ความคิดเห็นที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I6054923/I6054923.html       http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A6048271/A6048271.html นี่เว็บให้กำลังใจ http://easynetwork.igetweb.com/ ชาวหว้ากอว่าไงคร้าบ จากคุณ : suman - [ 30 พ.ย. 50 10:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เหมือนกับแชร์ดังๆนั่นล่ะครับ คนทางเหนือเล่นกันเยอะเลย ระบบจะเป็นหุ้นล่ะกี่บาทก็จำไม่ได้ล่ะ ประมาณว่าลงเงินแล้ว ภายในสามเดือนได้คืนครึ่งนึงเงินต้น ต่อมาหกเดือนจะได้อีกครึ่งนึง โดยที่หุ้นยังคงเท่าที่ลงไปตอนแรก เช่น ลง 50 หุ้นแสนบาท สามเดือนได้คืนห้าหมื่นเป็นเงินสด หกเดือนได้คืนอีกห้าหมื่นโดยคืนเป็นหุ้นไม่ใช่เงินสด บวกเพิ่มกับห้าสิบหุ้นของเดิมแล้วก็ได้คืนเป็นหุ้นอีกเรื่อยๆ แต่เวลามันจะยืดไปเรื่อยๆ ตอนนี้ไม่รู้เปลี่ยนระบบหรือยัง มีหลอกล่อโดยจัดสัมนาแจกรถอะไรเงี๊ย คนที่ได้ก็คนของคนแจกน่ะล่ะ มีเพื่อนลงไปแสนนึง ห้ามแล้วไม่ฟังบอกให้ซื้อรถไม่เชื่อ ตอนนี้มันก็ยังคลั่งอยู่ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 50 10:56:39 จากคุณ : Jump.Jr - [ 30 พ.ย. 50 10:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คนที่เดือดร้อน คือคนที่ลงเงินไปแล้ว ยังไม่ได้ผลตอบแทนที่คืนทุน จริงๆ นะ เพราะยังไงมันก็ต้องล้ม เพียงแต่ว่า เขาไม่อยากให้ล้ม ตอนที่เขายังไม่ได้คืนน่ะครับ เท่านั้นจริงๆ จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 30 พ.ย. 50 10:54:04 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เพราะความ "โลภ" เข้าครอบงำครับพี่น้อง ถ้ากิจการแบบนี้ดีจริง บิล เกตส์ ไม่ต้องมานั่งเขียนโปรแกรมขายหรอกครับ ขายแชร์ข้าวสารดีก่า รวย!!! หุ้น ปตท. ก็ไม่ต้องซื้อละคร๊าบ เอาแชร์ข้าวสารไปขายทั่วโลก . . . รวยโพดๆ จากคุณ : เอิ๊กๆๆ (A49 GTR34) - [ 30 พ.ย. 50 11:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลองคิดง่ายๆว่า ผลตอบแทน 22% ต่อเดือน เขาเอากำไรมาจากไหน? เพื่อนผมเป็นคนส่งข้าวสารเจ้าใหญ่มากในระดับภูมิภาคยังไม่ได้กำไรขนาดนี้เลย ในเมื่อแทบไม่ได้ดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังให้เห็นชัดๆเลย นอกจากหาคนใหม่มาเป็นสมาชิกเรื่อยๆ เงินที่เขาปันผลก็เอามาจากคนใหม่ไงครับ ก็รอต่อกันไปเป็นทอดๆ จนถึงจุดจุดหนึ่งที่ไม่มีคนใหม่มาสมัครแล้ว ทีนี้แหละวงแชร์ก็จะล้ม เพราะไม่มีเงินมาจ่ายปันผลตามที่สัญญาไว้(เงินต้นก็ไม่เหลือ) ที่เขามาประื้ท้วง ก็เพราะยังได้ปันผลกันอยู่ไงล่ะ วันไหนถึงจุดวงแชร์ล่ม ก็จะมาร้องไห้โวยวายด่ารัฐให้ช่วยเหลืออีกทีแทน จากคุณ : ....4จุด - [ 30 พ.ย. 50 11:25:25 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ เข้าใจล่ะ.... คล้ายๆกับ ธนาคาร ที่ต้องเอาำกำไรจาก ค่าปรับ ค่ากำไรจากการขาย ดอกเบี้ยเงินกู้ มาเป็นรายได้ของธนาคาร ถ้าเอาเงินมาดองไว้อย่างเดียว แล้วไม่หารายได้จากเงินที่มีอยู่ เวลาลูกค้ามาถอนเงินพร้อมดอกเบี้ย จะไปมีให้เขาได้ยังไงในเมื่อไม่มีรายได้ จริงๆแล้ว ระบบ แชร์ เป็นระบบระดมเงินทุนที่ผิดกฏหมายไม่ใช่หรือครับ..... เพราะระบบระดมทุน ต้องทำในรูปแบบ สหกรณ์ หรือ ธนาคาร หรือ กลุ่มออมทรัพทย์     ไม่ใช่ตั้งเป็นระบบแชร์แบบนี้มันไม่มีรายได้ที่แน่นอน จำได้ว่าเมื่อก่อนนี้มีแชร์รถบีเอ็ม ออกมาช่วงหนึ่งแล้วก็โดนจับไปแล้ว.... จ่าย 1 หมื่น + หาสมาชิก down line ไปอีกกี่ขั้นไม่รู้ จะได้รถ มา 1 คัน..... จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 30 พ.ย. 50 11:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จะอธิบายให้ฟังนะครับ อีซี่เขาขายสินค้าอุปโภคบริโภค ในราคาปกติ อย่างมาม่า ก็ขายซองละ 5 บาท 540 ซอง ก็ 2700 บาท รับของมาราคาส่ง ขายราคาปลีก มีกำไร 450 บาท แล้วก็แถมหุ้นให้ 1 หุ้น ถึงเวลาก็ปันผลให้ แต่ละหุ้นมีคูปอง จับฉลากของรางวัลให้อีก เมื่อวันลอยกระทงเขาแจกบ้านไป 3 หลัง เทียน่า 5 คัน ดีแม็ก 15 คัน มอไซค์อีก 500 คัน กลับมาต่อ เงินกำไร 450 บาทตรงนี้ ถ้าเป็นการซื้อของตามร้านค้าทั่วๆไป เขาจะแบ่งส่วนหนึ่งเป็นค่าดำเนินการ ส่วนหนึ่งไปขยายกิจการ อีกส่วนเข้ากระเป๋าผู้ถือหุ้น หรือขนกลับประเทศ ถูกไหมครับ อีซี่ก็แบ่งกำไรตรงนี้เป็น 3 ส่วนเหมือนกัน ส่วนที่ 1 เป็นเงินปันผลให้สมาชิก 150 บาท ส่วนที่ 2 เป็นค่าดำเนินการ 155 บาท ส่วนที่ 3 เป็นค่าแนะนำตามสายงาน 145 บาท กติกาการจ่ายปันผลคือ เมื่อมีการซื้อสินค้า ทุกๆ 7 หุ้น อีซี่จะจ่ายปันผลให้ 1 หุ้น และเมื่อมีการซื้ออีก 7 หุ้น ก็จะจ่ายปันผลรอบที่ 2 ให้ ลองคิดดูนะครับ 7 หุ้น เงินปันผลหุ้นละ 150 บาท ก็ 1050 บาท จ่ายปันผล 500 บาท พอขายได้อีก 7 หุ้น 1050 บาท ก็จ่ายอีก 1500 บาท เป็น 2000 บาท ยังเหลืออีก 100 บาท เป็นค่าของรางวัล ทีนี้ยอดขายของอีซี่ โตแบบก้าวกระโดดทุกกเดือน ผลประกอบการดีมากๆ จากเดือนมกรา 16 ล้าน กลายเป็นพันกว่าล้านในเดือนตุลาคม บริษัทจึงสามารถจ่ายปันผลได้ใน 3-6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ซื้อของไป ปัญหามันอยู่ตรงที่ จ่ายปันผลได้เร็ว ทำให้สมาชิกได้ ผลตอบแทนสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็เลยผิดกฎหมายครับ ทีนี้บางคนอาจเคยได้ยินเรื่องการลงทุน 725 ได้ 2000 เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ราคาข้าวหอมมะลิหน้าโรงสี 900 บาท อีซี่รับมาจากพ่อค้าคนกลาง 1000 บาท เอามาขาย 1450 บาท (ราคาปลีกปกติแหละครับ) แล้วแถมหุ้นให้ 1 หุ้น ร้านข้าวมาเห็นก็เลยไปชวนคนมาลงทุน ออกเงินคนละครึ่ง ร้านข้าวออกเงิน 725 บาท เอาข้าวไปขาย กำไรเห็นๆ ส่วนอีกคน ออกเงิน 725 บาท แล้วรอรับ 2000 บาท กำไรเหมือนกัน ปัญหาอยู่ตรงที่ มีการซื้อขายสินค้ากันจริงๆ หรือสินค้าวนเวียนในระบบ คำตอบของเรื่องนี้ อยู่ที่เอกสารใบกำกับภาษี อีซี่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนละเกือบ 10 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 1 ของเขตบางกะปิ มีเอกสารจากทางราชการยืนยัน ถ้าไม่ได้ขายสินค้าจริง ทำไมต้องเสียภาษีมากขนาดนั้น ? สรุปคือ เงินปันผลมาจากากรขายสินค้า ซึ่งย่อมดีกว่า การซื้อของกับห้างต่างชาติ ที่เอาเงินกำไรไป ขยายสาขาสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องต่างจังหวัด แล้วขนเงินที่เหลือออกนอกประเทศปีนึงเป็นเลข 14 หลัก อีซี่ทำให้เงินตรงนั้นกลับมาอยู่ในกระเป๋าคนไทย เป็นที่มาของคำว่า "พรรคไทยร่ำรวย" จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 11:49:24 A:58.8.120.163 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 8 น่าจะจับมันทั้งพวกประท้วงอยากบ้าและโง่นัก แล้วก็ยิงเป้าพวกหน้าด้านหลอกเงินชาวบ้านแบบนี้จิงๆ อยู่ไปก็รกโลก จากคุณ : โรแมนติคโครตพิศดาร - [ 30 พ.ย. 50 11:53:30 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ได้เป็นหน้าม้านะ แต่รู้สึกว่าระบบเขาจะเป็นแบบความเห็นที่ เจ็ด จริงๆค่ะ ไม่มีเพื่อนที่เล่นแชร์ แต่มีคนรู้จักที่สมัครมาชิกเพราะจะซื้อข้าวสารราคาถูก แต่เหมือนเขาจะมีกฏว่าไม่ให้ซื้อของจากห้างค้าปลีกอะไรประมาณเนี้ย จากคุณ : Left side heart - [ 30 พ.ย. 50 11:55:57 ]

ความคิดเห็นที่ 10 หน้าด้านจิงๆ ไอ้พวกนี้ เกลียดเข้าไส้ พรรคไทยล่มจม มากกว่ามั้ง จากคุณ : โรแมนติคโครตพิศดาร - [ 30 พ.ย. 50 11:58:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ต่อ.. สมาชิกของอีซี่ จะมีรายได้จาก 2 ทาง ทางที่ 1 จากการซื้อสินค้า แล้วรอให้บริษัทขอยของได้ถึงคิวเรา ก็รับเงินปันผลไป 500 กับ 1500 บาท ทางที่ 2 จากการแนะนำสมาชิก ชั้นลูก จะได้ 100 บาทต่อหุ้น ชั้นหลาน 25 บาท ชั้นเหลน 10 บาท ถ้าเปิดเป็นศูนย์ด้วยก็รับไม่จำกัดจำนวนชั้น จะเห็นว่า เป็นแผนการตลาดขายตรง เป็นแผนการตลาดเชิงรุก วิ่งเข้าหาลูกค้า และชัดเจนว่าทำไมผู้บริโภคต้องซื้อของจากอีซี่ ทั้งหมดนี้ช่วยผลักดันให้ ยอดขายของอีซี่โตทุกเดือน กินส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจค้าปลีก ที่มีมูลค่า 700,000 ล้านบาทต่อเดือน มากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาต่อมา ทำไมเจ้าของไม่หอบเงินหนี ?? ธุรกิจประเภทนี้ส่วนใหญ่ จะล้มไป ด้วยสาเหตุคือ เจ้าของมีกำไรมากพอ แล้วหนีไปพร้อมกับเงินจำนวนมาก หากเราลองวิเคราะห์แผนการตลาด จะเห็นว่า เงินส่วนปันผลนั้น ในแต่ละเดือนมีการจ่ายออกมาหมด ส่วนบริษัทจะมีกำไรจากส่วนที่ 3 ซึ่งแบ่งไว้ชัดเจนอยู่แล้ว บริษัทจึงไม่ล้ม และไม่ต้องหอบเงินหนี นอกจากนี้ หากใครได้พบกับคุณปฐม จะรู้เองว่าเขาเป็นคนดี มีความซื้อสัตย์สุจริต เรื่องนี้อธิบายให้เข้าใจยาก แต่ที่ผ่านมา เจ้ามือแชร์ลูกโซ่ที่ไหนจะเปิดเผยตัวเอง ส่งสส ลงสมัครเลือกตั้งทั่วประเทศ จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 12:05:21 A:58.8.120.163 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จนป่านนี้ยังไม่มีสมาชิกคนไหนเข้าไปร้องทุกข์กับ DSI เพราะอีซี่ไม่เคยโกงสมาชิกแม้แต่รายเดียว ธุรกิจที่ทำก็ทำตามแผนการตลาดที่ยื่นจดทะเบียนไว้กับสคบ แม้แต่ของแจก ก็แจกตามรุ่นตามยี่ห้อที่จดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สื่อมวลชนออกข่าวบิดเบือนโจมตีอีซี่ตลอด ซึ่งคนที่รู้ความจริงจะรู้ว่าบินเบือนอย่างไรบ้าง การนำเสนอข่าวด้านเดียว ตอกไข่ใส่สี สร้างความเสียหาย ทำให้เกิดเรื่องระหว่างนักข่าวกับสมาชิก สมาชิกของอีซี่ ปัจจุบันมีกว่าแสนคน ส่วนใหญ่เป็น มุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ลองคิดดูว่าถ้าคนกลุ่มนี้เลือกพรรคไทยร่ำรวย สส เจ้าถิ่นจะได้รับผลกระทบขนาดไหน จากคุณ : ... - [ 30 พ.ย. 50 12:17:48 A:58.8.120.163 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อืมม อ่านไป อ่านมา ก็เหมือน MLM อื่นๆ สิ หรือมีอะไรมากกว่านั้น จากคุณ : ก้นกบ - [ 30 พ.ย. 50 12:26:43 ]

ความคิดเห็นที่ 14 บริษัทอยู่ได้เพราะเงินจากสมาชิกใหม่หรือพวกเพิ่มหุ้นหวังได้กลับเพิ่มไง เดี๋ยวก็ล่ม พอล่มปุ๊ป ไม่อยากจะแซดดดดด จากคุณ : Jump.Jr - [ 30 พ.ย. 50 12:31:19 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แชร์ลูกโซ่ครับ อ่านดูก็ดูเหมือนดี แต่ว่าลองพิจารณาดูดีๆ ซื้อของแถมหุ้น แล้วหุ้นมีปันผล ถ้าแจกหุ้นกับไปเรื่อยๆ ผลกำไรต่อหุ้นย่อมต่ำลงถูกหรือเปล่าครับ แต่เขา Fix ปันผลเอาไว้ เอาเงินมาจากไหน? ถ้ามันดีขนาดนั้นจริงเจ้าของทำเองไม่ดีกว่าเรอะ? ซื้อของชิ้นหนึ่งบริษัทได้กำไร 450 บาท คนซื้อได้หุ้น 1 หุ้น บริษัทจ่ายปันผลให้ 2000 บาท ใน 6 เดือน ถ้าเอาสมองคิดสักหน่อยก็น่าจะมองออกว่ามันแชร์ลูกโซ่ชัดๆ บริษัทเอาเงินจากไหนอีก 1550 บาทมาจ่ายปันผลให้? ถ้าไม่ใช่เอามาจากสมาชิกคนที่ของยังไม่ถึงคิว จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 12:45:02 ]

ความคิดเห็นที่ 16 บัตรผ่าน  005686 เป็นสมาชิกหรือครับ เข้าเชียร์ใหญ่เชียว กฏหมายมีด้วยหรือครับ ห้ามจ่ายผลตอบแทนเกินกฏหมายกำหนด..... กฏหมายประเทศไหนอ่ะครับ....แบบนี้คงไม่มีใครกล้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพทย์ หรือ ตลาดหุ้นหรอกครับ เพราะกฏหมายกำหนดผลตอบแทนไว้นิดเดียว ถ้าเทียบกับมูลค่าเงินที่ลงไป แบบนี้มันก็คือเหมือน พวก โสมตัง.... หรือ MLM ทั่วๆไป ก็คือแชร์ลูกโซ่ ที่เอา สินค้า มาบังหน้าแทนจำนวนเงินที่ลงไป เพราะถ้าลงไปแต่ตัวเงิน ก็จะกลายเป็น ระบบแชร์ แต่เลี่ยงบาลี เลี่ยงกฏหมายแพ่ง กลายเป็นว่า เอาสินค้ามาวางแทน ซึ้งของมาก ได้หุ้นมาก....มีด้วยหรือครับระบบนี้ในศาสตร์การเงิน สหกรณ์ มีแต่ ลงเงินซื้อหุ้น เป็นจำนวนที่แน่นอน ว่า สหกรณ์นี้มีกี่หุ้น หุ้นละกี่บาท ถ้าจะเพิ่มทุน เพิ่มหุ้น ขยายกิจการ ก็ต้องไปขึ้นทะเบียบกับกรมการค้า กระทรวงพานิชย์ ถ้าบริษัทที่เพิ่มหุ้นเองตามการจ่ายเงินซื้อของ ของสมาชิก มันก็คือ "ผิดกฏหมาย" แหละครับ....... แต่ คห.7  พยายามเบี่ยงประเด็นไป โดยเอาการซื้อสินค้ามาเทียบการเงินที่จ่าย จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 30 พ.ย. 50 13:00:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ แน่จริงอย่าลบ หน่ะ เคยอ่านหรือศึกษาแชร์แบบหรือวงอื่นๆมาหรือเปล่าล่ะครับ ผมอ่านดูแล้ว มีความรู้สึกว่า คล้ายยยยยยยยยยยย กันมาก เหมือนกับวงหรือแบบอื่นๆที่เคยเจอและสุดท้ายล่มไปแล้ว ผมว่าอย่าโลภดีกว่าครับ ไอ้ที่คุณว่าห้างต่างชาติเค้ากำไรกันโครมๆหน่ะ เค้าคำณวนอย่างนี้จริงๆหรือครับ แต่ผมว่ามันไม่น่าใช่นะ จากคุณ : อิอิ - [ 30 พ.ย. 50 13:06:16 A:58.137.14.114 X: TicketID:089873 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ่านของคุณ "แน่จริงอย่าลบ" เหมือนจะดี แต่ว่า ลองคิดดูให้ดีๆสิครับ มันมีข้อจำกัดของตัวมันเองอยู่นะครับ ซื้อมาม่า มาขายได้ 2700 กำไร 450 ปันผล 150 จะจ่าย 2000 ต้องขายให้ได้อย่างน้อย 14 คน (รวมตัวคนแรก) ถึงจะมีตังจ่ายคนแรก แล้วคนที่ซื้อถัดมา อีก 13 คน ก็ต้องรอ คนอีก 13 คนมาซื้อ ถึงจะ ได้ คนละ 2000 เท่ากับ 13*13 = 182 คน แล้ว 182 คน แต่ละคนก็ต้องรอ อีก 13 คน ก็คือ 182*13 = 2366 คน แล้ว 2366 คนก็รอ อีก 13คน ก็คูณ 13 ไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะไม่มีคนที่จะซื้อได้ คิดดู มาม่า 540 ซอง ถ้าขายตามร้านโชว์ห่วย จะขายได้หมดภายใน 6 เดือนมั้ยครับ จากคุณ : Lambert K. - [ 30 พ.ย. 50 13:07:35 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อยากโง่ อยาโลภกันนักก็ปล่อยไปเถอะ เจ้าของมันปิดบริษัทหนีเมื่อไหร่ก็จะซึ้งเองแหละ ตัวอย่างมีเยอะแยะ ไม่รู้จักจำ หมดตัวแล้วอย่ามาร่ำร้องให้ตามจับเจ้าของละกัน จากคุณ : ลาบราดอร์สีดำ - [ 30 พ.ย. 50 13:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ก็มีสิครับ พรบ กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มาตรา 4 ผู้ใด โฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชนหรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่ บุคคล ตั้งแต่สิบคนขึ้นไปว่า ในการกู้ยืมเงินตนหรือบุคคลใดจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน ให้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้โดย ที่ตนรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า ตนหรือบุคคลนั้นจะนำเงินจากผู้ให้กู้ยืมเงินรายนั้นหรือรายอื่นมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้ให้กู้ยืมเงิน หรือ โดยที่ตนรู้หรือ ควรรู้อยู่แล้วว่าตนหรือบุคคลนั้นไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ และในการนั้นเป็นเหตุให้ตน หรือบุคคลใดได้กู้ยืมเงินไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน นี่คือพรบที่ dsi ตั้งข้อหา แต่อีซี่ไม่ได้กู้ยืมเงิน เขาขายสินค้าให้ สมาชิกจ่ายเงินค่าสินค้า อีซี่มีกำไร ก็เอากำไรมาแบ่งให้สมาชิก ถ้าคุณซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ถือหุ้นไว้ 6 เดือน แล้วบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น 100 เท่า คุณว่าพอประกาศผลกประกอบการ แล้วคนถือหุ้นจะได้ปันผลเท่าไหร่ เอาเงินที่ไหนมาจ่าย ก็กำไรจากการประกอบกิจการ กำไรจากลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับบริษัท ในระหว่างเดือนที่ 1-6 ไม่ใช่หรือ อีซี่ก็เหมือนกัน แค่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้นเอง ที่สำคัญ อีซี่ไม่ได้ fix ว่าครบ 3 เดือน หรือ 6 เดือน จะต้องจ่าย แต่จ่ายตามยอดขาย จ่ายตามผลประกอบการ ยืดหยุ่นได้ เพียงแต่ผลประกอบการดีมาก ก็เลยจ่ายได้เร็วเท่านั้นเอง จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 13:17:38 A:58.8.120.163 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ตอบ คห 18 สินค้าของอีซี่ ไม่ได้มีแค่มาม่า แต่สินค้าทุกอย่างสามารถซื้อผ่านอีซี่ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถ บ้าน โน๊ตบุ๊ค หรืออะไรก็ตาม ดังนั้นเพดานของ ธุรกิจจึงสูงมาก หรือต่อให้ธุรกิจไปถึงจุดอิ่มตัวอย่างคุณว่า ทุกคนในระบบ ก็ได้สินค้าในราคาปลีก เป็นอย่างน้อย ไมมีใครเสียเงินฟรี นอกจากคนที่ซื้อสินค้าแล้วไปขายต่อต่ำกว่าทุน จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 13:22:36 A:58.8.120.163 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เคยอ่านสัมภาษณ์"เหยื่อ"แชร์ลูกโซ่รายหนึ่ง (วงอื่นนะ ไม่ใช่วงนี้ครับ) ระบุชัดๆเลย "ก็รู้อยู่แล้วครับ ว่าวันหนึ่งคงจะล้ม กะจะรีบออกก่อนล้ม แต่ไม่ทันอยู่ดี..." จากคุณ : ลูกจ้างดีเด่น - [ 30 พ.ย. 50 13:22:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตรงนี้ไงครับ เต็มๆ "...หรือ โดยที่ตนรู้หรือ ควรรู้อยู่แล้วว่าตนหรือบุคคลนั้นไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้..." ต่อให้ค้าขายกันจริง แต่ถ้าทำโดยบอก(โม้)ว่า ให้ผลตอบแทนเกินความจริง ก็มีความผิดโดยไม่ต้องรอให้แชร์ล้มด้วยซ้ำ จากคุณ : ลูกจ้างดีเด่น - [ 30 พ.ย. 50 13:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 24 "ที่สำคัญ อีซี่ไม่ได้ fix ว่าครบ 3 เดือน หรือ 6 เดือน จะต้องจ่าย แต่จ่ายตามยอดขาย จ่ายตามผลประกอบการ ยืดหยุ่นได้ เพียงแต่ผลประกอบการดีมาก ก็เลยจ่ายได้เร็วเท่านั้นเอง" แล้วไอ้นี่มันอะไร?(วะ) จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 13:31:19 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คห.21 สินค้าไ่ม่ได้มีแค่มาม่าจริง แต่สินค้าทุกตัว ก็มีการให้หุ้นตามส่วนของตนเองไม่ใช่หรือครับ ถึงจุดอิ่มตัวทุกคนในระบบ ก็ได้สินค้าในราคาปลีก เป็นอย่างน้อย ถืออยู่ในมือจริง แล้วไงต่อ เพราะพอถึงจุดอิ่มตัว ต้องมี คน เป็นหมื่น เป็นแสน ถือสินค้านั้นอยู่ในมือเช่นกัน แล้วจะไปขายใคร ตอนนั้นคงมีแต่คนเรียกร้องเงินปันผลจากบริษัท ถึงตอนนั้นบริษัทมีเงินจ่าย ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่มีให้ ก็ จบ ยกเว้นว่า บริษัทจะตกลงไว้ล่วงหน้ากับผู้ซื้อว่า จะจ่ายเงินปันผลตามรายได้ ไม่ใช่จ่ายเป็นยอด Fix จากจำนวนหุ้น แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 50 13:35:17 จากคุณ : Lambert K. - [ 30 พ.ย. 50 13:34:25 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านแล้วก็ให้ขำ ในเมื่อกำไรทั้งหมดที่ได้ ต้องแบ่งเป็นสามส่วน 1. บริหารจัดการ 2. ปันผล 3. หาสมาชิก ไม่มีการเอากำไรไปหาผลกำไรต่อ แล้วทุกคนถือ(so call) หุ้นหมดเมื่อซื้อของเพิ่ม จะเอาเงินจากที่ไหนไปจ่ายปันผลหุ้นละ 2000 บาท ในเมื่อทำกำไรได้แค่หุ้นละ 450 บาท ตอบมาซิท่านบัตรผ่าน "ความรู้คู่เปรียบด้วย   กำลัง กายเฮย สุจริตคือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง ปัญญาประดุจดัง อาวุธ คุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม" แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 50 13:39:34 จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 13:35:22 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เฮ้ออออ น่าเศร้า สงสารตาสีตาสาที่ไม่รู้เรื่องเงินๆทองๆจริงๆ จากคุณ : A.R.T. - [ 30 พ.ย. 50 13:52:05 ]

ความคิดเห็นที่ 28 พอเพียง เท่านั้น จำไว้ให้มั่น อยากได้เงินต้องทำงาน เงินสบายหาได้ที่ไหน   คิดไม่ออกแล้ว ไปดีกว่า จากคุณ : zuka1 - [ 30 พ.ย. 50 13:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ก็บอกไปแล้วว่า อีซี่ fix จำนวนเงินผลตอบแทนที่หุ้นละ 2000 บาท แต่ไม่ได้ fix ระยะเวลา ขายได้มากก็ปันผลเร็ว ขายได้น้อยก็ปันผลช้าหน่อย ยืดหยุ่นได้ กลับไปอ่านดูใหม่นะ จากยอดขายที่ผ่านมาของบริษัท ทำให้อีซี่สามารถปันผลงวดแรกได้ใน 3 เดือน งวดที่ 2 ใน 6 เดือน อย่างสม่ำเสมอ ตรงนี้เขาถึงเล่นงานว่าให้ผลตบแทนสูงกว่า สถาบันการเงิน ที่ผ่านมาบริษัทก็จ่ายจริง ของก็แจกจริง เรื่องนี้สมาชิกทุกคนรู้ดี แล้วธุรกิจเครือข่าย ไม่ได้มีแค่เงินแล้วจะทำได้ มันต้องมีคนมาช่วยกันแนะนำสมาชิก มีเครือข่าย มีสายงาน มีตลาด ดังนั้นไอ้ที่ว่ากำไรดีแล้วไปกู้เงินแบ้งค์ หรือทำกันในวงศาคณาญาติ มาทำดีกว่า มันเป็นความคิดแบบเก่า เอามาเทียบกันไม่ได้ดอก จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 13:55:10 A:58.8.120.163 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าคุณซื้อข้าวไปกิน ซื้อกระดาษ DoubleA ไปใช้ ของต้องกินต้องใช้อยู่แล้ว ซื้อที่อื่นก็ราคานี้ จะต้องกังวลอะไร ถึงเวลาก็ได้เงิน แปลงรายจ่ายบางส่วนเป็นรายได้ ค่าครองชีพก็ถูกลง ไม่ดีเหรอ จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 13:58:33 A:58.8.120.163 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 31 - มันก็ Money Game ดีๆ นี่แหละครับ....... เคยมีน้ามาชวนไปทำ ผม say no ลูกเดียว ครับ...... จากคุณ : - License To Kill - - [ 30 พ.ย. 50 13:58:39 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้าตลาดเต็ม หรือ หลอกคนเพิ่มไม่ได้เมื่อไรก็จบ ปิดบริษัทหนีได้ทันที รายที่ซวยคือ รายหลังๆ ครับ พวกที่ทำตอนแรกๆ ได้กำไรสบายตัวไปแล้ว อยากถามว่า มีกลุ่มนี้มีลูกค้าที่เป็นระดับธุรกิจโรงแรมไหมครับ? เพราะพวกนี้ใช้สินค้าต่อเดือนเยอะนะครับ คงจะประหยัดได้เยอะมาก จากคุณ : ออกญามหาเท่ห์ - [ 30 พ.ย. 50 14:04:42 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อีซี่เน็ตเวิร์ค คือระบบเครือข่ายแบบง่ายๆครับ อาจจะไม่ต้องมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ก็ได้ แค่ไคลแอนท์ก็พอ แล้วเชื่อมต่อกันเป็นเวิร์คกรุ๊ป ไม่จำเป็นต้องมีโดเมน โดยใช้โปรโตคอลหลัก เช่น TCP/IP เป็นต้น .........อ้าว...คุยกันเรื่องแชร์กันหรอกเหรอ  55555 จากคุณ : ปอมปอม มิยาโตวิช - [ 30 พ.ย. 50 14:05:10 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คห.30 ปัญหาก็คือ คนที่มาซื้อสินค้า ไม่ได้ซื้อเพื่อนำไปใช้ แต่ซื้อเพื่อหวังเงินปันผลน่ะสิครับ จากคุณ : Lambert K. - [ 30 พ.ย. 50 14:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตอบให้ได้ก่อนเถอะว่า กำไรหน่วยละ 450 บาท เอาเงินจากไหนมาปันผล 2000 บาท ขอแบบเนื้อๆเน้นๆไม่เอาน้ำ จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 14:09:15 ]

ความคิดเห็นที่ 36 22% ต่อเดือน เท่ากับ 10 เท่าใน 1 ปี 2 ปี ก็ 100 เท่า 3 ปีก็พันเท่า ถ้าทำได้จริง เขาไม่ต้องมาชวนคนหรอก มีเงินต้นสักล้าน 3 - 4 ปี เขาก็รวยกว่าบิลเกตส์แล้ว ส่วนคนที่รู้ว่าจะล้ม แล้วยังเล่น นี่มันคงชอบลุ้นมากเลย (สนุกมากเลยมั้ง) จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 30 พ.ย. 50 14:13:48 ]

ความคิดเห็นที่ 37 #35 ผมว่าเค้าตอบไม่ได้หรอก จากคุณ : Jump.Jr - [ 30 พ.ย. 50 14:18:21 ]

ความคิดเห็นที่ 38 กำไร 450 ก็เข้าใจอยู่นะ แต่จ่ายคืน 2000 งง แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 50 14:43:39 จากคุณ : 821 (บัตรผ่าน 821) - [ 30 พ.ย. 50 14:24:01 ]

ความคิดเห็นที่ 39 "แน่จริงอย่าลบ" คนนี้ผมว่าเขาไม่ได้โง่ หลงเชื่อแบบงมงาย หรอกครับ ก็รู้ทั้งรู้นะแหละ แต่ก็เถียง ข้างๆ คูๆ ตาม script (ลองเอา wording ที่เขาตอบ ไป search ดูได้ pattern เดิมๆ) เห็นใจเขาครับ ต้องรักษา downline เอาไว้ เพราะกลัว ลูกค้า (ผู้ร่วมลงทุน) ไปแจ้งความ ก็ต้องมาคอยกระตุ้น ให้คิดกันว่า - มันถูกต้อง - มันจะอยู่ได้ ไม่มีวันล้ม ม่ายงั้น พอพวกที่เข้ามาทีหลัง ตาสว่าง ก็ไปแจ้งความเป็นเจ้าทุกข์กัน ตอนนี้ละแย่แน่ๆ ก็เลยต้องทั้งขู่ ทั้งปลอบ ขู่ว่า ถ้าไปแจ้งความ ก็ไม่มีเงินจ่ายคืน เสียเงินเปล่า ปลอบว่า เดี๋ยวมันจะกลับมา เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด เดี๋ยวคุณก็จะได้เงินแล้ว บลา บลา บลา . . วงจรคนโลภ ชัดๆ เข้าก่อน รวยก่อน เข้าทีหลัง ล้มก็ซวยไป เฮ้อ ~~~~ จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 30 พ.ย. 50 14:38:54 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มันคือขบวนการแหกตาชาวบ้านโดยอาศัยความโลภมาเป็นตัวล่อเหมือนกับแชร์ชม้อยกับแชร์นกแก้วเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ดีแล้วที่โดน DSI จัดการก่อนที่มันจะเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ  รายละเอียดลองเข้าไปอ่านได้ที่เวปของสาวกอีซี่คนนึงครับ แต่อย่าไปหลงเชื่อนะครับ  ในโลกนี้มันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆหรือฟรีๆหรอก... http://www.khaishong.com/mar.html จากคุณ : piras - [ 30 พ.ย. 50 14:41:47 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ดูราคาม่าม่าที่ http://www.tescolotus.net/tab/productscate.asp รสต้มยำกุ้ง 10 ซอง 42 บาท 540 ซอง 2268 บาท อีซี่ขายให้ 2700 เท่ากับซื้อแพงไป 432 บาทประมาณกำไร 450 ที่อีซี่บอก แต่ที่ อีซี่ให้คืนคือ 1 หุ้น  = 150 บาท แต่กว่าจะได้คืนต้องซื้อให้ได้ 7 หุ้น หรือ 7 รอบ ก็จะประมาณว่าคุณจ่ายมากกว่าไปซื้อของที่ห้างค้าส่งประมาณ 3000 บาท แต่ได้คืน 2000 บาท ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกเปล่าครับ จากคุณ : 821 (บัตรผ่าน 821) - [ 30 พ.ย. 50 14:53:53 ]

ความคิดเห็นที่ 42 หลักการของแชร์ลูกโซ่คือเขียนการคำนวณให้งงๆ ดูผ่านๆเหมือนได้กำไรดี แต่คำนวณจริงๆมันจะมีตัวแปรเกินตัวนึงก็คือ เงินปันผลที่แท้จริงน่ะมาจากไหน? ระบบธุรกิจแบบซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันแล้วได้ปันผลด้วยที่ถูกกฎหมาย ก็คือสหกรณ์ไงครับ แต่แบบยิ่งซื้อยิ่งได้หุ้นเพิ่มยิ่งชวนคนใหม่ยิ่งได้หุ้นเพิ่มแล้วหุ้นส่้วนเพิ่มมันมาจากไหน ในเมื่อกำไรต่อชิ้นมันเท่าเดิม? แ้ล้วถ้าทุกคนพร้อมใจกันถอนหุ้น จะมีเงินเหลือมาจ่ายไหม? ที่บอกว่าคนซื้อไปแล้วได้่ของน่ะใช่ แต่หุ้นส่วนที่มันเพิ่มเข้่ามาในการคำนวณล่ะ จะเอาจากไหนมาโปะ? ที่ตอนนี้จ่ายได้ เพราะมีคนใหม่เข้ามาเรื่อยๆไงล่ะ จำไว้ครับ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี จากคุณ : ....4จุด - [ 30 พ.ย. 50 15:01:39 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ผิดถูกผมยังไม่ค่อยรู้ รู้แต่เด็กคนนี้เจ้าของมันสมองเป็นเลิศ อายุแค่ 29 ปี ทำธุรกิจพันล้านได้ในปีเดียว ผู้ใหญ่หัวงอกหัวดำ เดินตามต้อยๆ ยอมควักเงินสะสมทั้งก้อนมาเข้าหุ้นด้วย นับว่าอัจฉริยะทางด้านธุรกิจจริงๆ อายุเท่านี้ - สร้างธุรกิจพันล้าน - สร้างพรรคการเมืองส่งผู้สมัครเกือบครบทุกเขต รองจากพลังประชาชน - จัดงานเรียกสมาชิกหัวหงอกหัวดำมารวมตัว กันได้ 5 หมื่นคนที่ราชมังคลากีฬาสถาน นับว่าไม่ธรรมดา จากคุณ : ผู้บัญชาการรบกับแมว - [ 30 พ.ย. 50 15:06:25 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ทองจริง หรือ ทองแก๊ จากคุณ : chaos_r - [ 30 พ.ย. 50 15:09:26 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ข้าวหอมมะลิ(กระสอบละ 50 กิโลกรัม) : 1 หุ้น ซื้อ 1 หุ้น = จำนวนข้าวสาร 1 กระสอบ ราคากระสอบละ 1,450 บ. (ไม่เสียค่าสมัครสมาชิก) รายได้3ทาง จำนวน 1 หุ้น ราคา 1,450  บาท จำนวน 1 กระสอบ 1 ฝากขายได้เงิน  725  บาท (ประมาณ 20 วัน) 2 ปันผลรอบที่ 1  :  500  บาท (ต่อ1หุ้นประมาณ 2-3 เดือน) 3 ปันผลรอบที่ 2  :  1,500  บาท (ต่อ1หุ้นอีกประมาณ 2-3 เดือน) รวมรายได้  :  2,725  บาท จากตัวอย่างนี้คือ คุณลงเงิน 1450 ไม่ต้องแบกข้าวสารกลับไป ประมาณ 20 วันมารับเงินครึ่งหนึ่ง 3 เดือน รับเงิน 500 6 เดือน รับอีก 1500 มันก็ไม่ใช่ขายสินค้าแล้วสิครับ เพราะมันฝากขายที่บริษัทได้เลย ไม่ได้รับสินค้าไปจริง แต่มีเขียนบอกต่อว่าไม่ฝากขายก็ได้ แต่ ข้าวสารถ้าไปซื้อที่ห้างค้าส่ง 5 โล 75 50 โล = 750 สมมุติยี่ห้อถูกสุด อีซี่กำไร ประมาณ 700 แต่อีซี่สามารถคืนเงินได้ ถึง 2000 บาท แค่ซื้อขายกันเฉยๆ จะเอาเงินที่ไหนมาคืนให้ทุกคนได้ครับ ยังคิดไม่ออกจริงๆ ยกเว้นขายข้าวลม จากคุณ : 821 (บัตรผ่าน 821) - [ 30 พ.ย. 50 15:12:28 ]

ความคิดเห็นที่ 46 #43 ใช้ความเก่งและความฉลาดในทางที่ผิดมีแต่นำพาหายนะมาสู่ประเทศชาติ ไม่อยากจะคิดเลยหากพรรคของนายคนนี้เกิดได้เป็นรัฐบาลขึ้นมา บ้านเมืองจะเป็นยังไง... ผมว่ากรณีนี้มันร้ายแรงกว่ากรณีการปั่นหุ้นปิคนิคเยอะ เพราะมันกระทบไปถึงทุกระดับของสังคมตั้งแต่รากหญ้าขึ้นไปจนถึงคนระดับนายพล เพราะลงทุนไม่กี่บาทก็สามารถมีส่วนร่วมได้ ถ้าไม่ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมเสียตอนนี้ ปล่อยให้แชร์ลูกโซ่รายนี้โตขึ้นจนมีเงินหมุนเวียนเป็นหมื่นๆล้านบาท  ก็ลองคิดดูแล้วกันว่ามันจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศขนาดไหน อ้อ... ถ้าผมจำไม่ผิดแชร์รถน้ำมันของชม้อยในตอนนั้นมีวงเงินหมุนเวียนประมาณ 4000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเยอะมากในสมัยนั้น จากคุณ : piras - [ 30 พ.ย. 50 15:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เสียดายมาอ่านช้า เดี๋ยวผมขอแจมด้วย แชร์ลูกโซ่แบบนี้ หลอกคนได้เยอะจริงๆ คนไทยเหยื่อแชร์ลูกโซ่ก็เป็นเสียอย่างเนี้ย คำนวนธุรกิจไม่เป็น ยังจะมาคำนวนให้ดูอีก ตรูละกุ้มจายยยย จากคุณ : Peet - [ 30 พ.ย. 50 15:36:49 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ Nexus พอมีข้อมูล แผนการตลาดของเขาไหมครับ ถ้ามีผมขอหน่อย กะเดี๋ยวจะแฉให้ดู ทำ Feasibility Study ให้ดูด้วยว่าธรุกิจแบบนี้มันจะล่มเมื่อไร แล้วเจ้ามือแชร์จะได้ไปเท่าไร แล้วจะรวยเหมือนเอกยุทธ์ อันชัญบุตร หรือ ชม้อย ทิพย์โส หรือเปล่า จากคุณ : Peet - [ 30 พ.ย. 50 15:38:51 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ลองไปดูในเวปที่ผมว่าในกระทู้ที่ 40 หรือดูแผนการตลาดที่ลิงก์นี้ซึ่งอยู่ในเวปนั้นนะครับ http://www.khaishong.com/pic13.html จากคุณ : piras - [ 30 พ.ย. 50 15:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อ่ะ ปิดตัวเองไปซะแล้ว เวบที่ผมเอาข้อมูลมาใช้ http://easynetwork.igetweb.com/ จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 15:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ในทางธุรกิจ มันคือบริษัที่เพิ่มทุนตลอดเวลาครับ เวลาได้สมาชิกใหม่ ก็จะเป็นการจ่ายเงินลงทุนลงไปเพิ่ม คงต้องไปดูบัญชีบริษัทประกอบครับ ฟังๆ ดูแล้ว มันคือการเอาเงินลงทุนที่ได้จากสมาชิกใหม่ (หรือจะเรียกให้ถูกต้องบอกว่า หุ้นส่วนใหม่) มาปันผลให้กับหุ้นส่วนเก่าต่อไป สรุปคือ มันคือแชร์ลูกโซ่ดีๆ นี่เองครับ จากคุณ : BoogieBug - [ 30 พ.ย. 50 17:10:40 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ถ้าในโลกนี้มีแต่ธุรกิจแบบนี้ คงไม่มีใครมานั่งทำงานหรอกครับ นั่งอยู่บ้านเล่นหุ้น เล่นแชร์แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือครับ ถ้าดีจริง หุ้น ปตท. คุณไม่ต้องไปนั่งลุ้น นั่งเกร็งให้เมื่อย ระบบแบบนี้มองแป้บเดียวก้อทะลุแล้ว ผมมีคนนึงที่ผมรู้จัก ลงไปบริษัทแรก หลักหมื่น เล่นไป 2 เดือน เจ๊งกะบ๊ง ยังนั่ง งง อยู่บ้านเลย พอมาเจอบริษัทซัน....เอ็มไพร์.... เอาอีกแล้ว 3 เดือน ลง 6 แสน ได้ 6 หมื่น ผมจะรอดู เขาบอกว่าหาสายงานมา 10 คน ได้เงินทุกวัน ผมจะดูดิ่ว่า มันจะล้มตอนไหน ไม่รู้ว่าโอเว่อไหม โกหกไหม มีอีกหลายบริษัทเลยที่เป็นแบบนี้ ตอนแรกชวนผมลง มันนี่เกมส์ ผมก้อ ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ผมไม่มั่นใจเพราะมองว่ามันไม่ค่อยจะแฟร์ บิดบังยังไงไม่รู้ เลยเฉยๆ ผมแค่รอดูธุรกิจพวกนี้ พัง เท่านั้นแหละ เพราะมองดูก้อรู้ว่ามันลูกโซ่ชัดๆ สินค้าบร้าบออะไร แพงขนาดนั้น แถมมีจำกัด 1 สายได้กี่คนไม่รู้ด้วย โอย แค่อธิบายผมมา ผมก้อมองออกแล้ว มันมีที่ไหน ธุรกิจปีละ 20 กว่าเปอร์เซนต์แค่ลงทุน 1แพคเกจ ...ธนาคารคุณฝาก 3.5 เปอร์เซ็นต์ก็หรูแล้ว นี่ได้ตั้ง 20 กว่าเปอร์เซนต์ โอ้วโห รวยกันจัง เอากำไรดีแบบนี้ที่ไหนมาอ่ะ มีในโลกนี้ด้วยเหรอ มันหลอกกันเห็นๆ ที่บอกว่าไม่โกงๆๆๆๆ จะรอดู ว่าจะโกงมะไร วันนั้แหละ จะรู้กันไปเลย จากคุณ : เอมมิก - [ 30 พ.ย. 50 17:16:49 A:58.8.14.236 X: ]

ความคิดเห็นที่ 53 บัตรผ่านหายไปแว้ว  อิอิ เจอของจริงเข้าไป จากคุณ : หน่อง1300 - [ 30 พ.ย. 50 17:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ผลประโยชน์... + ความโลภ  = เคสแบบนี้ .. จากคุณ : Nanoดะ - [ 30 พ.ย. 50 19:09:15 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ซื้อของชิ้นหนึ่งบริษัทได้กำไร 450 บาท คนซื้อได้หุ้น 1 หุ้น บริษัทจ่ายปันผลให้ 2000 บาท ใน 6 เดือน ถ้าเอาสมองคิดสักหน่อยก็น่าจะมองออกว่ามันแชร์ลูกโซ่ชัดๆ บริษัทเอาเงินจากไหนอีก 1550 บาทมาจ่ายปันผลให้? ถ้าไม่ใช่เอามาจากสมาชิกคนที่ของยังไม่ถึงคิว >>>>>>>>>> ผมลองคิดแบบนี้ ไม่รู้จะถูกไหม ? 1) บริษัทกำหนดกำไรไว้ fix  450 บาท ต่อ 1 หุ้น 2) ดังนั้น ต้นทุนข้าวสารต่อหุ้น = 1000 บาท 3) เอากำไร 450 บาท ไปลงทุนต่อยอด จะได้กำไร = 450 / 1000 x  450 = 202.50 บาท 4)  3 เดือนจะได้กำไร = 3 X 202.50 = 607.50 บาท 5) แบ่งผลกำไร 3 เดือน คือ  607.50 บาท จ่ายเงินปันผล 500 บาท นี่ผมคิดกำไรต่อยอดแบบต่ำที่สุด ภายใน 3 เดือนได้ = 607.50 บาท ในทางปฏิบัติ เอากำไร เดือน 1 ไปลงทุนเพิ่ม และ กำไรเดือน 2 ลงทุนเพิ่ม"แบบทบต้น" ===> เพียง 3 เดือนจะได้ผลกำไร มากเป็นทวีคูณ คือ มากกว่า 607.50 บาท ลองคิดดูซิครับ ดังนั้น เงินปันผล 3 เดือนแรก 500 บาท จึงเป็นเงินรายได้จากการลงทุน ไม่ใช่เอาเงินค่าหุ้นของสมาชิกใหม่ มาจ่าย สมาชิกเก่า อย่าเพิ่งรีบสรุปเป็นแชร์ลูกโซ่ ลองคิดดูดีๆ จะมองเห็นอะไรบ้าง ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 พ.ย. 50 20:54:45 ]

ความคิดเห็นที่ 56 คุณต้องไปดูแผนการตลาดของเขา กำไร 450 แบ่งเป็นสามส่วน ส่วนละ 150 ส่วนแรกเป็นค่าบริหารจัดการ ส่วนที่สองเป็นปันผล ส่วนที่สามเป็นค่าตอบแทนหาสมาชิกเพิ่ม ส่วนไหนเอาไปลงทุนเพิ่ม? เอาล่ะต่อให้เอา 450 ไปลงทุนต่อจริงๆ แล้วผมถามหน่อยเถอะธุรกิจถูกกฎหมายอะไรที่ได้กำไรสุทธิเดือนละ 44.93% ของเงินต้นต่อเดือน ลงทุน 450 ได้กำไร 202.5 บาทเนี่ย ปล่อยกู้นอกระบบยังทำไม่ได้เลย ..... ยกเว้นแต่จะค้ายาเสพติดหรือเปิดบ่อนนั่นแหละ อ้อ ถ้าผมมีธุรกิจกำำไรดีอย่างนี้ผมลงเงินเองดีกว่า ลงทุนหมื่นเดียวปลายปีได้ 863805.62 บาท สองปี 74 ล้านกว่าบาท สามปี 6445 ล้าน ผมไม่แบ่งหรอกถ้ามันทำได้จริง สมมติคุณบอกว่าเขาก็เอาเงิน 450 นั่นไปซื้อข้าวแล้วเอามาขายอีก ผมก็ต้องถามต่อว่าขายให้ใคร? เพราะคนที่มาซื้อข้าวทีหลังเขาก็จะได้หุ้นไปอยู่ดี ซึ่งก็มีภาระต้องจ่ายปันผลให้เขาอีก ลองคิดแบบง่ายสุดๆนะครับ 1. คนแรกสุดที่มาซื้อจ่าย 1450 บริษัทได้เงิน 1450 หักค่าข้าว 1000 เหลือเงิน 450 กับภาระที่ต้องจ่ายปันผลอีก 500+1500 บาทในระยะหกเดือน ดังนั้นตอนนี้บริษํทมี Asset-Liability = 450 - 2000 = -1550 บาท 2. การที่บริษัทจะหาเงินมาจ่ายคนแรกนั้นบริษัทต้องขายข้าวให้ได้ 3.44 ชุด ในเวลา 6 เดือนถึงจะได้กำไรพอมาจ่ายปันผลคนแรก แต่ แต่ แต่ ทุกๆครั้งที่ขายข้าวหนึ่งชุด บริษัทจะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้น 1550 บาท(เพราะต้องแจกหุ้นปันผลออกไปทุกครั้งที่ขาย) ดังนั้นเมื่อต้องปันผล 2000 บาท บริษัทจะมีภาระหนี้ในอนาคตเพิ่มขึ้น 5338.89 บาท จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 21:46:39 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อ่ะนะ ใครจะมานั่งเฝ้ากระทู้ทั้งวันทั้งคืนละครับคุณหน่อง คำถามของคุณ nexus "กำไรหน่วยละ 450 บาท เอาเงินจากไหนมาปันผล 2000 บาท" ตอบแบบเข้าใจง่ายๆ คือเขาไม่ได้จ่ายคุณทันที แต่จ่ายให้เมื่อมีคนมาซื้อสินค้าจนเขามีกำไรพอจ่ายให้คุณ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ลองมาดูจากยอดขายจริงของอีซี่กันนะครับ มกราคม 11 ล้าน กุมภาพันธ์ 16 ล้าน มีนาคม 32 ล้าน เมษายน 62 ล้าน พฤษภาคม 117 ล้าน มิถุนายน 191 ล้าน กรกฎาคม324 ล้าน สิงหาคม 525 ล้าน กันยายน 800 ล้าน ถ้าสมมติว่าสินค้าเฉลี่ย ราคา 2000 บาท ต่อ 1 หุ้น แต่ละหุ้นกำไร 450 บาท มีส่วนปันผล 150 บาท คำนวนออกมาจะได้แบบนี้ มกราคม 11 ล้าน 5,500 หุ้น กำไร 2,475,000 เป็นส่วนปันผล 825,000 กุมภาพันธ์ 16 ล้าน 8,000 หุ้น กำไร 3,600,000 เป็นส่วนปันผล 1,200,000 มีนาคม 32 ล้าน 16,000 หุ้น กำไร 7,200,000 เป็นส่วนปันผล 2,400,000 เมษายน 62 ล้าน 31,000 หุ้น กำไร 13,950,000 เป็นส่วนปันผล 4,650,000 พฤษภาคม 117 ล้าน 58,500 หุ้น กำไร 26,325,000 เป็นส่วนปันผล 8,775,000 มิถุนายน 191 ล้าน 95,500 หุ้น กำไร 42,975,000 เป็นส่วนปันผล 14,325,000 กรกฎาคม324 ล้าน 162,000 หุ้น กำไร 72,900,000 เป็นส่วนปันผล 24,300,000 สิงหาคม 525 ล้าน 262,000 หุ้น กำไร 118,125,000 เป็นส่วนปันผล 39,375,000 กันยายน 800 ล้าน 400,000 หุ้น กำไร 180,000,000 เป็นส่วนปันผล 60,000,000 เดือนมกราคม 5500 หุ้น ต้องจ่ายปันผล 11 ล้าน แต่เดือนมิถุนา มีกำไรในส่วนปันผล 14 ล้าน เดือนกุมภาพันธ์ 8000 หุ้น ต้องจ่ายปันผล 16 ล้าน แต่เดือนกรกฎา มีกำไรในส่วนปันผล 24 ล้าน เดือนมีนาคม 16000 หุ้น ต้องจ่ายปันผล 32 ล้าน แต่เดือนสิงหา มีกำไรในส่วนปันผล 39 ล้าน เดือนเมษา 31000 หุ้น ต้องจ่ายปันผล 62 ล้าน แต่เดือนกันยา มีกำไรในส่วนปันผล 60 ล้าน นี่คือตัวเลขที่อธิบายว่า ทำไมอีซี่ถึงจ่ายปันผลได้ในเวลาประมาณ 6 เดือน ถ้ายอดขายโตมาก ก็ได้ปันผลเร็ว ถ้ายอดขายน้อย ก็ปันผลช้าหน่อย และเงินทั้งหมดนี้ เกิดจากกำไรในการขายสินค้า ไม่ใช่การกู้ยืม ไม่ใช่การลงทุนนะครับ จะว่าเป็นระบบปิรามิดก็ได้ แต่เป็นปิรามิดที่เกิดจากการเอาผลกำไรของ บริษัทมาแบ่งปันกัน ยังไงก็ดีกว่าเก็บกำไรเข้ากระเป๋านายทุนต่างชาติ หวังว่าคงเข้าใจแล้วนะครับ จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 21:48:37 A:58.8.120.13 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 58 "กติกาการจ่ายปันผลคือ เมื่อมีการซื้อสินค้า ทุกๆ 7 หุ้น อีซี่จะจ่ายปันผลให้ 1 หุ้น และเมื่อมีการซื้ออีก 7 หุ้น ก็จะจ่ายปันผลรอบที่ 2 ให้ ลองคิดดูนะครับ 7 หุ้น เงินปันผลหุ้นละ 150 บาท ก็ 1050 บาท จ่ายปันผล 500 บาท พอขายได้อีก 7 หุ้น 1050 บาท ก็จ่ายอีก 1500 บาท เป็น 2000 บาท ยังเหลืออีก 100 บาท เป็นค่าของรางวัล " ผมว่า ช่างกล-หนุ่ม คิดผิดนะครับ เพราะว่าเค้าบอกแต่แรกแล้วว่า 2000 มาจากไหน(ก็มาจากกำไรจากการขายของ 14 หุ้น) เงินที่สมาชิกได้ก็มาจากสมาชิกละครับ แต่2000 บาทมาจาก 14 หุ้น ซึ้งกำไรจริงๆ =450*14= 6300 จ่ายปันผล 2000 เหลือ 4300 บาท--> อันนี้หายไปครับ เจ้าของได้แน่ๆๆๆ ถามอีกหน่อยนะครับ ไอ้ขายได้ 7 หุ้นรอบสองอะ 7 หุ้นรอบแรกไม่ได้เงินหรอครับ ตามกติกาต้องได้ "7 หุ้น เงินปันผลหุ้นละ 150 บาท ก็ 1050 บาท " 7 หุ้นได้ต้องได้เงินหุ้นละ 500 = 3500บาท แต่ได้ปันมาจริงๆๆ 1050 ขาดทุนฮะงานนี้ ถามต่อ หลังจากได้ 2000 แล้ว 1 หุ้นแรกก็หมดความหมายหรือป่าวครับ??? จากคุณ : pete (n_pete) - [ 30 พ.ย. 50 22:20:30 ]

ความคิดเห็นที่ 59 จะว่าเป็นระบบปิรามิดก็ได้ แต่เป็นปิรามิดที่เกิดจากการเอาผลกำไรของ บริษัทมาแบ่งปันกัน >>>>>>>> นี่แหละที่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจ เป็นการเอาผลกำไรมาปันผล ในเมื่อบริษัทเขากำหนดกำไร fix ที่ 450 บาทต่อหน่วย ทำไมปันผลจะ fix ไม่ได้ จริงไหม ? คนที่ซื้อกินซื้อใช้ กินข้าวหมดไป ก็กลับมาซื้อใหม่ เป็นคุณ คุณก็ต้องกลับไปซื้อใหม่ เพราะซื้อกินซื้อใช้ แล้วยังได้เงินปันผลตอบแทน ในเมื่อโครงสร้างเป็นอย่างนี้ รายได้ก็เพิ่มต่อเนื่อง ผลพลอยได้ คือ แย่งส่วนแบ่งตลาดของร้านค้ายักษ์ใหญ่มากขึ้นทุกๆวัน ได้เงินเข้ากระเป๋าคนไทย จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 พ.ย. 50 22:22:14 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ลองดูตัวเลขที่ยกมาเองก็แล้วกันครับ ทุกเดือนยอดขายขึ้นจำนวนหุ้นก็มากขึ้นตาม ลองจับยอดขายมาหารด้วยจำนวนหุ้นดูจะได้ตัวเลข 2000 เท่ากันเกือบทุกเดือน นั่นหมายความว่าบริษัทนี้ไม่ได้ขายคนนอกเลย คนที่ซื้อมีแต่สมาชิกกันเอง(หรือสมาชิกใหม่เท่านั้น) ลองดูกราฟข้างล่างประกอบนะครับถ้าบริษัทหยุดหามาชิกตอนนี้ คือจำนวนหุ้นไม่เพิ่มแล้ว เส้นสีแดงคือยอดขาย เส้นสีเขียวคือเงินปันผลที่ต้องจ่าย ลองดูก็แล้วกันว่าเงินปันผลที่ต้องจ่ายเขาน่ะมันล้ำยอดขายไปขนาดไหนแล้ว จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 22:26:07 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อ่ะรูปไม่ขึ้น จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 22:26:53 ]

ความคิดเห็นที่ 62 สิ่งที่พวกท่านข้างบน กล่าวหาว่าไม่ดี อาจจะเป็นเพราะพวกท่านยึดติดในกรอบความคิดอันจำกัดของท่าน เหมือนคน อมก.สมัยก่อนก็คิดว่า ต้องจบ ม.ชั้นเยี่ยม คนถึงจะทำงานประสบความสำเร็จ เป็นคนรวยขึ้นมาได้ แต่พอมีคนทะลึ่งคิดนอกกรอบ แล้วกระโดดออกนอกฮาวาร์ดกลางคัน ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่ท่านข้างบนเอ่ยชื่อ นายบิล เกต นั่นแหละ ตัวอย่างดีๆ ก็มีให้เห็น ทำไมพวกท่านหลายๆคน ยังทนอยู่ในกรอบความคิดอันจำกัด ครับ   จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 พ.ย. 50 22:29:07 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ไม่มีใครตอบคำถามผมเลย ทำไมอ่ะ อยากรู้ทำไมไม่ตอบ จะได้สมัครมั้ง จากคุณ : pete (n_pete) - [ 30 พ.ย. 50 22:31:29 ]

ความคิดเห็นที่ 64 สงสัยนิดเดียวครับ คุณช่างกล-หนุ่ม หรือคนรู้จักของคุณช่างกล-หนุ่ม มีหุ้นในนั้นด้วยหรือเปล่าครับ สงสัยจริงๆ ครับ ขอแค่ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ก็พอแล้วครับ - ขอบคุณครับ จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 30 พ.ย. 50 22:35:02 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ครับถ้าบริษัทหยุดหามาชิกตอนนี้ คือจำนวนหุ้นไม่เพิ่มแล้ว >>>>>>>>> ครับ ถ้า Makro Lotus หยุดเพิ่มยอดขาย ถ้า bank ทั้งหลาย หยุดปล่อยกู้ แถมให้หยุดรับเงินฝากเพิ่ม (ไม่ต้องเพิ่มหนี้) ลองคิดดูซิครับ ถ้าธุรกิจหยุดชงักเสียกลางคันอย่างนี้ และ มีเจ้าหน้าที่หรือกระแสอะไร ทำให้ลูกค้าเกิด panic  ยกใหญ่ ถามจริงๆ เถอะครับ แบงค์ที่ว่ามั่นคง คุณคิดว่าจะเป็นอย่างไร ??? เหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ใช่ผมฝันไป เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต ถ้าคุณไม่เชื่อ ลองถามท่านเปรม ซิครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 พ.ย. 50 22:36:16 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตอบผมบ้างสิ คุณ : ช่างกล-หนุ่ม หรือ คุณ : แน่จริงอย่าลบ จากคุณ : pete (n_pete) - [ 30 พ.ย. 50 22:37:30 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คุณช่างกล-หนุ่ม หรือคนรู้จักของคุณช่างกล-หนุ่ม มีหุ้นในนั้นด้วยหรือเปล่าครับ >>>>>>>>>> ถ้ามีก็ดีซิครับ ถ้าค้นกระทู้เก่าของผม คุณจะรู้จักผม ขอโทษ ตอบสั้นๆไม่ได้ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 พ.ย. 50 22:41:13 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เรื่องอื่นผมอาจจะหยวนๆนะ แต่เรื่องหลอกลวงนี่ผมกัดไม่ปล่อยแน่ ผมถามคุณ ช่างกล-หนุ่ม อีกครั้งหนึ่งนะครับว่า คุณยังยืนยันในทฤษฎีของคุณอยู่? ผมจะอธิบายช้าๆ ชัดๆนะครับ มันอาจจะเป็นไปได้ถ้า บริษัทนี้เอาสินค้าไปขายคนนอกด้วย แต่จากข้อมูลอันมีค่าที่คุณบัตรผ่านให้มาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า บริษํทนี้ไม่ได้ขายคนนอกเลย ลองมาดูกันว่ามันเป็นยังไง เริ่มจาบริษัทมีกำไรคงที่ที่ 450 บาท/ชิ้น ผมถามไปว่าเขาเอาเงินที่ไหนมาจ่ายปันผล 1550 บาท ก็มีคำตอบมาว่าเอามาจาก "แต่จ่ายให้เมื่อมีคนมาซื้อสินค้าจนเขามีกำไรพอจ่ายให้คุณ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ลองมาดูจากยอดขายจริงของอีซี่กันนะครับ" #57 เอาล่ะ ผมถามต่อว่าแล้วใครที่มาซื้อสินค้าคุณล่ะ เพราะว่าถ้าสินค้าที่ขายไปนั้นมีหุ้นแถมไปด้วย ทุกครั้งที่คุณขายสินค้าคุณขาดทุนนะ ตรงนี้ก็ต้องขอบคุณคุณบัตรผ่าน เพราะจากยอดขายกับยอดหุ้นมันหารกันลงตัวพอดิบพอดีทุกเดือน นั่นหมายความว่าการขายนั้นไม่ได้ขายคนนอกเลย แต่เป็นการขายแถมหุ้นทั้งหมด นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่ขายได้ 1450 บาท จะมีต้นทุนเกิดขึ้น 1000 + 500 + 1500 = 3000 บาท ผมถามคุณ ช่างกล-หนุ่ม อีกทีว่าคุณยังยืนยันตามเดิม? จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 22:45:08 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ผลประโยชน์... + ความโลภ  = เคสแบบนี้ .. >>>>>>> ผมไม่อยากให้คุณ เข้ามาผสมโรงแบบนี้ อยากให้คำความเข้าใจสักหน่อย คุณแน่ใจว่า คุณไม่โลภ ไม่เอาผลประโยชน์ นะครับ ถ้าแน่ใจ ขอ ยืนยัน ด้วยครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 30 พ.ย. 50 22:45:33 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ว้าไม่มีใครตอบ ผมว่าคุณ Nexus พอเถอะครับ คุณช่างกล-หนุ่ม ไปนอกเรื่องแล้วครับ จากคุณ : pete (n_pete) - [ 30 พ.ย. 50 22:48:58 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขอชมคุณ Nexus คุณทำให้ผมกระจ่างในระบบแบบนี้นะครับ คุณวิเคราะห์แบบว่าสุดยอดครับ เข้าใจง่าย เห็นภาพ จากใจจริงนะครับ จากคุณ : pete (n_pete) - [ 30 พ.ย. 50 22:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ^ ^ ^ <<<<<<<^       ^       ^ >>>>>>> ^ ^ ^ #69 หลักง่ายๆคือทุกชิ้นที่ขายคุณขาดทุนทันทีแค่นี้ยังมองไม่ออกผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วครับ เพราะต้นทุนคุณคือค่าสินค้า + ปันผล 2000 บาท ในขณะที่กำไรต่อชิ้นมันแค่ 450 บาท แล้วเงินก็ไม่ได้เอาไปลงทุนอะไรเพิ่มเติมนอกจากหาสมาชิกเพิ่ม ตอนที่ยังมีคนใส่เงินมามันก็ไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่มันเริ่มอิ่มตัวไม่มีคนเอาเงินมาลงคราวนี้แหละครับ สงสัยผมคงต้องรอคุณ Peet ล่ะครับ เขาน่าจะอธิบายได้ดีกว่าผม "Only two things are infinite" จริงๆเสียด้วย แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 50 22:55:33 จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 22:52:37 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ลืมม  ขอบคุณมากครับ คุณNexus ได้ช่วยคนอีกหลายๆๆคนนะครับ ผม 1 คน นับได้เลย จากคุณ : pete (n_pete) - [ 30 พ.ย. 50 22:53:04 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ทีนี้ ปิรามิดนี้จะโตไปได้แค่ไหน มูลค่าของตลาดค้าปลีกอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท ต่อเดือน ปัจจุบันอีซี่มียอดขายแค่พันกว่าล้าน ถ้าดำเนินกิจการต่อได้ ก็ยังโตไปได้อีกมาก ต่อให้ถึงจุดอิ่มตัว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คนหลังๆก็ได้สินค้าในราคาปกติ กับเงินปันผลช้าลง ตามยอดขายในเวลานั้น เสียหายตรงไหน ? แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ห้างค้าปลีกต่างชาติเจ๊งครับ เพราะคนเข้าไปซื้อของน้อยลง โดนแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปเรื่อยๆ แทนที่จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำขนกลับประเทศ กำไรตรงนั้นจะกลับมาหมุนเวียนในกระเป๋าคนไทย เงินรั่วไหลออกนอกประเทศน้อยลง คนไทยก็รวยขึ้น ลองคิดดูนะครับ ห้างค้าปลีกพวกนี้ เวลาจ้างงานก็จ้างคนไทยด้วยเงินเดือนถูกๆ ไปยืนเคาเตอร์รับเงิน ทำงานเป็นหุ่นยนต์ จ้างคนไปจัดชั้นสินค้า ไปเป็นยามเฝ้าของ ทำงานทั้งวัน แต่รายได้จะซักเท่าไหร่ เวลาสั่งซื้อสินค้าก็กดราคาซัพพลายเอร์ หรือไม่ก็ทำเฮาส์แบรนแพ็คเกจคล้ายๆกันมาวางข้างๆ เวลาจ่ายภาษีก็งัดสารพัดวิชามาเลี่ยงภาษี คุณเชื่อไหม ห้างบางห้าง จ่ายภาษีรวมกันทุกสาขายังไม่เท่าอีซี่เลยครับ เพราะเอาเงินไปลงทุนขยายสาขาทั่วประเทศ เหลือกำไรให้เก็บภาษีนิดเดียว หรือแม้แต่ผู้บริโภคก็ถูกเอาเปรียบครับ ถึงเวลาก็ขนกำไรกลับประเทศ ลองไปอ่านข่าวพวกนี้ดู แฉร้อยเล่ห์กลลวงยักษ์ค้าปลีก ลดหลอกล่อ-ฮั้วขึ้นราคา http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9500000140155 ค้าปลีกสุดโหด เล่นบทขูดเลือด ซัพพลายเออร์ http://www.siam-handicrafts.com/webboard/question.asp?QID=1318 มั่วปิดราคาไม่ตรงขายจริง ผู้บริโภคโวยลั่น!ยักษ์ค้าปลีกเอาเปรียบ http://www.thairath.co.th/news.php?section=economic&content=57412 เทียบกับอีซี่ที่สร้างงานสร้างอาชีพ งานที่อีซี่สร้างขึ้นก็คือ การกระจายสินค้าจากผู้ผลิต ไปสู่ผู้บริโภค โดยไม่ต้องผ่านห้างค้าปลีก ผู้ผลิตได้ประโยชน์ ซัพพลายเออร์ได้ประโยชน์ ร้านโชว์ห่วยได้ประโยชน์ ประชาชนได้ประโยชน์ นอกจากนี้ นโยบายของอีซี่ ยังตั้งใจจ่ายภาษี ให้กับรัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดูในลิงก์ได้เลยครับ http://www.khaishong.com/page15.html ถ้าหากอีซี่ขยายตัวไปถึงจุดนั้นได้จริงๆ ประเทศไทย คงไม่ต้องไปกู้เงินใครมาสร้างรถไฟฟ้าแล้วล่ะครับ แล้วเงินกองที่ 3 ที่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัท อีซี่เอามาซื้อข้าวแจกฟรีครับ ใครเคยไปที่บริษัท จะเห็นครับ วันที่อีซี่จัดงานที่เมืองทอง และสนามราชมังคลากีฬาสถาน ก็มีข้าวมีน้ำแจกฟรีตลอดงาน ถ้าคนไทยซื้อของผ่านอีซี่กันหมด เราก็จะได้เห็นข้าวแจกฟรีตามสถานที่ต่างๆ แน่นอน คนไทยทุกคนจะอิ่มท้องตามนโยบายของพรรคครับ ตกลงว่าตลาดเต็มแล้วดีหรือไม่ดี คิดดูเองแล้วกัน จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 23:04:18 A:58.8.120.13 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เอ้า ถ้าถึงจุดอิ่มตัวแล้วคุณจะขายใครครับ เพราะยอดขายคุณมากจากการขายสมาชิกทั้งนั้น เมื่อยอดขายอิ่มตัวนั่นหมายความว่าไม่มีใครซื้อของๆคุณแล้ว เพราะทุกคนที่เขาเชื่อคุณเขาก็เป็นสมาชิกคุณแล้วทั้งนั้น ถือหุ้นคุณคนละนิดคนละหน่อยแล้ว แล้วสัญญา่ที่คุณจะปันผลให้เขานั้นจะเอาอะไรไปปันผลให้เขาในเมื่อของคุณขายไม่ออก? ในที่สุดก็แพลมออกมาอีกหน่อย ว่าถ้าขายไม่ออกก็จะได้เงินช้าลง ช้าลงมันกี่ปี? 2ปี 3ปี 5ปี 10ปี ชาติหน้า?  ใครที่ทำอยู่ก็คงต้องช่วยๆกันขายช่วยๆกันหาสมาชิกหน่อยนะครับไม่อย่างนั้นท่านจะไม่ได้ตังปันผลที่เขาสัญญาเอาไว้ แล้วตกลงยอมรับไหมว่าทุกครั้งที่คุณขายสินค้าคุณมี Liability ที่จะต้องจ่ายคืนเขา 2000 บาท? ดังนั้นต้นทุนสินค้าจริงๆเท่ากับ ราคาซื้อสินค้า + 2000 บาท? จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 23:19:06 ]

ความคิดเห็นที่ 76 "ลองดูตัวเลขที่ยกมาเองก็แล้วกันครับ ทุกเดือนยอดขายขึ้นจำนวนหุ้นก็มากขึ้นตาม ลองจับยอดขายมาหารด้วยจำนวนหุ้นดูจะได้ตัวเลข 2000 เท่ากันเกือบทุกเดือน นั่นหมายความว่าบริษัทนี้ไม่ได้ขายคนนอกเลย คนที่ซื้อมีแต่สมาชิกกันเอง(หรือสมาชิกใหม่เท่านั้น) "#60 ที่มันได้ 2000 เพราะผมบอกแต่แรกแล้วว่าสมมติราคาสินค้าเฉลี่ยเป็น 2000 บาทต่อหุ้น ลองทบทวนดูดีๆนะครับ "บริษัทไม่ได้ขายสินค้าคนนอกเลย" #60 คืองี้ครับ ไม่ว่าใคร ซื้อสินค้ากับอีซี่ อีซี่ก็แถมหุ้นให้ คนๆนั้นก็ถือว่าเป็น สมาชิกที่มีสิทธิรับปันผลไงครับ คนที่ซื้อสินค้ากับอีซี่ไปนี่แหละ ที่จะเอาสินค้าไป ขายให้กับคนนอก หรือเอาไปใช้เอง จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 23:24:31 A:58.8.120.13 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ของต้องกินต้องใช้ตลอดนี่ครับ แล้วสินค้าจะขายไม่ออกได้ไง สินค้าขายได้เรื่อยๆ ก็ปันผลออกมาเรื่อยๆ แล้วตอนนี้ ก็มีคนมาเลเซียกับอินเดียมาซื้อของกับอีซี่แล้ว ตลาดขยายไปต่างประเทศได้ แล้วใ:-)ครับ จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 23:28:20 A:58.8.120.13 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 78 "แล้วตกลงยอมรับไหมว่าทุกครั้งที่คุณขายสินค้าคุณมี Liability ที่จะต้องจ่ายคืนเขา 2000 บาท? ดังนั้นต้นทุนสินค้าจริงๆเท่ากับ ราคาซื้อสินค้า + 2000 บาท?" #75 คิดแบบเลข ป 2 มันก็ได้แค่นั้นแหละครับ ระบบของอีซี่ต้องคิดแบบ Heap ครับ ลองไปศึกษาดู http://en.wikipedia.org/wiki/Heap_(data_structure) จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 30 พ.ย. 50 23:34:56 A:58.8.120.13 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ผมไม่ถนัดเรื่องตัวเลขหรือสูตรต่างๆที่พวกขายตรงชอบยกมาอวดอ้าง แต่ผมอยากจะขอถามสาวกอีซี่ในที่นี้ให้ช่วยให้ความกระจ่างกับข่าวนี้หน่อย http://www.matichon.co.th/news_scoop.php?id=56 ตุณบอกว่าธุรกิจคุณกำไรดี เสียภาษีให้รัฐฯเป็นเงินก้อนโต  แต่ทำไมงบการเงินปี 2549 ถึงได้ขาดทุนล่ะครับ มีอย่างที่ไหน มีรายได้เกือบ 5000 ล้านบาท ขาดทุน 4.2 ล้านบาท ทำไมมันถึงได้ขาดทุนแบบฉิวเฉียดเหลือเกิน แต่งบัญชีหรือเปล่านี่ จะได้ไม่ต้องเสียภาษีนิติบุคคล ??? จากคุณ : piras - [ 30 พ.ย. 50 23:37:35 ]

ความคิดเห็นที่ 80 คุณเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตามใจ ผมถือว่าอธิบายไปหมดแล้ว ว่าทุกครั้งที่ขายของหนึ่งชิ้นบริษัทนี้จะขาดทุน 1550 บาท และการที่จะปันผลได้นั้นก็เอาเงินของรายใหม่ๆที่มา "ซื้อ" สินค้า เข้าไปโปะปันผลนั่นเอง ผมก็จนใจไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงต่อแล้ว สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้วท่านที่ผ่านไปผ่านมาอ่านแล้วก็พิจารณาด้วยสติและปัญญาของท่านเองเถิด จากคุณ : Nexus - [ 30 พ.ย. 50 23:38:27 ]

ความคิดเห็นที่ 81 #65 Best case ก็คือมันจะหยุดที่คนไทยคนที่ 63ล้่านเป็นสมาชิกไงครับ แล้วไงต่อ? วงแชร์ล่ม? ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นอกกรอบหรือไม่หรอก แต่ปัญหาคือมันได้เงินจริงๆมาจากไหน เขาเลยพยายามคิดคำนวณกันให้ชัดเจนไงครับ ถ้าคิดแล้วมันมีโอกาสได้เงินจริงๆชัดเจนไม่มีหมกเม็ด ผมว่าคนในหว้ากอก็คงแห่กันไปสมัครถล่มทลายเลยล่ะ จากคุณ : ....4จุด - [ 30 พ.ย. 50 23:55:40 ]

ความคิดเห็นที่ 82 คิดไปคิดมาสงสั๊ยสงสัยว่าของที่ซื้ออย่างมาม่า หรืออื่นๆมันอยู่ที่ไหน คงไม่มีใครซื้อแค่ 1หุ้น 2700 บาท เป็นมาม่า 540 ห่อ (แค่นี้ตูก็ไม่รู้จะเอาไปกองไว้ไหนแล้ว) แต่มักจะลงเงินหลักหมื่นหลักแสนเพื่อหวังเงินปันผลหลักล้าน หมื่นนึงได้มาม่า 2000ห่อ แสนนึงได้ 20000ห่อ ซื้อแล้วขนกลับบ้านไปด้วยรึไง??? หรือใช้วิธีให้ฝากขายเหมือนข้าวสาร สรุปก็เหมือนซื้อลม ไม่มีสินค้าจริง ไอ้ยอดขายที่ว่าโตทุกเดือนๆ ก็คือขายหุ้นอย่างเดียวนั่นแหละ แถมแต่ละหุ้นยังได้ปันผลแค่สองครั้งรวม 2000 ไม่ได้มีปันผลตลอดไปเหมือนหุ้นปกติ ถ้าอยากได้เงินอีกก็ต้องเอาไปลงเงินรอบใหมๆเรื่อยๆ ตามความโลภของแต่ละคน ทีนี้เกิดบริษัทปิดหนีไป ที่บอกว่าก็แค่ได้ซื้อของกินของใช้แทนที่จะไปซื้อที่ห้างต่างชาติ ก็เท่ากับสูญเงินเปล่าของก็ไม่ได้เพราะของมันไม่มีตั้งแต่ต้นแล้ว แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 00:34:29 แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 00:29:29 แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 00:10:12 จากคุณ : ลาบราดอร์สีดำ - [ 1 ธ.ค. 50 00:07:55 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ตัวเลขมหาสนุก ถ้าเราเอายอดขายที่ 800,000,000 มาคิดเปลี่ยนเป็นสินค้าจะได้จำนวนเท่าไหร่? สมมติว่าขายได้เท่ากันทุกตัวจะได้ เนสกาแฟ 1,111,111 กระป๋อง M-150  1,333,333 ขวด กระดาษ A4 111,111 รีม มาม่า    2,656,827 ห่อ น้ำอัดลม  888,889 กระป๋ิอง ข้าวหอมมะลิ 459,770 กิโล(450 ตัน) จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 00:34:03 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ภาพหนึ่งภาพแทนคำนับพันคำ ทางบริษัททำถูกต้องทุกอย่างแต่รับเงิน 600-750 ออกใบเสร็จเป็นจำนวนเต็ม 1400-1500 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=9629&catid=17 จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 00:47:32 ]

ความคิดเห็นที่ 85 คุณ Nexus ครับ คุณถามคำถามยากเกินไป ให้เจ้าของบริษัทมาตอบก็ตอบไม่ได้ว่าเอาเงิน 1550 บาท มาจากไหนมาจ่ายสมาชิกทุก ๆ 1 หุ้น -------------------------- อย่าให้เขาต้องตอบเลยว่า ก็เอาเงินทุนที่คนซื้อเมื่อวานมาจ่ายไง ฮ่าๆๆๆ เอิ๊กส์ๆ ยิ่งนานมูลค่ายิ่งเยอะ กำไรบริษัทเยอะ แต่หนี้(สัญญา 6 เดือน)บริษัทเยอะกว่ากำไร ฉะนั้นยอดเดือนไหนต่ำกว่าเดือนที่แล้วปุ๊บ ปิดบริษัทปั๊บ !! เอิ๊กส์ๆ จากคุณ : กระทู้นี้แน่จริงอย่าลบนะครับ (THE_AR) - [ 1 ธ.ค. 50 00:53:02 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ตอบคุณ piras เมื่อก่อนอีซี่ขายสินค้าอย่างอื่น ไม่แน่ใจว่าขายอะไรเหมือนกัน ผลประกอบการก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ มาช่วงต้นปีนี้ และ ที่เปลี่ยนมา ขายสินค้าอุปโภคบริโภค ยอดขายก็เลยโตเอาโตเอาอย่างที่เห็น ตอบคุณ nexus ผมก็อธิบายไปหมดแล้วเหมือนกัน ทั้งวิธีการ แนวคิด คำนวนตัวอย่างให้ดูก็แล้ว ผมก็ไม่รู้จะดึงคุณออกมาจากรอบ ความคิดตรงนั้นยังไงเหมือนกัน แต่เงินที่เขาเอามาปันผล มันไม่ใช่เงินคนซื้อนะครับ มันเป็นกำไรของบริษัท เวลาคุณเดินเข้าไปซื้อของที่เซเว่น คุณจ่ายเงิน รับสินค้า แล้วเงินที่เค้ากำลังเก็บเข้าเครื่องคิดเงินมันเป็นเงินคุณหรือ ตอบคุณ 4 จุด ตราบใดที่คนต้องกินต้องใช้ คนก็ต้องซื้อของเรื่อยๆ ซื้อไป ใช้หมด ก็ซื้อใหม่ อีซี่ก็ปันผลได้เรื่อยๆ ตามลำดับของคนที่ซื้อ ทุกคนจึงได้เงินแน่นอน แต่จะได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการเติบโตของบริษัท ดังนั้นถ้าคนไทยทุกคนซื้อของผ่านอีซี่กันหมด ก็จะเป็นอย่างที่ผมอธิบายไว้ใน #74 แบบนี้ชัดเจนไหม ตอบคุณ ลาบราดอร์สีดำ นี่ไง ซื้อเบอร์ดี้เป็นหมื่นๆกระป๋องกลับบ้าน http://www.khaishong.com/birdy.jpg บริษัทไม่มีนโยบายซื้อสินค้าคืนหรือรับฝากขาย คนที่รับซื้อสินค้า คือสมาชิกที่มีช่องทางกระจายสินค้า สมาชิกพวกนี้จะชวนคนไปลงทุน โดยออกเงิน ในสัดส่วนตามแต่ตกลงกัน โดยให้คนลงทุนออกเงิน แล้วเอาหุ้นไป ส่วนสมาชิกพวกนี้ก็เอาสินค้าที่ซื้อได้ในราคาถูกไปขาย ประเด็นอยู่ที่ว่า คุณได้ของไปแล้ว คุณจะขายต่อถูกขายแพง มันเป็นดุลพินิจของคุณเอง "สรุปก็เหมือนซื้อลม ไม่มีสินค้าจริง ไอ้ยอดขายที่ว่าโตทุกเดือนๆ ก็คือขายหุ้นอย่างเดียวนั่นแหละ" ถ้าไม่มีสินค้าจริงๆ ไม่ได้ค้าขายกันจริงๆ ทำไมต้องจ่ายภาษีล่ะครับ ยอดขายที่ยกมาก็เอามาจากใบกำกับภาษีน่ะแหละ http://www.khaishong.com/page15.html "ถ้าเราเอายอดขายที่ 800,000,000 มาคิดเปลี่ยนเป็นสินค้าจะได้จำนวนเท่าไหร่" คนซื้อรถผ่านอีซี่ก็มีครับ บอกแล้วว่าสินค้าทุกอย่างซื้อผ่านอีซี่ได้หมด แล้วคุณจะคิดแบบนั้นได้ไง #84 ข่าวลงมั่วเพียบ แผนการตลาดของบริษัท คุณไปอ่านจากข่าวก็ได้แต่ตีความผิดๆ อย่างกรณีนี้ บอกได้เลยว่า สมาชิกมีการตกลงกับสมาชิกอีกคนไว้แล้ว ว่าออกเงินกันคนละเท่าไหร่ แล้วให้อีกคนรับของไป บริษัทขอยของให้ในราคาเต็มเท่านั้นครับ #85 บริษัทไม่ได้ fix เวลาจ่ายครับ มีเงินเท่าไหร่ก็จ่ายให้ตามจำนวนหุ้นที่จ่ายได้หุ้นละ 2000 บาท เขียนไปหลายรอบแล้วอ่านหน่อยสิครับ บริษัทจ่ายปันผล 2000 ได้ใน 6 เดือนก็เพราะกำไร เติบโตดี อ่าน #57 นะครับจะเข้าใจมากขึ้น จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 1 ธ.ค. 50 01:05:04 A:58.8.120.13 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ปัญหาอยู่ที่ว่าบริษัทนี้เค้า fix ว่าจะต้องจ่ายเงินปัน 2 พันบาทภายใน 6 เดือนหรือเปล่า ถ้าเค้าไม่รับปากหรือเคยให้คำมั่นสัญญาใดๆ ว่าจะจ่ายให้ภายใน 6 เดือน แต่บอกว่ายืดหยุ่นได้ อาจจะเป็น 10 เดือน หรือ 1 ปี หรือปีครึ่ง หรือ 2 ปี 3 ปี อย่างนี้ก็ถือว่าเค้าไม่ผิดสัญญาอะไรนะ เพราะสินค้าอยู่ในมือ มันก็ต้องขายได้เข้าสักวัน แต่อยู่ที่ว่าจะขายได้ช้าหรือเร็วเท่านั้น เพียงแต่ที่ผ่าน เค้าขายได้เร็วเท่านั้นเอง เช่นลงทุนไปปุ๊ป 1 พันบาท ก็ขายออกได้ที่ 1,450 บาท ได้กำไรทันที 450 บาท (ซื้อราคาส่ง ขายราคาปลีก) พอบริษัทเค้าได้กำไรจากการขายสินค้า 450 บาทนี้ ถ้าดูตามแผนการตลาด เค้าจะต้องเอาไปจัดสรรเป็น 3 ส่วน คือ (1) จ่ายเป็นหุ้นปันผล 150 บาท (2) จ่ายเป็นค่าดำเนินการ 155 บาท (3) เป็นค่าแนะนำตามสายงาน 145 บาท แต่เงินทั้งหมดนี้ เค้ายังไม่ต้องจ่ายจริงนี่นา บริษัทก็ยังถืออยู่ในมือ และเอา 450 บาทนี้ไปลงทุนต่อยอด คือซื้อสินค้ามาขายทำกำไรต่อได้ในอัตรา 45% ของทุนที่ลงไป (คือ 450 บาท ก็จะได้กำไรเพิ่มอีก 202.5 บาท ถ้าได้อย่างนี้อีก 3 เดือน ก็จะได้กำไร 607.5 บาท) ซึ่งถ้าเค้าขายได้เร็วอย่างนี้ทุกเดือน เค้าก็เอามาจ่ายปันผลได้เร็วทุก 3 เดือน แต่ถ้าเค้าขายได้ช้า เค้าก็จ่ายปันผลได้ช้า ซึ่งถ้าเค้าไม่เคยรับปากหรือสัญญาว่าจะต้องจ่ายภาย 3 เดือน หรือ 6 เดือน สมาชิกก็จะไปด่าเค้าไม่ได้ และที่คุณ Nexus ถามว่ามีธุรกิจอย่างไหนที่จะทำกำไรได้ 45% ทุกเดือน ขนาดธุรกิจผิดกฎหมายนอกระบบยังทำไม่ได้ ตรงนี้ คุณ Nexus ต้องลืมคำว่า 3 เดือน หรือ 6 เดือนไปให้ได้ก่อน แล้วเอาคำของคุณแน่จริงอย่าลบที่บอกว่ามันยืดหยุ่นได้ ขายได้เร็ว ก็ปันผลได้เร็ว ขายได้ช้า ก็ปันผลช้า เอาตรงนึ้มายึดเป็นหลัก ฉะนั้น ถ้ายึดตรงนี้เป็นหลักได้ ก็แสดงว่าอัตรากำไรสุทธิ 45% นี้ อาจจะไม่ใช่ต่อเดือนแล้วก็ได้ อาจจะเป็นต่อปีก็ได้ หรืออาจจะเป็นต่อ 3 ปี หรือ 5 ปีก็ได้ ถ้ายิ่งสมาชิกมากขึ้น มันก็จะยิ่งขายอืดมากขึ้นไปเรื่อย แต่อย่างที่เค้าบอกว่าธุรกิจค้าปลีกนี้มียอดขายถึง 7 แสนล้านต่อเดือน (หรือต่อปีหว่า?) และถ้ามันเป็นสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ มันก็ต้องขายได้ เพียงแต่จะขายได้ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ถ้าช้ามากๆ เงินปันผลมันก็จะได้คืนมาช้ามากๆ เท่านั้นเอง อันนี้ผมบอกก่อนนะว่าไม่ได้มีเอี่ยวในธุรกิจนี้ด้วย และผมก็ไม่ค่อยมีหัวทางด้านนี้เท่าไหร่ เพิ่งจะเคยมารับรู้ก็จากในกระทู้นี้แหละ จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 01:29:53 A:58.9.77.163 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ผมเองก็อยากฟังการโต้เถียงกันด้วยเหตุด้วยผลนะ ถึงได้บุ๊คมาร์คกระทู้นี้ตั้งแต่หัวค่ำ และมาลองอ่านดูก็สนุกและได้ความรู้ดี และอยากเห็นการถกเถียงกันจริงๆ แบบให้กระจ่างไปเลยว่าใครถูกใครผิดกันแน่ จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 01:37:37 A:58.9.77.163 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 89 คห.56 (คุณ NexusX) "เอาล่ะต่อให้เอา 450 ไปลงทุนต่อจริงๆ แล้วผมถามหน่อยเถอะธุรกิจถูกกฎหมายอะไรที่ได้กำไรสุทธิเดือนละ 44.93% ของเงินต้นต่อเดือน ลงทุน 450 ได้กำไร 202.5 บาทเนี่ย ปล่อยกู้นอกระบบยังทำไม่ได้เลย ..... ยกเว้นแต่จะค้ายาเสพติดหรือเปิดบ่อนนั่นแหละ อ้อ ถ้าผมมีธุรกิจกำำไรดีอย่างนี้ผมลงเงินเองดีกว่า ลงทุนหมื่นเดียวปลายปีได้ 863805.62 บาท สองปี 74 ล้านกว่าบาท สามปี 6445 ล้าน ผมไม่แบ่งหรอกถ้ามันทำได้จริง" ผมว่าคนที่ทำธุรกิจแล้วได้กำไรทันที 45% หรือแม้แต่มากกว่านี้ก็มีเยอะแยะนะครับ เช่น ถ้าผมรู้ว่าเสี่ย ก. ต้องการเครื่องจักรเก่าชิ้นหนึ่งในราคา 3 หมื่น แต่ผมรู้แหล่งที่จะหาซื้อเครื่องจักรนี้ได้ในราคา 1 หมื่น ผมก็ซื้อมาขายและได้กำไรทันที 2 หมื่น คือ = 200% ภายในเดือนเดียว ถ้าผมมีช่องทางขายได้อย่างนี้บ่อยๆ ผมก็รวยได้เร็ว แต่ปัญหาคือว่าถ้าผมลงทุนทำเองคนเดียวผมจะไปหาตลาดแบบนี้ได้จากไหน แต่ถ้าผมใช้ระบบให้สมาชิกช่วยกันหาตลาด โดยให้รางวัลส่งเสริมการขายเป็นแรงจูงใจ ผมก็จะปล่อยของได้เร็ว ทำกำไรได้เร็ว แต่ผมก็จะมีรายจ่ายมากขึ้นเพราะต้องแบ่งส่วนกำไรให้พวกเซลล์เหล่านั้น ฉะนั้น ยอดขาย 5 พันล้านของบริษัท จึงเป็นไปได้ที่จะมีผลขาดทุน 4 ล้านกว่า ก็เพราะเค้ามีรายจ่ายเยอะไงครับ ไหนจะต้นทุนสินค้า และผลตอบแทนให้แก่สมาชิก แต่รัฐก็ได้ภาษีมูลค่าเพิ่มไป 7% ของยอดขายหักด้วยยอดซื้อ จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 02:04:39 A:58.9.77.163 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 90 คำตอบที่ว่าบริษัทนี้อยู่ได้ยังไง ถ้าไม่มีคนซื้อของก็จบ (จริง) แต่คุณลองคิดดูดีๆ สิ มันก็เป็นอย่างนี้ทุกธุรกิจแหละ แล้วพวกขายตรงอย่างอื่นคุณไม่คิดเหรอว่าเค้าก็เอาเงินคนข้างหลังมาจ่ายคนข้างหน้าเหมือนกัน แล้วถ้าคนข้างหลังไม่ซื้อคนข้างหน้าก็จบเหมือนกัน แต่เป็นเพราะว่าที่บริษัทอยู่ได้เพราะคนกลับมาซื้อไง คุณซื้อโลชั่นไป พอหมดคุณก็ซื้อใหม่ แล้วบริษัทอยู่ได้มั้ย กลับมาที่อีซี่ เค้าขายของอุปโภค บริโภค ถามหน่อยว่าทุกวันนี้คุณกินข้าวหรือเปล่า คุณยังกินมาม่ามั๊ย(คุณจะตอบว่าไม่กินก็ได้แต่คนอื่นเค้ายังกิน) แล้วลูกค้าเราไม่ได้บอกว่าจำกัดเฉพาะคนทั่วไปนี่นา คนที่เป็นมินิมาร์ทและร้านโชว์ห่วยเค้าก็มาซื้อของอีซี่ไปขาย หมดแล้วก็ไปซื้อใหม่ คุณคิดว่าพวกร้านขายส่งเนี่ยเค้าขายมาม่า 20 ลังเนี่ยในกี่วันเหรอ ไม่กี่วันก็หมดแล้ว แล้วกลับไปซื้อใหม่(ไม่ได้เมก ที่เห็นอยู่ก็มีเกิดจริง) แล้วก็ไปซื้อใหม่มาขายต่อ แค่เนี่ย ไม่รู้เข้าใจกันหรือเปล่า แต่อยากให้มองว่าอย่ามองในมุมแคบ แล้วอีกกรณีก็คือ เหมือนที่คนอธิบายมาแล้วว่า บางคนไม่ต้องการหุ้น ส่วนอีกคนต้องการ คนที่ต้องการก็ไปสั่งของที่อีซี่ 1450 บาท/หุ้น แล้วก็เอาสินค้าไปขายขาดทุน ให้คนที่ไม่ต้องการหุ้น (ร้านขายส่งก็เป็นหนึ่งในนั้น) สินค้าหมุนเร็วด้วย สั่งสัปดาห์หนึ่งเอ็มร้อยไม่รู้กี่ร้อยลัง หมดอย่างรวดเร็ว คนที่ต้องการหุ้นก็ไปซื้อที่อีซี่มาใหม่ แล้วก็ไปขายต่อที่เดิม ถามว่าทำได้มั้ย ตอบ ได้ เพราะทำมาแล้ว แล้วได้ปันผลมั้ย ตอบได้ แค่เนี้ย ขนาดพวกแอม.... ไม่ได้เป็นสินค้าที่เข้าใจง่ายเหมือนอย่างพวกมาม่า ยังมีคนกลับไปซื้อซ้ำไม่มีที่สิ้นสุด แล้วสินค้าเข้าใจง่ายแบบอีซี่ คุณคิดว่าจะมีวันสิ้นสุดของการซื้อเหรอ (ถามมาอย่างนี้ งงนะ) เราว่าเราก็ยังกินข้าวทุกวันกินมาม่าออกบ่อย กินนมอย่างต่อเนื่อง ชีวิตนี้เรายังไม่เคยเบื่อข่าวเลย แต่ครีมบางยี่ห้อเราเลิกซื้อไปแล้ว เข้าใจหรือยังล่ะ จากคุณ : หวังดี - [ 1 ธ.ค. 50 02:15:06 A:222.123.41.79 X: ]

ความคิดเห็นที่ 91 ทีนี้มาสู่ปัญหาที่ว่าถ้าคนไทยทั้ง 63 ล้านคนเข้าเป็นสมาชิกของบริษัทนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น แสดงว่าถึงจุดอิ่มตัว ไปต่อไม่ได้อย่างนั้นหรือ? ผมมองว่าถ้าเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ ก็ไม่เห็นว่าจะต้องถึงจุดอิ่มตัว เหตุผลก็เพราะคนเราทุกคนต้องกินข้าว ต้องสระผม ถูสบู่ ใช้สินค้าอุปโภคบริโภคกันทุกวันนั่นแหละ คนที่เป็นสมาชิกไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องใช้สินค้าอุปโภคบริโภคพวกนี้ ฉะนั้น เค้าก็อาจจะต้องซื้อสินค้าพวกนี้อีกก็ได้ ซื้ออีก เค้าก็ได้หุ้นปันผลอีก แต่คราวนี้ ระยะเวลาปันผลอาจจะช้าลงหน่อยก็เป็นได้ แต่ผลกำไรจากการค้าปลีกทั้งหมด มันจะถูกแบ่งปันกันในประเทศ เป็นได้ทั้งสินค้าทุกชนิด ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ถ้ากำไรน้อยก็ปันผลน้อย สินค้าไหนกำไรดีก็ปันผลดี ปล. ที่ผมตอบอย่างนี้ ก็ย้ำอีกครั้งว่าอย่าพยายามยัดเยียดผมว่าจะต้องเป็นสมาชิกของบริษัทนี้ สาบานได้เลยไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปที่บริษัทนี้และไม่เคยสนใจเรื่องธุรกิจ MLM มาก่อนเลย แต่อยากให้ถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผล และผมอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ แต่อยากได้คนอธิบายเหตุผลแบบแจ่มๆ เลยน่ะว่าผมเข้าใจผิดอย่างไร จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 02:20:43 A:58.9.77.163 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ตอนแรกผมก็งงๆ นะว่าสินค้าที่ขายแล้ว ไปอยู่ที่ไหน เท่าที่อ่านๆ ดูจากคำอธิบายของคุณแน่จริงฯ ก็จะเห็นว่าทุกครั้งที่ขายสินค้าให้สมาชิก ก็จะต้องมียี่ปั้วหรือซาปั๊วเข้ามาร่วมลงทุนครึ่งหนึ่ง และตัวยี่ปั๊วหรือซาปั๊วจะรับสินค้าไปขายและทำกำไรจากการขายสินค้านั้น ส่วนตัวสมาชิกที่ลงอีกครึ่งหนึ่ง ก็จะรับหุ้นไปแทนและรอเงินปันผล ฉะนั้น สินค้าจึงมีจริง และขายจริง ไม่ใช่ขายสินค้าลม แต่ถ้าไม่มียี่ปั๊วหรือซาปั๊วที่จะเข้ามาลงทุน สมาชิกก็จะลงทุนไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้น เมื่อมียี่ปั๊วซาปั๊วเข้ามาลงทุนเมื่อไหร่ มันก็จะมีช่องทางขายสินค้าไปสู่ตลาดได้เสมอ เพราะมันเป็นงานของยี่ปั๊วซาปั๊วอยู่แล้ว และซาปั๊วยี่ปั๊วก็มีแรงจูงใจที่จะลงทุนเสมอเพราะว่าซื้อของได้ในราคาต้นทุนต่ำแต่เอาไปขายได้ในราคาขายปลีก จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 03:10:51 A:58.9.77.163 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ธุรกิจนี้จะไปต่อไม่ได้ก็ต่อเมื่อมีคนเข้าไปขวางในระบบอย่างกระทันหัน ซึ่งก็คือการเข้าไปห้ามทำธุรกรรมค้าขายอย่างทันที ซึ่งเจอแบบนี้ ธุรกิจหน้าไหนก็ต้องล้มทั้งนั้นแหละครับ เช่นธุรกิจธนาคารที่กำลังไปได้ดี แต่อยู่มาวันดีคืนดี รัฐดันออกมาห้ามธนาคารนี้ทำธุรกรรมอีกต่อไป คนก็ต้องแห่แหนกันไปถอนเงินจนปั่นป่วนและเจ๊งในที่สุด แต่ถ้าไม่ถึงกับห้ามเด็ดขาด แต่ลองพักการทำธุรกรรมไว้ชั่วคราว แล้วลองมาสอบสวนตรวจสอบให้ชัดเจนกันซักทีว่าธุรกิจนี้มันผิดกฎหมายจริงหรือเปล่า ถ้าไม่ผิดก็ต้องปล่อยให้เค้าทำธุรกรรมต่อไป จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 03:21:57 A:58.9.77.163 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ตอบคำถามคุณ pete (n_pete) คห. 58 ที่ถามว่า "หลังจากได้ 2000 แล้ว 1 หุ้นแรกก็หมดความหมายหรือป่าวครับ??? " ^ ^ ตรงนี้ผมเข้าใจว่าหมดนะ และควรจะหมดความหมายไปเลยด้วย เพราะเท่ากับว่าคุณก็ได้คืนทั้งเงินลงทุนและได้ผลตอบแทนไปคุ้มแล้ว ก็ควรจะให้หุ้นนี้หมดไป และเริ่มนับใหม่ เพราะถ้าไม่หมด มันก็วุ่นแน่นอนครับ ฉะนั้น ลงทุนไป 725 บาท และได้คืนมา 2 พันบาทเท่านั้นจบ แต่ว่า 2 พันบาทนี้ อาจจะไม่จำเป็นต้องได้คืนภายใน 6 เดือน อาจจะเป็น 1 ปี 2 ปี 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ที่สำคัญ บริษัทต้องอย่าไปรับปากหรือสัญญาว่าจะต้องได้คืนภายใน 3 เดือน 6 เดือน แต่ให้อยู่ที่จำนวนชิ้นที่ขายสินค้าต่อได้ ขายได้ต่อ 7 หุ้น ก็คืน 500 ขายได้อีก 7 หุ้น ก็คืนอีก 1,500 บาท แต่จะขายได้เมื่อไหร่ ไม่รู้ จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 03:41:41 A:58.9.77.163 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ลองคิดเล่นๆดูครับ ถ้าได้กำไรต่อหุ้น450  ไม่คิดรายจ่ายอื่นๆ จากคุณ : madcatzz - [ 1 ธ.ค. 50 04:23:50 ]

ความคิดเห็นที่ 96 จะเห็นว่าระบบจะอยู่ได้ ต้องขายหุ้นได้ 1.35เท่า ของเดือนที่แล้ว ถ้าลองคิดจากข้อมูลของคุณบัตรผ่าน   มกราคม 11 ล้าน 5,500หุ้น   กุมภาพันธ์ 16 ล้าน 8,000หุ้น =1.45เท่า   มีนาคม 32 ล้าน 16,000หุ้น =2เท่า   เมษายน 62 ล้าน 31,000หุ้น=1.94เท่า   พฤษภาคม 117 ล้าน 58,500หุ้น=1.89เท่า   มิถุนายน 191 ล้าน 95,500หุ้น =1.63เท่า   กรกฎาคม324 ล้าน 162,000หุ้น =1.69เท่า   สิงหาคม 525 ล้าน 262,000หุ้น  =1.62เท่า   กันยายน 800 ล้าน 400,000หุ้น =1.53เท่า จากคุณ : madcatzz - [ 1 ธ.ค. 50 04:31:02 ]

ความคิดเห็นที่ 97 #91 "ผมมองว่าถ้าเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ ก็ไม่เห็นว่าจะต้องถึงจุดอิ่มตัว เหตุผลก็เพราะคนเราทุกคนต้องกินข้าว ต้องสระผม ถูสบู่ ใช้สินค้าอุปโภคบริโภคกันทุกวันนั่นแหละ " ----------------------------------------------------- "เมื่อคนที่63ล้านเป็นสมาชิกจะเกิดอะไรขึ้น?" อัตราการขายหุ้นจะคงที่ ถ้ายังจ่ายเงินปันผลที่6เดือนเท่าเดิม ยอดคงเหลือ(ตัวเลขสีเขียว) จะติดลบ นั่นคือเงินไม่พอจ่ายนั่นเอง จากคุณ : madcatzz - [ 1 ธ.ค. 50 04:44:12 ]

ความคิดเห็นที่ 98 แต่ระบบยังอยู่ต่อไปได้อีกซักพัก เพราะยังมีทีเด็ดตรง  ไม่ได้กำหนดเวลาจ่ายเงินปันผลไว้ตายตัว แต่เวลาจ่ายเงินปันผลจะค่อยๆเลื่อนออกไป จาก6เดือน เป็น 7 8..... เดือน  1ปี  2ปี.....10ปี จากคุณ : madcatzz - [ 1 ธ.ค. 50 04:55:27 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ตอบ คห. 68 ผมถามคุณ ช่างกล-หนุ่ม อีกครั้งหนึ่งนะครับว่า คุณยังยืนยันในทฤษฎีของคุณอยู่? >>>>>>>> ยังไม่ถึงกับเป็น ทฤษฏี มั่งครับ ผมคิดเล่นๆ ตัวเลขและขั้นตอน ยังไม่รัดกุมสักเท่าไร ถ้าจะให้ยืนยันตัวเลขเปะๆ คงจะไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยืนยันแนวคิดของที่ว่า บริษัทเอาผลกำไร มาจ่ายปันผล ไม่ใช่เอาหางมาจ่ายหัวเป็นลูกโซ่ ส่วนที่คุณว่า คนซื้อกลับมาซื้อใหม่ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คุณซื้อไปกิน ซื้อไปใช้หมดแล้ว ได้ปันผลเป็นของแถม เป็นใครก็ต้องชอบ ต้องกลับมาอุดหนุนใหม่ และคุณก็มีของแถมให้บริษัทบ้าง  ก็ชักชวนเพื่อนมาซื้อ ดังจะเห็นจำนวนสมาชิกใหม่ที่เพิ่มขึ้น   แต่จะให้มีคนซื้อเพิ่มสมบูรณ์แบบ จนได้ใจคนทั้งประเทศ 63 ล้านคน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง บริษัทอื่นๆ ก็เจ้งหมด ใช่ไหมครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 06:18:43 ]

ความคิดเห็นที่ 100 "เมื่อคนที่63ล้านเป็นสมาชิกจะเกิดอะไรขึ้น?" >>>>>>> เป็นสมมติฐานที่ผิด  สมมติเอา"มัน" enjoy ปาก คง... ใช่ ความเป็นไปได้ เท่ากับ 0 ครับ จะให้ perfect สมบูรณ์แบบจนได้ใจคนทั้งประเทศครบ 63 ล้านคน เป็นไปได้ยังไง ?? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง บริษัทอื่นๆ ก็เจ้งหมด ซิครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 06:24:15 ]

ความคิดเห็นที่ 101 คห 93 ธุรกิจนี้จะไปต่อไม่ได้ก็ต่อเมื่อมีคนเข้าไปขวางในระบบอย่างกระทันหัน ซึ่งก็คือการเข้าไปห้ามทำธุรกรรมค้าขายอย่างทันที ซึ่งเจอแบบนี้ ธุรกิจหน้าไหนก็ต้องล้มทั้งนั้นแหละครับ เช่นธุรกิจธนาคารที่กำลังไปได้ดี แต่อยู่มาวันดีคืนดี รัฐดันออกมาห้ามธนาคารนี้ทำธุรกรรมอีกต่อไป คนก็ต้องแห่แหนกันไปถอนเงินจนปั่นป่วนและเจ๊งในที่สุด >>>>>>> แบงค์ใหญ่ก็ล้ม แต่ถ้าไม่ถึงกับห้ามเด็ดขาด แต่ลองพักการทำธุรกรรมไว้ชั่วคราว แล้วลองมาสอบสวนตรวจสอบให้ชัดเจนกันซักทีว่าธุรกิจนี้มันผิดกฎหมายจริงหรือเปล่า ถ้าไม่ผิดก็ต้องปล่อยให้เค้าทำธุรกรรมต่อไป >>>>>>>> ครับ  Easy  แค่อธิบายว่า เอาเงินกำไร(รายได้) มาจ่ายปันผล  ก็ ... จะพ้นผิด ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 06:33:30 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ครับ  Easy  แค่อธิบายว่า เอาเงินกำไร(รายได้) มาจ่ายปันผล  ก็ ... จะพ้นผิด ครับ >>>>>>>>> แนวคิดผม เป็นอย่างนี้ เป็นไปได้ไหม ? ไม่ใช่เรื่องยาก .... จุ๊ๆๆ   เราไม่ต้องปวดหัว เที่ยวเดาสุ่มว่า เขาหารายได้อย่างไร ? ดูง่ายๆ พิสูจน์รายได้ ===> จากยอดเสียภาษี (Vat) ยอดจ่ายปันผล vs ยอดเสียภาษี จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 06:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ที่ทำให้ Easy มีปัญหา ก็เพราะพวกมองโลกในแง่ร้าย ตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า เป็นแชร์ลูกโซ่ เพราะไปคิดเอาเองว่า 1) เขาเอาหางมาจ่ายหัว 2) พอฐานปิรามิดมันโตขึ้นเรื่อยๆ 3) เงินปันผลจะไม่พอ 4) แชร์จะล้ม DSI ก็บ้าจี้ เข้าไปตรวจค้น ทำเรื่องให้มันใหญ่โต มีคนชวนนักข่าว ยกโขยงไปถ่ายภาพ ออกข่าว ใส่สี ตีไข่ ประชาสัมพันธ์กันยกใหญ่ พฤติกรรมอย่างนี้ ต่อให้บริษัทมั่นคงแค่ไหน ก็ต้องเสียหาย ลูกค้าก็ panic กันทั้งนั้น รายการทีวี TITV ถ้าจำไม่ผิด ทำเป็นสกู๊ปพิเศษ เริ่มต้นเป็นภาพ DSI บุกตรวจ เสร็จแล้ว ภาพต่อๆมาไปตัดต่อเอาข่าวการจับกุมแชร์ข้าวสารที่อื่นๆ แล้วบรรยายแผนการขายของแชร์ตัวนั้น ซึ่งไม่ใช่แผนของ Easy พฤติกรรมนำเสนอข่าว แบบนี้ ผมอยากให้เพื่อน มีใจเป็นธรรมสักหน่อย ช่วยพิจารณาว่า Easy ได้รับความเป็นธรรม ไหม ? ข้อสังเกตอีกข้อ ข้อหาอาญา ที่กล่าวหานั้น ความผิดอาญา มันเป็นเรื่องของตำรวจท้องที่ ใช่ไหม ? ผมถามหน่อยเถอะ ทำไมตำรวจท้องที่ ไม่รับแจ้งความหรือ ครับ ? DSI กับ ตำรวจท้องที่ ใครมีหน้าที่ priority อย่างไร ช่วยอธิบายหน่อย จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 06:53:48 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ตามข่าวว่า เจ้าหน้าที่คัดค้านประกันตัว อ้างความผิดร้ายแรง มีผู้เสียหาย ค่าเสียหายสูงมาก ขออนุญาตตั้งข้อสังเกต ดังนี้ 1) ความผิดปรากฏชัดเจนแล้วหรือ ? ผิดจริง หรือ คิดเอาเอง เดาว่า ผิด   2) มีเจ้าทุกข์แล้วหรือ ? ใครเป็นผู้เสียหาย และมีจำนวนเท่าไร ? 3) ผู้เสียหาย พิสูจน์ความเสียหายแล้วหรือ ? หรือคาดว่า "จะเสียหาย" 4) "จะเสียหาย" กับ "เสียหายแล้ว" มันไม่เหมือนกัน ถ้าเจ้าหน้าที่ยอมให้ยัดเยียดข้อหา "จะเสียหาย" ได้ ====> สังคมเราคงจะไม่สงบสุขเป็นแน่ 5) อายัดเงินในแบงค์ของ Easy ครบทุกแบงค์แล้วหรือ ตรวจสอบบัญชีครบถ้วนแล้วหรือ ถึงออกมาสรุปว่า Easy เขามีเงินสด x y ล้าน ฯลฯ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 07:09:03 ]

ความคิดเห็นที่ 105 การค้าขายมีการโปรโมทสินค้า ห้างใหญ่ล่อใจด้วย "ส่วนลด" "ลดแลกแจกแถม" เป็นคำที่เราได้ยินคุ้นหู หลงเดินเข้าไปซื้อ สินค้าแต่ละตัว ห้างเขาบวกกำไร ซื้อมา 100 บาท ขาย 101 บาท 1 บาท เขาบอกว่า กำไร เราก็เชื่อ เขาบอกว่า สินค้า"จัดรายการ" ลดราคา ...เราก็เชื่อ เขาบอกว่า "แจก แถม" เราก็เชื่อ ห้างฝรั่งแห่งหนึ่ง โฆษณาว่า "ราคาถูกที่สุด" ใครซื้อที่อื่นถูกกว่า ยินดีคืนเงิน เราก็เชื่อ คราวนี้ เกิดมีใครซื้อสินค้าที่อื่นถูกกว่า (มันต้องมี นะ) มีใครเคยไปเคลมบ้าง และได้เงินมาเท่าไร ? เคสอย่างนี้ เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน ไหม ? แล้ว DSI จะยกโขยงไปตรวจยึดบัญชี และทรัพย์สินมาตรวจสอบ ไหม ??? ผมฝากให้คิด ไม่ใช่กล่าวหาคนอื่น ให้ Easy พ้นผิด ... โปรดเข้าใจด้วย จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 07:26:14 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ติดใจนิสด์นึง ที่ ซื้อมาม่า 540 กว่าห่อเนี่ย 2700 แต่โลตัสขาย 2200 ^ ^ ^บอกว่าเราซื้อ 2700 ถ้าไม่เอาของฝากขายก็ได้ ใครจะซื้อหว่า โชห่วย จะซื้อไปขายก็ขายไม่ได้หรอก เพราะ easy ขายราคาปลีกนิครับไม่ได้ขายราคาส่ง จากคุณ : PUMPKINbig - [ 1 ธ.ค. 50 07:54:08 ]

ความคิดเห็นที่ 107 #105 ของไม่ดี ผิดไซต์ ไม่ชอบแบบ ผมเคยคืนนะครับ ที่ Carfour พัทยากลาง เรื่องส่วนต่างราคา เขาจะคืนแค่ส่วนต่างครับ เช่น ปลากระป๋องสามแม่ครัว 1 แพ้ค Lotus ขาย 120.25 บาท Big C ขาย 120 บาท เขาจะคืนส่วนต่างให้ 0.25 บาท ที่เกินครับ แล้วสลึงเดียวใครจะไปเอาคืน จากคุณ : PUMPKINbig - [ 1 ธ.ค. 50 07:59:01 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ........ เอาเถอะครับ ทุกครั้งที่ขาย 1 ชิ้นจะมีกำไร 450 บาท แถมภาระปันผล 1550 บาท ดังนั้นต้องขายเพิ่มอีก 10 1/3 ชิ้น ถึงจะได้เงินมาปันผลคนแรกได้ แต่การขาย 10.3 ชิ้นนั้นจะเกิดภาระปันผลเพิ่มขึ้นอีก 16011.5 บาท ซึ่งก็ต้องหาทางขายให้ได้อีก 106.74 ชิ้น มันก็จริงครึ่งหนึ่งที่เอากำไรมาจ่ายปันผล ถ้ามองกันแบบทื่อๆนะ แต่กำไรสุทธิน่ะติดลบ เพราะยิ่งขายยิ่งขายทุน จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 08:04:42 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ขอบคุณคุณ !!! และคุณช่างกลหนุ่มที่เข้าใจและช่วยผมอธิบาย จากสิ่งที่อธิบายไปทั้งหมด คิดว่าคงเพียงพอที่จะสร้างความเข้าใจ ในระบบของอีซี่แล้ว ผมอยากให้พวกเรามองภาพรวมนะครับ อีซี่เขาค้าขายได้กำไร จะเอาไปจัดสรรอย่างไรมันก็เรื่องของเขา ขนาดโออิชิแจกฝาละล้าน ซื้อ 20 บาท แจก 1 ล้าน ยังทำได้ ก็เพราะเขาเอากำไรจากการขายผู้บริโภครายอื่นมาจ่ายให้ แต่วิธีของอีซี่ไม่เหมือนกัน อีซี่จัดสรรกำคืนกำไรให้ทุกๆคนได้รับ ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างเท่าเทียมกัน ทำให้ยอดขายขยายตัว อย่างรวดเร็ว ซึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อดึงเอาผลประโยชน์ของชาติที่ เสียไปกับห้างค้าปลีกต่างชาติกลับคืนมาให้พี่น้องคนไทย ช่วยร้านค้าโชห่วยให้พ้นภัย ซึ่งเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้วในบางพื้นที่ ในขณะที่รัฐบาลยังแก้ไม่ได้ สมาชิกอีซี่ทุกคนต่างก็เข้าใจในเรื่องนี้ และอยากเห็นมันเป็นจริง พวกเราเชื่อมั่นในความดี ความซือสัตย์สุจริต และ ความมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อชาติ เพื่อทดแทนคุณแผ่นดินของคุณปฐม อัญสกุล ประธานบริษัท และเสียดายอย่างยิ่งถ้าทุกอย่างจะต้องจบลงเพราะภัยการเมืองแบบนี้ จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 1 ธ.ค. 50 09:01:50 A:58.8.120.2 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ผมอยากได้คำตอบจากคุณแน่จริงอย่าลบเพียงข้อเดียวครับว่า บริษัทเคยไปสัญญาหรือเปล่าว่าจะจ่ายปันผลให้ครบ 2 พันต่อหุ้นให้ได้ภายในเวลา 6 เดือน? ผมว่าคุณแน่จริง ควรตอบตรงนี้ให้เคลียร์ก่อนดีกว่า เพราะผมยังเห็นหลายคนไปยึดติดอยู่ว่าบริษัทจะต้องปันผลให้ได้ภายใน 6 เดือน จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 09:35:25 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ผมอยากให้พวกเรามองภาพรวมนะครับ อีซี่เขาค้าขายได้กำไร จะเอาไปจัดสรรอย่างไรมันก็เรื่องของเขา .... .... เสียดายอย่างยิ่งถ้าทุกอย่างจะต้องจบลงเพราะภัยการเมืองแบบนี้ >>>>>>>>>> แม้ผมไม่เคยรู้จัก  "คุณ แน่จริงอย่าลบ"   มุมมองและแนวคิดของคุณน่าชมเชย ผมพูดเสมอว่า ทีเอาเงินไปฝากแบงค์ ไม่มีใครถามว่า แบงค์เอาเงินไปทำอะไร ? ไม่เคยจุกจิกว่า เขาเอาเงินเราไปบริหารอย่างไร ? เราไม่กลัวว่าแบงค์จะถึงจุดจบ คนมักจะพูดว่า มีความมั่นคง เพราะรัฐฯเป็นประกัน แต่เราหลายคนมองข้ามบางอย่าง หรือ ไม่เคยรู้ ว่า ถ้าแบงค์ล้ม เงินฝากของเราได้รับการคุ้มครองจากรัฐในวงเงินจำกัด เพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น ถ้าจำไม่ผิด ขอพูดสักนิด ประเด็นการเมืองเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อนๆ ทราบไหมครับว่า สมาชิก Easy ภาคใต้มีจำนวนมากเท่าไร แน่นอนครับ ความเติบโตของจำนวนสมาชิก Easy ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะกระทบฐานคะแนนเสียงภาคใต้ของพรรคอื่น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 09:36:25 ]

ความคิดเห็นที่ 112 แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ เพราะธุรกิจที่อยู่ได้กำไรสุทธิต้องเป็นบวก แต่อันนี้กำไรสุทธิเป็นลบ ยกตัวอย่าง สมมติให้ชาเขียว ตันทุนวัตถุดิบ 2 บาท บรรจุภัณฑ์   3 บาท โฆษณา    4 บาท บริหาร     1 บาท รวมต้นทุน  10 บาท ขายส่ง     15 บาท กำไรขายส่ง   5 บาท ขายปลีก    20 บาท กำไรขายส่ง   5 บาท เวลาปันผลเขาก็เอากำไรจากขายส่งมาปันผล ปันยังไงก็ไม่เกิน 5 บาท ส่วนอันนี้ ต้นทุนสินค้า       1000 บาท สัญญาว่าจะปันผล   2000 บาท (ต้นทุนแอบแฝง) ต้นทุนรวม        3000 บาท ราคาขาย        1450 บาท ต้นทุน - ราคาขาย 1550 บาท เวลาปันผลก็ไปดึงเอาเงินจากคนที่ซื้อทีหลังมาปันผลให้คนแรกๆที่ถึงคิวก่อน ทั้งๆที่กำไรจริงๆติดลบ อย่ามาจับแพะชนแกะครับ จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 09:37:28 ]

ความคิดเห็นที่ 113 จ่ายปันผลให้ครบ 2 พันต่อหุ้นให้ได้ภายในเวลา 6 เดือน? >>>>>>> คุณคนนี้ ไม่อ่านคห. ข้างบนหรือ ? คห. ข้างบนเขาบอกแล้วว่า "ยืดหยุ่น" แล้วยังกระแนะกระแหน่ว่า "ยืดไป 1 ปี จนถึง 10 ปี" จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 09:42:00 ]

ความคิดเห็นที่ 114 เวลาปันผลก็ไปดึงเอาเงินจากคนที่ซื้อทีหลังมาปันผลให้คนแรกๆที่ถึงคิวก่อน ทั้งๆที่กำไรจริงๆติดลบ อย่ามาจับแพะชนแกะครับ >>>>>>>> กำไรจริงๆ ติดลบ นะมันเมื่อไร ? แล้วปีนี้ผลประกอบการเขาเป็นอย่างไร ติดลบแล้ว เขายัง "จ่ายภาษี เยอะแยะ" ได้ยังไงครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 09:45:44 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ต้นทุนสินค้า       1000 บาท สัญญาว่าจะปันผล   2000 บาท (ต้นทุนแอบแฝง) ต้นทุนรวม        3000 บาท ราคาขาย        1450 บาท ต้นทุน - ราคาขาย 1550 บาท >>>>>>>>>> ผิด ยกใหญ่   คุณคิดแบบนี้ ออดิดนักบัญชีมาตรวจเจอ เขาจะดุ เอาไม่รู้นะ สัญญาจะจ่ายเงินปันผล 2000 บาท นั่นไม่ใช่ present value คุณไปจับแกะ กับ แพะ มาบวกกัน มันถึงกลายเป็น 3000 บาท จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 09:51:15 ]

ความคิดเห็นที่ 116 เอ่อ.. คุณช่างกล-หนุ่ม ผมน่ะเข้าใจครับว่ามันยืดหยุ่นได้ แต่ผมเห็นหลายคนยังไปยึดติดอยู่ว่าจะต้องปันผลให้ได้ภายใน 6 เดือน อย่างตัวเลขตารางที่คุณ madcatzz ทำไว้ใน คห.95 ก็ยึดติดกับข้อที่ว่าจะต้องปันผลให้ได้ภายใน 6 เดือน ผมก็เลยอยากจะทำให้เคลียร์ไงครับ ถ้าไม่ยึดติดกับตัวเลข ก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลยที่เวลาปันผลมันจะยืดออกไปเป็น 1 ปี 2 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี เพราะอย่างน้อยก็ได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย ดีกว่าที่ไปซื้อหุ้นหรือหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อีกนะที่บางทีลงเงินไปแล้ว เงินปันผลไม่ได้แถมต้นยังหายไปอีก อย่างผมซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน จากหน่วยละ 10 บาท ตอนนี้เหลือไม่ถึง 2 บาทเอง จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 09:54:44 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ลองตามไปดูเองก็แล้วกันว่าเขาบอกว่ายังไง http://www.khaishong.com/easy1.zip จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 09:57:54 ]

ความคิดเห็นที่ 118 คห 116 เอ่อ.. คุณช่างกล-หนุ่ม ผมน่ะเข้าใจครับว่ามันยืดหยุ่นได้ แต่ผมเห็นหลายคนยังไปยึดติดอยู่ว่าจะต้องปันผลให้ได้ภายใน 6 เดือน อย่างตัวเลขตารางที่คุณ madcatzz ทำไว้ใน คห.95 ก็ยึดติดกับข้อที่ว่าจะต้องปันผลให้ได้ภายใน 6 เดือน ผมก็เลยอยากจะทำให้เคลียร์ไงครับ >>>>>>> ขอบคุณ ความใจกว้างของคุณ ผมไม่มีส่วนได้เสียกับเขาหรอก ผมแค่มองภาพรวมและความเป็นไปได้ ผมว่า ถ้าดูให้ดี อาจมองเห็นอีกมุมหนึ่ง มีกลุ่มเสียผลประโยชน์ ทางการค้า + แถมการเมือง เข้ามาลงขัน ทำลายเขา ครับ ณ.เวลานี้ ผมเห็นข่าว นสพ. ซาลงอย่างรวดเร็ว ผมประเมินแบบเอียงนิดๆว่า "พวกๆ"เริ่มรู้ตัวแล้วว่า ตกเป็น "เครื่องมือเขา" ขอเพียง สมาชิก Easy อย่าหวั่นไหว จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 10:10:28 ]

ความคิดเห็นที่ 119 เวบนี้ไม่ใช่เวบที่อีซี่ทำขึ้นนี่ครับ เป็นเวบของสมาชิกที่ทำกันเองเพื่อชักชวนคน easy1.zip -> วิธีการกรอกใบสมัคร.txt ================== การโอนเงินค่าซื้อหุ้นข้าวสารให้โอนเงินมาที่ 1.บัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาบางกรวย บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 2080161009 บัญชีชื่อ นาย คณิศร สนามทอง 2.บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยตลาดอำเภอบางกรวย บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 148-2-09072-4 บัญชีชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ปิยะศร ================== จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 1 ธ.ค. 50 10:13:16 A:58.8.120.2 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 120 โฮ่ ถ้าอย่างนั้นช่วยเอา เงื่อนไขและแผนการตลาดธุรกิจอีซี่ฯ มาให้ดูหน่อยสิครับ ก็ใบสมัครเขาเขียนมาอย่างนี้ผมก็นึกว่าเอกสารที่แนบมาด้วยเป็นแผนการตลาดสิ ทีหลังถ้าไม่แนบมาก็อย่ามาลงในใบสมัครสิครับว่าแนบมาด้วย จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 10:20:09 ]

ความคิดเห็นที่ 121 มาดูนี่ดกว่าครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นวิทยากรท่านไหน แต่บรรยายในบริษัทแน่นอน http://www.khaishong.com/demo3.zip จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 1 ธ.ค. 50 10:21:04 A:58.8.120.2 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 122 มันช่างสะดวกดีจริงๆนะครับ เวลาคุยกันก็ยกเวบ http://www.khaishong.com มาอ้าง พอเวลาผมยกบ้างกลับบอกว่า "เวบนี้ไม่ใช่เวบที่อีซี่ทำขึ้นนี่ครับ เป็นเวบของสมาชิกที่ทำกันเองเพื่อชักชวนคน" ุุ่ถ้าอย่างนั้นคุณก็ยอมรับใช่ไหมล่ะว่าเวบที่ว่านั่นหลอกลวงคน บอกไม่หมด? หืิม? จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 10:22:50 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่บริษัทต้องควบคุมสมาชิกให้ได้ว่าอย่าไปใช้วิธีหาสมาชิกด้วยการให้คำมั่นสัญญาว่าจะบริษัทจะปันผลให้แน่นอนภายใน 6 เดือน และต้องย้ำอยู่เสมอว่าบริษัทจะปันผลให้ก็ต่อเมื่อขายสินค้าได้ครบ 7 ชิ้น ก็ปันให้ 500 บาท ถ้าขายได้อีก 7 ชิ้น ก็ปันให้อีก 1500 บาท โดยไม่จำกัดระยะเวลา ส่วนการยกตัวอย่างก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งว่าบริษัทเคยทำได้ในเวลา 6 เดือน แต่มันไม่แน่เสมอไป ส่วนบางคนที่บอกว่ามาม่า 540 ห่อ โลตัสขายแค่ 2200 บาท แต่ทำไมบริษัทเอามาขายตั้ง 2700 บาท เอากำไรไปถึง 450 บาท มีใครเค้าจะยอม แล้วจะขายได้ยังไง ตรงนี้ผมก็มองว่า ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน มีใครมั่งที่จะซื้อสินค้าในราคาโลตัสเสมอไป ผมเองหลายครั้งที่ยอมจ่ายในราคาเซเว่นอีเลฟเว่น เช่นซื้อเป๊ปซี่ขวด 1.25 ลิตร ถ้าซื้อโลตัสได้ในราคา 19 บาท แต่ถ้าซื้อเซเว่น ต้องจ่ายถึง 27 บาท แต่ทำไมเซเว่นยังขายเป๊ปซี่ได้ในราคานี้ล่ะ จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 10:30:48 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 124 เขาอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คุณไม่ยกหน้านี้มาบ้างล่ะครับ เวบเขาก็บอกอยู่ว่าเขาเปิดศูนย์รับซื้อข้าว http://www.khaishong.com/mar.html#center เคลียร์แล้วนะครับ จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 1 ธ.ค. 50 10:37:48 A:58.8.120.2 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 125 งง ความคิดเห็นที่ 117  ครับ ทำไมลงทุน 1450 แล้วฝากขาย แล้วทำไมได้คืนมา 725 เองครับ ทำไมไม่ได้ 1450 จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 1 ธ.ค. 50 10:40:03 ]

ความคิดเห็นที่ 126 อ่อสงสัยอีกอย่าง ไม่มีทางอื่นที่จะได้หุ้นหรือครับ ? บังคับให้ซื้อของเท่านั้นหรือครับ ? แล้วพอปันผล ได้ 500 + 1500 แล้ว หุ้นหายไปไหนอ่ะครับ ? หรือจริงๆ ไม่ใช่หุ้น แต่แค่เรียกว่าหุ้น เฉยๆ ? จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 1 ธ.ค. 50 10:45:09 ]

ความคิดเห็นที่ 127 ไอ้ Demo ที่ยกมานั่นคุณเก็บเอาไว้ฟังกันเองเถอะครับ มันไม่ได้อธิบายอะไรที่ผมถามเลยแม้แต่น้อย อธิบายให้เข้าใจง่ายกับอธิบายให้เข้าใจผิดมันคนละเรื่องกันนะครับ เอกสารก็มีไม่ครบตามที่บอก ในใบสมัครที่ผมยกมาก็เขียนไว้ชัดเจนว่ามีระเบียบแนบท้ายใบสมัคร แต่คุณกลับบอกว่าเอกสาร ที่อยู่ใน Zip File เดียวกันไม่ใช่แผนการตลาด เอาล่ะ เอาแผนการตลาดตัวจริงที่ต้องเป็นเอกสารแนบท้ายใบสมัครมาให้ดูหน่อยสิครับ หรือว่าไม่ได้ใช้มานานจนลืมไปแล้วว่าอยู่ตรงไหน? จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 10:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 128 คำถาม คห. 125 ให้ผมตอบเองก็ได้ครับ อิอิ ทำไมลงทุน 1450 บาท แล้วฝากขาย ทำไมถึงได้คืนมาแค่ 725 บาทเอง ทำไมถึงไม่ได้เต็มล่ะ? ตรงนี้คุณแน่จริงฯ เค้าอธิบายแล้วว่าจะต้องมีพวกพ่อค้าประเภทยี่ปั๊วซาปั๊วเค้ามาชวนคุณลงทุนด้วยเสมอ โดยคุณซื้อสินค้าที่ 1450 บ. แล้วขายให้ยี่ปั๊วที่ร่วมลงทุนในราคาขาดทุนครึ่งนึง ยี่ปั๊วก็จะเอาสินค้านี้ไปปล่อยตามช่องทางตลาดของเค้าได้ในราคาที่มีกำไรสูง ส่วนคุณก็กำเงิน 725 บ. แทน และรอรับปันผลโดยสิทธิที่จะได้เงินปันผลของคุณจะเกิดก็ต่อเมื่อบริษทขายสินค้าได้อีก 7 ต่อ + 7 ต่อ ถ้าตราบใดที่บริษัทขายสินค้าไม่ได้ คุณก็จะไม่มีสิทธิได้เงินปันผล ฉะนั้น ที่คุณ Nexus บอกว่าเมื่อบริษัทขายสินค้า 1450 บาท บริษัทจะมีผลขาดทุนทันที อันนี้ไม่จริงนะครับ เพราะสิทธิในการรับปันผลของสมาชิกรายนั้นยังไม่เกิดขึ้น เมื่อยังไม่เกิด บริษัทก็ยังไม่มีภาระที่จะจ่ายปันผล แต่จะจ่ายก็ต่อเมื่อบริษัทขายสินค้าได้ 14 ต่อ จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 10:48:43 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 129 ที่จริง เวบเขาก็บอกอยู่นะครับ หัวข้อ รายได้จากเงินปันผล " - จ่ายเมื่อมีคะแนนรวมครบทุกๆ 10 PV ที่เกิดขึ้นภายใต้องค์กร ซึ่งทางบริษัทจะสะสม PV ให้เองจากยอดขายทั้งบริษัท." หมายเหตุ : 1 หุ้น คิดเป็น 1.5 PV "จ่ายเมื่อมีคะแนนครบ 10 PV" ไม่ใช่ "จ่ายเมื่อครบ 3 เดือน 6 เดือน" ตัวเลข 3 เดือน 6 เดือน มาจากสถิติการดำเนินงานของบริษัท ที่ขยายตัวอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ทำให้ระยะเวลาการจ่ายปันผล อยู่ที่ประมาณ 3 เดือน 6 เดือน เขาถึงเอามาบอกต่อกันอย่างนี้ จากคุณ : แน่จริงอย่าลบ - [ 1 ธ.ค. 50 10:49:24 A:58.8.120.2 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ตอบ คห. 126 ที่จริงมันไม่ใช่หุ้นหรอกครับ ในทางกฎหมายมันก็ไม่ใช่หุ้นเพิ่มทุนของบริษัท แต่เป็นสิ่งสมมุติหรือกำหนดกันว่าเรียกว่าหุ้น ก็คล้ายๆ กับหุ้นสหกรณ์นั่นเองแหละครับ เมื่อได้ปันผลครบ 2 พันเมื่อไหร่ หุ้นนี้ก็จะหมดไปเมื่อนั้น บริษัทก็จะหมดภาระไปพร้อมกัน จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 10:52:07 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 131 "โดยคุณซื้อสินค้าที่ 1450 บ. แล้วขายให้ยี่ปั๊วที่ร่วมลงทุนในราคาขาดทุนครึ่งนึง ยี่ปั๊วก็จะเอาสินค้านี้ไปปล่อยตามช่องทางตลาดของเค้าได้ในราคาที่มีกำไรสูง ส่วนคุณก็กำเงิน 725 บ. แทน " เอ่อ . . มียี่ปั๊วจริงเหรอครับ? ถ้าขายขาดทุนขนาดนั้น ทำไม บริษัทไม่ซื้อไว้เองละครับ กำไรเยอะเลยนะครับนั่น เพราะหากลงทุนเพื่อฝากขาย สินค้าก็ไม่ต้องมีจริงก็ได้ สมมติ ราคาต้นทุน 1000 บาท ลูกค้าให้เงินมา 1450 เมื่อฝากขาย ก็คืนเงินไป 725 (ไม่ต้องคืนทันทีด้วย เอาไปหมุนจ่ายให้รายก่อน) กำไรเข้า บริษัท 725 บาท เหนาะๆเลย จะได้เอากำไรที่ได้ กำไรเพิ่มมา ไปจ่ายปันผลให้เป็นจำนวนที่มากขึ้นอีก ชิลล์ๆ เลย จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 1 ธ.ค. 50 11:01:46 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ถ้าขายขาดทุนขนาดนั้น ทำไม บริษัทไม่ซื้อไว้เองละครับ กำไรเยอะเลยนะครับนั่น ^ ^ ^ ถ้าบริษัทซื้อไว้เอง แล้วบริษัทจะเอาสินค้าไปปล่อยที่ไหนล่ะครับ ยี่ปั๊วเค้ามีช่องทางปล่อยสินค้าของเค้านี่ครับ และบริษัทก็ต้องยอมให้ยี่ปั๊วซาปั๊วได้กำไร ส่วนบริษัทก็ได้กำไรจากการขายสินค้าไปแล้ว 145 บาท (จากส่วนแบ่ง 450 บาท) ก็เหมือนกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าขึ้นมา ทำไมเค้าไม่ขายปลีกเองล่ะครับ ได้กำไรตั้งเยอะแยะ ทำไมเค้าถึงต้องขายให้ยี่ปั๊วด้วยล่ะ เหตุผลก็เพราะว่ายี่ปั๊วมีช่องทางจำหน่ายของเค้าไงครับ แต่ผู้ผลิตสินค้าไม่มี แต่เค้าก็ได้กำไรไปบ้างจากการขายสินค้าให้ยี่ปั๊ว จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 11:08:03 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ู^ ^ นั่นเป็นประเด็นที่ผมสงสัยเหมือนกัน คือสินค้าจริงๆ ก็มี พวกซื้อรถ ซื้อคอมพ์ แต่พวกที่ไม่ซื้อ ก็ไปซื้อข้าวสาร เครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ ซื้อทีละเยอะๆ ด้วย แล้วฝากขาย ไม่เห็นตัวสินค้า มันเหมือนหุ้นลมยังไงยังงั้นเลย แล้วโอเค ความเสี่ยงของมันคือว่า ซื้อของแล้วไม่เห็นของไง แต่ผมไม่รู้ว่าทางบริษัทจะมีเงื่อนไขอะไรกับผู้ซื้อมั่ง เช่นว่า ถ้ายกเลิกเปลี่ยนใจไม่ฝากขายแล้ว จะเอาของไปถมที่ บริจาควัด เด็กยากจนอะไรแบบนี้ จะไปเอาของได้ที่ไหนอ่ะ บ้านผมอยู่ลำพูนคับ คนแถวนี้ก็เล่นกันเยอะเหมือนกัน บางคนซื้อกาแฟแสนบาท โห้ย ได้กี่กระป๋องกันเนี่ย ขายราคาส่งด้วย แต่ถามว่ากาแฟอยู่ไหน เค้าว่าฝากขายไว้ ผมเลยแซวๆ ว่าเอามาให้ซํก 2 โหลได้ป่ะ ขอราคาส่งนะ คนกันเอง เค้าบอกว่า เอาออกมาไม่ได้ เพราะฝากขายอยู่ อ้าว งงเลย จากคุณ : ดุก - [ 1 ธ.ค. 50 11:10:29 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ผมว่าแผนธุรกิจจริงๆ คงต้องถามเอาที่หัวหน้าพรรคล่ะนะ ว่า concept ธุรกิจเป็นยังไงกันแน่ เพราะมันหลายชั้นหลายทอด คนหลายความคิดกลั่นกรองออกมา มันเลยดูดีกรีแรงไปซะหน่อย ดูอย่าง Amway ดิ บอกปาวๆ ว่าให้ copy upline 100% เอาเข้าจริง amway แต่ละศูนย์ เพชรบริหารแต่ละคน ยังมีวิธีการไม่เหมือนกันเลย มัน 100% ตรงไหนเนี่ย แล้วอย่าง easy เนี่ย พอสื่อเข้า การเมืองยุ่ง เลยโดนโจมตีซะงั้น ผิดไ่ม่ผิด รอ DSI ก้อได้ หรือคุณไม่เชื่ือถือ DSI? จากคุณ : ดุก - [ 1 ธ.ค. 50 11:14:57 ]

ความคิดเห็นที่ 135 ถ้างั้นผมขอถามเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างครับ บริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอย่างไร มีหน้าร้านหรือไม่ ถ้าเป็นการขายส่ง แล้วลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทมีใครบ้าง มี Warhouse ที่ไหน ถ้ามี ขอให้แสดงรูปถ่าย Warehouse   "ที่มีป้ายชื่อบริษัทให้เห็นในรูปด้วย" หรือถ้าไม่มี แล้วบริษัทใช้บริการของบริษัท Logistic ที่ไหนบ้างในการเก็บ Stock สินค้าและจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า และที่บอกว่ามีการส่งออกไปยังอินเดียกับมาเลเซียในกระทู้ที่ 77 นั้น ขอหลักฐานยืนยันด้วยครับว่ามีการส่งออกจริง เพราะผมเชื่อว่า 90% ของบรรดาสมาชิกที่มาซื้อข้าวกับบริษัทนั้นต่างก็ต้องฝากบริษัทขายแน่ๆ คงไม่มีใครซื้อเอาไปบริโภคเองหรือขายต่อเท่าไหร่หรอก  ดังนั้นบริษัทจึงต้องมี Stock จำนวนมหาศาล คำถามคือ Stock เหล่านั้น มันอยู่ที่ไหน?? จากคุณ : piras - [ 1 ธ.ค. 50 11:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 136 คห. 135 คุณ piras ครับ คือผมเข้าใจอย่างนี้นะว่าบริษัทไม่มีช่องทางจำหน่ายสินค้าของบริษัทโดยตรง แต่อาศัยช่องทางจำหน่ายสินคาจากยี่ปั๊วซาปั๊วที่เข้ามาร่วมลงทุนซื้อสินค้ากับสมาชิก ฉะนั้น บริษัท อาจจะไม่จำเป็นต้องมีสต็อกสินค้า ไม่จำเป็นต้องมี Warehouse เป็นของตัวเอง เพราะเมื่อสมาชิกสั่งซื้อสินค้า บริษัทก็สั่งสินค้าจากผู้ผลิตและส่งตรงไปที่ยี่ปั๊วที่เข้าร่วมลงทุนกับสมาชิกรายนั้นทันที ช่องทางจำหน่ายของบริษัทจึงอาศัยช่องทางของยี่ปั๊วนั่นเอง และร้านค้าของยี่ปั๊วก็เสมือนเป็น Warehouse ของบริษัทนั่นเอง จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 11:25:44 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 137 "ถ้าบริษัทซื้อไว้เอง แล้วบริษัทจะเอาสินค้าไปปล่อยที่ไหนล่ะครับ " มีสิครับ มีลูกค้ามาซื้อใหม่ทุกเดือน ;-) จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 1 ธ.ค. 50 11:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 138 คห. 137 ถ้าบริษัททำอย่างนั้นก็คงจะทำได้ แต่ว่ามันจะอยู่ไม่ได้นานน่ะสิครับเพราะว่าสินค้ามันจะไม่ไปไหนเลย แต่วนจากหัวไปหางแค่นั้นเอง ฉะนั้น บริษัทก็ต้องควบคุมตัวเองให้ได้ด้วย ต้องบริหารจัดการให้ดี ต้องให้มียี่ปั๊วซาปั๊วเข้ามารองรับทุกครั้งที่มีสมาชิกสั่งสินค้า คือต้องมาคู่กันเสมอ (สมาชิก + ยี่ปั๊ว) และบริษัทก็เอากำไรแต่พอควรเหมือนอย่างเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ไม่ลงไปแข่งกับยี่ปั๊วซาปั๊วซะเอง แต่ปล่อยให้เค้าทำกำไรไป และเอาสินค้าไปปล่อยตามช่องทางจำหน่ายจริงของเค้า ถ้าทำอย่างนี้ได้ บริหารควบคุมให้ดีๆ ไม่รับปากหรือสัญญากับสมาชิกว่าต้องปันผลให้ได้ภายใน 3 หรือ 6 เดือน และก็ควบคุมสมาชิกด้วยว่าอย่าไปปากพล่อยสัญญากับคนอื่น อย่างนี้ผมว่าไปรอดครับตราบใดที่คนเราต้องกินกาแฟ กินข้าว กินมาม่า ใช้สินค้าอุปโภคบริโภค จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 11:54:23 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ก็นั่นแหละที่ผมบอก เพราะบริษัทขายสินค้าจริงหรือเปล่า? หรือเน้นขาย (สิ่งที่เรียกว่า)หุ้นกันแน่? จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 12:09:59 ]

ความคิดเห็นที่ 140 ถ้าบริษัทมีใบกำกับภาษีมายืนยันนะครับว่ามียอดซื้อสินค้าที่สั่งจากผู้ผลิตจริง โดยมีใบกำกับภาษีซื้อในราคาขายส่งที่ได้รับจากผู้ผลิต และบริษัทก็มียอดขายสินค้าจริงโดยมีใบกำกับภาษีขายที่ออกให้ในราคาขายปลีกให้แก่สมาชิก โดยยอดซื้อกับยอดขายนั้นต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่โตแต่ด้านยอดขาย แต่ยอดซื้อคงที่ เท่านี้ ผมก็ว่าน่าจะพิสูจน์ได้แล้วมั้งครับว่าบริษัททำกำไรได้จากการขายสินค้าจริง และนำกำไรนั้นมาแบ่งปันให้แก่สมาชิก จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 12:14:41 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ถ้าบริษัทเน้นขายแต่หุ้นลม บริษัทจะมีแต่ยอดขายที่โตขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น แต่ยอดซื้อจะเริ่มคงที่หรือโตไปแบบไม่สัมพันธ์กัน เหตุผลเพราะถ้าบริษัทรับซื้อสินค้าคืนจากสมาชิกในราคา 725 บาทเพื่อเอาไปขายต่อให้คนข้างล่าง บริษัทก็จะไม่ได้รับใบกำกับภาษีซื้อ เพราะสมาชิกนั้นไม่ได้จดทะเบียน VAT แต่เมื่อบริษัทขายให้คนข้างล่าง บริษัทจะต้องออกใบกำกับภาษีขาย ถ้าเป็นอย่างนี้ ยอดภาษีซื้อจะหยุดโต แต่ยอดภาษีขายจะโตวันโตคืน ซึ่งแสดงว่าบริษัทนี้เน้นขายแต่หุ้นลมโดยเอาสินค้ามาวนเป็นตัวล่อ แต่ถ้ายอดภาษีซื้อก็โตไปพร้อมๆ กับยอดภาษีขาย อย่างนี้แสดงว่าบริษัทสั่งสินค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ เพื่อเอามาขายทำกำไรจริงๆ จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 12:19:16 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ถ้ามองดูให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าที่บริษัทสามารถทำกำไรได้มากและสามารถเอากำไรมาปันผลได้มากนั้นเป็นเพราะอะไร เหตุผลก็อยู่ตรงที่บริษัทนี้ได้ผลประโยชน์หรือผลดีของการที่สมาชิกร่วมกับยี่ปั๊วเข้ามาสั่งซื้อสินค้า คือได้ผลดีถึง 2 ต่อ คือ 1. บริษัทได้ยืมเงินลงทุนจากสมาชิกมาต่อยอดกำไร และ 2. บริษัทได้ยืมช่องทางจำหน่ายสินค้าของยี่ปั๊วในการระบายสินค้าออกสู่ตลาดซึ่งทำให้จำหน่ายสินค้าได้เร็ว เพราะถ้าบริษัทยืมเงินมาลงทุนได้ แต่ไม่มีช่องทางจำหน่ายสินค้าออกสู่ตลาด ก็เปล่าประโยชน์และไม่สามารถทำกำไรได้ หรือถ้าบริษัทมีช่องทางจำหน่ายสินค้า แต่ขาดเงินทุน บริษัทก็ไม่สามารถทำกำไรได้ แต่ด้วยการทำธุรกิจในระบบแนวคิดแบบนี้ ทำให้บริษัทสามารถเชื่อมข้อดี 2 สิ่งนี้เข้าไว้ด้วยกันได้ และทำให้ทำกำไรได้เร็วจากช่องทางจำหน่ายสินค้าที่กระจายตัวไปทั่วประเทศของยี่ปั๊ว และเงินที่ลงทุนก็ได้หยิบยืมมาจากสมาชิกนั่นเอง โดยที่บริษัทไม่ต้องมี warehouse ไม่ต้องมีต้นทุน logistic แต่อาศัยร้านค้าของยี่ปั๊วนั่นเองเป็นแวร์เฮ้าส์ และอาศัยช่องทาง logistic ของผู้ผลิดนั้นเองในการกระจายสินค้าไปสู่มือยี่ปั๊ว ต้นทุนเหล่านี้จึงประหยัดได้และเพิ่มกำไรเพื่อเอามาปันผลได้ ลองคิดดูว่าซื้อราคาส่งแต่เอามาขายราคาปลีกได้เร็วโดยไม่ต้องมีต้นทุนอะไรนอกจากต้นทุนอย่างเดียวก็คือเงินปันผลเท่านั้นเอง จากคุณ : !!! - [ 1 ธ.ค. 50 12:45:55 A:58.9.85.2 X: TicketID:160054 ]

ความคิดเห็นที่ 143 อันที่จริง ที่ผมไปบอกว่าบริษัทได้ยืมเงินของสมาชิกมาลงทุนก็ไม่ถูกนะ เดี๋ยวจะโดนเค้าด่าเอาได้ ความจริงต้องบอกว่าสมาชิกต้องยอมให้บริษัทได้กำไรทันทีจากการขายสินค้าก่อน 450 บาท (คือซื้อราคาส่ง ขายในราคาขายปลีก) และบริษัทก็ให้หนึ่งหุ้นคืนแก่สมาชิก (าเถอะ แต่สาบานได้ว่าผมไม่ได้เป็นสมาชิกบริษัทนี้และไม่ได้มีเอี่ยวอะไรด้วยเลยครับ เพิ่งจะมารู้จักจริงๆ ก็ต่อเมื่อได้อ่านกระทู้นี้อย่างเปิดใจกว้าง ไม่มีอคติ และผมยอมรับว่าอาจจะผิดพลาดได้หรือเข้าใจผิดไปกับภาพลวงตาได้เพราะผมก็ไม่ค่อยชอบเรื่องตัวเลขเท่าไหร่ ก็ขอให้มีคนอธิบายให้เข้าใจแจ่มๆ ด้วยเถอะครับว่าผมเข้าใจผิดอย่างไร ผมก็ยินดีน้อมรับฟัง จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 13:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 144 อันที่จริง ผมไปบอกว่าบริษัทได้ยืมเงินของสมาชิกมาลงทุนก็ไม่ถูกนะ เดี๋ยวจะโดนเค้าด่าเอาได้   ความจริงต้องบอกว่าสมาชิกต้องยอมให้บริษัทได้กำไรทันทีจากการขายสินค้าก่อน 450 บาท (คือซื้อราคาส่ง ขายในราคาขายปลีก) และบริษัทก็ให้หนึ่งหุ้นคืนแก่สมาชิก (=150 บ.) แต่จริงๆ แล้ว บริษัทไม่ได้คืนให้แก่สมาชิกเป็นตัวเงิน  แต่บริษัทยังถือเอาไว้ทั้ง 450 บาท เพื่อเอาไปลงทุนต่อยอด    ลองคิดดูว่าซื้อในราคาส่ง = 1 พันบ. แต่ขายได้ในราคาปลีก = 1450 บ.  ได้กำไรถึง 45% ทันที  แล้วเอากำไร 450 บ.นี้ไปต่อยอด ก็จะได้อีก 45% (เหตุที่ได้กำไรมาก ก็เพราะบริษัทไม่มีต้นทุน warehouse, logistic, หน้าร้าน, ค่าโฆษณา)  และตราบใดที่บริษัทสามารถยืมช่องทางจำหน่ายสินค้าจากยี่ปั๊วซาปั๊วได้ และตราบใดที่คนเรายังต้องกินข้าว กินมาม่า ดื่มกาแฟ สระผม ถูสบู่ ฯลฯ  บริษัทก็จะทำกำไรได้ตลอด ปล. ก่อนที่จะมีคนมากล่าวหาหรือเข้าใจผิดว่าผมเป็นหน้าม้าของบริษัทนี้  ผมก็ขอสวมล็อกอินเข้ามาตอบแล้วกันครับ  ปกติผมตอบเรื่องกฎหมายอยู่ที่ห้องศาลาประชาคม บางครั้งก็ใช้ล็อกอินตอบ บางครั้งก็ใช้บัตรผ่านตอบในชื่อ sss หรือช่างเขาเถอะ   แต่สาบานได้ว่าผมไม่ได้เป็นสมาชิกบริษัทนี้และไม่ได้มีเอี่ยวอะไรด้วยเลยครับ  เพิ่งจะมารู้จักจริงๆ ก็ต่อเมื่อได้อ่านกระทู้นี้อย่างเปิดใจกว้าง ไม่มีอคติ  และผมยอมรับว่าอาจจะผิดพลาดได้หรือเข้าใจผิดไปกับภาพลวงตาได้ ก็ขอให้มีคนอธิบายให้เข้าใจแจ่มๆ ด้วยเถอะครับ จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 13:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 145 ที่ผมใช้6เดือน  เพื่อให้คิดง่ายครับ จะได้เห็นภาพว่าบริษัมเอาเงินจากใหนมาจ่าย ที่ผมประมาณเอาไว้ ถ้าจะจ่ายได้ภายใน6เดือน(คิดที่กำไรต่อหุ้น450บาท) บริษัทต้องมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 35% ต่อเดือน แต่ที่ผ่านมาอยู่ที่ 53-94%  ถึงได้มีเงินเหลือมาแจกรถแจกบ้าน ใครคิดเป็นมาช่วยผมคิดหน่อยครับ ว่าถ้าอัตราการเติบโตต่ำกว่า 35%  จะต้องนั่งรอเงินปันผลกันกี่ชาติ จากคุณ : madcatzz - [ 1 ธ.ค. 50 13:34:10 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ถ้าดูตามเวบที่เขาให้มานั้นเขาจะระบุเอาไว้เลยครับว่าบริษัทไม่ได้เอากำไรไปต่อยอดตรงไหนเลย จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 13:41:20 ]

ความคิดเห็นที่ 147 คุณ madcatzz (คห. 145) เคยซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมมั้ยครับ  และเคยมั้ยครับที่ซื้อจากหน่วยละ 10 บาท แต่อยู่ดีๆ มันร่วงลงไปเหลือไม่ถึง 2 บาท และนั่งรอเงินปันผลมา 10 กว่าปีแล้ว ยังไม่ได้ซักบาทเลยมั้ยครับ  ถามว่ากองทุนรวมผิดกฎหมายหรือเปล่า ก็ตอบได้ว่าไม่ผิด  ก็เหมือนกันกับบริษัทนี้ ถ้าตราบใดที่เค้าไม่เคยสัญญาหรือรับปากว่าจะคืนเงินปันผลภายใน 6 เดือนจริง แต่จะคืนก็ต่อเมื่อมียอดขายอีก 14 ต่อ อย่างนี้ผมก็มองว่าไม่ผิดกฎหมาย  เพราะถ้าบริษัทขายได้ช้า บริษัทก็จ่ายปันผลได้ช้า แต่ถ้าขายเร็ว ก็จ่ายปันผลเร็ว  ฉะนั้น ความเสี่ยงของสมาชิกก็คือจะได้รับเงินปันผลคืนเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง อาจจะช้าเป็นปีหรือสองปี ก็ต้องรับความเสี่ยงเอาเองเพราะบริษัทไม่เคยสัญญาว่าจะจ่ายปันผลให้ภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้  แต่ถ้าบริษัทขายสินค้าได้ครบ 7 + 7 ต่อเมื่อไหร่  สมาชิกต้องได้ปันผลทันที  ถ้าไม่ได้ นั่นแหละถึงจะเรียกว่าบริษัทโกง จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 13:44:52 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ถ้าไม่ได้เอากำไรไปลงทุนต่อแล้วปันผลเอามาจากไหนครับ ขายหนึ่งชิ้นได้กำไร 450 บาท ไม่ได้เอาเงินไปลงทุนต่อ แต่สัญญาว่าจะจ่ายปันผล 2000 บาท เมื่อเงื่อนไขถึง(เปลี่ยนจาก 6 เดือนเป็นเงื่อนไขถึงแล้วนะ) คิดยังไงๆก็เอากำไรจากคนที่ซื้อทีหลังมาจ่ายคนก่อนหน้านี้อยู่ดี สมมติว่าบริษัทไม่คิดคดโกง Siphon เงินออกจากระบบ ถ้าสมาชิกถึุงจุดอิ่มตัวเมื่อไหร่(อัตราการเพิ่มลดต่ำลง) ผลตอบแทนก็น่าจะได้น้อยกว่าร้านขายปลีกหน่อยหนึ่ง จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 13:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 149 ถ้าเทียบกับกองทุนรวมก็ต้องเอาระเบียบเขามาใช้ด้วยสิครับ ว่าด้วยเรื่องหนังสือชี้ชวน ลองไปโหลดแบบฟอร์มใบสมัครของเขาดูสิครับว่ามีรายละเอียดอะไรบ้างให้อ่าน? จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 13:50:34 ]

ความคิดเห็นที่ 150 คห.146 คุณ Nexus ครับ บริษัทไม่มีนโยบายนำเงินดังกล่าวไปลงทุนนอกระบบอย่างเด็ดขาด   ตรงนี้ต้องดูว่าคำว่าลงทุนนอกระบบหมายถึงอย่างไร และทางปฏิบัติจริงๆ มันเป็นอย่างไร เพราะผมมองว่าค่าเช่าสำนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ เงินเดือนพนักงาน ฯลฯ มัน fix คงที่อยู่แล้วในแต่ละเดือน เช่นเดือนละล้าน มันก็ fix อยู่ที่ 1 ล้านเท่านั้น  ฉะนั้น 155 บาทที่เป็น 1 หุ้นเข้าบริษัท มันก็จะมีเงินเหลือที่จะเอาไปต่อยอดได้อีก   และเงิน 150 บาทที่จ่ายเป็นหุ้นให้แก่สมาชิกก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายจริงเป็นเงินสดนี่ครับ แต่ให้สิ่งแทนที่เรียกกันว่าหุ้นเท่านั้น ฉะนั้นเงิน 150 บาทนี้ก็จะยังอยู่ในมือบริษัทเพือ่เอาไปลงทุนต่อยอดได้  ซึ่งก็ต้องดูว่าเป็นการเอาไปลงทุนนอกระบบหรือเปล่า จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 13:52:48 ]

ความคิดเห็นที่ 151 คห. 149 "ถ้าเทียบกับกองทุนรวมก็ต้องเอาระเบียบเขามาใช้ด้วยสิครับ ว่าด้วยเรื่องหนังสือชี้ชวน ลองไปโหลดแบบฟอร์มใบสมัครของเขาดูสิครับว่ามีรายละเอียดอะไรบ้างให้อ่าน?" ^ ^ ในหนังสือชี้ชวนนั้นบอกว่าความเสี่ยงเป็นของผู้ลงทุนเอง และกองทุนไม่รับประกันว่าจะจ่ายเงินปันผลให้ แต่จะจ่ายก็ต่อเมื่อมีกำไรเท่านั้น   ถ้าเช่นนี้  บริษัทนี้เขียนลงในแบบฟอร์มใบสมัครหรือหนังสือชี้ชวนโฆษณาบ้างล่ะครับว่าไม่รับประกันว่าจะจ่ายปันผลให้ภายในเวลา 6 เดือน แต่จ่ายให้แน่นอนถ้าขายสินค้าได้ 7 + 7 ต่อ  และความเสี่ยงเป็นของผู้ลงทุนเอง  อย่างนี้ คุณ Nexus จะยอมรับได้มั้ยล่ะครับ จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 13:56:41 ]

ความคิดเห็นที่ 152 150 บาทนั้นก็เก็บเอาไว้มาจ่ายคนที่ซื้อก่อนยังไงครับ เงิน 155 บาทต่อหุ้นถ้าเอาไปต่อยอด คิดแบบที่เป็นไปได้ทางธุรกิจนะครับมันจะได้กี่ % ต่อเดือน จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 13:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 153 ตัวผมเองยังไม่เคยเห็นระเบียบและแผนการตลาดแนบท้ายใบสมัครฯ ที่บริษัทบอกว่าให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา   ผมเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเค้าเขียนเงื่อนไขไว้ว่าอย่างไร เพราะตัวนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าบริษัทให้คำมั่นสัญญาหรือรับปากไว้หรือเปล่าว่าจะจ่ายปันผลให้แน่นอนภายในระยะเวลา 6 เดือน เพราะถ้าบอกอย่างนั้น ก็ผิดกฎหมายแน่นอน ใครก็ได้ช่วยหาให้ผมทีเถอะ ระเบียบและแผนการตลาดแนบท้ายใบสมัครฯ ตัวนี้ จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 1 ธ.ค. 50 14:01:28 ]

ความคิดเห็นที่ 154 คห. 152   "150 บาทนั้นก็เก็บเอาไว้มาจ่ายคนที่ซื้อก่อนยังไงครับ เงิน 155 บาทต่อหุ้นถ้าเอาไปต่อยอด คิดแบบที่เป็นไปได้ทางธุรกิจนะครับมันจะได้กี่ % ต่อเดือน" ^ ^ ^ ทำไมคุณ Nexus จะต้องคิดแต่ในแง่เดียวว่าเค้าจะต้องเอาเงิน 150 บาทนี้ไปจ่ายปันผลให้คนก่อนหน้านั้นเท่านั้นล่ะครับ  ทำไมไม่คิดอีกมุมนึงมั่งว่าเค้าก็สามารถเอาไปซื้อสินค้ามาขายต่อได้ เพราะไม่อย่างนั้น ใบกำกำบภาษีซื้อที่เพิ่มหรือโตขึ้นทุกเดือนนั้น มาจากไหนล่ะครับ ถ้าไม่ได้มาจากบริษัทผู้ผลิตสินค้า จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 1 ธ.ค. 50 14:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 155 ไม่ใช่แค่นั้นครับ ในใบชี้ชวนการลงทุนต้องมีระบุไว้อย่างชัดเจนว่าวัตถุประสงค์ของกองทุนคืออะไร พอร์ตการลงทุนเป็นอย่างไร มีหุ้นกี่ % เงินสดกี่ % พันธบัตรกี่ % เรทติ้งของพันธบัตรขั้นไหน ความเสี่ยงคืออะไร ตามระเบียบของ ตลท. ส่วนบริษํทนี้ไม่ต้องคิดมาก ในใบสมัครบอกว่ามีระเบียบและเงื่อนไขแผนการตลาดธุรกิจอีซี่แนบท้ายมาด้วย แต่จนบัดนี้ผมยังไม่เห็นเลย แล้วถ้าเป็นคนที่ไม่อ่านให้ถ้วนถี่มองโฆษณาอย่างเดียว แล้วเซ็นเลยโอนเิงินเลย ........ มันจะเป็นยังไง? จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 14:05:00 ]

ความคิดเห็นที่ 156 ที่ผมบอกอย่างนั้นเพราะผมถือเอกสารอย่าง Literally ยังไงล่ะครับ เขาบอกมายังไงผมก็ถ่ายทอดออกไปอย่างนั้น เขาบอกว่าเงิน 150 เอาไปจ่ายปันผล ผมก็บอกไปว่าเอาไปจ่ายปันผล ผมไม่พยายาม Speculate ครับ ว่าเขาอาจจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าด้วยเรื่องการขายนะครับ สมมติว่าข้อมูลที่คุณบัตรผ่านให้มาเป็นความจริง คุณลองดูจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น กับจำนวนยอดขายที่เพิ่มขึ้นก็แล้วกัน มันแปรผันตรวกันพอดี นั่นเ่ท่ากับว่าบริษัทนี้ไม่ได้ขายคนนอกเลยก็ว่าได้ ถ้าข้อมูลที่เขายกมาเป็นความจริง นั่นหมายความว่าบริษัทนี้ไม่ได้เอาเงินไปลงทุนเพิ่มเลย เพราะถ้าบริษัทเอาเงินไปหมุน บริษัทก็ไม่จำเป็นต้่องจ่ายหุ้นให้ตัวเองถูกไหมครับ แต่นี่จำนวนหุ้นกับยอดขายมันขึ้นมาพร้อมกัน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าลูกค้าของบริษัทก็คือคนที่ซื้อหุ้นเท่านั้นไม่ได้มีคนนอกเลย จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 14:12:21 ]

ความคิดเห็นที่ 157 คห. 155 ผมมองว่าถ้าบริษัทควบคุมบริหารจัดการดีๆ มันก็สามารถไปได้และทำกำไรได้จากยอดขายสินค้าที่ซื้อมาในราคาต้นทาง และขายในราคาปลายทาง โดยตัดยี่ปั๊วซาปั๊วสี่ปั๊วออกไปจากระบบให้หมด โดยยี่ปั๊วจะสอดเข้ามาก็เฉพาะในช่องทางที่รับซื้อสินค้าในราคาต่ำจากสมาชิกที่ร่วมกันลงทุนเท่านั้น ซึ่งยี่ปั๊วก็เอาไปขายทำกำไรเอง ขั้นตอนนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัท เพราะบริษัทได้กำไรไปเต็มๆ แล้วจากราคาต้นทางหักด้วยราคาปลายทาง  ถ้าบริษัทขายได้เร็ว ขายได้บ่อยเพราะมียี่ปั๊วที่เข้ามารับเอาสินค้าไปปล่อยต่อตามช่องทางจำหน่ายของยี่ปั๊วเอง  บริษัทก็ได้กำไรเร็ว   ถ้า 450 บาทนั้น บริษัทเอาไปลงทุนต่อในเดือนเดียว จะได้กำไรคืนมา 202.5 บาท แต่ถ้าเดือนนั้นขายได้ถึง 2 ครั้งล่ะ บริษัทก็จะได้คืนถึง 405 บาท  จะขายได้เร็วได้ช้าก็อยู่ที่ช่องทางจำหน่ายสินค้าของยี่ปั๊วทีจะเข้ามารองรับ ถ้าบริหารจัดการระบบนี้ให้ดีๆ มันก็อยู่รอดได้   แต่สำคัญอยู่ที่ว่าจะมีสมาชิกบางรายแหกคอกไปรับปากมั่นหมายเพื่อจูงในสมาชิกใหม่หรือเปล่า ซึ่งตรงนี้ผมไม่รู้ แต่ที่สำคัญ มันต้องมีระเบียบและแผนการตลาดให้สมาชิกได้อ่านด้วยเพื่อจะได้รู้สิทธิของตนเองและเงื่อนไขของบริษัท จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 14:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 158 คห. 156 "ว่าด้วยเรื่องการขายนะครับ สมมติว่าข้อมูลที่คุณบัตรผ่านให้มาเป็นความจริง คุณลองดูจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น กับจำนวนยอดขายที่เพิ่มขึ้นก็แล้วกัน มันแปรผันตรวกันพอดี นั่นเ่ท่ากับว่าบริษัทนี้ไม่ได้ขายคนนอกเลยก็ว่าได้" ^ ^ ^ บริษัทนี้ต้องไม่ขายให้คนนอกอยู่แล้วนี่ครับ  เพราะบริษัทจะขายให้สมาชิกเท่านั้น และขายในราคาขายปลีกด้วย  แต่คนที่จะเอาสินค้าไปขายต่อให้คนนอกนั้นก็คือยี่ปั๊วที่มารับซื้อสินค้าจากสมาชิกที่ยอมขายในราคาขาดทุนเท่านั้น   ฉะนั้น คุณ Nexus ต้องเข้าใจก่อนว่าบริษัทนี้จะไม่ทำตัวเป็นเซเว่นเสียเอง คือจะไม่ลงไปแข่งกับยี่ปั๊วซาปั๊ว แต่จะขายให้สมาชิกเท่านั้น ฉะนั้นยอดขายมันก็โตไปตามจำนวนสมาชิก (หรือหุ้น) ที่เพิ่มขึ้น จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 14:20:43 ]

ความคิดเห็นที่ 159 ฉะนั้นยอดขายมันก็โตไปตามจำนวนสมาชิก (หรือหุ้น) ที่เพิ่มขึ้น ^ ^ ตรงนี้ผมขอแก้ไขคำพูดของตัวเองจากที่ว่ายอดขายจะโดไปตามจำนวนสมาชิกนั้น  ผมว่าที่ถูก น่าจะใช้คำว่ายอดขายจะแปรผันตรง คือโตไปตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นดีกว่า ไม่ใช่จำนวนสมาชิกแล้ว  เพราะหุ้นนั้น มันหมดได้ คือจะหมดภาระก็ต่อเมื่อได้ปันผลครบ 2 พันบาท  ฉะนั้น เมื่อหุ้นหมดภาระ จำนวนหุ้นก็ลดลงได้เช่นกัน  และสมาชิกคนเดิมก็กลับเข้ามามีหุ้นใหม่ได้อีกต่อเมื่อซื้อสินค้าล็อตใหม่ จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 14:31:27 ]

ความคิดเห็นที่ 160 ถ้าไม่มีสมาชิกเข้าใหม่ธรุกิจนี้ไปรอดหรือเปล่าครับ จากคุณ : 821 (บัตรผ่าน 821) - [ 1 ธ.ค. 50 14:31:47 ]

ความคิดเห็นที่ 161 "ถ้าบริษัทขายได้เร็ว ขายได้บ่อยเพราะมียี่ปั๊วที่เข้ามารับเอาสินค้าไปปล่อยต่อตามช่องทางจำหน่ายของยี่ปั๊วเอง  บริษัทก็ได้กำไรเร็ว   ถ้า 450 บาทนั้น บริษัทเอาไปลงทุนต่อในเดือนเดียว จะได้กำไรคืนมา 202.5 บาท แต่ถ้าเดือนนั้นขายได้ถึง 2 ครั้งล่ะ บริษัทก็จะได้คืนถึง 405 บาท  จะขายได้เร็วได้ช้าก็อยู่ที่ช่องทางจำหน่ายสินค้าของยี่ปั๊วทีจะเข้ามารองรับ" บริษัทเอาไปลงทุนต่อยังไงครับ ในเมื่อเขาขายสินค้าให้สมาชิกเท่านั้น? จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 14:32:58 ]

ความคิดเห็นที่ 162 ถ้าไม่มีสมาชิกเข้าใหม่เลยจริงๆ ธุรกิจนี้ก็ไปไม่รอดแน่นอนครับ  แต่นั่นต้องหมายความว่าคนไทยหยุดการบริโภคจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเด็ดขาด ซึ่งเป็นไปได้หรือเปล่า ลองคิดดูสิครับ  ตราบใดที่ยี่ปั๊วยังมีช่องทางจำหน่ายสินค้าได้ และเป็นสินค้าที่ใช้อุปโภคบริโภคประจำวัน ผมว่ามันก็ต้องขายได้เรื่อยๆ นะ   และที่สำคัญ อย่าไปมองเป็นสมาชิกจะต้องเข้ามาเสมอไป เพราะสมาชิกเก่า แต่ได้รับปันผลไปครบแล้ว เมื่ออยากจะลงทุนใหม่ ก็กลายเป็นสมาชิกใหม่ได้ เพราะความเป็นสมาชิกเดิมนั้นหายไปแล้ว  หรืออีกทางหนึ่งก็คือมีคนเข้ามาขวางในระบบอย่างกระทันหัน คือห้ามการทำธุรกรรมอีกต่อไปโดยเด็ดขาด  บริษัทนี้ก็ไปต่อไม่ได้ จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 1 ธ.ค. 50 14:37:52 ]

ความคิดเห็นที่ 163 คห. 161  "บริษัทเอาไปลงทุนต่อยังไงครับ ในเมื่อเขาขายสินค้าให้สมาชิกเท่านั้น?" ^ ^ บริษัทลงทุนต่อได้สิครับ ถ้ายี่ปั๊วซาปั๊วที่รับสินค้าไปจำหน่าย ได้ขายสินค้าหมดแล้ว ก็จะมาชวนสมาชิกอาจจะรายใหม่หรือรายเก่าที่ได้ปันผลของเดิมไปครบถ้วนแล้วไปลงทุนซื้อสินค้าจากบริษัทอีก โดยยี่ปั๋วก็ได้กำไรจากการซื้อสินค้าได้ในราคาต่ำจากสมาชิก  บริษัทก็จะได้กำไรจากการสั่งสินค้าล็อตใหม่ในราคาต้นทางมาขายในราคาปลายทาง    สินค้าพวกนี้มันต้องกินต้องใช้อยู่แล้ว  ยี่ปั๊วขายหมดไป ก็ต้องหาซื้อเข้ามาขายต่อ ถ้าเค้ามีแหล่งที่ซื้อได้ในราคาถูก เค้าก็ย่อมมีแรงจูงใจที่จะเข้าร่วมลงทุน  ในทางกลับกัน ถ้าไม่มียี่ปั๊วที่จะลงทุน ถึงจะมีสมาชิกใหม่อยากซิ้อหุ้น ก็ซื้อไม่ได้  เพราะสมาชิกต้องมาพร้อมกับยี่ปั๊วเสมอ  ถึงจะมีตลาดรองรับสินค้า  และบริษัทต้องบริหารระบบให้ได้แบบนี้ ถึงจะไปได้ จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 14:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 164 สมมุติว่าผมรู้ว่าเสี่ย ก. เจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งต้องการอะไหล่ตัวนึงโดยยินดีจ่ายในราคา 3 หมื่นบาท แต่ผมรู้แหล่งที่ซื้อได้ในราคา 1 หมื่นบาท ผมก็จ่ายเงินแค่ 1 หมื่นเพื่อซื้อมาขายต่อให้เสี่ย ก. โดยได้กำไรทันที 2 หมื่นบาท เท่ากับ 200% ถ้าความต้องการของเสี่ย ก. มีอย่างนี้ทุกเดือน หรือผมหาลูกค้ารายอื่นได้แบบเสี่ย ก. ทุกเดือน เดือนละ 1 ราย ผมก็จะได้กำไรถึง 240,000 บาทภายในเวลา 1 ปี จากต้นเงินลงทุนเพียง 1 หมื่นบาท  เท่ากับได้กำไรถึง 2,400% ภายใน 1 ปี >>> ถ้าถามว่าเป็นไปได้มั้ย ก็ต้องตอบว่าเป็นไปได้สิครับ มีมหาเศรษฐีมากมายที่ตั้งตัวร่ำรวย่ขึ้นมารวดเร็วก็ด้วยการทำกำไรแบบนี้ แต่ถ้าถามต่อไปว่าแล้วมันยากหรือง่ายล่ะ ก็ต้องตอบว่ายากแน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้แบบนี้เสมอไป เพราะสิ่งสำคัญคือช่องทางการจำหน่ายสินค้า คุณจะไปหาลูกค้าแบบเสี่ย ก. อย่างนี้มาได้จากไหนทุกเดือนๆ คำตอบคือยากครับ แต่ถ้าเราให้คนอื่นช่วยกันหาหรือถ้าเรายืมช่องทางจำหน่ายสินค้าของคนอื่นได้ล่ะ และเพิ่มต่อยอดช่องทางจำหน่ายนั้นไปเรื่อยๆ เราก็จะได้กำไรมหาศาลเลย อาจจะได้ยิ่งกว่าขายให้เสีย ก. คนเดียวก็ได้ เพราะช่องทางจำหน่ายสินค้ามันจะเสนอตัวเข้ามาหาเราเอง โดยเราซื้อสินค้าจากต้นทางผุ้ผลิตได้ในราคาต่ำ แต่มีลูกค้าเข้ามาซื้อในราคาเซเว่นอีเลฟเว่น กำไรมหาศาลนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้คนเดียว แต่ใช้เป็นแรงจูงใจเพื่อให้ลูกค้าดึงช่องทางจำหน่ายสินค้านั้นเข้ามาหาเราเอง   ด้วยระบบแนวคิดแบ่งปันผลตอบแทนแบบนี้จึงดึงดูดให้ช่องทางจำหน่ายสินค้านั้นวิ่งเข้าหาเราเองโดยเรายอมกำไรน้อยหน่อย แล้วแบ่งกำไรส่วนใหญ่ให้คนที่ดึงช่องทางนั้นเข้ามาหาเรา  แต่ถ้าเราขายได้มาก เราก็จะได้กำไรมากไปด้วย แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 15:05:39 จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 15:02:23 ]

ความคิดเห็นที่ 165 บริษัทซื้อมา 1000 ขาย 1450 ได้กำไร 450 ยี่ปั้วซื้อ 725 บาท ได้กำไร(จากต้นทุนที่ลดลง) 275 บาท คนซื้อที่เอาไปขายยี่ปั้วต่อ 725 เท่ากับตอนนี้คนซื้อเสียเงินไป 725 แล้วก็ภาวนาให้บริษัทขายของได้อีก 14 ชิ้นจะได้เงินคืนมา 2000 บาท (แน่นอนการที่บริษัทขายอีก 14 ชิ้นก็ต้องมีความหวังเกิดขึ้นอีก 14 ครั้ง) ผมบอกแล้วว่าถ้ามันถึงจุดอิ่มตัวเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคนที่เข้าทีหลังจะเจ็บใจ เพราะสมมติฐานอยู่ที่ว่าต้องมียี่ปั้วมารับของไปเรื่อยๆ และบริษัทเอากำไรที่ได้จากการขายของไปปันผลเรื่อยๆ ....... เมื่อไหร่ที่อัตราการขยายตัวของยอดขายน้อยลง ระยะเวลาปันผลจะนานขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่อัตราการปันผลจะน้อยกว่ากำไรของการค้าปลีก จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 15:12:31 ]

ความคิดเห็นที่ 166 สิ่งที่คุณทนายที่รักบอกนั่นก็ใช้ตรรกะเดียวกับระบบแชร์ลูกโซ่นั่นแหละครับ มันเป็นไปได้ถ้า Demand มันไม่มีขีดจำกัด แต่ในโลกความจริงพอถึงจุดที่ Demand มันลดลง คนที่ลงเงินไปก็จะรู้เองครับว่าจะเป็นยังไง เอาเป็นว่าจากมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ และนัก(หัด)ลงทุนแบบ VI แล้ว ผมเห็นว่ามันเป็นแชร์ลูกโซ่แอบแฝงก็แล้วกัน ถ้ายังไงลองไปตั้งที่สินธร อาจจะมีคนอธิบายได้ดีกว่าผม The belief in a supernatural source of evil is not necessary; men alone are quite capable of every wickedness. จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 15:19:08 ]

ความคิดเห็นที่ 167 คห. 165 คือผมมองว่าการลงทุนทุกอย่างมันก็มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนะครับ  อย่างผมลงทุนซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเมื่อ 10 กว่าปีก่อน  มาตอนนี้ ก็ต้องมานั่งเจ็บใจกับราคาที่ลดลงเหลือหน่วยละไม่ถึง 2 บาท จากต้นทุนที่ลงไป 10 บาท และรอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่ได้รับเงินปันผลมาตั้ง 10 กว่าปี  ทำไมคนที่ลงทุนในกองทุนเดียวกับผม ถึงทนเจ็บใจได้ล่ะครับ   สำคัญอยู่ที่ว่าเค้าอย่ามาสัญญิงสัญญาให้ผมตายใจแล้วกันว่าผมจะต้องได้คืนเงินลงทุน 2 พันบาทภายในเวลา 6 เดือน แต่ต้องบอกกันอย่างซื่อๆ ตรงๆ ว่า "บริษัทไม่รับประกันนะว่าจะคืนปันผลให้ได้ภายในเวลาเท่าไหร่ แต่ดูคร่าวๆ จากผลประกอบการล่าสุดของบริษัทเอาแล้วกันว่าบริษัทจ่ายปันผลให้ได้จริงภายในเวลากี่เดือน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณต้องรับความเสี่ยงเอาเองนะ"   ถ้าบอกกันอย่างซื่อๆ ตรงๆ แบบนี้  ผมก็ทำใจได้ครับเพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับการลงทุนในกองทุนรวม กองทุนรวมนั้นอาจจะชัดเจนที่ว่าจะเอาเงินไปลงทุนในหุ้นประเภทไหนกี่เปอร์เซนต์ ตราสารหนี้ประเภทไหน กี่เปอร์เซนต์   แต่เค้าไม่ได้บอกนี่ครับว่าจะเอาเงินไปซื้อหุ้นของบริษัทอะไร และจะคืนเงินปันผลให้เมื่อไหร่    ไอ้บริษัทนี้ก็เหมือนกันที่บอกว่าจะเอาเงินไปลงทุนซื้อสินค้ามาขายเพื่อเอากำไรมาแบ่งในอัตรากี่เปอร์เซนต์ และขายได้กี่ต่อ คุณถึงจะได้รับเงินปันผล  แต่เค้าก็ไม่จำเป็นต้องบอกเหมือนกันว่าจะเอาไปซื้อสินค้าชนิดไหน และจะขายได้เมื่อไหร่ จะคืนเงินปันผลให้ภายในกี่เดือน  แต่มันชัดเจนกว่ากองทุนรวมหน่อยนึงตรงที่บอกว่าถ้าบริษัทขายสินค้าได้ 7 + 7 ต่อ ก็จะคืนเงินปันผลให้ 2 พันบาทแน่นอน  ซึ่งทำให้เราอุ่นใจกว่าการไปซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมด้วยซ้ำเพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนดี หน่วยลงทุนเราจะร่วงไปเหลือเท่าไหร่ แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 15:24:13 จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 15:23:01 ]

ความคิดเห็นที่ 168 ชอบจังกระทู้นี้ จากคุณ : noom_lozo - [ 1 ธ.ค. 50 15:25:55 ]

ความคิดเห็นที่ 169 อ้างถึงกระทู้ที่ 158 "บริษัทนี้ต้องไม่ขายให้คนนอกอยู่แล้วนี่ครับ  เพราะบริษัทจะขายให้สมาชิกเท่านั้น และขายในราคาขายปลีกด้วย  แต่คนที่จะเอาสินค้าไปขายต่อให้คนนอกนั้นก็คือยี่ปั๊วที่มารับซื้อสินค้าจากสมาชิกที่ยอมขายในราคาขาดทุนเท่านั้น   ฉะนั้น คุณ Nexus ต้องเข้าใจก่อนว่าบริษัทนี้จะไม่ทำตัวเป็นเซเว่นเสียเอง คือจะไม่ลงไปแข่งกับยี่ปั๊วซาปั๊ว แต่จะขายให้สมาชิกเท่านั้น ฉะนั้นยอดขายมันก็โตไปตามจำนวนสมาชิก (หรือหุ้น) ที่เพิ่มขึ้น" ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริงก็เท่ากับว่าบริษัทไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการการขายได้ด้วยตนเอง คือจะขายให้กับสมาชิก แล้วให้สมาชิกนำไปขายต่อให้กับยี่ปั๊วอีกต่อหนึ่ง ซึ่งคุณบอกว่าขายในราคาขาดทุน  ตรงนี้ก็เท่ากับว่าบริษัทได้ผลักภาระความเสี่ยงทั้งหมดไปให้กับสมาชิก ทั้งในแง่ของ Inventory Cost และในเรื่องของราคาขาย   และถ้าเกิดสมาชิกไม่สามารถขายสินค้าได้หรือไม่ยอมขายสินค้าในราคาขาดทุนที่คุณว่าล่ะ วงจรทั้งหมดไม่สะดุดหรือครับ??? และเมื่อวงจรสะดุด บริษัทก็ไม่สามารถจ่ายปันผลให้กับสมาชิกได้ สุดท้ายก็ต้องปิดตัวเองไปตามระเบียบ   ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ จากคุณ : piras - [ 1 ธ.ค. 50 15:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 170 คห. 166 คุณ Nexus บอกได้หรือเปล่าล่ะครับว่าดีมานด์ของการบริโภคข้าวสารมีจุดอิ่มตัวอยู่ที่เท่าไหร่  ดีมานด์ของการบริโภคมาม่ามีจุดอิ่มตัวอยู่ที่เท่าไหร่  สินค้าพวกนี้มันต้องกินต้องใช้ไปทุกวัน และตราบใดที่ยี่ปั๊วยังขายได้เรื่อยๆ สั่งมาเท่าไหร่ก็หมดเมื่อนั้น ยี่ปั๊วก็ต้องหาซัพพลายมาเพิ่ม  แต่ถ้ายอดขายของยี่ปั๊วขายอืดลงไปเรื่อยๆ  ยี่ปั๊วก็ต้องสั่งสินค้าลดลงซึ่งจะทำให้สมาชิกที่อยากลงทุนเพิ่ม ก็ลงทุนได้ช้าลงไปพร้อมกันด้วย เพราะถึงสมาชิกใหม่จะมีเงินลงทุนวันนี้ 72,500 บาท แต่ถ้ายี่ปั๊วยังขายของเก่าไม่หมด ยี่ปั๊วก็ไม่สั่งของเพิ่ม แล้วสมาชิกก็จะไปหาคนมาร่วมลงทุนได้จากที่ไหน  มันก็ต้องช้าไปพร้อมกันนั่นเอง   แต่แชร์ข้าวสาร แชร์มาม่า แชร์กาแฟ ฯลฯ มันมีข้อดีตรงที่สินค้ามันปล่อยไปได้เร็วเพราะสินค้าพวกนี้คนก็ต้องกินต้องใช้กันทุกวัน  ไม่เหมือนกับแชร์ทองคำ แชร์เบ๊นซ์ ฯลฯ ที่มันเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 15:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 171 คห. 169 คุณ piras ครับ ที่คุณบอกว่าบริษัทนี้ไม่สามารถขายสินค้าให้คนนอกได้ แสดงว่าบริษัทนี้บริหารจัดการขายไม่ดี   ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วยนะครับ  ลองเปรียบเทียบดูก็เหมือนกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าจะไม่ลงไปค้าปลีกแข่งกับซาปั๊วสี่ปั๊วถึงแม้จะทำกำไรได้มากกว่าก็ตาม  เหตุผลก็เพราะถ้าลงไปแข่งเมื่อไหร่ ก็เท่ากับทำลายช่องทางจำหน่ายสินค้าของตัวเอง   แต่ถามว่าการที่บริษัทผุ้ผลิตสินค้าไม่สามารถลงไปจำหน่ายในราคาปลีกได้ จะต้องถือว่าบริษัทนั้นด้อยความสามารถในการบริหารจัดการขายหรือเปล่า  ก็คงตอบได้ว่าไม่ใช่แน่นอนครับ ก็เหมือนกันกับบริษัทนี้ที่มีช่องทางจำหน่ายสินค้าของตัวเองอยู่แล้วที่จะขายให้สมาชิกเท่านั้น และก็ยังมีช่องทางให้สินค้านี้ระบายไปสู่ตลาดภายนอกโดยใช้ยี่ปั๊วเข้ามารองรับสินค้าจากสมาชิก  ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องการบริหารการจัดการงานขายที่มีประสิทธิภาพระบบหนึ่งเช่นกัน จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 15:37:27 ]

ความคิดเห็นที่ 172 "และถ้าเกิดสมาชิกไม่สามารถขายสินค้าได้หรือไม่ยอมขายสินค้าในราคาขาดทุนที่คุณว่าล่ะ วงจรทั้งหมดไม่สะดุดหรือครับ??? และเมื่อวงจรสะดุด บริษัทก็ไม่สามารถจ่ายปันผลให้กับสมาชิกได้ สุดท้ายก็ต้องปิดตัวเองไปตามระเบียบ   ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ " (คุณ Piras) ^ ^ ^ ผมว่าถ้าบริษัทนี้ใช้ระบบบริหารจัดการที่ดีพอ คือต้องวางกฎไว้ให้ชัดเจนว่าสมาชิกใหม่จะลงทุนซื้อสินค้าเพิ่มได้ก็ต่อเมื่อมียี่ปั๊วเข้ามาสั่งสินค้าเพิ่ม  คือพูดง่ายๆว่า จะต้องเข้ามาคู่กันเสมอ คือ หนึ่งสมาชิกต่อหนึ่งยี่ปั๊ว โดยที่ทั้งคู่อาจจะไม่รู้จักกันเองก็ได้ แต่บริษัทต้องจัดคู่ให้ตรงกันเสมอ จึงจะสั่งสินค้าล๊อตใหม่ได้   ถ้าทำอย่างนี้ สมาชิกก็จะขายสินค้าในราคาขาดทุนได้เสมอ  แต่ถ้าคุณถามว่าแล้วถ้าสมาชิกไม่ยอมขายขาดทุนล่ะ จะทำยังไง เรื่องนี้ก็ง่ายนิดเดียวสิครับ คือสมาชิกก็เพียงแค่เอาสินค้ากลับไปใช้เอง จะเอาข้าวสารไปกินเองทั้งปี หรือเอามาม่าไปต้มกิน หรือเปิดร้านขายเองก็แล้วแต่คุณ เพราะเท่ากับว่าคุณตัดสินใจเองที่จะรับสินค้านั้นไว้ในราคาขายปลีก แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 15:45:49 จากคุณ : !!! (ทนายที่รัก) - [ 1 ธ.ค. 50 15:44:12 ]

ความคิดเห็นที่ 173 อุดรธานี - ตำรวจอุดรธานี เข้าตรวจค้นยึดทรัพย์"อีซี่ เน็ตเวิร์ค" สาขาอุดรฯ หลังดื้อแพ่งขายสมาชิกแชร์ข้าวสาร ไม่ยอมปิดตัวตามบริษัทแม่ พบเอกสารบัญชีรายชื่อลูกค้า กว่า 300 ชุด พร้อมใบเสร็จรับเงินจากลูกค้าที่มาสมัครเป็นสมาชิก พ.ต.ท.เทอดศักดิ์ บุญโชติ พงส.สบ.3 สภ.เมืองอุดรธานี ,พ.ต.ท.กิตติพงษ์ จิตรคาม สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ,ร.ต.อ.ชลธิชา อักษร รอง สว.สส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนชุดพิรุณ ได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดอุดรธานี เลขที่ ค.281/2550 ลงวันที่30 พ.ย. 50 เข้าตรวจค้น บริษัท อีซี่ เน็ตเวิร์ค มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เลขที่ 599 / 16-17 ถนนโพศรี ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี หลังจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ร่วมกันจับกุม ตรวจค้นสำนักงานใหญ่ บริษัท อีซี่ เน็ตเวิร์ค มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เมื่อ 29 พ.ย. 50 ที่ผ่านมา จากการตรวจค้น พบนายประพนธ์ หนักแน่น อายุ 47 ปี บ้านเลขที่ 28/1 หมู่ที่ 7 ซ.บ้านโนนยาง ต.หมากแข้ง ถ.ทหาร อ.เมือง จ.อุดรธานี เป็นผู้จัดการสาขาที่อุดรธานี และมีพนักงานภายในบริษัทจำนวน 4 คน นอกจากนี้ยังมีนายภูบดินทร์ ดีป้อง อายุ 27 ปี เป็นผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยร่ำรวย เบอร์ 27 เขต 2 จ.อุดรธานี ซึ่งได้มาติดต่อกับบริษัทดังกล่าว โดยมีหุ้นข้าวสาร หุ้นละ 1,450 บาท จำนวน 10 หุ้น เป็นเงิน 14,500 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจยึดเอกสารบัญชีรายชื่อลูกค้า มีจำนวน 300 กว่าชุด และใบเสร็จรับเงินจากลูกค้าที่มาสมัครเป็นสมาชิก จำนวนมาก , คอมพิวเตอร์ 1 ชุด ต่อมาได้ขยายผลนำหมายค้นเลขที่ 280/2550 ลงวันที่ 30 พ.ย. 50 เข้าไปทำการค้นบ้านของประพนธ์ หนักแน่น เลขที่บ้านเลขที่ 28/1 หมู่ที่ 7 ซ.บ้านโนนยาง ต.หมากแข้ง ถ.ทหาร สามารถตรวจยึดของรางวัล มีรถ จยย.จำนวน 2 คัน ชุดโฮมเธียเตอร์ 1 ชุด มีโทรศัพท์มือจำนวนหนึ่ง ,สมุดบัญชีธนาคารจำนวน3 เล่ม ซึ่งมียอดเงินอยู่จำนวน 700,000 บาท ,แฟ้มรายชื่อสมาชิกที่สะสมยอดหรือแต้มในการรับรางวัล จำนวน 3 แฟ้ม ,ใบเสร็จโอนเงินเข้าบริษัทผ่านธนาคารไทยพานิชย์จำนวนหนึ่ง ,ข้างสารถุงละ 12 ก.ก.จำนวน 12 ถุง จึงได้ทำการตรวจยึดมาทำการตรวจที่ สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.ท.กิตติพงษ์ กล่าวว่า หลังจากที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ทำการจับกุม ตรวจค้นสำนักงานใหญ่ บริษัท อีซี่ เน็ตเวิร์ค มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ในกรุงเทพฯ และทำการปิดบริษัทแม่ไป แต่บริษัทสาขาต่างจังหวัดที่อุดรธานี ยังไม่ยอมปิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่รอให้มีผู้เสียหายมาแจ้งความก่อน เพราะอาจจะทำให้หลักฐานบางอย่างที่จะเอาผิดโยกย้ายไปที่อื่นก่อน จึงขอหมายค้นทำการตรวจค้นในครั้งนี้และพบยอดเงินของการขายหุ้นมีจำนวน 4,043,402 บาท ทั้งนี้ได้แจ้งไปยังที่ ศคบ.ในฐานะนายทะเบียนตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบขายตรง พ.ศ. 2545 ซึ่งมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจขายตรง ของ บริษัท อีซี่ เน็ตเวิร์ค มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ทำให้บริษัทดังกล่าว ไม่สามารถดำเนินกิจการได้ ซึ่งพฤติการณ์ของบริษัทดังกล่าว เป็นการระดมทุนโดยชักชวนหาสมาชิกมาร่วมลงทุน จากนั้นมีการทำสัญญาว่า สมาชิกจะได้ผลประโยชน์มากกว่าเงินที่ลงทุนไป ซึ่งเข้าข่ายทำธุรกิจแบบแชร์ข้าวสาร อันเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 จากคุณ : gem - [ 1 ธ.ค. 50 15:56:06 A:203.151.241.130 X: ]

ความคิดเห็นที่ 174 ผมขอลองเขียนตามที่ผมเข้าใจนะครับ              ยี่ปั้ว      อีซี่        สมาชิก  1         725     1000       1450      เงินเริ่มต้น  2         725     สินค้า      1450       อีซี่ซื้อสินค้ามาต้นทุน 1000  3        สินค้า    2175        0          ยี่ปั้วรับซื้อไป สมาชิกจ่ายเงินก่อน และถือหุ้น 1 หุ้น  4                 | 1675       500        ปันผลครั้งที่ 1   (หลังจากนี้ยี่ปั้วไม่เกี่ยวละ)    5                 |  175        2000      ปันผลครั้งที่ 2                                                  สรุป อีซี่ขาดทุน 825 บาทต่อ 1 หุ้น             ผมเข้าใจงี้ถูกหรือเปล่าครับ  ดูที่จำนวนเงินของแต่ละฝ่ายเลย ที่ผมมองว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ เพราะถ้าดูแล้วบริษัทจะขาดทุนต่อหุ้นๆละ 825 บาท แต่ทำไมถึงมีตังจ่ายปันผล เพราะในขั้นที่ 3 เงินจะอยู่ที่บริษัททั้งหมด บริษัทเอาเงินของคนใหม่ตรงนี้มาปันผลให้คนเก่าไปก่อน และรอหน้าใหม่คนต่อไปถึงจะปันผลให้คนเดิมได้   อย่างนี้ถูกหรือเปล่าครับ  ใครเข้าใจช่วยอธิบายให้ผมฟังด้วย จากคุณ : คนชอบฟัง - [ 1 ธ.ค. 50 15:58:38 ]

ความคิดเห็นที่ 175 ประเด็นอยู่ที่ว่าบริษัทให้สมาชิกซื้อสินค้าในราคาขายปลีก เพื่อนำไปขายให้กับยี่ปั๊วในราคาขายส่ง ซึ่งตรงนี้สมาชิกจะต้องแบกรับภาระขาดทุน ซึ่งไม่รู้ว่าเท่าไหร่ อันนี้แหละคือนัยยะแอบแฝง เผลอๆอาจจะมากกว่าเงินปันผลด้วยซ้ำ  สำหรับบริษัท ผมว่าถ้ามีการซื้อขายกันจริง ก็สามารถสั่งซื้อเป็น Volume Order จากผู้ผลิตโดยตรงได้ และอาจจะทำกำไรได้จากตรงนี้ได้ส่วนนึง  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น สุดท้ายแล้วความเสี่ยงทั้งหมดก็จะตกอยู่กับสมาชิก เพราะเงินที่บริษัทนำมาหมุนนั้นเป็นเงินที่บริษัทได้มาจากสมาชิกที่เข้ามาซื้อหุ้นข้าวสารของบริษัท จากคุณ : piras - [ 1 ธ.ค. 50 16:25:56 ]

ความคิดเห็นที่ 176 ^ ^ -ผิดตั้งแต่ ข้อ 3 ครับ -ผิดที่บอกว่า บริษัทขาดทุน 825 บาทต่อหุ้น เพราะ บริษัทขาย 1450 บาท vs ต้นทุน 1000 บาท ครับ -ผิด ที่บอกว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ -ผิด เพราะคุณเข้าใจผิด จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 17:12:07 ]

ความคิดเห็นที่ 177 คุณช่างกล อย่าลืมต้นทุนแอบแฝงที่ชื่อว่าสัญญาว่าจะปันผลด้วยนะ หุ้นละ 2000 เชียวนะ เท่ากับว่ารับเงินเข้ามา 450 ต้องเอาไปทำกำไรให้ไ้ด้ 2000 เชียวนะถึงจะปันผลได้ แล้วมันเอากำไรมาจากไหน? อย่าบอกว่าเอามาจากการขายของนะ เพราะว่ากำไรจากการขายของก็มีภาระต้องปันผลอยู่ดี จากคุณ : Nexus - [ 1 ธ.ค. 50 17:20:25 ]

ความคิดเห็นที่ 178 ซึ่งตรงนี้สมาชิกจะต้องแบกรับภาระขาดทุน ซึ่งไม่รู้ว่าเท่าไหร่ อันนี้แหละคือนัยยะแอบแฝง เผลอๆอาจจะมากกว่าเงินปันผลด้วยซ้ำ >>>>>>> ขึ้นอยู่กับว่า ซื้อข้าวแล้วจะขายฝาก หรือ ขายเอง ผมคิดให้ดูอย่างนี้ ต้นทุนข้าวสาร 1,000 บาท  (ไม่นับซื้อมาก ได้ส่วนลดเพิ่ม) Easy ขาย 1,450 บาท สมาชิกซื้อ 1,450 บาท ขายฝาก 725 บาท ..... (1) สมาชิกขาดทุน 725 บาท   (1) สมาชิกบางคน ขนข้าวสารไปขายเอง ขายได้ง่าย ระหว่าง 900กว่า - 1,000 บาท สมาชิกขาดทุน 450 บาท สมาชิกจะได้รับเงินปันผลแน่นอน 2,000 บาท เผลอๆยังไง สมาชิกก็ได้ปันผลมากกว่า  ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 1 ธ.ค. 50 17:22:25 ]