย ถ้าดูจำนวนเปเปอร์ของคณะแพทย์จุฬาที่ตีพิมพ์ในปี 2005 จากคุณ : อยากแจมเพราะหมั่นไส้ - [ 21 ส.ค. 50 13:19:42 A:72.21.227.6 X: TicketID:009328 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ถ้าดูจำนวนเปเปอร์ของคณะแพทย์จุฬาที่ตีพิมพ์ในปี 2005 = 156 ฉบับ ปี 2006 = 203 จะเห็นได้ว่า แค่อาจารย์ท่านนั้นท่านเดียวก็มีผลงานวิจัย ปาเข้าไปกว่า หนึ่งในสาม ของจำนวนเปเปอร์ทั้งหมด ดูแล้วน่าทึ่งนะครับสำหรับวงการวิจัยของไทย จากคุณ : อยากแจมเพราะหมั่นไส้ - [ 21 ส.ค. 50 13:29:42 A:72.21.227.6 X: TicketID:009328 ]

ความคิดเห็นที่ 54 มิน่าหล่ะ เขาถึงไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น จากคุณ : cheychai (cheychai) - [ 21 ส.ค. 50 19:04:43 ]

ความคิดเห็นที่ 55 หุหุ คุณ....4จุด ท่าจะความจำสั้น กระทู้ในห้องสมุดที่คุณไปแผลงฤทธิ์กัดมหาวิทยาลัยอื่นไว้นั้น ไม่มีการพูดถึงมหาวิทยาลัยมหิดลเลยเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของคุณ ก็อดรนทนไม่ได้ที่จะกัดจุฬาฯ นี่นะ แบบนี้จะเรียกว่าคุณเป็นคนมีวัฒนธรรมหรือเปล่าครับผม ลองส่องกระจกดูหน่อย ความจำคุณนี่ช่างสั้นจริง ๆ นะครับผม พอเอาเทียบระดับคณะ คุณก็ดันบอกอีกที่งานเยอะกว่า แล้วไม่บอกละครับว่า ร.พ. ไหนมีบุลคลากรน้อยกว่า แต่ดันมีงานวิจัยเยอะกว่า บอกข้อมูลไม่หมดนี่ นี่จะอ้างทั้ง คณะทันตะ เภสัช สัตวะ ไปด้วยเลยเปล่าครับว่าที่งานวิจัยน้อยกว่าเพราะงานมันเยอะ ไม่มีเวลามาทำ ที่ผมเอ่ยถึง ร.พ. นั้น ผมรวมเงินบริจาคที่ ร.พ. ได้รับด้วยครับ เพราะข้อมูลแค่ 30 บาทเข้ามา ร.พ.มหาวิทยาลัยเจ๊งเป็นแถบนั้น ลงข่าวครึกโครมไม่ต้องบอกก็ได้ล่ะครับ แล้วพูดถึงรายได้จากบริการทางวิชาการ/วิจัย/สิทธิบัตร/เงินบริจาค ที่อื่นเขาก็มีครับผมไม่ใช่ไม่มี คิดผิดคิดใหม่เหอะครับ อย่าคิดว่ามหาวิทยาลัยในไทยมีแค่ที่มหืดลเท่านั้นที่มีครับ ว่าง ๆ ก้ลองเข้ามาดูสิ่งอำนวยความสะดวก การบริการนิสิตในด้านต่าง ๆ ในจุฬาฯ การลงทะเบียน และอื่น ๆ ดูก็คงจะรู้ว่าเมื่อเทียบกับที่อื่นประสิทธิภาพพวกนี้ของจุฬาฯ ดีกว่าที่อื่นขนาดไหน ดังนั้น ไม่แปลกที่รายจ่ายต้องเยอะตามไปด้วย รายได้จึงต้องเอามาจากหลาย ๆ ทางครับ ส่วนคุณอยากแจม ก็คนที่พูดว่า "จำนวนผลงานตีพิมพ์ของแพทย์จุฬาฯ ในช่วงปีหลังๆ แซงหน้าศิริราชและรามาอย่างเด่นชัดนั้น" มันก็คือ อาจารย์ชิษณุสรร ละครับ คุณไม่พอใจก็ไปเคลียกับอาจารย์เขาสิครับ ผมก็เจออาจารย์ไม่บ่อยด้วย คงไปบอกท่านแทนคุณไม่ได้หรอกครับ แล้วอย่าลืมไปเรียกร้อง ประจาน ฟ้องร้อง หรือทำอะไรสักอย่างกับอาจารย์ที่คุณพูดถึงด้วยนะครับ มาบ่นในนี้ทำไม มันได้ประโยชน์เหรอ หมั่นไส้มาก แต่ไม่ทำอะไรนี่วงการวิทยาศาสตร์ไทยมันก็คงเจริญนะครับ แล้วขอโทษหมั่นไส้นี่ทำได้อย่างเขาหรือเปล่าครับ หรืออยากทำแต่ไม่มีปัญญา มองอีกทางอาจารย์คนนั้นคงเก่งนะครับ หลอกฝรั่งได้เป็น 60 เปเปอร์ สุดยอดดีครับ จากคุณ : Antares Kung (Antares Kung) - [ 21 ส.ค. 50 21:39:38 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ใครบอกว่ามหิดล low profile เบิ่งซะ !!!! นี่ ๆ เค้าไปเชิญนักข่าวมาทำข่าวเลยนะจ๊ะ ยอมไม่ได้เด็ดขาดที่จะเห็นมหิดลหล่นไปเป็นอันดับ 3 แบบนี้ เรียกนักข่าวมาเลย เป็น seminar 1-2 วันที่ศาลายา http://www.topuniversities.com/news/article/qs_campus_visit_january_2007_mahidol_university/ ถ้าวัดแบบเชิงวิทยาศาสตร์ทั่วไปนับเปเปอร์ ไม่แปลกจ๊ะที่มหิดลจะเป็นอันดับ 1-2 เพราะสายวิทยาศาสตร์ที่แข็งปั๋ง ตีพิมพ์ผลงาน ได้ยาหอมนักข่าวอย่างนี้ ปีนี้อันดับดีขึ้นเยอะแน่ ๆ พวกมหาลัยเน้นสายสังคมศาสตร์ (เช่น มธ.) อันดับร่วงแน่ ถึงวิทยาศาสตร์ เด็กเก่ง ๆ หัวดีจะไม่ค่อยเลือกเรียน แต่ภาพลักษณ์และอันดับมหาลัยขึ้นกับคณะนี้อย่างมากนะจะบอกให้ จากคุณ : วรรณา - [ 27 ส.ค. 50 15:12:03 A:202.142.199.114 X: TicketID:137537 ]