ความคิดเห็นที่ 1 เริ่มจากคำถามแรก "พระพุทธเจ้าทรงรู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์ ได้อย่างไร ในเมื่อ สมัยนั้นยังไม่มีศาสตร์ทางด้าน ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา" ตอบ แน่นอนครับ ว่าการค้นพบของพระพุทธเจ้า คงไม่มีสูตรแบบ F = ma หรือคำศัพท์เชิงเทคนิค เช่น นิวตรอน โปรตรอน อิเลคตรอน แต่การค้นพบของพระพุทธองค์คือการค้นพบความจริงแท้ของธรรมชาติ เช่นเดียวกับนิวตัน หรือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์    ก่อนยุคนิวตัน เราเดินทางโดยใช้เรือและม้า ซึ่งเป็นการวิ่งไปในระนาบสองมิติ จนเมื่อนิวตันเกิดปัญญาหยั่งรู้มองไปที่ความไม่เที่ยงของความเร็ว จากปรากฎการณ์ลูกแอ๊ปเปิ้ลตก  จนค้นพบความลับของแรงและความเร่ง ซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังความไม่เที่ยงของความเร็วนั้น เป็นการค้นพบนามธรรมซ้อนนามธรรมคนแรกของโลก (ความเร่งซ้อนอยู่ในความเร็ว) ในขณะที่คนไทยเคยเห็นลูกมะพร้าวตกจากต้นเป็นล้านๆคน ทั้งๆที่ต้นมะพร้าวสูงกว่าต้นแอปเปิ้ลเกือบสิบเท่า แต่ไปมองที่รูปธรรมจึงไม่ค้นพบอะไร  กฎของนิวตันทำให้มนุษย์ทะลุเข้าสู่มิติที่ 3       หลังจากนิวตันเสียชีวิตไปกว่าสองร้อยปี  อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นมนุษย์คนแรกที่หยั่งรู้มองไปที่ความไม่เที่ยงของความเร่ง  จนค้นพบความลับของแสงและเวลาที่ซ่อนอยู่ในความเร่ง เป็นการค้นพบนามซ้อนนามถึงสามชั้น ( เวลาซ้อนความเร่ง ความเร่งซ้อนความเร็ว )  และเปิดโลกเข้าสู่มิติที่ 4     จวบจนปัจจุบัน หลังไอน์สไตน์เสียชีวิต ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะคนใด ที่เฉลียวใจมองไปที่ความไม่เที่ยงของเวลา และค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในความไม่เที่ยงของเวลา ซึ่งถ้าพบ จะเป็นการเปิดโลกเข้าสู่มิติที่ 5 เห็นนามซ้อนนามถึงสี่ชั้น (ความเร็ว ความเร่ง เวลา และ ??? ) ทำให้การเคลื่อนที่ทะลุมิติที่ 4 กลายเป็นเรื่องธรรมดา    ในทางวิทยาศาสตร์ก็พยายามศึกษาที่นามธรรม แต่เป็นนามธรรมภายนอกร่างกายมนุษย์  เช่น น้ำหนัก แรง ความเร็ว ความเร่ง โมเมนตัม พื้นที่ ปริมาตร ความหนาแน่น พลังแม่เหล็กไฟฟ้า ฯลฯ และที่นักวิทยาศาสตร์สามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆขึ้นมาได้ ก็เพราะการค้นพบความลับของนามธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่รูปธรรม เช่น การค้นพบความดันอากาศ ทำให้มีเครื่องบิน รูปร่างของเครื่องบินเป็นสิ่งที่มีมาทีหลังตามกรอบของนามคือความดันอากาศ หรือ ถ้าเราจะพูดว่า นามเป็นต้นกำเนิดของรูป ก็ไม่ผิด     แต่พระพุทธองค์ทรงศึกษานามธรรมภายในร่างกายมนุษย์ จนเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่เราเกิดมามีหน้าตาแบบนี้ ผิวพรรณแบบนี้ ก็มีต้นกำเนิดมาจากส่วนของนาม ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้ว การเกิดของเรามีเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ     นามเป็นต้นกำเนิดของรูป และจิตก็เป็นต้นกำเนิดของนาม ถ้าไม่มีจิต นามทั้งหลายเช่น ความสวย ความหอม ความดัน ความเร่ง หรือแม้แต่เวลา ก็ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงวางทางสายเอกแห่งมรรคตรงเผงไปที่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตเพียงอย่างเดียว  เพราะจะเหมือนกุญแจดอกสำคัญ ( Master key ) ที่สามารถไขความลับทุกสิ่งในจักรวาล ( สัพพัญุตญาน )     สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในการศึกษานามของวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนาคือค้นพบความจริงจากความไม่เที่ยง แต่ทั้งนี้ อย่านำความไม่เที่ยงที่ค้นพบในทางวิทยาศาสตร์ ไปเทียบกับความไม่เที่ยงที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ เพราะความละเอียดลึกซึ้ง ต่างกันนับหมื่นนับแสนเท่า ความไม่เที่ยงของความเร็วและความเร่ง เทียบแล้วเป็นแค่ระดับอนุบาล พระพุทธองค์ทรงมีขณิกสมาธิหยั่งรู้ความไม่เที่ยงลึกลงไปถึงระดับหนึ่งในแสนโกฏล้านวินาที ขณิกสมาธิที่ไวระดับนั้น ความจริงของจักรวาลทั้งหมดทั้งรูปและนามจะผุดขึ้นมาจากภาวนาปัญญาญาน การเกิดสัพพัญุตญานเข้าใจทุกสรรพสิ่งในจักรวาลของพระพุทธองค์ ไม่เฉพาะทะลุมิติที่ 4 หรือ 5 แม้ว่าจะมากถึง 11 มิติที่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่ามีอยู่ พระองค์ก็ทรงหยั่งรู้หมดแล้ว ดังที่ทรงตรัสว่า “ในทุกๆปรมาณู ของทุกสิ่งในโลกและจักรวาล ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ และ อาการ ของ อิทัปปัจจยตา”  ยิ่งไปกว่านั้น การบรรลุนิพพานเป็นสภาวะที่เหนือมิติทั้งปวง วิทยาศาสตร์ไม่มีทางเข้าถึง จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ 18 ต.ค. 50 22:15:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เข้ามารอฟังคะ อ่านหนังสือไปแล้วยัง งงๆ อยู่ เยอะ ไม่รู้จะถามอะไรก่อนดี จากคุณ : NongPleZa - [ 18 ต.ค. 50 22:35:43 ]

ความคิดเห็นที่ 3 รอฟังเหมือนกันครับ ชอบครับ จากคุณ : ~แสวงรัก~ - [ 18 ต.ค. 50 22:37:53 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าเรื่อง อิทธิปาฏิหารย์มีจริง ทำไมผมไม่เคยเห็นซักครั้งเลยครับ จากคุณ : [Zero] ([Zero]) - [ 18 ต.ค. 50 22:41:21 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ดีครับ จากคุณ : Thales of Miletus - [ 18 ต.ค. 50 22:42:23 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าเรื่อง อิทธิปาฏิหารย์มีจริง ทำไมผมไม่เคยเห็นซักครั้งเลยครับ ตอบ  ปาฏิหาริย์ ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาตินะครับ  เพียงแต่ใครที่มีสมาธิสูงระดับหนึ่ง ก็สร้างปาฏิหาริย์ได้ เราอาจจะเคยเห็นมาแล้ว ก็ได้ อย่างไทเกอร์ วู๊ด ก็สร้างปาฏิหาริย์ ไว้หลายครั้ง เรามักจะเขียนคำว่า อิทธิฤทธิ์ คู่กับคำว่า ปาฏิหาริย์ คำว่า อิทธิฤทธิ์ ก็มาจาก อิทธิบาท 4 หรือ ฤทธิบาท 4  นั่นเอง  อันประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ฉันทะ คือ ความรัก ความสนใจ  ความพอใจ  พระพุทธองค์ทรงยกฉันทะขึ้นมาเป็นข้อแรก เพราะเป็นพื้นฐานของ วิริยะ จิตตะ วิมังสา  ถ้าคนเราลองได้พอใจหรือแน่ใจอะไรลงไปแล้ว โอกาสจะประสบความสำเร็จมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะจะมีพลังลึกลับจากจิตใต้สำนึกคอยผลักดัน เพื่อให้มุ่งไปสู่เป้าหมายต่อไปได้โดยง่าย  โดยสะดวก และสนุก อย่างไรก็ตาม  กำลังของความพอใจ (ฉันทะ) เพียงอย่างเดียว จะประสบความสำเร็จได้ไม่นาน เพราะขาดกำลังกาย อันเนื่องมาจาก ความพากเพียรในการฝึกฝน ( วิริยะ )  ขาดกำลังจิต จากสมาธิที่จดจ่อ ( จิตตะ )  และขาด กำลังปัญญา จากการครุ่นคิด วิเคราะห์ ( วิมังสา )  เช่น นักชกไทยบางคนที่เรียกว่าเคยมีฝีมือในระดับปรมาจารย์แต่ก็ไปถูกน็อคกลางเวทีอย่างหมดสภาพ           สมัยที่ เมจิค จอห์นสัน  อดีตนักบาสเก็ตบอล NBA อยู่ในช่วงมีชื่อเสียง ฝีมือการเล่นของเขาก็จัดอยู่ในระดับมีอิทธิฤทธิ์เช่นกัน ( เป็นที่มาของชื่อ Magic ที่แปลว่า เวทมนตร์ ) เพราะเขาชู๊ตลูกบาสจากตำแหน่งไหนก็ลงห่วงราวกับสั่งได้  ครั้งหนึ่งนักข่าวเข้าไปถามด้วยความสงสัยจริงๆว่า เขามีเวทมนตร์ คาถาหรือปล่าว  เมจิค จอห์นสันบอกว่า ถ้าใครได้มาดูตอนเขาซ้อมจะเข้าใจในคำตอบ  เขาซ้อมชู๊ทลูกบาสตามจุดต่างๆของสนามตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนถึงสามทุ่มของทุกวัน โดยไม่มีวันหยุด วันหนึ่งๆนับจำนวนครั้งไม่ถ้วน  ( วิริยะ )  และ มุ่งมั่น ตั้งสมาธิกันในการฝึกซ้อมอย่างแรงกล้า ( จิตตะ )  วิเคราะห์ถึงมุมและแรงที่จะส่งในการชู๊ทลูกบาสตามตำแหน่งต่างๆของสนามอย่างละเอียด ( วิมังสา )  จะเห็นได้ว่า แม้เขาจะมีฉันทะเพียงอย่างเดียวคือ ชอบเล่นบาสเก็ตบอล แต่ด้วย วิริยะ จิตตะ วิมังสา อันแรงกล้า ก็ทำให้เขาสามารถขึ้นมามีชื่อเสียงในระดับโลกได้     กองทัพสมเด็จพระนเรศวร เป็นที่กล่าวขานกันอย่างครั่นคร้ามของบรรดาเหล่าทหารพม่าว่า มีอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์  ก็เนื่องมาจากธรรมะข้อนี้ ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด     นั่นเป็นเรื่องปาฎิหาริย์ทางกาย ส่วนปาฎิหาริย์ทางจิต ก็มีพื้นฐานของการฝึกไม่ต่างจากกาย แต่เป็นการฝึกจิต     และเหตุที่เราไม่เคยเห็นปาฎิหาริย์ทางจิต ก็เพราะสติเราไม่ไวพอ เพราะปาฏิหาริย์ทางจิตทั้งหมด เป็นเรื่องของมิติที่ 4 คือมิติของเวลา     แม้ปัจจุบันก็มีผู้ที่สามารถพัฒนากำลังสติให้เกาะติดไปกับจิตที่ไวมาก จนวิ่งผ่านทะลุมิติที่ 4 ท่องไปในกาลเวลาได้มากมาย แต่ถือว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมดา เหนือธรรมชาติ และเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน ไม่สามารถนำมาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ ( ปัจจัตตัง ) เหตุที่อธิบายไม่ได้เพราะพวกเขาไม่เข้าภาษาทางคณิตศาสตร์ ที่จะใช้เป็นสื่อในการอธิบาย ( ถ้าจะมีก็ไอน์สไตน์ ที่นำคณิตศาสตร์มาอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพ จนคนเข้าใจในเรื่องการยืดหดของเวลา )    การจะพัฒนากำลังสติให้ไวขนาดเกาะติดจิตได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะจิตไวกว่าแสง เปรียบเสมือนตัวเราจะกระโดดเกาะรถไฟความเร็วสูง เราต้องวิ่งให้ทันความเร็วของรถไฟเสียก่อน และแม้จะกระโดดเกาะติดได้ ถ้ากำลังแขนไม่สูงพอก็ร่วงลงมาได้เหมือนกัน      ผมอยากอธิบายใจจะขาด แต่ ก็เปรียบเสมือน การอธิบายโดยถ่ายทอดทางช่องเจ็ด แต่คนอื่นรับภาพนั้นไม่ได้    อย่างแค่แสงเทียนที่เห็น ลุกไสวสวยงามอยู่นั้น ถ้ามองด้วยขณิกสมาธิที่บรรลุแล้ว จะเห็นการเกิดดับของแสงเทียนเป็นหมื่นแสนครั้งในหนึ่งนาที่ เป็นภาพที่สวยงามมาก แต่บอกให้คนอื่นรับรู้ไม่ได้    เปรียบเทียบง่ายๆ กับคนที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิด เขาจะฟังเพลง โดยเห็นการเกิดดับ ของโน๊ตแต่ละตัว เสียงดนตรีแต่ละอย่างได้  บางคนแค่ฟังเพียงครั้งเดียว สามารถแกะโน๊ต และ บอกถึงลักษณะของเครื่องดนตรีทั้งหมดที่ใช้บรรเลงในเพลงนั้น    ในทางตรงกันข้าม คนที่หูไม่ไวพอ ( คนส่วนใหญ่ ) จะไม่เห็นการเกิดดับ ฟังเพลงไปแบบสมถะสมาธิ เคลิ้ม มีความสุข แต่ไม่เกิดปัญญา     ส่วนคนที่ได้ยินไม่เหมือนคนอื่น แล้วจะไปบอกให้คนอื่นได้ยินเหมือนตัวเอง ก็ทำไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ      นั่นเป็นเรื่องของพรสวรรค์ แต่ขณิกสมาธิ ฝึกได้ครับ และไวกว่าการเกิดดับของตัวโน๊ต หรือเสียงดนตรี เป็นล้านเท่า      แล้วคิดดูสิครับว่า ความจริงแท้ของจักรวาล จะผุดขึ้นมามากมายขนาดไหน แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 23:18:33 จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ 18 ต.ค. 50 23:09:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 หมายความว่า ถ้าเราฝึกจิต( สมาธิ )ไปด้วย จะทำให้เราทำงาน หรือประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยใช่ไหมครับ? จากคุณ : ~แสวงรัก~ - [ 18 ต.ค. 50 23:28:42 ]

ความคิดเห็นที่ 8 หมายความว่า ถ้าเราฝึกจิต( สมาธิ )ไปด้วย จะทำให้เราทำงาน หรือประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยใช่ไหมครับ? ตอบ ใช่ครับ  และคนส่วนใหญ่ ที่เราเห็นประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ก็เพราะพบความลับข้อนี้ อาจจะโดยพรสวรรค์ หรือ โดยการฝึกก็ได้   แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า  สมาธิมีสองแบบ คือแบบสมถะสมาธิ และแบบ ขณิกสมาธิ   สมถะสมาธิ คือสมาธิแนบแน่นในอารมณ์เดียว เช่นเดียวกับศิลปินที่มีสมาธิแนบแน่นกับงานของตน แต่ ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิชั่วขณะ ที่เพ่งไปที่การเกิดดับ   ผมได้ยกตัวอย่างไว้ในหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น  ขณะที่นิวตันมองลูกแอปเปิ้ลตก เขาใช้ขณิกสมาธิโดยพรสวรรค์จับไปที่อาการตกของลูกแอปเปิ้ล และพบว่า มีการเกิดดับของความเร็วอยู่ตลอดเวลา ( ก็คือความไม่เที่ยงของความเร็ว ) วินาทีที่หนึ่งความเร็วหนึ่งเกิดขึ้น แต่พอวินาทีที่สองความเร็วเก่าดับไป ความเร็วใหม่เกิดขึ้นมา นิวตันเริ่มเกิดปัญญาแล้ว   ในขณะที่คนทั่วไปมองผลไม้ตก แบบสมถะสมาธิ แม้จะตั้งใจมองอย่างไร ก็ไม่เกิดปัญญา    ดังนั้น ถ้าเราจะฝึกสมาธิ เพื่อการประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องฝึกขณิกสมาธิครับ นักเศรษฐศาสตร์ที่เก่งๆ เขาจะเห็นการเกิดดับของตัวเลขอ้างอิงต่างๆมาเป็นสายเลยครับ หรือ แม้แต่นักเล่นหุ้น ถ้าใช้ขณิกสมาธิ จะสามารถจับจังหวะการขึ้นลงของหุ้นได้ไวมาก แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 50 00:05:12 จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ 18 ต.ค. 50 23:58:01 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ดีจังเลย เราเป็นคนคริสต์นะคะ แต่ก็ชอบศึกษาเรื่องนิพพาน ของศาสนาพุทธ ยิ่งมาอ่านหนังสือเล่มนี้ ยิ่งชอบล่ะสิ อ่านอยู่ 8 ชั่วโมงเต็มเลย กว่าจะจบ อ่านไปอ่านมาเลยไปคว้า หนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีของไอน์สไตน์มาอ่านต่ออีก เพิ่มพูนความรู้..... ก็ไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไมนะคะ เรียนท่องเที่ยวแท้ๆ มิได้เกี่ยวกันเล้ย.... แต่ก็รู้สึกว่า สมาธิทำให้เรามีปัญญามากขึ้นจริงๆ ละค่ะ จากคุณ : ธารวรี - [ 19 ต.ค. 50 00:47:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริง ขณิกสมาธิสามารถฝึกได้ด้วยหรอครับ? อีก 1 คำถามที่สงสัย คือ การเดินทางข้ามเวลานี่เป็นไปได้จริงหรอครับ? คือถ้าเป็นการเดินทางข้ามเวลาของจิตยังพอจะรับได้ แต่การพาร่างกายข้ามเวลา ไปยังอีกสถานที่นึงในระยะเวลาที่ไม่น่าเป็นไปได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงหรอครับ? จากคุณ : ~แสวงรัก~ - [ 19 ต.ค. 50 00:54:39 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับเรื่องสติ กับการรับรู้ไม่ตรงกันครับ ผมทำสมาธิหาของ(ที่ตัวเองทำ)หาย อยู่บ่อยๆ การทำสมาธิทำให้เราทบทวนได้ว่าเราทำอะไรบ้างเวลาไหน ทั้งๆที่การคิดไปเรื่อยๆ กลับไม่รับรู้เลยว่า เราเอาวางไว้นี่นะ จากคุณ : IRQ5 - [ 19 ต.ค. 50 00:59:42 A:203.146.63.182 X: TicketID:129004 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถามคุณหมอปัจจตัง บางคนกล่าวว่ารูปกับนามคือกายและจิต  ซึ่งจริงๆแล้วจิตอาจไม่ใช่เพียงสถานะของนามธรรม ควรจะละเอียดกว่าเพราะเป็นที่มาของนามธรรมใช่ไหมครับ  เพราะจากพระปฏิจจสมุปบาทวิญญาณเป็นปัจจัยสู่นามรูป ซึ่งผมวิเคราะห์ว่าวิญญาณย่อมคืออาการนึกคิดขึ้นเป็นนามธรรมรูปธรรมขึ้นมาในจิต(โดยวิญญาณย่อมเป็นอาการของจิตที่ก่อกระทำและหยาบมากขึ้น) ส่วนจิตของชีวิตทั้งปวง ผมเองวิเคราะห์ว่าเป็นฐานอาการอันละเอียดยิ่งในสถานะสังขาร(ซึ่งยังมีอิทธิพลของอวิชชาที่ก่ออาการสู่มาจิต และจิตย่อมมีอายุมานานนับอนันต์เท่าสังขตธรรม)   หากละเอียดขั้นอนันต์หรืออนัตตาก็พิจารณาว่าย่อมเป็นอสังขตธรรมเช่นจิตพุทธองค์หรือพระนิพพาน เป็นความเห็นที่ผมมักพิจารณากล่าวเอาเอง หากเห็นว่ามีส่วนที่อาจผิดในสาระสำคัญก็ช่วยให้ข้อคิดเห็นกลั่นกรองด้วยนะครับ (เพราะไม่ค่อยมีคนช่วยวิจารณ์ ขอคุณหมอนี่แหละครับถ้าหากมีข้อช่วยวิจารณ์สิ่งผิดพลาด :) จากคุณ : ฉัตรชัย (ผู้ศึกษา) - [ 19 ต.ค. 50 01:20:33 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริง ขณิกสมาธิสามารถฝึกได้ด้วยหรอครับ? อีก 1 คำถามที่สงสัย คือ การเดินทางข้ามเวลานี่เป็นไปได้จริงหรอครับ? คือถ้าเป็นการเดินทางข้ามเวลาของจิตยังพอจะรับได้ แต่การพาร่างกายข้ามเวลา ไปยังอีกสถานที่นึงในระยะเวลาที่ไม่น่าเป็นไปได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงหรอครับ? ตอบ  ขณิกสมาธิ สามารถฝึกได้แน่นอนครับ   ส่วนเรื่องการพาร่างกายข้ามเวลา ในทางทฤษฎีทำได้จริง แต่อย่างที่ผมเคยบอกในหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็นว่า การข้ามเวลาด้วยกายหยาบทำไม่ได้ เพราะร่างกายเราทนความเร่ง หรือความเร็วขนาดแสงไม่ได้ เราจะเสียชีวิตก่อนที่จะข้ามเวลา แต่อย่างไรก็ตาม อย่าไปยึดติด กับโลกสี่มิติที่เราเห็นนะครับ เรากำลังถูกหลอกจากทวารหก ไม่มีสิ่งเป็นความจริงเลย แม้แต่เวลา ความจริงแล้ว ขนาดของเวลาก็เป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมา เหมือนขนาดความเค็มของเกลือ ความหวานของน้ำตาล ถ้าไม่มีมนุษย์เกิดมา ความเค็ม ความหวาน หรือแม้แต่เวลาก็ไม่มีอยู่จริง     ไม่เฉพาะเวลา ถ้าไม่มีมนุษย์เกิดมาบนโลกนี้ แสง สี เสียง ก็ไม่มีอยู่จริง จะสีแดง สีฟ้า สีเขียว เสียงลม เสียงดนตรี เสียงกีต้าร์  ล้วนแล้วเป็นสมมติบัญญัติ ที่เราตั้งขึ้นมาเรียกเมื่อรับรู้ผ่านผัสสะทางทวารหก ถ้าปราศจากทวารหก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ไม่มีอยู่จริง ( เรื่อง ทวารหก ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดในหนังสือ “ทวารหกศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเอง” )     เราคงเคยดูภาพยนตร์ 3 มิติ ที่ตัวผู้แสดงสามารถทะลุออกมานอกจอได้ โดยหารู้ไม่ว่าตัวเราเองนี่แหละกำลังเล่นภาพยนตร์ 4 มิติอยู่ มีธรรมชาติเป็นผู้อำนวยการสร้าง กรรมเก่าเป็นบท เจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้กำกับ โดยใช้แสง เวลา และทวารหก เป็นเครื่องมือในการถ่ายทำและฉายภาพ    แม้ว่าภาพยนตร์จะสร้างได้เหมือนจริงเท่าใด ถึงจะสร้างได้ขนาดมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  แต่เมื่อเดินออกจากโรง ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง เช่นเดียวกัน เมื่อเราเสียชีวิต ทวารหกปิด ภาพยนตร์ 4 มิติจบลง เมื่อนั้นเราก็จะพบว่า สิ่งที่เรารู้ เราเห็น ล้วนแล้วแต่เป็นมายา และภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่เราจะเล่น ก็จะได้บทบาทใหม่ไปตามแรงส่งแห่ง เวทนา ตัณหา อุปาทาน     ดังนั้น สามารถมีมิติแบบสามมิติ คู่ขนาน ได้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ตามที่ทฤษฎีควอนตัมบอก ( หรือในภาพยนตร์ The matrix )    เพราะเราไปยึดติดกับมิติที่สามที่เราอยู่ทุกวันนี้ เราจึงไม่สามารถข้ามไปหาโลกสามมิติอีกที่ได้เลย      เราอาจจะกล่าวได้ว่า เหตุที่ผู้คนในสมัยก่อนเชื่อว่าโลกแบน ก็เพราะพวกเขาไม่เข้าใจในมิติที่ 3 ดีพอ และเช่นเดียวกัน มนุษย์ในโลกอนาคตอีกพันปีข้างหน้าที่สามารถเข้าถึงมิติที่ 4 ก็จะตั้งคำถามทำนองเดียวกันว่า ทำไมมนุษย์ในยุคศตวรรษที่ 20 จึงเชื่อว่าโลกกลม  คำตอบก็จะเป็นแบบเดียวกันคือ มนุษย์ในปี 2,000 ไม่เข้าใจในมิติที่ 4 ดีพอ เพราะถ้ามองจากมิติที่ 4 โลกไม่กลม!!!    การยึดติดว่าโลกกลม คือกรอบที่จะบังคับให้เราข้ามมิติไม่ได้ เปรียบดังเช่นมด ที่ไต่เดินอยู่บนฝ้า มันไม่มีทางเข้าใจว่า สามารถทิ้งตัวทะลุมิติที่ 3 แล้วเข้าสู่มิติที่ 2 คู่ขนานบนพื้นได้ทันที โดยที่ไม่ต้องไปไต่ผ่านฝาผนัง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมดมันไปยึดติดกับมิติที่ 2  เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ยังยึดติดกับมิติที่ 3 จนไม่สามารถพัฒนาปัญญาญานให้สูงถึงขนาดหยั่งรู้ได้ว่า เราก็สามารถข้ามทะลุไปยังมิติที่ 3 คู่ขนานได้ โดยการวิ่งทะลุผ่านมิติที่ 4 ( เวลา ) สตีเฟ่น ฮอร์กิ้งบอกว่า มีรูหนอน ซึ่งเปรียบเสมือนมิติที่ 4 ที่จะทำให้เราวิ่งทะลุ ไปสู่มิติที่ 3 คู่ขนานได้     พุทธศาสนา ถึงบอกว่า ถ้าเราตัดทวารหกได้ เมื่อนั้น เราจะพบกับความจริงแท้ ซึ่งเป็นความจริงเดียวกับทางวิทยาศาสตร์ คือ ทะลุมิติได้     ถ้าอยากทะลุมิติ ต้องฝึกตัดความรู้สึกทางทวารหกให้ได้ก่อนครับ เพราะมันเหมือนกาวที่จะยึดตัวเราให้ติดกับโลกสามมิติปัจจุบันไว้อย่างเหนียวแน่น ( เรื่องทวารหก เขียนไว้อย่างละเอียดแล้ว ในหนังสือ "ทวารหก ศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเอง ) จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ 19 ต.ค. 50 01:33:49 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตอบคุณ ฉัตรชัย ใช่ครับ ผมได้เขียนไว้ในตอนแรกแล้ว โพสซ้ำอีกครั้งก็ได้ครับ ......นามเป็นต้นกำเนิดของรูป และจิตก็เป็นต้นกำเนิดของนาม ถ้าไม่มีจิต นามทั้งหลายเช่น ความสวย ความหอม ความดัน ความเร่ง หรือแม้แต่เวลา ก็ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงวางทางสายเอกแห่งมรรคตรงเผงไปที่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตเพียงอย่างเดียว  เพราะจะเหมือนกุญแจดอกสำคัญ ( Master key ) ที่สามารถไขความลับทุกสิ่งในจักรวาล ( สัพพัญุตญาน ) ........ ที่คุณฉัตรชัยถามว่า  จิตอาจไม่ใช่เพียงสถานะของนามธรรม ควรจะละเอียดกว่าเพราะเป็นที่มาของนามธรรมใช่ไหมครับ .... คำตอบคือ  .... ถูกต้องแล้วคร๊าบ...บ.... จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ 19 ต.ค. 50 01:36:50 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ว่าจะนอน มาได้คำตอบพอดี  ขอบคุณและราตรีสวัสด์นะครับ จากคุณ : ผู้ศึกษา - [ 19 ต.ค. 50 01:47:10 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอถามเรื่องการ ตรัสรู้ หน่อยครับ ... ทำไมอยู่ๆ ถึงตรัสรู้ได้ล่ะครับ ... ถ้าในสายวิทยศาสตร์ ก็จะได้ยินประวัติการ ทำการทดลอง ทดสอบ มากมายก่ายกอง แต่ จากที่ได้ยินมา (ไม่ได้ศึกษาประวัติในเบื้องลึก) คือ ไปนั่งสมาธิ แล้วก็ ตรัสรู้ขึ้นมาซะงั้น ... ทำไมแต่ตั้งสมาธิ ถึงได้มาความรู้ขนาดนั้นได้ล่ะครับ ? จากคุณ : Synchronize - [ 19 ต.ค. 50 09:59:02 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องนี้ผมก็เคยอ่าน รู้สึกว่ามีศิลป์ในการเขียนดีคับ จากคุณ : มอสคุงอะครับ - [ 19 ต.ค. 50 10:18:22 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอตอบในความคิดของผมนะครับ คุณหมอยังไม่กลับมาตอบ พระพุทธองค์ไม่ใช่ไม่ทดลองครับ ท่านทำทุกวิถีทางอยู่ 6 ปี ตั้งแต่อายุ 29 - 35 ปี จนได้คำตอบไงครับ ท่านไปเล่าเรียนหลายๆ ที่ ท่านฝึกตนตามแนวทางต่างๆ ท่านนั่งทบทวนแนวคิดของตน จนในที่สุด ท่านก็เข้าใจถึง อริยสัจ 4 จากคุณ : Epinephrine - [ 19 ต.ค. 50 10:56:52 ]

ความคิดเห็นที่ 19 --- การพิจารณาเห็นความเกิดดับใช้ขณิกสมาธิอย่างที่ท่านปััััจจตังกล่าว เป็นการปฏิบัติที่ควรทำและสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CA%C1%D2%B8%D4 พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)          การค้นหาคำว่า “ สมาธิ ”                     ผลการค้นหาพบ  13  ตำแหน่ง ดังนี้ :- แสดงผลการค้น ลำดับที่  1 / 138 ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ, สมาธิขั้นต้นพอสำหรับใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบายได้ พักชั่วคราว และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได       (ขั้นต่อไป คือ อุปจารสมาธิ9) แสดงผลการค้น ลำดับที่  2 / 1310 มิจฉาสมาธิ ตั้งใจผิด ได้แก่ จดจ่อ ปักใจ แน่วในกามราคะ ในพยาบาท เป็นต้น       (ข้อ ๘ ในมิจฉัตตะ ๑๐11) แสดงผลการค้น ลำดับที่  3 / 1312 สมาธิ ความมีใจตั้งมั่น, ความตั้งมั่นแห่งจิต, การทำให้ใจสงบแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน, การมีจิตกำหนดแน่วแน่อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ       มักใช้เป็นคำเรียกง่ายๆ สำหรับอธิจิตตสิกขา;       ดู เอกัคคตา13, อธิจิตตสิกขา14       (ข้อ ๒ ในไตรสิกขา15, ข้อ ๔ ในพละ ๕16, ข้อ ๖ ในโพชฌงค์ ๗17) แสดงผลการค้น ลำดับที่  4 / 1318 สมาธิ ๒ คือ       ๑. อุปจารสมาธิ สมาธิจวนเจียน หรือสมาธิเฉียดๆ       ๒. อัปปนาสมาธิ สมาธิแน่วแน่ แสดงผลการค้น ลำดับที่  5 / 1319 สมาธิ ๓ คือ           ๑. สุญญตสมาธิ           ๒. อนิมิตตสมาธิ           ๓. อัปปณิหิตสมาธิ;       อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่           ๑. ขณิกสมาธ           ๒. อุปจารสมาธิ           ๓. อัปปนาสมาธิ ----------------------------- --- ในระัดับสมาธิแน่วแน่(ฌาน หรือ อัปปาสมาธิ) ก็มีเป็น ๒ ลักษณะคือสมาธิที่นิ่งสงบอยู่(แบบที่ ๑) กับ  สมาธิ(ฌาน)ที่เห็นความเกิดดับ(ทำให้เกิดปัญญาที่เห็นความจริงว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน)(แบบที่ ๒) -- สมาธิ แบบที่๑ ช่วยให้จิตตั้งมั่น เป็นฐานช่วยเมื่อมาพิจารณาดูุความเกิดดับ ทำให้จิตตั้งมั่นเห็นความเกิดดับแบบที่๒ได้ดีขึ้น http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%C5%D1%A1%A2%B3&detail=on [7] ฌาน 2 (การเพ่ง, การเพ่งพินิจด้วยจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่ - meditation; scrutiny; examination)       1. อารัมมณูปนิชฌาน (การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 - object-scrutinizing Jhana)       2. ลักขณูปนิชฌาน (การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค และผล - characteristic-examining Jhana)       วิปัสสนา ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะพินิจสังขารโดยไตรลักษณ์       มรรค ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะยังกิจแห่งวิปัสสนานั้นให้สำเร็จ       ผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเพ่งนิพพานอันมีลักษณะเป็นสุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ อย่างหนึ่ง และเพราะเห็นลักษณะอันเป็นสัจจภาวะของนิพพาน อย่างหนึ่ง       ฌานที่แบ่งเป็น 2 อย่างนี้ มีมาในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา. ------------------------------ -- ส่วนฤทธิ์อื่่นในวิชชา๓ วิชชา๘ ดูได้ในกระทู้นี้่ครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5925576/Y5925576.html จากคุณ : วงกลม - [ 19 ต.ค. 50 10:59:11 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ดี ครับ คุณ ปัจจตัง ตอบกระทู้ได้ละเอียดดีครับ ความคิดเห็นที่ 16  เดี๋ยวก็คงมีคนมาตอบครับ แต่อธิบายสั้นๆว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิดีแล้ว จะน้อมจิตไปพิจารณาสิ่งใดก็ง่ายขึ้น ปัญหาต่างๆที่ค้างคาใจก็แก้ได้ด้วยอาศัยปัญญา ก็ด้วยมีสมาธิเป็นที่ตั้ง ดังคำกล่าว " สมาธิมาปัญญาเกิด " นั่นแหละ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ทำไมพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ ..ก็ด้วยอาศัยสามาธินำนี่แหละ    ......แต่อย่าไปเข้าใจนะว่า เราจะตรัสรู้ไปทุกสิ่งได้เหมือน         พระพุทธองค์ ก็เนื่องด้วยบุญบารมี ที่เราสั่งสมมานั้นไม่เท่ากัน ญาณรู้ที่ควรจะได้ ก็ย่อมไม่เท่ากัน  แต่ถ้าเราละกิเลส และอาสวะได้ด้วยอิธิบาท4 ย่อมนำพาไปสู่ทางแห่ง อริยะ ได้เหมือนกัน                                                      ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม. จากคุณ : Cho_shang - [ 19 ต.ค. 50 11:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ทุกอย่างมันมีของมันอยู่แล้ว มิติที่4 ที่5 มันก็มีของมันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับเรา ว่าจะไปค้นพบมันเมื่อใดใช่มั๊ยครับ ??   มันไม่ได้เกิดแต่เราใช่มั๊ยครับ?? จากคุณ : ฟาฬ - [ 19 ต.ค. 50 11:17:28 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ถูกต้องแล้วครับ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันมีของมันมาแต่เดิมอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเพียงแต่ไป "เห็น" แล้วนำมาเล่าให้เราได้รับรู้กัน ทรงบัญญัติศัพท์ต่าง ๆ ขึ้นมา ให้เป็นที่เข้าใจตรงกัน สามารถตรวจเทียบได้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมได้เห็น ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ได้เห็น และจะเป็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ ไปในอนาคตได้เห็นเช่นกัน เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นสิ่งที่มีแต่เดิมอยู่แล้ว ไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด การทำสมาธิ คือการตัดอุปปาทานในระดับสัญญา ทำให้เกิดภาวะ "รู้ตามจริง" เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยปราศจากสิ่งปรุงแต่ง สิ่งที่เห็นจึงมีความถูกต้องตามจริงครับ ก็เหมือนกับ Weight ซึ่งจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ถ้าเราย้ายไปดวงจันทร์ ย้ายไปดาวอังคาร น้ำหนักของเราก็จะเปลี่ยนไปตามค่า Gravity ที่ไม่เท่ากัน ผิดกับ Mass ที่จะไม่เปลี่ยนไป มีมวลเท่าใด จะอยู่ที่ไหนก็เท่าเดิม การทำสมาธิก็เหมือนการตัด Gravity ออกไป ตัดสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายออก สิ่งที่เห็นนั้นจึงเป็น mass จริงที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งจากอุปปาทานหรือในที่นี้คือ gravity เจริญในธรรมครับ จากคุณ : Lanoz - [ 19 ต.ค. 50 13:20:02 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ในหนังสือหน้า 142 หญิงชายต่างกัน ประสาทสัมผัสของเพศหญิงเหนือกว่าเพศชายหลายเท่า ดังนั้นในช่วงก่อนเสียชีวิต ถ้าไม่เคยฝึกจิตมาก่อน เพศหญิงจะเสียชีวิตยากกว่าเพศชาย อันนี้จริงหรือครับ หมอท่านอื่นๆ เห็นว่าไงครับ ปล. ชอบหนังสือเล่นนี้นะครับเพราะผมเองก็เคยคิดในลักษณะอย่างนี้ แต่ไม่ได้ละเอียด และเป็นขั้นเป็นตอน อธิบายได้ง่ายๆ เหมือนผู้เขียนเขียน อ่านเกือบจะทีเดียวหมดเล่มเลย วันนี้เรายังไม่เข้าใจวันข้างหน้าเราอาจจะเข้าใจ จากคุณ : chaos_r - [ 19 ต.ค. 50 13:38:57 ]

ความคิดเห็นที่ 24 จากที่อ่านก็หมายความว่า หากวันใดมี นักวิทยาศาสตร์ซักคน ที่สามารถ ผลิตเครื่องแยก จิต ออก จากกายหยาบได้ เราก็จะสามารถเดินทางได้ด้วย ความเร็วแสง ไปที่ไหนก็ได้ ในจักรวาล ไม่ต้องนอน ไม่ต้องกิน ไม่แน่บนโลกเราอาจมีมนุษต่างดาว ที่มีวิวัฒนาการถึงขั้นที่ว่านี้ เดินกันให้ยั้วเยี้ย แต่ เราไม่เห็น.... จากคุณ : วิญญานพเนจร_2 - [ 19 ต.ค. 50 13:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เรียนถามครับ มีอันตรายอะไรที่จะเกิดระหว่างเราปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานไหมครับ? ถ้ามีจะมีผลอย่างไรครับ? จากคุณ : ~แสวงรัก~ - [ 19 ต.ค. 50 15:33:36 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ชอบหนังสือ "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น"  มากๆเลยค่ะ โดยส่วนตัวชอบอ่านบทความเกี่ยวกับ ไอน์สไตน์อยู่แล้ว เคยเจอหนังสือเล่มนึง(หนังสือแปล)เกี่ยวกับ theory สุดท้าย ของไอน์สไตน์ ว่าเกี่ยวกับกาลเวลา และอะไรประมาณนี้ ตอนนั้นก็สงสัยอยู่ตะหงิดๆว่า มันดูคลับคล้ายคลับคลากับคำสอนของพระพุทธเจ้า พอมาเจอหนังสือเล่มนี้เลยรู้สึกเหมือนเจอคำตอบเลยค่ะ (ขอออกตัวว่ายังอ่านไม่จบนะคะ) แต่อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจอะไรๆเยอะขึ้นมากๆ เลยจะมาขอขอบคุณ ณ ที่นี้ค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ ที่เขียนหนังสือดีๆออกมาให้อ่านกันค่ะ จากคุณ : ข้าวปั้นตัวอ้วนกลม - [ 19 ต.ค. 50 15:51:25 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม... ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่า ทฤษฎี Big Bang ไม่เป็นจริงหรอครับ? แสดงให้เห็นว่าจักรวาลเป็นอยู่อย่างนี้มา ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุดหรอครับ ชี้แจงที จากคุณ : เมก้าซาวะหมายเลข154 - [ 19 ต.ค. 50 16:10:11 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมว่าหลายๆความเห็นไปถามที่ห้องศาสนาจะได้คำตอบเร็วกว่านะครับ เดี๋ยวมันจะห่างจากประเด็นหลัก จากคุณ : donutpla2 - [ 19 ต.ค. 50 16:50:29 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เกิดมาเพราะกรรมครับ ระหว่างที่ชดใช้ ก็ทำกรรมอื่นๆ เพิ่มได้ตามอัธยาศัยครับ จากคุณ : sc24 Naresuan U. - [ 19 ต.ค. 50 17:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 30 1. เยธัมมา  เหตุปัปภวา       ธรรมเหล่าใด   เกิดแต่เหตุ   2. เตสัง  เหตุง  ตถาคโต   อาหะ    พระตถาคตเจ้า   ตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น 3. เตสัญจะโย   นิโร  โธจะ   และความดับของธรรมเหล่านั้น 4. เอวังวาที   มหาสมโณติ    พระมหาสมณะ   มีวาทะตรัสไว้ดังนี้ 1 คือวิทยาศาสตร์ 1 2 3 และ 4 คือ พุทธศาสตร์ ปาฎิหาริย์คือ 2 3 และ 4 ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ได้อธิบาย จากคุณ : PUFF (PUFF) - [ 19 ต.ค. 50 17:31:34 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ความคิดเห็นที่ 25 เรียนถามครับ มีอันตรายอะไรที่จะเกิดระหว่างเราปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานไหมครับ? ถ้ามีจะมีผลอย่างไรครับ? จากคุณ : ~แสวงรัก~  - [ 19 ต.ค. 50 15:33:36] -------- ควรศึกษาเบื้องต้นการทำสมาธิ(ทำให้ใจตั้งมั่น สงบ) วิปัสสนา(การใช้จิตที่ตั่งมั่นดูให้เห็นความเกิดขึ้นดับไปของกายและจิต)ให้เข้าใจก่อน เมื่อทำใหม่ๆจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าเห็นสิ่งภายนอก เช่น พบจิตสงบเคลิ้มๆ(จิตเริ่มสงบไม่คิดถึงสิ่งภายนอก จะเห็นเฉพาะสิ่งที่จิตสร้างขึ้นเองภายในจิต)จะไปหลงเข้าใจผิดว่าเห็นคนหรือสิ่งอื่นภายนอก ความจริงเป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้น(ถ้าหลับก็ืืคือความฝัน แต่นี่ไม่หลับจิตสงบคล้ายจะหลับก็เกิดภาพขึ้นได้ ไม่เกิดก็ได้) ลองอ่่านที่นี่ดูครับ มีทั้ง สมาธิ และวิปัสสนา http://thaniyo.brinkster.net/answer02.html คำถามเกีี่่ยวกับการปฏิบัติอื่น ดูเมนู ธรรมะถามหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ด้านล่างของเวบครับ http://thaniyo.brinkster.net/index.asp เกี่ยวกับการวิปัสสนา จนถึงขณะจิตบรรลุธรรม มีรายละเอีียดที่นี่ครับ กดหมายเลขด้านบนหน้าเพื่ออ่านหน้าก่อนหน้านี้ หน้าต่อไปหรือหน้าอื่น เลขหน้าปัจจุบันอยู่ในช่อง url ของเวบครับ พระอภิธรรมมัตถสังคหะ(คัมภีร์อธิบายพระอภิธรรม) http://www.abhidhamonline.org/aphi/p9/100.htm จากคุณ : วงกลม - [ 19 ต.ค. 50 18:10:46 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตอบ คห.ที่16 พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญบารมี มาทั้งหมด 20 อสงไขยแสนกัปป์นะครับ จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แบบปัญญาธิกะ คือตั้งจิตปราถนาพระโพธิญาณขอให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เริ่มนับตั้งแต่ตั้งความปราถนาแล้วเวียนว่ายตายเกิดบำเพ็ญบารมี 30 ทัศ มาถึง 20 อสงไขย กับอีกแสนมหากัปป์ จนถึงชาติปัจจุบันที่ได้เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะครับ จากคุณ : Kelberos - [ 19 ต.ค. 50 21:52:51 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ^ ^ ^ อันนี้ออกแนว นิยายไปหน่อยไหมคะ อาจจะมีการแต่งเพิ่มเติมให้ดูเหลือเชื่อไปนิด แล้วก็พิสูจน์ไม่ได้ด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องของการควบคุมจิต เพื่อตัดกิเลส หรือเพื่อไปสู้นิพพานได้ อันนั้นค่อยน่าเชื่อ ส่วนที่คุณว่ามา อาจมีในตำราจริง แต่จะเป็นแบบนั้นจริงหรือคะ เหมือนมันมั่วๆ ผสมไตรภูมิพระร่วงไว้ด้วยนะนั่น จากคุณ : ธารวรี - [ 19 ต.ค. 50 22:27:56 ]

ความคิดเห็นที่ 34 หลายคนคงเคยผ่านตาสมการอมตะของไอน์สไตน์ แต่จะมีสักกี่คนที่อธิบายที่มาที่ไป หรือสามารถพิสูจน์สมการนี้ได้ คุณคิดว่าหากไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะอธิบายทฤษฎีของเขา ให้กับคนที่ ไม่เคยศึกษา ไม่เคยผ่านตา ในเรื่องฟิสิกส์ เคมี ชีวะ หรือแม้แต่วิทยาศาสตร์พื้นฐาน มาก่อนเลย ให้เข้าใจได้อย่างไร ในเมื่อคนๆนั้นไม่รู้แม้แต่คำศัพท์ที่ใช้เรียกกันในวงการวิทยาศาสตร์ การปฏิบัติในทางพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน คนที่เคยปฏิบัติแล้วได้รับผล เขาจะอธิบายให้คนผู้ไม่เคยศึกษาปฏิบัติธรรมมาก่อนเลย ให้เข้าใจถึงสภาพ สภาวะที่เขาพบเจอได้อย่างไร จึงเป็นที่มาของประโยคหากินที่ว่า "ถ้าอยากรู้ ต้องไปลองทำดู ต้องไปทดลองด้วยตัวเอง ต้องไปศึกษาด้วยตัวเอง" เพราะคงเป็นการยาก ที่จะอธิบายฉากหุ่นยนต์แปลงร่างเป็นรถในหนัง Tranformer ให้กับคนที่ตาบอดแต่กำเนิดรู้สึกเหมือนได้เห็นเอง การหัวร่อเยาะต่อประโยค ต้องลองไปปฏิบัติด้วยตนเอง จึงไม่ต่างอะไรกับไอนสไตน์ ที่กำลังบอกผลลัพธ์จากทฤษฎีสัมพัทธภาพให้กับเด็กประถมคนหนึ่ง เด็กคนนั้นกลับทำหน้าไม่เชื่อถือ และเร่งเร้าให้ไอน์สไตน์พิสูจน์ เมื่อไอน์สไตน์บอกว่า "หนูเอย เจ้าจงตั้งใจศึกษาในทางวิทยาศาสตร์ให้จงดี เมื่อเจ้ามีพื้นความรู้แล้วเจ้าจะสามารถเข้าใจในทฤษฎีของเรา" เด็กผู้นั้นหัวร่อเยาะไอน์สไตน์แล้วว่า "ตาลุงขี้โม้ สติเพี้ยนนี่ พิสูจน์ให้ฉันเข้าใจไม่ได้ยังจะมาพูดอะไร" จากคุณ : charoka - [ 19 ต.ค. 50 22:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ^ ^ ถูกต้องครับ จากคุณ : Kelberos - [ 20 ต.ค. 50 00:27:14 ]

ความคิดเห็นที่ 36 จากความเห็นที่ 32 แสดงว่า ถ้าจริงๆ ที่แล้ว ชาติก่อนๆ เราสะสมความรู้มานาน แล้วชาตินี้ ... ไปตั้งสมาธิ เพื่อดึงความรู้จากชาติก่อนมาใช้ ก็สามารถทำได้ใช่รึป่าวครับ ว่าแต่คุณปัจจตัง  หายไปไหนหว่า ... ผมว่าจะไปหาซื้อหนังสือของพี่แก มาอ่านอยู่ ... ดูจากเนื้อหา และสำนวน จัดว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว จากคุณ : Synchronize - [ 20 ต.ค. 50 07:14:08 ]

ความคิดเห็นที่ 37 มีอยู่อย่างหนึ่งครับ ที่ผมรู้สึกขัดๆ กับพุทธศาสตร์ ที่เวบนี้ http://www.buddhism-online.org/Section06B_02.htm เรื่องของ ภพภูมิ ซึ่งมันเกี่ยวกับการยกประโยคในพระไตรปิฎก ที่ผู้เขียนยกมา กล่าวเปรียบเทียบเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านพบว่า จักรวาลนั้น มีอยู่มากมาย " ในโลกธาตุพันหนึ่งนั้นมีดวงจันทร์พันดวง ดวงอาทิตย์พันดวง ขุนเขาสิเนรุหนึ่ง พัน ชมพูทวีปพันทวีป อมรโคยานพันทวีป อุตตรกุรุพันทวีป ปุพพวิเทหะพัน ทวีป มหาสมุทรสี่พัน เทวโลกชั้นมหาราชสี่พัน ชั้นจาตุมหาราชิกาหนึ่งพัน ชั้น ดาวดึงส์หนึ่งพัน ชั้นยามาหนึ่งพัน ชั้นดุสิตหนึ่งพัน ชั้นนิมมานรดีหนึ่งพัน ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีหนึ่งพัน ชั้นพรหมโลกหนึ่งพัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พันโลก ธาตุมีประมาณเท่าใด ท้าวมหาพรหม โลกกล่าวว่าเป็นเลิศในพันโลกธาตุนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นอย่างอื่นมีอยู่ ความแปรปรวนก็มีอยู่แม้แก่ท้าวมหา พรหม ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายแม้ใน พันโลกธาตุนั้น เมื่อหน่ายในพันโลกธาตุนั้น ย่อมคลายกำหนัดในความเป็น ผู้เลิศ จะป่วยกล่าวไปไยในสิ่งที่เลวเล่า ฯ " เรื่องของ ภูเขาสิเนรุ ที่มีทวีปล้อมรอบอยู่ 4 ทวีป ซึ่งมนุษย์ที่อาศัยอยู่จะมีอายุไม่เท่ากัน คำถามคือ 1. ภูเขาสิเนรุ ในเชิงวิทยาศาสตร์ คือที่ใดในจักรวาล 2. ชมพูทวีป ในที่นี้คือ โลกมนุษย์ หรือ แถบๆ อินเดีย 3. ทวีปอีก 3 ทวีป คือ อมรโคยานพันทวีป อุตตรกุรุพันทวีป ปุพพวิเทหะพัน ทวีป เป็นพื้นดินบนโลกนี้ หรือ โลกในจักรวาลอื่น จากคุณ : 9 - [ 20 ต.ค. 50 14:54:09 A:192.168.23.21 X:202.142.204.2 TicketID:088451 ]

ความคิดเห็นที่ 38 #34 ในฐานะที่ผมในตอนนี้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับเด็กน้อยคนนั้น ขอบอกว่าคุณเข้าใจอะไรผิดเพี้ยนไปหน่อยนะคับ ใช่คับ ผมเป็นคนซึ่งหัวร่อต่อประโยค "ต้องลองไปปฏิบัติด้วยตนเอง" เพราะผมเห็นว่าการมาพูดแบบนี้ มันก็เหมือนการไม่ได้พูดอะไรเลย มันไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย....มันต่างกันนะคับ ไอน์สไตน์ สามารถพิสูจน์สมการและทฤษฎีให้เด็กอย่างผมฟังได้ ถึงแม้ว่าเค้าจะรู้อยู่ว่าถึงพูดมา ผมก็ไม่เข้าใจ แต่ประเด็นสำคัญคือ "เค้าพิสูจน์ได้" ทุกๆอย่างที่เค้าพูดมา ถึงผมจะไม่เข้าใจ แต่มันก็มีเหตุผล ที่มาที่ไป ซึ่งมันต่างกันแบบคนละเรื่องกับ การที่"พิสูจน์ไม่ได้" แต่ดันไล่ให้คนที่ไม่เชื่อ ไปปฏิบัติด้วยตนเองนะคับ คือไม่ต้องถึงกับมาพิสูจน์กับผมต่อหน้าก็ได้ เอาให้แค่พิสูจน์ให้คนที่ใจเป็นกลาง หรือคนที่ไม่เชื่อส่วนใหญ่ยอมรับได้ ผมก็จะถือว่านั่นเป็นเรื่องที่ผมยอมรับได้แล้วคับ เพราะถ้าแค่ไปนั่งสมาธิ หรือปฏิบัติอะไรแล้วมันรู้แจ้งเห็นจริงได้ มันคงไม่ได้เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้มาถึงป่านนี้หรอกคับ มันคงเป็นข้อเท็จจริง และเลิกเป็นที่ถกเถียงของชาวโลกมานานแล้ว แต่ก็นั่นแหละ เพราะทั้งหมดมันไม่จริง มันไม่มีไง (ตามความคิดของผมในปัจจุบัน) จากคุณ : Limelight - [ 20 ต.ค. 50 22:26:50 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ไม่ทราบว่า มีบริการ รับเป็น emoney ผ่าน paypal  แล้วส่งมาเป็น ebook มั๊ยขอรับ  :P (คาดว่าไม่มีเพราะ ebook ท่าทางจะเจ้ง  ยกเว้นกรณีที่ผู้เขียน   เขียนเพื่อเผยแพร่ความรู้ เอาบุญไม่เน้นเอาตังค์จริง ๆ ) จากคุณ : กลายใต้ - [ 21 ต.ค. 50 07:51:27 ]