ความคิดเห็นที่ 1 1. ผมเข้าโบสถ์ได้ เข้าวัดได้ ไปงานศพได้ ทำบุญได้ ตักบาตรได้ 2. ก็คงพูดตรงๆ ล่ะมั้ง ว่ามีแนวความคิดเรื่องศาสนาเป็นของตนเอง แต่เมื่อมาเทียบเคียงด้วยศาสนาเปรียบเทียบแล้ว แนวความคิดของผมมีความใกล้เคียงกับศาสนาพุทธมากที่สุด 3. ตามใจคุณพ่อคุณแม่ครับ ซึ่งน่าจะเป็นการแต่งแบบจีน 4. no comment (เข้ามาเพิ่ม.. จริงๆ ผมวางแผนบริจาคร่างกายไว้ครับ แต่ที่บ้านไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก ยังไม่ได้ตัดสินใจ) 5. ถ้าแฟนไม่เข้าใจ และหาทางออกไม่ได้.. หาแฟนใหม่ 6. ร่วมได้ปกติครับ 7. ผมสามารถพนมมือสวดมนต์ได้ โดยไม่รู้สึกผิดอะไรครับ ยึดหลักว่า ไม่นับถือ แต่ไม่ได้ปฏิเสธนะครับ.. ไม่ได้แอนตี้ หรือดูถูก.. แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 22:42:00 จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 13:46:16 ]

ความคิดเห็นที่ 2 1.ไปครับเพราะเรายังอยู่ในสังคม 2.ตอบแบบให้ได้เข้าทำงานครับ 3.แล้วแต่หญิงครับ 4.แล้วแต่สะดวกครับ 5.นับถือในระดับพิธีกรรมครับ ครอบครัวก็ครอบครัวเมียก็เมียครับ แต่แนวคิดที่เราเชื่อมันก็เรื่องส่วนตัว ต้องคุยกันให้ดี โดยปรกติหญิงสาวเขาไม่เกี่ยงหรอกครับว่าเราจะนับถือศาสนาไหน แค่คุณรักฉันก็พอแล้ว 6.ไปครับเพราะเรายังอยู่ในสังคม 7.พนมมือครับ สวดด้วย เพราะเรายังอยู่ในสังคม จากคุณ : เย้ (Operation aRmageddon) - [ 15 ก.ย. 50 13:49:52 ]

ความคิดเห็นที่ 4 1. ร่วมครับ ไม่ได้มีข้อห้ามอะไร 2. การเลือกนับถือศาสนาเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล ผู้ที่ไม่นับถือศาสนาใดแต่ไม่ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่นย่อมดีกว่าผู้ที่นับถือศาสนาแต่ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ว่าแต่ปกติิเขาไม่ค่อยถามกันหรอกครับมันเป็นการเสียมารยาท 3. ตามใจครอบครัวและฝ่ายหญิงครับ 4. ตามใจทางบ้านสิ เพราะไม่ว่าจะสั่งไว้อย่างไรถ้าทางบ้านจัดให้อีกแบบก็คงลุกขึ้นมาแก้ให้เป็นไปตามที่ต้องการไม่ได้อยู่ดี 5. ต้องถามเหตุผลก่อนครับ ถ้าคิดขึ้นเองผมก็ใช้คำสอนของศาสนาที่เขานับถือย้อนไปก็แค่นั้น ส่วนเรื่องงานแต่งงานผมก็เฉย ๆ 6. ร่วมครับ แต่ถ้าบริจาคเงินเข้าวัดแบบไม่มีจุดประสงค์ที่มีเหตุผลพอก็คงไม่บริจาค 7. เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามครับ ไม่มีข้อห้ามว่าห้ามพนมมือ จากคุณ : silverspider - [ 15 ก.ย. 50 14:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คนที่เชื่อว่า ตายแล้ว ดับ จะเสมอตัว แต่ถ้าตายแล้วมีต่อไม่จบแค่นั้นละ คนที่เชื่อในศาสนา จะได้กำไรทันที คนที่เชื่อว่าตายแล้วดับ จะขาดทุน ทันที แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 14:46:06 จากคุณ : กิน เจ - [ 15 ก.ย. 50 14:39:57 ]

ความคิดเห็นที่ 6 นักวิทยาศาสตร์ ระดับ ศ. ดอกเตอร์ แพทย์ ล้วนเชื่อในศาสนาทั้งนั้น เพราะเชื่อแล้วเขาไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร เพราะศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ไม่เคยทำร้ายใคร แล้วทำไมเขาต้องหลีกหนี มันไป ทำไปเพื่ออะไร เหมือนท่านไปเห็น คนไหว้พระ บอกนายนี่บ้า ไหว้ดิน ไหว้หิน แค่นี่ใจท่านก็อคติ นึกดูถูกคนอื่นแล้ว เหมือนท่านสูงกว่า เขาต่ำกว่า ความรู้น้อยกว่าเรา แต่นักวิทยาศาสตร์ เขาเชื่อในศาสนา ก็จะอยู่ร่วมกับสังคมทางศาสนาได้สบาย เห็นคนไหว้พระก็จะเข้าใจ มันเป็นเรื่องจิตใจ ผิดกันไหมละ จากคุณ : กิน เจ - [ 15 ก.ย. 50 14:45:40 ]

ความคิดเห็นที่ 7 1. คนในบ้านนับถือศาสนาอื่น สมมติพุทธทั้งบ้าน หรือคริสต์ทั้งบ้าน แต่คุณคนเดียวที่ไม่มีศาสนา คุณจะไปร่วมพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานศพญาติ พิธีแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่หรือไม่ >>>ไปครับ ไม่มีปัญหา 2. เมื่อสมัครงาน เค้าถามความคิดเรื่องศาสนาจะตอบอย่างไร (อาจจะไม่ค่อยมีนะครับ) >>>พุธครับ 3. เมื่อถึงงานแต่งงานของคุณ จะมีพิธีใดๆ เลยหรือไม่ >>>คงจัดง่ายๆสบายๆ แล้วแต่ตกลงกันครับ แต่จริงๆผมอยากจัดง่ายๆ ท่ามกลางธรรมชาติ 4. พอตัวเองตายไป จะให้ทางบ้านทำอย่างไร >>>ฝังไปเลยครับ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น จะตายแล้วก็ขออุทิศร่างที่เหลือจากการบริจาคลงสู่ผืนดินกลายเป็นธุลีให้ต้นไม้ดูดเอาไปใช้ หรือจะบริจาคร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ก็ไม่ว่ากัน 5. เมื่อมีแฟน แล้วทางบ้านแฟนนับถือศาสนาใดๆ อย่างเคร่งครัด ต้องการให้คุณนับถือศาสนานั้นตาม หากไม่เช่นนั้นอาจมีปัญหาตามมา  นอกจากนั้นคุณต้องมีงานแต่งงาน ตามศาสนาของทางฝั่งนั้นคุณมีความคิดอย่างไร >>>ผมจะมีแฟนที่เข้าใจกันครับ เป็นแฟนกันก็ต้องยอมรับตัวตนของอีกฝ่ายได้ 6. เมื่อทางที่ทำงานมีการจัดงานต่างๆ อย่างเช่นทำบุญสถานที่ จะไปร่วมงานหรือไม่ >>>ไปได้ครับ 7. ถ้าคุณจำเป็นต้องไปวัดกับคนรู้จัก คุณกล้าที่จะนั่งเฉยๆ โดยไม่พนมมือ ไม่สวดหรือไม่ >>>ผมเข้าวัดไหว้พระ เข้าโบสถ์เคารพไบเบิลครับ เป็นการให้เกียรติเจ้าของสถานที่ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 14:48:34 จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 15 ก.ย. 50 14:47:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถึงคุณกินเจ ทุกคนส่วนใหญ่ในที่นี้ที่เป็น extentalist หรือไม่ได้นับถือศาสนาใด ไม่มีใครที่ "พอไปเห็น คนไหว้พระ บอกนายนี่บ้า ไหว้ดิน ไหว้หิน หรือมีอคติ" เลยนะครับ ผมไม่เห็นใครได้กล่าวอย่างนั้นเลย นักวิทยาศาสตร์ ระดับ ศ. ดอกเตอร์ แพทย์ ล้วนเชื่อในศาสนาทั้งนั้น <--- ไม่ทุกคนครับ หลายๆท่านที่ผมรู้จักไม่นับถือศาสนาใดเลยเช่นกัน แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 14:51:48 จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 15 ก.ย. 50 14:51:24 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่มีคำถามว่าเกิดมาทำไม ชีวิตคืออะไร เป้าหมายสูงสุดคืออะไร จากคุณ : Dr.slump - [ 15 ก.ย. 50 15:03:13 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จาก คห.3 ....................... 2.ผมก็บอกว่าเป็นพุทธสิครับ ตามน้ำไปไม่กลัวบาปที่โกหกเพราะผมไม่นับถือศาสนาเรื่องบาปกรรม... ....................... 7......ที่ผมนับถือพระพุทธเจ้าเพราะท่านยังได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์แก่โลกโดยการสอนให้คนเป็นคนดีและอื่นๆ.................. ******************************************** โน คอมเมนท์......ขอพักหน่อย กลับมาใหม่หละ คืออยากถามว่า คุณรู้สึกว่ามันขัดแย้งไหมครับ ข้อ2 กับข้อ7 อ่ะ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 15:11:15 จากคุณ : manussp - [ 15 ก.ย. 50 15:04:12 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เราเป็นพุทธ แต่ไม่ได้ยึดติด  ข้อไหนที่ดีของศาสนาอื่นเราก็รับได้ ถ้าอะไรไม่ฝืนใจเรานักทำแล้วคนอื่นสบายใจหยวนๆทำได้ก็โอเคค่ะ จากคุณ : ^*^ROLITIA^*^ - [ 15 ก.ย. 50 15:31:11 ]

ความคิดเห็นที่ 13 การไหว้พระเป็นเรื่องขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วมีหลายท่านว่า พวกเชื่อในอิทธิปฎิหาร คือพวก งมงาย ท่านพูดภาพรวมไว้แบบนั้นไม่ใช่เหรอ แล้วมันจะไม่ครอบคลุมตรงนี้เหรอ เยอะครับ ศ. นายแพทย์ ดอกเตอร์ เชื่อในศาสนา ที่ออกรายการ อะไรสักอย่างเป็นดอกเตอร์ สอน อยู่ที่จุฬา เชื่อในพุทธ นิกายวัชิรยาน บินไปทิเบต ไปกราบถึงนั่น แปลกไหมคนที่บอกไม่เชื่อในศาสนา แต่ทำไมไม่ไปพิสูทธิ์ แบบฝรั่งเขาทำ ผมเห็นนักวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะเชื่ออะไร เขาจะไปพิสูทธิ์ก่อน อย่างรายการทางไอทีวี มีนักวิยาศาสตร์ มาพิสูทธิ์ เรื่องการนั่งสมาธิ ทำตามแบบพุทธ ที่วัดป่า นี่เขาลองกันจิงๆ แต่คนที่ไม่เชื่อเนี่ย พิสูทธิ์ หรือยัง แต่อยู่ดีดีก็บอกไม่เชื่อไม่มี แบบนี้หรือที่เรียกว่านักวิทยาศาสตร์ พุดไปคงยาว ก็ค่อยๆ ศึกษากันไปแล้วกัน จากคุณ : กิน เจ - [ 15 ก.ย. 50 15:32:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ คนที่ไม่นับถือศาสนาบางคน ไม่ได้ไม่เชื่อ ไม่ได้ปฏิเสธ แต่เค้ามี way ของเค้าเอง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ราบรื่นดี จึงไม่ได้ใส่ใจ และไม่ได้สนใจ way อื่น เพราะมันไม่มีความจำเป็นกับการดำรงชีวิต จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 15:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมชักเป็นห่วงอาการคุณกินเจจริงๆ .... ผมว่าเขาจมดิ่งลงในความเข้าใจผิด (ผิดที่ผิดทาง) คล้ายๆกับเดินทางโดยไม่มีการวางแผน ไม่ศึกษาแผนที่ที่เชื่อถือได้ แต่เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็จะหาทางออกไม่ทันการณ์ เพราะใช้เวลากับแนวคิดนั้นมานานเกินไป ผมชักจะเข้าใจแล้วว่าคนเราสามารถทำให้ตัวเองมีความทุขได้ ด้วยการโหยหา ยึดมั่นในหนทาง ด้วยวิธีการบางอย่างที่คิดว่ามันจะนำสุขมาให้ (เช่นเชื่อหรือยึดมั่นถือมั่นในศาสนา พิธีกรรม ที่คิดว่า มันคือทางดับทุข) จริงๆแล้วแม้แต่การยึดมั่นในหนทางแบบนั้นมันก็ถือว่าเป็นการยึดมั่นถือมั่น ถือว่าเป็นความทุกข์ตาม ปรัชญาพุทธศาสนา จากคุณ : root :-D - [ 15 ก.ย. 50 15:57:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถาม. ถ้าคุณจำเป็นต้องไปวัดกับคนรู้จัก คุณกล้าที่จะนั่งเฉยๆ โดยไม่พนมมือ ไม่สวดหรือไม่ ตอบ. ผมสามารถพนมมือสวดมนต์ได้ โดยไม่รู้สึกผิดอะไรครับ ยึดหลักว่า ไม่นับถือ แต่ไม่ได้ปฏิเสธนะครับ.. ไม่ได้แอนตี้ หรือดูถูก. ^ จากคำตอบนี้ ถ้าผมเป็น เก แล้วไปหลอกผู้หญิงมาแต่งงานก็ไม่ผิดนะสิ                  เพราะผมสามารถมีบุตรใด้ โดยไม่รู้สึกผิดอะไรครับ จากคุณ : aon035 - [ 15 ก.ย. 50 16:02:56 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตาม 14# แล้วผมก็เกลียดความคิดแบบ 5# จากคุณ : maxijojo123 - [ 15 ก.ย. 50 16:04:00 ]

ความคิดเห็นที่ 18 #16 ตีความหมายของผมผิดไปหน่อยครับ อาจเป็นเพราะผมเขียนคลุมเคลือเอง ทุกครั้งที่ผมไหว้พระ ไม่ใช่แค่พนมมือไปงั้นๆ แต่ผมไหว้ แล้วผมสบายใจ ผมก็จะไหว้ ถ้าไหว้อะไร แล้วทำให้ไม่สบายใจ ก็ไม่ไหว้ แต่ผมไม่ได้ยึดติด.. แค่นั้นเองครับ เปรียบเทียบกับเรื่องเกย์คงจะไม่ได้ เพราะผมไม่ได้โกหก ไม่ได้สักแต่ว่ายกมือครับ จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 16:17:01 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ความคิดแบบ 5# เป็นของนักธุรกิจ ที่เก่งด้านโต้วาที ที่จังหวัดสงขลานะครับ ส่วนจมดิ่งยึดมั่นก็รู้ดีอยู่ ยึดมั่นหรือไม่ ตัวเองเท่านั้นที่จะอธิบายได้ เราทุกคนก็ยึดมั่นอยู่แล้ว คุณ root :-D ก็ยึดมั่นไม่ใช่เหรอ แล้วที่บอกตัวเองไม่ยึดมั่นอธิบายได้ไหม ไม่ยึดมั่นยังไง หรือกำไม้อันหนึ่ง ปล่อยไม้ออก บอกตัวเองไม่ยึดมั่น แบบนี้ใช่เปล่า ศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนให้ สุข และทุกข์ นะครับ แต่สอนให้สงบ ประเด็นเรื่องศาสนานี้ มันกว้างๆมากๆ ถ้าเอามาตั้งในห้องวิทยาศาสตร์ อย่าว่าแต่พุทธ เลย คริส มุสลิม ก็จะถูกแตกประเด็นให้กว้าง ไว้มาก จากคุณ : กิน เจ - [ 15 ก.ย. 50 16:22:35 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ทำทุกอย่างเหมือนผู้ที่นับถือศาสนานั้นๆ เพื่อไม่อยากมีความแตกต่าง อาจทำให้มีเรื่องมีราวได้ แต่มิได้นับถือแต่อย่างใด จากคุณ : มือขยับ~กับพินาศ - [ 15 ก.ย. 50 16:27:11 ]

ความคิดเห็นที่ 21 จริงๆแล้วปรัชญาแบบพุทธเกือบจะดีสมบูรย์แบบ ถ้าไม่มีบั๊คข้อเดียว... คือ พระพุทธควรจะเขียนออกมาว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งใดแม้แตต่อ่ตัวองค์ศาสดาเองก็อย่ายึดมั่นถือมั่น จากคุณ : root :-D - [ 15 ก.ย. 50 16:32:42 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ^ ^ ก็ 2500 กว่าปีนี้นี่ หา bug ยาก มี function พิเศษมาแก้ bug แบบ อจินไตย ด้วย จากคุณ : chidkido - [ 15 ก.ย. 50 16:41:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 #19 "คุณ root :-D ก็ยึดมั่นไม่ใช่เหรอ แล้วที่บอกตัวเองไม่ยึดมั่นอธิบายได้ไหม ไม่ยึดมั่นยังไง" อธิบายยากเหมือนกันนะ... น่าจะประมาณว่า เราควรเปิดใจกว้างๆ (ทั้งในสิ่งที่เราสัมผัสแล้ววิเคราห์ว่ามันผิด หรือ ถูก) จากนั้นเราก็อย่าด่วนสรุปว่าอันใหนผิดหรือถูกนะขณะนั้นๆ ..อันนี้ในทางวิทยาศาสตร์เขาจะเดินสายนี้ มาตลอดเพราะความจริงในแต่ละขณะมันมีความเป็นไปได้ที่คำอธิบายจะแตกต่างกันออกไป. สังเกตุดูว่าคนที่ด่วนสรุปอะไรซักอย่าง แล้วยึดมั่นถือมั่นในความคิดนั้น ไม่ยอมเปิดใจรับความจริง ที่เป็นไปได้อันอื่นๆ ความคิดของคนๆนั้นพอแสนอออกมามันจะสเปะสปะไปชนกับความจริงข้ออื่นๆ ซึ่งไม่ตรงกัน !! ถ้าเราสังเกตุความจริงที่ค้นพบในทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะใช้ทิสดีใหนอธิบาย สิ่งที่อธิบายมามันมัก จะประสานเป็นเนื้อเดียวกัน แม้ว่าจะอธิบายด้วยวิธีที่แตกต่าง (ในส่วนความจริงที่ยังขัดกันเขาก็พยายามหา วิธีที่จะให้ความหมายให้ตรงกัน) แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 23:14:15 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 17:50:51 จากคุณ : root :-D - [ 15 ก.ย. 50 16:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 24 จาก คห.3(ต่อ) กระทู้เขาถามว่า... 5. เมื่อมีแฟน แล้วทางบ้านแฟนนับถือศาสนาใดๆ อย่างเคร่งครัด ต้องการให้คุณนับถือศาสนานั้นตาม หากไม่เช่นนั้นอาจมีปัญหาตามมา  นอกจากนั้นคุณต้องมีงานแต่งงาน ตามศาสนาของทางฝั่งนั้นคุณมีความคิดอย่างไร คำตอบ... 5.ไม่สนใจครับ ให้ทำอะไรผมทำได้หมดเพื่อให้ได้มาเพื่อสิ่งที่ต้องการเพราะมันไม่มีอะไรมาค้ำคอผมอยู่แล้วนิครับ เออออห่อหมกไปใครจะรู้ ********************************************** แสดงว่าคุณเอาแต่ได้ โกหกเสแสร้งเพื่อบรรลุสิ่งที่ต้องการโดยไม่สนใจว่าผู้อื่นจะรู้สึกอย่างไรใช่ไหมครับ จากคุณ : manussp - [ 15 ก.ย. 50 16:59:58 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สาเหตุหนึ่งที่ศาสนาทุกศาสนาเสื่อมค่าลงถ้าเทียบกับสมัยโบราณที่ไม่มีความจริงที่เสนอโดยทางวิทยาศาสน์ เพราะศาสนาแต่ละศาสนา (ความจริง A ที่เสนอโดยศาสนา X Y Z) เสนอความจริงออกมาแล้ว ความจริงของแต่ละค่ายมันขัดกัน แล้วสาวกของแต่ละค่ายก็ไม่มีความสามารถที่จะหาทางนำมันมารวมกัน เป็นความจริงอันเดียวกันได้เลย เช่น. ศาสนา ก บอกว่าพระเจ้า A คือความจริง ศาสนา ข บอกว่าพระเจ้า ฺB คือความจริง ศาสนา ค บอกว่าพระเจ้า C คือความจริง ศาสนา ง บอกว่าการไม่มีพระเจ้า คือความจริง ในขณะที่ทางวิทยาศาสตร์เมื่อเราอธิบายเรื่องพลังงาน แรง สสาร เราสามารถใช้ทฤษฎี นิวตัน สัมพัทภาพ ควอนตัม หรือซุปเปอร์สตริง สิ่งที่ได้คือความจริงอันเดียวกัน จากคุณ : root :-D - [ 15 ก.ย. 50 17:00:47 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบรวมเลยดังนี้เพราะประเด็นเดียวกันทั้งหมด ผมนับถือในการต่างกันครับ ถ้าพวกเขาอยากทำอะไรก็ทำครับ การเข้าร่วมไม่เข้าร่วม อยู่ทีปัจจัยอื่นเป็นหลักมากกว่าเรื่องของความต่างของศาสนาครับ เช่นว่างก็เข้าครับ พนมมือไหว้พระก็ทำและรู้ในใจด้วยว่าทำไมเราต้องไหว้พระ ส่วนแฟนนั้นต้องเข้าใจกันครับ ไม่งั้นก็คงไม่ได้เป็นแฟนกัน พิธีถ้าอยากทำก็ทำครับ ถ้าไม่อยากก็จดทะเบียนแล้วสังสรรเล็กๆน้อยๆตามสบายๆกับเพื่อนๆญาติๆก็พอ จากคุณ : KL - [ 15 ก.ย. 50 17:11:11 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมอยากให้คุณกินเจและใครอีกหลายๆท่านอ่านข้อความในกระทู้นี้ และมองดูพวกเราซึ่งไม่นับถือศาสนาใด ถกเถียง แสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริง เปรียบเทียบกับกระทู้ห้องศาสนา กับคนที่มีศาสนาเค้าเถียงกันครับ หลายๆกระทู้มีแต่การด่าว่า ดูถูก เสียดสี จงเกลียดจงชังจนผมตกใจ ไม่ได้หมายความว่าพวกผมดี แต่หมายความว่า นี่คือเหตุผลที่เห็นกันอยู่ง่ายๆชัดๆ แม้ไม่ได้นับถือศาสนาใดๆเลย แต่ก็สามารถมีความสุข และพูดจาอย่างคนมีปัญญาได้มากกว่าผู้นับถือศาสนาหลายๆคนๆ แต่ดูเหมือนจะไม่เอาไปใช้ บางที่ความศรัทธามันน่ากลัวนะผมว่า จากคุณ : nOnG_WinZ - [ 15 ก.ย. 50 17:12:43 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมคิดว่า ถ้าเข้าใจในหลักของศาสนาพุทธ ก็ไม่จำเป็นจะต้องประกาศว่านับถือศาสนา อะไร แม้กระทั่งพุทธ เพราะว่า แนวคิดแบบพุทธศาสนานั้น มันตอบโจย์ของผมได้ในหลายๆเรือง แต่ในเรื่องของศาสนพิธีนั้น ก็แล้วแต่จะสะดวกครับ ขอบแบบนี้อยู่ที่ใจ ไม่ใช่การกระทำ การกระทำเป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ทีให้คนทำความดี มีสติ เท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 17:35:03 จากคุณ : Sympho - [ 15 ก.ย. 50 17:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 30 พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นก่อนค่อยเชื่อ ปัญญามาก่อนศรัทธา และไม่ได้คิดบังคับใคร ลองไปหาอ่านในไตรปิฎกดูนะ อธิบายเรื่องความสุขหน่อย มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่สุข ความจริงสุขนั้นก็คือทุกข์อย่างละเอียด เช่นเดียวกับทุกข์ก็คือ ทุกข์อย่างหยาบ พูดอย่างง่ายๆ สุขและทุกข์ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่งทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข เพราะถ้าลูบทางหัวมันมีพิษ มันก็กัดเอา ไปจับหางมันก็เหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงูและหางงู มันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน เช่นเดียวกับสุขและทุกข์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน จากคุณ : กิน เจ - [ 15 ก.ย. 50 17:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เค้าเรียก กุศโลบาย จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 17:33:07 ]

ความคิดเห็นที่ 32 #30 ถ้าคุณกินเจสรุปแบบนี้ผมคิดว่ายังโอเคนะ อย่างน้อยมันก็โอเคในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราลองคิดต่อไปว่า สมมุติว่าคุณได้ไปพบพูดคุยกับคนเผ่าหนึ่งซึ่งเราไม่รู้จักเขาดีพอแล้วเขาบอกว่า การจับหัวงูคือความสุข การจับหางงูคือความทุกข์ ..อยากทราบว่าคุณจะรู้สึกยังงัยถ้าเขาพูดออกมา แบบนี้ (สมมติว่าตอนนี้เราไม่รู้แบคกราวด์ของคนเผ่านี้เลย...) แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 22:56:07 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 22:31:43 จากคุณ : root :-D - [ 15 ก.ย. 50 17:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ถึงปลาจะบอกว่าอยู่ในน้ำเป็นอย่างไร นกก็ไม่มีทางจะรู้ได้ตราบใดที่นกยังไม่เป็นปลา อันนี้ต้องให้เขามาลองพิสูทธิ์ดูว่ามันจริงอย่างที่เราพูดไหม จากคุณ : กิน เจ - [ 15 ก.ย. 50 18:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 34 แล้วนกเพนกวินล่ะ จากคุณ : silverspider - [ 15 ก.ย. 50 19:01:43 ]

ความคิดเห็นที่ 35 นกก็มีความสุขดีนะครับ ที่บินอยู่บนฟ้า จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 19:50:09 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ใน #5 ที่คุณกินเจเขียนว่า [คนที่เชื่อว่า ตายแล้ว ดับ จะเสมอตัว แต่ถ้าตายแล้วมีต่อไม่จบแค่นั้นละ คนที่เชื่อในศาสนา จะได้กำไรทันที คนที่เชื่อว่าตายแล้วดับ จะขาดทุน ทันที] สามารถนำความคิดอันนี้มาตอบข้อที่ 32 ได้ว่า [คนที่เชื่อว่า การจับหัวงูคือความสุขการจับหางงูคือความทุกข์ จะเสมอตัว แต่ถ้าคนที่เชื่อในว่า การจับหางงูคือความสุขการจับหัวงูคือความทุกข์ จะได้กำไรทันที] !!!!!!!!! แล้วถ้าผมสมมติต่อไปหล่ะว่า สมมุตว่ามีความจริงอันหนึ่งที่ชนเผ่านั้นทั้งหมดเป็นโรคอย่างหนึ่งซึ่งต้องได้รับพิษงูอยู่เสมอ จึงจะทำให้มีชีวิตรอดจากความตายได้แต่ต้องมีข้อแม้ว่าอย่าโดนหางงูซึ่งจะตายทันที (ซึ่งข้อมูลตรง นี้มันขัดกับความรู้สึกของคนทั่วไป แต่มันคือความจริงของคนเผ่านั้นซึ่งเรายังไม่รู้) จากคุณ : root :-D - [ 15 ก.ย. 50 20:28:09 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณกิน เจ ครับ พระเจ้ามีจริงรึเปล่าครับ? จากคุณ : Freethinker - [ 15 ก.ย. 50 20:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คนที่ไม่รู้จักทุกข์จะเข้าหาทุกข์  และความทุกข์จะสอนบทเรียนของมัน. ตอบ คห.37 ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมไม่เคยเห็น จากคุณ : กิน เจ - [ 15 ก.ย. 50 20:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อื่มมม...มิน่าเค้าบอกว่าเรื่องการเมืองกับเรื่องศาสนาอย่าเอามาคุยกันโดยเฉพาะกับคนที่มีความเห็นต่างกัน... จากคุณ : อินทร์นิล - [ 15 ก.ย. 50 21:05:35 ]

ความคิดเห็นที่ 40 1.ไปได้เพราะเมื่อไม่มีศาสนาก็ไม่ได้ไปยึดกับกฎเกณฑ์จของอะไรอยู่แล้ว อยู่ที่ว่า อยากไปรึเปล่าเท่านั้น 2.ศาสนาเป็นที่พึ่งพึงทางจิตใจ แต่ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไร เพราะทั้งศรัทธาในสิ่งที่พระเจ้าค้นพบ และเชื่อด้วยว่ามีพระเจ้า ทั้งคำสอนหลายอย่างของคริสต์ก็ชัดเจนมาก และคิดว่าอิสลามนี่เจ๋งจริงที่ทำให้คนศรัทธาได้ขนาดนี้(และเมื่อศึกษามากขึ้นจะเห็นว่าคำสอนมากมายของอิสลามน่าทึ่งมาก) 3. มีงานเลี้ยงฉลองก็เพียงพอ 4. อยากจะเอาไปทำอะไรก็ทำ ตายไปแล้วไม่รู้อะไร ทำไปตามที่คนอยู่สบายใจเถอะ 5.เค้าบังคับเราไม่ได้หรอก เชื่อสิ 6.ไปได้อยู่แล้ว ตามข้อหนึ่ง 7.ตอนนับถือพุทธก็พนมบ้าง ไม่พนมบ้างอยู่แล้ว คือมันเมื่อยแล้วมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดที่ว่าเมื่อยห้ามเอามือลง ไหว้เพราะนี่คือสังคม และไหว้ก็ทำสมาธิระลึกถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวเอาไว้ จากคุณ : khorbfaa - [ 15 ก.ย. 50 21:09:09 ]

ความคิดเห็นที่ 41 1. คนในบ้านนับถือศาสนาอื่น สมมติพุทธทั้งบ้าน หรือคริสต์ทั้งบ้าน แต่คุณคนเดียวที่ไม่มีศาสนา คุณจะไปร่วมพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานศพญาติ พิธีแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่หรือไม่ -ไปครับ 2. เมื่อสมัครงาน เค้าถามความคิดเรื่องศาสนาจะตอบอย่างไร (อาจจะไม่ค่อยมีนะครับ) -ตอบตามที่เปน 3. เมื่อถึงงานแต่งงานของคุณ จะมีพิธีใดๆ เลยหรือไม่ -ตามใจเมียครับ 4. พอตัวเองตายไป จะให้ทางบ้านทำอย่างไร -เอาไปทำไรก็ตามใจคนอยู่ครับ 5. เมื่อมีแฟน แล้วทางบ้านแฟนนับถือศาสนาใดๆ อย่างเคร่งครัด ต้องการให้คุณนับถือศาสนานั้นตาม หากไม่เช่นนั้นอาจมีปัญหาตามมา  นอกจากนั้นคุณต้องมีงานแต่งงาน ตามศาสนาของทางฝั่งนั้นคุณมีความคิดอย่างไร -เปลี่ยนแฟนครับ ถ้าต้องอยู่ในบ้านที่นับถือ abrahamic religion หรือลัทธิธรรมโกย ส่วนศาสนาอื่นๆ อาจตามน้ำได้..โอเคนะ ผม:-)เอา แต่ไอ้สองอันข้างต้นนี่มันฝืนจิตใจสุดๆ และทำใจให้ลูกเรานับถือไม่ได้ 6. เมื่อทางที่ทำงานมีการจัดงานต่างๆ อย่างเช่นทำบุญสถานที่ จะไปร่วมงานหรือไม่ -ถ้าไม่ไปจะโดนไล่ออก ก็ค่อยไปครับ 7. ถ้าคุณจำเป็นต้องไปวัดกับคนรู้จัก คุณกล้าที่จะนั่งเฉยๆ โดยไม่พนมมือ ไม่สวดหรือไม่ -กล้า ทำมาหลายรอบละ จากคุณ : atheist - [ 15 ก.ย. 50 21:42:21 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เข้าโบสคริสก็สวดคริส เข้าวัดก็สวดภาษาบาลี เข้าสุเหร่าก็สวดแบบเขา อุปมาเหมือน เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ในเมื่อคนพวกนั้น "เชื่อ" และ "สุข" กับสิ่งที่เขาได้กระทำทุกๆวัน เช่น สวดมนต์ ละหมาด สารภาพบาป นั้น เป็นความปราถนาของพวกเขาการได้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เพราะฉนั้น ถ้าเราไม่เดือดร้อนก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเต้นแร้งเต้นกาให้เขาเลิกเชื่อในสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นคือความสุขของเขา คุณ กิน เจ มีกระทู้แบบนี้ทีไรจะเข้ามาทุกที ซึ่งทำให้ผมเห็นว่าการจะทำให้คนๆนึงเลิกเชื่ออะไรสักอย่างมันไม่มีความจำเป็นเลย ถ้าไม่ได้มาทำให้เราเดือดร้อน การไม่นับถือศาสนา ไม่ใช่สิ่งผิด ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป้นคนชั่ว คนเลว เมื่อไม่มีศาสนามายึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ใช่ว่าไม่มีศาสนาแล้วจะอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ นี่มันยุคนาโนเทคโนโลยีแล้ว หลายๆอย่างเปลี่ยนไปตามเวลา ต่อให้พระเจ้าก็ไม่ทางล่วงรู้ได้นั้นคือชีวิต สิ่งที่สถาบันการศึกษาต้องปลูกฝังคือจิตสำนึกที่ดี ในการทำความดี ไม่กระทำความเดือดร้อนให้คนอื่น การีท่คนเราจะทำชั่วได้นั้นอยู่ที่ตรรกะของเราเอง จะพูดถึงเรื่องกินเนิ้อสัตว์ บ้างว่าบาปเป็นการเบียดเบียนสัตว์โลกนั้น ขอให้คิดดูสักนิด ทำไมสิงโตกินคนได้ สิงโตบาปไหม ? ทำไมหมีฆ่าคนตายได้ บาปไหม ? สัตว์เดรัจฉานพวกนั้นล้วนแล้วแต่ทำไปตามสัญชาตญาณ ใครแข็งแกร่งกว่าย่อมอยู่รอด เป็นวงจรอาหารปกติของโลกใบนี้ การที่ สตัว์บางชนิดจะแสวงหาความอร่อยจากเนื้อสัตว์ ที่ตนเองสามารถฆ๋าได้มากินก้ไม่แปลก แต่การฆ๋าสัตว์ไม่ใช่ว่าจะถูกหลักจริยธรรม ความรู้สึกซะทีเดียว จึงต้องมีการปลูกฝังจิตสำนึก มาตั้งแต่ยังเล็กให้รู้จิตสำนึกทีดี เหตุนี้เองจะบอกว่าศาสนาก็มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายเกี่ยวกับจิตใจคนที่ไม่รู้จะไปทางไหน นั้นคือหนทางที่เขาเลือกที่จะเป็น ถึงแม้ว่าเราคือผู้ล่าแต่สิ่งนั้นล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติ ไม่ล่าก็ถูกล่า นั้นคือความจริง กว่า 2000 ปี ที่ศาสนามีบทบาท ตั้งแต่สมัยที่กราบหิน ไหว้ต้นไม้ บูชาซาตาน เชื่อทุกอย่างที่ผิดปรกติ แค่ต้นไม้พูดได้ก็ลือกันทั้งประเทศ นั้นคือความเชื่อ แต่ไม่ได้ "โง่" ผมเชื่อว่าทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเองได้ครับ ขอพลังจงสถิตอยู่กับท่าน แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 21:51:15 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 50 21:50:52 จากคุณ : Alexzus - [ 15 ก.ย. 50 21:48:22 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คนที่ไม่มีศาสนาไม่ได้หมายความว่า ไม่เชื่อในอะไรเลยนะ แต่... ทำไมต้องยึดติดกับคำว่านับถือ... ดูสิ ขนาดคนพุทธที่เดินตามคำสอนให้ละวาง ไม่ยึดติด ยังมาคอยถกเถียงว่า คนอื่นผิดตัวเองถูกอยู่เลย ละตรงไหน วางตรงไหน ยังไม่เห็น....ตัวข้า ของข้า กันทั้งนั้น เรามีเพื่อนหลายคนมากที่ไม่มีศาสนา พวกเขาศึกษาและรู้จักศาสนาพุทธมากกว่าคนพุทธด้วยซ้ำ เพื่อนคนนึงห้อยพระด้วย แล้วบอกว่า เค้าเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เค้าไม่ใช่พุทธ เค้าห้อยพระเพื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า จากคุณ : khorbfaa - [ 15 ก.ย. 50 21:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 44 มารายงานตัวว่าไม่มีศาสนาเหมือนกันค่ะ แต่ก็อยู่ในสังคมแบบปรับตัว ไปวัดก็ได้ ไปโบสถ์ก็ได้ ไม่ซีเรียสอะไร สมัครงานก็บอกไปตรงๆว่าไม่นับถือ ...เชื่อตัวเอง ให้สวดมนต์ก็สวดได้ ไปงานศพก็ไปได้ เขายืนเราก็ยืน เขานั่งเราก็นั่ง เขาพนมมือ เราก็พนม เขากลับเราก็กลับ แต่ไม่เคยทำบุญ ฟังเทศน์ก็หลับ ไปโบสถ์เฉพาะงานเทศกาล มีความสุขดีค่ะ จากคุณ : แมลงวันยิ้มแฉ่ง - [ 15 ก.ย. 50 21:59:28 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ผมนับถือพุทธยังไปร่วมเข้าโบสถ์คริสต์เลยครับ แต่ก็แค่ไปนั่งๆยืนๆไม่ได้ร้องเพลงอะไรตามเค้านะครับ จากคุณ : pablo - [ 15 ก.ย. 50 22:15:07 A:58.8.89.185 X: TicketID:130917 ]

ความคิดเห็นที่ 46 มีใครมีลูกแล้วบ้างครับ จากคุณ : Dr.slump - [ 15 ก.ย. 50 22:30:53 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณครับที่ร่วมแสดงความเห็น ถ้ามีทุกข์ ก็แวะเข้าห้องศาสนาได้นะครับ จากคุณ : กิน เจ - [ 15 ก.ย. 50 22:31:57 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เออ แล้วมีลูกจะสอนลูกว่าไงดี Zzzz จากคุณ : JohnnieWalker - [ 15 ก.ย. 50 22:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ^ ^ เข้าไปเจอบางกระทู้แล้วทุกข์หนักกว่าเดิมครับ จากคุณ : Angos - [ 15 ก.ย. 50 22:48:04 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ผมขอออกตัวไว้ก่อนเผื่อเด็กๆเข้ามาอ่าน... คือที่เขียนไปทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าการนับถือศาสนาเป็นสิ่งไม่ดี โดยส่วนตัวผมๆนับถือทุกศาสนา ทุกแนวคิด เหมือนกับการนับถือคนดีๆทั่วไป เพียงแต่ผมอยากแสดงความเห็นในเรื่องบั๊คของบางแนวคิดที่สรุปอะไรแบบง่ายๆเกินไป..... แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 50 02:14:30 จากคุณ : root :-D - [ 15 ก.ย. 50 22:52:20 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ผมถามเพิ่มนิดนึงได้ไหมครับ ส่วนใหญ่ในนี้ ที่บอกว่าตัวเองไม่ได้นับถือศาสนาใดนั้น เป็นประเภทไหนครับ 1. รู้จักศาสนาแบบคร่าวๆ (เหตุผลที่ไม่นับถือเพราะ...) 2. รู้จักพอสมควร  (เหตุผลที่ไม่นับถือเพราะ...) 3. รู้จักเป็นอย่างดี  (เหตุผลที่ไม่นับถือเพราะ...) อยากทราบเหตุผลน่ะครับ คิดว่าน่าจะแชร์กันได้ จากคุณ : bodin - [ 15 ก.ย. 50 23:57:06 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอ cancel ครับ ได้คำตอบจากกระทู้เก่าเรียบร้อยแล้ว http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5819191/X5819191.html -------------------- ผมถามเพิ่มนิดนึงได้ไหมครับ ส่วนใหญ่ในนี้ ที่บอกว่าตัวเองไม่ได้นับถือศาสนาใดนั้น เป็นประเภทไหนครับ 1. รู้จักศาสนาแบบคร่าวๆ (เหตุผลที่ไม่นับถือเพราะ...) 2. รู้จักพอสมควร  (เหตุผลที่ไม่นับถือเพราะ...) 3. รู้จักเป็นอย่างดี  (เหตุผลที่ไม่นับถือเพราะ...) อยากทราบเหตุผลน่ะครับ คิดว่าน่าจะแชร์กันได้ จากคุณ : bodin - [ 16 ก.ย. 50 00:04:57 ]

ความคิดเห็นที่ 53 จากคุณ : pattapon - [ 16 ก.ย. 50 00:18:56 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ถ้าผมเกิดทุกข์ผมคงไม่ไปห้องศาสนา ผมคงใช้ความคิดวิเคราะห์ เช่น ถ้าลูก ผมป่วยใกล้ตายเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด ก็คงเเสดงว่า ลูกผมถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติอยู่ ยีนตอนออกมาจากตัวผม หรือแฟนอาจจะไม่สมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้เอง หรือถ้ารอดได้ก็แสดงว่าเรามีเทคโนโลยีที่ช่วยเหลืออาการเหล่านั้นได้ มันเป็นเช่นนั้นเอง ผมก็คงไม่มานั่งโทษหรอกว่าโอ้เวรโอ้กรรม หรือไม่ก็นี่คือบททดสอบจากพระเจ้า สวดมนตร์อ้อนวอนเเล้วโรคร้ายหรือยีนที่ผิดปกติจะหายไหม พระเจ้าจะช่วยสังเคราะห์ DNA ชุดใหม่ให้ไหม มีลูกเเล้วก็ต้องปล่อยให้ศึกษาด้วยตัวเอง บอกลองไปศึกษาดูว่าศาสนาไหนเหมาะสมกับตัวเองที่สุด จากคุณ : Chaos dragon - [ 16 ก.ย. 50 00:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ทีแรกว่าจะไม่ยุ่ง แต่พอเห็นความคิดเห็นนี้ เลยเปลี่ยนใจ ---------------------------------------------- จริงๆแล้วปรัชญาแบบพุทธเกือบจะดีสมบูรย์แบบ ถ้าไม่มีบั๊คข้อเดียว... คือ พระพุทธควรจะเขียนออกมาว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งใดแม้แตต่อ่ตัวองค์ศาสดาเองก็อย่ายึดมั่นถือมั่น จากคุณ : root :-D  - [ 15 ก.ย. 50 16:32:42 ] ---------------------------------------------------------------------- จะมาบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เขียน แต่ก็สอนไว้ ว่า ... อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือ ว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต เกสปุตตสูตร ( หรือในอีกชื่อที่ฮิตกว่า "กาลามสูตร") เอาเป็นว่า บักที่ว่า เป็นของที่คุณเข้าใจผิด เพราะไม่ศึกษาให้ทั่วเอง จากคุณ : Deckard - [ 16 ก.ย. 50 01:19:44 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอออกตัวก่อนเลยว่า เรายังไม่ถึงกับขั้นเลิกนับถือศาสนานะ แต่กำลังดูๆอยู่ว่า จะเลิกดีรึเปล่า เพราะส่วนตัวเราไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่ไดยึดคำสอน ของใครมาเป็นหลักเลย ทุกวันนี้แค่พยายามทำตัวให้ไม่เดือดร้อนคนอื่น ไม่ผิด กฎหมาย แค่นั้นเองล่ะ 1. คนในบ้านนับถือศาสนาอื่น สมมติพุทธทั้งบ้าน หรือคริสต์ทั้งบ้าน แต่คุณคนเดียวที่ไม่มีศาสนา คุณจะไปร่วมพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานศพญาติ พิธีแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่หรือไม่ >> ทำได้ เพราะคิดว่าถึงจะไม่มีศาสนา ก็คงไม่ได้เคร่งขนาดนั้น 2. เมื่อสมัครงาน เค้าถามความคิดเรื่องศาสนาจะตอบอย่างไร (อาจจะไม่ค่อยมีนะครับ) >> ตอบไปตามตรงว่าไม่มี แอบคิดนิดๆนะว่าเก๋ีดีออก 3. เมื่อถึงงานแต่งงานของคุณ จะมีพิธีใดๆ เลยหรือไม่ >> อันนี้ออกแนวไม่เกี่ยวเท่าไหร่นะ แต่เราคิดแบบนี้จริงๆอ่ะ คือว่าเรากะแฟน เป็นพุทธอ่ะ ถ้าได้แต่งกันอ่ะนะ ก็คงแต่งแบบพิธีพุทธใช่ป่ะ ก็ต้องมีรดน้ำอะไรงี้ ซึ่งเราไม่อยากจะทำอยู่แล้วอ่ะ ต้องมาแต่งชุดไทยๆ ชุดหรูๆ เข้าพิธีมีแขกเหรื่อ มากันไรงี้ เราไม่ชอบอ่ะ รู้สึกจะทำตัวไม่ถูก ไม่ชอบอะไรที่มีพิธีรีตองเลยน่ะเรา เพราะเรากับแฟนออกแนวๆไง ถ้าให้ไปทำอะไรแบบนั้นไม่เข้าแน่ๆ สรุปคือไม่ ่อยากจะมี ถ้าผู้ใหญ่เค้ายอม แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลว่าเราไม่มีศาสนา 4. พอตัวเองตายไป จะให้ทางบ้านทำอย่างไร >> ก็เผาไปแบบพุทธแหละ ซึ่งการเผามันก็คงต้องเข้าวัดพุทธ ใช่ว่าจะจุดไฟสุม กับใบไม้แห้งหลังบ้านได้เองซะเมื่อไหร่ 5. เมื่อมีแฟน แล้วทางบ้านแฟนนับถือศาสนาใดๆ อย่างเคร่งครัด ต้องการให้คุณนับถือศาสนานั้นตาม หากไม่เช่นนั้นอาจมีปัญหาตามมา  นอกจากนั้นคุณต้องมีงานแต่งงานตามศาสนาของทางฝั่งนั้น คุณมีความคิด อย่างไร >> ตอนนี้มีแฟน แต่เท่าที่ทราบบ้านเค้าไม่ได้เคร่งขนาดนั้น หรือถ้าไม่ใช่แฟน คนนี้ ก็คงจะคุยให้เคลียร์ตั้งแต่สมัยจีบกันแล้ว ถึงเรื่องนี้ ถ้าเข้ากันไม่ได้ คงจะ ไม่สานต่อ ถ้าเค้าไม่เคร่งมาก แต่แค่ให้มีการจัดงานก็ไม่เป็นไร ทำได้ 6. เมื่อทางที่ทำงานมีการจัดงานต่างๆ อย่างเช่นทำบุญสถานที่ จะไปร่วมงานหรือไม่ >> ทำได้ เพราะไม่คิดจะเคร่งมากอยู่แล้ว 7. ถ้าคุณจำเป็นต้องไปวัดกับคนรู้จัก คุณกล้าที่จะนั่งเฉยๆ โดยไม่พนมมือ ไม่สวดหรือไม่ >> โอ๊ย ชิวๆเลย ขนาดตอนเป็นพุทธนะขี้เกียจๆก็เอามือลง ยังทำได้เลย นับ ประสาอะไรกับตอนเลิกนับถือไปแล้ว ยิ่งจะดูน่าเกลียดน้อยกว่าคนที่นับถืออยู่ แต่ดันขี้เกียจพนมมือซะอีก จากคุณ : เทเลทับขี้ - [ 16 ก.ย. 50 01:42:43 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ศาสนากับสังคม แยกกันได้ครับ ไม่ต้องกลัว ผมไปงานได้ทุกศาสนา (ถ้าเค้าให้ไป) ผมทำตามที่พ่อแม่หรือคนที่รักขอได้ (ถ้าไม่ลำบากใจเกินไป) ศาสนาในความคิดผม ไม่ว่าจะศาสนาใด คือสิ่งที่มีแก่นเป็นสากล พิธีกรรมคือสิ่งเติมเต็ม ในเมื่อผมไม่ค่อยนิยมพิธีกรรม ก็ยึดที่แก่นมัน ส่วนกระพี้ เก็บไว้เวลาที่คนอื่นต้องการให้เราทำดีกว่า ประมาณว่า ถ้าเค้าอยากทำอะไร ก็ทำให้ และอยากทำอะไรกับเรา ก็ทำไป ศพผมจะเผาจะฝัง จะโยนให้อีกากินก็ได้ ประมาณนั้น รายละเอียดอื่นกลับไปดูที่คุณ Atheist ตอบได้เลยครับ เหมือนกันทุกประการ จากคุณ : Epinephrine - [ 16 ก.ย. 50 01:47:14 ]

ความคิดเห็นที่ 58 #55 [... อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือ ว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา] <-- อันนี้ตรงกับที่ผมคิดเลย! จริงๆแล้วผมคิดออกมาจากความคิดบริสุทธิ์ของตัวเองเลย (ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก) ว่าปรัชญาพุทธควรมีคำสอนข้อนี้อยู่ด้วยถึงจะไม่มีบั๊ค.... แต่จริงๆน่าจะมีข้อนี้ด้วย อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นศาสดาของเรา +++++++++++++ สาเหตุที่ผมคิดว่าศาสนาพุทธไม่มีคำสอนข้อนี้เพราะว่าผมประมวลดูเอาจากความเห็นคนที่โพสกระทู้ +++++++++++++ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 50 02:39:54 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 50 02:10:09 จากคุณ : root :-D - [ 16 ก.ย. 50 02:05:11 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นศาสดาของเรา ความหมายคือนับถือได้แต่อย่ายึดมั่นถือมั่นว่าศาสดาของเราเท่านั้นที่ถูก หรือหมายถึงถ้าวันหนึ่งเราเจอคำสอนบางอย่างที่ผิดๆเราก็ควรไตร่ตรองด้วยตัวเองด้วย ไม่ใช่เชื่ออย่างเดียว.... ตรงนี้อาจมีคนตั้งคำถามว่า แล้วถ้าเราไม่เคยเจออะไรที่ผิดเลยหล่ะ เมื่อไม่เคยเจอว่าผิดมาเป็นเวลานานๆ แล้วจะไปตั้งข้อสังเกตข้อนี้ไปทำไม !!? อันนี้ผมเห็นด้วยแต่มันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่คนพุทธส่วนใหญ่ซึ่งไม่เข้าใจตัวปรัชญาพุทธ ดีพอ อาจจะตีความหมายผิดๆ แล้วเผยแพร่ความหมายที่ผิดออกไป (ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่เป็นแบบนี้) พอมีใครตั้งข้อสงสัย ก็อาจจะแสดงออกในลักษณะที่ว่า อย่าสงสัย ในตัวศาสดาเพราะผ่านการพิสูจน์มาแล้วเป็นเวลานาน ...ตรงนี้แหละที่ผมรู้สึกว่าควรจะมีข้อนี้อยู่ ด้วยในพระไตรปิฎกเพื่อที่จะมีไว้คัดค้านกับพวกที่ตีความผิดๆได้..... อย่างเช่นถ้าผู้ใหญ่บอกว่าอย่าสงสัยในองค์ศาสดาเพราะได้ผ่านการพิสูจน์มานานแล้วว่าไม่ผิด เด็กๆก็อาจจะบอกว่า ในพระไตรปิฎกองค์ศาสดาได้อนุญาตให้สงสัยในสิ่งที่ท่านสอนได้ !!! แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 50 02:46:35 จากคุณ : root :-D - [ 16 ก.ย. 50 02:28:26 ]

ความคิดเห็นที่ 60 1. คนในบ้านนับถือศาสนาอื่น สมมติพุทธทั้งบ้าน หรือคริสต์ทั้งบ้าน แต่คุณคนเดียวที่ไม่มีศาสนา คุณจะไปร่วมพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานศพญาติ พิธีแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่หรือไม่ >> ไปครับ มารยาทสังคมนะครับ 2. เมื่อสมัครงาน เค้าถามความคิดเรื่องศาสนาจะตอบอย่างไร (อาจจะไม่ค่อยมีนะครับ) >> ตอบตามที่คิดครับ อาจจะขอกาแฟแก้วนึงแล้วนั่งคุยยาวๆ 3. เมื่อถึงงานแต่งงานของคุณ จะมีพิธีใดๆ เลยหรือไม่ >> ไม่มีครับ เป็นงานเลี้ยงเฉยๆ ได้พูดคุยถามความเห็นของแฟนซึ่งเป็นนักปรัชญาเอาไว้แล้ว 4. พอตัวเองตายไป จะให้ทางบ้านทำอย่างไร >> สุดแล้วแต่ทางบ้านครับ ก็เราตายไปแล้วนี่จะไปโวยวายอะไร 5. เมื่อมีแฟน แล้วทางบ้านแฟนนับถือศาสนาใดๆ อย่างเคร่งครัด ต้องการให้คุณนับถือศาสนานั้นตาม หากไม่เช่นนั้นอาจมีปัญหาตามมา  นอกจากนั้นคุณต้องมีงานแต่งงาน ตามศาสนาของทางฝั่งนั้นคุณมีความคิดอย่างไร >> โชคดีที่แฟนผมเป็นนักปรัชญาครับ 6. เมื่อทางที่ทำงานมีการจัดงานต่างๆ อย่างเช่นทำบุญสถานที่ จะไปร่วมงานหรือไม่ >> ไม่ได้ไป แต่ร่วมใส่ซองครับ มารยาทสังคมนะครับ 7. ถ้าคุณจำเป็นต้องไปวัดกับคนรู้จัก คุณกล้าที่จะนั่งเฉยๆ โดยไม่พนมมือ ไม่สวดหรือไม่ >> ไปวัดพุทธกับครอบครัว หรือไปโบสถ์คริสต์กับเพื่อนของครอบครัว ก็ทำตามเค้าไปครับ มารยาทสังคมนะครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 16 ก.ย. 50 02:28:45 ]

ความคิดเห็นที่ 61 จะทำอะไรก็แล้วแต่สุขใจครับ ชิวๆ จะแสร้งว่านับถือหรืออะไรก็ได้ ผมยังเคยจีบสาวมุสลิมที่เคร่งๆเลย ยอมเปลี่ยนเป็นอิสลามในนามด้วยเอ้า(แต่จีบไม่ติด) จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 16 ก.ย. 50 03:11:13 ]

ความคิดเห็นที่ 62 พุทธดำรัสตอบ “.... บุคคลผู้ไม่มีที่เคารพ ที่ยำเกรง ย่อมอยู่เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะเคารพอาศัยสมณะ หรือพราหมณ์ใครผู้ใดอยู่หนอ ? ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้มีพระดำริว่า “เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งศีลขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่า เรายังไม่เห็นสมณหรือพราหมณ์อื่นที่ถึงพร้อมด้วยศีลยิ่งกว่าตนในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่ “เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งสมาธิที่ยังไม่บริบูรณ์.... เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์.... เพื่อความบริบูรณ์แห่งวิมุติขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์.... เพื่อความบริบูรณ์ แห่งวิมุติญาณทัสสนะขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่าเรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่ถึงพร้อมด้วยสมาธิ.... ที่ถึงพร้อมด้วยปัญญา.... ที่ถึงพร้อมด้วยวิมุติ..... ที่ถึงพร้อมด้วยวิมุติญาณทัสสนะยิ่งกว่าตนในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่ “อย่างกระนั้นเลย เราควรสักการะเคารพธรรมที่เราตรัสรู้นั่นแหละ แล้วอาศัยอยู่” คารวสูตรที่ ๒ ส. สํ. (๕๖๐) ตบ. ๑๕ : ๒๐๓-๒๐๕ ตท. ๑๕ : ๑๙๔-๑๙๕ ตอ. K.S. I : ๑๗๕ --------------- คห59 คุณศึกษาเทียบเคียงไปเืรื่อยๆละกัน กว่าผมจะหลุดมาได้ก็นานอยู่ วนเวียนอยู่กับตำราปรัญชาคิดวิเคราะห์ ทุกวันนี้ก็ยังเป็น   คนไทยที่นับถือพุทธแท้ๆ ยังน้อย ส่วนใหญ่สบายใจกับเปลือกๆประเพณี ธรรมเนียม รูปแบบ ไม่ได้ต้องการหาความจริง พระพุทธองค์ออกจากวังเพื่อหาความจริงจนตรัสรู้ ขอให้คุณ ยึดความจริงเป็นหลักเรื่อยๆ คุณก็ไปถึงความเป็นพุทธแท้ได้เอง แค่ลองลงมาศึกษากายกับใจตัวเอง ทำถูกทางไม่เกิน 1 เดือนก็เห็นผล ยังไงผมก็ท้าทายให้ลองกัน เพราะมันไม่ได้เสียอะไรที่จะรู้ความจริง จากคุณ : Dr.slump - [ 16 ก.ย. 50 03:21:44 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คุณ root :-D เอาเป็นว่าเข้าใจและไม่คาดหวังว่า คนที่ประกาศตนว่าไม่นับถือศาสนาจะต้องรู้เรื่องทางพุทธศาสนาดี ที่โพสตอบ เพื่อแสดงหลักฐานแย้งประเด็นเรื่องบักเท่านั้น ไม่อยากให้ยาวเกิน เกรงใจ จขกท (ถ้าอยากคุยต่อ ก็แตกประเด็นข้างห้องไปก็แล้วกัน แต่ระวังหน่อยนะ ห้องนั้นค่อนข้างดุเดือด) ไหนๆก็ไหนๆตอบ จขกท หน่อยก็แล้วกัน สิทธิในการนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใด เป็นสิทธิส่วนบุคคล ที่ไม่ควรมีใครมาละเมิด ตราบใดที่ไม่ผิดกฏหมาย คุณสามารถเลือกทำตามที่คุณพอใจได้ ส่วนประเด็นความสัมพันธ์กับบุคคลใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือคนรัก บางครั้งก็เป็นเรื่องเฉพาะกรณีที่ทั้งสองฝ่ายจะโอนอ่อนผ่อนปรนให้แก่กันและกัน เพื่อรักษาความสัมพันธ์กันแค่ไหน แบบที่โบราณเขาว่า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ นั่นแหละ อ่านคำถามของคุณ รู้สึกว่าคุณอยากจะบอกใครว่าไม่ได้นับถือศาสนาอะไร แต่ยังกังวลเรื่องการยอมรับจากสังคม (การทำงาน ครอบครัว คนรัก) เลยอยากจะบอกว่า อย่ากังวลว่า ถ้าไม่นับถือศาสนาแล้วจะไม่มีคนยอมรับ ให้คนยอมรับคุณ อย่างที่คุณเป็นดีกว่า จากคุณ : Deckard - [ 16 ก.ย. 50 03:29:58 ]

ความคิดเห็นที่ 64 #62 อย่าไปยึดติดเลยครับว่าจะเป็นพุทธแท้พุทธเทียม ถ้าคุณคิดว่าตัวเองเข้าใจในแก่น และอยากจะเผย แพร่ให้คนรุ่นต่อไป ผมก็ยินดีด้วยถ้ามีคนไทยที่เข้าใจมันจริงๆได้เป็นคนเผยแพร่เองคนไทยจะได้ ลดน้อยลงจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน เช่นเรื่องไสยศาสตร์ต่างๆ... #63 ขอบคุณมากที่ยกตัวอย่างมาให้ดู จริงๆแล้วผมรู้สึกดีนะที่มีคนศึกษาจริงๆแบบคุณอยู่ปะปนอยู่ในสังคม ไทยบ้าง เพราะโดยมากจะเจอแต่ข่าวจตุคามบ้างไรบ้าง โดยส่วนตัวผมคิดว่าปรัชญาพุทธนั้นดีมากเลยทีเดียว เพียงแต่ปัญหาคือตัวชาวพุทธเองที่ มักจะตีความกันผิดๆ โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นแก่น จากคุณ : root :-D - [ 16 ก.ย. 50 04:12:41 ]

ความคิดเห็นที่ 65 "ถ้าอยากคุยต่อ ก็แตกประเด็นข้างห้องไปก็แล้วกัน แต่ระวังหน่อยนะ ห้องนั้นค่อนข้างดุเดือด" หมายถึงห้องศาสนาป่ะ ? .... ถ้าใช่ก็ไม่ต้องห่วงเพราะผมไม่เคยเปิดดูห้องนั้นมาก่อนเลย 55 ได้ข่าวแว่วๆว่าดุเดือดกันมิใช่น้อย แม่นบ่ ? ก็อย่างที่ผมสรุปไว้ใน ความคิดเห็นที่ 25 นั่นแหละ...ถ้าภาพมันยังคงเป็นแบบนั้น ความดุเดือดก็คงจะยังคงอยู่คู่กับห้องนั้นไปตลอดกาล.... แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 50 04:23:21 จากคุณ : root :-D - [ 16 ก.ย. 50 04:16:56 ]

ความคิดเห็นที่ 66 1. คนในบ้านนับถือศาสนาอื่น สมมติพุทธทั้งบ้าน หรือคริสต์ทั้งบ้าน แต่คุณคนเดียวที่ไม่มีศาสนา คุณจะไปร่วมพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานศพญาติ พิธีแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่หรือไม่ แค่แต่งงานขึ้นบ้านหม่ งานศพไปครับ แต่ทำบุญตามวัด ไปส่งแฟนแล้วนั่งรอด้านนอกครับ 2. เมื่อสมัครงาน เค้าถามความคิดเรื่องศาสนาจะตอบอย่างไร (อาจจะไม่ค่อยมีนะครับ) ตอบตามจริงครับ " ไม่มี " 3. เมื่อถึงงานแต่งงานของคุณ จะมีพิธีใดๆ เลยหรือไม่ ผมแต่งก่อน เลิกนับถือครับ แต่ถ้าถามตอนนี้ก็ ไม่ต้องมีพิธี กินเลี้ยงตอนเย็นอย่างเดียวครับ 4. พอตัวเองตายไป จะให้ทางบ้านทำอย่างไร เขียนพินัยกรรม บริจาคร่างให้ รพ.ครับ 5. เมื่อมีแฟน แล้วทางบ้านแฟนนับถือศาสนาใดๆ อย่างเคร่งครัด ต้องการให้คุณนับถือศาสนานั้นตาม หากไม่เช่นนั้นอาจมีปัญหาตามมา  นอกจากนั้นคุณต้องมีงานแต่งงาน ตามศาสนาของทางฝั่งนั้นคุณมีความคิดอย่างไร ยืนยันว่าไม่ครับ ถ้ามีปัญหาอาจจะต้องเลิกกัน 6. เมื่อทางที่ทำงานมีการจัดงานต่างๆ อย่างเช่นทำบุญสถานที่ จะไปร่วมงานหรือไม่ ไม่ครับ 7. ถ้าคุณจำเป็นต้องไปวัดกับคนรู้จัก คุณกล้าที่จะนั่งเฉยๆ โดยไม่พนมมือ ไม่สวดหรือไม่ ไปนั่งข้างนอกครับ เพราะนั่งอยู่อาจจะเป็นเป้าสายตาได้ง่าย จากคุณ : Omans - [ 16 ก.ย. 50 10:23:47 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ่เป็นเรื่องที่เถียงกันไปก็ไม่จบครับ อย่างที่บอก คนที่นิสัยไม่ดีอย่างผม ต้องมีศาสนาไว้คอยดึงพฤติกรรมที่ไม่ดีบางอย่างไัว้ครับ คนที่ไม่นับถือศาสนาใด นั้นถือว่าสามารถทำตนเองให้บริสุทธิ์ได้ ควบคุมจิตใจตนเองได้ มีความเชื่อมั่นในความเป็นจริงสูง ในโลกมีคนที่ประเสริฐเช่นนี้จริงหรือครับ? ผมเชื่อว่าคนทุกคนเป็นสีเทา ไม่มีขาวหรือดำสนิท ถามใจพวกคุณดูครับว่าพวกคุณเป็นคนสีขาวจริงๆ หรือว่าแค่อยากอวดว่าข้าค้นพบ และข้าแตกต่าง จากคุณ : maphiroth - [ 16 ก.ย. 50 12:51:23 ]

ความคิดเห็นที่ 68 คนนับถือศาสนา ก็ใช่ว่าจะขาวได้นะครับ ไม่ต่างกันครับ ทุกคนคงจะเทาๆ กันหมด เทามากเทาน้อย โดยไม่เกี่ยวกับว่า นับถือศาสนาอะไร หรือนับถือศาสนาหรือไม่ จากคุณ : Angos - [ 16 ก.ย. 50 15:10:59 ]

ความคิดเห็นที่ 69 1. คนในบ้านนับถือศาสนาอื่น สมมติพุทธทั้งบ้าน หรือคริสต์ทั้งบ้าน แต่คุณคนเดียวที่ไม่มีศาสนา คุณจะไปร่วมพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานศพญาติ พิธีแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่หรือไม่ เราไปร่วมงานแต่ง งานศพนะครับ ไม่ได้ไปร่วมงานศาสนา อย่างไรก็ไปครับ 2. เมื่อสมัครงาน เค้าถามความคิดเรื่องศาสนาจะตอบอย่างไร (อาจจะไม่ค่อยมีนะครับ) ถ้าเขาไม่มีช่องว่างให้ใส่เพิ่มว่า ไม่นับถือศาสนาใดๆ(บางประเทศเขามี) ก็กาๆไปเถอะครับ ตามที่บ้านเรานับถือ 3. เมื่อถึงงานแต่งงานของคุณ จะมีพิธีใดๆ เลยหรือไม่ งานแต่งครับ ไม่ใช่พิธีศาสนา ทำไมต้องมีในเมื่อไม่ได้นับถืออยู่แล้ว 4. พอตัวเองตายไป จะให้ทางบ้านทำอย่างไร บริจาคเป็นอาจารย์ใหญ่แล้วให้ ฝัง เผา ทิ้ง ดอง ตามแต่ศรัทธา 5. เมื่อมีแฟน แล้วทางบ้านแฟนนับถือศาสนาใดๆ อย่างเคร่งครัด ต้องการให้คุณนับถือศาสนานั้นตาม หากไม่เช่นนั้นอาจมีปัญหาตามมา  นอกจากนั้นคุณต้องมีงานแต่งงาน ตามศาสนาของทางฝั่งนั้นคุณมีความคิดอย่างไร อยู่ที่คุณตัดสินใจแล้วครับ จะทำได้หรือไม่ ยอมรับหรือไม่ ตอบแทนไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกตอนนั้นด้วย 6. เมื่อทางที่ทำงานมีการจัดงานต่างๆ อย่างเช่นทำบุญสถานที่ จะไปร่วมงานหรือไม่ ไปได้ครับ อาจไปหรือไม่แล้วแต่สถานะการณ์ 7. ถ้าคุณจำเป็นต้องไปวัดกับคนรู้จัก คุณกล้าที่จะนั่งเฉยๆ โดยไม่พนมมือ ไม่สวดหรือไม่ กล้าสิครับ ถ้าเราเป็นเช่นนั้นจริง เหมือนศาสนาอื่นไปร่วมงานเขายังไม่ไหว้พระเลย เป็นตัวของเราเอง ปรับไปตามสถานะการณ์ ไหว้ไว้ไม่เสียหายครับ นับถือหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งสำคัญๆที่ต้องเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ผมนับถือพุทธครับ เพราะศาสนาพุทธ พิสูจน์เป็นวิทยาศาสตร์ได้ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ผมต้องเชื่อนะครับ พูดไปก็ยาวจบดีกว่า จากคุณ : YKK - [ 16 ก.ย. 50 17:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 70 พยายามเดินสายกลาง อย่าทำให้ชีวิตกดดันมาก ชีวิตจะไม่มีความสุข อย่าลืม ความคิดจะเปลี่ยนไปตามอายุ และประสบการณ์ ยังไงก็ดูคนรุ่นเก่าที่ดีบ้างก็ดีเหมือนกัน เป็นการเรียนลัดครับ จากคุณ : หนุ่ม TN - [ 16 ก.ย. 50 19:41:29 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 16 ก.ย. 50 21:26:17 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เึึึุคยเป็นครับ สมัยวัยรุ่น..   ไม่เข้าวัดเพราะขี้เกียจตื่นเช้า ทำไมจึงต้องคอยเอาอาหารไปถวายพระ ทั้งๆที่เราก็ได้แค่นั่งฟังบทสวดที่ไม่รู้เรื่อง.. ไม่ทำบุญ ถวายสังฆทาน ผ้าป่า กฐิน...   ไม่ทำ ถ้าจะทำ จะเอาไปหยอดตู้บริจากตามห้างดีกว่า คิดว่า ถึงมือผู้รับแน่นอนกว่า.. และอีกหลายๆอย่าง... สรุปว่าเพราะเข้าวัดทำบุญแล้วมันไม่มีความสุข  สู้เอาเวลามานั่งทำงานหาเงิน เล่นเกม คุย msn จีบสาวดีกว่า... นี่ตอบอย่างสันดานแล้วนะครับ แต่ตอนนี้กล้าบอกได้ว่า ผมนับถือศาสนาพุทธแล้วครับ... แม่ป่วย..  พ่อไม่สบาย..  ไม่มีที่พึ่งครับ... คิดมาก... คนเฒ่าคนแก่ที่เคารพก็เสียไป   เศร้าครับ...  เป็นทุกข์... ช่วงนั้นไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวจริงๆครับ  ก็ได้พุทธศาสนาที่เรียนมาตอนประถมช่วยนี่แหละครับ หยิบหนังสือธรรมขึ้นมาอ่าน.. นั่งสมาธิ..  พาคนที่เรารักเข้าวัด ทำบุญ...  เพราะคิดว่าในภายภาคหน้า ทุกอย่างมันอาจจะสายเกินไป.... มันเป็นความสุขที่อยู่ในจิตใจ...  โดยไม่ต้องอาศัยเหตุผลมาอธิบาย... ขอโทษที่ตอบไม่ตรงคำุถามของเจ้าของกระทู้ นะครับ... จากคุณ : artech - [ 17 ก.ย. 50 03:01:42 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ความคิดเห็นที่ 38 ด้วยตรรกะเดียวกันนี้ คุณคงไม่เชื่อว่ามีประเทศเกาหลีเหนือด้วยสินะครับ เพราะคุณคงไม่เคยไป อยากให้ใช้ตรรกะในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้จากข้อมูลที่มีครับ จากคุณ : Freethinker - [ 17 ก.ย. 50 15:49:32 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ตามความเห็นที่ 72 ครับ ตามความเชื่อครับ จากคุณ : พระจันทร์สีฟ้า - [ 17 ก.ย. 50 16:45:45 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เคยสับสนอยู่พักนึ่งไม่รู้ว่าจะนับถือศาสนาอะไรดี   ตามทะเบียนบ้าน เขียนว่านับถือ ศาสนาพุทธ ฉุกคิดขึ้นมาไ้ด้่ว่า การนับถือศาสนา เหมือนเป็นการหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิต ยามสับสน ยามวุ่นวาย ยามเป็นทุกข์ คิดว่า ถ้าจะนับถือศาสนาอะไร ก็น่าจะศึกษาแต่ละศาสนาให้ท่้องแท้และเข้าใจเสียก่อน ตอนนี้ก็เลยนับหนึ่งใหม่ก็ค่อยๆๆ ลองศึกษาศาสนาพุทธตามที่เขียนไว้ในทะเบียนบ้านก่อน ลองหัดอ่านหนังสือของท่านพุทธทาส (คำสอนของท่านใช้ได้ในชีวิตประจำวันเลยล่ะ ใช้ได้กับหลักวิทยาศาสตร์ อธิบายได้) ถือไ้ด้ว่าตอนนี้นับถือพุทธ แต่เรื่องพิธีกรรมต่างๆๆ ยังข้องใจอยู่ จากคุณ : LittleSister - [ 17 ก.ย. 50 17:17:32 ]

ความคิดเห็นที่ 76 คห75 ยิ่งอยู่นานพิธีกรรมที่เป็นเปลือกก็มากขึ้น  คนที่ต้องอาศัยเปลือกยังมี เช่น สมัยก่อนเวลาไปรวมกันที่วัด มีคนจุดควันไล่ยุง จุดเทียนเพื่อแสงสว่าง ปัจจุบันมีหลอดไฟ มีมุ้งลวด แต่ก็ทิ้งไปไม่ได้ กลายสภาพเป็นเปลือกวัฒนธรรม รูปแบบที่ทำหน้าที่ห่อหุ้มแก่นธรรมกันไป  ถ้าปัจจุบันมีวัดไม่จุดธูปเทียนคนไม่เข้าใจมามองก็ทำให้เข้าใจผิดได้อีก  ประเพณีรูปแบบที่เกิดมันก็สัมพัทธกับจิตใจให้กลับไปนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้านานไปจนรุ่นถัดไปไม่รู้ที่มาก็เหลือแต่รูปแบบเฉยๆ จนคนรุ่นใหม่มองมากลายเป็นเห็นแต่รูปแบบเต็มไปหมด ไม่คิดว่าพุทธศาสนาจะมีเฉลยความจริงพร้อมแนวทางไปให้ถึงจุดนั้นด้วย เมื่อก่อนผมก็เป็นคิดว่าศาสนาเป็นแค่เครื่องมือปกครองคน แต่มาเอะใจเมื่อเติมคำตอบของความจริงไปเรื่อยๆ ไปหลายๆข้อ ก็ไปตรงกับพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ พระธรรมในพุทธศาสนาอธิบายคำตอบนั้นไว้แล้ว ผมจึงพร้อมที่จะเปิดประตูหาคำตอบในข้อที่ผมยังทิ้งช่องว่างไว้อยู่มากมาย เป็นเรื่องตลกร้ายของวัฏฏะยิ่งเรียนรู้กระบวนการทุกข์ละเอียดเท่าไหร เราก็พ้นจากทุกข์ ยิ่งวิ่งเสพสุขเรากลับทุกข์มากขึ้น กลายเป็นตัวตนโดยไม่รู้ตัว จากคุณ : Dr.slump - [ 17 ก.ย. 50 18:39:38 ]