ความคิดเห็นที่ 1 เหตุผลคือ รู้สึกว่าไม่ได้ต้องการอะไรไว้คอยยึดเหนี่ยวจิตใจ คิดเองได้ ทำเองเป็น และก็ไม่มีอะไรช่วยเราได้นอกจากตัวเอง จากคุณ : bymnster - [ 15 ก.ย. 50 00:07:46 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเป็นกรณีที่สอง มาจาก LOGIC ที่ว่า " ศาสนามีตั้งหลายศาสนา ถ้ามีอันใดอันหนึ่งที่เป็นของจริงศาสนาอื่นมันก็ไม่น่าจะมี เพราะพระเจ้าศาสนาที่ 1 คงไม่ปล่อยให้สร้างศาสนาที่สอง และไม่ปล่อยให้ศาสนาที่ไม่จริงโผล่มา ดังนั้นมันไม่น่าจะมีจริงทั้งหมด ถ้าผมสร้างศาสนา Keropy นับถือเทพกบ แล้วมีปัญญาเผยแพร่มันก็จะเป็นศาสนาเคโระปี้มั่วๆ อีกอันนึงที่วนเวียนในโลก" เหตุจูงใจเนื่องจากศาสนานับถือไปก็ไม่ได้อะไร ช่วงเริ่มเสื่อมศรัทธาในศาสนาพุทธ อ้างกรรมอ้างเวร เรียนปีหนึ่งไปอ่านไบเบิ้ลเพื่อน รู้สึกว่ามันเป้นไรที่ไม่น่าเชื่อถืออย่างเเรง เจอเพื่อนขายตรงมันก็พูด เหมือนกะพวกชวนเข้าศาสนาคริสตร์ไปเข้าโบสถ์ ก็ได้ยินเเต่ เรื่องที่ต้องเปิดใจให้พระเจ้าเเล้วพระเจ้าจะสถิตย์ในใจท่าน คุณต้องเปิดใจเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เราดีจริง ส่วนศาสนาอิสลามไม่มีคัมภีร์อังกุลอ่านให้อ่านเพราะมันไม่มีภาษาไทยก็เลยไม่ได้อ่าน จากคุณ : Chaos dragon - [ 15 ก.ย. 50 00:20:32 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตาม คห.1  สิ่งที่คุณพูดมานั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนไว้กว่า 2500 ปีแล้วนี่ครับ ถามจริงๆ...คุณแน่ใจหรือว่าคิดได้เอง ไม่ได้รับฟังใครมา แล้วรับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว จากคุณ : manussp - [ 15 ก.ย. 50 00:25:15 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ก็ แค่เราทำดี ก็ พอแล้วเลยมะค่อยจะศรัทธาในศาสนาใด จากคุณ : zup (mukmook) - [ 15 ก.ย. 50 00:26:30 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เด็กๆนับถือพุทธ เลิกนับถือศาสนาตอนไหนยังไม่รู้เลย เอาเป็นว่าไม่มีภาพโลกกลมมาให้เห็น ผมเชื่อว่าโลกแบนไว้ก่อน เพราะมันจริงที่สุดในปัจจุบัน จากคุณ : chidkido - [ 15 ก.ย. 50 00:37:01 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ครอบครัวผมแม่เป็นคนหัวสมัยใหม่เพราะเป็นนักข่าวที่เคยทำงานกับ BBC ดังนั้นจึงไม่ค่อยเชื่อ(แต่ช่วงแก่ๆมาแกเชื่อ) ส่วนพ่อผมก็เป็นนักวิศวกรเคมี/เคมีอุตสาหกรรม ซึ่งบรรยากาศของที่บ้าน ทำให้ผมได้รับความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เชิงสาระความรู้ง่ายๆรอบๆตัว แล้วก็ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่จำความได้ บรรยากาศมันก็เลยค่อนข้างเป็นในแบบที่ไม่เคร่ง แม้ว่าพวกท่านจะพาไปวัดไปทำบุญอยู่บ้าง ตามโอกาสอำนวย คนเราจะเชื่อ หรือไม่เชื่ออะไร ก็อาจจะเป็นอย่างใน คห.2 บอก คือมันจะเริ่มมาจากการเสื่อมศรัทธากับอะไรบางอย่างก่อน แล้วไปหาแนวคิดใหม่ คนเราก็คงค้นหาตลอดเวลา แล้วเลือกเชื่อสิ่งที่ตัวเองสรุปได้ ทุกคนก็เป็นแบบนี้ แม้ว่าจะโตมากับวิทยาศาสตร์ เพราะถูกสอนให้มองอย่างนั้นมาตั้งแต่จำความได้ โดยพ่อของผม แต่ผมเองก็เริ่มมองอย่างอื่นนอกจากวิทยาศาสตร์เหมือนกันตอนที่โตขึ้น ก็เริ่มอ่าน เต๋า เซ็น พุทธ ถามเรื่องไบเบิลจากเพื่อนรุ่นน้อง อ่านหนังสือจิตวิทยา ลงเรียนวิชาจิตวิทยาทั่วไป แล้วก็คอยถามตอบกระทู้ในห้องศาสนานิดๆหน่อยๆ สนทนากับพระบ้าง และในตอนนี้ผมก็พยายามที่จะเปิดกว้าง เพื่อสอบเทียบความถูกต้องของแนวคิดต่างๆ และยังไม่สรุป เพราะความคิดยังไม่ตกผลึก แม้ว่าคงจะไม่ได้เชื่ออะไรเป็นตุเป็นตะอย่างอิทธิปาฏิหาริย์อะไรต่างๆ โดยไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นมารองรับ ผมยังคงไม่สรุป แต่มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เราไม่น่าจะโกรธคนที่เชื่อไม่เหมือนกันเรา และพยายามจะทำร้ายกันอย่างกับโกรธแค้นกันมานานปี เพราะอย่างน้อยความหลากหลายที่มี มันก็ทำให้โลกนี้ไม่น่าเบื่อ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 15 ก.ย. 50 00:48:06 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตาม คห.2  ศาสนามีหลายศาสนาเป็นจริงครับ แต่ที่ตั้งมั่นอยู่ได้ ทนทานต่อการพิสูจน์ และมีผู้คนเชื่อถือศรัทธามากนั้นมีน้อย (ผมขอไม่พูดเรื่องพระเจ้านะครับ) คุณเผยแพร่ความเชื่อของคุณได้ แต่ใครกี่มากน้อยจะศรัทธาคุณเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากคุณ : manussp - [ 15 ก.ย. 50 00:49:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ที่บ้านเคร่งศาสนาครับ ยึดมั่นเรื่องคุณงามความดี ทำบุญตักบาตร ทำความดีรักษาศีล ฯลฯ ดูดีนะครับ แต่บังเอิ๊นบังเอิญ คล้ายกับจารย์เดี้ยงครับ คือพ่อเป็นวิศวกร และปลูกฝังความคิดทางวิทยาศาสตร์มาตลอด และเริ่มมาสนใจศาสนาตอนเรียนม.ปลาย ศึกษาศาสนาทุกศาสนาเท่าที่ทำได้ แม้จะไม่ลึกซึ้ง แต่สิ่งที่ได้ก็คือ "ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี" จริงๆ ครับ ดังนั้นสิ่งที่ผมยึดถือและนับถือจึงไม่ใช่ตัวศาสนาครับ แต่เป็นความดีตาามแนวทางที่ศาสดาแต่ละท่านสอนไว้ ศาสนายังทำให้คนเกิดความแตกแยกได้ แต่ความดีเป็นสากลครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 15 ก.ย. 50 01:03:37 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตาม คห.4  ความดีที่พูดถึงกันอยู่ทุกวันนี้ ก็คือความดีตามที่ศาสนาบัญญัติ แต่ถ้าใครพูดว่าทำความดีแต่ไม่นับถือศาสนา ผมว่าแปลกๆแปร่งๆนะครับ ความดีของพวกไม่มีศาสนาเป็นอย่างไรหรือครับ เขาคิดได้เอง...หึหึ คุณ คห.4 พูดเพียงว่าไม่ค่อยศรัทธานั่นเป็นปรกติ เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน จากคุณ : manussp - [ 15 ก.ย. 50 01:07:58 ]

ความคิดเห็นที่ 11 พ่อผมไม่นับถืออะไรเลย ไม่กราบไหว้ บูชาอะไรเลย โตมาผมก็ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องมีศาสนา แต่สนใจวิถีทางของธรรมชาติซึ่งก็คงคล้ายๆกับพุทธนิกายเซ็น เต๋า อะไรที่ไม่เน้นพิธีกรรม จากคุณ : Ninjax - [ 15 ก.ย. 50 01:36:07 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แบบที่สองครับ แต่ครอบครัวก็ไม่ได้เคร่งอะไรมาก ตอนเล็ก ๆ เขาสั่งอะไรก็ทำตามไป พอโตขึ้นมาคิดเองได้และเริ่มสนใจเรื่องศาสนาจนถึงจุดหนึ่งเห็นว่าไม่จำเป็นสำหรับผมเลยเลิกนับถือครับ จากคุณ : silverspider - [ 15 ก.ย. 50 01:54:13 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ความดีของผมคืออะไรครับ คือการกระทำที่ทำแล้วคนอื่นชอบใจพอใจ ไม่มีคนเดือดร้อนเพราะเรา ศาสนาก็พยายามจะหน่วงนำเป็นแนวคิดของตัวเองให้ได้ แล้วใส่ไข่เข้าไปอีกหน่อยให้คงขลัง เช่นทำแล้วได้ไปโน่น...ไปนี่ ตลกมาก ผมอยากไปก็ไม่เห็นได้ไปบ้าง ผมอยากไปเดี่ยวนี้ก็ไปไม่ได้ บอกว่าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ของเราก่อน ถึงจะไปได้(อีกแล้ว) อยากไปพร้อมกันเที่ยวเดียว 1 กรุ๊ปทัวร์ได้หรือเปล่า ....ไม่ได้ ให้ไปทีเดียวเป็นพันๆ คนแล้วเห็นเหมือนกันหมดมีหรือเปล่า...ไม่เคยมี ทำไมไปมาแล้วจำไม่ได้...เพราะโดนลบความจำทุกคน(เหอะๆ) บางพวกก็บ้ากระหายเลือด ต้องฆ่าคน ต้องทำลายชีวิต แล้วได้ขึ้นสวรรค์ เรื่องเหตุและผลพื้นฐานแค่นี้ต้องกราบไหว้ใครให้เสียแรงหรือไงถึงรู้ได้ ผมล่ะเบื่อ จากคุณ : Azureus - [ 15 ก.ย. 50 02:06:28 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ทุกข์มาปัญญาเกิด เวลาเจอ ความทุกข์แท้จริง...แบบสุดๆ ศาสนา ก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องเอง จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 15 ก.ย. 50 02:09:36 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมเป็นแบบที่ 2 ครับ ทั้งบ้าน ญาติครอบครัว พี่น้อง ลุงป้า น้าอา เป็นพุทธหมด ผมผ่าเหล่าไม่นับถือศาสนาใดๆอยู่คนเดียว แต่ผมจะเป็นแบบอ่อน ไม่แข็งกระด้าง เข้าวัดผมไหว้พระ เข้าโบสถ์ผมเคารพพระเจ้า ผมรับสิ่งดีๆมาจากศาสนา แต่ไม่รับความเชื่อหลายๆอย่าง เช่น พระพุทธเจ้าทรงเดินได้เองและมีดอกบัวมารองรับเมื่อประสูตร หรืพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก หรืออะไรอื่นๆ จาก คห.14 ชีวิตผมยังเจอทุกข์ไม่แท้จริงอีกหรือครับ เอาเป็นว่าผมคิดว่าผมอายุแค่ 18 เนี่ย ผมเจออะไรมาเยอะกว่าคนอายุ 30 บางคนเสียด้วยซ้ำ ผมผ่านปัญหาเหล่านั้นมาได้ ผมไม่ได้เอาศาสนามายึดเหนี่ยวเลย ตัวผมคือตัวผม ผมจะพึ่งใครได้ถ้าไม่พึ่งตัวเอง ศาสนาไม่มาเกี่ยวข้องเลยครับ อาจจะเกี่ยวข้องกับแง่ในการดำเนินชีวิตดีๆก็เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 08:49:04 จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 15 ก.ย. 50 03:11:51 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอถามคนที่ไม่นับถือศาสนา หรือเลิกนับถือศาสนาหน่อยครับ สมมติ ว่าอาจจะมีญาติๆ หรือที่ทำงาน ต้องประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ท่านไม่เข้าร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เลย หรือว่าไม่นับถือแต่ร่วมประกอบพิธีกรรม ได้ครับ ??? จากคุณ : THE_AR - [ 15 ก.ย. 50 03:12:23 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เกิดมาแล้วโดนจับให้นับถือศาสนาพุทธ โตมาในโรงเรียนคาทอลิก ที่บ้านไม่ได้เคร่งอะไร เฉยๆ กับเรื่องศาสนา ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า หรือกรรมเก่าแบบชาติปางก่อน(คือเชื่อเรื่องกรรมนะ แต่แบบถ้าเราทำแบบนี้ไป จะมีรีเฟลกกลับมายังไง ในแบบที่เป็นวิทยาศาสตร์หน่ะ) แล้วก็คิดว่าศาสนาคือเครื่องมือของชนชั้นปกครองที่ใช้กดขี่ ขีดกรอบคนใต้ปกครองมาแต่อดีต(ไม่ว่าจะศาสนาใด) แถมยังใช้เป็นเครื่องมือการแบ่งแยกคน เขา,เรา ทั้งๆ ที่ก็เป็นคนเหมือนกัน สำหรับเราศาสนาเลยไม่ใช่คำตอบ เลยไม่ศรัทธาค่ะ แต่ก็เป็นเพื่อนกับคนที่เคร่งๆ ได้นะ แต่เพื่อนก็จะรู้ เอ้อ ไอ้นี่มันไม่ศรัทธานะ จากคุณ : psycho patch - [ 15 ก.ย. 50 03:44:16 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แล้วไม่คิดว่าจะมีคนที่นับถือทุกศาสนาบ้างเหรอครับ จากคุณ : ขยะสังคม - [ 15 ก.ย. 50 04:01:30 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย แต่จิงๆแล้วผมว่าเค้าก็ยังมีความคิดส่วนหนึ่งที่สุดท้ายมันก็อยู่ในศาสนาอยู่ดีแหละ จากคุณ : moonmorning (moonmorning) - [ 15 ก.ย. 50 04:20:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตอนเรียนอยู่อเมริกา มีหลายคนถามถึงรายละเอียดของศาสนาพุทธ ผมตอบไม่ไ้ด้ ตอบได้แต่ประวัติ ตอบได้แต่ที่เรียนมา แต่ตอบประยุกตร์ไม่ได้ รู้สึกขายหน้า.......เอ....เราเป็นพุทธได้ไง ทำไมแค่นี้เราไม่รู้ จากนั้นมาก็เลยคิดว่าถ้าไม่รู้เราไม่ตอบ ถ้าเราตอบไม่ได้เราไม่เป็น ตอนนี้ไม่มีศาสนาครับ แม้แต่ในช้องบัตรปชช ยังเป็นขีดเลยครับ เดี๋ยวว่างๆแล้วเอารูปมาลงให้ดู จากคุณ : หมาหนังสือ - [ 15 ก.ย. 50 07:10:55 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เรื่องนี้เป็นเรื่องความศรัทธาส่วนตัว แต่ผมก็เคยมีประสบการณ์เห็นคนเป็นโรคร้าย ตอนใกล้ตายนี่พนมมือใหญ่ทั้งที่ปกติแทบจะไม่สนศาสนาเลย จากคุณ : hj - [ 15 ก.ย. 50 07:13:40 A:58.9.189.175 X: TicketID:145104 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ฟันธงได้ว่า  คนที่ตอบว่าไม่นับถือศาสนาใดๆ  อายุไม่ถึง 60  และไม่เคยเจอทุกข์หนักจริงๆ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 15 ก.ย. 50 07:15:26 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ลุงแมวเหมียวพุงป่องครับ บางคนอาจจะเจอทุกข์ที่หนักมาแล้ว แต่ก็สามารถหาทางออกได้โดยตนเองได้ จึงเชื่อมั่นตนเองมากกว่าศาสนา ก็ได้ครับ ส่วนคำถามเจ้าของกระทู้นั้น ไม่รู้ว่าผมจะเข้าข่ายไหมนะ เพราะผมไม่เรียกตนเองว่าไม่มีศาสนา เพียงแต่ว่าผมมีแนวทางของตนเอง เป็นข้อสองครับ เมื่อมีประสบการณ์และเริ่มที่จะเข้าใจความเป็นไปครับ ป.ล. ถ้าตอบคำถามพวกนี้ได้น่าจะเข้าใจขึ้นครับ ศาสนาคืออะไร แล้วทำไมสังคมจึงต้องมีศาสนา (หรือง่ายๆว่า ศาสนาทำหน้าที่อะไรในสังคมมนุษย์) จากคุณ : KL - [ 15 ก.ย. 50 08:07:24 ]

ความคิดเห็นที่ 24 จาก คห.20 รู้สึกขายหน้า.......เอ....เราเป็นพุทธได้ไง ทำไมแค่นี้เราไม่รู้ จากนั้นมาก็เลยคิดว่าถ้าไม่รู้เราไม่ตอบ ถ้าเราตอบไม่ได้เราไม่เป็น ***************************************** ผมติดใจคำพูดที่ว่า..."แค่นี้" ในประโยค "ทำไมแค่นี้เราไม่รู้" ...คุณคงคิดว่าศาสนาพุทธรู้ได้โดยง่ายซิเนอะ  อะไรกัน ไม่เรียนไม่ศึกษาก็ด่วนสรุปเสียแล้ว  ลองศึกษาดูหน่อยน่า..... จากคุณ : manussp - [ 15 ก.ย. 50 08:21:43 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เวลามีปัญหาศาสนาช่วยอะไรคุณได้มั่ง ผมเคยเจอเรื่องหนักๆมาเยอะ ผมว่าตั้งสติแก้ปัญหาเองยังดีกว่าซะอีก แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 08:25:27 จากคุณ : Jump.Jr - [ 15 ก.ย. 50 08:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อย่างไรก็ขอให้ยึดมั่นในเรื่องความดีไว้นะครับ ไม่นับถือก็ไม่เป็นไร จากคุณ : Purity - [ 15 ก.ย. 50 08:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณลุงแมวเหมียวครับ ผมยังไม่ถึง 60 จริงครับ แต่ผมว่าผมเจอปัญหาหนักจริงๆมาแล้วนะ >w< ผมผ่านมสันมาได้โดยไม่พึ่งศาสนาครับ ^^" สำหรับคุณ moonmorning ที่บอกว่า "สุดท้ายมันก็อยู่ในศาสนา" มันก็จริงอ่ะครับ เพราะศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี และแม้พวกเราไม่ได้นับถือศาสนาใด แต่พวกเราทำดี มันก็สามารถบอกได้เหมือนกันว่าไปคาบเกี่ยวกับศาสนา มันอยู่ที่มุมมองอ่ะครับ จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 15 ก.ย. 50 08:53:54 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ถึงคุณแมวเหมียว แล้วถ้าผมอายุหกสิบหรือเจอทุกข์หนักๆจะกลับมานับถือศาสนาใช่ไหมครับ ความทุกข์หนักมีศาสนาเเล้วมันช่วยลดความทุกข์หนักตรงไหนหละครับ มีเเต่ตัวเราเองที่จะต้องพยายามหาทางแก้ไขความทุกข์นั้น พระเจ้าท่านไม่ทรงลงมาช่วยเราหรอก หรือ จะให้คิดว่ากรรมเก่า จากคุณ : Chaos dragon - [ 15 ก.ย. 50 09:39:55 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อก่อนก็คิดคล้ายพวกคุณหนะครับ คิดว่าศาสนาเป็นแค่เครื่องมือให้ปกครองคนง่ายๆ จะได้ไม่มาแย่งเสพทรัพยากรโลก นายพอใจของนายไป เราจะเสพของเรา นายมีความสุขที่ไม่เสพก็ยินดีด้วย อะไรเทือกๆนี้ มาอีกช่วงก็ชอบแนวเซน เต๋า เพราะมันอิงธรรมชาติ แต่ยังเสพธรรมชาติป่าเขาทะเลอยู่ มาอีกช่วงได้ฝึกปฏิบัติ ได้เริ่มรู้ความจริงกับเค้าบ้างแล้ว .. เอาว่าพุทธศาสนาพร้อมรอพิสูจน์อยู่ตลอดเวลา เครื่องมือพิสูจน์ก็กายใจเราเอง เห็นคนอื่นแล้วก็เสียดายแทนที่ไม่มีโอกาสพิสูจน์ ปัญหาพุทธศาสนาในบ้านเราคือเปลือกมันเยอะ แถมแยกก็ไม่ออกว่าอะไรเปลือกอะไรแก่นธรรม อะไรไม่เกี่ยวกับพุทธ ก็เลยไม่เห็นทางออกชัดๆ แถมมีพวกไม่เกี่ยวกับพุทธมาทำให้พุทธเสื่อมเสียอีกด้วย คนรุ่นใหม่ก็เลยเบื่อๆ พอจะเริ่มศึกษาก็โดนธรรมเนียมประเพณีสกัดก่อน ไม่เหมือนพระฝรั่ง พอได้ยินว่ามาหาความจริง ก็มุ่งมาจากต่างประเทศมาปฏิบัติธรรมเลย จากคุณ : Dr.slump - [ 15 ก.ย. 50 09:51:19 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ความเห็น ของแมวเหมียวพุงป่อง นั้นเกือบจะถูกต้องทีเดียวครับ คนเรา เมื่อ เริ่มรู้สึกว่า "ความตายมัน...ใกล้เข้ามาใกล้ตัว" เมื่อไหร่ ก็จะเริ่มมองหา ศาสนา ขึ้นมา... ลองไปถามเรื่อง ความตายกับ เด็กๆ (ที่สุขภาพดี แข็งแรง) สิครับ คงเห็นเป็นเรื่องราวที่มันอีกไกลจนไม่รู้สึกว่าความตายคืออะไ แต่ถ้า ถามเรื่องความตาย กับ คนแก่ อายุมากแล้ว.... เขาจะรู้สึกอีกอย่าง แล้วเมื่อเกิดความรู้สึกแบบนั้น ศาสนาจะเริ่มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เรายังรู้สึกห่างไกลจาก "ความตาย"อยู่  เรื่องศาสนาเลยรู้สึกว่า มันไกลตัว /////////////////// เคยทำตัวไม่มีศาสนาอยู่พักหนึ่ง ... แต่ตอนเริ่มรู้สึกตัวและเริ่มรู้จักศาสนามากกว่าเปลือกเข้า ถึงรู้ว่า เรานั้นเคยมีความคิดเขลาสิ้นดี  อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 10:07:16 จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 15 ก.ย. 50 10:04:55 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คนที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ผมเข้าใจว่าคงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับศาสนาพุทธมาก ประมาณว่ารู้ว่าไปวัดไปทำบุญเท่านั้นหรือป่าว หลักธรรม ไตรลักษณ์  อิทัปปัจจยตา สังโยชน์สิบ คือคุณเข้าใจหลักธรรมมากน้อยแค่ไหน อนัตตา เป็นอย่างไร คือศาสนาพุทธไม่ได้เข้าใจง่ายเหมือนเลขคณิต 1+1=2 .....ถ้าศึกษาคุณก็อาจจะรู้ แต่ไม่เข้าใจ...... เหมือนผมบอกว่าสังขารคุณไม่เที่ยงนะ สังขารเกิดขึ้นจากการประชุมกันของธาตุทั้ง4 มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามหลักอนัตตา ทุกสิ่งเป็นไปตามหลักนี้ทั้งนั้น แต่คุณยอมรับความเสื่อมโทรมของสังขารได้โดยสงบไหม หลายคนเสียเงินจำนวนมากซื้อเครื่องสำอางค์ ผ่าตัดเพื่อชลอความแก่ คุณยอมรับความเจ็บปวดที่เบียดเบียนโดยโรคภัย พิจารณาว่ามันเป็นแค่เวทนาอย่างหนึ่งได้หรือป่าว คือความเจ็บส่วนนึง จิตใจอยู่อีกส่วนนึง เมื่อมีความเจ็บเกิดขึ้นก็อย่ายึดติดจนจิตใจเจ็บไปด้วย ถ้าคุณฝึกจิตใจตนเองได้จนถึงขนาดที่ผ่าตัดไม่ต้องว่างยาสลบ ไม่ต้องฉีดยาชา แล้วค่อยมาว่ากันครับ จากคุณ : งามหน้า - [ 15 ก.ย. 50 10:09:22 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ที่สุดของพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้ไปติดความดีนะ แต่สอนให้รู้ความจริง ก็เหมือนคห29บอกไว้นั้นแหละ แค่กระแสไฟฟ้าทำงาน แล้วจะไปทุกข์อะไร ชีวิตก็แค่เซลล์รวมกัน แล้วทุกข์มาจากไหน นักวิทยาศาสตร์รู้ด้วยเครื่องมือการทดลอง ก็เลยข้ามพ้นระดับความคิดไปไม่ได้ ไม่เหมือนพระปฏิบัติที่เห็นความจริงกระจ่าง ด้วยอาศัยกายใจเป็นเครื่องมือ ทำความเข้าใจตัวมันเอง แก่นธรรมพระศาสนาเหมาะกับนักทดลองที่สุดแล้ว ต่างคนต่างต้องทดลองเองเห็นผลเอง จากคุณ : Dr.slump - [ 15 ก.ย. 50 10:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ศาสนา  เป็นสิ่งที่มนุษย์ให้หลัง ศาสดา  สร้างขึ้น รวมถึง กระบวนการทางศาสนา  พิธีรีตอง รูปแบบ ธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ แต่ศาสดา  ไม่เคยคิดสร้างศาสนา ดังนั้น จะรู้ว่า ศาสดาต้องการสื่ออะไร จึงต้องไปดูที่จุดเริ่มต้น  ที่ตัวศาสดานั้นๆ ว่า เขาทำอะไรก่อนประกาศสิ่งที่ค้นพบ  พบอะไร พูดอะไรและทำอะไร ที่เหลือ  หลังท่านจากไป   มันเป็นสิ่งที่คนอื่นเอามาทำให้เป็นอาณาจักรทั้งนั้น ยิ่งนานวัน   ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องโลกๆไปหมด......และคนส่วนใหญ่ก็ไปเกาะยึดที่กระบวนการศาสนากัน.. จากคุณ : dicky5 - [ 15 ก.ย. 50 10:18:26 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ใช่ครับ...ไม่ใกล้ตายไม่นึกถึงศาสนา   นาทีสุดท้าย บางคนก็เพ้อหาแม่  ทั้งที่ชีวิตนี้ไม่ค่อยห่วงใยคิดถึงแม่ ไม่ว่าใครครับ ค่อยๆดูกันไป จากคุณ : นักเลงสวรรคโลก - [ 15 ก.ย. 50 10:21:40 ]

ความคิดเห็นที่ 36 หลักธรรมเป็นของกลาง มีมานานแล้ว เหล่าศาสดา และพระผู้เป็นเจ้า ล่วงรู้ถึง หลักธรรมที่มีอยู่ และถ่ายทอดให้ผู้คน ทั้งหลายได้ดำเนินรอยตาม เปรียบเสมือนผู้เป็นครูคอยชี้นำ การดำเนินชีวิตให้อยู่ในเส้นทางที่ดีงาม และปลอดภัย จากคุณ : Dr.Snake - [ 15 ก.ย. 50 10:46:05 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ......... ผมเติบโตมาค่อนข้างครอบครัวที่เคร่งศาสนา แม่นับถืออีกศาสนาหนึ่ง ส่วนพ่อนับถืออีกศาสนาหนึ่ง ผมวิ่งเล่นส่วนมากก็ไปวิ่ง ณ สถานที่ .... ของศาสนาเพราะบ้านอยู่ใกล้ มันเป็นทั้งโรงเรียน ทั้งสถานที่ของศาสนา มีหลายเรื่องที่ผ่านหูผมมาตั้งแต่เด็กเกี่ยวกับศาสนา พอโตมาอีกระยะหนึ่ง ชีวิตหักเหไปสู่อีกสังคมหนึ่ง เป็นอีกศาสนาหนึ่งท่ามกลามแวดล้อมของศาสนานั้น และได้เห็นอีำกคำสอนของศาสนาหนึ่ง และพอโตขึ้นมาอีกหน่อย เริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัวทางความคิด เริ่มคิดเองได้ ผมเริ่มไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย ผมเริ่มสงสัยว่าทำไมต้องมีหลายๆ ศาสนา ศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาเหมือนกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ศาสนาคืออะไร? มันแค่วิชาหนึ่งของบทเรียนในตำราใช่หรือไม่? ความคิดผมเริ่มอิสระ เริ่มทำตามใจตัวเองเพราะคิดว่าตัวเองสามารถตัดสินใจอะไรๆ ด้วยตัวเองแล้ว พูดง่ายๆ เริ่มปีกกล้าขาแข็งแล้ว!! ซักพักเวลาผ่านไป สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มา กลับสิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ เริ่มจับมาผสมกันทีละนิด หาความเป็นไปได้ ผมผ่านมาสามศาสนา ผมเริ่มเปรียบเทียบ ผมเริ่มไม่เชื่อในสิ่งที่ครู อาจารย์สอนมาตั้งแต่เด็กในบางเรื่อง เพราะการศึกษาของครู ตอนผมเป็นเด็กผมเห็นครูบางคนพูดในสิ่งที่ไม่จริง แต่มีคนเชื่อ ผมเลยคิดว่าที่เขาเชื่อเพราะเขาเป็นครู เพราะผมพูดความจริงแต่กับไม่มีคนเชื่อผม เพราะเขาคิดว่าผมเป็นเด็ก เป็นใครกันความน่าเชื่อถือไม่มี ณ ปัจจุบันเช่นกัน ผมก็ไม่ได้เชื่อในคำพูดที่มีตำแหน่งทางการศึกษานำหน้า ก่อนชื่อ เพราะผมถือว่าเขาไม่ได้แตกต่างจากผม เขารู้บางเรื่องแต่ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ณ สมัยผมเป็นเด็กหนุ่ม ผมเลยสงสัยว่าครูไม่มีวันพูดผิดอย่างนั้นหรือ? กลับมาเรื่องศาสนาดีกว่า อันที่จริง ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ ทุกคนมีอิสระทางความคิด จะมีศาสนาหรือไม่มีศาสนาทุกคนสามารถคิดได้ด้วยตนเอง สำหรับผมแล้วผมเริ่มย้อนกลับไปสู่สามคำถามในชีิวิตง่ายๆ 1 เรามาจากไหน 2.มาอยู่บนโลกนี้ทำไม 3.ตายแล้วไปไหน เป็นเวลานับตั้งแต่โลกนี้มีมา มีคนเป็นพันๆ ล้านคนเกิดมา แล้วตายลงไป สิ่งมีชีวิตต่างๆ รอบๆ ตัวเรามันมาจากไหน สิ่งมีชีวิตทุกชีิวิตมันช่างละเอียดเหลือเกิน มันเป็นมหัศจรรย์แห่งชีิวิตจริงๆ โลกนี้มีการค้นพบวิทยาศาสตร์ต่างๆ มากมายแต่ไม่เคยค้นพบ 3 คำถามที่ผมว่าไว้เลย แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง มนุษย์เกิดมาเพื่อเป็นผู้สร้าง เพราะคุณมีอำนาจแห่งการสร้างอยู่ในตัวคุณ - * - และการที่คุณไม่เชื่อเรื่องในศาสนาใดๆ นั่นก็คือความเชื่ออีกรูปแบบหนึ่ง!! ........ จากคุณ : ศาสตราจาร์ย ดร.สติแตก (Thai_DeSeRT) - [ 15 ก.ย. 50 11:09:27 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ตอนที่ยังแข็งแรงก็ทำพูดเท่์ห์ๆ ไปงั้นล่ะ ตอนจะเป็นจะตายขึ้นมา เห็นพร่ำเพ้อหาแต่พระหาเจ้าแทบจะครบทุกศาสนา ผมเคยนั่งมองแขกคนนึงที่นั่งกราบพระเกจิพุทธประหลกๆ เพราะลูกสาวแกป่วยหนักทรมานกำลังจะตาย บางคนไม่เคยไปอยู่ในที่ๆ มีคนที่กำลังจะตาย เลยไม่รู้ว่า ตอนจะตาย มนุษย์จะคิดอะไร เลยขอพูดเท่ห์ไว้ก่อน อีกเหตุผลคือจริงๆ แล้ว "งก" ครับ อ้างว่าไม่นับถือศาสนา จะได้ไม่ต้องทำบุญ ให้ทาน ไม่ร่วมกิจกรรมสังคม บางพวกก็ "ทำเลวไว้เยอะ" ใจจริงๆ ก็กลัว แต่ปลอบใจตัวเองว่ากรูไม่ได้นับถือศาสนา จึงไม่ต้องกลัว สามข้อข้างบนนี้ คือญาติห่างๆ ของผมเอง และเหตุผลที่ว่า ญาติๆ เค้าสรุปให้ ว่าไม่ใช่อะไรหรอก จริงๆ มันเลว มันงก ฯลฯ ให้วิเคราะห์แบบเป็นกลาง ในเชิงวิชาจิตวิทยาผมว่ามีผู้ศึกษาวิจัยไว้แล้วล่ะ เพียงแต่เรายังไม่ได้อ่านกัน จากคุณ : Piggie MM - [ 15 ก.ย. 50 11:11:59 ]

ความคิดเห็นที่ 39 สิ่งที่แต่ละคนเชื่อถือ ยึดมั่น อาจไปตรงกับแนวทางของศาสนาบางศาสนา หรือปรัชญาบางปรัชญา ถ้าผมไม่ได้ถือพุทธ แต่บังเอิญแนวคิดไปใกล้เคียงกับความเป็นพุทธ ก็ไม่ผิดแปลกอะไร จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 11:26:49 ]

ความคิดเห็นที่ 40 พระพุทธองค์เคยตรัสประมาณว่า "ไม่ยึดถือก็คือการยึดถืออีกอย่างหนึ่ง" จะเห็นได้ว่า ในสมัยนั้นก็มีเหมือนกันไม่ต้องมีวิทยาศาสตร์วิทยาแสดมาเกี่ยวข้องหรอก ผมอยู่ฝั่งคุณแมวเหมียวฯ นะ แต่ขอขยายความของแกเพิ่มเติม คนที่ยังมองไม่เห็นความจริงแห่งอริยะข้อแรกคือ "ทุกข์" ยากนักที่จะเห็นหนทางเข้าสู่สัมมาทิฏฐิ ต่อให้อายุเลย 60 ไปแล้ว ต่อให้ทุกข์ยากแสนสาหัสมาแล้ว ถ้ายังมองไม่เห็นความจริงแห่งอริยะข้อแรก เป็นไปได้ยากมาก หรืออาจเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นหา "เหตุแห่งทุกข์" "ผลของการดับทุกข์" และ "ทางในการดับทุกข์" ซึ่งเป็นลำดับต่อไป เคยเห็นขอทานส่วนหนึ่ง มันเดินเข้าวัดปฏิบัติธรรมไหมหละ มันทุกข์มากเลยนะนั่นแต่ยังมองไม่เห็น มันก็เป็นของมันอยู่เช่นนี้มานานแสนนานแล้ว ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสุดท้าย จากคุณ : bgn - [ 15 ก.ย. 50 11:28:14 A:10.161.40.26 X:202.12.97.114 TicketID:093114 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เด๋วระวังจะนอกประเด็นนะ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 11:31:43 จากคุณ : Desolation Angel - [ 15 ก.ย. 50 11:29:51 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ผมนับถือแทบทุกศาสนาครับ "พุทธ" เป็นหลัก และช่วยพาให้ผมไปหาศาสนาอื่นๆ ไม่ใช่ไหว้พระเจ้า ท่องมนต์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ผมนับถือสิ่งต่างๆ ของแต่ละศาสนา ปล่อยวางอารมณ์... อย่างพุทธ รักและศรัทธา... อย่างคริสต์ เคร่งครัดวินัยจรรยา... อย่างอิสลาม ให้เกียรติทุกสิ่งทุกคน... อย่างฮินดู ฯลฯ ตราบใดที่เรามองทะลุผ่านตำนาน ผ่านพิธีกรรมที่รวบรวมชุมชนเข้าไป สิ่งที่เราพบ คือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข คำตอบของความตาย อาจจะดูว่าไกลตัว เพราะผมยังเด็ก(หรือว่าแก่)นัก แต่มันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ปวดหมอง(อจินไตย) สนุกกับปัจจุบันดีกว่า ผมว่า หลักการของพุทธ สายโลกิยะ ก็ไม่ยากครับ รับรู้ว่าชีวิตนั้นมี"ทุกข์" แต่พร้อมจะมี"สุข" รับรู้ว่า ทุกก้าวที่เลือกเดิน ส่งผลต่ออนาคต รู้ว่า ทุกลมหายใจ เราเปลี่ยนไป และไม่กลับเป็นคนเดิมอีก เราจะสร้างเราคนใหม่ พร้อมจะอยู่ตรงกลาง เชื่อมประสานร้อยรัดทุกสิ่ง แต่พร้อมปล่อยวาง ...ประมาณนี้ละมังครับ จากคุณ : คมลิขิต - [ 15 ก.ย. 50 11:35:28 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มนุษย์พัฒนามาเทคโนโลยีถึงปัจจุบันนี้  เพื่อตอบสนองทางด้านกายภาพ ด้านจิตใจ  ก็พัฒนา  จากการไม่มี  เป็นมี..  ความเชื่อ  ก็พัฒนาเป็นคำสอน  และเป็นปรัชญา  เป็นศาสนา.. มองในด้านคณิตศาสตร์  แนวตรรกยะ   " เพราะสิ่งนี้มี  สิ่งนี้จึงมี " (คนห้องศาสนาฯ คงรุ้ใครพูดคำนี้)  ..  วิวัฒนาการย่อๆ  ของมนุษย์  มารูปแบบนี้..   1. (กาย) เพราะเราต้องการ  เราจึงแสวงหาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ   2. (ใจ)  เพราะเรามีปัญหาด้านจิตใจ  เราจึงหาที่พึ่งทางใจ..(ถ้าสบายใจ  จะแสวงหาทำไมล่ะ) และที่พึ่งนั้น  พัฒนาเป็นแนวคิด  เป็นแนวปรัชญา  เป็นคำสอน  เป็นศาสนา.. อยากเป็นเจ้าปรัชญา เจ้าคำสอน  เจ้าลัทธิ.. ไม่ใช่เรื่องยาก.                 " จิตใจ  ไม่มีสมการ  มาแก้ในรูปแบบที่ตายตัว ". จากคุณ : คนบ้านสามขา101ฯ. - [ 15 ก.ย. 50 11:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คุณแมวเหมียวพุงป่อง สิ่งที่ทำให้คนเรามีพลัง หรือมีศรัทธาที่จะสู้กับชีวิต มีหลายอย่าง ไม่ได้จำกัดอยู่ที่แค่ศาสนาอย่างเดียว สำหรับผม ศาสนาก็เป็นการรวบรวมแนวคิดและหลักการในการใช้ชีวิต ออกมาเป็นแนวทางให้คนปฏิบัติตามได้ ด้วยวิธีต่างๆ กัน มีทั้งการชักจูงด้วยความเชื่อ มีทั้งการใช้เหตุใช้ผล บางที ผมยังแยกความแตกต่างระหว่างศาสนากับปรัชญาไม่ออก (ถ้าตัดเรื่องพระเจ้าทิ้งไป) อย่ายึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนเองเลย.. มันเหมือนการฟันธงยังไงก็ไม่รู้ คนเรามีได้ทุกประเภท บางคนสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ อาจเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ศาสนา.. ไม่อยากให้มานั่งฟันธงว่า อายุเท่าไหร่ หรือ เจอทุกข์มาหนักมากแค่ไหน จึงจะรู้ซึ้งว่าควรมีศาสนาในจิตใจหรือไม่.. เพราะบางที ทุกข์ของแต่ละคนก็วัดไม่ได้หรอกว่ามันหนักหรือเบา เมื่อเทียบกับทุกข์ของคนอื่น ทุกข์กับสุขมันไม่ใช่จำนวนนับนะครับ.. แล้วเราก็ไม่มีสิทธิตัดสินแทนใครด้วย.. แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 12:16:49 จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 12:13:33 ]

ความคิดเห็นที่ 45 หากคุณจะสร้างบ้าน มันสร้างได้หลายวิธี บางคนใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ในการสร้างบ้าน บางคนสร้างเครื่องมือของตนเองขึ้นมาใช้งาน (บังเอิญว่า คุณสมบัติของเครื่องมือบางชิ้นไปใกล้เคียงกับเครื่องมือที่มีขายอยู่แล้ว) บางคนสร้างบ้านมือเปล่า อาจจะเหนื่อยกว่า นานกว่า บ้านไม่สวยไม่ทน หรืออาจจะมีความสามารถในการเป็นช่าง ที่สร้างบ้านมือเปล่าได้ดีกว่าคนใช้เครื่องมือสร้าง ก็ย่อมเป็นไปได้ พวกคนใช้เครื่องมาบางคน ใช้ไม่เป็น ไม่เข้าใจเครื่องมือ สร้างบ้านห่วยๆ ออกมาก็มี ดังนั้นผมไม่อยากให้มาฟันธงกันว่า ยังไงคุณก็ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่งั้นคุณสร้างบ้านไม่ได้แน่ สุดท้าย เป้าหมายก็คือ สร้างบ้านเสร็จ เพื่อจะได้พักอาศัย ก็แค่นั้นเอง.. จะ happy กับบ้านหลังนั้นมากน้อยแค่ไหน มันก็ขึ้นกับแต่ละคน ไม่ใช่หรือ?? จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 12:23:23 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คนพวกนี้นับถือศาสนาใดกัน แก้ทุกข์ด้วยวิธีศาสนาใด จากคุณ : silverspider - [ 15 ก.ย. 50 12:54:18 ]

ความคิดเห็นที่ 48 แต่ละคนก็แก้ทุกข์ด้วยวิธีของตัวเองทั้งนั้นแหละครับ แล้วแต่สติปัญญาของตนที่มี จากคุณ : Dr.slump - [ 15 ก.ย. 50 12:56:16 ]

ความคิดเห็นที่ 49 #47 ในทางพฤตินัย จะนับว่าคนเหล่านี้ที่เห็นในภาพ ไม่มีศาสนาได้หรือเปล่าครับ สำหรับผม มีความเห็นว่าในบางระดับมีความซ้อนกันอยู่ระหว่างวิถีชุมชนกับศาสนา โดยพื้นฐานแล้วคนไทยพื้นบ้านเองก็เป็นพวกถือผีไหว้เจ้ามาก่อน พุทธศาสนาเองเข้ามามีอิทธิพลจากระดับบน(กลุ่มคนชั้นเจ้านายในอดีต)แล้วจึงแพร่ลงสู่ระดับล่าง ซึ่งเขามีความเชื่อในวิถีชีวิตของเขาอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงเกิดความซ้อนเหลือมกันระหว่างศาสนากับความเชื่อดั้งเดิม แม้ว่าเราจะมองว่าการกระทำของเขา เป็นการกระทำที่โง่เขลา แต่ความเชื่อและสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของแต่ละคนแต่ละกลุ่มคนมีพื้นฐานที่มาที่แตกต่างกันครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 13:27:46 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 13:26:46 จากคุณ : N of Dark - [ 15 ก.ย. 50 13:16:14 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ผมคิดเองได้......  ก็เท่านั้น คนเรามีความสามารถในการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ ไม่เท่ากัน จากคุณ : recombination - [ 15 ก.ย. 50 13:25:58 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คงจะไม่ได้กระมังครับ เพราะถ้าถามว่านับถือศาสนาอะไร เขาจะตอบว่านับถือศาสนา...หรือไม่นับถือศาสนาใดล่ะครับ นี่ขนาดยังไม่ได้ทุกข์หนักเลย จากคุณ : silverspider - [ 15 ก.ย. 50 13:29:53 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ไม่ได้มีอคติน้ะครับ แต่อดรู้สึกไม่ได้ว่าบางความคิดเห็นเหมือนเป็นการเซ็นใบปริญญาบัตร Ph.D. ให้ตัวเอง ด้วยตัวเองยังไงไม่รู้ ไม่มีอคติจริงๆน้ะครับ จากคุณ : N of Dark - [ 15 ก.ย. 50 13:31:29 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ถามผู้ไม่นับถือศาสนาใดๆ ต่อนิดนึงนะครับ จากคุณ : JohnnieWalker - [ 15 ก.ย. 50 13:38:03 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ที่ผมสงสัยมากๆคือทำไมหลายคนที่ประกาศตัวปาวๆๆๆ ว่าไม่นับถือศาสนา แต่การกระทำของเขา ไอ้นี่มัน"เดินมาในแนวทางของ"พุทธศาสนา"นี่หว่า และทีสงสัยอีกว่าไม่นับถือศาสนาใดๆ ทำไมต้อง"ประกาศ" แค่ปฏิบัติตัวตามแนวทางที่ตัวเองคิดว่าถูกเท่านั้นก็พอแล้วมิใช่รึ หรือเป็นการแสดงถึงการมีตัวตนอย่างหาเหตุผลไม่ได้ จากคุณ : อืมนะ (Operation aRmageddon) - [ 15 ก.ย. 50 13:42:55 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ^ ^ คำตอบของผมอยู่ใน #45 ครับ จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 14:15:11 ]

ความคิดเห็นที่ 57 คห54 ถ้าบุคคลต่างๆยังแสวงหาความจริงอยู่ ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ก็ต้องไปลงที่ศาสนาพุทธอยู่แล้ว  เพราะคือความจริง ความจริงย่อมมีอย่างเดียว รอการพิสูจน์อยู่เสมอ คห51 ถ้าคิดว่าการไหว้วัวอยู่ในพุทธศาสนาก็ช่วยอ้าง Ref ด้วย จะได้มีหลักอะไรอ้างอิงหน่อย จากคุณ : Dr.slump - [ 15 ก.ย. 50 14:31:09 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ทุกศาสนาต่างก็หาคำตอบของธรรมชาติ  ถึงบอกว่าคุณไม่มีศาสนาคุณก็ต้องหาคำตอบหาเหตุผลลงไปใส่เหมือนกัน จึงเป็นธรรมดาที่ต้องมีคำอธิบายหลายเรื่องเหมือนๆกัน จากคุณ : Dr.slump - [ 15 ก.ย. 50 15:00:40 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ศาสนาก็คือการใช้ชีวิตนั่นแหละครับ คำสอนต่าง ๆ ก็เพื่อให้ชีวิตมีความสุข เช่น ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส  ฟังดูแล้วทำง่ายครับ  แต่แค่ 3 อย่างนี้ ให้ผมทำผมยังทำไม่ได้เลย คำสอนของศาสนาก็ช่วยให้เราทำในสิ่งนี้ได้แหละครับ  อย่าไปยึดติดกับ เปลือกศาสนาเลยครับ พวก ความเชื่อต่าง ๆ คนเราอุปโลคขึ้นทั้งนั้นครับ  ผมไม่เข้าใจพวกคุณจะหนีศาสนาไปไหนกัน  เพราะศาสนาก็อยู่ในชีวิตของคุณอยู่แล้ว จากคุณ : magic (Magic Jewel) - [ 15 ก.ย. 50 15:04:37 ]

ความคิดเห็นที่ 60 การไหว้วัวไม่ได้อยู่ในศาสนาพุทธอยู่แล้วครับ แต่ถามว่าคนที่ไหว้วัวนั้นนับถือศาสนาอะไรจะได้รับคำตอบว่าอย่างไรครับ ที่สำคัญผมยังไม่ได้กล่าวเลยว่าคนพวกนี้นับถือศาสนาพุทธแต่ให้ไปถามคนเหล่านี้ว่านับถือศาสนาใด ทำไมต้องร้อนตัวไปล่ะครับ จากคุณ : silverspider - [ 15 ก.ย. 50 15:11:07 ]

ความคิดเห็นที่ 61 คนที่นับถือศาสนาใดก็ตามควรศึกษาศาสนานั้นให้เข้าใจดีก่อน ไม่ใช่ว่าพอมีคนถามเกี่ยวกับศาสนาที่ตนนับถือกลับตอบไม่ได้บ้างล่ะ เข้าใจผิดบ้างล่ะ เอาคำสอนของศาสนาอื่นมาตอบบ้างล่ะ คิดขึ้นมาเองบ้างล่ะ ฯลฯ จากคุณ : silverspider - [ 15 ก.ย. 50 15:41:03 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คุณลักษณะสามประการของผู้รักษาพระพุทธศาสนา โดย...พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) คัดบางตอนจากหนังสือ จากสุขในบ้าน สู่ความเกษมศานติ์ทั่วสังคม สภาพ ความเสื่อมนี้ในปัจจุบันญาติโยมพูดกันมาก เพราะมีข่าวร้ายต่าง ๆ มากมาย เรื่อง อย่างนี้พระสงฆ์ก็ควรจะเอามาพูดบ้าง ไม่งั้นญาติโยมพูดฝ่ายเดียวจะกลายเป็นนินทาพระ แต่ถ้าพระเอามาพูดบ้างในฐานะที่เป็นผู้รู้เรื่องทางธรรม พูดในทางแนะนำและหาทางแก้ปัญหา ก็จะได้มีทางช่วยกันให้รู้จักวางใจได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อเรื่องร้าย ๆ และปัญหาเกิดขึ้น พระจำเป็นต้องเอามาพูดให้โยมรู้ว่า ความเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร มีทางแก้ไขอย่างไร เราจะได้ช่วยกันป้องกัน และที่จริงนั้นตัวเราเองก็มีหน้าที่ด้วย เพราะว่า ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน เรามีหน้าที่ช่วยกันป้องกันพระศาสนา อย่าง วันสองวันนี้ก็ได้ข่าวอีกแล้วรายใหม่ อาตมาเองก็ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ แต่ท่านมหา และหลวงลุงท่านก็อ่านและท่านเล่าให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่งไปหลอกร้านค้าเพชร เอาเพชรไปแล้วไม่จ่ายเงินให้แก่เขา จำนวนเป็นล้าน ๆ บาท และขอประทานอภัยก็ไปทำศิวลึงค์นำไปแจกในต่างประเทศ พอฟังหรืออ่านข่าวพระประพฤติอย่างนี้แล้ว โยมก็อาจจะพูดว่าพระไม่ดี พระเสียหาย พระหลอกลวง พระเหลวไหล ไม่น่านับถือ จากพระไม่ดี ก็เลยพาลพาโลต่อไปว่าพระพุทธศาสนาไม่ดี แล้วก็จะไม่นับถือพระ จะเลิกนับถือพระพุทธศาสนา ที่จริงนั้น พระพุทธศาสนาเป็นของเรา ไม่ใช่เป็นของพระองค์นั้น เพราะว่าคนที่จะมีสิทธิเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา นั้นจะต้องเป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ของชาวพุทธอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นพระก็ต้องเป็นพระที่ประพฤติปฏิบัต ิและทำหน้าที่ของพระอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เป็นคฤหัสถ์ที่ทำหน้าที่ของชาวบ้านอย่างถูกต้อง ถ้าเราทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนถูกต้อง เราเองนี่แหละเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา ในทางตรงข้าม พระก็ตาม ญาติโยมก็ตาม แม้จะประกาศตนเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง ทำตัวเหลวไหล ก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา ควรจะระแวงว่าเป็นคนร้ายที่แฝงซ่อนเข้ามาหาประโยชน์จากพระศาสนา ที่เรียกกันว่าเข้ามาปล้นศาสนา เพราะฉะนั้น พระที่ประพฤติเลวทรามเหล่านั้นเราไม่ถือว่าเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา โยมจะต้องไม่มองว่าเป็นพระประพฤติชั่ว โยมจะต้องมองว่าคนชั่วเข้ามาทำลายพระศาสนา ถ้าเราวางใจให้ถูกต้องอย่างนี้แล้วพระศาสนาก็จะดีขึ้น เราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อพระศาสนา อย่าถือธุระไม่ใช่ อย่ายกสมบัติของเราให้เขาไป อาตมาเคยเปรียบเทียบบ่อย ๆ ว่า ถ้ามีโจรเข้ามาปล้นบ้าน แล้วเรายกสมบัติให้โจรไปเลย อย่างนี้ถือว่าวิปริตใช่ไหม ที่ถูกนั้นเราต้องรักษาทรัพย์สมบัติของเรา แต่ที่เป็นกันเวลานี้เราก็ทำวิปริตกันอยู่โดยไม่รู้ตัว คือ ทั้ง ๆ ที่พระศาสนานี้เป็นของเรา แต่พอมีโจรคือคนที่แฝงตัวมาในเพศของพระประพฤติไม่ดีทำเสียหาย เป็นโจรปล้นศาสนา พอมีโจรเข้ามาปล้นพระของเราอย่างนี้ แทนที่เราจะช่วยกันรักษาพระศาสนาของเรา เรากลับยกศาสนาให้โจรไปเสียนี่ อย่างนี้เขาเรียกว่ายกสมบัติให้โจร เพราะฉะนั้นการทำอย่างนี้ เรากำลังทำผิดพลาด ต้องทำใจให้ถูกต้อง เราต้องรักษาพระพุทธศาสนาของเรา ดูให้ดี ปัญหาอยู่ที่คนร้าย หรืออยู่ที่ตัวเรา พระพุทธเจ้าทรง ระวังมากในเรื่อง อามิสไพบูลย์ และ ธรรมไพบูลย์ ทรงเตือนให้เตรียมสร้างธรรมไพบูลย์ไว้ให้พร้อมและ ให้ไม่ประมาทในเวลามีอามิสไพบูลย์ เช่น ก่อนที่จะปรินิพพานพระองค์ก็ได้ทรงวางเงื่อนไขไว้ว่า ต้องให้พุทธบริษัททุกฝ่ายมีคุณสมบัติ อย่างน้อย ๓ ประการ จะเป็นพระคือภิกษ ุหรือภิกษุณีก็ตาม เป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ทุกคนควรจะมีคุณสมบัติ ๓ ประการต่อไปนี้ จึงจะถือว่ามีธรรมไพบูลย์ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ยืนยาวได้ พระ พุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไข ๓ ประการนี้ไว้ในตอนจะรับอาราธนาปรินิพพาน มีเรื่องว่ามารมาอาราธนาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ตรัสว่าจะยังไม่ปรินิพพาน และพระองค์ก็ทรงวางเงื่อนไขไว้สามประการ ต่อมาครั้งสุดท้ายมารก็มาอาราธนาอีกโดยทวงว่า เงื่อนไขที่พระองค์ได้ทรงวางไว้นั้นสมบูรณ์แล้ว ขอนิมนต์ปรินิพพานได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงสำรวจดู ปรากฏว่าเงื่อนไขที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ๓ ประการ ครบแล้วจริง พระองค์ก็เลยรับอาราธนาปรินิพพาน แล้วทรงปลงพระชนมายุสังขาร คือตกลงพระทัยว่าจะปรินิพพาน ในที่นี้สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าการปลงพระ ชนมายุสังขาร ก็คือเงื่อนไข ๓ ประการนี้ ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ว่า พุทธ บริษัททุกประเภท คือทั้ง ๔ พวก จะต้องมีความสามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้ พระองค์จึงจะปรินิพพาน มิฉะนั้นพระองค์ก็จะต้องทำหน้าที่ของพระศาสดาต่อไป หมายความว่าพระองค์ทรงฝากพระศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ที่มีความสามารถ ๓ ประการ ความสามารถ ๓ ประการนี้มีอะไรบ้าง ๑.ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาจะต้องรู้หลักธรรมเข้าใจคำสั่งสอนของพระองค์แล้วนำไปปฏิบัติได้ถูก ต้อง พูดสั้น ๆ ว่า รู้คำสอนและปฏิบัติได้ถูกต้อง ๒.ให้สามารถ ยิ่งกว่านั้นอีก คือ นอกจากรู้เข้าใจปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเองแล้ว ยังนำไปบอกกล่าวชี้แจงสั่งสอนคนอื่นได้ด้วย คนที่จะไปบอกกล่าวแนะนำสั่งสอนชี้แจงคนอื่นได้นั้น (๑) จะต้องมีความสามารถที่จะแนะนำสั่งสอน และ (๒) ต้องมีน้ำใจประกอบด้วยเมตตากรุณา บางคนถึงจะมีความสามารถแต่ไม่มีน้ำใจกรุณา ก็ไม่ใส่ใจที่จะสอนก็ไม่ได้ผล เหมือนกัน จึงต้องมีทั้งน้ำใจ ต้องมีทั้งความสามารถ แล้วก็เอา ธรรมไปแนะนำสั่งสอนแก่คนอื่นต่อไป ๓.ข้อสุดท้ายว่า ถ้ามีการจาบจ้วง คำว่าจาบจ้วงนี่เป็นภาษาโบราณ หมายความว่ามีการกล่าวร้ายต่อพระศาสนา หรือมีการสั่งสอนลัทธิที่ผิดจากธรรมผิดจากพระวินัยขึ้น ก็สามารถกล่าวแก้ ชี้แจงกำราบได้ เรียกว่ากำราบปรับวาทได้ เงื่อนไขคุณสมบัติของ พุทธบริษัท ๓ ประการนี้เราจะต้องเอามาใช้เกณฑ์มาตรฐานสำหรับสำรวจตรวจสอบพุทธศาสนิกชนว่า จะสามารถรักษาพระศาสนาได้หรือไม่ เพราะว่าเมื่อตรัสหลักการ ๓ ประการนี้ก็เท่ากับว่า พระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพาน ได้ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้แก่เราแล้ว ถ้าพุทธศาสนิกชนไม่มีคุณสมบัติ ๓ ประการนี้แล้วก็จะรักษาศาสนาของพระพุทธเจ้าไว้ไม่ได้ พระพุทธศาสนาก็ต้องเสื่อมแน่นอน เราไม่ต้องไปคำนึงมากนัก เรื่องพระที่ประพฤติเสียหายอะไรนั้นเป็นเรื่องรองลงไป คุณสมบัติ ๓ อย่างของตัวเราเองนี้แหละสำคัญกว่า เรื่องพระประพฤติเสียหายทำไม่ดีนั้น ถ้ามีขึ้นมาเราถือว่าเป็นโจร เป็นคนร้ายเข้ามาทำลายพระศาสนา เราก็ต้องช่วยกันรักษาพระศาสนา เพราะพระศาสนานี้เป็นสมบัติส่วนรวมของเรา แต่ถ้าเราไม่มีคุณสมบัติ ๓ อย่างนั้น โจรจะเข้ามาหรือไม่ เราก็จะรักษาพระศาสนาไว้ไม่ได้ ดีร้ายตัวเราอาจจะกลายเป็นโจรไปเสียเอง แต่ถ้าเรามีคุณสมบัติสามประการนี้แล้วเราก็รักษาพระศาสนาของเราไว้ได้ ขอทวนอีกครั้ง ๑.รู้เข้าใจธรรมวินัย และปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง ๒.มีความสามารถและเอาใจใส่ที่จะบอกกล่าว ชี้แจงสั่งสอนธรรมแก่ผู้อื่น ๓.เมื่อมีลัทธิคำสอนที่ผิดพลาดแปลกปลอมขึ้นมาก็สามารถกล่าวชี้แจงกำราบได้ สาม ประการนี้แหละเป็นธรรมไพบูลย์ ซึ่งจะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เพียงแต่เราปฏิบัติถูกต้อง ธรรมก็ไพบูลย์อยู่ในตัวเราแล้ว เมื่อเราเอาไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่นให้รู้และปฏิบัติกันกว้างขวางยิ่งขึ้น ธรรมก็ไพบูลย์กว้างขวางออกไปทุกที แม้จะมี คำสอนอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นมาก็ชี้แจงแก้ไขได้ อุปสรรคก็หมด ไป นี่แหละเป็นธรรมไพบูลย์ที่แท้จริง จากคุณ : silverspider - [ 15 ก.ย. 50 16:21:27 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ที่อื่นนักวิทยาศาสตร์เข้าเข้าใจว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ที่นี่อ้างวิทยาศาสตร์   เพื่อแสดงตนว่าเป็นคนไม่มีศาสนา เห็นเป็นเรื่องไรสาระ   คิดได้ไงนี่ จากคุณ : saveman - [ 15 ก.ย. 50 16:43:49 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ทำไมต้องคิดว่าทุกคนต้องเหมือนกันครับ บางคนผ่านการใกล้ตายมาแล้วก็ได้ หรือบางคนก็ไม่เคยคิดว่าความตายนั้นมันไกลตัว แต่ก็ยังสามารถที่จะยึดแนวทางของตนเองได้ก็มีครับ ซึ่งถ้าจะเข้าใจว่าคนเหล่านี้คิดอย่างไร ก็ต้องมองให้เห็นก่อนว่าศาสนาคืออะไร ถ้าคิดว่าศาสนาคือการอธิบายความจริงหรือคำตอบของธรรมชาติ ลองคิดดูว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเราต้องการอธิบายความจริง และศาสนาทำอะไรกับเรื่องนี้ หรือดูจุดประสงค์ลึกๆของศาสนาก็ได้ครับว่าคือการอธิบายความจริงหรือคำตอบของธรรมชาติงั้นหรือ ป.ล. ฝากไว้ให้คิดต่อ คุณคิดว่าความจริงแท้(Absolute truth) เข้าถึงได้ไหม(ความจริงที่คุณพบหรือรู้นั้น จะรู้ได้อย่างไรว่ามันใช่ความจริงแท้ จริงๆ) และการที่คุณรู้นั้น เอาอะไรมาตัดสินว่า"รู้" ยกตัวอย่างเช่น 1. นายAตื่นเช้ามารู้สึกว่าวันนี้รู้สึกไม่ดีจะต้องมีอะไรร้ายๆเกิดขึ้น 2. ตอนบ่ายนายAโดนรถชน เราจะตัดสินได้ไหมว่านายA"รู้"ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายกับตนเอง ยังมีอะไรให้คิดได้อีกเยอะครับ จากคุณ : KL - [ 15 ก.ย. 50 16:50:22 ]

ความคิดเห็นที่ 65 คุณsaveman ผมไม่เห็นว่าศาสนา(ไม่ว่าพุทธ อิสลาม ฯลฯ) เป็นเรื่องไร้สาระครับ และดูๆข้างบนก็ไม่เห็นใครพูดอย่างนั้น การที่เราไม่อยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเราเห็นว่ามันไร้สาระนะครับ เพียงแต่เรามีหนทางของเรา และยังพอใจในหนทางนี้อยู่ครับ และการที่ใครคนหนึ่งเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าศาสนาอื่นจะไร้สาระสำหรับเขา เพียงแต่อาจจะไม่เหมาะสมกับเขาก็ได้ครับ จากคุณ : KL - [ 15 ก.ย. 50 16:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 66 คุณ saveman คนส่วนใหญ่ที่นี้ ไม่เคยพูดว่าศาสนาไร้สาระนะครับ หลายๆ คนรังเกียจความงมงาย ที่เอามาครอบเป็นเปลือกของศาสนามากกว่า จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 17:01:59 ]

ความคิดเห็นที่ 67 5555+ จากคุณ : Muslim (หลอนนิ) - [ 15 ก.ย. 50 17:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 68 และปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในกระทู้นี้ เป็นผลมาจากทั้งผู้ที่นับถือศาสนา และไม่นับถือศาสนา     . แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 17:14:03 จากคุณ : N of Dark - [ 15 ก.ย. 50 17:11:17 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ได้  แต่ให้รู้วิธีสุขง่าย ทุกข์ยาก เป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ ก็แล้วกัน จากคุณ : kaan - [ 15 ก.ย. 50 18:18:27 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เมื่อก่อนคิดว่า ไม่นับถือศาสนาอะไร แต่ไปๆมาๆ สิ่งที่ผมยึดถือ กลับเปนทางเดียวกับ พระธรรม ของศาสนาพุทธ ย้ำนะครับ พระธรรม ที่พระพุทธเจ้า สอนเอาไว้ ไม่กราบไหว้สิ่งศักสิทธิ์ ไม่บนบานสานกล่าว ไม่มีเครื่องรางของขลังไร้สาระ ไม่ติดกับนุ่งขาวห่มขาว ไม่ติดกับโบสสวยๆ ไม่มีดวงแก้ว ไม่มีเงินค่าฝากบางตัวไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า .... อะไรทั้งหลาย ที่มันเพ้อเจ้อกันอยู่ในสังคมไทย พุทธ จริงๆ ไม่ใช่ที่คนทั่วไปเห็นในไทยเรา แต่ เปน พระธรรม ครับ เช่น ตน เปนที่พึ่งแห่งตน, อริยสัจสี่ = เทคนิคการวิจัยทางวิทย์ ที่ผมใช้มานาน จากคุณ : GreenEyes - [ 15 ก.ย. 50 20:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 71 พ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์  แม่ทำงานเป็นนักกฎหมาย  ครอบครัวนับถือศาสนาอื่น  แต่ปัจจุบันนับถือ พุทธ   เป็นศาสนาเดียว ที่ถึงนิพพาน ส่วนศาสนาอื่น ถึงแค่สวรรค์  การได้อยู่กับพระเจ้า   ได้ตายไปแล้วพระเจ้าจะรับท่าน แต่ของพุทธ  เน้นขั้นสุดยอดคือ การไม่เกิด การเข้าถึงนิพพาน จากคุณ : ไร่ในเงา - [ 15 ก.ย. 50 20:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ศาสนานี่มีประโยชน์นะ ทำคนตายไปเยอะ คนตายเยอะ >> ใช้พลังงานน้อยลง >> สิ่งแวดล้อมดีขึ้น >> โลกน่าอยู่ วิเคราะห์มั่วไปเรื่อย ... จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 15 ก.ย. 50 22:11:36 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ต่างคนต่างความคิด คิดดีก็ดีหมดแหล่ะครับ จากคุณ : pattapon - [ 15 ก.ย. 50 22:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ไม่น่าแปลกครับ ถ้าแนวความคิดของหลายๆคน อย่างเช่น คคห.บนๆที่พูดว่า "ไม่มีเทวดาหน้าไหน จะมาช่วยให้ผ่านปัญหาไปได้ นอกจากตัวของเราเอง"  หรือว่า "เรื่องความทุกข์ มันเป็นสิ่งที่เราคิดกันไปเองทั้งนั้น" จะไปตรงกับแนวคำสอนในศาสนาพุทธ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็นำมาจากความเป็นจริงที่พบเจอได้ ในชีวิตมนุษย์นี่แหละครับ เพียงแต่ว่า แนวความคิดข้างบนนั้น เป็นเพียงแค่ซับเซ็ตเล็กๆในพระธรรมแค่นั้นเอง ชีวิตคนส่วนใหญ่ในตอนนี้ ยังไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากไปกว่านั้น ก็สามารถดำรงชีวิตได้แบบมีความสุขตามอัตภาพครับ แต่การเรียนรู้มากขึ้น ย่อมสามารถทำให้คุณจัดการกับความทุกข์ได้ดียิ่งขึ้น (ไม่ว่าจะเป็นความทุกขมทางกาย,ใจ) จากคุณ : bodin - [ 16 ก.ย. 50 00:23:54 ]

ความคิดเห็นที่ 75 คุณแมวหมียวครับ ผมไม่ถึง 60 แน่ๆ จริงๆ ไม่ถึง 30 ด้วย แต่ปัญหาน่ะ เจอมาแล้ว ใหญ่กว่าคนอายุเกิน 60 บางคน (และคงหลายๆ คน) เจอนแ่ๆ สิ่งที่ทำให้ผ่านมาได้คือสติ และ ปัญญาครับ แต่จะบอกไม่ได้ไม่นับถือศาสนาก็ไม่เชิงทีเดียว ผมนับถือทุกศาสนา จากคุณ : Epinephrine - [ 16 ก.ย. 50 01:41:36 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอตอบนะ เรายังไม่ได้ประกาศตัวว่าไม่มีศาสนาอย่างชัดเจนหรอกนะ แต่ก็คิดๆ อยู่ว่าจะเป็นหนึ่งในพวกนั้นเหมือนกัน ในไม่ช้านี้ล่ะ ตอนเด็กๆอ่ะ รเวลาได้ยินมามีดารา หรือคนดังๆระดับโลกประกาศตัวว่าไม่มี ศาสนา เราว่ามันเท่ดีอ่ะ ดูแหกคอกดี อยากเป็นแบบนั้นมั่ง แต่พอโตมาก็ล้มเลิก ความคิดนั้นไป จนตอนนี้มาคิดๆดูอีกที เราเองก็ไม่ได้ยึดถือคำสอนของใครเลยนี่นา แถมยัง เอาตัวเองเป็นใหญ่ด้วย แค่คิดว่าไม่ผิดกม. คนรอบข้างไม่เดือดร้อนก็จบแล้วอ่ะ กับหลายเรื่องรอบๆตัว อย่างกินเหล้าเงี้ยของพุทธว่าผิดศีล แต่เราว่าถ้ากินแล้ว ไม่ขับ ไม่ไปพาลทะเลาะกับใครก็จบแล้วอ่ะ ส่วนประเด็นที่ว่ากินมากๆตับแข็งคน รอบข้างเดือดร้อน อันนี้มันเป็นเรื่องของวิจารณญาณและวุฒิภาวะแล้ว ที่ว่าจะ กินแค่ไหนถึงพอ รู้จักที่จะหยุด ที่พูดมาก็เท่านี้แล งงไม๊ จากคุณ : เทเลทับขี้ - [ 16 ก.ย. 50 01:48:50 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ชิวๆครับ ชอบปรัชญา เซน ศึกษาปรัชญา หลายอย่าง เลือกที่เหมาะกับเรา ที่บ้านเคร่งพุทธ มากๆ แบบไร้สาระ แต่ก็ยังเห็นทำตัวสิ้นคิดกันหลายอย่างอยู่ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 16 ก.ย. 50 03:18:26 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เกิดมาในครอบครัวพุทธระดับกลางๆ คือเข้าวัดเข้าวา มีหลักธรรมประจำใจพอสมควร .... ตอนเด็กๆ สนใจด้านศาสนามาก แต่ยิ่งรู้จักนานๆเข้า่ ยิ่งเกลียด ผมไม่ใช่ไม่นับถือศา่สนานะ ผมเกลียดชังศาสนาด้วย ถ้าว่ากันตรงๆ .... ผมอาจจะโง่เข้าไม่ถึงเอง ก็เช่นกับที่คนพุทธไม่เข้าถึงมุสลิม มุสลิมไม่เข้าถึงความเป็นพุทธ คริสเตียนไม่เข้าใจมุสลิม บลา่ๆ .... เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างความจริง แต่ความจริงมีเพียงหนึ่ง ก็แสดงว่ามีคนโง่อยู่ค่อนโลก ใครหรือคือคนฉลาด? .... เลือกฝ่ายยืนเอาเองครับ ผมเลือกได้แล้ว จากคุณ : atheist - [ 16 ก.ย. 50 06:15:20 ]

ความคิดเห็นที่ 79 คุณ Epinephrine เจอปัญหาอะไรหรือครับ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ ถ้าจะหนักหนาสาหัส จากคุณ : N of Dark - [ 16 ก.ย. 50 13:07:11 ]

ความคิดเห็นที่ 80 จากคุณ : งามหน้า - [ 16 ก.ย. 50 14:49:10 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ผมคิดว่า คนที่เลิกนับถือศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธ คือคนที่ไม่ได้ศึกษาศาสนาเชิงลึกจริงๆ หรืออย่างมากก็แค่อ่าน แต่ไม่ได้ลองปฎิบัติจริงๆ หรือใครปฎิบัติเชิงลึก ไปปฎิบัติตามมรรค 8 ได้ระดับหนึ่งแล้ว(เน้นว่าใช้ปัญญาพิจารณาแล้วด้วยไม่ใช่แค่ได้สมาธิ) รู้สึกว่ามันไม่จริงไม่เห็นผล เลยเลิกนับถือ? ช่วยยกมือทีครับ (พวกปฎิบัติไปเยอะแล้วแต่โดนกิเลสเอาชนะนี่ไม่นับ) แค่อ่านๆแล้วตัดสินใจว่าไม่น่าเชื่อถือไม่น่าลองนี้คงไม่เรียกว่าศึกษาเชิงลึกนะครับ เพราะศาสนาพุทธบอกไว้แล้วว่าต้องปฎิบัติด้วยตัวเองถึงจะัเห็นผล ไม่ใช่ให้อ่านเฉยๆแล้วคิดเอาเอง แต่อย่างว่า ถ้ามันไม่ถูกจริต บังคับให้มีศรัทธาจนกล้าปฎิบัติก็คงไม่ได้ แต่อย่าได้มาบอกว่าศึกษาแล้วไม่เห็นผลเลยเลิก แต่เป็นนับถือนิดๆหน่อยๆแล้วไม่ชอบใจเลยเลิกซะมากกว่าครับ สองอย่างนี้มันต่างกันเ้ยอะ แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่า คนที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ ทำไมต้่องประกาศว่าไม่นับถือศาสนาใดๆ ราวกับว่าการไม่นับถือก็คือความเชื่อแบบย้อนกลับ(ลัทธิแก้?) เป็นลัทธิไม่เชื่อศาสนาใดๆ มากกว่า แทนที่จะเป็นอิสระจากศาสนาอย่างแท้จริง กลับกัน ผมเคยพบเห็นชาวบ้านที่อยู่กับธรรมชาติแท้ๆหลายคนที่ไม่เคยประกาศตัวว่าไม่นับถือศาสนา แต่ปฎิบัติตัวโดยกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยไม่ยึดติดกับความเชื่อใดๆ แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าไม่นับถือศาสนาของจริง สำหรับผมคิดว่าความจริงมีหนึ่งเดียว แต่เครื่องมือที่ใช้เพื่อไปถึงอาจมีได้หลายแบบ แต่ไม่ใช่ว่าทุกวิธีที่เคยประกาศหรือรู้กันจะไปได้ถึงทั้งหมด ก็ต้องเลือกเอาให้เหมาะกับตัวที่สุด แล้วก็เสี่ยงกันไปครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 16 ก.ย. 50 20:00:55 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 16 ก.ย. 50 21:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 83 “นี่แน่ะ  กาลามชนทั้งหลาย  ท่านทั้งหลาย อย่าเชื่อ  เพียงเพราะได้ฟังตามกันมา อย่าเชื่อ  เพียงเพราะได้เรียนตามกันมา อย่าเชื่อ  เพียงเพราะได้ถือปฏิบัติสืบต่อกันมา อย่าเชื่อ  เพียงเพราะเสียงเล่าลือ อย่าเชื่อ  เพียงเพราะตรรกะ อย่าเชื่อ  เพียงเพราะอนุมานเอา อย่าเชื่อ  เพียงเพราะคิดตรองตามแนวเหตุผล อย่าเชื่อ  เพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน อย่าเชื่อ  เพียงเพราะมีรูปลักษณะน่าเชื่อ อย่าเชื่อ  เพียงเพราะเห็นว่า  ท่านสมณะนี้เป็นครูอาจารย์ของเรา” จากคุณ : เจ็บY - [ 16 ก.ย. 50 23:07:39 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ปัญหาพุทธศาสนาในบ้านเราคือเปลือกมันเยอะ แถมแยกก็ไม่ออกว่าอะไรเปลือกอะไรแก่นธรรม อะไรไม่เกี่ยวกับพุทธ ก็เลยไม่เห็นทางออกชัดๆ แถมมีพวกไม่เกี่ยวกับพุทธมาทำให้พุทธเสื่อมเสียอีกด้วย คนรุ่นใหม่ก็เลยเบื่อๆ พอจะเริ่มศึกษาก็โดนธรรมเนียมประเพณีสกัดก่อน ไม่เหมือนพระฝรั่ง พอได้ยินว่ามาหาความจริง ก็มุ่งมาจากต่างประเทศมาปฏิบัติธรรมเลย จากคุณ : Dr.slump   - [ 15 ก.ย. 50 09:51:19 ] ชอบมาก ๆ จากคุณ : วิกรมาทิตย์ - [ 17 ก.ย. 50 10:05:53 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ที่ผมไม่นับถือศาสนา เพราะผมไม่นับถือกิจกรรม (พิธีกรรม) ที่ใช้ในศาสนามากกว่าครับ เพราะบางศาสนาไม่ค่อยน่าเข้าร่วมกิจกรรมด้วยเลย... จากคุณ : pnck - [ 17 ก.ย. 50 15:10:03 ]

ความคิดเห็นที่ 86 พุทธ จริงๆ ไม่มีเทวดา และพระเจ้าครับ มีแต่คำสอนของพระพุทธเจ้า จากคุณ : พระจันทร์สีฟ้า - [ 17 ก.ย. 50 16:51:47 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ^ ^ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่า "ไม่มีพระเจ้า"  นะครับ (ด้วยความเคารพ) จากคุณ : PureTruth - [ 17 ก.ย. 50 17:38:05 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เรียนคุณ 4 จุดครับ คนเรามีหนทางต่างกันครับ มีจุดหมายต่างกัน การที่เลือกทางของเรานั้นไม่ได้หมายความทางอื่นไม่ดี แต่เพียงเพราะเรามีหนทางเดินของเราที่เราคิดว่าเหมาะสมกับตัวเราครับ และสำหรับผมจุดมุ่งหมายในชีวิตผมไม่ใช่ดับทุกข์ครับ ซึ่งทางที่ผมเลือกนั้น บางส่วนอาจจะมีส่วนที่คล้ายพุทธอยู่บ้าง อาจจะมีส่วนอื่นอยู่บ้าง เลยไม่อยากจะบอกคนอื่นว่าพุทธ เดี่ยวจะเข้าใจผิดกัน (ประมาณไปทำของเขาเสียชื่อ) นอกจากนั้นแล้วจุดหมายของคนก็ไม่เหมือนกันครับ เช่นถ้าเป็นแผลเจ็บปวดคนส่วนใหญ่ก็ทำแผล แต่ก็มีบางคนอาจจะส่วนน้อยที่ช่างมันไม่สนใจก็ได้ครับ หรือบางคนชอบที่ทำให้เกิดแผล เฉกเช่นเดียวกันว่าคนส่วนใหญ่พยายามที่จะไม่ทุกข์ แต่บางคนนั้นอาจจะอยากทุกข์ก็ได้ หรือบางคนอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ว่าจะทุกข์หรือไม่ แล้วผมก็ไม่อยากเรียกทางที่ผมเลือกว่าศาสนา เพราะผมเป็นของผมคนเดียว น่าจะใช้ได้กับผมคนเดียวด้วย และไม่เคยคิดอยากให้ใครทำตาม ป.ล. เห็นชอบพูดถึงความจริง ซึ่งผมคาดว่าน่าจะพูดถึงความจริงสมบูรณ์ (Absolute Truth) ซึ่งเป็นปัญหาทางปรัชญามานานแล้วครับ ว่าจริงๆแล้วเราจะเข้าถึงได้หรือไม่ และความจริงที่ท่านๆพูดนี้ ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นความจริง ? (ไม่ได้กวนนะครับ มันเป็นคำถามทางปรัชญา) เช่น มีลูกแก้วอยู่ในถุง คนหยิบออกมาที่ละเม็ด เม็ดแรกเป็นสีดำ เม็ดที่สองที่สีดำ ผ่านไป 100 เม็ดก็สีดำ ถามว่าคุณจะ"รู้"ไหมว่าเม็ดต่อไปจะเป็นสีดำ ? ก็ไม่แน่ใช่ไหมครับ ตราบใดที่ยังไม่แน่ ตราบนั้นยังไม่ใช่ความจริงสมบูรณ์ หรือ ถ้าเอาเข็มจิ้มมือจะเจ็บ เป็นความจริงไหม แล้วถ้าเขาทายาชาละ ? ก็ต้องเปลี่ยน ถ้าเอาเข็มจิ้มมือที่ไม่ทายาชา แล้วจะเจ็บ ถ้าเขาไม่มีเส้นประสาทที่บริเวณที่จิ้มละ ? ก็ต้องเพิ่มข้อแม้(condition)เข้าไปอีก มันเลยมีคนถาม(นักปรัชญานี้แหละตัวดี) เมื่อไรมันถึงจะไม่มีconditonเพิ่ม ดังนั้นสำหรับผม(และนักปรัชญาอีกหลายๆคน) องค์ความรู้ในโลกนี้(Knowledge)นั้น ความสามารถของมนุษย์ไม่สามารถบอกไม่ได้ครับว่าอันไหนเป็นความจริงสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตามแม้มันไม่ใช่ ก็ยังอลุมอลวย ใช้ๆไปได้(กับconditions ส่วนใหญ่) ที่พูดมานั้น ไม่ได้ต้องการบอกว่าสิ่งที่ท่านพูดมาไม่ใช่ความจริง เพียงอยากสะกิดสักนิดแค่นั้นว่าสิ่งหลายๆสิ่งที่คุณคิดว่ามันเป็นความจริงสมบูรณ์ คุณเอาอะไรมาตัดสินครับ (ซึ่งมันต้องเป็นความจริงสมบูรณ์ ครับถึงจะใช้ได้กับทุกคน ถ้าใช้ได้กับส่วนใหญ่มันก็ยังไม่ใช่ เพราะเวลาบางคนไปทำอาจจะไม่ได้ผลเหมือนกัน แล้วมาโทษคนๆนั้นไม่ได้นะครับ) แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 50 22:30:48 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 50 22:27:07 จากคุณ : KL - [ 17 ก.ย. 50 22:15:03 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ความคิดเห็นที่ 13   สมมติคุณเป็นมดหาน้ำตาลในมุมห้อง คุณคิดเก่งๆอาจคิดว่าโลกนี้จะเป็นยังไง โลกจะแบนหรือเหลี่ยมหรือกลม จะเป็นยังไงก็อาจไม่มีผลกับคุณ แม้ความจริงซึ่งมีหนึ่งเดียวคือโลกกลม เป็นดาวเคราะห์ ... แล้วมดจะรู้ไปทำไม หรือไม่รู้ไปทำไม ยังไงก็ตาม มดก็อยู่ใต้แรงดึงดูดของโลก มีฤดูกาล มีอากาศ มีอาทิตย์ขึ้นลง มนุษย์เพาะปลูกอาหาร มีคนซื้อน้ำตาลตอนลดราคาแล้วทำหกที่มุมห้อง ความสัมพัทธ์ทั้งหมดก็เกิดจากความจริงคือโลกกลม มีดวงอาทิตย์มีดวงจันทร์ มีน้ำขึ้นน้ำลง มีคนบนโลก .... แม้คุณจะไม่สนความจริงหรือตอบคำถามความจริงผิด คุณก็ได้กินน้ำตาลมุมห้องอยู่ดี แต่คุณไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ และมันก็ทำงานอยู่ จากคุณ : Dr.slump   - [ 17 ก.ย. 50 10:56:32 ] อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไ่ม่ใช่ตัวตน ถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเป็นแบบนั้นจริง ก็ต้องพิสูจน์ด้วยกายใจแล้ว ทดสอบหลายครั้งจนมันเป็นแบบนั้น เหมือนทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ จากคุณ : Dr.slump - [ 17 ก.ย. 50 22:38:11 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ผมไม่ปฏิเสธความจริงสมบูรณ์นะครับ (ถึงแม้จะมีบางค่ายของปรัชญา จะถกว่ามันมีจริงไหม ความจริงสมบูรณ์เนี้ยะ) ผมแค่สะกิดว่าสิ่งที่เรียกว่าเราพบแล้วเรียกว่าความจริง เราให้เหตุผลอย่างไรว่ามัน ความจริงสมบูรณ์ หรือเป็นแค่ระดับอื่นๆ อย่างของวิทยาศาสตร์ เขาก็ไม่บอกว่าเป็นความจริงสมบูรณ์นะ เป็นScientific Facts เท่านั้น ลองดูในพวกปรัชญาวิทยาศาสตร์ก็ได้ครับ อีกเรื่องคือการให้เหตุผลแบบคุณDr.slumpนั้น ไม่ใช่การอ้างเหตุผลเหมือนวิทยาศาสตร์ครับ เพราะ 1. subjective (ขึ้นอยู่กับบุคคล) 2. inductive reasoning วิทยาศาสตร์นั้น เน้น objective ครับ และจะพยายามไม่ใช้inductionครับ (จริงๆแล้วต้องไม่ใช้เลยครับ ใช้แต่deductionเท่านั้น) ไม่ได้บอกว่าผิดนะครับ(อาจจะถูกหรือผิดก็ได้) แต่ไม่สามารถอ้างได้ว่าวิธีให้เหตุผลแบบนั้นเหมือนกับการให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้ครับ ส่วนว่าทำไมต้องเป็นความจริงสมบูรณ์ก็ตอบไว้แล้วข้างบนครับ และถ้าไม่ใช่ความจริงนี้ก็อาจจะใช้ได้กับบางกลุ่มบางคนเท่านั้นครับ (สมมติว่าเราเชื่อว่าน้ำตาลมันจะต้องตกลงพื้นเสมอและเป็นตวามจริงสมบูรณ์ แต่ที่เราไม่รู้คือมันอาจจะมีโอกาสที่น้ำตาลจะไม่ตกลงตามแรงโน้มถ่วง เพราะgraviton มันหลุดจากแผ่นกาลอวกาศไปอันข้างๆพอดี มดที่ซวยในจังหวะนั้นก็ไม่ได้กินน้ำตาล แล้วเราจะโทษมดตัวนั้นไหมว่าไปทำอะไรไม่ถูกตามความจริงสมบูรณ์ที่เราเชื่อ) เน้นอีกทีนะครับ ว่าผมไม่ได้ว่าสิ่งที่ท่านๆพูดมาถูกหรือผิด แต่ขอสะกิดให้ระมัดระวังในการสรุปว่ามันเป็นความจริง(สมบูรณ์)แค่นั้นครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 50 00:14:16 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 50 00:09:35 จากคุณ : KL - [ 18 ก.ย. 50 00:02:08 ]

ความคิดเห็นที่ 91 แนะนำครับว่าใครสนใจเรื่อง องค์ความรู้ เช่นปัญหาว่า อะไรคือองค์ความรู้ (What is the knowledge) หรือ เราจะ"รู้"หรือ"ตัดสิน"ได้อย่างไรว่า คนๆหนึ่ง"รู้"เรื่องๆหนึ่ง ถ้าสนใจลองหาอ่านวิชา Epistemology หรือTheory of knowledge ใช้google search เอาก็ได้ครับ จากคุณ : KL - [ 18 ก.ย. 50 00:21:11 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ทราบดีครับแค่ยกตัวอย่างทางวิทยาศาตร์เพื่อเทียบตอบครับ เพราะความจริงสมบูรณ์ต้องเหนือเหตุผลนั้นอยู่แล้ว เพราะมันอาศัยจินตนาการความคิดไม่ได้เลยสักนิด เขียนเป็นคำออกมาก็ไม่ได้ ยิ่งพูดก็ยิ่งไกลความจริง ขอบคุณครับ จากคุณ : Dr.slump - [ 18 ก.ย. 50 01:24:45 ]

ความคิดเห็นที่ 93 จำได้คำสอนเดียวครับ อย่าเชื่อในสิ่งที่ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตนเอง ศาสนาดามันเกิดมาตั้ง พันปี คำสอนจริงๆ ที่เขาสอนกันจริงๆ มันบิดเบือนได้ครับ จากคุณ : ลูกอม.มม - [ 18 ก.ย. 50 18:20:40 ]

ความคิดเห็นที่ 94 คห93 ตรรกกะขัดกับตัวเองไม่รู้เหรอ ที่ว่าบิดเบือนได้คงพิสูจน์มาแล้วสินะช่วยอธิบาย ยกตัวอย่างที จากคุณ : Dr.slump - [ 18 ก.ย. 50 23:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 95 เห็นด้วยกับ#63 ครับ :) พระพุทธศาสนา มีหัวใจคือ"พระธรรม"และ"สมาธิ"ครับ หาใช่การกราบไหว้บูชา หรือการทำอะไรที่งมงาย พระพุทธเจ้าท่านทรงเห็นในทุกๆอย่างแล้วครับ ว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง มันไม่จริง มันไม่แน่นอน ท่านทรงเห็นแม้กระทั่งความก้าวหน้าทางธรรมชาติของมนุษย์ในทาง"โลก"(วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ) แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางที่จะทำให้"หลุดพ้น" วิทยาศาสตร์นำเอาความสะดวกสบาย นำเอาหลายๆอย่างเข้ามาให้กับมนุษย์ชาติ ทำให้สังคมมนุษย์มีมาอยู่จนถึงทุกวันนี้ และช่วยให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ครับ เรื่องนี้เป็นสิ่งดีมากๆ และผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่อย่างที่ได้กล่าวมาคือพระพุทธเจ้าท่านได้ก้าวผ่านทาง"โลก"ไปแล้ว ด้วย"วิธีแบบวิทยาศาสตร์"ครับ ซึ่งท่านก็ได้ทิ้ง"พระธรรม"เอาไว้เพื่อเป็นประโยชน์กับมนุษย์ชาติไว้ตั้ง 2500 กว่าปีมาแล้ว อยู่ที่ท่านจะสนใจศึกษาหรือไม่ครับ ปล1 ผมเองก็นับถือ-ศึกษา หลายๆศาสนาครับ(แต่มีหัวใจคือ"สมาธิ"และ"พระธรรม"ของศาสนาพุทธ) และก็เห็นว่าแต่ละศาสนามีข้อดีที่ควรที่จะศึกษา ถ้าท่านคิดว่าจะหาองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเองก็ไม่เป็นไรครับ แต่เขาว่าคุยกับ "ปราชญ์หนึ่งวันดีกว่าค้นหาด้วยตัวเองเป็นสิบปี" ก็น่าจะจริงไม่ใช่หรือครับ ปล2 ผมเองก็ไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาหรอกครับ ว่างๆก็ยังกินเหล้าเที่ยวแตร่ใช้ชีวิตแบบผู้ชายทั่วไป เพียงแต่เราเรียนรู้ศาสนาเพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ"ตัวเอง"และ"คนอื่น"ในสังคมได้อย่างมีความสุขก็พอครับ จากคุณ : ขอคิดด้วยคน - [ 19 ก.ย. 50 11:49:47 A:124.120.4.130 X: TicketID:143194 ]

ความคิดเห็นที่ 96 เสริมนิดนึงนะครับ... ถ้าหากท่านจะเปิดใจ นำเอาวิทยาศาสตร์และ"แก่น"ของศาสนา เข้ามาอยู่รวมเข้าด้วยกันได้มันจะเป็นอะไรที่ดีและวิเศษมากๆเลยล่ะครับ นักวิทยาศาสตร์ที่หลายๆท่านชื่นชมและยกย่องอย่างเช่น"อัลเบิร์ต ไอสไตน์"ก็ยังคิดและเชื่อแบบนี้เลยนะครับ เปิดใจนะครับ เปิดใจ... เราอาจ"ไม่มีศาสนา"หรือ"นับถือหลายศาสนา"ได้ หรือจะ"อะไร"ก็ตามแต่ แต่...ผมเชื่อว่าถ้าเราสามารถรวมสองสิ่งคือ"แก่นของศาสนาและวิทยาศาสตร์"เข้าด้วยกันได้ พัฒนาการทาง"วิทยาศาสตร์และจิตใจของมนุษย์"จะสามารถก้าวกระโดดไปได้อย่างน่าทึ่งทีเดียวเลยครับ :) จากคุณ : ขอคิดด้วยคน - [ 19 ก.ย. 50 12:13:44 A:124.120.4.130 X: TicketID:143194 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ขอแจมนะครับ ผมเป็นผู้หนึ่งที่นับถือศาสนา พุทธ ผมไม่ได้เคร่งศาสนาแต่อย่างใด ผมไม่เคยอ่านพระไตรฯ และศึกศาพุทธประวิตแต่ถ้าคุณลองศึกษาแก่นของศาสนาพุทธ และเข้าใจคุณจะเข้าใจคำตอบของทุกคำถามครับ  คนเราทุกคน เกิดมาเสพแล้วก็ตายครับ หลายๆอย่าง มีคำตอบและคำตอบสั้นๆถ้าคุณเข้าใจ จากคุณ : virus-la30 - [ 20 ก.ย. 50 15:34:01 ]

ความคิดเห็นที่ 98 โทดทีครับ ลืมไปเค้าถามถึงผู้ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ.... .  .  . จากคุณ : virus-la30 - [ 20 ก.ย. 50 15:37:53 ]

ความคิดเห็นที่ 99 คห 94 ขอโทษครับ ตกคำว่า "อาจจะเกิด" ไป บรรทัดนั้น เป็น "ศาสนาดามันเกิดมาตั้ง พันปี คำสอนจริงๆ ที่ศาสดาสอนกันจริงๆ กับที่บันทึกไว้มัน 'อาจจะ' เกิดบิดเบือนได้ครับ" เขาถึงได้สอนว่าอย่าเพิ่งเชื่อถ้ายังไม่ได้พิสูจน์ก่อนด้วยตนเอง แบบนี้ความหมายมันตรรกะขัดอีกรึปล่าวครับ อันนี้ผมคิดเอา แต่ไอ้ที่พิสูจน์ ผมคงยังพิสูจน์ ไม่ได้หรอกครับ ถ้าคิดจะพิสูจน์จริงๆ ผมคงไปบวชตามคำสอนแล้วล่ะ จากคุณ : ลูกอม.มม - [ 21 ก.ย. 50 15:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 100 อ่อ เดี๋ยวเข้าใจความหมายไม่ครบถ้วนอีก ต่อบรรทัดท้ายครับ "อันนี้ผมคิดเอา แต่ไอ้ที่พิสูจน์ ผมคงยังพิสูจน์ ไม่ได้หรอกครับ ถ้าคิดจะพิสูจน์จริงๆ ผมคงไปบวชตามคำสอนแล้วล่ะ" จริงหรือไม่จริง บิดเบือนหรือไม่บิดเบือน ควรจะได้รับการพิสูจน์ก่อน ด้วยตนเอง จากคุณ : ลูกอม.มม - [ 21 ก.ย. 50 15:06:32 ]

ความคิดเห็นที่ 101 คุณลูกอมมม พิสูจน์แบบไม่ต้องบวชก็ได้ครับ  นั่งอยู่ว่างๆก็ลองเอะใจมาเรียนรู้กายใจตัวเองดูว่ามันทำอะไรกันอยู่ลงปัจจุบัน  เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ถึงเวลามันเป็นของมันเอง ไม่ได้เกี่ยวกับรูปแบบธรรมเนียมวัฒนธรรม ว่าเชื่อแบบนี้แล้วก็จบตรงนั้น ต่างคนต่างต้องมาเรียนรู้กายใจตัวเอง  คำว่าพุทธศาสนาสำหรับคุณจะเปลี่ยนไป จะไม่ใช่ลัทธิความเชื่อ แต่เป็นการแสวงหาความจริง ผมเข้าใจนะครับเพราะผมก็เป็นมาก่อน พวกเราเรียนกว่าจะจบมาเจออาจารย์สอนผิดก็เยอะ ตำราแปลผิดก็แยะ แล้วเรารู้ได้ยังไงว่าตำราแปลผิด แสดงว่าเราเข้าใจในทฤษฏีนั้นว่าผิดยังไง ก่อนอ่านพระไตรปิฏกผมก็คิดแบบนี้ ผมว่าหลายคนก็คงคิดแบบนี้ แต่ไม่เคยอ่านกับเค้าหรอก ไม่เคยทดลองกันเค้าแต่สรุปจากประสบการณ์ตัวเองไปแล้ว จากคุณ : Dr.slump - [ 22 ก.ย. 50 14:05:47 ]

ความคิดเห็นที่ 102 คำถามแบบนี้เป็นคำถามของคนที่ยังเวียนว่ายอยู่ใน ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขตหรือไม่ก็ทะเลบุญไร้ขอบเขต บางคนอาจจะAntiว่า"ตรูไม่ได้นับถือศาสนาอะไรแล้วจะเวียนว่ายอยู่ได้ยังไง" คำตอบก็คือ อยากให้ท่านลองนึกว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้าดู..........................ถ้าท่านบรรลุธรรมทั้งหลายทั้งมวลเห็นซึ้งในโลกนี้แล้วว่าทุกสรรพสิ่งนั้นไม่ได้มีอะไรเลย บาป บุญ คุณโทษ เวรกรรม นรก สวรรค์ ไม่ว่าคำสอนใดๆของศาสนาไหนๆ ล้วนไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงการเสกสรรปั้นแต่งของคนแต่ละยุคแต่ละสมัยเพื่อให้ศาสนามาเป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ให้เป็นไปในทางเดียวกัน ตอบคำถามทั้ง7ข้อดังนี้       ถ้าธรรมทั้งหลายทั้งมวลที่ท่านได้บรรลุนั้นทำให้รู้ว่า นรกสวรรค์ไม่ได้มีอยู่จริง การทำดีทำชั่วไม่ได้ทำให้ตกนรก ขึ้นสวรรค์ล่ะท่านจะยังทำอยู่มั้ย       ถ้าธรรมทั้งหลายทั้งมวลที่ท่านได้บรรลุนั้นทำให้รู้ว่า บาป บุญ คุณโทษ ไม่ได้มีอยู่จริง ท่านจะยังทำอีกมั้ย       ถ้าธรรมทั้งหลายทั้งมวลที่ท่านได้บรรลุนั้นทำให้รู้ว่า คำสอนของศาสนาทุกศาสนาไม่ได้มีอยู่จริง ท่านจะยังนับถืออยู่มั้ย       ถ้าธรรมทั้งหลายทั้งมวลที่ท่านได้บรรลุนั้นทำให้รู้ว่า ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนไม่มีอยู่จริง เราเป็นเพียงเห็บที่อยู่บนตัวหมาตัวหนึ่ง ท่านจะทำเช่นไร ถ้าคุณเป็นพระพุทธเจ้าคุณจะสอนปัญจวคีในสิ่งที่ท่านบรรลุมรรคนี้ผลอย่างไร ขอเวลาให้คุณคิดตาม 5 นาทีนะครับ . . . . . . . . . . . . . . . . . ไม่มีความคิดของใครถูกไปซะทุกอย่าง เพราะถ้าจะให้ผมคิดแบบพระพุทธเจ้าคงเป็นไม่ได้ เพราะผมก็มีความคิดเป็นของตนเอง (ผมจึงไม่บรรลุมรรคผลซักที 555+) . . . . . . . . . . . . . . . . . คำตอบก็คือ สอนศาสนา อย่างที่เป็นเช่นทุกวันนี้ นับถือศาสนา อย่างที่เป็นเช่นทุกวันนี้ เข้าวัด ทำบุญ ฟังเทศน์ ฟังธรรม อย่างที่เป็นเช่นทุกวันนี้ ทำบุญ ทำทาน อย่างที่เป็นเช่นทุกวันนี้ เพราะถ้าท่านไม่ทำแล้วใครเล่าจะทำ ปล.อยากตอบให้ถึงเนื้อให้ถึงกระดูกกว่านี้แต่ขี้เกียจพิมพ์อ่ะเอาแค่นี้ละกัน ถ้าเข้าใจก็เข้าใจเลยเพราะทุกตัวอักษรมีความหมายในตัวเองอยู่แล้ว ขอบคุณที่อ่านครับ จากคุณ : เหินลอยละลิ่วล่องลม - [ 25 ก.ย. 50 22:25:56 ]