ความคิดเห็นที่ 1 ทำโดยไม่ระลึกว่าดีหรือชั่ว ง่ายที่สุดครับ.... จากคุณ : Tire Tracks Studio - [ 29 ส.ค. 50 12:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อยู่เฉยๆง่ายสุดครับ ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏง่ะ จากคุณ : ตักสุรา - [ 29 ส.ค. 50 12:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คุณรู้ได้อย่างไรว่าเฉลยของคุณถูกต้อง  ใช้อะไรตัดสิน ???? คำตอบจากใจจริงของผม  ก็คือ ทำชั่วง่ายมาก  ทำดีมันยาก แต่ต้องทำ   แต่ไม่ได้ทำเพราะฝืนใจทำ  แต่ทำเพราะผมคิดดีคิดชอบแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และควรทำ จากคุณ : ปากหวาน - [ 29 ส.ค. 50 12:46:20 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ใช่ครับ เรื่องนี้มันไม่มีคำเฉลยหรือคำตอบที่ถูกต้องหรอกครับ เพราะคำตอบ มันจะแตกต่างกันออกไปตามวุฒิภาวะ การศึกษา สังคม สภาพจิตใจ การอบรม ลักษณะนิสัย ฯลฯ สำหรับผมความดีกับความชั่วทำได้ง่ายพอ ๆ กัน และมันก็ยากพอ ๆ กันแหละครับ จากคุณ : Skyman (Analayo) - [ 29 ส.ค. 50 13:02:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แหม ตั้งชื่อกระทู้ซะ ระแวงไปเลย ถ้าตอบว่า ทำชั่วง่าย ทำดียาก แสดงว่าถนัดทำชั่ว ถ้าตอบว่า ทำชั่วยาก ทำดีง่าย แสดงว่าถนัดทำดี ถ้าตอบว่า ทำชั่วง่าย ทำดีง่าย แสดงว่าถนัดทั้งสองอย่าง ถ้าตอบว่า ทำชั่วยาก ทำดียาก แสดงว่าตายไปแล้ว จากคุณ : ksk - [ 29 ส.ค. 50 13:09:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มีคนถามเรื่องนี้มาเมื่อราวๆ พันห้าร้อยปีที่แล้ว  และมีผู้ตอบ โดยคำตอบนั้นมีเหตุ ผล พยาน หลักฐาน ฯลฯ ชัดเจน  ลองหาอ่าน ทั้งคำถามและคำตอบ ดูแล้วกัน  อ่านแล้วเข้าใจไม่ยาก สำหรับคนที่อ่านเข้าใจ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 29 ส.ค. 50 13:11:13 ]

ความคิดเห็นที่ 7 การแย่งชิง กับการเสียสละ อะไรทำง่ายกว่ากันล่ะครับ จากคุณ : Humandroy - [ 29 ส.ค. 50 13:13:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมว่า มันเป็น Trick Question จากคุณ : Lambert K. - [ 29 ส.ค. 50 13:20:14 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เคยดูรายการทีวีรายการหนึ่ง ที่คุณสัญญา เป็นพิธีกร(จำชื่อรายการไม่ได้) แล้วสัมภาษณ์พระรูปหนึ่ง(จำชื่อท่านไม่ได้เหมือนกัน) พระท่านบอกไหนลองกราบท่านสิ พิธีกรก็ทำ แล้วพระท่านก็บอกว่าไหนลอง..(ประมาณว่าให้ด่าท่าน หรืออะไรซักอย่าง..) ซึ่งแน่นอนว่าพิธีเค้าไม่ได้ทำ พระท่านจึงบอกว่าการทำความดีนั้นง่ายกว่าทำชั่วมาก จากคุณ : rithirong - [ 29 ส.ค. 50 13:28:22 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ความคิดเห็นที่ 6   มีคนถามเรื่องนี้มาเมื่อราวๆ พันห้าร้อยปีที่แล้ว และมีผู้ตอบ โดยคำตอบนั้นมีเหตุ ผล พยาน หลักฐาน ฯลฯ ชัดเจน ลองหาอ่าน ทั้งคำถามและคำตอบ ดูแล้วกัน อ่านแล้วเข้าใจไม่ยาก สำหรับคนที่อ่านเข้าใจ   จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง   - [ 29 ส.ค. 50 13:11:13 ] รบกวนเรียนถามคุณแมวเหมียวพุงป่องเพิ่มครับ หาอ่านได้ที่ไหนครับ และ...ที่สำคัญ ผมเดาว่าคุณน่าจะเคยอ่านแล้ว คุณคิดว่าเขาคิดถูกหรือผิด และทำไมถึงคิดอย่างนั้นครับ ปล. ไม่ได้อื่นใด นอกจากอยากทราบความเห็นจริงๆ แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 14:41:38 จากคุณ : ปากหวาน - [ 29 ส.ค. 50 14:18:17 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เหอะ เหอะ เหอะ ทำชั่วสิง่ายกว่า ไม่สิต้องบอกว่าจะต้องทำชั่วสึถึงจะถูกมากกว่าอ่ะนะ จริงๆแล้วการฆ่าการขโมยเล่นชู้นอกใจโกหกหลอกลวงมันทำได้ง่ายมากกกๆๆเลยนะ อยากได้ตังค์พันนึงทำไงล่ะในเมื่อมันอยู่ในกระเป๋าคนอื่น... ก็ต้องไปเอามา... หิวอ่ะอยากหาอะไรมาใส่ท้องทำไงได้ในเมื่อสิ่งที่กินได้ก็คือคนอื่น... ก็ต้องฆ่า... จริงๆแล้วมันมีสาเหตุปัจจัยอะไรมากมายที่ทำให้เราสามารถทำชั่วได้โดยไม่ผิดอะไร แต่ด้วยเทคนิคลีลาอันสลับซับซ้อนพิศดารในการสร้างมันถึงได้ออกมาอยู่ในรูปแบบเละๆเน่าๆอย่างที่เห็นนี้ได้ (แต่ถึงจะเละๆเน่าๆก็มหัศจรรย์ละะเนี่ย) หวังว่าใครในที่นี้จะยังไม่เป็นตัวประหลาดสุดขั้ว หิวตลอดเวลาเงี้ย หนาวตลอดเวลาเงี้ยนะ โอ... เพิ่งค้นพบความเป็นมารในตัวเอง ที่แท้เราเองเป็นมารมาตลอดเพราะเราเองก็เสี้..นตลอดเวลา จากคุณ : Catwater (Catwater) - [ 29 ส.ค. 50 14:22:32 ]

ความคิดเห็นที่ 12 1. ใช้อ้างอิงสมสมติฐาน "ตามกรอบอ้างอิงของโลกและจักรวาลของเรา" ไม่ครอบคลุมภพและจักรวาลอื่น 2. ตัวอย่างคือ "ประชากรส่วนใหญ่" ไม่ใช่บางกรณี 3. ความหมาย Definition ดีหรือชั่ว "ตามสากลนิยม" ไม่ใช่ตั้งเอาเอง 4. ความหมาย Definition ยาก หรือ ง่าย "ตามสากลนิยม" ไม่ใช่ตั้งเอาเอง 5. การเปรียบเทียบ ระดับดีชั่ว ให้ใช้ระดับที่เปรียบกันได้ มาเปรียบเทียบ และใช้กลุ่มอ้างอิงแปรผันตามระดับความสำนึก และระดับความเป็นอยู่ทางสังคม เช่น มิใช่ เอา ความรู้สึกความดีความชั่วในบางเรื่องของ โจร กับ ตำรวจ มาเทียบกัน ต้องสร้าง มาตรฐานระดับขึ้นมาก่อน ตาม 5 ข้อ ด้านบน ท้าให้ ทำวิจัย รูปแบบใดก็ได้กี่ครั้งก็ได้ เอา ตัวเลขนัยสำคัญมายืนยัน ผลน่าจะสรุปได้ว่า "ทำชั่วง่ายกว่า" แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 14:40:39 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 14:36:06 จากคุณ : ไฟล์ท B ทีน้ำเงิน - [ 29 ส.ค. 50 14:35:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ดี-ชั่ว ระดับไหนหละ ง่าย ทั้งสองอย่างถ้าคิดจะทำ ขึ้นอยู่กับ ตัวแปรและปัจจัยอื่นๆมาเสริม และก้อ ยาก ทั้งสองอย่างถ้าไม่คิดทำอะไรเลย เหมือนคำพูดที่ว่า ความดี-ความชั่วไม่ปรากฏ จากคุณ : iamnid - [ 29 ส.ค. 50 14:55:42 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ดีชั่วไม่มีพรหมแดน ถ้าผมไปต่อยคุณเจ็บ ไปถามคนรักคุณ เขาก็ว่าผมชั่ว ไปถามคนเกลียดคุณ เขาก็ว่าผมดี จากคุณ : Sial - [ 29 ส.ค. 50 15:00:56 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คนดีทำดีง่าย คนชั่วทำชั่วง่าย จากคุณ : offey - [ 29 ส.ค. 50 15:04:06 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ทําชั่วยาก กลัวปัจจัย สามอย่าง - ปัจจัยทาสังคม    (กลัวคนเกลียด กลัวเสียฐานะทางสังคม) - ปัจจัยทางการเงิน (เวลาโดนจับได้ มักนําพามาสู้เรื่องเสียเงิน เสมอ) - ปัจจัยด้านศีลธรรม (ทําแล้วรู้สึกผิด) ถ้ามีคนที่ไม่สนใจ ปัจจัยเหล่านี้ ทําชั่วก็ง่ายกว่า จริงไหม? จากคุณ : pendulum swings (pendulum swings) - [ 29 ส.ค. 50 15:12:22 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนตัวเชื่อว่าความดี ความชั่วเป็นเพียงสิ่งสมมติ ทำชีวิตเฉยๆ ไม่ทำทั้งดีทั้งชั่วง่ายที่สุด จากคุณ : DAMNDOG - [ 29 ส.ค. 50 15:33:25 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าถามมาแบบนี้ แถมมีเฉลยด้วยเนี่ย จขกท. คงต้องตั้งมาตรฐานขึ้นมาข้อนึงแล้วล่ะใช่ไหม ว่าเกณฑ์ชี้วัดความดี-ความชั่วอยู่ตรงไหน อะไรเรียกว่าความดี อะไรเรียกว่าความชั่ว สมมตินับถือศาสนาพุทธ มีกำหนดไว้ว่า การลักเล็กขโมยน้อยเป็นสิ่งไม่ดี เป็นกรรมชั่ว   ส่วนความกตัญญูเป็นกรรมดี  แล้วถ้าเรายากจนมาก ไปขโมยข้าวที่ร้านขายข้าว เอาไปให้แม่ซึ่งนอนป่วยเป็นอัมพาธกิน อย่างนี้เราทำดีหรือทำชั่ว?? ความดี - ความชั่ว มันก็เป็นแค่ตัวหนังสือเขียนขึ้นมากำหนดเท่านั้นแหละ ผู้คนมากมายก่ายกอง จ้องมองตั้งใจจะมองหา รอถึงเวลาจะไขว่จะคว้าทำความดี แต่ใครเล่าใคร จะไปตั้งใจ อะไรจะมาชี้? คนเรียก "คนดี" ติดที่เขาเอาใจใคร เพิ่มเติม เห็นด้วยกะ คห. 17  มันเป็นสิ่งสมมติค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 15:57:50 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 50 15:50:54 จากคุณ : Yo_JungZ - [ 29 ส.ค. 50 15:49:42 ]

ความคิดเห็นที่ 19 #18 ก็ทั้งดีและชั่วไงครับ มันไม่ได้หักล้างกันสักหน่อย เพียงแต่ผลของการทำดีจะน้อยกว่าปกติ เพราะของที่มาทำดีมันไม่บริสุทธิ์ จะบอกว่าความดีความชั่วมันคือสิ่งสมมติก็ได้ แต่ทว่าแม้่แต่ในวิทยาศาสตร์ action ยังเท่ากับ reaction สิ่งที่เราทำไปย่ิอมส่งผลกลับมา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม และในเชิงศาสนา ยังเชื่อว่าการกระทำใดๆ นอกจากจะมีแรงทางกลศาสตร์แล้วยังมีแรงของจิตประกอบไปด้วย ซึ่งมีผลทำให้การที่เราทำอะไรไป ไม่ได้มีแค่แรงทางกลย้อนกลับมาเท่านั้นแต่ขึ้นกับจิตที่เราส่งออกไปด้วย ส่วนจะดีหรือชั่วเขาดูที่ผลของแรงreacion หรือพระท่านว่าผลกรรม ถ้าผลย้อนกลับมาทำให้เราสบายใจ เราไม่มีทุกข์เขาก็ว่าดี แต่ถ้าผลย้อนกลับมาทำให้เราไม่สบายใจ เดือดเนื้อร้อนตัว จิตใจติดอยู่ในโมหะจริต แบบนี้เขาก็ว่าชั่ว ถ้าเราต่อยคนอื่น ถามว่าสิ่งที่สัมผัสเบื้องแรกคืออะไร ขั้นแรกสุดก็แรง reaction ทางกล คืือเจ็บมือ ขั้นต่อมาคือรู้สึกติดอยู่ในภาวะโมหะ คือเกิดอารมณ์ทำลายล้าง จิตใจเต็มไปด้วยความโกรธ หรือถ้าจิตใจอ่อนแอก็จะรู้สึกตกใจกลัว กลัวเขาล้่างแค้นกลับ ฯลฯ ขั้นต่อมาอีกก็คือความโกรธของคนทีโดนเราต่อย ถ้าเขาแข็งแรง เขาก็ต่อยเรากลับให้เราเจ็บกว่าแค่เจ็บมือตอนแรก ถ้าเขาอ่อนแอไม่กล้าต่อยคืนก็อาฆาตแค้นเรา หาโอกาสล้างแค้นทีหลัง ส่วนเรื่องการผิดกฎหมายหรือคนอื่นเกลียด/ชอบเราเพราะผลนั้น ถือเป็นผลทางอ้อม ถ้าจะตัดสิ่งที่เกิดจากคนอื่นแล้ว แค่ขั้นแรกและขั้นที่สองที่เกิดขึ้นโดยตัวเอง คุณก็น่าจะตัดสินใจได้แล้วว่ามันดีหรือไม่ดี ต่อตัวคุณเอง อ้อ เจตนาขณะทำก็สำคัญมาก ลองคิดดูว่าถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจต่อยเขาบังเอิญเหวี่ยงแขนไปโดนหรือตั้งใจต่อยเพื่อให้เขารู้สึกตัวจากการทำไรไม่ได้ เทียบกับการต่อยเขาเพราะเราเคียดแค้น ใส่จิตโมหะลงไปเต็มที่ ผลลัพธ์ที่กลับมาจากเขาจะได้ผลต่างกันไหม ลองคิดดู ส่วนทำง่ายทำยาก อันนี้ขึ้นกับหลายอย่าง และกุศโลบายในการพูด หากมองในแง่ของสังคม ทำชั่วมันยาก เพราะต้องเสี่ยงต่อการโดนลงโทษ เสี่ยงต่อการโดนปฎิเสธจากสังคม ฯลฯ แต่ถ้ามองในแง่ของปัจเจกแล้ว การทำชั่วนั้นง่ายมาก เพราะกิเลสเกิดขึ้นง่าย การพยายามเอาชนะกิเลสนั้นยากที่สุด ลองคิดง่ายๆ ถ้าคุณเห็นผู้หญิงโป๊อยู่ตรงหน้า อารมณ์หื่นเกิดขึ้นทันทีไหม แล้วคุณต้องพยายามแ่ค่ไหนในการดับอารมณ์หื่นนั้นๆโดยวิธีต่างๆ(ข่มใจรอเวลาผ่านไป/หาทางระบาย/ถ้าเขาไม่ยอมแล้วทำไง?) การทำชั่วโดยส่วนใหญ่ เป็นการกระทำที่สนองกิเลสขั้นพื้่นฐานที่มีผลในการละเมิดตัวเองและคนอื่น โดยมีแรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณดิบต่างๆ ทำให้เกิดแรงผลักดันในการกระทำที่มากกว่าการทำดี ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความต้องการของสัญชาตญาณดิบ เลยต้องใช้ความพยายามมากกว่าในการกระทำชั่ว แต่การหักห้ามใจที่ไม่ให้ทำชั่ว เพราะกลัวผลของการลงโทษ ก็เป็นแค่การข่มให้กิเลสลดลงระดับหนึ่ง ไม่ได้เป็นการตัดกิเลสออกจริงๆ และพร้อมที่จะปะทุขึ้นมาได้อีกทุกเมื่อ เพราะไม่ได้เข้าใจว่าสิ่งที่ทำไม่ดีจริงๆ แค่กลัวผลที่ตามมาด้านอื่นๆของมันเฉยๆ คนเราก็เลยยังหลงมัวเมาในกิเลส ไม่รู้ตัวไงครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 29 ส.ค. 50 17:04:22 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แค่ทำให้ไม่เดือดร้อนใครและอะไร ก็ไม่เรียกว่าชั่วแล้ว ^^ จากคุณ : Epinephrine - [ 29 ส.ค. 50 17:17:28 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่ทำไรง่ายสุดครับ ทำชั่วสำหรับผมมันยากนะครับ จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 29 ส.ค. 50 17:19:05 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เราว่าทำดีง่ายกว่าอะ จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 29 ส.ค. 50 17:47:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏค่ะ จากคุณ : Oohopank13 - [ 29 ส.ค. 50 17:58:51 ]

ความคิดเห็นที่ 24 โกหกนี่ชั่วไหมครับ ถ้าโกหกแล้วทำให้คน รอดตายได้เนี่ยจะโกหกไหมครับ ฆ่าคน 1 คนนี่บาปไหมครับ ถ้าฆ่าคน 1 คนแล้วจะทำให้อีก 10 ชีวิต รอดตายได้จะฆ่าไหมครับ จะดี จะชั่วอยู่ที่ใจ ไม่ต้องให้ใครมาตัดสินหรอก จากคุณ : Ice-man - [ 29 ส.ค. 50 18:39:11 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าทำดีในระดับที่ต้องใช้ปัจจัยอื่นๆเกื้อหนุน เช่นต้องการสร้างโรงเรียนให้เด็กยากไร้ แล้วเราไม่มีทุน ต้องวิ่งหาทุน....ยาก ถ้าทำดีแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หักห้ามกิเลส ไม่นอกใจ ไม่ฆ่าสัตว์...ง่าย ถ้าทำชั่วโดยไม่มีสถานการณ์และแรงจูงใจ ยาก...แต่หากมีสถานการณ์บีบบังคับ มีแรงจูงใจให้กระทำ ถือว่าง่าย ถ้า จขกท. ตั้งคำถามทางจิตวิทยา .....ยี่สิบกว่าคำตอบตอนนี้ เหมือนไม่มีใครเล่นด้วยเลย กลายเป็นการวิเคราะห์ โต้แย้งกันไปหมด ..........เพราะมันไม่ใช่คำถามที่ง่ายต่อคำตอบเหมือนกับ กล้วยกับส้ม ให้เลือกว่าจะกินอะไร... จากคุณ : khorbfaa - [ 29 ส.ค. 50 18:55:04 ]

ความคิดเห็นที่ 26 #24 โกหกที่ผิดศีล คือการพูดเรื่องไม่จริงเพื่อผลประโยชน์ตัวเองหรือทำให้เขาเสียผลประโยชน์ครับ ส่วนการโกหกเพื่อช่วยคนนั้นไม่ผิดศีลครับ เช่นพูดให้กำลังใจ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเค้าคงไม่รอดแน่ แบบนี้ไม่ผิดเลย คุณก็รู้อยู่แล้วนี่นา ว่ามันขึ้นกับใจตัวเองขณะกระทำการใดๆ จริงๆเรื่องศีลมันละเอียดมาก ไม่ได้ขึ้นกับตัวอักษรเหมือนกฎหมายครับ #25 เจอยุงกัด ทำไงครับ เคยเผลอตบยุงไหม ^^  เจอหมาวิ่งไล่กัดเราอาจไม่ฆ่ามัน แต่ทำไมเจอยุงกัดแล้วเราฆ่า? เรื่องแบบนี้เหมือนจะง่าย แต่มันก็ไม่ง่ายหรอก ขึ้นกับสถานการณ์จริงๆน่ะแหละ การทำชั่วเล็กน้อยทำง่าย แต่ทำชั่วยากๆก็ทำยากขึ้น แต่โดยรวมแล้ว การเอาชนะกิเลส(ทำดี) มันยากกว่าเยอะ เพราะต้องฝืนสัญชาตญาณดิบของตัวเองครับ การทำกรรมใดๆ ผลจะดีหรือไม่ดีขึ้นกับเจตนาขณะนั้นเป็นหลักครับ(เจตนาของจิตมีผลแรงกว่าผลลัพธ์เชิงกล) แต่การกระทำที่ไม่ดีบางอย่างถึงจะทำไปด้วยเจตนาดี เพื่อช่วยคน แต่มันก็อาจมีความรู้่สึกไม่ดีขึ้นมาชั่วแวบได้  มันก็ได้ืทั้งกรรมดีและไม่ดี เช่นฆ่าสัตว์ป่า เพื่อช่วยอีกคน ถึงตอนเราคิดจะช่วยอีกคนเป็นกรรมดี แต่ชั่วแวบที่เราสัตว์ตัวนั้น จะเกิดจิตสังหารขึ้นมา ไอ้จิตนี้แหละ ที่ดึงเราลงต่ำครับ ต่อให้เป็นฆาตกรเลือดเย็น ก็ยังรู้สึกถึงการฆ่าในชั่วแวบอยู่ดี ปุถุชนธรรมดา ตัดตรงนี้ยากจริงๆครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 29 ส.ค. 50 19:20:16 ]

ความคิดเห็นที่ 27 การกระทำอย่างเดียวกัน คนหนึ่งมองว่าทำดี อีกคนมองว่าทำชั่ว แล้วอย่างไหนคือสิ่งที่ถูกต้องล่ะ จากคุณ : silverspider - [ 29 ส.ค. 50 19:27:47 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมว่าไม่ทำอะไรเลยยากสุดนะ  อย่างน้อยก็ต้องทำดีชั่วซักอย่าง จากคุณ : Munch - [ 29 ส.ค. 50 19:28:24 ]

ความคิดเห็นที่ 29 #27 มองเจตนาขณะที่ทำสิครับ คนอื่นไม่เกี่ยวเลย เพราะจะดีจะชั่วก็อยู่ที่จิตของเราขณะทำทั้งนั้น จากคุณ : ....4จุด - [ 29 ส.ค. 50 19:56:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เชื่อว่า เดี๋ยวจะมีคนเอาพุทธวจจะ มาเฉลย จากคุณ : Deckard - [ 29 ส.ค. 50 20:02:07 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เลิกงานแล้วครับ เป็น trick question ที่ผมถูกถามก่อนขานนาคครับ ผู้ที่เคยอุปสมบทในบางวัดมาก่อนอาจเคยถูกตั้งคำถามแบบนี้ ผมตอบพระอาจารย์ว่า "ทำชั่วง่ายกว่าครับ" คำตอบมีคนในนี้ตอบถูกไปแล้ว พระอาจารย์เฉลยง่ายๆ คนที่ตอบว่าทำชั่วง่ายกว่า ก็มีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่ไม่ดีได้ง่ายๆ คนที่ตอบว่าทำดีง่ายกว่า ก็มีแนวโน้มที่จะมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่า ผมมันอยู่กลุ่มคนไม่ดีครับ -_-" เถียงพระอาจาย์ต่อว่าเอามาตรฐานที่ไหนมาวัดดีหรือชั่ว พระอาจารย์ตอบว่าดีหรือชั่วมีมาตรฐานเดียว แต่มนุษย์ผู้มีกิเลสก็ย่อมทำใจยอมรับยาก สมมติว่าขโมยของจากร้านไปให้แม่ที่ป่วยกิน หลายคนอาจมองว่าคนที่ขโมยทำดีด้านกตัญญู แต่อาจจะลืมมองไปว่ามีใครเดือดร้อนเรื่องนี้อีกหรือเปล่า ลูกจ้างเฝ้าร้านอาจโดนตัดเงินเดือนทั้งๆที่ตัวเองก็ต้องเลี้ยงดูแม่เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ผมห้อยหลวงพ่อไว้เพียงเพื่อเตือนใจไม่ให้ตัวเองกระทำชั่ว ศาสนายังเป็นสิ่งที่สวยงามและแยบยลในความคิดผมอยู่เสมอ ขอบคุณทุกความเห็น ห้องหว้ากอเป็นที่ของนักคิดจริงๆครับ จากคุณ : maphiroth - [ 29 ส.ค. 50 21:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เราคิดๆดูแล้ว มันก็ยากง่ายๆพอๆกันหละ แต่ก็ยังเชื่อว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เข้ามากระทบ....ถ้าจนมาก บางทีอาจขโมย และโกหก บางคนชีวิตอยู่ในวิถีทางที่ไม่รู้จะทำเลวตอนไหน ทำไปทำไม คุณสี่จุด...เราไม่ฆ่ามดฆ่ายุงมาตั้งแต่ประมาณม.ต้น ยี่สิบปีแล้ว ไม่ได้ทำเพราะบาปรึอะไร แต่มันรู้สึกฆ่าไม่ลง รู้สึกผิด รู้สึกว่ามันคือการฆ่า รู้สึกว่ามันคือชีวิต...เวลาล้างจานนี่ลำบากมากต้องเอามดไปเคาะให้ออกไปก่อน คืออันนี้คือโรคจิตรึเปล่าไม่ทราบ...(แต่เราว่าไม่เกี่ยวกะความดี เพราะเราไม่ใช่คนดีเท่าไหร่) แต่ถ้าพูดถึงมนุษย์โดยรวม คงใช่ค่ะ คือ ง่ายต่อการทำชั่ว(บางชนิด) เพราะหากมาวิเคราะห์กันในแง่ของศาสนา เรามีความรู้กะจิ๊ดริดมาก เพราะแสวงหาแบบน้อยนิด  อ่านหนังสือศาสนาไม่กี่เล่ม อาจเพราะขาดศรัทธา ต่อวิถีของพุทธในขณะนี้...เราอยากได้คุยกับพระที่คิดคล้ายๆกับท่านพุทธทาส...แต่เราไม่เคยดั้นด้นแสวงหา เราจึงไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหนกันบ้าง ส่วนพระรูปอื่น เราศรัทธาในบางแนวทางเท่านั้น ขอคุยวิเคราะห์แบบคนมีความรู้น้อย และอาจคิดแคบๆ ไม่ถี่ถ้วน ไม่รู้จริง... เราเชื่อใน ดี เลว ย่อมมีเพื่อความสมดุล เหมือนสีดำขาว หากวาดสีดำลงบนกระดาษขาว ย่อมชัดเจนกว่าวาดสีดำลงบนกระดาษสีดำ หรือวาดสีขาวลงบนกระดาษสีขาว...สิ่งหนึ่งย่อมชัดเจนเมื่อมีอีกสิ่งที่แตกต่าง มนุษย์ย่อมเจอทั้งช่วงดีช่วงร้ายสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามา เพื่อให้เรียนรู้ เพื่อให้แข็งแกร่ง เพื่อทำความเข้าใจ ....และที่สุดจึงก่อให้เกิดศรัทธาและศาสนา เคยอ่านนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องนึง ของนักเขียนไทย เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ที่คิดทดลองลบความทรงจำที่เจ็บปวด เขาเลือกผู้ชายคนหนึ่งมาทดลอง ผู้ชายคนนี้เคยมีภรรยาที่ไม่ดีกับตัวเองมากๆ เขาทำงานอยู่ในโลกใต้ดิน ที่เงินดี แต่มีชีวิตอันหดหู่ ชายคนนี้ถูกลบส่วนของความทรงจำที่ไม่อยากจำไปจนหมดสิ้น ...เขาจำไม่ได้ว่าภรรยาทำร้ายเขาขนาดไหน เขาจำไม่ได้ว่าเคยมีความทุกข์และความเจ็บปวด ชีวิตมีแต่ความสุข เขาเดินเข้ามาในบาร์ วันแรกหลังจากถูกลบมันออกไป ราวกับคนที่ไม่เคยมีความทุกข์ในชีวิต วันหนึ่ง ศพของภรรยาที่ถูกสัตว์ทำร้ายถูกส่งมาถึงบ้านด้วยสภาพที่เลวร้ายสุดๆ ร่างกายฉีกขาดจนน่ากลัว.... คนที่ไม่เคยมี่ความทุกข์เป็นภูมิคุ้มกัน....เมื่อเจอกับทุกข์แรกในชีวิต...เขาเหลือเพียงความทรงจำดีๆกับภรรยา....ขณะนี้ผู้หญิงที่ดีกับเขา รักเขา และเขารักเธอที่สุด เพิ่งถูกฆ่าตายด้วยสภาพอันน่าตระหนก...ซึ่งจริงๆแล้วเขากับภรรยาเลิกรักกันมานานแล้ว(จำไม่ได้ว่าเธอมีชู้รึเปล่า) คงเดาได้ว่าเขาจะเป็นยังไง ...ไม่เคยแม้แต่ผ่านการร้องไห้เพราะถูกพ่อแม่ดุ(ในความทรงจำ) ไม่ได้หมายความว่า ทำชั่วไปเถอะเพราะโลกนี้ต้องมีทั้งชั่วและดี แต่เราเชื่อว่ามนุษย์ได้สมองมาเพื่อพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น และความชั่ว(กิเลส) ก็เป็นแรงขับเพื่อการดิ้นรนเอาตัวรอด อันมีผลต่อสังคมทั้งในทางดีและเลว  สงครามครูเสดนำไปสู่การเลิกมีแลนด์ลอร์ด ...เกิดการพัฒนาในเรื่องการค้า และนำโลกตะวันตกกับตะวันออกมาใกล้ชิดกันมากขึ้น แม้แต่ในคนๆเดียวกัน ที่ทำความชั่วมาเยอะมาก ...อยู่มาวันหนึ่งก็นึกละอายต่อสิ่งที่ตนได้ทำมา จึงพูดว่า "ไม่อยากทำชั่วอีกต่อไปแล้ว" ความชั่วจึงเป็นแรงผลักให้เกิดความละอายให้อยากทำความดี ชินเลอร์....เคยเป็นพ่อค้าที่คิดแต่เรื่องผลกำไร....หาผลประโยชน์จากการฆ่า(สงคราม) แต่วันหนึ่งกลับทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ช่วยคนให้รอดตายด้วยเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ตนเองมี กิเลส ทำให้คนดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองและครอบครัวอยู่รอด...(มนุษย์จำเป็นต้องสร้างครอบครัว) ทำให้คนอยากได้จึงต้องออกไปทำงาน หาเงิน....อยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดีๆ อยาก อยาก และอยาก... ตัณหา...ทำให้เกิดเซ็กส์ ซึ่งมนุษย์ก็จำเป็นต้องดำรงเผ่าพันธ์ สิ่งที่น่าทึ่งคือ มนุษย์ต่างดิ้นรนแสวงหาคำตอบให้กับเผ่าพันธุ์ของตนเองอยู่ตลอดเวลา จากคุณ : khorbfaa - [ 29 ส.ค. 50 21:09:41 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อะไรคือ ความดี อะไรคือ ความงาม อะไรคือ ความจริง จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 29 ส.ค. 50 21:28:12 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ที่คุณ khorbfaa ไม่ฆ่าสัตว์แม้่จะเป็นสัตว์เล็ก ไม่ว่าจะคิดจากอะไร ก็ขออนุโมทนาด้วย การตระหนักว่าสิ่งไหนเลวหรือไม่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องลองด้วยตนเองเสมอไป เหมือนๆกับที่เรารู้ว่าเฮโรอีนหรือยาเสพติดชนิดร้ายแรง มันไม่ดีทั้งๆหลายคนไม่มีโอกาสลองเอง แต่ก็อย่างว่า บางทีมันก็ต้องเจอด้วยตัวเองจังๆ ถึงจะฉุกคิดกลับมาสนใจ สิ่งที่ตัวเองมองข้ามไปตลอดครับแต่บางครั้งมันก็เกือบสายเกินไปเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าคิดได้ก่อนมันก็คงดีกว่า เพราะความดีความเลว มันหักล้างกันไม่ได้ แม้ว่ามันจะเจือจางกันได้ก็จริง(ความเลวเหมือนเกลือ ความดีเหมือนน้ำ) แต่หากทำผิดพลาดครั้งใหญ่ไปมันก็คงเสียเวลามากๆกว่าที่จะกลับมายังจุดเดิมได้ ยิ่งพูดยิ่งเข้าศาสนา เดี๋ยวจะผิดความตั้งใจของจขกท.ที่อยากถามในเชิงhumanism เอาเป็นว่า เพราะเราไม่รู้ความจริง เราจึงทำต่อไปซ้ำๆไม่รู้จบไงครับ ถ้าคิดว่าการวนเวียนมีสุข มีทุกข์ สลับกันไปไม่รู้จบ โดยลุ้นสิ่งที่จะเข้ามาว่าสุขหรือทุกข์ คือสิ่งที่คุณแสวงหาแล้ว คืิอความสุขในการใช้ชีวิตแบบคุณแล้ว ก็ไม่ต้องทำหรือค้นหาอะไรให้มากกว่านี้แล้วล่ะ ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ พยายามทำสิ่งที่คิดว่าดีหรืออยากจะทำ คุณก็จะได้เจอแบบที่คุณเจอเรื่อยๆเอง ที่เราเกิดไม่รู้จบ ตายไม่รู้จบ(ถ้าจะมองว่าเกิดดับทุกขณะจิต ก็มองได้)  ก็เพราะกิเลสตัวเดียว(สัญชาตญาณดิบซะัมาก)ที่มันอยากไม่ีรู้จบและผลักดันให้วนเวียนไปแบบนี้(จะเรียกว่าสมดุลในโลกก็ได้มั้ง) แต่มนุษย์ต่างจากสัตว์โลกอื่นๆ ตรงที่มีโอกาสในการพยายามค้นหาความจริงนี่แหละ ่ถ้าคุณเบื่่อวงเวียนไม่รู้จบนี้เมื่อไร ค่อยว่ากันอีกที ผมไม่แ่น่ใจว่าที่คุณพูดว่าไม่ชอบแนวทางพุทธปัจจุบันคือเรื่องไหน แต่ เรื่องบางเรื่อง ใช้ตรรกะคิดแทบตายก็คิดไม่ออก แต่ถ้าปฎิบัติจนจิตพร้อมเมื่อไร มันก็เห็นเอง  พระพุทธเจ้าเสนอทางไว้แล้ว(มรรค8) อยากไปต้องลองครับ มัวแต่ดูแผนที่ แต่ไม่ลองเดินด้วยตัวเองสักที ก็คงไม่ได้อะไรมาก จากคุณ : ....4จุด - [ 29 ส.ค. 50 22:18:57 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณสี่จุด...จริงๆแล้วเราพอจะเข้าใจและเชื่อในเรื่องการไม่สร้างกรรม(ซึ่งเป็นผลของการกระทำ) เพื่อหลุดพ้นจากวงเวียน เท่าที่พอเข้าใจก็คือ แรงสั่นสะเทือนของจิต ณ ขณะ ที่ทำ ทั้งกรรมชั่วและกรรมดี...ซึ่งหากต้องหลุดไปจากวัฎจักรนี้ คือต้องไม่สร้างซักกรรม ทั้งดีและชั่ว แนวทางพุทธ ในปัจจุบันนี้ ที่เราไม่ชอบ ไม่ได้เกี่ยวกับคำสั่งสอนที่มีอยู่เดิม...แต่เราอยู่ในสังคมพุทธ เห็นคนพุทธส่วนใหญ่ที่ยังยึดติดกับวัตถุ เครื่องราง ของขลัง...และพระเกจิอาจารย์ที่โด่งดังมักมาพร้อมกับเรื่องราวอันน่าพิศวง อิทธิปาฎิหาริย์ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าพระเหล่านั้นท่านดีหรือไม่ดี....แต่คนพุทธส่วนใหญ่กลับมองข้ามความเป็นผู้สืบทอดศาสนาชั้นยอดของท่านเหล่านั้น....แล้วไปให้ความสำคัญกับปาฎิหาริย์มากกว่า แต่ก็แน่นอน ย่อมมีผู้ได้ประโยชน์ในทางที่ถูกต้องไปด้วย...เพียงแต่ว่าเป็นกลุ่มที่เล็กเหลือเกิน คนที่เข้าใจศาสนาอย่างคุณสี่จุด...เราพบได้น้อยมากในสังคมรอบด้าน เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง คนรู้จัก พวกเขาส่วนใหญ่จึงได้ประโยชน์เพียงกะจิ๊ดริดจากคำสอนอันยิ่งใหญ่...ทำความดีละเว้นความชั่ว....ถ้าคิดเพียงเท่านี้ แม้สังคมจะดี ชีวิตจะดี แต่ ทุกศาสนาสอนในสิ่งนี้เช่นกัน ....แล้วมันจะเป็นพุทธได้ยังไง...ศาสนาพุทธมีอะไรมากกว่านี้....ศาสนาคริสต์....อิสลาม.....อื่นๆ ก็มีอะไรมากกว่านี้เช่นกัน แต่เราพบว่า ศาสนาพุทธอาจยากเกินไปในการเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ส่วนใหญ่.....เราว่าศาสนานี้เป็นศาสนาของผู้มีปัญญา มนุษย์โดยปกติยังคงต้องการที่พึ่งทางใจ (โดยเฉพาะในสังคมที่ไม่รู้จะพึ่งตรงไหน) และเราพบว่า คำสอนของศาสนาพุทธ อาจนำมาใช้ได้ดีในเชิงปรัชญาในการดำเนินชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องถือเป็นศาสนา(สำหรับบางคน) พระพุทธเจ้าเป็นฮีโร่สำหรับเรา แต่เราก็อาจเชื่อในพระเจ้าด้วย เราทึ่งในคำสอนบางอย่าง เช่น รัก และ ให้อภัย คุณสี่จุดพูดประมาณว่า เพียงดูข่าวอลัชชีบางคนแล้วตัดสินศาสนาว่าเสื่อม...เราไม่ได้เพียงดูข่าวอลัชชี....เราดูญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ข่าวสังคม เศรษฐกิจ การเมือง บันเทิง....คนเหล่านั้นส่วนใหญ่คือพุทธ ไม่ได้หมายถึงดีหรือเลว....แต่เราไม่เห็นความเป็นพุทธโดยแท้จริงจากพวกเราส่วนใหญ่....เราไม่ค่อยเจอคนที่คิดอย่างคุณสี่จุด(ขอโทษนะคะ เพราะใช้แลปทอปพิมพ์เปลี่ยนเป็นตัวเลขไม่ถนัด) คุณเองก็คงรู้ว่าคนที่สนใจศาสนาจริงๆอย่างคุณเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมนี้ เราจึงเลือกที่จะนำหนทางของศาสนาพุทธมาใช้เพื่อคิด(เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้นล้ำเลิศมาก) และเชื่อในพระเจ้า เพราะพระเจ้าบอกให้คนรักและให้อภัย (แม้แต่พระองค์ก็ยังพร้อมให้อภัยผู้ผิดและหลงทาง) ส่วนพิธีกรรมทางศาสนาพุทธเราเชื่อว่า ในระดับที่พอดี มันมีประโยชน์และช่วยดำรงศาสนานี้ไว้....แต่หากมันซึมเข้าไปถึงระดับความเชื่อของคน มันจะกลายเป็นความงมงาย กลายเป็นกฎ (เราไม่ได้พนมมือเมื่อพระสวด แต่เราทำสมาธิเพื่อนิ่งฟังในขณะนั้น แม้จะไม่รู้เรื่องในภาษาบาลีสักนิด) .....กุศโลบาย บางทีก็ทำให้คนเข้าถึงศาสนา แต่ถ้าคนที่ขาดปัญญา ก็แทบจะนับถือสิ่งที่เรียกว่ากุศโลบายเสียยิ่งกว่าคำสอนอันล้ำเลิศของอันเป็นหัวใจของศาสนา... ด้วยว่าเรายังโง่อยู่เลยคิดได้เท่านี้....หวังว่าหนทางของพุทธจะทำให้เราเกิดปัญญามากยิ่งขึ้นในอนาคต จากคุณ : khorbfaa - [ 29 ส.ค. 50 23:06:28 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คิดยังไงกับคนที่กล่าวว่า "คนที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกเป็นคนพาล" ครับ จากคุณ : silverspider - [ 30 ส.ค. 50 00:43:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" นี้เป็นความจริง อันไม่ตาย คือ ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง แม้จะมีคนในสมัยหนึ่ง เกิดระแวงว่า ทำไม คนทำชั่ว กลับร่ำรวยเร็ว คนทำดี กลับยากจนลง หรือเป็นอยู่ด้วยความยากลำบากก็ตาม ความจริง ก็ยังคงเป็นความจริงว่า "ทำดีได้ดี, ทำชั่วได้ชั่ว" อยู่ตามเดิม ไม่โยกคลอน. ทำดีได้ดีแน่ เพราะมันดี อยู่ที่ตัวการกระทำนั่นเอง และมันดีเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อทำ แต่ที่มันจะได้เงินหรืออื่นๆ ด้วยหรือไม่ นั่นเป็นอีกส่วนหนึ่ง แม้ทำชั่ว ก็เป็นอย่างเดียวกัน มันชั่วอยู่ที่ตัวการกระทำนั่นเอง ไปทำเข้า มันก็ชั่ว มาเสร็จแล้ว ตั้งแต่เมื่อทำ จะได้เงินด้วยหรือไม่ นั่นอีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้น "ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว" โดยไม่มีทางหลีกไปทางไหนพ้น. ทำดีได้ดี และถ้าได้เงินมาด้วย มันก็เป็น "เงินดี" ทำชั่วได้ชั่ว และถ้าได้เงินมาด้วย มันก็เป็น "เงินชั่ว" เงินดี ทำเจ้าของให้เป็นเจ้าของที่ดี เย็นอกเย็นใจ เงินชั่ว ทำเจ้าของให้เป็น "ปีศาจ ผู้สูบเลือดมนุษย์" ฉะนั้น แม้จะได้เงินมามาก ด้วยการทำชั่ว ก็มีแต่จะยิ่งทำเจ้าของให้เป็น "ปีศาจ" มากยิ่งขึ้น ตามส่วนนั่นเอง. ฉะนั้น ความจริง คงหนีความจริงไปไม่พ้น ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" อยู่จนตลอดกัลปาวสาน เป็นอย่างน้อย. ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ คัดจาก หนังสือ ชุมนุมข้อคิดอิสระ พุทธทาสภิกขุ   พิมพ์ ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๓๘ โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ จากคุณ : silverspider - [ 30 ส.ค. 50 00:48:05 ]

ความคิดเห็นที่ 38 #36 คนๆนั้นไม่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก ... เอ หรืออาจจะเชื่อก็ได้นะ จากคุณ : Catwater (Catwater) - [ 30 ส.ค. 50 01:48:45 ]

ความคิดเห็นที่ 39 นั่นสิแค่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกก็กลายเป็นคนชั่วร้ายแล้ว ทำไมกัน หึหึ จากคุณ : silverspider - [ 30 ส.ค. 50 02:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เอาอะไรมาวัดว่าดีไม่ดี จากคุณ : Jump.Jr - [ 30 ส.ค. 50 11:31:53 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คำถามเหมือนไก่ กับ ไข่... แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 50 11:20:10 จากคุณ : คนบ้านสามขา101ฯ. - [ 31 ส.ค. 50 11:17:39 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ทำดีง่ายกว่าแน่นอน มนุษย์เกิดมาเพื่อทำความดีเท่านั้น การทำความชั่วเป็นการอยู่อย่างฝืนใช้ชีวิต ทำดีได้ทันทีที่มีโอกาส ทำชั่วไม่ได้ทันทีเพราะใจเราจะละอายต่อบาปก่อนเสมอ จากคุณ : นายน้ำแข็ง - [ 31 ส.ค. 50 15:39:55 ]