ความคิดเห็นที่ 1 กว่าจะมาเป็นปลากระป๋องให้พวกเรา ได้รับประทานกันมันช่างยากเย็นเหลือเกินแต่บัดนี้ ผมจะมาอธิบายอย่างคร่าวให้ท่านฟัง โดยเริ่มจากมารู้จักปลาทูน่า ชนิดต่างๆ กันก่อนเถอะ จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 05:45:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ปลาทูน่า นั้นเป็นปลายอดนิยมติดอันดับโลก และมีวิธีการรับประทานมากมายไม่ว่าสด หรือดิบ โดยมีสกุลรุนช่องดังนี้ครับ Kingdom: Animalia Phylum: Chordata Class: Actinopterygii Order: Perciformes Family: Scombridae Genus: Thunnus และ spieces ที่นิยมนำมาทำเป็นปลาทูน่ากระป๋องมีอยู่ด้วยกัน 5-6 สายพันธุ์ครับได้แก่(ผมไม่แปลนะครับ ง่ายๆ) ลำดับที่ 1 Skipjack tuna Katsuwonus pelamis   Size + Weight: Average today abt 35 cm abt 3kg Biggest Angled Fish: 18 kgs , Mauritius 1971by Joseph Caboche jr. Catching Areas: 55% Western Pacific Ocean                    12% Eastern Pacific                    20% Indian Ocean                    13% Atlantic Ocean Share of all tuna caught:abt 50-55% or 1.500.000 m/t Life cycle: abt 3 years max Popular Product : Canned/Fresh (whole fish)/Frozen Loins/Fresh-Frozen Fillets/Smoked ตัวนี้แถวบ้านผมเรียก แตงไทยครับเพราะลายมันเหมือน แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 04:14:57 แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 50 05:54:21 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 05:53:31 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ลำดับที่ 2 Yellowfin tuna Thunnus albacares Size + Weight: today abt 40-180 cm abt 5-20 kg Biggest Angled Fish: 175 kgs , Mexico 1977 by Curt Wiesenhutter Catching Areas: 25% Eastern Pacific                35% Western Pacific                25 % Indian Ocean                15% Atlantic Ocean Share of all tuna caught:abt 35% or 1.100.000 m/t Life cycle: abt 4-7 years Popular Product :Canned/Fresh (whole fish)/Frozen Loins/Fresh Fillets/Smoked จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 05:56:11 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ลำดับที่ 3(ลืมรูป) Bigeye Thunnus obesus Size + Weight: Average today abt 90 cm abt 15-20 kg Biggest Angled Fish: 333 kgs Peru, 1957 Russel Lee Catching Areas: 37% Eastern Pacific                23% Western Pacific                15 % Indian Ocean                25% Atlantic Ocean Share of all tuna caught: abt 8 % or 256000 m/t Life cycle: abt 5-7 years max   Popular Product :Fresh (whole fish)/Fresh Fillets (sashimi) แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 50 05:57:56 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 05:57:23 ]

ความคิดเห็นที่ 5 รูป Bigeye จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 05:58:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลำดับที่ 4 ตัวนี้เจอที่ไทย และอินโดมาครับบ้านเราเรียกโอดำ Tongol (longtail tuna) Thunnus tonggol   Size + Weight: Average today abt 90 cm abt 15-20 kg   Biggest Angled Fish: 35,7 kgs Australia, 1982 Tim Simpson   Catching Areas: 65% Western Pacific                35% Indian Ocean   Share of all tuna caught: abt 4 % or 125.000 m/t   Popular Product :Canned (Light Tuna)/Fresh จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ลำดับที่ 5 Albacore tuna (long finned tuna) Thunnus alalunga   Size + Weight: Average today abt 68 cm abt 20-45 lbs, Biggest Angled Fish: peak weight  85 lbs (1 lbs = 0.44 kg.) 40 kgs Spain, 1977 Siegfried Dickeman Catching Areas: 40% Northern Pacific                27% Southern Pacific                25% Atlantic Ocean + Mediterranean                8% Indian Ocean Share of all tuna caught:abt 7 % or 225.000 m/t Life cycle: abt 5 years Popular Product :Canned (White Tuna)/Fresh /Frozen จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ที่จริง ยังมี bonito (Euthynnus affinis) อีกตัวครับเป็นปลาขนาดเล็กจัดอยู่ในตระกูลทูน่าเหมือนกัน จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:05:08 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อมีปลาแล้วเราก็ต้องมีกระป๋องไม่งั้นจะเป็นปลากระป๋องได้งัย ตอนนี้เรามาดู ด้านกระป๋องดีกว่า ขออธิบายคร่าวๆหน่อยนะครับ เนื่องจากรู้ไม่มากคิดว่า คนที่อยู่บริษัทพวกแคนแมกเกอร์น่าจะรู้ดีกว่าผม เริ่มด้วยการเรียกขนาดกระป๋อง โดยส่วนมากจะเรียกเป็น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกระป๋อง คูณ ความสูงของกระป๋อง โดยหน่วยที่เรียกส่วนใหญ่จะเป็น นิ้ว เช่น (307 x 108) หรือ (307 x 409) เป็นต้น ซึ่งมีความหมายอย่างนี้นะครับ เช่น  เส้นผ่านศูนย์กลาง 307 3  = 3 นิ้ว 07 = 7 ส่วน 16 นิ้ว   ในทำนองเดียวกันความสูงของกระป๋อง ก็อ่านเหมือนๆ กัน ดังภาพ ส่วนถ้าถามว่า มีใครที่ใช้ขนาดเป็น มิลลิเมตรไหม? คำตอบคือมี ครับ ซึ่งที่จริงในรายละเอียด ของ  profile กระป๋อง ก็ระบุเป็นมิลลิเมตรเช่นกัน ดังนั้นการเรียกแบบดังกล่าวเป็นการเรียกอย่างง่ายที่ใช้เป็นสากล พื้นๆทั่วไป จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:06:43 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ประเภทของโลหะที่ใช้ทำกระป๋อง มี 3 ประเภทครับ(อันนี้เท่าที่ทราบ) ได้แก่ 1.แผ่นเหล็ก วิลาส หรือ แผ่นเหล็กเคลือบดีบุก (tinplate) การใช้ดีบุกเคลือบจะช่วยป้องกันเหล็กจากการเกิดสนิม และการกัดกร่อน ทำให้ลักษณะปรากฏเป็นมันวาว  ยิ่งมันวาวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีผิวหน้าของแผ่นเหล็กเรียบมากเท่านั้นครับ(ตรงนี้เค้าแบ่งระดับกันด้วย) เรียบมากก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะครับจะมีปัญหาเรื่องของการเคลือบแลกเกอร์ หรือพิมพ์สีไม่ค่อยติดหรือติดไม่ทนเพราะพื้นที่ผิวสำหรับการยึดเกาะน้อย  เอาล่ะมาดูภาพตัดขวางแผ่นเหล็กดีกว่า...... จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:07:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 2.แผ่นเหล็กเคลือบโครเมียม (tin free steel) แน่นอนครับว่าต่างกับข้อ 1 ตรงที่ไม่มีดีบุกครับ (ตามภาพ) ซึ่งข้อดีข้อเสียก็ต่างกันมากมาย ซึ่งการที่จะเลือกว่าจะใช้แผ่นเหล็กแบบไหนมาทำกระป๋อง ก็มักจะดูที่ลักษณะ จำเพาะของ อาหารที่เราต้องการจะบรรจุ  ความต้องการของลูกค้า(ความสวยงาม)  หรือ ต้นทุน ฯลฯ ซึ่งการใช้แผ่นเหล็กแบบนี้ต้องทำการ เคลือบแลกเกอร์ ทั้งด้านนอกและด้านในของกระป๋องเพื่อป้องการการกัดกร่อน ก่อนนำไปบรรจุอาหาร(อันนี้ กฎหมายบังคับ ตาม มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระป๋องโลหะสำหรับบรรจุอาหาร) จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:08:42 ]

ความคิดเห็นที่ 12 3.อลูมิเนียม ปัจจุบันตัวนี้เป็นที่นิยม อีกหนึ่งตัวครับไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ซึ่งผมว่าข้อเสีย เพียบเลยครับไม่ว่าจะเป็นไม่ทนต่อการกัดกร่อน แลไม่ทนเค็มด้วย พวก product ที่มี Chloride สูงๆเนี่ยห้ามเลยครับไม่งั้นกระป๋องอาจจะรั่วแบบ pin hole และราคาก็แพงกว่า สองตัวด้านบน   แต่อย่างไรก็ตามก็มีข้อดีที่สำคัญอยู่อย่าง คือ ไม่มีกลิ่นและรส  (อาหารกระป๋องที่เป็นเหล็ก เนี่ยเก็บไว้นานๆ จะมีกลิ่นรสของเหล็กติดในอาหารได้นะครับ เรียกกันว่า metallic flavor ซึ่งมีตั้งแต่กลิ่นเล็กน้อย จนระดับเทพเท่านั้นที่ได้กลิ่น จนถึงกลิ่นชัดเจนจนรับไม่ได้เลยครับ) อ้ออีกอย่าง ไม่เป็น สนิม ก็แหงล่ะไม่มีเหล็ก นี่จะเป็นสนิม (rust) ได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่เป็น สนิมก็ไม่ผุซิ  “ผุ” ครับ ดังนั้นต้องแยกประเด็นกันให้ออกนะ....... สำหรับค่าความแข็งแรง ของเหล็ก (temper) และ single reduced /double reduced อะไรดีกว่ากันขอข้ามนะครับ...... จากข้อที่ผ่านมา มีการกล่าวถึง การเคลือบแลกเกอร์ของกระป๋องก่อนนำไปบรรจุอาหารด้วย....... หลายท่านอาจสงสัย “เอ๊ แลกเกอร์ อะไร แล้วอาหารกระป๋องจะอันตรายไหม๊เนี่ย”....... อันตรายหรือเปล่า เนี่ยเท่าที่ทราบตอนนี้ยังไม่มีใครออกมาแย้งครับ เพราะที่จริงแลกเกอร์ที่ใช้เคลือบกระป๋องเนี่ย  ก็คือพลาสติกชนิดหนึ่งครับ ที่ทำมาเพื่อสำหรับใช้กับอาหาร ซึ่งคุณๆทั้งหลายก็ใช้ในชีวิตประจำวันครับ สำหรับวัตถุประสงค์ที่ ต้องนำมาเคลือบก็เนื่องจาก ไม่ต้องการให้อาหารสัมผัสโดยตรงกับโลหะครับ เป็นการป้องกันปฏิกิริยาเคมี ที่จะทำให้เกิดการกัดกร่อน การเปลี่ยนสี เช่น ผลิตภัณฑ์พวกน้ำแอปเปิ้ล น้ำองุ่น จะมีพวก pigment ชื่อ แอนโธซัยยานิน  ซึ่งตัวนี้หากใช้กระป๋องที่ด้านในเป็นดีบุก ไม่เคลือบแลกเกอร์  เจ้าดีบุกจะไปฟอกสีผลิตภัณฑ์ให้ล่องหนไปครับ   อันนี้ขอละไว้เท่านี้เพราะไม่เกี่ยวกับทูน่า กระป๋อง....... แลกเกอร์ (Lacquer) มีมากมายหลายแบบ หลายยี่ห้อซึ่งคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการเคลือบกระป๋องสำหรับบรรจุอาหารมีดัง นี้ครับ -เพิ่มค่าความต้านทานต่อการผุ กร่อนของแผ่นโลหะได้ -สามารถยึดเกาะกับแผ่นโลหะได้ดี -ใช้กับอาหารได้หลายชนิด ไม่ว่าผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนหรือไม่ก็ตาม -ทนต่อการขึ้นรูปกระป๋องหรือฝา ได้ดีไม่เป็นรอยขีดข่วนง่าย -ปลอดภัยในการสัมผัสอาหาร -ราคาไม่แพง (....ไม่มีหร๊อกของถูกและดีมีที่ไหน.....?) ตรงนี้ขอตัดจบเท่านี้ ที่จริงเรื่องราวรายละเอียดยังมีอีกมาก   แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 50 06:10:15 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:09:42 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ข้อมูลจำเพาะของทูน่ากระป๋อง ทูน่ากระป๋อง จัดเป็นอาหาร บรรจุในภาชนะปิดสนิท มีความเป็นกรดต่ำ (Low-acid food) คือเป็น อาหารที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง มากกว่า 4.5 และมีค่าแอคติวิตีของน้ำมากกว่า 0.85  แน่นอนว่าจะต้องฆ่าเชื้อด้วยความร้อนเพื่อกำจัด แบคทีเรียที่ทำให้ เกิดการเสื่อมเสียของอาหาร  ซึ่งศัตรูตัวสำคัญของ อาหารกระป๋อง low acid  ก็คือ.... Clostridium botulinum นั่นเอง เรามารู้จักเจ้าตัวนี้คร่าวๆกันเถอะ Domain: Bacteria Division: Firmicutes Class: Clostridia Order: Clostridiales Family: Clostridiaceae Genus: Clostridium Species: C. botulinum จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรียที่สร้างสปอร์และเจริญได้ในสภาวะไม่มีออกซิเจน และเจริญได้ดีที่ อุณหภูมิประมาณ 30-37 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิปกติของบ้านเรา โดยทั่วไปพบเชื้อนี้ได้ในสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ ผัก เนื้อ นม ลำไส้ของปลา และสัตว์ทะเลอื่นๆ (เพราะมันมีอยู่ทั่วไปนี่เองครับเลยป้องันยากนอกจาก ทำลายด้วยความร้อน หรือปับสภาพความเป็นกรด-ด่าง) Clostridium botulinum  เป็นแบคทีเรีย ชนิดแกรมบวก มีรูปร่างเป็นท่อน สร้างสปอร์ และสามารถผลิตสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาทได้ (neurotoxin) สปอร์ของ Clost ridium botulinum ทนต่อความร้อนทำให้สปอร์ยังคงหลงเหลืออยู่ในกระบวนการที่ให้ความร้อนไม่เหมาะสม เมื่อสปอร์อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม คือไม่มีออกซิเจน และอุณหภูมิที่เหมาะสม สปอร์จะงอกเจริญเติบโตเป็น vegetative cell และมีการสร้างสารพิษขึ้นซึ่งสารพิษของมันในปริมาณ 1 มิลลิกรัม ก็สามารถทำลายชีวิต คนได้ถึง ห้าแสนคน โดยอาการป่วยที่เกิด จากการบริโภคสารพิษที่เรียกว่า botulism จากเจ้าเชื้อตัวนี้สร้างขึ้น เชื้อ Clostridium botulinum นั้นสามารถแยกชนิด (type) ตามสารพิษที่Clostridium botulinum แตล่ะชนิดผลิตขึ้นมาโดยยึดเอาความจำเพาะเจาะจงของantigen เป็นเกณฑ์ได้  7 ชนิด คือ A, B, C,D, E, F, และ G ความแรงของพิษ เรียงจาก type A-G (Aแรงสุด) โดยชนิด A, B, E และ F เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค botulism ในมนุษย์ ชนิด C และ D เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค botulism ในสัตว์ปีก วัวควาย และปลา บางชนิด ส่วนชนิด G นั้นมีคนเคย แยกเชื้อชนิดนี้ได้จากดินในประเทศอาร์เจนตินา และชนิด E มักพบในอาหารประเภทปลา คำว่า  "botulism" นั้นมาจาก คำว่า "botulus" ในภาษาลาตินซึ่งหมายถึงไส้กรอก(sausage) เพราะพบในอาหารประเภทนี้เป็นครั้งแรก (Hiroshi Sugiyama, 1990) พอดีมีคนทักท้วงมา รูปด้านล่างอาจไม่ใช่รูป ย้อมแกรม แต่น่าจะเป็น Clostridium botulinum  ครับ(แบบว่าหามาจาก กูเกิ้ลเหมือนกัน) แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 50 00:27:25 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 05:07:41 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:16:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 รูปนี้โตเต็มที่พร้อมสร้างสารพิษครับ ตอนเล็กๆจะเป็นแท่งสั้นๆ แก้ไขรูปผิด แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 50 06:18:40 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 16 รูปนี้ จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:24:36 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อันนี้ตอนที่สร้างสปอร์แล้ว....อ้วนเลย วันนี้ขออนุญาตนำเสนอ แต่เพียงเท่านี้ พรุ่งนี้ถ้ามีเวลาเราจะเข้า line ไปดูการผลิตกัน....... แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 50 06:26:38 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 06:25:21 ]

ความคิดเห็นที่ 18 มาเกาะคนแรก (^ ^) จากคุณ : Rata_RG - [ 28 ส.ค. 50 06:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอถามว่า 1:ทำไมก้างปลากระป๋องจึงนิ่ม ? 2:ปลาแมคเคอเรล กับ ปลาซาดีน เป็นทูน่าหรือปล่าว ? จากคุณ : jounior - [ 28 ส.ค. 50 06:57:12 ]

ความคิดเห็นที่ 20 รูป #1 แจ๋วจริงๆ จากคุณ : *Cookies* - [ 28 ส.ค. 50 07:49:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สาระและความรู้มาอีกแล้ว อิอิ โหวตให้ก่อนละกัน จากคุณ : vn, man - [ 28 ส.ค. 50 08:48:27 ]

ความคิดเห็นที่ 22 นี่แหละครับเสน่ห์หว้ากอ ข้อมูลเหล่านี้ ต่อให้ saerch ทั้งวันก็อ่านไม่สนุกอย่างนี้   เคยเห็นในสารคดี ทูน่าอีกพันธุ์รู้สึกจะชื่อ bluefin  ตัวใหญ่เกือบๆ ครึ่งตัน ค่าตัว มากกว่า 1 แสน usd และอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ แต่ตอนนี้เขาเพาะพันธุ์ได้แล้วเป็นยักษ์ใหญ่ในท้องทะเลที่ปราดเปรียวที่สุดชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าเนื้อของมันมีแต่ผู้มีกะตังค์เป็นของเล่นจึงจะได้ลิ้มลอง จึงไม่ต้องไปหาในซูเปอร์มาเกตหรอก เพราะมันถูกนำขึ้นเหลาหมดแล้ว ชาวประมงเองถ้าจับตัวเต็มวัยได้ก็น้องๆ ถูกหวยเลยนะนั่น จากคุณ : =Lord Gary= - [ 28 ส.ค. 50 08:57:00 ]

ความคิดเห็นที่ 23 จำได้คร่าวๆว่า ปลาแมคเคอเรล กับ ปลาซาดีน คือปลาทูนะครับ จากคุณ : Tungsten - [ 28 ส.ค. 50 09:00:44 ]

ความคิดเห็นที่ 24 Voted Thanks krub จากคุณ : hooya - [ 28 ส.ค. 50 09:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : rithirong - [ 28 ส.ค. 50 09:17:45 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เพิ่งจะซื้อมากินเมื่อวานนี้เอง จากคุณ : Desolation Angel - [ 28 ส.ค. 50 09:29:38 ]

ความคิดเห็นที่ 27 กระทู้ดีมีสาระ อ่านเพลินด้วยครับ #19 คุณjounior พูดจาพาดพุงผมครับท่านประธาน ข้อ1.น่ะ... มากล่าวหาว่าผมนิ่ม (>_<') จากคุณ : ก้างปลา'ป๋อง - [ 28 ส.ค. 50 09:41:27 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ปลากระป๋อง ถ้าจะอร่อย ต้อง ตราไก่ จากคุณ : tangs - [ 28 ส.ค. 50 09:44:31 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 28 ส.ค. 50 09:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ยอดมากครับ อ่านเข้าใจง่ายดีครับ จากคุณ : ChocolateMousse - [ 28 ส.ค. 50 09:48:14 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เยี่ยมครับ ๆ ช่วงนี้กระทู้บทความเยอะดี อ่านแล้วได้ความรู้ทั้งนั้น จากคุณ : Skyman (Analayo) - [ 28 ส.ค. 50 10:14:17 ]

ความคิดเห็นที่ 32 vote จากคุณ : จุ๊บยางเป็ดน้อย - [ 28 ส.ค. 50 10:27:53 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ชอบครับ กระทู้ดี มีสาระ ^_^ จากคุณ : [Zero] - [ 28 ส.ค. 50 10:47:06 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ปลาทูน่า Bluefin มีชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ฮอนมากูโระ (Hon-maguro) จากสถิติที่ซื้อขายกันในญี่ปุ่น ฮฮนมากูโระ ที่แพงที่สุดมีน้ำหนักตัว 202kg (ไม่ได้หนักที่สุด) แต่มีราคาสูงถึง 20 ล้านเยน หรือประมาณ $US 173,853 (ณ เวลานั้น) คิดเป็นเงินบาท x 35 ก็พอ ปลาตัวนี้ตัวเดียวมีราคา... 6,084,855 บาท!!! หรือตกกิโลกรัมละ 30,123 บาท!!! PS. ราคาค่าตัวของ ฮอนมากูโระ ไม่ได้อยู่ที่น้ำหนัก แต่อยู่ที่ความสวยงามของชั้นไขมัน ปลาที่ได้ออกแรงเยอะๆ ไขมันจะละเอียดไปกับเนื้อ และขายได้ราคาดีสุดยอด บางตัวตัวใหญ่ แต่ชั้นไขมันไม่สวย คนเค้าก็ให้ราคากันไม่สูง มีการประมูลราคาปลากันตั้งแต่จับได้กลางมหาสมุทรแปซิฟิก พ่อค้าปลาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปประมูลกันเด๋วนั้นเลย คนญี่ปุ่นถึงกับเรียกปลาทูน่าฮอนมากูโระว่า "เพชรแดง" จากคุณ : Angos - [ 28 ส.ค. 50 10:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โวต จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 28 ส.ค. 50 11:32:00 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อาหารทะเล ไม่มีพยาธิ จริงหรือเปล่า จากคุณ : สิงห์แก้ว - [ 28 ส.ค. 50 11:40:23 ]

ความคิดเห็นที่ 37 จากคุณ : หนอนไผ่ - [ 28 ส.ค. 50 12:17:46 ]

ความคิดเห็นที่ 38 จากคุณ : pattapon - [ 28 ส.ค. 50 12:57:07 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปกิน บลูฟินดีกว่าเล็งไว้หลายวันละชิ้นละเกือบ150บาท อิอิ ไม่รุ้รสชาติจะเป็นยังไงน้า จากคุณ : ชายในความรัก - [ 28 ส.ค. 50 13:10:18 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณนะคะ จากคุณ : ทอฝัน...ในวันเหงา - [ 28 ส.ค. 50 13:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เข้ามาโหวต จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 28 ส.ค. 50 13:24:25 ]

ความคิดเห็นที่ 42 หว้ากอกระทู้นอกกะลา No.1 เข้ามาโหวต จากคุณ : joejo99 - [ 28 ส.ค. 50 13:29:01 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอเพิ่มเติมนะค่ะ อาหารแบบปลากระป๋องก็เสื่อมเสียได้ด้วยเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ก่อให้เกิดพิษทางระบบประสาทแบบ ค๊อต บ๊อต นะค่ะ ปล. เด๋วมาต่อนะค่ะ พอดีเด๋วมีเรียนค่ะ จากคุณ : neppen - [ 28 ส.ค. 50 13:29:18 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โหวตให้ค่ะ สาระดีจัง อ่านสนุกด้วย จากคุณ : แมวน้อยสีน้ำตาล - [ 28 ส.ค. 50 14:00:34 ]

ความคิดเห็นที่ 45 รายละเอียดแน่นมาก นับถือๆ จากคุณ : hot cool (hot cool) - [ 28 ส.ค. 50 14:30:27 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ได้ความรู้อีกแล้ว โหวตให้ครับ จากคุณ : Faxes - [ 28 ส.ค. 50 15:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอ sit in ด้วยคน จากคุณ : นายแมวเซา - [ 28 ส.ค. 50 15:23:34 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณครับ ปูหนังสือพิมพ์รออ่านต่อ จากคุณ : morThanUno - [ 28 ส.ค. 50 15:32:25 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เสริมนิดหน่อยครับ เจ้า Clostridium botulinum เคยเป็นข่าวใหญ่ๆ เมื่อต้นปีนี้มาแล้ว ที่มีคนเจ็บป่วย และตายจากการบริโภคหน่อไม้ปี๊บในงานเลี้ยงครับ จากคุณ : Mr. SJ - [ 28 ส.ค. 50 15:52:39 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ดีจังเลย พอดีสายงานที่เราทำ จะต้องมีนำเข้าปลาทูน่าพวกเนี้ย เข้ามาผลิตเพื่อส่งออกในรูปปลากระป๋องด้วย  ได้ความรู้ดีจริงๆ โหวตจ้า จากคุณ : Yo_JungZ - [ 28 ส.ค. 50 15:55:18 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณสำหรับความรู้ที่น่าติดตาม  1 โหวต จากคุณ : hit on me - [ 28 ส.ค. 50 15:55:26 ]

ความคิดเห็นที่ 52 จัดไป 1 โหวตเจ้าค่ะ ขอบคุณสำหรับกระทู้สาระดีๆแบบนี้ จากคุณ : ๐สนามเด็กเล่น๐ (-ทำเป็นเล่นไป-) - [ 28 ส.ค. 50 16:49:23 ]

ความคิดเห็นที่ 53 กระทู้ดีครับ ต้องโหวตๆ จากคุณ : max'86 - [ 28 ส.ค. 50 17:10:36 ]

ความคิดเห็นที่ 54 อิอิ โหวต ค่า รอเข้าline ผลิตอยู่นะคะ จากคุณ : oldword - [ 28 ส.ค. 50 17:33:52 ]

ความคิดเห็นที่ 55 กระทู้นี้น่าติดตาม จากคุณ : ก็แค่บัตรผ่าน - [ 28 ส.ค. 50 17:56:10 A:58.137.48.4 X: TicketID:153851 ]

ความคิดเห็นที่ 56 แค่ปลากระป๋องหนึ่งกระป๋องใช้ทรัพยากรเยอะแยะเหลือเกิน กินอยู่ใช้สอยอย่างประหยัดนะพี่น้อง   สงสารคนทำและปลา..... จากคุณ : คาถาป้องกันแห้ว - [ 28 ส.ค. 50 18:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอถามว่า 1:ทำไมก้างปลากระป๋องจึงนิ่ม ? 2:ปลาแมคเคอเรล กับ ปลาซาดีน เป็นทูน่าหรือปล่าว ? จากคุณ : jounior  - [ 28 ส.ค. 50 06:57:12 ] ------------------------------------------------------ 1. ที่ก้างปลากระป๋องนิ่ง เนื่องจากตัวปลาต้องผ่านกรรมวิธีที่ต้องใช้ความร้อนสูงหลายขั้นตอนคับ 2. ปลาแมคเคอเรล คิดว่าน่าจะเป็นปลาอินทรีย์คับ ส่วนปลาซาร์ดีน เป็นชื่อที่ใช้เรียกพวกปลาเล็กปลาน้อยน่ะคับ จากคุณ : Marque - [ 28 ส.ค. 50 18:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 58 กระทู้ดีมีสาระมากครับ.. จะติดตามตอนต่อไป โหวต 1 จึ๊ก จากคุณ : ~<<traction_control>>~ - [ 28 ส.ค. 50 18:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อิอิ  มีกบนอกกะละ หว้ากอเวอร์ชั่น No.1 แล้ว อิอิ กระทู้อ่านสนุก น่าติดตามมากๆค่ะ ^^ จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 28 ส.ค. 50 19:03:36 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เข้ามาดู กระทู้มีสาระ + 1 โหวต คับ จากคุณ : Jet_XP - [ 28 ส.ค. 50 19:07:26 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณครับ โหวตให้เลย :) จากคุณ : 323club - [ 28 ส.ค. 50 19:24:57 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ ครับ จากคุณ : Due_n - [ 28 ส.ค. 50 20:29:20 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เจ๋งมาก ตอนแรกนึกว่าอ่านไม่สนุก เกือบไม่อ่านแล้วสิ เป็นเรื่องสาระที่ย่อยง่ายดีครับ ^^ จากคุณ : pzifrius - [ 28 ส.ค. 50 20:51:09 ]

ความคิดเห็นที่ 64 vote จากคุณ : Komi (komi_to) - [ 28 ส.ค. 50 20:56:11 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ตอบคำถามก่อนนะครับ 1.ปลาแมคเคอเรล กับ ปลาซาดีน เป็นทูน่าหรือปล่าว ? ปลาซาดีน(ทางใต้เรียกปลาหลังเขียว)และปลาเมคเคอเรล(ขอนิยามว่าคือปลาทูแขก) ทั้งสองอย่างไม่ได้อยู่ในตระกูล Family:Scombridae ครับ และไม่ได้อยู่ Genus: Thunnus ด้วยจึงไม่จัดว่าเป็นทูน่าครับ ปลาซาดีนปลาเมคเคอเรลปลาพวกนี้เป็นญาติกัน รวมทั้งปลาทูด้วยครับ แต่ ปลาแมคเคอเรล มีบางสายพันธุ์ที่เป็น Family:Scombridae เหมือนทูน่าแต่ไม่ได้อยู่ Genus: Thunnus จึงไม่ใช่ทูน่าเหมือนกันครับ 2. อาหารทะเลมีพยาธิหรือไม่? คำตอบคือ มีครับ!!! ทั้งทูน่า salmon หรือแม้กระทั่ง ปูอลาสก้า (king crab) เคยเห็น จะๆ มาแล้วถ้าเจออีกจะถ่ายรูปมาให้ดู จะทานดิบต้องระวังหน่อยครับ แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 50 20:57:38 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 28 ส.ค. 50 20:56:17 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตามมาโหวต เพราะชอบกินปลาทูน่ามากเลย 1. เคยเห็นที่หน้ากระป๋องเค้าเขียนว่า ปลาแมคเคอเรลเป็นภาษาอังกฤษนะ แต่ภาษาไทยเขียนว่าปลาทู (หรือปลาทูน่า ไม่แน่ใจ) 2. เคยซื้อปลาทูน่ากระป๋องแล้วเจอกลิ่นกระป๋องติดมาบ่อย ๆ ตอนแรกนึกว่าเราคิดไปเอง (เพราะเป็นคนจมูกดีจนเกินไปเลยทำให้ตัวเองลำบากอยู่เรื่อย) แต่พอมาอ่านแล้วทำให้แน่ใจว่า มันมีกลิ่นกระป๋องติดมาจริง ๆ ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ จะรอมาอ่านต่อค่ะ จากคุณ : กบข้างกะลา - [ 28 ส.ค. 50 21:00:54 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เข้ามาดู 2 หน้า จากคุณ : Thedew - [ 28 ส.ค. 50 21:05:42 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เคยอ่านในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่อง ชอบมีมุขตลกอยู่ว่า เวลาตัวเอกในเรื่องเป็นหนี้จำนวนมากๆ ต้องรีบใช้คืนเจ้าหนี้ มักจะใช้วิธีเสี่ยงโชคด้วยการ สมัครเป็นลูกเรือออกไปหาปลาฮอนมากูโระ ที่แท้ก็ราคามันแพงมหาศาลนี่เอง จากคุณ : นายเดชา - [ 28 ส.ค. 50 21:20:29 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ตามมาอ่านจ้า ได้สาระดีจัง จากคุณ : Co-Arrange - [ 28 ส.ค. 50 22:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 70 "botulism" นี่อันเดียวกับที่เกิดในหน่อไม้ปี้ปรึเปล่าครับ จากคุณ : แพ้เป็นพระ ชนะเป็นแชมป์ - [ 29 ส.ค. 50 00:07:46 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ไม่ชอบกินปลา  ไม่มีความเห็น  มาอ่านเอาความรู้ใส่หัวอย่างเดียวค่ะ 1   โหวต จากคุณ : krapoh_tung - [ 29 ส.ค. 50 00:38:31 ]

ความคิดเห็นที่ 72 จากคุณ : < JACKY > - [ 29 ส.ค. 50 02:01:11 ]

ความคิดเห็นที่ 73 No Vote เอ้ย 1 Vote จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ 29 ส.ค. 50 02:02:14 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เข้ามาโหวตและดู จากคุณ : windzephyr - [ 29 ส.ค. 50 03:07:35 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ภาคสอง...ต่อให้จบเลยนะครับ -------------------------------------------------------------- ย้อน นิดนึงเนื่องจาก ทูน่าเป็นปลาใน Family Scombridae ดังก่อนที่จะนำปลามาทำการผลิตต้องหาสาร Histamine ในวัตถุดิบ(ปลา) lot นั้นๆมาก่อนนะครับว่าเกินจากที่กำหนดหรือไม่ แล้ว histamine คืออะไรแล้วเกิดจากอะไรอ่ะ!! Histamine ก็คือสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง ในกรณีที่คนที่แพ้ถ้าบริโภคเข้าไปมากอาจเสียชีวิตหรือคางเหลืองก็ได้ (ส่วนใหญ่พบใน ฝรั่งตาน้ำข้าว) การสร้างฮีสตามีน (Biosynthesis of histamine) อาศัยต้นกำเนิด คือ histidine(ตัวนี้เป็นโปรตีนที่มีอยู่มากในปลา พวก Scombridae ครับ) ซึ่งเป็น amino acid ถูกย่อยด้วย enzyme L-histidine decarboxylase จะได้ histamine เอาล่ะทีนี้จะมาดูวิธีการผลิตกัน หลังจากที่เรามีวัตถุดิบครบแล้วบอกไว้ก่อนครับว่า ในการผลิตจะต้องควบคุมสุขลักษณะส่วนบุคคลด้วย  เช่นสวม หมวก ผ้าปิดปาก เสื้อคลุมเป็นต้น เพื่อป้องกันการ cross contaminate จากคนครับ ส่วนระบบที่ใช้ในการควบคุมการผลิต เพื่อให้ได้ product ที่มีคุณภาพนั้นมีมากมายครับไล่ตั้งแต่ -GMP คงรู้จักกันมากเพราะกฎหมายไทยบังคับใช้ -HACCP (อนาคตเห็นว่า กฎมายจะบังคับใช้เช่นกัน) -BRC และ IFS พวกนี้ก็ใช่เพิ่มเติมรายละเอียดมาอีกนิดหน่อย ของทางฝั่งยุโรป ส่วน ฮาลาล Kosher หรือ ISO นั้นจะเรียกว่าระบบคุณภาพทีเดียวนั้นคงไม่ใช่ จะมีก็แต่ตัวล่าสุด ISO22000 นี่ละครับที่เป็นเกี่ยวกับเรื่อง food safety โดยตรง ว่างๆจะมานำเสนอให้ฟัง......ขอกั๊กไว้ก่อน แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 06:12:15 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:44:58 ]

ความคิดเห็นที่ 76 อืม....เข้าเรื่องจริงๆสักที..... วัตถุดิบปลาที่ใช้กันส่วนใหญ่นั้นเป็นปลานำเข้าเป็นส่วนมากครับ เพราะที่เขาจับกันเป็นล่ำเป็นสันจะเป็นแถว western pacific ocean หรือ India ocean โน่นน่ะครับ เรือที่ใช้ก็เป็นเรือขนาดกลางครับที่เป็น เรือจับและก็จะมีเรือใหญ่คอยเก็บอยู่กลางทะเลอีกที ถ้าถามว่าเรือที่เข้ามาส่งใหญ่แค่ไหนก็ เท่าบ้านผม 10 หลังขยำรวมกันครับ (เรียก vessel ครับ) จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:45:41 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เอาล่ะหลังจากที่ปลาตรวจผล histamine ผ่านแล้วเราก็จำนำมาละลาย วิธีการละลายมีมากมายครับ ตั้งแต่ air thaw ยังใช้ไมโครเวฟ สำหรับผมใช้น้ำครับ (บอกอีกนิด อุณหภูมิของการเก็บรักษาของสดต้องไม่น้อยกว่า -18C นะครับ) ......บรื๊อ.....หนาว... หลังจากละลายแล้วเราก็จะผ่าท้องเอาไส้ออก รวมทั้งตัดท่อนด้วยจะได้สุกเร็วๆ  ในการตัดท่อนนั้นใช้เลื่อยไฟฟ้าครับเหมือนกับที่เขาใช้ชำแหละหมูครับ ตรงนี้เรามีการคัดเกรดด้วยนะครับ ความสดของปลาก็เหมือนกับที่คุณไปเลือกซื้อปลาที่ตลาดแหละครับ ส่วนปลาเสียเราก็ทิ้งครับ เราไม่ยอมเสียชื่อกับปลาเน่าชิ้นเดียวหรอก ไม่ต้องเสียดาย!!! รูปหม้อนึ่ง แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 04:20:13 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 04:10:48 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เฮ้ย....!!! ไม่ใช่...โธ่ถังใครเขาจะใช้ซึ้งนึ่งกัน หม้อที่ใช้นึ่งปลานั้นใหญ่ขนาดคนเข้าไปอยู่ได้ 5-6 คนแหละครับส่วนระบบการควบคุมจะใช้ com หรือ manual ก็แล้วแต่งบประมาณ...ความร้อนที่ใช้ก็เป็น steam จาก boiler ครับ(ขออภัยที่ไม่ถ่ายรูปให้ดู ครับ) ส่วนอุณหภูมิที่ใช้ในการนึ่ง จะเท่าไหร่ก็แล้วแต่ครับเป็น เทคนิดของแต่ล่ะที่ อ้าว....ทำไมไม่นึ่งที่ 100 องศาให้สุกๆไปก็ได้ไม่เห็นต้องคุมเลย? เอ๊ะแล้วทำไมต้องนึ่งก่อนด้วย... การที่ต้องนึ่งก่อนเพราะ 1.เราต้องเอาหนังปลาออกครับ ถ้าเอาออกตอนดิบๆ รับรองเนื้อติดไปกับหนังบานตะไท (เงินทั้งนั้นครับ) แต่พอปลามันสุก หนังเนี่ยขูดออกโดยใช้มีดหรือเอานิ้วถูๆก็ออกครับ 2.ในขั้นตอนการเอา red meat ออกของปลาดิบทำได้ยากครับนอกจากแล่ออก 3.ในขั้นตอนของการบรรจุเนื้อลงกระป๋อง คุณลองนึกดูครับว่า ถ้าเอาปลาดิบใส่กระป๋องปิดฝา ฆ่าเชื้อรับรองครับ น้ำขุ่นคลัก เหม็นคาวอีกต่างหาก  ชิ้นก็ไม่สวย (รู้เพราะว่าเคยลองดูครับ....) 4.control เชื้อยากครับ 5.ก็ซื้อหม้อมาแล้วนี่จะปล่อยทิ้งให้สนิมขึ้นเฉยๆ ก็กระไรอยู่ เมื่อนับข้อดีได้ 5 ข้อแล้ว (เอ๊ะ ...หรือ4 หว่า...) ก็เอาไปนึ่งเถอะครับ รูปปลาก่อนนึ่งครับ (ดำๆ ทั้งสองข้างนั่นคือจุดที่เรียกว่า red meat กินได้ครับ แต่เขาไม่กินกันเลยต้องเอาออก) แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 03:50:16 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 79 หลังจาก นึ่งเสร็จแล้วเอามา ตกแต่งโดยเอาหนังออก ก้าง และก็ red meat อ้อเกล็ดที่อยู่ตามหลังก็ต้องระวังด้วยนะครับ (ทูน่ามีเกล็ดนะครับ!!!) รูปหลังจากเอาหนังออกก่อนเอา red meat ออกครับ จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:51:10 ]

ความคิดเห็นที่ 80 นี่ red meat ที่เอาออกมา (ที่เห็นมือ อวบๆ...มือผมเอง) จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:51:50 ]

ความคิดเห็นที่ 81 แทกนิดนึงครับ......ตั้งแต่ปลานึ่งเสร็จ จนปิดฝาต้องมีการจับเวลาที่เรียกว่า delay time เพื่อที่จะ control เชื้อต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากนึ่งเสร็จ ตัวที่สำคัญก็คือ Stephylococcus aureus  ครับตัวนี้ปนเปื้อนทั้งจากคนและอากาศ ครับ ตัวเชื้อไม่น่ากลัว แต่ถ้ามีมากจนสร้าง toxic ได้แล้วน่ากลัวครับ (เป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหารถ้าจำไม่ผิด) ตัวนี้เป็นรูปพวงองุ่นนะครับ เพราะ  toxic ทำลายได้ยากมากซึ่งการจะทำลายต้องใช้ระยะเวลาที่นานมากๆ ครับไม่เหมือน Clostridium botulinium ครับเชื้อทนแต่ toxic ไม่ทนความร้อน.... นี่ปลาที่จัดการจนเป็นชิ้นเนื้อที่เรียกว่า loin แล้วพร้อมที่จะบรรจุลงกระป๋อง จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:52:22 ]

ความคิดเห็นที่ 82 หลังจากพร้อมแล้วก็เอาลงกระป๋องไปซะ...!!! โดยใช้เครื่องตัดปลาหน้าเลยเรียบเสมอออกมาสวยแบบนี้ (ถ้าขืนใช้คนตัดที่ละอันรับรองเละ....) จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เอ้า....เติมน้ำ media อันนี้เป็นน้ำมันถั่วเหลืองครับ ซึ่งก่อนการเติมอาจจะมีการปรุง รสชาติด้วยการเติมน้ำเกลือหรือผงชูรส หรือ กลิ่นต่าง เช่น smoke ตามที่ลูกค้าต้องการครับ จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ปิดฝาหรือที่เรียกว่า seam ก่อนที่จะปิดฝาต้องมีการเอาอากาศที่อยู่ภายในกระป๋องออกด้วยนะครับ ดังนั้นอาหารกระป๋องที่ดีฝาต้องเรียบหรืออาจจะแอ่นลงเล็กน้อยก็ได้ครับ  ถ้าเห็นฝานูนๆอย่าไปซื้อครับเดี๋ยวถูกหวย..........รายละเอียดตรงนี้มากครับเอาเป็นว่าถ้าอยากรู้ ถามเอาไว้ครับถ้ามีเวลาจะจัดให้ครับ ภาพตัดขวางของ double seam ครับ จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:54:23 ]

ความคิดเห็นที่ 85 แล้วก็จัดการไป ฆ่าเชื้อด้วยหม้อฆ่าเชื้อ (หรือ retort) หม้ออบฆ่าเชื้อมีหลายแบบครับ แบ่งตามการบังคับก็มี แบบ semi-auto กับ auto(คือไม่ต้องทำอะไรตั้งเวลาเสร็จก็ดูไปเรื่อยๆจนมันเสร็จ) แต่หากแบ่งตามตัวให้ความร้อนที่ใช้อยู่ของผมมีสองแบบครับคือ -แบบให้ความร้อนด้วย steam ใช้กับกระป๋องทั่วๆไป -แบบให้ความร้อนด้วยการสเปรย์น้ำร้อน ตัวนี้มักใช้กับพวกบรรจุภัณฑ์อ่อนตัวเช่น product พวก pouch ครับเพราะเป็น retort แบบปิดสามารถคงความดันสูงได้ขณะทำการฆ่าเชื้อ ทั้งสองแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันครับ ใช้ประโยชน์คนละแบบครั้นจะอธิบายหมดเปลือกเดี๋ยว คนขายหม้อมายิงผมทิ้งเอา....ข้ามไปนะครับ รูปภายในหม้อ retort ครับขออภัยรูปนี้ไม่ค่อยชัด จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:55:57 ]

ความคิดเห็นที่ 86 หลักการของการฆ่าเชื้อสรุปง่ายนะครับ (ไม่พูดถึงการ Validate หาการการะจายความร้อน และการหา F0 นะครับ เพราะพวกนี้ต้องทำก่อนที่จะมีการผลิตจริง) 1.ต้องรู้อุณหภูมิเริ่มต้นภายใน กป. ที่เราต้องการฆ่าเชื้อก่อนครับ จะได้เป็นตัวกำหนดว่าเราจะฆ่าเชื้อที่ temp และ time เท่าใด 2.ไล่อากาศที่อยู่ภายในหม้อออกให้หมดครับ เพราะอากาศจะกลายเป็นฉนวนกันความร้อนเมื่อฆ่าเชื้อทำให้ steam เข้าไปไม่ทั่วถึง 3.ฆ่าเชื้อ 4.cooling ช่วงการ cooling ช่วงแรกต้องระวังเรื่องการคงความดันด้วยนะครับไม่งั้น มีกระป๋องระเบิดหรือบวมแน่นอน จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 03:57:02 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เสร็จแล้วก็จะออกมาเป็นกระป๋องเกลี้ยงๆ ที่เหลือก็เอาไปติด ฉลากและ pack ลงกล่องครับ อะแฮ่ม.....ก่อนที่จะมีการส่งขายนั้นทางห้อง lab จะต้องทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายก่อนด้วยนะครับเพื่อให้มั่นใจได้ว่า ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย......... เย้!!!!.....ได้กินทูน่ากระป๋องแล้ว........................   จบแล้วครับ ------------------------------------------------------------------------- ขอได้รับความขอบคุณจาก เพื่อนๆ ที่ช่วยกันอ่านมา ณ โอกาสนี้ครับ.... หากสงสัยตรงไหนหรือต้องการขยายความโพสมาได้เลยครับตอบได้จะตอบให้ หรือหาก ท่านใดรู้แจ้งอยู่แล้วจะช่วยๆกันก็ไม่เกี่ยงศรัทธาครับ แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 06:13:43 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 04:38:04 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 04:02:25 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 04:01:56 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เข้ามาขำ #27 คุณ ก้างปลา'ป๋อง และ vote จากคุณ : olivine - [ 29 ส.ค. 50 05:55:35 ]

ความคิดเห็นที่ 89 สาระแน่นจริง ๆ แถมภาพสวยด้วย เห็นภาพสุดท้ายแล้วอยากกินจัง จากคุณ : Julie_pikaju - [ 29 ส.ค. 50 06:03:58 ]

ความคิดเห็นที่ 90 คิดถึงแซนวิชทูน่า   ^^ จากคุณ : moonlit_memory - [ 29 ส.ค. 50 07:21:18 ]

ความคิดเห็นที่ 91 โหวตให้ครับ ความรู้ทั้งนั้น จากคุณ : MaximumMan - [ 29 ส.ค. 50 07:24:16 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ชอบครับ ^^ อยากกินปลากระป๋อง :P โอ... ฮอนมากุโระ ...ปลาตัวละหกล้าน ~ จากคุณ : ชีริว - [ 29 ส.ค. 50 08:17:54 ]

ความคิดเห็นที่ 93 กลับมาอีกรอบ..... ทูน่า....... สลัด โอ๊ววววว ของโปรดดดดด ปล.ปกติผมไม่ค่อยกินปลานะ แต่ทูน่า ผมชอบ จากคุณ : vn, man - [ 29 ส.ค. 50 08:47:58 ]

ความคิดเห็นที่ 94 1.  ทูน่ากระป๋องไม่ใส่ก้างมาด้วยใช่ไหมครับ 2. ปลาประป๋องทำไงก้างถึงนิ่มได้  ใช้วิธีดังกล่าวทำให้กระดูกช้าง ให้นิ่มได้ไหมครับ ไม่ได้ถามกวนโอ้ยนะ  แต่อยากรู้จริงๆ   เก็บเข้าคลังกระทู้ครับ จากคุณ : =Lord Gary= - [ 29 ส.ค. 50 09:10:57 ]

ความคิดเห็นที่ 95 อยากทราบว่า  ผู้ผลิต ใช้อะไร ตรงใหน เป็นตัวกำหนดวันหมดอายุ  หรือว่ากะๆ เดาๆ เอา ว่าประมาณเท่านั้นเท่านี้   หรือว่าสุ่มตัวอย่างเอามาตั้งไว้จนเสีย แล้วก็ย้อนหลังไปซักวันสองวัน เป็นวันหมดอายุ สงสัยเท่านี้จริงๆ นะ จากคุณ : สมาคมช่างกิโลขาย - [ 29 ส.ค. 50 09:27:42 ]

ความคิดเห็นที่ 96 #95  ตอบคุณสมาคมช่างกิโลขายค่ะ ส่วนตัวเคยทดสอบ shelf life ของอาหารกระป๋องมาเหมือนกัน อาหารกระป๋องโดยทั่วไปจะมีอายุประมาณ 5 ปี (60 เดือน) การทดสอบของเค้าคือ จะนำตัวอย่างอาหารกระป๋องมาบรรจุ แล้วบ่มในตู้ incubate ซึ่งเป็นตู้ควบคุมอุณหูมิ  ความร้อนประมาณ 60 องศาเซลเซียส(ถ้าจำไม่ผิดนะคะ)  ระยะเวลาการบ่ม 1 วัน เทียบเท่ากับการเก็บไว้ในสภาวะจริง 30 วัน   เพราะฉะนั้นก็จะเก็บตัวอย่างในตู้บ่มประมาณ 3 เดือน โดยระหว่างที่เก็บจะนำตัวอย่างออกมาตรวจสอบค่าทางเคมีและกายภาพของอาหารภายใน  เช่นลักษณะปรากฏ สี กลิ่น ค่าvacuum  ความเป็นกรด ค่า sulfur เป็นต้นค่ะ   ช่วงเวลาที่จะตรวจสอบระยะแรกเราจะตรวจตัวอย่างบ่อย อาจเป็นเป็นการตรวจตัวอย่างทุกวัน แล้วเริ่มทิ้งระยะห่างไปเรื่อยๆ เป็น 3 วัน 7 วัน 2สัปดาห์ เดือนนึง เดือนครึ่ง ไปเรื่อยๆค่ะ ถ้าสมบัติของอาหารอยู่ในช่วงที่รับได้ก็โอเคค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 11:10:30 จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 29 ส.ค. 50 11:09:04 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ตามมาดูกระทู้โหวต จากคุณ : maikeet - [ 29 ส.ค. 50 11:23:00 ]

ความคิดเห็นที่ 98 สนุกดีค่ะ ... จากคุณ : กิ๊บส์ - [ 29 ส.ค. 50 11:36:31 ]

ความคิดเห็นที่ 99 สนุกดีครับ มีกบนอกกะลา เวอร์ชั่น ทูน่าแกงเขียวหวาน กับ ทูน่าแกงเผ็ด ไหมครับ ชอบกินครับ ^ ^ จากคุณ : น้องหยิก - [ 29 ส.ค. 50 11:59:16 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ตอบเรื่อง Botulinum Toxin เป็นตัวเดียวกับหน่อไม้ปี๊บและตัวเดียวกับที่่ใช้ฉีดให้หน้าหายเหี่ยวครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 29 ส.ค. 50 11:59:39 ]

ความคิดเห็นที่ 101 VOTE ด้วย +ขอบคุณ จขกท จากคุณ : ร้อยเอ็ด (WITH PEN IN HAND) - [ 29 ส.ค. 50 12:32:08 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ชอบมากๆเลยหว้ากอต้องมีสาระอย่างนี้บ้างดิ๊ ว่าแล้าก็ไปหากระทู้กามๆอันอื่นอ่านต่อ...อิๆ จากคุณ : กระแตตาโต - [ 29 ส.ค. 50 15:17:23 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ขอบคุณอีกรอบครับสำหรับอัพเดทใหม่ๆ อ่านแล้วรู้สึกอยากกินแซนวิชทูน่าเลย อิอิอิ จากคุณ : ChocolateMousse - [ 29 ส.ค. 50 17:14:05 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เห็นแล้วอยากกินปลากระป๋องครับ โหวตให้นะ ... จากคุณ : ค้นหา - หนทาง - [ 29 ส.ค. 50 17:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ตอบคุณ =Lord Gary= ครับ 1.  ทูน่ากระป๋องไม่ใส่ก้างมาด้วยใช่ไหมครับ? ผู้ผลิตไม่มีใครใส่ครับ พยายามจะคัดออกด้วยเพราะตรงนี้เป็น spec ของ product ที่กำหนดไว้ด้วยว่าสามารถพบได้ไม่เกินเท่าใด/กระป๋อง 2. ปลาประป๋องทำไงก้างถึงนิ่มได้  ใช้วิธีดังกล่าวทำให้กระดูกช้าง ให้นิ่มได้ไหมครับ? อย่างที่หลายๆคนเข้าใจถูกแล้วครับ กระดูกป่นเนื่องมาจากการให้ความร้อนสูงภายใต้แรงดันครับ ลองเทียบดูก็เหมือนกับการตุ๋นไก่ในหม้อแรงดันครับกระดูกจะนิ่มกว่าปกติ หรือถ้าต้มไปนานๆก็นิ่มก็เปื่อยเหมือนกันครับเพียงแต่ ถ้าสูงกว่า 100 องศา เวลาจะสั้นลงกว่ามากๆครับ กระดูกยิ่งใหญ่ยิ่งใช้เวลามากเช่นกัน ไม่ต้องกระดูกช้างหรอกครับบางทีกระดูกกลางตัวปลา (back bone) ยังไม่เปื่อยเลยครับ ----------------------------------------------------------- ขอบคุณหลายๆท่านที่ช่วยกันตอบครับ..... ----------------------------------------------------------- ปล.ดีใจจังขึ้นกระทู้แนะนำ...ปลื้ม แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 20:55:52 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 29 ส.ค. 50 20:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 106 มาอัพเดท... อ่านแล้ว อยากกินทูน่ากระป๋องขึ้นมาทันใดเลยค่ะ Vote อีกรอบ :) จากคุณ : ทอฝัน...ในวันเหงา - [ 29 ส.ค. 50 21:09:14 ]

ความคิดเห็นที่ 107 คุณน้องยุ้ยครับ รบกวนขอดูภาพตัด double seam กระป๋องแบบฝาเปิดดึงหน่อยได้ไหมครับ? อยากเห็นรอยกินลึกสำหรับเปิดกระป๋องหน่อยนะครับ จากคุณ : T-E-N-A - [ 29 ส.ค. 50 22:04:47 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ขอบคุณคร้าบ ... อ่านแล้วเข้าใจง่ายดี จากคุณ : Elegant - [ 29 ส.ค. 50 22:09:37 ]

ความคิดเห็นที่ 109 อยากกินทูน่าสเปรด แซนวิชทูน่า สลัดทูน่า ทูน่าผัดกระเพรา และอื่น ๆ อีกมากมาย จากคุณ : กบข้างกะลา - [ 29 ส.ค. 50 22:12:50 ]

ความคิดเห็นที่ 110 Vote นะคะ เห็นแล้วอยากทำลาบทูน่า แหะๆ จากคุณ : whoisaor - [ 29 ส.ค. 50 22:13:44 ]

ความคิดเห็นที่ 111 สาระดี อ่านเพลินด้วยครับ สุดยอด จากคุณ : kti - [ 29 ส.ค. 50 22:20:01 ]

ความคิดเห็นที่ 112 อ่านแล้วหิวจัง จากคุณ : ฉันไม่เคยได้อยู่ในชีวิตของเธอ - [ 29 ส.ค. 50 23:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 113 มาปักธง จากคุณ : LR3 - [ 30 ส.ค. 50 02:39:55 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ตอบ คุณT-E-N-A ครับ รูปด้านล่างคือจุดที่คุณอยากดูครับ ปกติตรงนี้ก็มีปัญหารั่วบ้างแต่ถ้าจะรั่วก็น่าจะมาจากการกระแทกตอนขนส่งครับ(ประมาณว่าฝาแตกไปเลย) ทางผู้ผลิตฝาเอง  ตอนผลิตต้องทำการทดสอบด้วยระบบสูญญากาศด้วยครับ ส่วนใหญ่ถ้ารั่วหลังฆ่าเชื้อเปิดมามักได้กลิ่นเหม็นเน่าหรือ กระป๋องบวมครับ แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 50 05:52:41 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 50 04:24:16 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 30 ส.ค. 50 04:20:18 ]

ความคิดเห็นที่ 115 หอมทูน่ามาแต่ไกล  เสียดายที่เราไม่ชอบกินปลา จากคุณ : krapoh_tung - [ 30 ส.ค. 50 06:35:27 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ชอบทูน่า ขอบคุณครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 30 ส.ค. 50 11:30:36 ]

ความคิดเห็นที่ 117 เยี่ยม!!! กระทู้คุณภาพ โหวตครับ จากคุณ : ปากหวาน - [ 30 ส.ค. 50 12:31:27 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ใช้อ้างอิงได้เลยนะเนี่ย สุดยอดกระทู้ อยากให้มีเยอะๆ เอาแบบขึ้นแนะนำ 10 อันไปเลย ชาวหว้ากอช่วยๆ กันทำหน่อยเร้ว จากคุณ : ดุก - [ 30 ส.ค. 50 12:52:43 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ตามมาดู จากคุณ : handghost - [ 30 ส.ค. 50 16:22:46 ]

ความคิดเห็นที่ 120 แหม เจอแบบนี้คนที่มีโครงการมีรอลงต่อนี่คิดหนักเลยนะเนี่ย ว่าจะเยี่ยมยอดขนาดนี้หรือเปล่า ผมก็คนนึงหละที่คิดหนัก... จากคุณ : Cocopok - [ 30 ส.ค. 50 17:29:13 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ขอบคุณ คุณน้องยุ้ยมากครับ ว่าแต่ร่องสกอร์ที่ว่านี่ อยู่ด้านในหรือด้านนอกครับ? ขอโทษนะครับที่ถามเยอะไปหน่อย จากคุณ : T-E-N-A - [ 30 ส.ค. 50 18:52:40 ]

ความคิดเห็นที่ 122 โหวตอย่างมิลังเล ครับ ..ต้องอย่างนี้สิ  หว้ากอในจินตนาการ จากคุณ : สารวัตรซัดโป้ง (อาร์ทู) - [ 30 ส.ค. 50 22:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 123 อ่ะ ไม่ยักจะเหมือนสามแม่ครัวแฮะ ^___________^ ขอบคุณนะคะ ความรู้เยอะแยะเลย จากคุณ : oldword - [ 30 ส.ค. 50 22:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ที่จริงมีทั้งด้านในและด้านนอกครับ....  พอดีรูปที่ให้ดูใบเลื่อยมันไม่คม... เอารูปนี้ไปดูดีกว่าครับ(หายากมาก.......) ส่วนการวัดความหนาเนี่ยจะใช้เลเซอร์ ยิงใส่ร่อง บนและล่างครับ   และก็จะได้ค่าความหนาของเหล็กที่เหลือออกมาครับ ปล. ผมรออ่านของท่านอื่นๆ อยู่ด้วยนะครับ จะตามเข้าไปโหวตทุกกระทู้เลย... (ออกแนวเล่นพวกเหะ -_-" ) แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 50 23:30:21 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 50 23:29:55 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 30 ส.ค. 50 22:51:38 ]

ความคิดเห็นที่ 125 กระทู้ยอดเยี่ยมประจำเดือนครับผม ได้ความรู้มากครับ จากคุณ : lyonheartz (lyonheartz) - [ 31 ส.ค. 50 09:54:44 ]

ความคิดเห็นที่ 126 เนื้อแดงที่คัดออกเอาไปทำอะไรได้หรือเปล่าครับ จากคุณ : แดงชายน้อย - [ 31 ส.ค. 50 10:02:07 ]

ความคิดเห็นที่ 127 ตอบ คห.126 ถ้าในระดับอุตสาหกรรมแล้ว ชิ้นส่วนทูน่าใช้ได้ทุกชิ้น เนื้อแดงเองก็สามารถเอาไปทำอาหารสัตว์ได้ครับ  ส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของต้นทุน ทูน่าเป็นวัตถุดิบที่ต้องจับตามธรรมชาติ และปริมาณน้อย(โดยเฉพาะปีนี้น้อยมาก เท่าที่ทราบเนื่องจากปรากฎการอิลนิลโย ทำให้ปลาลงไปหากินในน้ำที่ลึกขึ้น จับลำบาก) ผู้ผลิตจึงต้องใช้ทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก้าง, หนัง, เครื่องใน ไม่มีทิ้งเลยครับ จากคุณ : ชื่อมีเป็นพัน ดันมาซ้ำกันได้ - [ 31 ส.ค. 50 11:36:08 ]

ความคิดเห็นที่ 128 เมื่อเปิดทูน่ากระป๋อง ทำไมบางกระป๋องเนื้อปลาออกเป็นสีชมพู มันกำลังจะเสียหรือปล่าว เห็นเนื้อตอนใส่ในกระป๋องเป็นสีขาวนี่นา จากคุณ : ฟิโลใบมะละกอ (ฟิโลใบมะละกอ) - [ 31 ส.ค. 50 14:00:19 ]

ความคิดเห็นที่ 129 แล้วน้ำมันปลาเค้าเก็บตอนไหนครับ หรือเอาน้ำจากการนึ่งปลาไปสกัดอีกทีนึง จากคุณ : Banx - [ 31 ส.ค. 50 16:18:44 ]

ความคิดเห็นที่ 130 น้ำลายไหล จากคุณ : กลับมาแล้วคนดี - [ 31 ส.ค. 50 20:37:25 ]

ความคิดเห็นที่ 131 อ่านแล้วไปแทะปลาทูน่ากระป๋องดีกว่า ฮี่ๆ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 31 ส.ค. 50 21:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ตอบคำถามครับ #128 เรื่องปลาเนื้อ สีชมพูส่วนใหญ่เกิดกับพวกที่มีอายุการเก็บได้สักระยะเช่น 1 ปีหรือมากกว่า ซึ่งเป็นลักษณะปกติที่เกิดขึ้นครับ(เห็นว่าทำให้ดูน่ากิน) สำหรับปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดขึ้นนั้น ตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าเป็นปฏิกิริยาของอะไรที่ทำกับฮีโมโกบิล หรือเป็น ปฏิกิริยาเมลลาด หรือเปล่า เพราะปลาพวกนี้เวลาเทออกจากกระป๋องสักแป๊ป พอโดนอากาศสีก็เป็นเหมือนเดิมครับ (ลองสังเกตดู) แทรกนิดนึงว่า ในกระป๋อง pH อยู่ที่ช่วง 5 เศษๆ ถึง 6 นิดๆครับ ดังนั้นเก็บไว้สักระยะสีจะใสขึ้นเล็กน้อยครับ ส่วนอีกตัวคือพวก  nitrate reducing bacteria นั้นผมกำลังหาข้อมูลอยู่ครับว่าเกี่ยวหรือไม่ (แต่ด้วย product ที่เป็นกระป๋องผมว่าไม่เกี่ยว) (ข้อนี้ใครทราบก็ช่วยตอบก็ได้ครับ เหมือนเคยเห็นงานวิจัย) #129 เข้าใจถูกต้องแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 50 04:54:27 จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 1 ก.ย. 50 04:43:45 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ความคิดเห็นที่ 129   แล้วน้ำมันปลาเค้าเก็บตอนไหนครับ หรือเอาน้ำจากการนึ่งปลาไปสกัดอีกทีนึง จากคุณ : Banx   - [ 31 ส.ค. 50 16:18:44 ] ===================================== อ้าว เป็นน้ำนึ่งปลาสกัดหรอกรึคะ เข้าใจว่าเป็นการเอาปลาไปสกัดเอาน้ำมันโดยการให้ความร้อน (คล้าย ๆ เอาเทียนลนคาง เพื่อเอาน้ำมันพราย อิอิ) เช่น การให้ความร้อนโดยการนึ่งแล้วให้น้ำมันระเหยออกมา เข้าสู่กระบวนการควบแน่น จับตัวเป็นหยดน้ำมัน (เหมือนตอนเรียนวิทยาศาสตร์ ที่ต้มน้ำเพื่อแยกโมเลกุลของน้ำอะไรทำนองนั้น) (ความรู้เท่าหางอึ่ง เฮ้อ!!) จากคุณ : Madame Bovary - [ 1 ก.ย. 50 14:27:27 ]

ความคิดเห็นที่ 134 เข้ามาเก็บ จากคุณ : THE_AR - [ 1 ก.ย. 50 14:33:57 ]

ความคิดเห็นที่ 135 อยากดู เป็น Flow chart  ของ การผลิต ครับ ว่าผ่านกระบวนการใด บ้าง  ถ้าดูเป็น Flow  Chart เเล้ว น่าจะเข้าใจ ง่ายกว่า  เเล้วเรื่องการผลิตหละครับ  ต้องมีการจำกัดการผลิต ไว้หรือเปล่า หรือว่า สั่งวัตถุดิบ (ปลาทูน่า) เข้ามาเเบบ ไม่จำกัด หรือ ต้องพยากรณ์ความต้องการของผู้บริโภคไว้หรือไม่? เรื่องการจัดส่งหละ โดยการผ่านตัวเเทนจำหน่ายไปยังผู้บริโภคหรือต้องผ่านตัวเเทนใดบ้างเเล้วมี การส่งออกไปยัง ต่างประเทศไหม หรือต้องผ่านตัวเเทนใดบ้าง? ปล.อยากดูเป็นหลักไว้ศึกษาเรื่องโซ่อุปทานของปลาทูน่ากระป๋องครับ :) ขอบคุณ ล่วงหน้าสำหรับ คำตอบครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 50 21:44:10 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 50 21:40:13 จากคุณ : CaniZzaro - [ 1 ก.ย. 50 21:32:55 ]

ความคิดเห็นที่ 136 เข้ามาอัพเดท เดี๋ยวคงต้องมีการปรุงอาหารกระป๋องแน่ๆ จากคุณ : สมาคมช่างกิโลขาย - [ 2 ก.ย. 50 09:52:01 ]

ความคิดเห็นที่ 137 โหวตฮับ จากคุณ : ~ปีศาจ_เด็กผู้ชาย~ - [ 2 ก.ย. 50 10:35:01 ]

ความคิดเห็นที่ 138 เห็นชื่อกระทู้แล้วนึกถึงความหลังตอนทำ lab processing เลย ก่อนทำแลบยังนึกอยู่เลยว่าจะยากซักเท่าไหร่กัน พอลงมือทำจริง ไปซื้อเขากินเถอะ สบายกว่ากันเยอะเลย จขกท.ให้ข้อมูลละเอียดมากเลยค่ะ ป.ล.เห็นภาพน้องปลาโอดำแล้วแสลงใจ เคยถูกอ.เรียกว่าโอดำหลังมันมะเมื่อม T^T จากคุณ : ลิปมัน - [ 2 ก.ย. 50 13:49:46 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ตอนเด็กๆ นึกว่าปลากระป๋องโรซ่า คือปลาทูน่ากระป๋อง (นึกว่าปลาซาดีนก็คือปลาทูน่าซะอีก) แต่ได้ยินโฆษณาคุ้นหูว่า ปลาซาดีนในซอสมะเขือเทศ พอโตมาดันกลายเป็น ปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ พอจะทราบไหมครับว่าทำไมถึงเปลี่ยนจากปลาซาดีนเป็นปลาแมคเคอเรล? อาจจะไม่ใช่เรื่องปลาทูน่ากระป๋อง แต่ช่วยตอบหน่อยครับ สงสัยมาหลายปีแล้ว จากคุณ : อนาคต - [ 2 ก.ย. 50 18:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 140 เพิ่มให้อีก 1 โหวตค่ะ เนื้อเรื่องเข้าใจง่ายดีเหมือนที่ความเห็นบนๆว่าไว้ และกำลังรอติดตามเรื่องต่อไปของ "จขกท" อยู่น่ะค่ะว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร จากคุณ : ตามคำขอ ^_^ - [ 2 ก.ย. 50 21:08:20 A:222.253.225.123 X:203.162.3.146 TicketID:154354 ]

ความคิดเห็นที่ 141 1 vote จากคุณ : Angel in Big City - [ 3 ก.ย. 50 15:49:33 ]

ความคิดเห็นที่ 142 แบบนี้ เอาไปเลย 1 โหวต จากคุณ : Angel in Big City - [ 3 ก.ย. 50 15:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 143 เก็บเข้าคลัง :) จากคุณ : Deckard - [ 3 ก.ย. 50 19:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 144 ช่วงตอบคำถาม....!!! #135 1. จริงอยู่ว่าถ้าดูตาม flow chart อาจจะเห็นภาพรวมของการผลิตทั้งหมดแต่ flow chart ไม่มีรายละเอียดอธิบาย และส่วนใหญ่เป็นเอกสารควบคุมภายในครับ เป็น ธรรมดาของโลกที่มีคนรักย่อมมีคนเกลียด ดังนั้นการเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต อาจทำให้ "ตกงาน" ได้ครับ จึงจออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย 2.ในการผลิตนั้น ก่อนจะผลิตอะไร(ผมว่าทุกอุตสาหกรรม) ต้องมีการวางแผนก่อนครับ โดยอาจจะมีการทำ forecast ก่อนเป็นปีเป็นไตรมาสก็ว่ากันไปแล้วก็จะแตกย่อยไปถึงการวางแผนผลิตประจำวันครับ ซึ่งปัจจัยในการวางแผนผลิตแต่ละวันก็ได้แก่ ความสามารถในการผลิต(กำลังผลิต) และปริมาณวัตถุดิบ ซึ่งส่วนใหญ่วัตถุดิบในแต่ละปีจะต้องซื้อเท่าไหร่ก็มาจากการประมาณการในตอนแรกนะแหละครับและก็จะมีการ update ไปเรื่อยๆ อีกที 3. เรื่องการส่งออก ส่วนใหญ่การผลิตทูน่า ทำเพื่อการส่งออกเป็นส่วนมากครับผ่านตัวแทนใดบ้างบอกไม่ได้ครับ เหตุผลเหมือนข้อ1 น้ำท่วมปาก....บุ่มๆๆๆๆ #138 โอดำตัวจริง สดๆ นั้นหลังดำเป็นเงาเลยนะครับ....^^! #139 ของโรซ่าผมว่าของเค้าเป็นปลา แมคเคอเรลมาตลอดนะครับ ไม่ได้เปลี่ยน ตามกฏหมายถ้าระบุชนิดปลาไว้ที่ฉลากเป็นชนิดใด ภายในกระป๋องกับฉลากต้องเหมือนกันนะครับ และก็แนวโน้มปลาซาร์ดีนในน่านน้ำไทย(size ที่มาทำให้คนกิน) อาจจะลดลงบางผู้ผลิตอาจเปลี่ยนชนิดปลาก็ได้ครับแต่ต้อง declare ไว้ที่ฉลากครับว่าปลาอะไร จากคุณ : น้องยุ้ยงัย - [ 3 ก.ย. 50 22:50:46 ]

ความคิดเห็นที่ 145 รอภาค 2 อิอิ จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 4 ก.ย. 50 02:49:23 ]

ความคิดเห็นที่ 146 กระทู้นี้ดีจังเลยค่ะ อย่างนี้ต้อง vote ให้ อ๋ะ...เอาไป หนึ่งจึ้ก จากคุณ : หมอ-ยา-ผู้-น่า-รัก - [ 4 ก.ย. 50 11:58:10 ]

ความคิดเห็นที่ 147 หุหุ อ่านแล้วอยากเอาผลิตภัณฑ์ที่ดูแลอยู่มาทำให้ดูบ้างจัง แต่ขืนทำมีหวังได้หางานใหม่แน่เลย ... ฮาาา ^^" Vote ครับ! จากคุณ : BlackLotus - [ 4 ก.ย. 50 14:39:40 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ขอบคุณครับ ความรู้นอกกะลา !!! เยี่ยมมากครับ จาก #144 ช่วงตอบคำถาม....!!! #135 1. จริงอยู่ว่าถ้าดูตาม flow chart อาจจะเห็นภาพรวมของการผลิตทั้งหมดแต่ flow chart ไม่มีรายละเอียดอธิบาย และส่วนใหญ่เป็นเอกสารควบคุมภายในครับ เป็น ธรรมดาของโลกที่มีคนรักย่อมมีคนเกลียด ดังนั้นการเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต อาจทำให้ "ตกงาน" ได้ครับ จึงจออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จากคุณ : ^Nobi^ - [ 4 ก.ย. 50 19:52:49 ]

ความคิดเห็นที่ 149 เก็บในblogเถอะครับ จะได้อยู่นานๆให้คนศึกษากัน อยู่ในกระทู้ เดี๋ยวก็ถูกลบ จากคุณ : ด.เด็ก - [ 5 ก.ย. 50 09:20:14 ]

ความคิดเห็นที่ 150 สุดยอดครับพี่น้องครับ จากคุณ : เก่งน้อย - [ 5 ก.ย. 50 13:17:01 ]

ความคิดเห็นที่ 151 ยอดมาก ระดับเทพเลยนะนี่ จากคุณ : AJ_da_NR - [ 7 ก.ย. 50 12:36:05 ]

ความคิดเห็นที่ 152 ได้ความรู้ไปเต็มๆ สำหรับกระทู้นี้ ขอบคุณ คุณน้องยุ้ยงัย ที่นำความรู้มาแบ่งปันครับ ขอแจมด้วยนิดนึงครับ Clostridium species จะย้อม Gram's stain ติดสีเป็นแกรมบวก ซึ่งเป็นสีน้ำเงินครับ สีแดงจะเป็นแกรมลบนะครับ แต่ผมหาดูรูปที่ย้อมแกรมของ Clostridium botulinum สวย ๆ ไม่เจอ ขอเอา Clostridium perfringens ซึ่งเป็น Genus เดียวกัน สร้างสปอร์ได้และก่อโรคเกี่ยวกับอาหารเป็นพิษเช่นกัน มาให้ดูนะครับ รูปอ้างอิงจาก http://www.bmb.leeds.ac.uk/mbiology/ug/ugteach/icu8/skin/perfringensgram.html ครับ จากคุณ : Pang_LoveLove - [ 9 ก.ย. 50 09:54:45 ]

ความคิดเห็นที่ 153 อ่านทุกความคิดเห็น เริ่มตั้งแต่เจ้าของกระทู้ จนถึงความคิดเห็นที่ 152   ถ้า search เอง คงอ่านไม่เพลินแบบนี้ จากคุณ : aoywan - [ 11 ก.ย. 50 20:22:36 ]