ความคิดเห็นที่ 21
เมื่อมีนักกฏหมายเข้ามาให้ความกระจ่างก็ต้องขอบคุณด้วยครับ ทำให้เราได้มุมมองที่แตกต่างออกไป และเป็นเหตุผลสำคัญอีกหลายประการที่เรามักมองข้าม
ผมขอเล่าประสบการณ์บ้างนะครับ ในฐานะของ "เพื่อนของผู้กระทำ"
กลุ่มผู้กระทำมีประมาณ 5-6 คน ในกลุ่มนั้นประกอบด้วย นักเรียน,นักศึกษา,คนทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งหมดใช้หอพักเป็นสถานที่กระทำ วิธีการแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่กลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ นักเรียนและนักศึกษา โดยผู้กระทำจะเข้าไปตีสนิทเหยื่อ ใช้เวลาในการพูดคุย ทำความรู้จัก
ถามว่าลักษณะนี้ใช้เวลาใช่ไหม? ใช่ครับ แต่ผู้กระทำไม่ได้มีเป้าหมายแต่ละครั้งเพียงรายเดียว ทีนี้มองไปที่ตัวเหยื่อ อย่าบอกว่าคนร้ายเลือกแต่เหยื่อที่แต่งตัววาบหวาม กลับบ้านดึก ใจแตกหรือชอบกิน ดื่ม เที่ยวเล่นครับ อย่างที่บอกว่าเหยื่อส่วนใหญ่คือ นักเรียนและนักศึกษา บางคนก็เป็นเด็กปกติที่ไปเรียนและกลับบ้านตามเวลาเลิกเรียน
เมื่อมันยกระดับความสัมพันธ์กับเหยื่อได้ระดับนึง ผู้กระทำจะใช้วิธีหลอกล่อ เช่น ขอความช่วยเหลือ, มีคนฝากของมาให้ ฯลฯ ทั้งหมดเพื่อนัดหมายเหยื่อออกมาพื้นที่ส่วนกลาง แล้วต่อไปยังพื้นที่กระทำการ (หรือไปที่พื้นที่กระทำการโดยตรง) ในขั้นตอนการกระทำนั้น อาจมีการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย แต่เท่าที่ทราบในกลุ่มนี้ยังไม่เคยถึงกับฆาตรกรรมเหยื่อนะครับ
ทีนี้มองไปที่เหยื่อกลุ่มที่สอง คล้ายกับวันก่อนที่เพิ่งเป็นข่าวคือ หญิงขายบริการ ซึ่งในทั้ง 2 กลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มที่หลีกเลี่ยงการเป็นคดีความ นักเรียน,นักศึกษา จำนวนมากเลือกที่จะจบเหตุการณ์ร้ายๆในใจ โดยไม่พูดออกไปหรือแจ้งสถานีตำรวจว่าเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไหน เพราะมีความกลัวว่าเรื่องการเรียน,ครอบครัว,ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและคนอื่น ฯลฯ จะกระทบอย่างรุนแรง
ส่วนในกลุ่มหลังเราคงพอเดาได้ว่า หญิงขายบริการนั้นแทบจะเป็นเส้นขนานกับผู้รักษากฏหมาย บางครั้งถูกจับ บางคนอาจแย่กว่านั้นที่จำต้องเสียค่าปรับด้วยการหลับนอน
กลับมาที่กลุ่มผู้กระทำ ผมเองไม่ได้สนิทกับพวกเขานัก เพราะพฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนพวกนี้ก็ไม่ต่างกับอันธพาลทั่วไป คือ ชกต่อย ดื่มสุรา เล่นการพนัน ฯลฯ แต่เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง ซึ่งแยกห้องเรียนตอนมัธยมไปเข้ากลุ่มอยู่กับพวกเขา
ข้อมูลอีกประการคือผู้กระทำกลุ่มนี้จะไม่ปล้นทรัพย์เหยื่อ อันนี้ผมเปรียบเทียบกับข่าวเมื่อวันก่อนที่ปล้นทรัพย์เหยื่อไปด้วย ผมไม่ทราบเหตุผลนะครับ แต่คาดว่าถ้าทำอย่างนั้น เหยื่อจนตรอกอาจละทิ้งความอับอาย หันมาต่อสู้ด้วยการแจ้งความดำเนินคดีแทน
เท่าที่ทราบ ณ ปัจจุบันนี้ คนเหล่านี้ก็ยังเรียนหนังสือตามปกติครับ ยังไปทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมไม่ทราบจริงๆว่าพวกเขายังทำเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า เพราะแค่พูดถึงก็ขยะแขยงเต็มทนแล้ว
ผมคิดว่าคดีในลักษณะนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก และผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่เลือกไม่แจ้งความ ทำให้คนร้ายได้ใน ลอยนวลในสังคม
ขอถามนักฏหมายอีกข้อหนึ่งนะครับ "หากมีการปล่อยตัวคนร้าย ควรมีหนังสือแจ้งไปที่เจ้าทุกข์หรือไม่?"
ผมคิดว่าคนพวกนี้เจ้าคิดเจ้าแค้น อาจอาฆาตกลับมาปองร้ายเหยื่อได้ โดยเฉพาะพวกลูกคนมีอิทธิพลที่อาจสืบข้อมูล ที่อยู่ ฯลฯ แล้วข่มขู่ เล่นงานเหยื่ออีกครั้ง
แต่ในทางกลับกัน ผมก็คิดว่าการแจ้งไปอีกครั้งอาจกรีดแผลในใจของผู้ถูกกระทำอีกครั้ง ซึ่งตอบตรงๆครับว่าไม่รู้จริงๆว่าข้อไหนดีกว่ากัน
จากคุณ :
rafaelo
- [
8 พ.ย. 50 10:48:54
]
|
|
|