ความคิดเห็นที่ 1 นอกจากจ่ายยาก็อาจทำงานอื่นๆอีกเช่น รับ consult เรื่องการใช้ยา พิจารณาการใช้และการนำยาเข้าโรงพยาบาล ติดตามการใช้ยา บางที่ดูเรื่องแพ้ยาด้วย และอื่นๆ รอท่านถัดไป จากคุณ : ขอบฟ้าเหตุการณ์ - [ 2 ม.ค. 51 22:01:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ต้องมีสิครับ จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 2 ม.ค. 51 22:03:40 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เอ่อ จขกท ผมเป็นว่าที่เภสัชกรครับ อันที่จริง เภสัชกรมีบทบาทมากๆต่อสังคมมากกว่าที่คนทั่วไปคิด เป็นเพราะจุดด้อยของวิชาชีพเราเองที่ไม่แสดงบทบาทที่ชัดเจนให้กับประชาชน ยาที่ประชาชนกินกันทุกๆวัน บริโภคกันมูลค่าไม่รู้กี่สิบร้อยล้าน นั่นก็เภสัชกรเป็นผู้ผลิตนะครับ ยาราคาถูกที่ใช้ในประเทศก็ได้มาจากโรงงานยาที่เภสัชกรเป็นเจ้าของ และองค์การเภสัชกรรม หน่วยงานของรัฐบาล ในอุตสาหกรรมยา เภสัชกรเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากครับ ในชุมชนเวลาคนเราเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ ไม่สะดวกที่จะไปโรงพยาบาล ที่พึ่งได้ก็ร้านยาที่มีเภสัชกรประจำ ในโรงพยาบาล เภสัชกรมีหน้าที่ตรวจทานยาตามใบสั่งแพทย์ ว่าถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่ เพราะยาเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ ต้องตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนก่อนถึงมีประชาชนตาดำๆ ถามว่า อาชีพอื่นเช่น พยาบาล จ่ายยาแทนได้ไหม เนื่องจากเภสัชกรเรียนเนื้อหาที่เกี่ยวกับยา การใช้ยาในการรักษาโรค และทุกแง่มุมเกี่ยวกับยา มาตลอดหลักสูตร 5/6 ปี ย่อมมีความรู้ความชำนาญเหนือกว่าวิชาชีพอื่นที่ไม่ได้เรียนอย่างละเอียดลึกซึ้งเท่า น่าเสียดาย ที่ในสังคม ส่วนหนึ่งไม่ทราบบทบาทของเภสัชกร แต่นั่นก็เป็นหน้าที่ของพวกผมเช่นกัน ที่ต้องแสดงบทบาทของตนเองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รอความเห็นอื่นๆช่วยเสริม ผมคงอธิบายไม่ค่อยละเอียดเท่าไรนัก จากคุณ : Cryptomnesia - [ 2 ม.ค. 51 22:06:25 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มีทำไม ทำไมต้องมี ไม่มีไม่ได้เหรอ ในเมื่อคนอื่นๆ ก็จ่ายยา แทนได้อ่ะครับ ยังสงสัยๆ จากคุณ : หนาวจังเลย (ละอ่อนชายแดน) - [ 2 ม.ค. 51 22:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถามว่า อย่างไหนน่าจะปลอดภัยกว่ากันระหว่างเภสัชกรเป็นคนจ่าย กับคนที่ไม่ได้เรียนเภสัชเป็นคนจ่าย? จากคุณ : Cryptomnesia - [ 2 ม.ค. 51 22:13:18 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เอ่อ จขกท ผมเป็นว่าที่เภสัชกรครับ อันที่จริง เภสัชกรมีบทบาทมากๆต่อสังคมมากกว่าที่คนทั่วไปคิด เป็นเพราะจุดด้อยของวิชาชีพเราเองที่ไม่แสดงบทบาทที่ชัดเจนให้กับประชาชน ยาที่ประชาชนกินกันทุกๆวัน บริโภคกันมูลค่าไม่รู้กี่สิบร้อยล้าน นั่นก็เภสัชกรเป็นผู้ผลิตนะครับ ----------------------------------------- > > > นักวิทยาศาสตร์ ที่จบเคมี ผลิตได้ไหมครับ ????? ----------------------------------------- ยาราคาถูกที่ใช้ในประเทศก็ได้มาจากโรงงานยาที่เภสัชกรเป็นเจ้าของ และองค์การเภสัชกรรม หน่วยงานของรัฐบาล ในอุตสาหกรรมยา เภสัชกรเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากครับ ในชุมชนเวลาคนเราเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ ไม่สะดวกที่จะไปโรงพยาบาล ที่พึ่งได้ก็ร้านยาที่มีเภสัชกรประจำ ในโรงพยาบาล เภสัชกรมีหน้าที่ตรวจทานยาตามใบสั่งแพทย์ ว่าถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่ เพราะยาเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ ต้องตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนก่อนถึงมีประชาชนตาดำๆ ถามว่า อาชีพอื่นเช่น พยาบาล จ่ายยาแทนได้ไหม เนื่องจากเภสัชกรเรียนเนื้อหาที่เกี่ยวกับยา การใช้ยาในการรักษาโรค และทุกแง่มุมเกี่ยวกับยา มาตลอดหลักสูตร 5/6 ปี ย่อมมีความรู้ความชำนาญเหนือกว่าวิชาชีพอื่นที่ไม่ได้เรียนอย่างละเอียดลึกซึ้งเท่า --------------------------------------------------- > > > เรียนลึกซึ้งเท่า ??? ยังไง เรียนอะไรบ้าง แล้วเอามาใช้ยังไง ใครต้องการ ส่วนที่ลึกซึ้งบ้าง ---------------------------------------- น่าเสียดาย ที่ในสังคม ส่วนหนึ่งไม่ทราบบทบาทของเภสัชกร แต่นั่นก็เป็นหน้าที่ของพวกผมเช่นกัน ที่ต้องแสดงบทบาทของตนเองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รอความเห็นอื่นๆช่วยเสริม ผมคงอธิบายไม่ค่อยละเอียดเท่าไรนัก -------------------------------- > > > เห็นว่า พยาบาล ก็เรียนเรื่องยาเหมือนกันนี่นา คลินิกแถวบ้านผม เค้าก็เป็นพยาบาล ฉีดยา รักษา แต่คนทั่วไปก็เรียกหมอนะ ------- ----- --- - รู้สึกยังไม่เคลียร์ ยังไม่รู้สึกว่า จะมีเภสัชไว้ทำอะไร ???? ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่า ไม่ต้องมีอาชีพนี้ก็ได้ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 51 22:26:22 จากคุณ : เด็กมีปัญหา หา หา (ละอ่อนชายแดน) - [ 2 ม.ค. 51 22:23:54 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ล่อเป้าเปล่าครับ เอาที่แน่ๆเลยนะ เรียนมาทางอื่นทำไม่ได้แน่ พัฒนายาตัวใหม่ (เมืองไทยมีงานนี้ไหมหว่า) เภสัชจะเรียนเรื่องกลไกการออกฤทธิ์ต่อร่างกายของยาประเภทต่างๆ ไม่แค่เพียงรู้ว่ายานี้รักษาโรคนั้น ยานั้นรักษาโรคนี้ แต่ต้องรู้ด้วยว่ารักษาได้อย่างไร ยามีการทำงานอย่างไรในร่างกาย อย่างอื่นรอเภสัชตัวจริงมาตอบแล้วกันครับ ห้องนี้เพียบ จากคุณ : กฤตยฎีกา - [ 2 ม.ค. 51 22:32:25 ]

ความคิดเห็นที่ 8 นักวิทยาศาสตร์ ที่จบเคมี ผลิตได้ไหมครับ ????? - ไม่ได้ครับ เพราะไม่รู้กลไกในร่างกายมนุษย์ จากคุณ : สิงห์น้ำปั่น - [ 2 ม.ค. 51 22:35:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อ่อ ไม่ได้ครับ เภสัชกรจะรู้ว่า ยานี้รักษาโรคอะไร ต้องกินยา เช้า หรือ กลางวัน หรือ เย็น หลังอาหารหรือก่อนอาหาร ห้ามกินยานี้พร้อมกับยาอะไร ผลข้างเคียงคืออะไร ควรกินปริมาณเท่าใด ใครไม่ควรกิน เด็ก สตรี คนชรา ฯลฯ จบเคมีผลิตไม่ได้ครับ เพราะ ไม่รู้อยู่ดีว่าสารเคมีที่ผลิตเป็นยานี้จะเข้าไปทำอะไรที่ระบบใด ในร่างกายของเรา มีผลต่อสุขภาพอย่างไร สารนี้่ตกค้างหรือถูกขับออกมาอย่างไร และอีกมากมาย และเภสัชกรยังมีหน้าที่แนะนำลูกค้าให้ใช้ยาอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งแนะนำวิธีดูแลสุขภาพเบื้องต้น และแนะนำการใช้ยา อาแปะ อาเจ้ ที่ไม่ได้เรียนเภสัชศาสตร์ จะมาขายยาไม่ได้ สุขภาพและชีวิตของเราทุกคน มีความสำคัญมาก จะให้คนที่เราไม่แน่ใจในความรู้มาจ่ายยา เอายามาให้ เกิดเราเป็นอะไรไป ไม่คุ้มอย่างแน่นอน จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ 2 ม.ค. 51 22:42:07 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขุดกระทู้ อ่าว นึกว่าบอร์ดประมูล -"- (แอบเกรียน) -------------------------- นักวิจัย+นักวิย์ เคมี ก็น่าจะผลิตยาได้แล้วนี่นา -------------------------- เห็นกระทู้นู๊น สมัยไหนไม่รู้ บอกว่าพัฒนายาใหม่ ใช้เงินหลายพันล้านดอลล่า ....เลยไม่แน่ใจว่ามีทำหรือเปล่า หรือแค่ผลิตยาก๊อปปี้  ถ้าแค่นั้น นักวิทย์ ก็น่าจะทำได้นี่นา -- - ขุดกระทู้ต่อ จากคุณ : จะพัฒนา รากราคะ (ละอ่อนชายแดน) - [ 2 ม.ค. 51 22:45:25 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่มีได้ไงละ ไม่รู้แหละแต่เวลาไปซื้อยาก็ต้องถามหมอยาสิ อบอุ่นใจที่สุดแล้ว ถามหน่อย จขกท.มีอาชีพอะไรครับ จากคุณ : จุ๊บยางเป็ดน้อย - [ 2 ม.ค. 51 22:47:09 ]

ความคิดเห็นที่ 12 นี่แหล่ะครับ คนเบื้องหลังตัวจริง น่าเห็นใจนะครับ คนที่ทำงานเภสัชอ่ะ เหนื่อยนะจะบอกให้ จากคุณ : pattapon - [ 2 ม.ค. 51 22:49:40 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อย่างน้อยวิชาชีพมันก็ค้ำคอให้เภสัชกรเถียงเจ้าของบริษัทที่ไม่มีความรู้เรื่องยาได้ว่าอะไรควรยอมและไม่ควรยอม อย่างหัวชนฝา กรณีศึกษา ยาตัวหนึ่ง บริษัทยาซื้อเข้าเพื่อใช้ในการผลิตยาเพื่อจำหน่าย ยาตัวนี้ expire หรือหมดอายุไปแล้ว เจ้าของบริษัทคิดว่า ยาที่หมดอายุหรือเสื่อมคือ ยาที่มีตัวยาสลายตัวไป จนไม่พอที่จะผลิตให้ได้ตามสูตร ท่านสั่งให้เภสัชวิเคราะห์หาตัวยาสำคัญ แล้วคำนวณกลับว่าควรจะใส่ยาลงไปเท่าไหร่เพื่อให้ผลิตขายได้ ประมาณว่าเสียดายของ เภสัชเถียงหัวชนฝา "ไม่ได้" เพราะยาที่เลื่อมสลาย ไม่ไดมีแค่ตัวยาลดลงเท่านั้น แต่หมายถึงสารที่เสื่อมสลายจากยาซึ่งอาจจะเป็นพิษต่อร่างกายเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าบริษัทคิดจะทำแบบนี้ ต้องไม่ใช่ชั้นเป็นคนทำ ไปหาคนอื่นทำ ยาที่ชั้นผลิต ชั้นเป็นคนรับผิดชอบ คนไข้ที่กินยาชั้น ชั้นก็รับผิดชอบ (เพื่อนผมเอง... คุณว่าถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์เคมี เค้าจะเถียงโดยเอาตำแหน่งหน้าที่ในโรงงานที่ทำมาหลายปีมาต่อลองไม๊ล่ะครับ) จากคุณ : เภสัชกร (Wizard.) - [ 2 ม.ค. 51 22:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เอาแค่จ่ายยา คุณแน่ใจเหรอว่า คนที่ไม่ได้เรียนเภสัชจะรู้หน้าที่และขนาดของยาดีเท่าเภสัชกร? หรือคุณคิดว่าแค่อ่านฉลากข้างขวดแล้วขายๆไปตามฉลากก็จบ? เอาเถอะ คุณไม่เห็นประโยชน์ของเภสัชกรก็ไม่เป็นไร คนอื่นที่เห็นประโยชน์ยังมี เราคนนึงล่ะ และแค่คุณคนเดียวคงจะไปกำจัดเภสัชกรไปจากโลกนี้ไม่ได้อยู่แล้วด้วย คุณไม่ต้องการความลึกซึ้งของเภสัชกรก็ช่างหัวคุณ เราต้องการอ่ะ มีไรไหม???? คุณไม่ต้องการไม่ได้แปลว่าชาวบ้านชาวช่องคนอื่นเขาจะไม่ต้องการไปทั้งโลกเหมือนคุณนะ ยาเรากินเข้าไปในร่างกายเรา เราต้องการคนที่รู้เรื่องยาดีที่สุดให้คำแนะนำที่ดีที่สุดในการจ่ายยาให้เรา เพราะฉะนั้นเราขอคนที่รู้แบบลึกซึ้งดีกว่า ใครไม่เอาก็ช่างสิ ร่างกายใครร่างกายมัน ชีวิตใครชีวิตมัน บอกว่าเภสัชกรไม่มีประโยชน์ แล้วตัวคุณทำอาชีพอันมีประโยชน์อันใดหรือ วานบอก? จากคุณ : ฉันเป็นเจ้าหญิงคนต่อไป - [ 2 ม.ค. 51 22:56:11 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ดูๆ ไป ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าจำเป็นต้องมี งั๊น ตีโจทย์ให้แคบ 1. งานอะไรของเถสัชกร ที่คนอื่นทำแทน ได้ 2. กลับกัน งานอะไรบ้างที่คนอื่นทำแทนได้ ไม่จำเป็นต้องมีเภสัชกร .......... และยังไม่ค่อยเห็นภาพว่ามันจะร้ายแรงขนาดไหน ถ้าประเทศนี้ไม่มีเภสัชกร 3. ช่วยยกตัวอย่างให้ผมเห็นภาพทีครับว่าเหตุการณ์จะประมาณไหน ถ้าไม่มีเภสัชกร เช่น ประมาณว่า เกิดจราจลขึ้นใน กทม. ??? ผมแค่เวอร์ไป เพราะนึกภาพไม่ออกจริงๆ ครับ พอดีชอบ ชีวะ+เคมี อาจารย์แนะแนว แนะนำอาชีพ เภสัชกร แต่ถามกลับว่า เค้ามีไว้ทำอะไร ครูก็งง ??? จากคุณ : ยิ่งดึก ยิ่งหนาว (ละอ่อนชายแดน) - [ 2 ม.ค. 51 22:56:41 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ประเทศไทยใช้การ copy & development อยู่แล้ว เรื่อง research ตัวยาสำคัญ ไม่มีทางในประเทศไทยเพราะอุตสาหกรรมยาไม่ได้ให้ความสำคัญ สิ้นเปลือง ฝ่ายที่ทำการ research จริงๆ เป็นทาง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ  ที่เค้าทำการพัฒนารูปแบบของยาและสารจากสมุนไพรเป็นส่วนใหญ่ แต่การพัฒนาจนถึงขั้นใช้กับผู้ป่วย ต้องอาศัยความร่วมมือกับคณะแพทย์ และเมื่อมีผลงาน คนที่แถลงออกมาก็มักเป็นคณะแพทย์ออกหน้าครับ เรื่องทางราชการก็เหมือนกัน เภสัชทำ แต่แพทย์ได้ผลงาน ผู้อำนวยการได้ผลงาน รมต.ได้ผลงานก็มี (กรณีศึกษาเพียบเรื่องนี้) เภสัชกร จึงน่าจะเป็น ผู้ปิดทองหลังพระ จากคุณ : Wizard. - [ 2 ม.ค. 51 23:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตัวอย่างง่ายๆ ถ้าไม่มีเภสัชกร ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คุณก็ลองเข้าไปถามผู้อำนวยโรงพยาบาลที่ไหนก็ได้ ว่าถ้าผ.อ.ไล่เภสัชกรออกหมดโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะเกิดอะไรขึ้น ในสายตาประชาชน มันอาจจะไม่มีอะไรมาก แต่ในทางสาธารณสุข ผมว่าเรื่องใหญ่ จากคุณ : Wizard. - [ 2 ม.ค. 51 23:05:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ปิดทองหลังพระไปเรื่อยๆ ทองจะล้นออกมาด้านหน้าเองครับ จากพระราชดำรัส จากคุณ : positivex - [ 2 ม.ค. 51 23:14:27 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถามกลับ อะไรที่พยาบาลทำได้ เภสัชกรทำไม่ได้ ขอโทษครับ ถ้าฉีดยา ทำแผล วัดความดัน เภสัชก็ทำได้ครับ แต่อาจจะไม่เชี่ยว แต่ด้วยกฏหมายและจรรยาวิชาชีพเค้าไม่ให้ทำเท่านั้นเอง แล้วที่ปกติเภสัชไม่เป็นที่รู้จักของสังคมมากๆก็เพราะกฏหมายและการบังคับใช้ตามพรบ.ยามันห่วยครับ อาแป๊ะ อาซิ้มที่ไหนก็ขายยาได้ พยาบาลขายยาได้ เจ้าหน้าที่อนามัยขายยาได้ หมอทหารสมัยก่อนขายยาได้ (แถวบ้านผม เค้าบอกคนไข้ไตอักเสบ เอายาล้างไตไปกินประจำ...) ร้านชำก็ขายยาได้ ยาชุดด้วย(แต่ร้านยาเภสัชไม่ขายเพราะมันผิดกฏหมาย) ยาอันตราย ยาควบคุม วัตถุออกฤทธิ์ พี่แกขายหมด (แต่ร้านยาเภสัชไม่ขายเพราะมันผิดกฏหมาย) viagra, ยาทำแท้ง ขายเกลื่อน web (แต่เภสัชไม่ขายเพราะมันผิดกฏหมาย เรียนมารู้ว่าขายผ่าน web ไม่ได้ ไม่งั้นน้องน่าจะเห็น e-commerce ยาเป็นล่ำเป็นสันแล้วล่ะ) เมืองนอก ร้านขายยา ต้องมีเภสัชกรเท่านั้น ประเทศไทย... ปลง.... อย่าเรียนเลยน้อง... หรือถ้าจะเรียนก็ไปอยู่เมืองนอก... ประเทศไทย... ชีวิตเภสัชกรมันรันทด... จากคุณ : Wizard. - [ 2 ม.ค. 51 23:14:55 ]

ความคิดเห็นที่ 20 กระทู้นี้สนุกดี จากคุณ : super toodtu - [ 2 ม.ค. 51 23:15:20 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ตัวอย่างง่ายๆ ถ้าไม่มีเภสัชกร ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คุณก็ลองเข้าไปถามผู้อำนวยโรงพยาบาลที่ไหนก็ได้ ว่าถ้าผ.อ.ไล่เภสัชกรออกหมดโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะเกิดอะไรขึ้น ------------ > > > ขอบคุณครับ สำหรับความเห็นนี้ เป็น ไอเดียที่ดีครับ อยากรู้จัง ว่า ผอ จะตอบว่าอย่างงไรบ้าง ------------- ในสายตาประชาชน มันอาจจะไม่มีอะไรมาก แต่ในทางสาธารณสุข ผมว่าเรื่องใหญ่ จากคุณ : จะนอนแย้ว หนาว (ละอ่อนชายแดน) - [ 2 ม.ค. 51 23:18:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ความคิดเห็นที่ 9   อ่อ ไม่ได้ครับ เภสัชกรจะรู้ว่า ยานี้รักษาโรคอะไร ต้องกินยา เช้า หรือ กลางวัน หรือ เย็น หลังอาหารหรือก่อนอาหาร ห้ามกินยานี้พร้อมกับยาอะไร ผลข้างเคียงคืออะไร ควรกินปริมาณเท่าใด ใครไม่ควรกิน เด็ก สตรี คนชรา ฯลฯ จบเคมีผลิตไม่ได้ครับ เพราะ ไม่รู้อยู่ดีว่าสารเคมีที่ผลิตเป็นยานี้จะเข้าไปทำอะไรที่ระบบใด ในร่างกายของเรา มีผลต่อสุขภาพอย่างไร สารนี้่ตกค้างหรือถูกขับออกมาอย่างไร และอีกมากมาย และเภสัชกรยังมีหน้าที่แนะนำลูกค้าให้ใช้ยาอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งแนะนำวิธีดูแลสุขภาพเบื้องต้น และแนะนำการใช้ยา อาแปะ อาเจ้ ที่ไม่ได้เรียนเภสัชศาสตร์ จะมาขายยาไม่ได้ สุขภาพและชีวิตของเราทุกคน มีความสำคัญมาก จะให้คนที่เราไม่แน่ใจในความรู้มาจ่ายยา เอายามาให้ เกิดเราเป็นอะไรไป ไม่คุ้มอย่างแน่นอน จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง   - [ 2 ม.ค. 51 22:42:07 ]      เฉพาะเรื่องที่คุณ Sir.ขงเบ้ง   บอกมา   ถ้าคุณอ่านและพยายามทำความเข้าใจให้ดีคุณก็จะรู้ว่านักเคมีทำแทนไม่ได้     เพราะนักเคมีไม่ได้เรียนรู้เรื่องกายวิภาคอย่างละเอียด   แต่เภสัชฯต้องเรียนทั้งเคมีและเรื่องของผลที่ยาหรือสารเคมีต่างๆมีต่อร่างกายอย่างละเอียด        ถ้าแค่ผลิตเฉยๆคงทำได้    แต่ผลิตแล้วออกฤทธิ์ต่อร่างกายอย่างไรจะปรับปรุงสูตรได้อย่างไรคงทำไม่ได้ จากคุณ : kimwong - [ 2 ม.ค. 51 23:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตัวอย่างง่ายๆ ถ้าไม่มีเภสัชกร ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คุณก็ลองเข้าไปถามผู้อำนวยโรงพยาบาลที่ไหนก็ได้ ว่าถ้าผ.อ.ไล่เภสัชกรออกหมดโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะเกิดอะไรขึ้น ------------ > > > ขอบคุณครับ สำหรับความเห็นนี้ เป็น ไอเดียที่ดีครับ อยากรู้จัง ว่า ผอ จะตอบว่าอย่างงไรบ้าง ------------- ถ้าตอบว่า ก็ไม่มีคนจ่ายยายังไงล่ะ อ่าวแย่เลย ต้องมาถามในนี้ต่อ ------------- ในสายตาประชาชน มันอาจจะไม่มีอะไรมาก แต่ในทางสาธารณสุข ผมว่าเรื่องใหญ่ ----------- จากคุณ : จะนอนแย้ว หนาว (ละอ่อนชายแดน) - [ 2 ม.ค. 51 23:21:47 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผมเป็นเภสัชกรตัวเล็กๆคนหนึ่งในประเทศนี้ครับ ผมภูมิใจในวิชาชีพของผม ผมได้ใช้วิชาชีพของผมในการทำงานแทบทุกวัน แต่ ด้วยข้อจำกัดที่เป็นสิ่งแวดล้อมภายนอกวิชาชีพ เช่นเรื่อง กฎหมายต่าง ๆโดยเฉพาะ พรบ.ยา  ที่เป็นเสือกระดาษตลอดมา....และตลอดไป สรุป.....ผมไม่เคยแนะนำให้ใครมาเรียนคณะเภสัชศาสตร์เลย ผมแนะนำเสมอว่า ถ้า ระบบสา'สุข ของเรายังเป็นเช่นทุกวันนี้ เรียนเภสัชไป ก้อ เท่านั้น......คะแนนตอนสอบ พอๆกับแพทย์ เพื่อความก้าวหน้าในการงานอาชีพ เรียนต่างกันแค่ปีเดียว พอจบออกมา การยอมรับ ช่างแตกต่างกันราว..หน้ามือ กับหลัง(....นึกเอา) จากคุณ : 1358v6 - [ 2 ม.ค. 51 23:35:24 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ก็เหมือนน้องถามว่า วิศวกรโยธา ไฟฟ้า เครื่องกล ไม่ต้องมีก็ได้ ให้นักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ ทำแทน ถามว่าคนจบฟิสิกส์ เข้าใจมั้ย เข้าใจ รู้เรื่องมั้ย รู้ แต่ รู้มั้ยว่า อะไร คือจุดสำคัญ เช่น เรื่องแรงของโครงสร้าง ฟิสิกส์ก็เรียน กลศาสตร์ ต่างๆ แต่ ฟิสิกส เข้าใจ เรื่อง วัสดุ มากน้อยแค่ไหน เข้าใจ การขั้นตอนการก่อสร้างขนาดไหน อันนึง มันเป็น เพียว ความรู้ อีกอันมันเป็น ความรู้ที่ประยุกต์ ขึ้นมา มันใช้แทนกันไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : วัยละอ่อน - [ 2 ม.ค. 51 23:35:26 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เท่าที่ฟังดู เภสัชกร มี 2 งาน ผลิตยา กับโรงพยาบาล .. .. ...??? ไม่ได้เห็นแก่เงิน แต่อยากรู้ว่า ได้ประมาณเท่าไรครับ 1. เทียบกับที่ควรจะเป็น มาก หรือ น้อย ในความเห็นของพี่ๆ 2. เดือนละ ประมาณเท่าไรครับ จากคุณ : ขุดกระทู้ (ละอ่อนชายแดน) - [ 2 ม.ค. 51 23:38:03 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าไม่เข้าใจถามได้เรื่อยๆครับไม่เป็นไร เคยเข้าไปดูเวบรับสมัครงาน เงินเดือนผมเห็นเริ่มบางคนก้ 10000-13000 มีประสบการสักพักก้ 20000 อ่ะครับ ถ้าตามร้านขายยาใหญ่ๆอาจจะถึง 50,000 ก้มีครับ แต่พวกผลิตยา ดีเทลยา ไม่ค่อยรู้ครับ จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ 2 ม.ค. 51 23:51:55 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่มีความคิดเห็นใดๆครับ แต่ขอชื่นชม จขกท ที่ศึกษาข้อมูลและตั้งคำุถาม รวมถึงคิดวิเคราะห์ได้ดีครับ ไม่ได้มาถามและตอบแบบเกรียนๆ แต่มาถามเพราะความไม่รู้ซึ่งเกิดจากความไม่ชัดเจนของวิชาีชีพจริงๆ เมื่อมีการอธิบายก็พร้อมที่จะเข้าใจ แม้ว่าอาจจะได้คำตอบที่ไม่ตรงใจ จขกท นักก็ตาม ส่วนตัว ขอขอบคุณ จขกท ที่สะท้อนปัญหาเกี่ยวกับวิชาชีพให้ได้รับรู้กัน และหวังว่าเสียงเล็กของ จขกท นี้จะไปถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายต่อไป จากคุณ : Philosophos - [ 3 ม.ค. 51 00:02:38 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อือ ดูๆไป อาชีพเภสัช เหมือนลูกเมียน้อยเลยเนอะ จริงๆ เขาสำคัญมากๆนะ แต่เหมือนเขาจะไม่เด่น หรือ ไม่มีบุคคลที่โดดเด่นออกมาจนออกข่าว ทีวี คนรู้จักทั่วไปอ่ะ เราก็เพิ่งมาสนใจเภสัช ตอน เภสัชกรยิปซี ไทยที่ค้นคว้า ยาโรคเอดส์นี่แหล่ะ ก่อนหน้านั้น ก็ไม่ค่อยสนใจอาชีพนี้เท่าไหร่ บางคนจะเอนท์ ก็ชอบบอกว่า ไป เอนท์หมอเลยดีกว่า อะไรประมาณนั้น เราว่า ทางองค์กรวิชาชีพ คงต้องทำความเข้าใจกับประชาชนทั่วไป ถึงบทบาทของอาชีพ เภสัชกร มากกว่านี้ ว่ามีความสำคัญอะไรบ้าง ถึงจะดีเนอะ ปล. เราไม่รู้ว่า รู้สึกเองเปล่า เราว่า เภสัชกรบ้านเรา เขาโดนกดดัน จากบริษัทยาค่อนข้างเยอะอ่ะ รุ้สึกว่า บริษัทยา จะมีเรื่องใต้โต๊ะ เรื่อง สิทธิบัตรนู่นนี่ เยอะมากๆ  เห็นอ่านในเรื่อง เภสัชกรยิปซี ที่บอกว่า มีการล๊อบบี้ เขา ตั้งแต่เขาเริ่มจะผลิตยาต้านเอดส์อ่ะ เพราะการผลิตยาชนิดหนึ่ง มันมีผลประโยชน์มหาศาลที่กระทบอยู่ บางที ยาแก้ปวดหัว ถ้าเราคิดแบบใหม่ได้ ก็มีการ กดดัน ให้ยาเราเกิดไม่ได้ เพราะบริษัทอื่นๆไม่ยอม การ จะส่งยาเข้าแต่ละรพ. ก็มีเส้นสายกันน่าดู เลยทำให้ เรื่องผลงานของเภสัชไม่โดดเด่น เท่าที่ควรหรือเปล่า เพราะต้องอยู่คอยเป็นเบื้องหลัง ออกนอกหน้ามากไม่ได้ เดี๋ยวโดน แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 51 00:20:05 จากคุณ : chosen - [ 3 ม.ค. 51 00:15:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30 "เงินไม่มาก แต่ภาคภูมิใจ" เภสัชกร ไม่อาจเปรียบเทียบกับวิชาชีพ หรืออาชีพ ใดใด แค่ขอทำหน้าที่ดูแล"ระบบยา"ของประชาชน ต่อไปเท่าที่สังคมยังให้โอกาส โดยใช้ความรู้ ความสามารถ คู่ไปกับ คุณธรรมในเชิงวิชาชีพหรือที่เรียกกันว่า"จรรยาบรรณ" จากอะไรหลายๆอย่าง ทำให้เราอาจไม่มีแรงพอ ที่จะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รู้จัก และเห็นคุณค่า แต่จากอะไรหลายๆอย่างเช่นกัน ที่ทำให้รับรู้ว่า ยังมีประชาชนและสังคมส่วนหนึ่ง ยอมรับ และเห็นคุณค่าในความเป็น "เภสัชกร" "ดีใจไปทั้งวัน ที่ช่วยไม่ให้คนท้องคนนึงรับยาที่อาจทำให้ลูกในท้องเกิดความพิการได้" "โล่งใจนัก ที่เภสัชกรสามารถช่วย ผู้ป่วยคนนึงที่เคยแพ้ยาแบบ steven jonhson syndrome และกำลังจะได้รับยานั้นซ้ำไปอีก รอดจากการที่จะได้รับยานั้นซ้ำไปอีกโดยช่วยดูรายการยาในใบบสั่งยาและสอบถามกับผู้ป่วย" "อืม!! ป้า ยาที่ป้าได้รับคู่กันนี้อาจทำให้ยาอีกตัวหนึ่งออกฤทธิ์มากกเกินจนเกิดพิษได้นะ เด๋วหนูขอกลับไปทบทวนกับคุณหมออีครั้งแล้วกันนะ ว่าต้องปรับลดยาหรือเปล่า" "หนูๆห้องเภสัชกร ไปทางไหน ป้ามาปรึกษาเรื่องยา" แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 51 00:42:15 จากคุณ : กาบ้า (GaBa) - [ 3 ม.ค. 51 00:28:54 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผมว่าเจ้าของกระทู้เข้าใจถาม แม้ว่าคำถามอาจจะดูไม่น่าฟัง   แต่ถ้าถามตอบกันแบบไม่มีอคติไปเรื่อยๆ คือไม่ได้คิดไปว่าเภสัชกรจะมีหรือไม่มีประโยชน์ (ทุกอาชีพเป็นฟันเฟืองของสังคมนี้ทั้งนั้นแหล่ะครับ) ผมก็อยากรู้ครับ อ่านดูต่อดีกว่า จากคุณ : ไม่งง (ไม่งงครับ ไม่งง) - [ 3 ม.ค. 51 00:32:00 ]

ความคิดเห็นที่ 32 รอ Adrenaline มาตอบ จากคุณ : atheist - [ 3 ม.ค. 51 00:45:10 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ ผมเข้าใจครับว่าเรียนหนักมาก ๆ แต่ว่า ๆ สุดท้ายแล้ว เภสัชกรที่เรียนสายโรงพยาบาล แล้วทำงานในโรงพยาบาลน่ะครับ ก็ต้องรับใบสั่งยา จากหมอ แล้วก็ไปเลือกยามาจ่ายยาเฉย ๆ อันนี้ล่ะครับ ที่ผมงง ๆ อยู่ ว่า ถ้าหยั่งงี้ แล้วจะมีเภสัชกรในโรงพยาบาลทำไมล่ะนี่ หรือว่าจริง ๆ ยังมีหน้าที่อื่นอยู่เหรอครับ ช่วยตอบผมที ผมสงสัยมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วล่ะครับ จากคุณ : Stfurol - [ 3 ม.ค. 51 00:46:53 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขี้เกียจรอละ เห็นตอบไว้แล้วมาดูกัน กว่าจะเป็นเภสัช ไม่ง่ายนะครับ - ทำไมต้องมีเภสัช 1-5 http://tiny.cc/epi01 http://tiny.cc/epi02 http://tiny.cc/epi03 http://tiny.cc/epi04 http://tiny.cc/epi05 ทำลิงค์ให้สั้นเฉยๆครับ อยุ่ในบล็อกคุณกอล์ฟ ........................ น่าจะกระจ่างพอนะครับ จากคุณ : atheist - [ 3 ม.ค. 51 00:53:59 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขาดเภสัชกรไปก็ไม่มีผลอะไรต่อสังคมครับ เหมือน ขาดพยาบาลไป ก็ไม่เห็นเป็นไร งานอะไรล่ะที่คนทั่วไปทำไม่ได้ แค่เช็ดอุจจาระปัสสาวะ วัดไข้ ให้ยา เช็ดตัว ใครๆก็ทำได้ ขาดหมอไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร งานอะไรที่หมอทำแล้วคนทั่วไปทำไม่ได้ล่ะ แค่ฟังปอด กดลิ้น ดูคอ สั่งยา งานแค่นี้เปิดหนังสือดูชื่อโรคแล้วสั่งยาตามก็ยังได้ ดังนั้นเภสัชกร พยาบาล แพทย์ เป็ฯอาชีพที่ไม่มี ประเทศนี้ก็ไม่เป็นอะไรครับ จากคุณ : หมอแมว - [ 3 ม.ค. 51 01:29:49 ]

ความคิดเห็นที่ 36 #33 หมอ ทำหน้าที่วิเคราะห์โรค และกำหนดแนวทางการรักษา พยาบาล ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหมอในการรักษา และคอยดูแลคนไข้ เภสัชกร ทำหน้าที่ดูแลการใช้ยา ตัวอย่าง มีคนไข้มาหาหมอ หมอจะทำการวิเคราะห์ว่าอาการนี้น่าจะเป็นโรคอะไร โรคหลายอย่างจะมีอาการคล้ายกันบ้าง หมอถึงต้องให้มีการ"ดูอาการ" และ"ถ้ามีอาการเปลี่ยนแปลงให้รีบปรึกษาแพทย์" จากนั้นหมอ จะกำหนดแนวทางการรักษา ตามอาการป่วย และสภาพร่างกายของคนป่วย เช่น เป็นมะเร็ง เป็นขั้นไหนแล้ว ลุกลามถึงขั้นไหน มีส่วนไหนเป็นเนื้อร้ายบ้าง การรักษาแบบไหนใช้ได้ผลไม่ได้ผล คนไข้อายุเท่าไหร่ มีอาการเจ็บป่วยอะไรอย่างอื่นที่จะส่งผลต่อวิธีการรักษาหรือไม่ ใช้ยาได้มั้ย ใช้วิธีคีโมได้มั้ย ใช้วิธีผ่าตัดได้มั้ย สมมติว่าต้องแอดมิท พยาบาลจะเป็นคนดูแลเรื่องสภาพความเป็นอยู่ของผู้ป่วย ดูแลให้ได้รับอาหารและยาตามกำหนดเวลา สำหรับคนไข้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ต้องคอยให้ความช่วยเหลือ เช่นพลิกตัวให้ คอยติดตามดูอาการของผู้ป่วย แล้วรายงานแพทย์ พยาบาลเป็นผู้ช่วย ไม่มีสิทธิ์สั่งยา ว่าต้องใช้ยาชนิดไหน ไม่มีสิทธิ์วิเคราะห์โรคและอาการป่วย และไม่มีสิทธิ์รักษาผู้ป่วย นอกจากกรณีฉุกเฉิน ถ้าไม่ทำจะส่งผลต่อชีวิตของผู้ป่วย เภสัชกร จะรับหน้าที่ดูแลและควบคุมการใช้ยา รับหน้าที่ต่อจากหมอ หมอวิเคราะห์โรคมาให้แล้ว เภสัชจะมีหน้าที่ตรวจสอบว่าต้องใช้ยาอะไร ขนาดเท่าไหร่ มียาตัวไหนที่มันซ้ำซ้อนกัน หรือมียาตัวไหนที่ออกฤทธิ์ต้านกัน คนไข้แพ้ยาตัวนี้ แล้วมียาอื่นที่ออกฤทธิ์ใกล้เคียงกันหรือเปล่า เคยอ่านเจอเรื่องเล่าจากเภสัชกรบางท่านว่ามีคนไข้บางคน ไปหาหมอ2คนเพื่อรักษา2โรค แต่ปรากฏว่าหมอ2คนเผอิญสั่งยาตัวเดียวกัน ซึ่งถ้าจ่ายยาให้ไป2ชุด จะ overdose หมอ จะเรียนเรื่องการรักษา จะรู้ว่าโรคไหนต้องใช้ยาอะไร ไม่มีหน้าที่จะต้องไปผลิตยา พยาบาล จะเรียนเรื่องการดูแลคนป่วย จะต้องรู้จักยา เพราะเขามีหน้าที่ให้ยาคนป่วย ถ้าไม่รู้จักยาแล้วจะให้ยาได้ยังไง เภสัชกร จะเรียนเรื่องคุณสมบัติและหน้าที่ของยา ว่ายาตัวไหนออกฤทธิ์ยังไง มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ยาตัวไหนมีฤทธิ์ต้านกัน ขัดการทำงานกัน หรือด้วยกันแล้วเป็นพิษ ทั้ง3อาชีพนี้ ก็เหมือนอาชีพอื่นๆคือ เมื่อขาดอาชีพใดไป ก็ยังพอทำแทนกันได้แก้ขัด แต่แน่นอนว่าทำได้ไม่ดีเท่า เช่น แพทย์ในที่ห่างไกล ขาดพยาบาลและเภสัชกร ก็สามารถจ่ายยาและดูแลผู้ป่วยได้เหมือนกัน พยาบาล เมื่อหมอเวรยังมาไม่ถึง สามารถรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินได้ ถ้าผู้ป่วยกำลังจะตาย เภสัชกร (โดยเฉพาะในไทย) ลูกค้าเข้าร้านมาโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ สามารถวิคราะห์ได้คร่าวๆว่า อาการนี้คนไข้ป่วยเป็นอะไร เป็นโรคจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ยาตัวไหนให้ผลดีกว่า จากคุณ : ฉันเป็นเจ้าหญิงคนต่อไป - [ 3 ม.ค. 51 01:50:51 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ตอบจขกท.นะ attitude อย่างคุณ ไม่แนะนำให้เรียนอาชีพเกี่ยวกะสาธารณสุข ไม่ว่าจะเกี่ยวกับคนหรือสัตว์ อย่างคุณถ้าเรียน science แนะนำให้เรียน apply science จะเหมาะกับคุณมากกว่า สาขาวิชาที่ต้องใช้เคมีและชีวะอย่างอื่นยังพอมี เช่น food technology, biotechnology, zoology, agriculture technology เรียนแนวๆนี้ไปเหอะ หรือจะเรียนพวก pure science ไปก็ได้ อย่างพวก microbiology จากคุณ : ฉันเป็นเจ้าหญิงคนต่อไป - [ 3 ม.ค. 51 02:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พอดีมีแม่จบเภสัชฯ และ พี่สาวเป็นหมอ แต่ตัวเองจบวิศวะ เภสัชกร ก็เหมือนช่างตีดาบ ส่วน หมอก็คือนักดาบไงครับ พูดง่ายๆ จากคุณ : Fred_Flintstone - [ 3 ม.ค. 51 07:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มีอยู่ข้อ ยังไม่มีใครตอบ "เภสัชมีความสามารถพิเศษในการอ่านลายมือหมอ....." จากคุณ : *+*ข น ม ผิ ง ข้ า ง เ ต า*+* - [ 3 ม.ค. 51 07:48:17 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คห 39  ขำดีค่ะ ด้วยความเคารพในวิชาชีพค่ะ   ในฐานะเภสัชกรที่ทำงานในโรงงานผลิตยาคนหนึ่ง  กลุ่มของพวกเราชาวเภสัชอุตสาหกรรมจัดเป็นเพียงหน่วยเล็กๆ ในองค์กรวิชาชีพ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วการค้นพบโมเลกุลใหม่ๆ นั้นควรเป็นของนักเคมีทั้งหลาย แต่การทดสอบว่าโมเลกุลเหล่านั้นมีผลอย่างไรกับร่างกายมนุษย์  ความจริงแล้วถ้าเรียนมาก็ทำได้  ดังนั้นงานนี้มิใช่เภสัชกรก็ทำได้ค่ะ การทดสอบกับมนุษย์หรือสัตว์ จำเป็นต้องอาศัยสหวิทยาเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็น นักเภสัชวิทยา  แพทย์  พยาบาล หรือแม้กระทั่งนักพิษวิทยา  ไม่ได้บอกนะคะว่าจำเป็นต้องเป็นเภสัชกร  แต่ขอให้มีความรู้เรื่องยาก็ทำได้ค่ะ การนำโมเลกุลสังเคราะห์มาทำให้อยู่ในรูปที่เอาไปใช้งานได้  เช่น รูปยากิน  ยาทา ยาฉีด  เติมนั่นเติมนี่ เพื่อให้ออกฤทธิ์เร็วช้าตามต้องการ  ออกฤทธิ์ตรงตำแหน่งที่ต้องการ  ป้องกันผลข้างเคียง  สะดวกใช้  หลายเหตุผล ที่อยากให้ยานั้นจะเป็น  ก็เหมือนกันค่ะ มีความรู้ก็ทำได้  เพียงแต่พวกเราเรียนมามากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น การผลิตยา วิศวกร นักวิทย์เคมี ก็คุมคนผลิตได้ค่ะ  แต่ความจำเป็นปัจจุบันอยู่ที่ตัวบทกฎหมาย พรบ ยา  ที่ว่า  โรงงานผลิตยาต้องมีเภสัชกรชั้น 1 เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการค่ะ   ถามว่า ถ้ามีแต่นักวิทย์เคมี วิศวกรอยู่โรงงานทำยาได้ไหม  เคยลองแล้วค่ะ ไม่ได้ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร  อาจเป็นที่ประสบการณ์ แต่ด้วยความภาคภูมิใจในวิชาชีพเภสัชกรค่ะ  เราจะทำยาที่มีคุณภาพ ราคาสมเหตุสมผล ให้คนไทยได้ใช้ค่ะ จากคุณ : jusuran - [ 3 ม.ค. 51 08:47:08 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เภสัชกร เขามีไว้ปรุงยา ผลิตยา วิจัยยา ครับ แต่บ้านเราเอาไว้จ่ายยา กับเปิดร้านขายยา วิศวกรก็เหมือนกัน เขาไว้ออกแบบ ควบคุม ป้องกัน ปรับปรุงงานทางวิศวกรรม แต่บ้านเรามีลูกจ้างตำแหน่งวิศวกร แต่หน้าที่ งานที่ทำก็เป็นแค่พนักงานออฟฟิซธรรมดาไม่ค่อยได้ทำงานวิศวกรรมกันสักเท่าไหร่ จากคุณ : Ricardo Kaka - [ 3 ม.ค. 51 09:30:23 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ลองอ่านที่นี่แล้วกันครับ http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2007/11/L6004064/L6004064.html ผมไม่รู้จะตอบอย่างไรให้คนเข้าใจได้มากไปกว่าที่ท่านบนๆ ได้ตอบไว้ครับ ขอบคุณจขกท. ที่ให้ความสนใจในวิชาชีพผมครับ แต่อยากเพิ่มเติมคือ การทำงานในเชิงระบบ จริงอยู่ทีเ่ภสัชกรจะได้สัมผัสผู้ป่วยน้อยมาก แต่การวางระบบเพื่อให้การสัมผัสผู้ป่วยของแพทย์และพยาบาลในด้านยาเป็นไปอย่างเหมาะสมและปลอดภัย เราทำได้มากมาย กว่าที่หมอจะสั่งยาและพยาบาลจะให้ยาคนไข้ ระบบของยาจะถูกวางแผนโดยคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัดซึ่งมีแพทย์ พยาบาล และเภสัชกรร่วมกันครับ นอกจากนี้ยังมีการคัดเลือกยาซึ่งจะทำโดยเภสัชกรและแพทย์ โดยเภสัชกรจะเลือกยาที่มีความเหมาะสมในการใช้ ส่วนแพทย์จะเลือกยาที่ต้องการใช้ครับ เป็นการวางระบบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่ผู้รับบริการ จากคุณ : Epinephrine - [ 3 ม.ค. 51 09:37:45 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คล้ายๆกับการที่ คนไม่รู้เรื่องไฟฟ้าบอกว่า "ฟิวส์ไม่เห็นจำเป็นเลย มีหน้าที่แค่ไฟฟ้าวิ่งผ่าน สายไฟฟ้าก็ทำอย่างนั้นได้ กลับก่อเรื่องเดือดร้อนอีก เวลาขาดฟิวส์ขาด ต้องไปหามาเปลี่ยนให้ยุ่งยาก" หรือ กรณีที่บอกว่า "สถาปนิกไม่เห็นจำเป็นเลย แบบบ้านก็ก็อปๆกันมาได้" แล้วแบบบ้านนั้น แผ่นต้นแบบมันเกิดเองเหรอครับ ลองไปดูกระทู้ออกแบบสถานีรถไฟของคุณ perspeceviT สิครับ มันมีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่ ไม่สามารถเกิดได้จากการก็อปปี้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X6148945/X6148945.html จากคุณ : ksk - [ 3 ม.ค. 51 09:40:45 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทราบมาว่ารายการ "กบนอกกะลา" วันศุกร์ที่4มค.นี้จะทำเรื่องเกี่ยวกับ "ยา และ บาบาทของเภสัชกร" เป็นจำนวนทั้งหมด 3ตอน ขอเชิญ ทุกท่านติดตามด้วยครับ ผมเองยังไม่ได้ดูในรายละเอียด แต่เชื่อในฝีมือของทีมงาน กบนอกกะลาว่า เค้าจะเปิดบทบาทของวิชาชีพเภสัชและกระบวนการทำ ยา รวมถึง การกระจาย ยา สู่ประชาชนผู้บริโภค ได้อย่างดีเหมือนตอนอื่นๆที่เค้าทำมา จากคุณ : apotheker - [ 3 ม.ค. 51 09:44:48 ]

ความคิดเห็นที่ 45 http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L6195138/L6195138.html มาทำลิงค์รายละเอียดเพิ่มเติมของท่าน apotheker ครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 3 ม.ค. 51 11:04:46 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ความคิดเห็นที่ 33 ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ ผมเข้าใจครับว่าเรียนหนักมาก ๆ แต่ว่า ๆ สุดท้ายแล้ว เภสัชกรที่เรียนสายโรงพยาบาล แล้วทำงานในโรงพยาบาลน่ะครับ ก็ต้องรับใบสั่งยา จากหมอ แล้วก็ไปเลือกยามาจ่ายยาเฉย ๆ อันนี้ล่ะครับ ที่ผมงง ๆ อยู่ ว่า ถ้าหยั่งงี้ แล้วจะมีเภสัชกรในโรงพยาบาลทำไมล่ะนี่ หรือว่าจริง ๆ ยังมีหน้าที่อื่นอยู่เหรอครับ ช่วยตอบผมที ผมสงสัยมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วล่ะครับ จากคุณ : Stfurol - [ 3 ม.ค. 51 00:46:53 ] ตามปกติ ใบสั่งยาก็จะไม่ค่อยมีปัญหา สามารถจ่ายได้ตามที่หมอสั่งเลย แต่นานๆที ก็มีใบสั่งที่มีปัญหา อาจจะให้ผิดขนาด ให้ยาที่ไม่ควรใช้พร้อมกัน หรือที่รุนแรงกว่าก็เช่น ยาที่คนท้องห้ามใช้ ยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง เภสัชกรทำหน้าที่คัดกรองใบสั่งยาที่อาจจะมีปัญหา และกลับไปปรึกษาและให้คำแนะนำหมอว่าควรเปลี่ยนไปใช้ยาอะไร เหมือน คห. ข้างบนบอกว่าเหมือนเป็นฟิวส์ ใบสั่งปกติ ก็ไหลไปไม่สะดุด ตาปีตาชาติฟิวส์ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่พอเจอใบไหนมีปัญหา ฟิวส์ก็จะทำงาน จากคุณ : alan the lamb - [ 3 ม.ค. 51 11:49:50 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เรามาดูการเดินทางของระบบยาในไทยกันง่ายๆ ดีกว่า 1. เตรียมสูตรตำรับ แม้ว่าเราจะ Copy & Developement แต่การทำ C&D นั้น ก็ต้องใช้ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีเภสัชกรรม เพื่อให้ยาสามารถใช้งานได้มากที่สุด เพราะเรา copy มาแค่ chemical ครับ ไม่ได้ copy สูตรตำรับมาด้วย 2. ตั้งสูตรเสร็จก็ผลิต การผลิตก็ต้องดูคุณภาพของวัตถุดิบ และจัดการควบคุมให้วัตถุดิบอยู่ในระดับทีเ่หมาะสม ตรงนี้แม้จะใช้นักเคมีหรือวิศวะมาแทนได้ แต่ก็ไม่เหมาะสม เพราะปัญหาทางเภสัชกรรมนั้น จะค่อนข้างจำเพาะกับวิชาชีพมากกว่า 3. ผลิตเสร็จ ก็ต้องมาตรวจสอบวิเคราะห์ ตรงนี้อาจจะใช้นักเคมีได้ แต่การวิเคราะห์นั้น จะต้องผนวกความรู้ด้านเภสัชกรรมเคมีไว้ค่อนข้างมาก เพราะผลการวิเคราะห์บางอย่างเป็นลักษณะทางเภสัชกรรมล้วนๆ 4. ก่อนจะขาย ก็ต้องขึ้นทะเบียน งานขึ้นทะเบียนคืองานที่รวบรวมข้อมูลวิชาการของยา 1 ตัวเพื่อไปเสนออย. ให้ออกเลขที่ของยานั้นๆ หากไม่สามารถหาเหตุผลทางวิชาการว่า ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นแบบนี้ไปให้อย.ได้ ก็ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ ตรงนี้ก็ต้องใช้เภสัชกรอีก 1 5. พอจะขาย ก็ต้องการผู้ที่มีความรู้ในยานั้นๆ และความรู้ในระบบสุขภาพ เพื่อนำเสนอยาตัวนั้นให้เข้าไปสู่ระบบยาของแต่ละส่วน ตรงนี้ก็ต้องการเภสัชกรอีกเช่นกัน 6. พอขายได้ หากอยู่ในรพ. เภสัชกรก็ต้องกำหนดนโยบายในการนำเข้า จัดเก็บ และสั่งใช้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยเชิงระบบ 7. ในรพ. นอกจากจะดูแลเรื่องระบบแล้ว ก็ต้องดูเรื่องงานบริการให้จัดจ่ายยาได้อย่างถูกต้อง ให้คำแนะนำในการใช้ได้อย่างดี และยังต้องติดตามเฝ้าระวังการใช้ยาไม่ให้เกิดอันตราย ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด 8. นอกจากนี้ในรพ. ยังต้องมีการเตรียมยาหรือผลิตยาสำหรับผู้ป่วยเฉพาะรายด้วย 9. หรือถ้ายาเดินทางไปอยู่ในร้านยา ก็ต้องการเภสัชกรในการควบคุมการจ่ายยาเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย 10. เมื่อมีการปฏิบัติงานก็ต้องมีการควบคุม ในส่วนกลางเภสัชกรก็จะกระจายในหลายๆ ส่วน ในอย. ในงานต่างๆ ต่างจังหวัดก็ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด รวมทั้งจับพวกยาเสพติด จับยาปลอด จับร้านขายยาที่ไม่มีเภสัชกร เภสัชก็ต้องตามไปจับด้วย 11. หลังจากจับมาหรือมีข้อร้องเรียน เภสัชกรในศูนย์วิทย์ก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์ให้ได้ผลที่ถูกต้องในการนำไปใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดี การออกใบรับรองหรืออะไรอีกมากมาย 12. ในอีกทาง เภสัชกรกลุ่มหนึ่งก็ได้ออกแสวงหาสารเคมีจากธรรมชาติเพื่อที่จะนำมาใช้เป็นยาใหม่ๆ ด้วย 13. ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีเภสัชกรอีกกลุ่มที่จะผลิตเภสัชกรรุ่นหลังให้ได้ประสิทธิภาพ นี่หละครับ เภสัชกร จากคุณ : เภสัชกร (Epinephrine) - [ 3 ม.ค. 51 12:31:45 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 3 ม.ค. 51 12:46:13 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ที่คนไทยส่วนมากไม่เห็นความสำคัญของเภสัชกร ไม่ต้องอะไรมากครับ ตามมุมมองผมเลยนะ เวลาเราไป ร.พ. ของรัฐ  ร.พ.ใหญ่ๆ เข้าไปรักษา เวลาเราพบแพทย์ บางครั้งแพทย์เวลาสั่งยา แพทย์ก็จะระบุไปเป็นตัวยา ระบุถึงยี่ห้อยานั่นเลย.... เวลาเราเอาใบไปสั่งยา พี่เค้าก็แค่จัดยา ส่งให้เรา แท่บไม่ได้พูดไรกันเลย แต่ก็มีฉลากแปะที่ซองอยู่แล้วว่าใช้ยังไง (คนเยอะมากๆ) ประชาชนก็เลยเข้าใจ ว่าใน ร.พ. มันต้องมีแต่แพทย์... ส่วนคลีนิค เอาง่ายๆ ไม่ต้องอะไรมาก คลีนิคแถวบ้านผมแปะป้ายโปสเตอร์นึง แปะครึ่งร้านโจมตี พรบ ยา ว่าถ้าต่อไปจะไปหาหมอ เวลาจะซื้อยาต้องไปร้านขายยา สิ้นเปลืองซํ้าซ้อน คนไข้ต้องเสีย 2 ต่อ   เวลาไปหาหมอที่คลีนิค ก็เห็นแต่ลูกเมียหมอเท่านั้นแหล่ะที่มาจ่ายยาให้เรา ป.ล ส่วนตัวผมชื่นชมกับเภสัชนะ เพราะเพื่อนผมก็เรียนเภสัชอ่ะ ที่สำคัญมันน่ารักโครตเหอะ 555 จากคุณ : S e m a k u t e k ! (เจ้าพ่อSemakutek) - [ 3 ม.ค. 51 14:45:04 ]

ความคิดเห็นที่ 50 แต่ว่า คนสั่งให้จ่ายยาก็คือ หมอ ไม่ใช่หรือครับ....เขียนใบสั่ง แล้วให้คน ใดคนหนึ่ง เอายาตามใบสั่ง มาให้คนไข้.... แต่ถ้า หมอ วินิฉัยโรค แล้ว ให้ เภสัชฯ เป็นคนจ่ายยาเอง แบบนี้ น่าจะมีคุณค่ามากขึ้นนะครับ.... ประมาณว่า หมอ - คนไข้ปวดท้อง อาเจียร ถ่ายเป็นเลือด  ......บอกอาการตามที่วิเคราะห์มาแบบนี้ แล้ว เภสัช ก็ จัดยาตามอาการที่ได้รับการบอกมาให้คนไข้กิน และ แนะนำการกินที่ถูกต้องต่อไป...ถ้าเป็นระบบสายงานแบบนี้ก็คงจำเป็นน่ะครับ แต่เห็นบางที่ หมอ จะเป็นคนเขียนตัวยามาเลย แล้วให้ คนจ่ายยา(ที่ไม่รู้ว่าเป็นเภสัชฯ หรือเปล่า) หยิบยามาให้คนไข้ แล้วกลับบ้าน แบบนี้ก็เท่ากับ หมอ ทำงานได้ครอบคลุมทุกอย่าง ที่ตรวจวินิฉัยอาการโรค จัดยาให้กิน ติดตามผลการรักษา หรือ ทำกายภาพบำบัดได้ พวกอาชีพ เภสัช พยาบาล นักกายภาพ ดูเหมือนจะเป็นแค่ "ออฟชั่นเสริม" ให้หมอทำงานน้อยลงมากกว่า จะเป็นอาชีพเฉพาะทางที่หมอทำไม่ได้..... เหมือน วิศวกร ที่ ออกแบบ เขียนแบบ วัดหน้างาน ทำได้หมด แต่ จะมีอาชีพออฟชั่น เสริมมาช่วยผ่อนแรงวิศวกร ก็คือ ช่างสำรวจ ช่างเขียนแบบ ช่างออกแบบ นั่นเอง........ ในสายตาผม เภสัช ก็คือ ผู้ช่วยหมอ ในด้านยา ครับ.....เพราะหมอก็จ่ายยาได้เช่นกัน.... จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 3 ม.ค. 51 15:14:43 ]

ความคิดเห็นที่ 51 งั้นเภสัชกรทั่วประเทศลองหยุดงานหลักของตัวเองลงในแต่ละสายงาน แล้วหันไปเน้นงานรองแทนของสายงานนั้นๆ แล้วดูว่าเมื่อไม่มีเภสัชกรจะเป็นอย่างไร ประมาณสัก 1 ปี น่าจะได้ข้อสรุปโดยไม่ต้องอธิบายมาก อย่างนี้เห็นชัดเจนดี จากคุณ : Mr.MY - [ 3 ม.ค. 51 18:00:45 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เหมอืนกับคำถามที่ถามว่า ทำไมต้องมีการแบ่งแยกนักฟิสิกข์ นักเคมี นักชีววิทยา ไม่ต่างกันเลยครับ จากคุณ : KCrazy16 - [ 3 ม.ค. 51 19:09:59 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ทำไมไม่มีใครคิดว่าหมอหรือพยาบาลทำเกินหน้าที่บ้างหละครับ ผมแค่สงสัยนะ จากคุณ : puwanapati - [ 3 ม.ค. 51 21:29:18 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เพราะอย่างนี้เลยต้องมีเภสัช PharmD ไงครับ ปล.ไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องยาเท่าเภสัชกรครับ จากคุณ : productmill - [ 3 ม.ค. 51 23:52:45 ]

ความคิดเห็นที่ 55 น่าคิดนะครับ.....หรือว่าแพทย์ในปัจจุบัน ทำเกินหน้าที่ไป ซึ่ง......อันตรายนะครับ ผมไม่ใช่คนในวงการสาธารณสุข แต่เท่าที่อ่านจากความเห็นเภสัชกรที่เข้ามาตอบข้างบนๆ หมอควรมีหน้าที่แค่วินิจฉัย ไม่ต้องมายุ่งเรื่องยาเลย เช่นทำแค่เขียนในเอกสารส่งเภสัชกรว่า "คนไข้รายนี้ต้องการลดการหลั่งสารXXX จาดต่อม YYY"พร้อมแนบประวัติการรักษา ที่เหลือควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญอย่างเภสัชกร ไม่ใช่หน้าที่ของแพทย์ที่จะมาระบุว่า จัดยาAAA กี่ชุดๆ ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ จากคุณ : Tazz (Tazzmanian) - [ 4 ม.ค. 51 00:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ผมเป็นนักเคมีเรียนเกี่ยวกับเคมีมา โอเคผมทราบครับว่าถ้าต้องการผลิต ตัวยาชนิดนี้ โครงสร้างแบบนี้ๆ ขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่ผมไม่สามารถนำยาชนิดนั้นไปใช้กับผู้ป่วยได้ครับ เพราะผมไม่ทราบว่า ถ้าป่วยมีอาการลักษณะนี้ๆๆ เค้าห้ามใช้ตัวยาชนิดนี้ จะต้องเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดนี้แทน ผมทราบกลไกการเกิดปฏิกิรยาของสารเคมีต่างๆครับ แต่ผมไม่ทราบกลไกการเกิดปฏิกิริยาในร่างกาย ซึ่งมีปัจจัยร่วมต่างๆมากมาย เพราะผมไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้มาอย่างลึกซึ้ง ความรู้เกี่ยวกับร่างกายก็มีเพียง biochem ซึ่งเรียนไป 2 ตัวตอนเรียนเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้เชี่ยวชาญและเกิดทักษะการคิดได้เท่า เภสัชกรซึ่งเรียนวิชาเหล่านี้มาเป็นคอร์สครับ จากคุณ : matheus - [ 4 ม.ค. 51 00:14:47 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณ คห. 36 กับ 46 ที่ไขข้อข้องใจครับ ชอบคำที่บอกว่า เป็นเหมือนกับฟิวส์จัง จากคุณ : Stfurol - [ 4 ม.ค. 51 00:20:23 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เภสัชแบ่งออกเป็นหลาย สาขาค่ะ  พี่ยกตัวอย่างนะ 1.เภสัชกรโรงพยาบาล (หลับตาคงนึกออกแค่ในห้องยาละสิ..จริงๆ แล้วมีอีกหลายหน่วยย่อยค่ะ)     - จัดซื้อยาและเวชภัณฑ์  (ตาสีตาสา  ไม่ได้เพราะเราต้องดูคุณสมบัติและคุณภาพให้เหมาะสมกับราคาหรืองบประมาณประจำปี)     - เภสัชกรฝ่ายคลัง  ดูแลยาและเวชภัณฑ์ให้เหมาะสมพร้อมใช้งาน     - เภสัชกรประจำห้องยา ผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน ทำหน้าที่เช็คใบสั่งแพทย์กับปัญหายาที่อาจจะเกิดขึ้น  รวมถึงความเหมาะสมของการใช้ยาค่ะ ซึ่งเราต้องเข้าใจว่าแพทย์มีภาระต้องตรวจคนไข้เยอะ พี่ ไม่เรียกว่าการตรวจเช็ค แต่เป็นการทำงานเป็นทีม เพื่อผู้ป่วยจะได้รับบริการทางสุขภาพที่เหมาะสมที่สุดค่ะ     - เภสัชกรฝ่ายผลิต (ใน รพ) ใน รพใหญ่ๆ เค้าจะผลิตยาเองค่ะ เช่นศิริราช หรือ ในรพ เล็กๆ ที่กันดาร  หรือ บางครั้งแพทย์ต้องการยาตำรับพิเศษสำหรับคนไข้เฉพาะราย     - เภสัชกรเคมีบำบัด  จะเป็นผู้เตรียมยามะเร็งในรูปพร้อมฉีดให้กับคนไข้     - เภสัชกรคลินิก จะขึ้นไป roundward กับทีมแพทย์พยาบาล เพื่อร่วมกันรักษาผู้ป่วยแบบสหวิชาชีพค่ะ แพทย์ดูเรื่องโรค เภสัชดูยา พยาบาลดูการดูแลผู้ป่วย อาจมีนักโภชนาการดูแลเรื่องสารอาหาร นักกายภาพดูแลเรื่องการฟื้นฟูร่างกาย      - เภสัชกรฝ่ายบริหาร      - อื่นๆ  (รอคนมาเติมนะ)      **** หมายเหตุ ใน รพ เล็ก ที่มีเภสัชแค่ 2 คน  เภสัชคนนึงอาจจะทำหน้าที่เป็น เภสัชกรห้องยาตอนเช้า และเป็นจัดซื้อ คลังในตอนบ่าย  ส่วนอีกคนทำผลิตในตอนบ่ายก็ได้ค่ะ  (น่าสงสารแท้) 2.เภสัชกรโรงงาน      - ผลิต      - Lab QC QA      - R&D      - บริหาร 3. เภสัชกรการตลาด      - ดีเทล  นำเสนอยาเข้า รพ  ร้านยา  ให้ข้อมูลด้านยากับบุคลากรนั้นๆ      - บริหาร 4. เภสัชกรร้านยา      - เป็นหน่วยบริการสุขภาพแบบปฐมภูมิ ในกรณีเจ็บป่วยเบื้องต้น  สกรีนผู้ป่วยเพื่อส่งต่อไปยัง รพ หรือ คลินิคต่อไป  รวมถึงเป็นแหล่งในการรับยาต่อของผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางชนิดเช่น ความดัน เบาหวาน 5. เภสัชกรด้านการศึกษา     - เป็นอ.ตามมหาลัยต่างๆ   ตามสาขาที่เหมาะสม 6. ............................นึกไม่ออกละ...................................... พิมพ์จากเท่าที่นึกได้ค่ะ  ผิดพลาดประการใด ทักท้วงได้นะ แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 51 00:50:03 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 51 00:49:58 จากคุณ : Je_Prim - [ 4 ม.ค. 51 00:40:37 ]

ความคิดเห็นที่ 59 #55 ไม่เชิงครับ การที่หมอจ่ายยาได้น่ะถูกต้องแล้ว ทั่วโลกก็เป็นแบบนี้ นี่เป็นเพราะในอดีต ยามีน้อยชนิด แพทย์สามารถจัดการกับยาได้ง่ายกว่า ในปัจจุบัน โลกก้าวหน้าไปมาก ยามีเป็นพันเป็นหมื่น คนเราก็ใช้ยากันมากขึ้น วิชาชีพเภสัชกรรมจึงมีความสำคัญยิ่ง อย่างที่บอกไปว่า ยาเป็นเรื่องของชีวิต บางทีหมอก็ผิดพลาดได้เพราะความรู้เรื่องยาเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้ง ยาที่เราใช้ๆกันทุกวันมีเป็นพันเป็นหมื่นตัวยา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องควรตำหนิติเตียนกัน แต่เป็นเรื่องต้องช่วยเหลือกันเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ถามว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องมีเภสัชกรเลยดีไหม ในเมื่อหมอก็จ่ายยาได้? (ตัดพยาบาลออกไปก่อนนะครับ บางคนอาจยังไม่ทราบว่าพยาบาลจ่ายยาได้จริง แต่ตัวยาที่พยาบาลสามารถจ่ายยามีน้อยชนิด และจำกัดวงแคบไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มโรค) ตอบว่าได้ แต่ต้องรื้อระบบสาธารณสุขใหม่ด้วย แพทย์ต้องรับภาระเรื่องการรักษาโดยการใช้ยาเพิ่มขึ้น ต้องให้คำแนะนำด้านการใช้ยาแก้ผู้ป่วยอย่างครบถ้วน ต้องลดความผิดพลาดที่เกิดจากใบสั่งยาเพิ่มขึ้น ต้องดูแลผู้ป่วยครอบคลุมมากขึ้นขยายไปถึงชุมชนเล็กๆ เพราะไม่มีร้านยาโดยเภสัชกร (บางคนอาจบอกว่าตามชุมชนก็มีคลินิกอยู่แล้ว แน่นอนว่า คลินิกเหล่านั้นก็ต้องรับภาระหนักขึ้นอีก) เรียกง่ายๆว่าไม่มีเภสัชน่ะได้ แพทย์ต้องทำงานขยายขอบเขตภาระไปอีก การศึกษาแพทยศาสตร์ก็ต้องศึกษาเรื่องยาเชิงลึกลงไปอีก ทั้งหมดคือการมองเพียงมุมเดียวในด้านเภสัชกรโรงพยาบาล ไม่อยากให้มองว่าเป็นการก้าวก่ายงานกันครับ เรียกว่าเป็นการช่วยเหลือ ร่วมมือกันทำงานมากกว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็เพื่อให้ประชาชนพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บครับ ;) จากคุณ : Cryptomnesia - [ 4 ม.ค. 51 11:43:59 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ผมเข้าใจว่ากระทรวงนี้เป็นกระทรวงหมอนะ อาชีพอื่นในกระทรวงไม่มีตำแหน่งสูงๆ เลย ตั้งแต่ทันตแพทย์จนถึงคนงาน ภาพลักษณ์ของงานจึงเห็นแต่หมอเกิน 95% ประชาชนทั่วไปที่ไม่มีความรู้ในระบบยา จึงยกย่องและวางใจกับหมอมาก แต่ผมก็พอทราบว่ากลไกของงานก่อนที่ยาจะถึงมือเรานั้นมันมีระบบการตรวจสอบ เรื่องนี้หากมีการเผยแพร่รายงานการจ่ายยาผิดของทั้งแพทย์และเภสัชก็จะดี แต่โรงพยาบาลไหนจะยอมล่ะครับ ถ้ามีผมจะไปโรงพยาบาลที่มีอุบัติการณ์ของการจ่ายยาผิดน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย ผมว่าสองอาชีพนี้ควรทำงาน balance เรื่องการจ่ายยาซึ่งกันและกัน เพื่อประโยชน์ของคนไข้ เพื่อนผมที่อังกฤษเคยบอกว่าที่นั่นมีการแยกกันทำงานระหว่างแพทย์และเภสัชอย่างชัดเจน ผมว่ามันก็น่าจะดี อย่างเมืองไทยคงอยาก หมอเป็นใหญ่เกินไป จากคุณ : Mr.MY - [ 4 ม.ค. 51 11:45:58 ]

ความคิดเห็นที่ 61 จุดประสงค์ของการตั้งคำถามกระทู้นี้คือ 1. อยากรู้ ว่าเค้าทำหน้าที่อะไรบ้าง สำคัญอย่างไรบ้าง 2. อยากเห็นว่า คนหว้ากอ รู้จักคนเหล่านี้อย่างไรบ้าง แง่ไหน +/- มากน้อย ขนาดไหน (ไม่ถึงกับล่อเป้า แค่ล่อแหลมด้วยความจงใจ) 3. เปิดช่องให้คนที่รู้ทั้งหลาย ได้นำความรู้ ความเห็น ให้แก่ผู้คนทั้งหลายที่ไม่มีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับ อาชีพ/วิชาชีพ ??? นี้ 4. สะท้อน เหมือนการตั้งคำถาม โดยใช้ ประโยคบอกเล่า สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้กับ เภสัชกร และผู้ปิดทองหลังพระ อื่นๆ ทั้งหลาย ทั้งปวงครับ จากคุณ : เดินทางไกล พันโล (ละอ่อนชายแดน) - [ 4 ม.ค. 51 14:20:48 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ความจริงหลายๆสิ่งที่เภสัชทำได้ วิชาชีพอื่นๆก็ทำได้ครับ แต่เขาก็ต้องไปศึกษาเพิ่มเติม เรียนรู้เพิ่มอีก เพื่อที่จะทำให้ครบถ้วน แล้วทำไมจะไม่เอาเภสัชที่มีความรู้ ความชำนาญเรื่องเหล่านั้นอยู่แล้วมาใช้ การจ่ายยา พยาบาลก็จ่ายได้ครับ แต่ตอนเรียนเขาก็ไม่ได้เรียนจ่ายยาเป็นหลัก แต่เภสัชเรียนถึงคุณสมบัติต่างๆ ฤทธิ์ของยา ปฏิกิริยาของยาด้วยกันเอง ต่ออาหารที่กินร่วม ผลข้างเคียง ข้อควรระวัง การใช้ยาอย่างเหมาะสม การใช้ยาอย่างสมเหตุผล ไปจนถึงวิธีการสื่อสารกับผู้ป่วย การเขียนฉลากยา การแนะนำการใช้ยา ซึ่งเหล่านี้มีในหลักสูตรเภสัชหมดแล้ว ทำไมต้องไปฝึกพยาบาลเพิ่ม การผลิตยา นักเคมีผลิตได้ครับ แต่ตอนเรียนเขาก็ไม่ได้เรียนทุกขบวนการของการผลิต แต่เภสัชนอกจากจะเรียนเรื่องสารต่างๆ รูปแบบยาต่างๆ เครื่องมือและเทคนิคในการผลิต ยังมีการประเมินคุณภาพ การทดสอบคุณสมบัติ การออกฤทธิ์ การควบคุมคุณภาพ การควบคุมสภาพแวดล้อมในการผลิต GMP กฏหมายที่เกี่ยวข้อง การขึ้นทะเบียน การวิจัยและพัฒนารูปแบบยาใหม่ ตัวยาใหม่ๆ การเปรียบเทียบประสิทธิผลกับยาต้นแบบ หรือยาบริษัทอื่นๆ แล้วทำไมต้องไปฝึกนักวิทย์เพิ่มให้รู้เรื่องเหล่านี้เพื่อมาทำหน้าที่แทนเภสัช ดีเทลยา จบบริหารธุรกิจ การตลาด บัญชีก็ทำได้ แต่เภสัชก็มีการเรียนเรื่องเหล่านี้ และยังสามารถให้ข้อมูลกับหมอหรือเภสัชอื่นๆเรื่องกลไกการออกฤทธิ์ของยา สามารถเปรียบเทียบยากับตัวอื่นๆในกลุ่ม สามารถนำเสนอยาใหม่ๆเชิงวิชาการ สามารถให้ข้อมูลที่นอกเหนือจากเอกสารจากบริษัทยา สามารถค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับยาได้รวดเร็ว เป็นระบบ แล้วทำไมต้องให้พวกบริหาร การตลาด นักบัญชีมาเรียนรู้พวกนี้เพื่อเป็นดีเทลยา เภสัชกรร้านยา ถ้าขายยาเฉยๆใครก็ทำได้ครับ แต่เภสัชที่เรียนเรื่องยามาต่อเนื่องยาวนาน รู้จักยาในแง่มุมต่างๆทั้งส่วนดีและไม่ดี มีความรู้เรื่องโรคและการดูแลผู้ป่วย แนะนำการใช้ยา ปรึกษาปัญหาเรื่องการใช้ยา และการดูแลสุขภาพได้ แล้วทำไมจะไม่ให้มาทำหน้าที่นี้ จากคุณ : I'm wu - [ 4 ม.ค. 51 16:50:47 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขออนุญาต ยกตัวอย่างให้เห็นเพื่อพิจารณาครับ สถานทีเกิดเหตุ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งย่านสนามเป้า เป็นตับอักเสบ ชนิด เอ เพิ่งออกจาก รพ.ได้ สามสัปดาห์ เกิดมีอาการเจ็บคอ ไปหาหมอประจำ ไม่อยู่ ตรวจวอร์ด (ห้องคนไข้) รอไม่ไหว ขอหมอท่านอื่น (เพราะคิดว่ามีประวัติอยู่แล้ว หมอไหนก็ดูได้) ปรากฎว่าหมอสั่ง Curam 1 gram ทานคู่กับ Nac Long & Clarinase ทานไปได้ สี่วัน ยังไม่หาย มาหาหมออีกที ได้เจอหมอคนเก่าที่รักษาประจำ ท่านเลยสั่ง Avelox ทานเสริมเข้าไป และให้ทาน Dianderson F อีกด้วย (สเตรียรอยด์หรือเปล่าเนี่ย กัดกระดูกไหมเนี่ย /มันต่างอะไรกับยาชุดไหม) มาห้องจ่ายยา เภสัชบอกตัวนี้เป็นยาแก้อักเสบ เราบอกว่าเราทาน Curam อยู่นะ เภสัชบอกว่า อ้าวนั่นก็ยาแก้อักเสบนี่ ทานด้วยกันได้ไง (นั่นดิ) เราก็ถามว่า อ้าวแล้วยังงี้ทำไงดี ต้องกลับไปถามหมอไหม เขาบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ทานไปเถอะ แล้วค่อยว่ากัน เออ เอาก็เอาว๊ะ หึหึ จากคุณ : สุกรสยาม - [ 4 ม.ค. 51 21:52:21 ]

ความคิดเห็นที่ 64 แล้วร้านขายยาที่เภสัชกรแขวนชื่อไว้เฉยๆ แต่ให้คนอื่นที่ไม่ใช่เภสัชมาขายแทนผิดกม.มั้ยครับ จากคุณ : Ninjax - [ 4 ม.ค. 51 23:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 65 คห 64 แล้วร้านขายยาที่เภสัชกรแขวนชื่อไว้เฉยๆ แต่ให้คนอื่นที่ไม่ใช่เภสัชมาขายแทนผิดกม.มั้ยครับ ----------------- ผิดกฎหมายค่ะ ถ้าโดนจับก็โดนเปรียบเทียบปรับ และพักใช้ใบประกอบวิชาชีพชั่วคราว แก้ไขเมื่อ 05 ม.ค. 51 00:47:18 แก้ไขเมื่อ 05 ม.ค. 51 00:45:34 จากคุณ : เภสัชกร (jusuran) - [ 5 ม.ค. 51 00:43:35 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ไปกันใหญ่แล้ว แค่น้องที่จะเอ็นท์ อยากรู้ว่า เภสัชกร ทำงานอะไรกันบ้าง เพราะครูแนะแนวรู้แค่ว่า เก่งเคมี-ชีวะ ต้องเรียนเภสัช......ลามไป เรื่องปัญหาโลกแตก ไม่อยากให้บายปลายครับ   อยากให้กลับมาอยู่ในกรอบ กรอบที่ว่า เภสัชกร ทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้น้องใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตครับ จากคุณ : 1358v6 - [ 5 ม.ค. 51 11:14:49 ]

ความคิดเห็นที่ 67 In Thai public health system, if we consider where pharmacists have been working, you will find that they are working in many roles in many sectors of the system. If I may put it in a simpler fashion, this includes their roles in; 1) Regulatory affairs--- in this aspect, pharmacists take care in many laws such as narcotics, pesticides, toxicants, tobacco and many more. 2) Manufacturing 3) Law enforcement 4) Procurement and cares in hospitals 5) Dispensing in drugstores 6) Research and development Well, let's imagine this way.... If we pulled all of the pharmacists working in #1 out from their jobs at one time, who will be responsible for taking care all of those regulatory affairs. How can we regulate drug uses in markets? You may allow some other professions to take care of these jobs, but they may not accustom to this role as pharmacists do. Am I right or am I wrong? :) Every profession has its own roles krub.... Each profession sustain each other by doing their job faithfully and professionally. There will be no professions flourishing alone only by itself sustainably.... So, if you fire all of the pharmacists today, there will be more or less chaos in our health care system sooner or later krub.... and, in my humble opinions, sooner will be my educated guess.... Lastly, I wish you don't mind a pharmacist who uses only English in his communication na krub. :) จากคุณ : amatuer translator - [ 5 ม.ค. 51 13:14:29 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เข้ามาดูคุณ Epinephrine ^^ จากคุณ : LasagnA - [ 5 ม.ค. 51 14:37:03 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เคยไปหาคุณหมอ  แล้วเรามีคำถามถามคุณหมอเกี่ยวกับตัวยาที่คุณหมอให้กิน  คุณหมอเปิดตำราดูแล้วก็โทรศัทพ์ไปปรึกษาเภสัชกรด้วย  คุณหมอท่านนี้เป็นคุณหมอศัลยกรรมที่มีฝืมือมาก ๆ ทำให้เราคิดว่าหมอ พยาบาล เภสัช สำคัญหมดค่ะ  เพราะแต่ละมีความเชี่ยวชาญต่างกัน ปล. จขกท สงสัยถามเป็นสิ่งดี  แต่ใช้คำพูดที่จั่วหัวกระทู้แย่มากค่ะ จากคุณ : โอเลี้ยงลาเต้จูดี้บัฟฟี่ลักกี้ - [ 5 ม.ค. 51 16:01:37 ]

ความคิดเห็นที่ 70 #58 เพิ่มข้อ 6 ให้อีกละกัน 6. ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพครับ ทั้งด้านยา เครื่องมือแพทย์ เครื่องสำอาง วัตถุอันตราย และวัตถุเสพติด (บางทีเรื่องอาหารก็ไปทำด้วยนะเอ้อ) อ่านแล้วก็แอบซึ้ง มีคนเห็นความสำคัญอาชีพเราอยู่เหมือนกัน จากคุณ : รู้รึยังว่าผมทำงานที่ไหน (neopeax) - [ 5 ม.ค. 51 17:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 71 โอ้โหเหะ มีเภสัชปรากฏตัวมาเพียบกว่าที่เคยเห็น ^^' จากคุณ : Epinephrine - [ 5 ม.ค. 51 18:08:30 ]

ความคิดเห็นที่ 72 คลีนิคกับร้านหมอฟัน แถวบ้านเอาเด็กรับใช้มาจ่ายยาอ่ะ เลยคิดว่า เภสัชมีไว้ขายยาตามร้านอย่างเดียว จากคุณ : Pixar - [ 5 ม.ค. 51 18:47:58 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ณ ร้านขายยาแห่งหนึ่ง ผม : หวัดดีครับ เธอ : ดีค่ะ มีไรให้ช่วยคะ ผม : ผมคิดว่าผมติดเชื้ออ่ะครับ เธอ : ติดเชื้ออะไรคะ ไวรัส ... เชื้อรา ? ผม : น่าจะเชื้อราครับ . . . ราหมอยักครับ เธอ : @$!% !+ จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 5 ม.ค. 51 19:58:58 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ... มีวิชาชีพเภสัชกรเยอะเหมือนกันแฮะ จากคุณ : อนาคตเป็นเภสัชกร (++SpY++) - [ 5 ม.ค. 51 20:03:56 ]

ความคิดเห็นที่ 75 จขกท อย่ามองบทบาทหน้าที่ของเภสัชกรเพียงด้านเดียวสิครับ เภสัชกร (Pharmacists) คือผู้ที่มีวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข (health profession) มีหน้าที่จ่ายยา ให้ผู้ป่วยตามใบสั่งยาจากแพทย์ (medical prescription) และเป็นผู้ผลิตยา เภสัชกรจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถหลายสาขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นทางด้านคลินิก โรงพยาบาล และเภสัชชุมชนซึ่งจะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทางเลือกหนึ่งของวิชาชีพเภสัชกรคือการปฏิบัติงานในร้านขายยาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของร้านเอง (small business) ในงานด้านนี้เภสัชกรนอกจากจะมีความชำนาญในธุรกิจร้านค้าแล้วยังมีความรู้และข้อมูลการใช้ยาทั้งประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของยา ตลอดจนการให้ข้อมูลความรู้ให้คำปรึกษาการใช้ยาแก่ชุมชนด้วย เภสัชกรบางครั้งเรียกว่านักเคมี เพราะในอดีตมีการให้ผู้สำเร็จการศึกษาในวิชาเคมีสาขาเภสัชกรรม (Pharmaceutical Chemistry (PhC)) มาเป็นเภสัชกรซึ่งเรียกกันว่านักเคมีเภสัชกรรม ("Pharmaceutical Chemists") โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ เช่น เครือข่ายร้านขายยาของบู๊ตส์เรียกเภสัชกรของบู๊ตส์ว่า "นักเคมีบูตส์" ('Boots The Chemist') ส่วนมากเภสัชกรจะพบกับผู้ป่วยในจุดแรกด้วยการสอบถามปัญหาเกี่ยวกับสาธารณะสุขพื้นฐานโดยเฉพาะเกี่ยวกับยา การใช้ยา ผลข้างเคียงของยา ฯลฯ ดังนั้นหน้าที่ของเภสัชกรจึงคอนข้างกว้างซึ่งพอสรุปได้ดังนี้ 1. บริหารงานเกี่ยวกับการใช้ยาในทางคลินิก (clinical medication management) 2. การเฝ้าติดตามสถานการณ์ของโรคเฉพาะ (specialized monitoring) ที่เกี่ยวกับยาและผลของยาทั้งโรคธรรมดาและซับซ้อน 3. ทบทวนการใช้ยาอย่างละเอียดถี่ถ้วน (reviewing medication regimens) 4. ติดตามการรักษาโรคอย่างต่อเนื่อง (monitoring of treatment regimens) 5. ติดตามดูแลสุขภาพอนามัยทั่วไปของผู้ป่วย (general health monitoring) 6. ปรุงยา (compounding medicines) 7. ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยทั่วไป (general health advice) 8. ให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยเป็นการเฉพาะ (specific education) เกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคและการรักษาด้วยยา 9. ตรวจสอบเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจ่ายยา (dispensing medicines) ตามใบสั่งแพทย์ 10. ดูแลจัดเตรียม(provision)ยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์(non-prescription medicines) 11. ให้คำปรึกษาและแนะนำผู้ป่วยถึงการใช้ยาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด(optimal use of medicines) 12. แนะนำและรักษาโรคพื้นๆทั่วไป(common ailments) 13. ส่งต่อผู้ป่วยไปยังวิชาชีพสาธารณะสุขอื่นที่ตรงกับโรคของผู้ป่วยมากกว่าถ้าจำเป็น 14. จัดเตรียมปริมาณยา (dosing drugs) ในผู้ป่วยตับและไตล้มเหลว 15. ประเมินผลการเคลื่อนไหวของยาในผู้ป่วย (pharmacokinetic evaluation) 16. ให้การศึกษาแก่แพทย์ (education of physicians) เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง 17. ร่วมกับวิชาชีพทางด้ายสาธารณะสุขอื่นในการสั่งยา (prescribing medications) ให้คนไข้ในบางกรณี 18. ดูแล จัดเตรียม จัดหา และรักษาเภสัชภัณฑ์ให้อยู่สภาพพร้อมใช้งาน (pharmaceutical care) เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยาแก่ประชาชนทั่วไป ประเทศต่าง ๆ จึงได้กำหนดบุคคลที่จะมาเป็นเภสัชกรจะต้องถูกฝึกอบรมมาอย่างถูกต้องและพอเพียงโดยการจดทะเบียน ซึ่งผู้ที่ได้รับการจดทะเบียนจะต้องมีคุณสมบัติและผ่านการสอบ ดังนี้ ประเทศไทย ผู้ที่ผ่านการศึกษาเภสัชศาสตร์ และต้องการจะได้รับการจดทะเบียนเป็นเภสัชกร ต้องผ่านการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม จากสภาเภสัชกรรม ก่อน ประเทศอังกฤษ ผู้ที่ผ่านการศึกษาเภสัชศาสตร์และต้องการจะได้รับการจดทะเบียนเป็นเภสัชกร จะต้องฝึกงานทางด้านเภสัชกรรมอย่างน้อย 1 ปี ก่อนสอบรับใบอนุญาตจากสมาคมเภสัชกรรมอังกฤษ (Royal Pharmaceutical Society of Great Britain) สหรัฐอเมริกา ผู้ที่ผ่านการศึกษาเภสัชศาสตร์และต้องการจะได้รับการจดทะเบียนเป็นเภสัชกร จะต้องการสอบ 2 ด่าน ดังนี้ การสอบแนปเพลกซ์ (North American Pharmacist Licensure Examination-NAPLEX) การสอบแนบพ์ (National Association of Boards of Pharmacy-NABP) ยังงี้ยังจะว่าไม่จำเป็นอีกเหรอคับ จากคุณ : nisas - [ 5 ม.ค. 51 20:13:28 ]

ความคิดเห็นที่ 76 พอดีผมก็เป็นเภสัชกรคนหนึ่ง จริงๆผมเป็นคนที่เข้ามาใน web pantip ไม่บ่อยพอดีตอนนี้ น้องเรียนอยู่ต่างประเทศ แล้วคุยกันบ่อยน้องรู้ว่าผมเป็นเภสัชกร ก็เลยแนะนำ topic 2 topic ที่อยู่ใน web pantip ผมอ่านแล้วผมก็ดีใจแทนที่มีเภสัชกรที่ภูมิใจในตัวเองเป็นอันมาก แม้ว่าข้างนอก เอากันแบบไม่เข้าข้างใครก็คงจะเป็นเหมือน หลายๆ ความเห็นที่แสดงไว้ข้างต้น คือ เขาเห็นแต่ส่วนที่ contact point นะเช่น จ่ายยาตามโรงพยาบาลและร้านยา แต่เขาไม่เห็น support function อย่างเช่น คลังจัดยา-ไว้ให้พอใช้ในโรงพยาบาล clinical-ประเมิณการรักษาร่วมกับแพทย์และพยาบาล จัดซื้อยา-จัดซื้อจัดหายาให้ได้ตามคุณภาพและราคาไม่แพงจนเกินไป quality control-อยู่ตามโรงงานยาที่คอยตรวจสอบว่าฝ่ายผลิตยานั้นผลิตยาออกมาได้อย่างมีคุณภาพเช่น ผลิต ยาพาราเซตามอล 500 mg ตรวจแล้วได้ ยาพาราเซตามอลหรือไม่เป็นต้น ส่วนฝ่ายผลิต production ตามโรงงานก็ทำหน้าที่ในการตั้งตำรับยาให้มีความคงตัว ทำยาเม็ดให้เป็นเม็ดไม่ละลายช้าหรือเร็วเกินไปตามความเหมาะสมของตัวยานั้นๆ ทำยาน้ำให้เป็นยาที่มีความปลอดภัยได้ยาตามที่บอกไว้ตามฉลาก ยาไม่เสียเร็วหมดอายุอย่างน้อยก็ต้องตามฉลากยาหมดอายุ ก็คงตอบตามตรงว่าไม่มีเภสัชคงวุ่นวายพิลึกนะ แม้ว่าตามเนื้องานคงจะตอบได้ว่าในบางงานใช้นักวิทยาศาสตร์ หรือ พยาบาลทำแทน หรือ แพทย์สามารถทำแทนได้ แต่ว่าคนที่รู้ดีที่สุดน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ ส่วนเราเภสัชกรทั้งหลายก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด you have to prove you are the real one เช่น detail ยาก็ต้องใช้paper clinic ก็ต้องแม่นในข้อมูล production ก็ต้องตั้งตำรับยาที่ได้ผลจริงๆ ควบคุมคุณภาพก็ต้องกล้าที่จะ reject ยา lot ที่ตรวจไม่ผ่าน อยู่ร้านยา อยู่โรงพยาบาล ก็ต้องทำหน้าที่ตัวเองอย่างดีที่สุด เอาผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง แพ้ยาก็ต้องกล้าบอกแพทย์ให้เปลี่ยนยา ร้านยาก็ต้องอยู่ร้านจ่ายยาเองเป็นต้น ผมคิดว่าเภสัชกรหรือแม้กระทั่งคนที่เรียนทางสายวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับทางสาธารณสุขนั้นจำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้อยู่ประมาณ 3 อย่าง 1.พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะหรือว่าความรู้ keep walking(คุ้นๆไหมครับเหมือนโฆษณาเหล้า55)เพราะว่า เราต้อง update เรื่องยา เรื่องการรักษาอยู่เสมอ ไม่งั้นเราจะตามความรู้ในกระแสโลกาภิวัฒน์ ไม่ทัน 2.เราต้องเป็นคนละเอียดรอบคอบ อันนี้ไม่ว่าโดยส่วนตัวคุณจะเป็นคนไม่ละเอียดก็ตามแต่ถ้าคุณทำงาน clinical จ่ายยา หรือว่า ผมว่าเราต้องละเอียด ครับ ชีวิตคนทำเล่นๆไม่ได้ครับ ถ้าคุณเป็นเภสัชกรแต่ว่าเป็นคนไม่ละเอียดมากเท่าไร แนะให้เป็นหัวหน้า งานบริหาร หรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร(แต่อันหลังนี้ก็ยังต้องละเอียดอยู่ดี) ประมาณนี้ก็น่าจะดีครับ เพราะว่ามองแต่ big picture อย่างเดียว 3.บางครั้งอาจจะต้องมีศิลปะด้วยครับบางครั้ง ศาสตร์ทื่อก็สื่อไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เช่น บางที คุณต้องสื่อสารด้วยคำพูดด้วยคำพูดที่เขาเข้าใจง่ายคิดอย่างที่ชาวบ้านเข้าใจ แล้วสื่อสารออกไป เช่น ผมยกตัวอย่างครับตอนจ่ายยา ถ้ายาไม่เยอะกินเหมือนกัน แล้วให้ในเวลาสั้นๆ ผมว่าผมอาจจะแปลกๆหน่อย ที่ใช้ เทคนิคแบบยาชุด คือ แต่เวลาจ่าย จ่ายแยกซองนะครับ จริงๆก็ไม่รู้ว่าเขา บังคับให้พูดเป็น pattern หรือ เปล่า ผมก็จะบอกไปเลยครับว่ากินหลังกินข้าว อย่างละเม็ด หลังกินข้าว 3 มื้อก็ว่าไป เพราะว่าคุณคิดหรือว่าชาวบ้านที่เขาได้ยาจากเรา จะอ่านหนังสือออกทุกคน บางคนอ่านออกไม่อ่านด้วยซ้ำ ผมว่ามันจะเพิ่ม compliance คนไข้ได้ดีกว่า ที่เราพูดตามฉลากว่า ยา A กิน 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร ยา B กิน 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร ผมว่าคนไข้นี่เขาจำไม่ได้ครับว่าเขากินไงครับ เขาต้องไปอ่านอยู่ดี เราก็บอกไปเลย หลังอาหาร 3 มื้อ กิน อย่างละเม็ด (เรา summarize ให้เขาไงครับ) ผมเชื่อนะครับว่าเราจะเพิ่ม compliance คนไข้ ได้ไม่มากก็น้อยประเด็นนี้อยากแลกเปลี่ยนมากกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มีประเด็นเรื่องหนึ่ง เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เภสัชจำได้เปล่าครับว่ามีช่วงหนึ่ง รัฐบาลเขารณรงค์เหลือเกินเรื่อง ยา ก่อนอาหาร กินก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง ยาหลังอาหารกินหลังอาหารประมาณ 15 นาที- ครึ่งชั่วโมง เอ่อ แล้วเวลาผมจ่ายยาครับ คนไข้ก็มาถามว่า กินก่อนอาหารนี่กินประมาณ 1 ชั่วโมงใช่ไหม เอ่อ ผมก็บอกว่าทำได้ก็ดียิ่งครับ(เพราะว่าอย่างเราก็ว่ากินก่อนอาหารแสดงว่าอาหารอาจรบกวนการดูดซึมยาก็เลยให้กินก่อน 1 ชั่วโมงเพื่อให้ท้องว่างยาดูดซึมไปเลย)แต่ผมว่าขนาดผมเป็นเภสัชกรเอง ผมก็กินยาแล้วก็กินข้าวเลยครับ ลำพัง แค่จำว่าต้องกินยาแล้วยังต้องจำว่าต้องกินก่อนอาหารอีกก็ไม่ไหวแล้วละครับ แล้วคิดหรือครับว่าท่านผู้ป่วยทั้งหลายจะไม่มีใครสักคนที่กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง แต่ผมก็เชื่อครับว่ามีคนทำได้ครับอันนี้ดีครับคนไข้มีการวางแผนที่ดี แต่ที่ผมจะชี้ว่าบางทีรัฐก็ตั้งใจดีครับที่ให้ความรู้ว่ายาก่อนอาหารก็ต้องกินก่อนประมาณ 1 ชั่วโมงแต่บางทีมันก็ไม่ make sense ทำนองเดียวกัน กับยาหลังอาหาร กับหลังอาหารทันที เอ่อ พอเข้าใจนะครับ เอ่อเขียนมายาวดีใจที่ได้เห็นเภสัชกรหลายๆคนมากันพร้อมหน้า เรารู้ว่าเรามีเพื่อนอยู่ ก็ขอให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เภสัชกรทั้งหลายอย่าท้อถอยนะครับ ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเองอย่างดีที่สุด แล้วไม่ต้องเสียใจกับมันครับ เราจะเป็น real one ในที่สุด จากคุณ : จันทร์เภสัช - [ 5 ม.ค. 51 20:31:53 A:125.27.104.43 X: ]

ความคิดเห็นที่ 77 เอ่อ ครับ ที่ จังหวัดผม  มีเภสัชกร ขายยา กับบางร้าน ไม่ใช่เภาสัช ผมตั้งข้อสงสัยดังนี้ เท่าที่ผมเคยใช้บริการ เภาสัชกร คือวิเคราะห์ โรค ที่ไม่หนักหนาสาหัส เกินไป แล้ว หายาให้คนไข้กินใช่ไม๊ครับ แล้วอีกร้านนึง ซึ่งเจ้าของ เค้า ขายยามานาน แต่ไม่ได้จบ เภสัช แต่ประสบการณ์เยอะ ผมเลยคิดว่า เราเชื่อในประสบการณ์การจ่ายยาดีกว่าหรือปล่าว หรือจะเชื่อ คนที่จบ มา   เพราะในสังคม วิชาชีพ ต่าง ๆ คนที่จบ มาใช่ว่าจะเก่ง สู้คนมีประสบการณ์ได้ อันนี้ ผมเข้าใจ ถูกหรือเปล่า ครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผม ไปรอรับยากับหลานที่ รพ.จังหวัด  เค้าก็มีใบสั่งยา ให้ไปรอรับที่เคาน์เตอร์ รับยา แต่คนเยอะ มาก  ผมก็เลยนำยาไปซื้อที่ร้าน ขายยา  แล้ว มาให้หลานกินอันนี้ จะผิดปล่าวครับ (แต่น่าจะยาเดียวกันป่าว) แต่ หลานมันก็หายแล้ว ฮา ๆ คืออยากบอกว่า ถ้าไม่เรียนรู้มา แต่มาฝึกงานเรื่องการจ่ายยา สัก 1 ปี  จะมีคุณภาพเทียบเท่ากันปล่าวครับ จากคุณ : เลิศศักดิ์ - [ 5 ม.ค. 51 20:42:55 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ความเห็นส่วนตัวมองว่า ทุกอาชีพมีความสำคัญค่ะ แม้ว่าก่อนอ่านกระทู้นี้จะไม่ได้รู้ลึกซึ้งว่าเภสัชกรทำอะไรบ้าง ทราบแต่เพียงว่าเป็นผู้ผลิตและจ่ายยา และมีความรู้เรื่องตัวยามากกว่าอาชีพอื่นๆ ก็ตาม เราคิดว่าโรงพยาบาลก็ไม่ต่างจากออฟฟิศหรือโรงงานอื่นๆ ที่ต้องมีหลายแผนก จริงอยู่คนอื่นอาจทำงานแทนกันได้ แต่ถามเรื่องความเชี่ยวชาญมันอาจจะมีน้อยกว่าผู้ที่สัมผัสและเรียนรุ้มาโดยตรงค่ะ จากคุณ : คนช่างคุย - [ 5 ม.ค. 51 21:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 79 เป็นหมอนะค่ะ ทำงานในโรงพยาบาลรัฐระดับชุมชน ไม่เคยทำเอกชนหรือคลินิก บทบาทของเภสัชกรในโรงพยาบาลของรัฐนั้นสำคัญมาก เพราะเราเน้นการทำงานแบบสหวิชาชีพ หมอไม่ได้รู้ทุกอย่างค่ะ ความรู้ ข่าวสารมันวิ่งไปข้างหน้าทุกวัน ในขณะที่เวลาจะพักผ่อนยังไม่มี ความรู้ทางยาที่อัพเดทใหม่ ยาตัวใหม่ หมอไม่รู้หมดหรอกค่ะ ขนาดยาเก่าๆที่นานจะสั่งซักที ยังต้องถามเภสัชเลย ดังนั้นในความคิดเห็นส่วนตัวนะค่ะ บทบาทเภสัชในโรงพยาบาลชุมชนนั้นสำคัญมาก ( ในเอกชน หรือ คลินิค ไม่ทราบ) - ดูแล และแนะนำประชาชน ให้ใช้ยาอย่างถูกต้องตามขนาด เวลา วิธี ที่แพทย์สั่ง (หมอก็ทำได้ แต่ขอเอาเวลาไปตรวจคนไข้ที่รออีกเกือบร้อยคนดีกว่า พยาบาล ก็ทำได้ค่ะ แต่เอาเวลาไปแทงน้ำเกลือ วัดvital sigh ช่วยเหลือคนไข้ด้านอื่นอีกมากมาย ช่วยหมอด้วย ) -คอยตรวจเช็คการสั่งยาของแพทย์ ถ้าพบการสั่งยาที่ไม่ถูกต้อง หรือมีข้อสงสัย ต้องรายงานให้แพทย์ทราบ หรือ แนะนำแพทย์ หรือถามเหตุผล (อย่างที่บอกค่ะ แพทย์ไม่ได้รู้ไปทุกอย่าง และไม่ได้ฉลาดซะทุกคน แพทย์มั่วนิ่มก็มีค่ะ ) เพื่อประชาชนจะได้ใช้ยาอย่างปลอดภัย -เป็นที่ปรึกษาให้แพทย์ กรณีแพทย์มีข้อสงสัย ถึงขนาด ชนิด ปริมาณยาที่ใช้ สามารถให้ข้อมูลที่แพทย์ต้องการได้เพื่อประกอบการตัดสินใจในการรักษา (อย่าบอกว่าจะให้พยาบาลทำนะค่ะ พยาบาลทำ แล้วหมอจะเชื่อมั้ยค่ะ) สุดท้าย จะนักเคมี  นักวิทยาศาสตร์ หรือ พยาบาล ถ้ามีความสามารถจะทำอย่างนั้นได้ เค้าก็คือเภสัชกร นั้นเองค่ะ แต่ขอให้มีปริญญาของเภสัชนะค่ะ  ไม่ใช่ใครจะหลับหูหลับตามาทำได้ เพราะเราก็ไม่ได้หลับหูหลับตารักษาคนไข้ จากคุณ : Tolone - [ 5 ม.ค. 51 22:02:01 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ถ้าหมอไม่สั่งยา เภสัช ก็ตกงานสิครับ บอกมายาอะไร เดี่ยวผมหยิบให้ก็ได้..แค่ทำตามหมอสั่ง จากคุณ : เจน (Jenjutakarn) - [ 5 ม.ค. 51 22:44:57 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เรื่องผลิตยานักเคมีจะเป็นผู้คิดหากระบวนการสังเคราะห์สารให้ได้ สารตามคุณสมบัติที่เภสัชกรหรือสายวิชาชีพที่เกี่ยวข้องได้ทำวิจัยมาครับ แล้วนักเคมีก็จะกำหนดกระบวนการสังเคราะห์ โดยมีเคมีวิศวะกรเป็นผู้ควบ คุมกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมจริงอีกทีหนึ่ง การทำงานแบบสหวิชาชีพ หรือการแบ่งหน้าที่ตามสาขาที่เชี่ยวชาญ ยังเป็นเรื่องที่อ่อนมากๆ ในสังคมไทยครับ จากคุณ : N of Dark - [ 5 ม.ค. 51 23:06:36 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เครื่องสำอาง อาหารเสริมด้วย ทุกอย่างที่คุณๆ กิน + ใช้ แล้วมันมีผลต่อร่างกาย  ผ่านเภสัชทั้งหมดแหละครับ ถ้าจขกท. ถามอย่างงงี้ ก็ให้หมอไปนั่งบน นั่งร้าน เช็ดกระจกตึก เพราะของอย่างนี้ ใครๆก็ทำได้ ปล. แอบสงสัยว่า จขกท. เข้าคณะเภสัชไม่ได้หรือเปล่า จากคุณ : Garlamare - [ 6 ม.ค. 51 00:00:25 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เภสัชกรบางท่านก็เป็นเซลนะ เหอๆเกี่ยวกะที่ จขกท อยากรู้ม่ะนี้ จากคุณ : keox (keox) - [ 6 ม.ค. 51 01:26:44 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เรารักร้านยา มข. ค่ะ ถ้าคนในครอบครัวหรือคนที่เรารักป่วย แบบไม่ใช่อาการที่ต้องวินิฉัยซับซ้อน เราพาไปที่นั่น - เภสัชซักละเอียด แถมบอกผลข้างเคียง ถ้ามี - บางทีขอซื้อยาก็ไม่ขาย โดยบอกว่าไม่จำเป็น - แนะนำยาที่ถูกกว่าแต่สรรพคุณเหมือนกันกะยาที่เราต้องการ ชีวิตเรา กะคนรอบตัวที่เรารัก ให้ผู้ที่รอบรู้ เป็นผู้รับผิดชอบค่ะ ส่วนที่ป่วยแล้วต้องวิเคราะห์ว่าเป็นโรคอะไร เรายกให้หมอ แต่สำหรับเรื่องยา เราเชื่อเภสัชมากกว่าหมอค่ะ อยากให้ จขกท เรียนเภสัชค่ะ เป็นอาชีพที่ได้บุญ น่าภาคภูมิใจ เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติ จากคุณ : มีลูกหลานเรียนได้จะให้เรียน (All For One) - [ 6 ม.ค. 51 08:10:44 ]

ความคิดเห็นที่ 85 เภสัชต้องมีครับ ไม่งั้น ผมจะไปโทรถามยากับใคร ผมจะไปผิดศิล 5 กับใคร หมอจ่ายยาผิดเยอะแยะไปครับ  ถ้าไม่มีเภสัชกรท้วง ถามหน่อยใครจะทำหน้าที่นี้   ( หมอให้ยาผิดมีเยอะนะครับ ข่าวมันไม่ดังเท่านั้นเอง ) พวกที่คิดว่าพยาบาลหรือเด็กรับใช้ก็จ่ายได้ ถ้าญาติพี่น้องคุณไปรับยา จะไว้ใจเหรอครับ ไม่คิดง่ายไปหน่อยเหรอครับ หมอไม่ใช่เทวดา เภสัชจึงต้องมาตรวจสอบการให้ยาอีกทีหนึ่ง ผมคิดอย่างงี้นะ จากคุณ : ผู้ชาย... - [ 6 ม.ค. 51 10:26:16 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เข้ามาดู.....คึกคักจัง จากคุณ : Je_Prim - [ 6 ม.ค. 51 11:55:11 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ก่อนที่จะมาโพสด่าอาชีพเภสัชฯ แนะนำให้อ่านกระทู้ให้ครบก่อนแล้วค่อยด่าหรือดูถูกล่ะกัน บอกใบ้เลขหวย น่าซื้อ v v v คห. 58 คห. 70 คห. 75 คห. 76 คห. 79 คห. 81 เค้าตอบไว้หมดแล้ว จากคุณ : KCrazy16 - [ 6 ม.ค. 51 11:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 88 คห 80 เฮ้อ!! จากคุณ : nisas - [ 6 ม.ค. 51 13:22:03 ]

ความคิดเห็นที่ 89 #77, #80 ตอนที่คุณคลอดออกมาใช้หมอตำแยหรือปล่าว เพราะชำนาญกว่าหมอที่เรียนมา ตอนที่คุณไม่สบาย คุณไปหาหมอเถื่อน เพราะชำนาญกว่าหมอที่เรียนมา ตอนที่คุณสอบเข้าเรียนต่อ คุณไปเรียนกับคนที่เคยสอบเข้าได้ เพราะเขาชำนาญกว่าครูของคุณ ตอนที่คุณจะสร้างบ้าน คุณก็จ้างผู้รับเหมามาเพื่อออกแบบ และสร้าง เพราะสถาปนิกและวิศวกรไม่เคยสร้างบ้านด้วยตนเอง ..... .... .... .... เพราะชีวิตคุณเชื่อถือคนที่เคยมีประสบการณ์แต่ไม่ได้เรียนจบอะไรมาเลย ขอแสดงความยินดีกับชีวิตคุณในอนาคตครับ จากคุณ : 2255 (Mr.MY) - [ 6 ม.ค. 51 17:38:52 ]

ความคิดเห็นที่ 90 หมอจะแม่นเรื่องยาน้อยกว่าเภสัชมากๆ ครับ ถ้ายาทั่วไปใช้ทุกวันก็พอตอบได้ แต่หากยาลึกๆ หมออาจต้องไปเปิดหนังสือตอบ แต่เชื่อว่าเภสัชตอบได้ทันที จากคุณ : Kawpod - [ 6 ม.ค. 51 22:01:47 ]

ความคิดเห็นที่ 91 rep 77,80 ประสบการณ์แบบ ผิดๆก็มีนะครับ คุณเชื่อได้เหรอ  สมมติเขาจ่ายยาผิด  หรือยาหมดอายุ    (เพราะเชื่อว่าเขาคงไม่คิดจะเช็คอายุยาให้คุณหรอก  อันนี้เป็นประสบการณ์จริงที่เคยซื้อติ้ปฟี่  ร้านขายยาที่มีอาแปะขาย  แล้วกินไปได้ครึ่งแผง ถึงได้อ่านเจอวันหมดอายุยาบนแผง  เล่นเอาผมหนาวๆร้อนๆว่าจะเป็นอะไรรึป่าวมาตลอดจนทุกวันนี้ครับ)     การกินยาผิดหรือยาหมดอายุซึ่งมันอาจไม่มีผลในวันนี้  แต่อาจมีผลในอีก 3 เดือน หรือ 10 ปี ให้หลังล่ะ  (นี่แหละที่ผมกลัว) ประสบการณ์ต้องควบคู่ไปกับความรู้ครับ  สมมติหมอพึ่งจบมา 1 วัน มีแต่ความรู้แต่ไม่มีประสบการณ์คุณจะยอมให้เขาผ่ามะเร็งให้คุณไหม   หรือพยาบาลที่มีประสบการณ์เป็นผู้ช่วยแพทย์ผ่าตัดมา30ปีรู้ขั้นตอนการผ่าใส้ติ่งทุกขั้นตอน    คุณจะกล้าให้เขาผ่าใส้ติ่งให้คุณไหม ทุกอาชีพมีความสำคัญครับ  เพียงแต่เภสัชกรเขาแสดงเบื้องหน้าให้คุณเห็นว่าวันๆได้แต่จ่ายยาเท่านั้น   เบื้องหลังเขาทำอะไรแค่ไหนไม่จำเป็นที่เขาต้องประกาศบอกคุณหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 51 04:40:20 แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 51 04:37:18 จากคุณ : กุลิลิ - [ 7 ม.ค. 51 04:36:23 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ใช้เภสัชเพื่อรองรับความเสี่ยงใน#91นี่แหล่ะครับ อาจจะโอกาสน้อยแค่ 10% แต่ ผลเสียหายรุนแรงมากๆ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 7 ม.ค. 51 07:04:21 ]

ความคิดเห็นที่ 93 อยากจะบอกเพื่อนๆ เภสัช ว่าอย่าเพิ่งโกรธไปค่ะ เพราะเราเองก็ต้องยอมรับส่วนหนึ่งว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำคามที่ควรจะเป็นในวิชาชีพ แต่ก็อย่าเพิ่งท้อนะคะ ทำดีก็ต้องได้ดีค่ะ การที่จะให้คนส่วนใหญ่ซึ่งเค้าอาจจะเจอเภสัชที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวิชาชีพ แล้วเค้าไม่รู้สึกศรัทธาในความเป็นวิชาชีพของเรายอมรับเราได้นั้น มันต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ อย่าเพิ่งท้อแล้วกันนะคะ สู้ๆ ต่อไป เพื่อวิชาชีพค่ะ จากคุณ : เจ้าขุน (เจ้าขุน) - [ 7 ม.ค. 51 07:11:53 ]

ความคิดเห็นที่ 94 แถวที่ทำงาน เห็นหมอโทรถามเภสัชเรื่องจ่ายยาออกบ่อยค่ะ ไม่อยากจะบอกเลยว่า เคยได้ยินหมอเด็กๆถามว่า ผมให้ยาตัวนี้ไป ถูกใช่มั้ยพี่ - -" ได้ยินแว่วๆมาว่า ต่อไปหมอต้องปรึกษาเภสัชก่อนถึงจะจ่ายยาได้  จริงปะคะ จากคุณ : เพราะฉะนั้นฯ - [ 7 ม.ค. 51 08:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ... การวินิจฉัยโรคเป็นหน้าที่หมอ แต่การจ่ายยาเป็นหน้าที่เภสัชกร ถามว่าใรเมืองไทยเป็นอย่างนี้ละเปล่า ถ้าไม่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร? ใครเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์ให้เป็นเช่นนี้กันเล่า ... ผู้มีอำนาจในกระทรวงสาธรณสุขถ้าไม่จบหมอนี่จะเป็นผู้มีอำนาจได้ละเปล่า สรุปปัญหามันอยู่ที่คนกำหนดเกรณฑ์การปฏิบัติเรื่องการจ่ายยาไม่เคารพในวิชาชีพของเภสัชกร ครับ ... อีกอย่างนึง ประเทศเราไม่ได้พัฒนายาเอง รับเขามา ดังนั้นบทบาทของการพัฒนาตรงนี้มันไม่เด่นชัด มันเลยเป็นเช่นที่เราเห็นกันนี้แล ... จากคุณ : 73078 - [ 7 ม.ค. 51 11:16:43 A:124.120.187.164 X: TicketID:073078 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณ จขกท ที่ล่อเป้าให้คนมาตอบ ขอบคุณคนที่มาตอบ ช่วยไขข้อข้องใจให้ผมได้หมดเลย อิอิ สุดท้ายแล้วทุกอาชีพต่างก็สำคัญหมดตั้งแต่ คนงานก่อสร้าง ยัน นายกรัฐมนตรี  เหมือนเพลงของพี่ไมค์ หมู่เฮาคือผู้อยู่เบื้องหลัง หุหุ ไม่มีคนงานก่อสร้างคงไม่มีตึกระฟ้าในวันนี้ ไม่มีเภสัชก็คงไม่มียามารักษาโรคใหม่ๆ หรือรักษาโรคเก่าๆได้ดีขึ้น จากคุณ : Desolation Angel - [ 7 ม.ค. 51 11:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ผมเป็นคนนึงที่กำลังเรียนเภสัชอยู่ ยังไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายนักเกี่ยวกับบทบาท แต่ก็รู้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน และก็รู้ถึงความสำคัญ เท่าที่เรียนมา ตอนนี้เภสัชยังถูกมองข้ามอยู่พอสมควร ก็คงต้องช่วยๆกันต่อไป รู้สึกว่าเมืองนอกเภสัชจะเป็นอาชีพที่สำคัญพอสมควรเลยนะ หุหุ ป.ล. ไม่อยากตอบอะไร เพราะเท่าที่อ่านมาตอบไว้ละเอียดแล้ว ^^ จากคุณ : bemylove - [ 7 ม.ค. 51 13:24:14 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ถ้าหมอไม่สั่งยา เภสัช ก็ตกงานสิครับ บอกมายาอะไร เดี่ยวผมหยิบให้ก็ได้..แค่ทำตามหมอสั่ง จากคุณ : เจน (Jenjutakarn) - [ 5 ม.ค. 51 22:44:57 ] .... ความเห็นของคุณ แสดงออกมาว่า คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานทางสายการแพทย์เลย ไม่รู้แต่ก็จะแสดงความเข้าใจแบบงูๆปลาๆ น่าหน่ายใจจริงๆ จากคุณ : แฮม (แฮมแฮมพลังเค) - [ 7 ม.ค. 51 14:10:37 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เคยไปโรงพยาบาลครับ หมอสั่งยามาตัวนึง ซึ่งผมแพ้ เภสัชกรก็จะดูประวัติของผมแล้วให้ผมไปถามหมอใหม่ว่าจะให้ใช้ยาตัวไหนแทน หลักๆ ก็คือช่วยหมอในเรื่องการสั่งยา กันอาการหลงลืมเพราะหมอยุ่งมากๆ อาจหลงลืมรายละเอียดบางอย่างได้ครับ จากคุณ : นาย X-MAN (นาย X-MAN) - [ 7 ม.ค. 51 16:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ... เกรียนจริง ๆ หรือไม่รู้จริง ๆ กันแน่ จขกท. จากคุณ : ดาราวิปลาส - [ 7 ม.ค. 51 16:52:59 ]

ความคิดเห็นที่ 101 จริงอยู่ว่าพยาบาล + หมอเองก็เรียนวิชาเกี่ยวกับยาอยู่บ้าง แต่ไม่ถึง 20%ที่เภสัชเรียน หน้าที่โดยรวมของเภสัชส่วนใหญ่ทำในลักษณะเบื้องหลังซะมากกว่า เลยดูไม่ค่อยสำคัญ ให้สาธยายก็ยาว เอาตรงประเด็นของคุณ จขกท. เลยดีกว่า คือ ถ้าไม่มีอาชีพนี้แล้วจะเป็นอย่างไร 1.อุตสาหกรรมผลิตยาโดนก่อนเลย เพราะการผลิต การตรวจสอบ การคิดค้นสูตรยา การปรับปรุงตำรับยา เป็นวิชาความรู้ของเภสัชทั้งนั้น (หรือ มีอาชีพอื่นที่เรียนสูตรโครงสร้างยา+การเตรียมยาน้ำ, ยาเม็ด จขกท.โปรดยกตัวอย่าง) 2.ร้านยา อย่างที่บอกข้างต้น พยาบาล + หมอเองก็เรียนวิชาเกี่ยวกับยาอยู่ สามารถจ่ายยาได้ แต่ก็ยังรู้ไม่หมด ถ้าไม่มีเภสัช พยาบาล+หมอก็ต้องเรียนวิชาที่เกี่ยวกับยาของเภสัชเพิ่มอีก 4 ปี (นั้นคือหมอต้องเรียนอย่างน้อย 9-10 ปี) ถ้าจขกท. สงสัยว่าทำไมบางคนที่ไม่ใช่เภสัช แต่ขายยาได้เก่งรู้นู่นรู้นี่ไปหมด มี 2 เหตุผล คือ 2.1 ประสบการณ์ เมื่อคุณขายยาได้นานพอ คุณก็จะรู้คร่าวๆว่า ยา A กิน 1 เม็ด 3 เวลา ทานหลังอาหารทันทีนะ ยา B กิน 1 เม็ด 2 เวลา กินแล้วง่วงนอนนะ บลาๆๆๆๆๆ 2.2 ตัวเภสัชกรเองนี่แหละที่ไปประจำร้าน (ทำงาน part time) แล้วช่วยสอน หรือตัวเจ้าของก็ครูพักลักจำเอามาใช้ต่ออีกที เอาไปก่อน 2 ข้อใหญ่ๆนะ ถ้าสงสัยอะไรเพิ่มเติม หลังไมค์ครับ อืม..... เหนื่อย วุ้ย จากคุณ : เภสัชกรมาเอง (อาว์เอ็ด) - [ 7 ม.ค. 51 17:50:48 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ทำไมเภสัชถึงไม่มีอำนาจตัดสินในการใช้ตัวยาล่ะครับ ทำไมต้องผ่านหมอก่อน รู้สึกว่าโดนลดบทบาทความสำคัญตรงจุดนี้ไปเยอะ จากคุณ : CaminoReal - [ 7 ม.ค. 51 18:12:22 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ตอบคุณ CaminoReal ครับ การวินิจฉัยของแพทย์นั้น ทำให้เกิดการตัดสินใจได้ชัดเจนขึ้นครับ ว่าแพทย์จะเลือกใช้ยาอะไร หากคุณไม่รู้การวินิจฉัย คุณจะไปใช้ยาไม่ได้ เมื่อแพทย์เลือกที่จะใช้ยาแล้ว หน้าที่ของเภสัชกรอยู่หลังจากนี้ครับ เช่น ยาที่ใช้ไม่เหมาะสม ยาที่ใช้ไม่เพียงพอ มากไป น้อยไป เภสัชกรถึงจะรู้เรื่องยามากกว่า แต่ไม่ได้รู้เรื่องโรคมากกว่า อันนี้คือจุดสำคัญครับ เภสัชกรจะมั่นใจได้อย่างไรว่าที่ตัดสินใจไปมันถูกต้องกับโรคที่หมอวินิจฉัยแล้ว แต่เราสามารถประเมินได้ว่าที่หมอสั่งมานั้น ควรจะปรับตรงไหนบ้าง นี่คือหน้าที่ที่สำคัญของเภสัชกรครับ จากคุณ : เภสัชกร (Epinephrine) - [ 7 ม.ค. 51 19:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 104 หมอเรียนเรื่องยา แค่ประมาณ2เทอมมั้ง ดังนั้น หมอจบใหม่ๆบางคน ยังต้องพกตำราเลย หรือแม้กระทั่งหมอผู้มีประสบการณ์ก็มักมีสมุดเลกเชอร์ จดเอาไว้ตามประสบการณ์ของตนเองในการเลือกใช้ยา แต่เภสัชก็มีสิทธิทักท้วงการตัดสินใจใช้ยาของแพทย์ได้ แต่ก็ต้องไปคุยกับแพทย์ผู้วินิจฉัยเพื่อหาข้อสรุป ยังไง เภสัช ก็มีความรุ้ความเชี่ยวชาญเรื่องยากว่ามาก จากคุณ : kingkole - [ 7 ม.ค. 51 22:52:15 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ตอบความเห็นข้างบน เภสัชก็พกตำราเหมือนกัล บางทีถามขนาดยาใน stock ก็ตอบไม่ได้ ถาม interaction การdiluteยา เธอก็เปิดMIMsมาตอบ แบบบันทัดต่อบันทัดเลย ก็รู้สึกว่า เฮ้อ!แล้วกรูจะถามไปทำไมฟะ จุดที่defectมากๆ คือ พอสั่งยาแล้วไม่ตรงขนาดเนี่ย เธอก็ท้วงมา แต่ไม่บอกว่าจะให้ใช้เท่าไหร่ แล้วมันฤทธิ์ดีไหม ถ้าไม่ใช้ตัวนี้ ใช้อะไรแทนได้ไหม คือเหมือนรู้ไม่สุดอะ แบบว่า รู้จักการใช้ยาดีจริงแต่พอในระดับที่ว่ายานี้ มีผลกับโรคอย่างไร clinical trial ว่าอย่างไร ก็ต้องมาลงกับแพทย์อยู่ดี แล้วสุดท้ายเอาเข้าจริงแพทย์ก็ต้องรู้การใช้ยาไปโดยปริยายอะนะ (คือจริงๆแล้วก็ไม่อยากรู้หรอก แ่ต่ถามเภสัชก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้อะ แถมเวลาถามก็ ถูกถากถางอีก) ด้วยเหตุนี้เภสัชก็เลยแนะนำได้แค่กินยาก่อนอาหาร หลังอาหาร กินแล้วง่วงนอน ห้ามกินกับนม อะไรทำนองนี้ ซึ่งถ้าโรงบาลเล็ก มันก็จะroutine ทันที ทำให้ดูเหมือนว่าพยาบาลก็ทำแทนได้ จากคุณ : xxx (TaizoXXX) - [ 8 ม.ค. 51 02:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 106 คนที่อยู่ในอาชีพ แพทย์และเภสัชกร ส่วนใหญ่ผมคิดว่าเป็นคนดีและมีความรับผิดชอบต่ออาชีพตนเอง สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับแพทย์และเภสัชกรบางคน อย่าเอามาเป็นประเด็น สุดท้าย คห. ต่างๆ ที่เข้ามา comment อาชีพเภสัช ผมอยากทราบว่าพวกคุณทำอาชีพอะไรกันบ้างครับ และมีหน้าที่อะไรที่คิดว่าชัดเจนและไม่ชัดเจนบ้างครับ และทำประโยชน์ให้กับสังคมอย่างไรบ้าง ส่วนตัวผมเป็นคนว่างงานครับ จากคุณ : Mr.MY - [ 8 ม.ค. 51 09:25:56 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ^ ^ ^ ตอบท่าน Taizo ครับ อันนี้เป็นปัญหาหนึ่งที่พยายามแก้ๆ กันอยู่ครับ ขอให้อดทนและเชื่อมั่นอีกสักนิดครับ จากคุณ : Epinephrine - [ 8 ม.ค. 51 10:12:12 ]

ความคิดเห็นที่ 108 เข้ามารายงานตัวอีกครั้ง เภสัชกรอยู่ในกระทู้นี้กี่คนครับเนี่ย จากคุณ : Cryptomnesia - [ 8 ม.ค. 51 11:07:08 ]

ความคิดเห็นที่ 109 1.นักเคมี.......คิดค้นสารเคมีที่ออกฤทธิ์ในตัวยา 2.เภสัช.......เอาสารเคมีที่นักเคมีคิดได้มาปรุงเป็นยาสูตรตำหรับยาให้เหมาะสมต่อการใช้งาน เช่น เป็นเม็ด/น้ำ/สูดดม/ฉีด ปริมาณตัวยา 3.วิศวกร...สร้างระบบกระบวนการผลิตยา...คำนึงเรื่องของระบบการผลิตให้เป็นไปตามความต้องการ 4.หมอ... วินิจฉัยอาการคนไข้...ดำเนินการรักษาคนไข้.. ให้ยา 5. เภสัชกร.... ย้อนกลับมาจ่ายยาให้คนไข้อีกที เรื่องยา เภสัชกรจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุด แม้ว่าหมอ พยาบาลสามารถทำได้แต่ไม่ใช่หน้าที่หลักของ2อาชีพนั้น...ครับ ขอแจมบ้าง จากคุณ : วิญญาณเทวดา - [ 8 ม.ค. 51 15:31:28 ]

ความคิดเห็นที่ 110 บางคนอาจจะยังไม่เห็นความสำคัญของเภสัชกร จนกว่าคนที่ตัวเองรัก ได้รับยาผิดๆจากคนไม่มีความรู้เรื่องยา แล้วทำให้ต้องสูญเสียสมรรถภาพบางอย่างหรือสูญเสียชีวิต ถึงจะเห็นคุณค่าอย่างลึกซึ้งสุดใจ จากคุณ : zmen - [ 8 ม.ค. 51 16:31:34 ]

ความคิดเห็นที่ 111 โหย พี่ๆ มาตอบกันเยอะไปหมดจริงๆ มีพี่เภสัชมาเรียนต่อหมอที่คณะเหมือนกัน พอเรียน pharmaco พี่เค้าบอกว่าแค่นี้เด็กๆ แต่ก็อย่างว่าแหละ ผมเรียน pharmaco แค่ 2 อาทิตย์ + เรียนตาม block อื่นๆ อีกไม่เกิน 10 คาบเองมั้ง ยังไงเรื่องยาก็ต้องยกให้พี่เภสัช รู้มากกว่าหมอแน่ๆ ล่ะครับ ความจริงอยากให้พี่ๆ มาเล่าหน่อย ว่าเวลาได้ใบสั่งยาจากคนไข้มา หลัง counter จ่ายยา เกิดอะไรขึ้นบ้างน่ะครับ จากคุณ : - WelL - - [ 8 ม.ค. 51 23:12:39 ]

ความคิดเห็นที่ 112 หลงเข้ามาดูโดยบังเอิญ ทุกอย่างอธิบายไว้หมดแล้ว..... ทุกอาชีพต่างก็สำคัญหมด....อยู่ไปอาจไม่เห็นค่า ขาดไปจะรู้สึก อยากให้คนเข้าใจบทบาทของเภสัชมากขึ้นจัง.. จากคุณ : เภสัชมือใหม่ (แค่คนหนึ่ง) - [ 8 ม.ค. 51 23:22:09 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ตกลง จขกท จะเรียนเภสัชไหมเนี่ย อยากรู้ จากคุณ : ViPaSa - [ 8 ม.ค. 51 23:26:37 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ทุกๆอาชีพ เป็นเหมือนจิ๊กซอว์     จิ๊กซอว์บางอย่างขาดได้ แต่ภาพที่ได้ จะไม่สมบูรณ์และสวยงาม จากคุณ : นายกาฟิวส์ - [ 9 ม.ค. 51 01:05:02 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ขอบคุณทุกท่าน... พ่อแม่ที่ทำให้เกิดมา....จนได้มาเป็นเภสัชกร ครูอาจารย์ทุกท่านที่สอน.....จนสอบติดเภสัชได้ อาจารย์เภสัชกร (และอาจารย์หมอ) ทุกท่านที่จำจี้จ้ำไช....จนจบเภสัชในทีสุด ขอบคุณ หมอ ทันตะ พยาบาล การเงิน บริการผู้ป่วย etc..ที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับเราและมอบประสบการณ์ใหม่ๆ (ที่วิชาชีพเราอาจยังไม่รู้) กับเราเสมอมา ขอบคุณคนไข้ทุกคนทั้งที่มองเราว่ามีหรือไม่มีคุณค่าที่.....อย่างน้อยให้เราทำตามมาตรฐานวิชาชีพของเรา ขอบคุณทุกๆๆๆคนที่เข้ามาพูดคุยกันในกระทู้นี้.....ที่ทำให้เรายิ่งรักวิชาชีพของเรามากขึ้นไปอีก และสุดท้าย.... ขอบคุณตัวเอง......ที่ยังรักและภาคภูมิใจในวิชาชีพเภสัชกรรมนี้ รักในหลวงครับ...จะไม่ทำให้พระองค์ทรงเสียพระทัย จะเป็นคนไทยที่รักประเทศไทย รักวิชาชีพครับ...จะไม่ทำให้ผู้ก่อตั้งวิชาชีพต้องผิดหวัง จะเป็นเภสัชกรที่ดี.... จากคุณ : เภสัชจุฬาฯ รุ่นที่ 64 ID 63 - [ 9 ม.ค. 51 13:13:48 A:58.10.253.36 X: ]

ความคิดเห็นที่ 116 เข้ามาอ่าน......สงสัยจังว่า จขกท จะเป็นเภสัชกรหรือป่าว.....เหมือนตั้งใจให้คำว่าเภสัชกร ติดหู ติดตา คนที่เข้ามาอ่าน .......ขอบคุณอีกครั้งนะที่ช่วยทำให้เรารู้ว่า เภสัชกร ก็มีความสำคัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวิชาชีพใดๆ .......ขอบคุณ จขกท อีกครั้งที่ช่วยโปรโมตวิชาชีพนี้ ให้ประชาชนเค้ารู้มากขึ้น......สมเป็นกระทู้หลุมพรางจริงๆ :) จากคุณ : ... (ไม่สวยแต่น่ารักและฉลาด) - [ 9 ม.ค. 51 13:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ดีจังครับกระทู้แบบนี้ ไม่ทะเลาะกันมากมาย จขกท ก็อยากรู้จริงๆ ไม่ได้กวนประสาท หรือดูหมิ่นวิชาชีพ แต่น่าจะเป็นเพราะไม่เข้าใจจริงๆ ผมอ่านก็ได้ความรู้เยอะเลยนะ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ทำไมให้คนอื่นจ่ายยาได้ละครับ ในร้านขายยาแถวๆบ้านผม น่าจะจับให้หมดเลยนะ อาชีพเภสัชกรจะได้ดูเคลียร์ขึ้นในสายตาคนทั่วๆไป จากคุณ : phoenixia - [ 9 ม.ค. 51 13:55:42 ]

ความคิดเห็นที่ 118 .....อยากคุยกับ จขกท จังเลย .....หลังไมค์ คุยกันไหมนะ จากคุณ : ไม่สวยแต่น่ารักและฉลาด - [ 9 ม.ค. 51 14:02:03 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว  หายใจเข้าลึกๆแล้วทำใจให้สบาย  หลังจากอ่านจนตาลาย ขอตอบแบบความคิดบ้านๆ ว่าจำเป็นต้องมี   อนึ่ง  หมอมีน้อยเมื่อเทียบกะคนป่วย ถ้าเภสัชช่วยงานหมอได้ ชีวิตคนมาก่อนอคติ เภสัชกรมีความจำเป็น อนึ่ง ผลิตค้นคว้าวิจัยยาหมอก็ทำได้ แต่เภสัชกระทำได้และอาจดีกว่า เอาหมอไปรักษาคนไข้ หมอมีน้อยเมื่อเทียบกะคนป่วย ชีวิตคนมาก่อนอคติ เภสัชกรมีความจำเป็น อนึ่ง เภสัชกรรักษาคนป่วยได้ไหม  ไ้ด้บ้าง แบ่งเบาภาระหมอ ไม่ต้องบอกว่างั้นไม่ต้องมีหมอก็ได้ เพราะ หมอมีน้อยเมื่อเทียบกะคนป่วย ชีวิตคนมาก่อนอคติ เภสัชกรมีความจำเป็น เภสัชกร คือใคร ถ้าประเทศนี้ไม่มีจะเป็นไรไหมครับ ตอบง่ายๆ --- ล้าหลัง ครับ เพราะประเทศอื่นเค้ามีกันหมด เหอๆ ตอบให้รกกระทู้ ปล.ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : hortman - [ 9 ม.ค. 51 14:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ผมทำงานในร้านขายยาเหมือนกัน แต่ไม่ได้จบเภสัชฯ มานะครับ หลังจากที่ทำมาประมาณ 2 ปี ผมว่า การมีเภสัชฯ ก็มีความจำเป็นมากนะครับ เพราะลูกค้าที่มาซื้อยาไปทานเอง หลายคนเค้าก็ต้องการรู้ถึงรายละเอียดของยา อย่างเช่น ทานยาตัวนี้ร่วมกับนมได้มั๊ย?  ทานยาตัวนี้กับยาลดกรดได้มั๊ย? ถ้าไม่ได้ ทำไมถึงไม่ได้? ถ้าทานแล้วจะเกิดผลยังไง ถ้าแพ้ยาตัวนี้ จะทานยาตัวนั้นได้มั๊ย?  เหล่านี้ ถามว่าผมตอบได้มั๊ย? ตอบได้ครับ แต่ไม่ได้ละเอียดเท่าเภสัชฯ ไม่สามารถที่จะตอบในเชิงลึกเท่ากับเภสัชฯ เพราะผมอาศัยแค่ "ครูพักลักจำ" กับ ถามหาความรู้กับเภสัชฯ เท่านั้นเอง แต่ก็มีลิมิตในการจ่ายยาเหมือนกัน คือ ถ้ายาที่อันตราย จริงๆ อย่างเช่น ยารักษาความดัน หรือ เบาหวาน หรือ เกี่ยวกับโรคหัวใจ ผมจะจ่ายไม่ได้เลย นอกเสียจากลูกค้าจะเรียกซื้อ หรือนำตัวอย่างยามาให้ดู ถึงจะจ่ายได้ (หลายครั้งก็ไม่กล้าที่จะจ่าย บอกปัดไปว่าของหมดก็หลายครั้งอยู่เหมือนกัน)  ผมว่าที่สุดแล้ว การซื้อยาบางชนิด (ที่ว่าบางชนิดเพราะว่าผมเคยเจอลูกค้าเดินเข้ามาถามหาเภสัชฯ ว่าอยู่มั๊ย ผมก็บอกว่า ยังไม่มาครับ จะมาตอน 5 โมงเย็น พูดจบ เค้าก็เดินออกไป ประมาณ 6 โมงเย็น ลูกค้าคนเดิมก็กลับเข้ามาอีก เภสัชประจำร้านอยู่พอดี เค้าก็บอกกับพี่เภสัชฯ ว่าเค้าปวดหัวเหมือนจะเป็นไข้ จะขอซื้อยาพาราฯ ซักแผงหนึ่ง เภสัชฯ ก็หยิบ ไทลินอล ให้แผงหนึ่งแล้วผมก็คิดตังค์เสีย ทอนเงินเรียบร้อย เค้าก็เดินจากไป.....................จริงๆผมอย่างจะบอกว่า ไทลินอล นั่นน่ะ ผมก็รู้จักนะครับ เพราะขายได้อยู่ทุกวัน เห็นผมปัญญาอ่อนหรืออย่างไร มันก็แปลกเหมือนกันนะกับเคสนี้ แต่ขำไม่ออกเหมือนกัน) เข้าเรื่องกันต่อ  ที่สุดแล้วการซื้อยาบางชนิดก็ต้องการผู้ที่รู้จริงเรื่องยา มาเป็นคนอธิบาย หรือตอบข้อสงสัย ให้กับผู้ป่วย เหมือนกันนะครับ แต่อย่างยาพาราฯเนี่ย จริงๆแล้ว ไม่จำเป็นก็ได้นะ เพราะคงจะมีน้อยคนที่ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยกินยาพาราฯ ไม่เคยป่วยไข้ใดๆเลย  ยังไงก็ต้องมีซักครั้งล่ะน่า อาจจะมีบ้างที่คนเราจะมีอาการแพ้ยาชนิดนี้อย่างรุนแรง อย่างที่เป็นข่าวเมื่อไม่นานนี้ ว่ามีคนกินยาพาราฯแล้วเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ผมร่วง หรืออะไรนี่แหละ   แต่ก็นั่นแหละ ยังไงการจ่ายยาก็ต้องเป็นหน้าที่ของเภสัชกร โดยตรงอยู่แล้ว ที่ผมขายทุกวันนี้ เน้นไปขายพวก วิตามิน อาหารเสริม หรือพวกเวชสำอางค์ซะส่วนใหญ่  กับยาพวกแก้อักเสบทั่วไป แก้ปวดแก้ไข้ นี่ก็พอได้นะ พิมพ์ซะยาวชักจะงงกับตัวเองละ ขออนุญาต ลาล่ะครับ จากคุณ : BuscompanyteR - [ 9 ม.ค. 51 15:28:42 ]

ความคิดเห็นที่ 121 การตั้งคำถามของเจ้าของกระทู้ที่จงใจล่อแหลมประสบผลสำเร็จดีค่ะ เข้ามาอ่านเองยังทึ่ง...บทบาทของเภสัชกรมีมากมาย แต่มาตรฐานการทำงานของเภสัชกรแต่ละคนอาจต่างกัน ซึ่งก้อไม่แปลก เพราะทุกวิชาชีพก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน หมอไม่ใช่พระเจ้าที่จะรักษาทุกโรคแล้วหาย เภสัชก็ไม่ใช่พระเจ้าที่จะบันดาลให้ยาออกฤทธิ์ได้ดังใจคิด สิ่งที่สำคัญคือทุกคนทำตามบทบาทหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้วหรือยัง ปล.ว่าแต่เจ้าของกระทู้เป็นเด็กเตรียมเอ็นท์ที่ตั้งกระทู้ได้ล่อแหลมดีจิงๆ ทำเอาอ่านแล้วบางอวัยวะเกิดการกระตุกแม้จะไม่ได้เกิดจากผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา จากคุณ : เคยเรียนเภสัช (Naussica) - [ 9 ม.ค. 51 15:29:36 ]

ความคิดเห็นที่ 122 จขกท เป็นครายค้า สอบเภสัชไม่ติด หรือโดนเภสัชกรหักอกเอาล่ะ พูดจาไม่ได้ความเรย ทุกอาชีพมีทั้งคนดีคนเลวแหล่ะ ทำใจยอมรัยซ้าทชมั่ง เฮ่อ จากคุณ : อ่านแล้วมีอารมณ์(โมโห) - [ 9 ม.ค. 51 15:46:14 A:124.121.152.86 X: ]

ความคิดเห็นที่ 123 ทำไมจึงต้องมีเภสัชกร สวัสดีคุณเจ้าของกระทู้ครับ ผมเป็นเภสัชกร ทำงานในวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาลมา 7 ปี ถามว่าเพราะเหตุใดจะต้องมีวิชาชีพนี้ เพราะในระบบยา ที่ประกอบด้วย การจัดซื้อ จัดหา การคัดเลือก, การกระจายยา, การใช้ยา, และการติดตามผลการใช้ยานั้น ล้วนต้องอาศัยองค์ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ที่ไม่มีสอนในคณะอื่น ผมไม่นึกโกรธที่เจ้าของกระทู้ ตั้งคำถามแบบนี้ เพราะเข้าใจว่าเจ้าของกระทู้คงจะเห็นภาพ ๆ เดียวของเภสัชกรคือการจัดยาตามใบสั่งแพทย์ และจ่ายยา แต่จริงภายใต้สิ่งที่ดูว่าง่ายก็มีอะไรที่ซับซ้อนซ่อนอยู่ ในปัจจุบัน เภสัชศาสตร์ศึกษาในบางมหาวิทยาลัย จะมีการแบ่งสาขา (subspecialty) ออกเป็นหลายสาขาตามบทบาทที่ครอบคลุมของงานเภสัชกรรม กล่าวคือ 1. สาขา เภสัชกรรมโรงพยาบาลและเภสัชกรรมคลินิก รับผิดชอบงานเภสัชกรรมที่เกี่ยวกับผู้ป่วย และ งานเภสัชกรรมในโรงพยาบาล เช่นการจัดซื้อ จัดหา ยาเข้าโรงพยาบาล การเก็บรักษายาคงคลัง (อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ) การจ่ายยาพร้อมคำแนะนำให้ผู้ป่วย (ซึ่งต้องวิเคราะห์-อ่านทั้งลายมือแพทย์ การตรวจสอบปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจจะเกิดขึ้น การสั่งใช้ยาที่เป็นข้อห้ามใช้ ขนาดยา (โดยเฉพาะขนาดยาในเด็ก) การติดตามผลการใช้ยา การให้คำแนะนำด้านยาให้กับบุคลากรทางแพทย์อื่น ๆ การดำเนินงานด้านการวิจัยยาในโรงพยาบาล (เป็น requirement ที่สำคัญในการจ่ายยาวิจัย การเตรียมยาวิจัยที่ต้องทำโดยเภสัชกร) 2. สาขา เทคโนโลยีการผลิตยา. รับผิดชอบการเตรียมยา การตั้งสูตรตำรับที่เหมาะสม เพื่อให้ยามีความคงตัวดี อยู่ในรูปที่ปลดปล่อยตัวยาเพื่อให้ออกฤทธิ์ได้ ให้อยู่ในรูปที่ผู้ป่วยสามารถใช้ได้ เอื้ออำนวยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ยาตามสั่งได้มากขึ้น โดยมากจะเป็นภาระหลักที่ทำร่วมไปกับสาขาวิจัยและพัฒนาเภสัชภัณฑ์ (R&D) 3. สาขา วิจัยและพัฒนาเภสัชภัณฑ์. เป็นงานที่ต้องอาศัยความตั้งใจ การทุ่มเททั้งสติปัญญาและเงินทุนมาก ในประเทศไทยอาจจะไม่มีบทบาทที่เด่นชัดมากนัก ภารกิจของงานประเภทนี้คือ การวิจัย เพื่อเสาะแสวงหาโมเลกุลสารเคมีที่มีศักยภาพในการมาทำเป็นยา ยาตัวหนึ่ง ๆ ที่ออกมาขายกว่าจะมาทำเป็นยาได้จะต้องผ่านการ design เรียกว่า drug design เพื่อให้ออกฤทธิ์ได้ตรงจุด กระนั้น กว่าเราจะ design ยาออกมาได้ ก็ต้องเข้าใจกลไกการทำงานของเป้าหมายของยา หรือ drug target ในระดับโมเลกุลให้ได้เสียก่อน ต่อคำถามที่ว่า แล้วนักเคมี (Chemist) ทำไม่ได้หรือ ถ้าตอบตามความเป็นจริงก็คือ ได้ แต่ในระบบของการทำ R&D จะมี step ขั้นตอนของการทดสอบฤทธิ์ และพิษ ซึ่งต้องใช้ความรู้ด้านเภสัชวิทยา (pharmacology) แน่นอน มีไม่กี่คณะที่สอน (อาจจะบอกว่าคณะวิทยาศาสตร์ บางที่สอน แต่คนสอนก็มักจะเป็นคนที่จบเภสัชศาสตร์อีกนั่นแหละ) นี่ยังไม่จบขั้นตอนของการวิจัยและพัฒนา เมื่อได้สารเคมี/โมเลกุลที่มีศักยภาพในการเป็นยา (lead compounds) แล้วก็ต้องเอามาทดสอบฤทธิ์และพิษในสัตว์ทดลอง หากได้ผลก็ผ่านขึ้นไปทดสอบในคน อีกหลายขั้นตอนเรียกว่า clinical trials ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามา ใช้เวลานานเป็นสิบ ๆ ปี 4. สาขา เภสัชกรรมชุมชนและบริหารเภสัชกิจ รับผิดชอบงานเภสัชกรรมที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ร้านยา บริษัทยา การนำเสนอยาแก่แพทย์ โรงพยาบาล การให้คำแนะนำการใช้ยา การจ่ายยาที่ไม่อันตรายสำหรับการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อยในชุมชน การส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคง่าย ๆ ในชุมชน (บทบาทนี้จะชัดเจนในต่างจังหวัด) 5. สาขา เภสัชสาธารณสุข รับผิดชอบ ด้าน regulatory การควบคุม กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การขึ้นทะเบียนยา การคุ้มครองผู้บริโภคด้านยา (รวมไปถึง อาหาร และเครื่องสำอาง ด้วย) เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความปลอดภัยสูงสุด จาก 5 สาขาที่ยกตัวอย่างมาจะเห็นว่า วิชาชีพได้มีบทบาทในทุกขั้นตอนของยา ตั้งแต่เมื่อเป็นสารเคมีธรรมดา ๆ จนกระทั่งกลายมาเป็น “ยา” ในรูปแบบที่จับต้อง บริโภคได้ เภสัชกรทำได้ครบวงจรนะครับ ในการทำงานแบบสหสาขา บอกก่อนว่าไม่ได้เข้าข้างวิชาชีพตัวเองนะครับ แพทย์และพยาบาล ยังต้องการข้อมูลเรื่องยาจากเรามาก โดยเฉพาะเรื่อง product ซึ่งนับวันมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ทั้งรูปแบบที่มีความหลากหลายมากขึ้น บดไม่ได้ แบ่งไม่ได้ การบริหารผ่านสายยางให้อาหาร เทคนิคการใช้ยาแบบพิเศษต่าง ๆ การผสมยา การตั้งตำรับยาอย่างง่ายในโรงพยาบาล การคำนวณทางเภสัชกรรม รวมทั้งความเข้ากันไม่ได้ของยาแต่ละชนิดเมื่อบริหารร่วมกัน การเก็บรักษา ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้ มีสอนเฉพาะคณะเภสัชศาสตร์เท่านั้น เราไม่ได้บอกว่าวิชาชีพของเราสำคัญที่สุด เราทำงานร่วมกัน เหมือนกับที่มีคนมาตอบแล้วว่า เราทุกคนเป็นเหมือน jigsaw ที่ทำให้องค์ประกอบโดยรวมมีความสมบูรณ์ ถ้าเภสัชกรไม่มีความจำเป็น และวิชาชีพเภสัชกรรมไม่มีความสำคัญ ก็คงจะไม่เป็นแรงผลักดันให้ จอมพลสมเด็จน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ มีดำริ ซึ่งได้ประทานแก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทร (บิดาแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมแห่งประเทศไทย) ดังที่ได้ทรงมีบันทึกไว้ว่า... " เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าไปจัดการการศึกษาวิชาแพทย์ และ วิชาผดุงครรภ์และพยาบาล ได้สักหน่อย สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ก็ทรงมีพระดำริว่า ตามกรมกองทหารบกมี แพทย์ประจำหน่วยพยาบาลอยู่แล้ว และยังจะได้เพิ่มเติมไปอีกเรื่อยๆ แต่ทางเภสัชกรรมนั้น ยังไม่มีผู้ ใดได้เรียนและได้รับการอบรมไปประจำตามที่จำหน่ายยาเลย ควรตั้งโรงเรียนปรุงยาขึ้นอีกแขนงหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นด้วย จึงได้จัดตั้งโรงเรียนปรุงยาขึ้น สอนวิชารากฐานร่วมกันไปกับกับนักเรียนแพทย์- แล้วไปแยกกัน ทางฝ่ายแพทย์ปรุงยาก็ไปเรียนเภสัชศาสตร์ และฝึกหัดทางเภสัชกรรม... " (ที่มา: http://www.pharm.chula.ac.th/detail.php?menu=1&name=แนะนำคณะ&lang=thai สืบค้นวันที่ 9 มกราคม 2551) วิชาชีพเภสัชกรรม เป็นวิชาชีพที่ชนชั้นผู้ปกครอง ได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด นับตั้งแต่การแยกการศึกษาด้านเภสัชกรรม ออกจากการศึกษาด้านเวชกรรม จัดตั้งระบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบเรื่อยมา นับมาตั้งแต่ เดือนธันวาคม ปี 2456 ต้องขอบคุณเจ้าของกระทู้เป็นอันมากที่ ได้ให้โอกาสพวกเราเภสัชกรในหลาย ๆ สายงานมาแสดงความเห็นกัน วิชาชีพของเราก็จะได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และเป็นที่เข้าใจ เป็นที่รับรู้ของสังคมภายนอกมากขึ้น จากคุณ : DLT - [ 9 ม.ค. 51 16:31:47 A:10.7.51.253 X:202.28.179.3 ]

ความคิดเห็นที่ 124 เข้าใจว่าเรื่องเกี่ยวกับยา คงไม่มีใครเกินเภสัชแล้วหละ...ถ้าไม่มีคงแย่ หมอก็รู้ไม่เยอะเท่ากระมัง... ส่วนพยาบาล...อาจจะรู้แค่ยาพื้นฐาน อย่างพาราฯ... ปล.แต่พยาบาลกับเภสัชก็เก่งจิงๆ อ่านลายมือหมอออกด้วย...พยายามอ่านตั้งนานว่ามีอักษรอะไรบ้าง ยังอ่านไม่ออกเลย...งง - -* เขาอ่านกันยังไงเหรอครับ อยากรู้จิงๆ จากคุณ : fakeless (fakeless) - [ 9 ม.ค. 51 16:38:12 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ดูรูปประกอบ จากคุณ : productmill - [ 9 ม.ค. 51 21:24:24 ]

ความคิดเห็นที่ 126 เมื่อทั้งสองมารวมกันทุกอย่างก็ถูกเติมเต็ม เพราะเราเกิดมาคู่กัน จากคุณ : productmill - [ 9 ม.ค. 51 21:26:40 ]

ความคิดเห็นที่ 127 คคห 116 .... สรุป จขกท จะเรียนเภสัช ตามที่ อาจารย์แนะนำมั้ยคะ อยากให้เรียนจังค่ะ จากคุณ : เรียนนะๆๆ (All For One) - [ 9 ม.ค. 51 22:44:13 ]

ความคิดเห็นที่ 128 สงสารคุณละอ่อนชายแดน กลับเข้าเมืองไวๆนะครับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้ เฮ้อคุณภาพประชากรไทย เวรรกรรม จากคุณ : ปลาอ้วน - [ 9 ม.ค. 51 23:12:33 ]

ความคิดเห็นที่ 129 ^_^ เข้ามาซื้อยา จากคุณ : เฒ่าเจ้าอุบาย - [ 10 ม.ค. 51 10:19:20 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ต้องมาเรียนเองค่ะ แล้วจะได้คำตอบแน่นอน ทุกอาชีพ ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของสังคม health care provider ทั้งหลาย หากทำงานร่วมกัน จะทำให้รักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภูมิใจในวิชาชีพค่ะ จากคุณ : นักศึกษาเภสัชศาสตร์ - [ 10 ม.ค. 51 14:03:13 A:10.66.227.176 X:202.28.117.236 ]

ความคิดเห็นที่ 131 คิดว่า จขกท. น่าจะเข้าใจบทบาทของเภสัชกรมากขึ้นแล้วนะคะ ทุกอาชีพเป็นส่วนประกอบของสังคม ต้องมีการทำงานร่วมกัน บางครั้งอาจจะมีบทบาทไม่โดดเด่นนัก คนที่ต้องทำงานอยู่ด่านหน้าก็ต้องมีคนที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง (ถึงแม้จะไม่มีใครมองเห็นคนที่คอยอยู่ข้างหลัง แต่คนคนนั้นก็จำเป็นต้องมีอยู่) อย่าไปถามใครอีกว่า คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องมีได้มั้ยครับ เพราะอ่านแล้วมันปวดใจ จากคุณ : kamomi (kamomi) - [ 10 ม.ค. 51 20:54:38 ]

ความคิดเห็นที่ 132 โหเห็นเภสัชกรออกมาบ่นน้อยเนื้อต่ำใจว่าปิดทองหลังพระ งั้นต้องเจอกับเทคนิคการแพทย์หน่อย อันนี้ปิดทองที่ฐานพระเลย จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 11 ม.ค. 51 09:38:30 ]

ความคิดเห็นที่ 133 #124 ที่อ่านออกเพราะเราไม่ได้อ่านทั้งหมด เราดูจากโรคที่เค้าเป็น อาการที่มีอยู่ Patient Drug Profile ฯลฯ ทำให้ทราบได้ว่ายานั้นคืออะไร หมอก็ไม่อยากจะไก่เขี่ยหรอกครับ แต่คนมันเยอะ เขียนให้พอรู้ว่าคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจจริงๆก็จะสื่อสารกัน พวกเราไม่ปล่อยให้มันหลุดไปง่ายๆหรอกครับ เภสัชฯไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการอ่านลายมือแย่ๆหรอกครับ เอาเด็กประถมที่เขียนไก่เขี่ยมาเราก็อ่านไม่ออกหรอก ฮิฮิ จากคุณ : JacKKyKung - [ 11 ม.ค. 51 23:08:44 A:158.108.211.95 X: ]

ความคิดเห็นที่ 134 เข้า้ามาดูกระทู้ออกแนวล่อเป้า เข้ามาดูเภสัชกรเป็นเป้า เข้ามาดูอาชีพที่ปิดทองหลังพระอีกหลายๆ อาชีพโดนล่อเป้า เข้ามาดูเภสัชกรและหลายท่านเข้ามาตอบให้เข้าเป้า หวังว่าเจ้าของกระทู้คงคิดออกแล้วนะว่าอยากเรียนอะไร สุดท้ายเข้ามาตามหาพรรคพวกเพราะเราก็เภสัชกรเหมือนกัน อิอิ จากคุณ : Rskiz - [ 12 ม.ค. 51 02:17:39 ]

ความคิดเห็นที่ 135 ถ้าเภสัช เป็นผู้ปิดทองหลังพระ หมอปิดทองหน้าพระ หมอลำบากกว่าเยอะเพราะโดนฟ้องบ่อยๆ ปิดทองหลังพระ ปลอดภัยกว่านะ จากคุณ : ปิดทองตรงไหนดี (All For One) - [ 12 ม.ค. 51 08:24:01 ]

ความคิดเห็นที่ 136 ถ้าไม่มี ผมตายแน่ครับ จากคุณ : LAST VODKA - [ 12 ม.ค. 51 12:07:59 ]

ความคิดเห็นที่ 137 ผมว่า จขกท ไม่น่าเป็นเด็กนะ แต่น่าจะมีเจตนาจะสร้างกระทู้ให้เป็นเป้าโจมตีเพราะความไม่พอใจส่วนตัว หรือไม่ก็เป็นคนที่มีนิสัย antisocial มากกว่า ถ้าหากคุณเป็น จนท สาสุข อย่างนี้คงแย่ เพราะ สาสุข นั้นต้องทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพ คุณควรอยู่ในอาชีพอื่นดีกว่า อยู่ว่างงานแบบผมก็ได้ เภสัชน่ะคะแนนสูงเอาเรื่อง คนที่จะเข้ามาเรียนจริงๆ ควรรู้จักมีนิสัยเสียสละ อย่าเห็นแก่ตน หาก จขกท เป็นคนที่คนรอบข้างไม่ยอมรับ จึงต้องมาแสดงออกอย่างนี้ คุณควรทำอาชีพที่ไม่ต้องทำงานร่วมกับคนอื่นมาก เช่น ช่างกุญแจ ช่างนาฬิกา ช่างแอร์ จะดีกว่านะครับ จากคุณ : num (Mr.MY) - [ 12 ม.ค. 51 14:42:35 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ถ้าพยาบาลขายยาได้ จ่ายยาได้ อาแปะยายซิ้มขายยาเป็น แล้วเภสัชกรไม่จำเป็นต้องมี ผมยิงปืนแม่นมีความรู้เรื่องกฎหมาย มีความสามารถสืบจับ ผมก็ไปทำหน้าที่ตำรวจได้น่ะสิ ทุกคนร่างกายแข็งแรงยิงปืนเป็นหมดอ้างว่าตัวเองก็ทำหน้าที่ตำรวจได้ งั้นบ้านเมืองก็ไม่ต้องมีตำรวจหรอก.......... ทำตามบทบาทหน้าที่ตัวเองในสังคมดีกว่าครับ อย่าจิตให้มากนัก จากคุณ : คนไทยขี้อิจฉา (Zeaboll) - [ 12 ม.ค. 51 15:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 139 จขกท. สร้างกระแส เภสัชกร อีกแล้ว สังเกตว่า ช่วงที่ผ่านมา จะมีกระทู้ที่พูดถึงเภสัชกรบ่อยบ่อยใน pantip ใครหลายหลายคนอาจจะได้รู้จักเภสัชกรมากขึ้นกว่าเดิม แต่ในส่วนตัวคิดว่า การที่เภสัชกรหลายหลายคนมาโปรโมตตัวเองว่า เป็นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยามากที่สุด รู้เรื่องยามากกว่าแพทย์น่ะ เว่อร์และขี้โม้ไปหรือเปล่า ถึงแม้ในภาคทฤษฎี เภสัชกรจะเรียนเรื่องยามากกว่าใครใคร แต่เวลานำมาประยุกต์ใช้จริง ไม่ได้ใช้เยอะเท่าที่เรียนมาหรอก พอไม่ได้ใช้ สิ่งที่รู้ก็ลืมหมด..............ถ้าไม่ได้ศึกษาหาความรู้อะไรเพิ่มเติม ก็เป็นเภสัชกรเฉิ่มเฉิ่ม ทำงาน routine จ่ายยาไปวันวัน หรือไม่ก็เป็นเภสัชกรจ่ายยา amoxicillin 1 x 3 lozenge 2 แผง brom 1 x 3 กันต่อไป พูดถึงเภสัชกรร้านยา แขวนป้ายกันกระจาย ไม่รักวิชาชีพตัวเองก็เพราะงี้แหละ เภสัชกรน่าจะเป็นบุคลากรที่ให้ข้อมูลด้านยามากกว่านะ ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญหรอก คือถ้าใครมีปัญหาสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยาเบื้องต้น ก็ถามเภสัชกรได้ โอเคอยู่ แต่ถ้ารู้ลึก รู้จริง การประยุกต์ใช้ทางคลินิก ไปคุยกับแพทย์เฉพาะทางกันดีมั้ย รู้ทั้งยา โรค และประสบการณ์การรักษาจริง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านยาตัวจริง ควรจะเป็น ผู้ที่จบ หลักสูตร board certified pharmacotherapy specialist นี่แหละตัวจริง สำหรับผู้ที่จบ pharm D. ก็ยังโอเคได้อยู่ สำหรับผู้เรียนจบ 5 ปี bachelor of pharmacy ก็ไม่ต้องไปเบ่งว่ารู้เรื่องยามากกว่าแพทย์หรอกนะ อายเขาจ้ะ จากคุณ : แฉตัวเองนี่แหละ สะใจดี - [ 12 ม.ค. 51 16:35:03 A:210.246.69.146 X: TicketID:159606 ]

ความคิดเห็นที่ 140 เข้ามาเป็นกำลังใจให้พี่น้องเภสัชกรค่ะ มงคลนามเภสัชกรรม       เป็นหนึ่งพึงจำนามขจร รวมพลังเภสัชกร     เภสัชขจรระบือกร้าวแกร่ง ทุกถิ่นไกลทั่วไทยร่วมแรง    ต่างเข้มแข็งด้วยกันทุกคน ร่วมใจกันยึดมั่นคุณธรรม     เภสัชกรรมเพื่อปวงชน ปวงโรคามีมากหลากล้น เราเสาะเราค้นคิดยามาป้อง พร้อมฉีดกินหมดสิ้นทั้งผอง   เพื่อป้องกันโรคภัยนับคณา ล้วนตั้งใจเมื่อได้ร่วมใจร่วมนโยบาย หมายมั่นในสวัสดิภาพของปวงประชา ผองโรคภัยขจัดออกไปอย่าให้มาบีฑา แม้ประชาไกลห่างโรคาพวกเราพอใจ       มงคลนาม มงคลนาม มงคลนาม เภสัชกรรม มงคลนามเภสัชกรรม เป็นหนึ่งพึงจำจนเจนใจ รวมพลังเภสัชทั่วไทย เขียวมะกอกสดใสรักดังชีวา ถึงอยู่ไกลรวมใจบูชา เภสัชสถาบันแสนเกรียงไกร ได้ยินเพลงนี้ทีไร  รู้สึกภูมิใจบอกไม่ถูก แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 51 20:36:01 จากคุณ : jusuran - [ 12 ม.ค. 51 20:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ตอบคห. ที่ 139 ครับ จริงครับ ที่คุณพูดไม่ผิดเลย เราถึงต้องมีการพัฒนาบทบาทวิชาชีพ เพราะแม้เภสัชกรส่วนที่ทำงานจะมีมาก แต่บทบาทที่คนอื่นมองไม่เห็น ก็ทำให้เกิดกระทู้แบบนี้ไงครับ ผมถึงต้องขอบคุณที่จขกท. ให้ความสนใจ ขอบคุัณเพื่อนๆ ทุกคนที่มาแสดงความคิดเห็น เสียงเพลงมงคลนามครั้งล่าสุด ยังอยู่ในใจผมครับ หวังว่าคงจะได้ยินอีกครั้งเร็วๆ นี้ จากคุณ : Epinephrine - [ 12 ม.ค. 51 20:58:55 ]

ความคิดเห็นที่ 142 คห.139 ถ้าคุณเป็นเภสัชกรจริง นะ การที่พูดแบบนี้เท่ากับดูถูกตัวเอง การที่คุณไม่มีความรู้เรื่องยามากพอ ไม่ขวนขวาย(พิมพ์ถูกมั้ยหว่า) เพิ่มเติม คุณก็จะเป็นเภสัชกรเฉิ่มๆเหมือนที่คุณพูดน่ะแหละครับ แล้วก็อย่าเอาคนอื่นไปเหมารวมครับ เพราะเค้าอาจจะไม่ได้เฉิ่มแบบคุณ ถ้าไม่พอใจจะอยู่วิชาชีพนี้ลาออกไปได้เลย   ปล.ยืนยัน นอนยัน นั่งยัน เภสัชรู้เรื่องยาดีสุด อ้อ ในเมื่อแพทย์รู้เรื่องยาได้เชี่ยวชาญเรื่องยาได้ ทำไมเภสัชจะเชี่ยวชาญเรื่องโรคมั่งไม่ได้ อันนี้ไม่ได้เหมารวม ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ก็เหมือนหมอ ไม่ได้เก่งเรื่องโรคซะทุกเรื่อง ทำนองเดียวกับเภสัช ก็ไม่ได้เก่งเรื่องยาไปหมด ขึ้นอยู่กับการพัฒนาตัวเอ ง ไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่อง  สนใจเรื่องใดทำงานฝ่ายไหน จงไปให้สุดๆ คุณจะเชี่ยวชาญทางนั้นเอง จากคุณ : productmill - [ 12 ม.ค. 51 21:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 143 อ้อ คุณ 139 ทำไมต้องใช้บัตรผ่านด้วย ล็อกอินมาเลยดีกว่ามั้ย สงสัยจะไม่ใช่เภสัชละหว่า รักจะเกรียนก็ต้องเปิดเผยตัวเอง (สงสัยจะเป็นหมอเฉพาะทางมาหมั่นไส้เภสัช) <<<< คุณเก่งเรื่องยา(ที่จ่ายประจำในวงแคบๆ)ดีแค่ไหน ไม่ต้องมาอวดหรอก ทำหน้าที่คุณให้ดีที่สุด บทบาทหน้าที่ใครหน้าที่มัน  ส่วนเภสัชไม่ต้องไปสนใจ ใครจะอิจฉาก็เรื่องของเค้า ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ชีวิตการทำงานก็เป็นแบบนี้แหละ เอาใจช่วย อันนี้ที่ว่าไม่ได้เหมารวม แล้วขอร้องทุกคนกรุณาอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ และจากการวิเคราะห์คุณ139 คงไม่ได้จบเภสัชมา เพราะคนที่จบเภสัชมาจะรู้ดีว่าเราเรียนอะไร แบบไหน มาบ้าง แถมมีการเปรียบเทียบ PharmD กับB.Pharm แบบไม่รู้เรื่อง (ถ้าไม่รู้จริงอย่าวิจารณ์ดีกว่า อายเค้ามากกว่า อิอิ) แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 51 21:35:59 แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 51 21:35:36 จากคุณ : productmill - [ 12 ม.ค. 51 21:22:43 ]

ความคิดเห็นที่ 144 เภสัชสู้ๆ ครับ ใครไม่เห็นความสำคัญเราก็ช่างหัวเค้าครับ เราทำของเราให้ดีที่สุด ใครจะอิจฉาจะหมั่นไส้ก็เรื่องของเค้า ขอเพียงเราทำให้ดีที่สุด  เอาใจช่วยครับ แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 51 21:39:57 จากคุณ : productmill - [ 12 ม.ค. 51 21:26:58 ]

ความคิดเห็นที่ 145 วี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด บู้ม P - H -  A-  R-  M - A - C - Y pharmacy pharmacy   laaaahh ได้บูมแล้วฮึกเหิม ภูมิใจในตัวเองและวิชาชีพเสมอ จากคุณ : ผู้หญิงอย่าหยุดอ้วน - [ 12 ม.ค. 51 21:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ไม่จำเป็นเลยค่ะ (ประกาศกร้าว!) ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตเหมือนเป็นส่วนเกินของสังคมอยู่แล้ว โทรฯไปหาหมอบอกว่าคนไข้แพ้ยากลุ่มนี้ หมอก็บอกว่าคนไข้กินได้ กินได้ กินได้ แต่คนไข้ยืนยันว่าแพ้ไม่ยอมกิน หมอก็ไม่ยอมเปลี่ยน บอกว่า OPD Card มี (ก็ครั้งอื่นๆโทรฯไปแล้วหมอเปลี่ยนแต่ไม่ยอมแก้ OPD Card เองนี่ ฮ่วย!) พอคนไข้โมโหกลับไปหาหมอที่ห้อง หมอก็กลับมาด่าอีกว่า "คุณไปblameผมต่อหน้าคนไข้ได้ยังไง" ไม่จำเป็นที่สุดในโลกเลยค่ะ อาชีพนี้ ไม่จำเป็นอย่างแรง ว้ากกกกกกกก ปล. ถึงคคห.ที่ 139 ที่รพ.แห่งหนึ่งมีหมอสั่งจ่าย Air X เพราะคนไข้หูอื้อ! มีหมอสั่งจ่าย Magesto เมื่อคนไข้ขอยาแก้ไอ! มีหมอ ENT วินิจฉัยคนไข้ว่าเป็น GERD แล้วตบ Antacid ไป 4 ตัว! แต่คุณหมอเขาก็สุดแสนจะเชี่ยวชาญกันนี่นะ มีสิทธิ์ขาดในการสั่งยานี่นะ สงสัยกันไปก็ไม่แก้มีแต่จะด่ามานี่นะ ก็ต้องปล่อยให้คนไข้กินไปนี่นะ ที่เด็ดกว่านั้นคือเมื่อเภสัชจ่ายยาไปด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ (ข้อบ่งใช้พรรค์นี้มีด้วยรึ!) ก็ถูกคนไข้เขียนใบร้องเรียนหาว่า "เภสัชท่าทางไม่มีความรู้ พูดจาไม่ฉะฉาน" ว้ากกกกกกกกกกกกกกกก (ขอร้องอีกครั้งเพื่อความสะใจ) แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 51 23:51:25 จากคุณ : ทินา (ทินา) - [ 12 ม.ค. 51 23:29:09 ]

ความคิดเห็นที่ 147 ชอบอยู่คำนึง "ลองให้ข้อมูลแก่แพทย์เพื่อประกอบการตัดสินใจในการรักษา" ครับ ชีวิตจริงก็คือ ปกติถ้าเจออะไรอ่านแล้วทะ:-)ๆ ก็จะลองสอบถามแพทย์เจ้าของไข้ (กันเหนียวให้คนไข้) เช่น สั่ง Dian ให้คนไข้ผู้ชาย จริงๆจะสั่ง Dilantin แต่เขียนผิดเอง แพทย์ส่วนใหญ่จะโอเคครับ แต่ถ้าเป็นประมาณทำกระฟัดกระเฟียดใส่ รู้ไหมผมคนไข้เยอะ (แล้วกรูน้อยกว่ามรึงหรือไง) บางทีก็เออออไป จะสั่งอะไรก็ตามสบาย จ่ายตามที่สั่งก็ได้ ขีเกียจโดนด่าอีก ผมทำถูกหรือปล่าวเนี่ย??? จากคุณ : Zolam (zolam) - [ 13 ม.ค. 51 11:30:40 ]

ความคิดเห็นที่ 148 หมอ ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง  จึงมีหมอเฉพาะทาง ทันตแพทย์ ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง  จึงมีทันตแพทย์เฉพาะทาง เภสัชกร ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง  จึงมีเภสัชกรเฉพาะทาง พยาบาล ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง  จึงมีพยาบาลเฉพาะทาง คุณ 139 น่าเห็นใจความคิดคุณจริงๆ เพราะการเปรียบเทียบแบบคุณนั้น มันคิดไม่ถูก ใช้ไม่ได้ และหากการตัดสินใจเป็นเรื่องของหมอเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนคำทักท้วงจากเภสัชกร อย่างนี้ก็น่าห่วงอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนมองไม่เห็นการทำงานก่อนได้รับยามา และหากมีปัญหาในบางครั้งที่ไม่ควรจะเป็น เราจะรู้ได้อย่างไร ผมหวังว่าเภสัชกรควรมีบทบาทตัดสินใจในการใช้ยามากพอๆ กับหมอ ทั้งนี้ก็เพื่อประชาชนจริงๆ Balance การทำงาน ผมคิดว่าอาชีพร่วมสายงาน ไม่ควรเกรงใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจน Balance กันไม่ได้ ผมเป็นคนว่างงาน ที่คิดในมุมกว้างครับ แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 51 12:51:48 จากคุณ : Mr.MY - [ 13 ม.ค. 51 11:59:04 ]

ความคิดเห็นที่ 149 ขอบคุณทุกท่านครับ ที่ทำให้ผมได้ความรู้มากมาย เเละทำให้รู้ว่า ก็ยังไม่บางคนที่ไม่อ่านคห.อื่นเลย เข้ามาเเล้วก็ใส่ จขกทซะ ขอบคุณอีกทีครับ จากคุณ : SK-love - [ 13 ม.ค. 51 17:32:54 A:58.9.161.36 X: TicketID:141557 ]

ความคิดเห็นที่ 150 อ่านไม่หมด แต่เคยมีความคิดอยู่ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับวิชาชีพนี้ว่ามีไปทำไม จึงขอตอบตามความเข้าใจของตัวเอง - แพทย์เป็นอาชีพที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์อย่างลึกซึ้ง - นักเคมีเป็นอาชีพที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเคมีอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องร่างกายของมนุษย์มากเท่าไหร่ - เภสัชกรคือผู้ที่ได้เรียนก้ำกึ่งระหว่าง แพทย์+เคมี แม้ไม่ลึกซึ้งเฉพาะทางมากมายกว่าสองอาชีพข้างบน แต่ก็เพียงพอที่จะให้คำปรึกษาเรื่องการจ่ายยากับแพทย์ ผมขอนิยามเองตามความเข้าใจของตัวเองว่า เภสัชกรคือนักเคมีที่สามารถนำเคมีมาใช้กับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าแพทย์และนักเคมี อาชีพนี้จึงมีความจำเป็นสำหรับชาวโลกเป็นอย่างมาก จากคุณ : ริมน้ำปิง - [ 14 ม.ค. 51 01:37:53 ]

ความคิดเห็นที่ 151 เพิ่มเติมตามความเข้าใจของตัวเองอีก สิ่งที่แพทย์ทำไม่ได้เหมือนเภสัชกรก็คือการผลิตยา แพทย์อาจจะเชี่ยวชาญเรื่องการรักษามะเร็งด้วยการผ่าตัด แต่เภสัชกรอาจจะมีวิธีที่ดีกว่าแพทย์ผ่าตัด ด้วยการผลิตยาเพื่อสลายมะเร็ง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่นักเคมีทำไม่ได้เช่นกัน เพราะนักเคมีไม่ได้เรียนเรื่องกายวิภาคของมนุษย์ นี่คือความแตกต่างอย่างชัดเจน ว่าทำไมถึงต้องมีการเปิดสอนสาขาเภสัชบนโลกนี้ ขอบคุณผู้ที่อดทนร่ำเรียนในสาขาเภสัชกรด้วยนะครับ คุณได้ทำประโยชน์ให้กับชาวโลกมากมายเหลือเกิน จากคุณ : ริมน้ำปิง - [ 14 ม.ค. 51 01:47:21 ]

ความคิดเห็นที่ 152 ไม่ได้มีความสำคัญเท่าไรเลยครับจากที่ผมเห็นแต่ว่าจำเป็นต้องมีครับ เภสัชกรที่อุทิศตัวเพื่อคนอื่นผมว่ามีน้อยมากนะครับ ส่วนมากเห็นแต่เพราะว่าเงินดีเลยเรียนกัน เอาจริงถ้าพูดความรู้เรื่องยาผมว่าก้อไม่ได้มีมากเลยนะครับยกเว้นแต่ระดับอาจารย์ขึ้นไป ผมมีเพื่อนเรียนเภสัชหลายคน60%เรียนเพราะชวดแพทย์ชวดทันตะ เรียนเพราะว่าคิดว่ารวย เห็นน้องผมบอกว่าพี่ที่เรียนเภสัชไปแนะแนวที่โรงเรียนก้อเห็นพูดแต่เรื่องเงินเรื่องรายได้ แนวทางการทำมาหากินเช่นไปเซ็นอะไรตามร้านยาเดือนละครั้งก้อได้5000หรือพวกเดินสายขายหรืออะไรทำนองนี้ ไม่เห็นน้องผมจะพูดให้ฟังเลยว่าพี่เค้ามาบอกว่าเรียนอะไรมั่ง มีแต่จบไปจะทำงานยังไงได้เงินดีกว่าเหอะๆ ส่วนที่เห็นเรียนเพราะรักในวิชาชีพมีประมาณ10%เท่านั้นล่ะ อีก30เหรอซิ่วไปหมอไปทันตะหมดแล้ว เรื่องความรู้ทางเคมีพูดจริงๆเลยนะเพื่อนที่เรียนเภสัชด้วยกันยังบอกว่าไม่ได้มีความรู้ทางเคมีมากกว่าอย่างที่คิด จะรุก้อแค่เคมีในยาเท่านั้น วิชาเคมีก้อไม่ได้เรียนลึกเลย ส่วนมากเน้นท่องจำเป็นหลัก ส่วนความรู้ด้านกายวิภาคที่จะต่อรองกับหมออ่ะนะ ก้อเรียนแค่เบสิคอนาโตมี ตัวเดียวจบ เรียนท่องๆกล้ามเนื้อกระดูกเส้นเลือกเอ็น เอาเป็นว่าเรียนพอรู้ว่างั้นเถอะ แต่ว่าความรู้ในด้านยานั้นก้อเยอะกว่าพวกที่ไม่ได้เรียนอยุ๋แล้วล่ะครับไม่งั้นจะมีเรียนเภสัชไปทำไม หลังๆบางมหาลัยมีหลักสูตรเกี่ยวกับพวกเครื่องสำอางมาด้วย สรุปแล้วเภสัชเป็นตัวอะไรกันครับเนี่ย หลุดกรอบจากคำว่าช่วยคนไปรึยัง อาจารย์บางท่านยังพูดไว้เลยว่าคนที่มาเรียนเพราะใจรักจริงๆน่ะมีน้อย ส่วนคนที่เรียนไปแล้วเริ่มชอบอันนี้ก้อไม่ผิดนะครับคนเรามีสิทธิที่จะชอบเมื่อได้สัมผัสก่อนไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ผมบ่นน่ะเพราะมันเป็นคณะที่คะแนนค่อนข้างสูงทั้งๆที่คนที่เข้ามาเรียนกลับไม่ค่อยมีใจเลย กลับเลือกเพราะว่าจะหาเงินได้เยอะๆเพราะยาก้อเป้นสินค้าที่เค้าไม่ต่อรองกันแพงเท่าไรก้อขายได้แบบนี้มันเพื่ออะไร แล้วจะไม่ให้คนที่ทำงานทางด้านสายสุขภาพร่วมกันดูถูกได้ยังไงกันครับ สรุปผมไม่ได้มีเจตนาจะว่าเภสัชนะครับ แค่อยากบอกว่านี่คือสิ่งที่ผมพบเจอมาจริงๆ หากคุณไม่ได้เป็นแบบที่กล่าวมาก้อถือซะว่าผมปากเสียเอง ถ้าเป็นคณะอื่นๆผมไม่พูดหรอกครับแต่คณะทางสายแพทย์ซึ่งทุกคนควรจะมีจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนเอง ไม่ควรมีเภสัชแบบที่ผมกล่าวมาครับ อีกอย่างคห151ต่อให้มียาเพื่อรักษามะเร็งจริงๆผมว่าคนที่คิดได้ก้อไม่ใช่เภสัชหรอกครับ เพราะความรู้ทางด้านกายวิภาคมีไม่มากพอไม่เข้าใจถึงโครงสร้างเนื้อร้าย เภสัชทุกวันนี้เรียนในกรอบนะครับเคสแต่ละเคสล้วนแต่ต้องมีมาแล้วถึงจะใช้ยาเป็นหรือใครจะเถียงก้อได้นะครับว่าเป็นโรคไรมาก้อไม่รู้แต่เห้นอาการแบบนี้ๆยังไม่ทันวินิจฉัยก้อให้กินยาได้เลย กับอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อนน่ะผมว่าทำไม่ได้หรอกครับไม่งั้นคงได้เห็นยาสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านโรคเอดส์ไปแล้วล่ะครับ จากคุณ : เฉินเสี่ยวปิง - [ 14 ม.ค. 51 06:19:17 ]

ความคิดเห็นที่ 153 rep.139 เป็นอะไรมากเปล่า? มีแต่คนคิดกับวิชาชีพเราอย่างนี้ น่าเศร้าใจจริงๆ ขนาดประชาชนทั่วไปเค้ายังคิดว่าตัวเองรู้เรื่องยาดีกว่าเภสัชเลย (แล้วชั้นรู้อะไรบ้างเนี่ยฮึ!)  แถมเห็นเราพึ่งจบ หน้าเด็กก็มีสำทับอีก เด็กๆ จะไปรู้อาไร้ยยยยย หนอย..เดี๋ยวออกไปไถนาเลย ปล. อยู่ร้านยาเคยเจอพยาบาลให้คนไข้กิน celebrex แก้ปวดกระเพาะด้วย ขำๆ จากคุณ : เข้าร้านยาถามหาเภสัชกรนะค้า (Pimano) - [ 14 ม.ค. 51 10:05:29 ]

ความคิดเห็นที่ 154 คุณ 152 โลกของคุณมันแคบจริงๆ ไม่รู้อะไรจริง ก็แสดงความเห็นที่ด้อยปัญญา เรื่องสอบเอ็นฯ นั้น มันไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมดหรอก อย่ากล่าวหาอย่างนั้น ปัจจุบันนี้ดูเด็กเก่งๆ ที่เลือกคณะอื่นๆ เช่น อักษร ดนตรี เป็นต้น ก็เป็นเด็กเรียนเก่งทั้งนั้น แต่เรียนด้วยความรู้สึกชอบจริงๆ และเด็กบางคนก็กลัวเลือด เห็นแผลแล้วจะเป็นลม อย่างนี้ก็มี เภสัชกรก็เป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับ product และไม่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง คนที่เรียนก็เพราะเหตุผลส่วนตัวถมเถไป ผมมองว่าคนที่ทำงานเพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ เป็นคนที่มีคุณค่าในทุกสาขาอาชีพ จะแสดงความเห็นใดๆ ที่ไปกระทบอาชีพใดๆ ควรจะต้องรู้จริง ไม่ใช่เพียงตาเห็นหรือไปฟังใครมา เพียงตาเห็นผมก็เห็นหลายอาชีพแต่เพียงผ่านๆ เขาตอบสนองสิ่งที่เราต้องการได้คือจบ ไม่ได้สนใจว่ากว่าจะได้มันมาเป็นอย่างไร ฉะนั้นนั่นคือปัญญาเพียงน้อยนิด ไม่อาจจะไปแสดงความเห็นในเชิงวิจารณ์ได้ วันนี้ผมก็ยังว่างงานอยู่ แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 51 12:05:22 จากคุณ : Mr.MY - [ 14 ม.ค. 51 10:53:54 ]

ความคิดเห็นที่ 155 คำตอบอยู่ที่นี่ครับ http://hiptv.mcot.net/player/hipPlayer.php?SelectSpeed=256k&id=13876 จากคุณ : apotheker - [ 14 ม.ค. 51 12:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 156 อย่างนี้แหละ พอเขากำลังเริ่มเข้าใจกันดี ก็จะเริ่มมีคนมาชักใบให้เรือเสีย ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม หรือหมั่นไส้พวกเรามากเหลือเกิน ขอบอกว่าที่ เภสัชกรมาตอบกระทู้นี้ ไม่ใช่เพื่อต้องการมาอวดเบ่ง อวดว่าตัวรู้ดี หมอก็รู้ไม่เท่า ฯลฯ แต่ต้องการให้คนภายนอกรู้จักบทบาทของเรามากขึ้น จะได้ไม่เข้าใจแบบผิดๆ มีใครในโลกนี้ที่อยากให้คนอื่นบอกว่า "คุณน่ะมันไร้ค่า" ก่อนที่จะใช้คำพูดทำร้ายจิตใจคนอื่นหรือเอาแต่จ้องจับผิด ควรคิดซะก่อนนะครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 14 ม.ค. 51 19:15:54 ]

ความคิดเห็นที่ 157 ตอบ ความคิดเห็นที่ 152 1.ไม่ได้มีความสำคัญเท่าไรเลยครับจากที่ผมเห็นแต่ว่าจำเป็นต้องมีครับ =ตั้งแต่เกิดมากินยามากี่ตัวแล้ว เคยมั้ยไปโรงบาลแล้วไม่ได้ยา 2.เภสัชกรที่อุทิศตัวเพื่อคนอื่นผมว่ามีน้อยมากนะครับ ส่วนมากเห็นแต่เพราะว่าเงินดีเลยเรียนกัน เอาจริงถ้าพูดความรู้เรื่องยาผมว่าก้อไม่ได้มีมากเลยนะครับยกเว้นแต่ระดับอาจารย์ขึ้นไป =มีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือมีreferenceรึเปล่าครับ (เรื่องเงินมันไม่เกี่ยวกัน ทำงานแล้วก็ต้องได้เงินครับ ไม่งั้นหมอจะเปิดคลินิกทำไม) อาจารย์บางคนความรู้น้อยกว่าคนที่จบใหม่ก็มี (เพราะมันเป็นวิชาชีพ ไม่ใช่อาชีพ จึงต้องพัฒนาหาความรู้ใส่หัวตลอดชีวิต) 3. ผมมีเพื่อนเรียนเภสัชหลายคน60%เรียนเพราะชวดแพทย์ชวดทันตะ =แล้วไอ่ที่มาบ่นๆ ที่เว็บบอร์ดคณะว่าอยากเรียนเภสัชอย่างนั้นอย่างนี้ล่ะ   3.1 เรียนเพราะว่าคิดว่ารวย =ไม่จริง 4.เห็นน้องผมบอกว่าพี่ที่เรียนเภสัชไปแนะแนวที่โรงเรียนก้อเห็นพูดแต่เรื่องเงินเรื่องรายได้ แนวทางการทำมาหากินเช่นไปเซ็นอะไรตามร้านยาเดือนละครั้งก้อได้5000หรือพวกเดินสายขายหรืออะไรทำนองนี้ ไม่เห็นน้องผมจะพูดให้ฟังเลยว่าพี่เค้ามาบอกว่าเรียนอะไรมั่ง มีแต่จบไปจะทำงานยังไงได้เงินดีกว่าเหอะๆ =แล้วแต่วิธีพูดของเค้า ถ้าให้ผมไปพูด ผมจะพูดเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ และความสำคัญของเภสัชเป็นอย่างแรก(ขอถามนิดนึง พี่ที่มาแนะแนวเรียนมหาลัยไหน)<<<ส่วนมากจะเป็นเด็กปี1ไปแนะแนวนะ ซึ่งเค้ายังไม่ได้เรียนของตัวคณะเลย แล้วเค้าทราบดีรึยังว่าเภสัชเรียนอะไรมั่งมีบทบาทอย่างไร(เค้าก็พูดไม่ต่างจากเด็กมอ6จะเอ็นท์เภสัชน่ะแหละ) 5.ส่วนที่เห็นเรียนเพราะรักในวิชาชีพมีประมาณ10%เท่านั้นล่ะ อีก30เหรอซิ่วไปหมอไปทันตะหมดแล้ว =มันซิ่วตั้งแต่ปี1กันแล้ว (ก็มันไม่ได้ตั้งใจมาเรียนจริงๆนี่หว่า ความชอบใครความชอบมันอีกอย่างยังไม่ได้เรียนตัวคณะเลยยังไม่รู้ว่าชอบจริงรึเปล่า อาศัยไปตามเพื่อนหรือกระแส) 6. เรื่องความรู้ทางเคมีพูดจริงๆเลยนะเพื่อนที่เรียนเภสัชด้วยกันยังบอกว่าไม่ได้มีความรู้ทางเคมีมากกว่าอย่างที่คิด จะรุก้อแค่เคมีในยาเท่านั้น วิชาเคมีก้อไม่ได้เรียนลึกเลย ส่วนมากเน้นท่องจำเป็นหลัก =ไม่จริงเลย เรียนลึกเลยล่ะคุณ ถึงระดับโมเลกุลเลย  มีอีกหลายตัวที่เรียนพอๆ(หรือมากกว่า)กับวิทย์เคมีเลยแล้วก็เครื่องไม้เครื่องมือก็พร้อม อาจารย์ที่คณะก็ทำวิจัยไวรัส ก็มี และยาสามัญชื่อlektoplase ก็อาจารย์ผมทำขึ้นเอง(lek=small โมเลกุลมันเล็ก) อีกอย่างเรียนแล้วใช้ประโยชน์ได้จริงเลยล่ะ ถ้าไม่เข้าใจไปดูที่ศูนย์หรือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์หรือที่ไหนก็ได้ ไม่งั้นจะมีแยกเป็นสาย science สาย careทำไม 7.ส่วนความรู้ด้านกายวิภาคที่จะต่อรองกับหมออ่ะนะ ก้อเรียนแค่เบสิคอนาโตมี ตัวเดียวจบ เรียนท่องๆกล้ามเนื้อกระดูกเส้นเลือกเอ็น เอาเป็นว่าเรียนพอรู้ว่างั้นเถอะ =ที่หมอเค้าเรียนเยอะเพราะเค้าต้องเอาไปเป็นพื้นฐานผ่าตัดครับ(หมอจะเรียนผ่าด้วย)  ส่วนเภสัชก็เรียนจนครบทั้งตัวคครับแต่ไม่ได้ผ่าเท่านั้นเอง (ต้องมาเรียนเองคุณจะได้รู้ว่าได้ความรู้มากน้อยแค่ไหน) ทำนองเดียวกัน หมอก็เรียนเบสิคออเคมตัวเดียว ส่วนเภสัชเรียนสองตัว (เพราะฉะนั้นอย่าเอาไปเทียบกัน มันคนละสายอาชีพเลยล่ะ หน้าที่ต่างกัน ) 8. แต่ว่าความรู้ในด้านยานั้นก้อเยอะกว่าพวกที่ไม่ได้เรียนอยุ๋แล้วล่ะครับไม่งั้นจะมีเรียนเภสัชไปทำไม =ถูก! 9.หลังๆบางมหาลัยมีหลักสูตรเกี่ยวกับพวกเครื่องสำอางมาด้วย สรุปแล้วเภสัชเป็นตัวอะไรกันครับเนี่ย หลุดกรอบจากคำว่าช่วยคนไปรึยัง =ก็ช่วยคนไงครับ ไม่รู้ว่าทราบรึเปล่านะว่าเครื่องสำอางจริงก็คือเวชสำอาง(ให้แปลเองนะ ) เครื่องสำอางที่ผลิตในไทยต้องผ่านการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงเป็นสินค้า (ทุกอย่างผ่านเภสัชหมด) การผลิตเครื่องสำอางมันต้องอาศัยองค์ความรู้ทางเภสัชด้วย เช่น พิษวิทยาของสารนั้นๆ ผลในระยะยาว  และสุดท้ายมันเกี่ยวกับผิวหนังคน(มีเรียนskinด้วยในหลักสูตรนี้) เครื่องสำอางเกือบทั้งหมดที่อยู่ในคลินิกความงามผลิตโดยเภสัชกร 10.อาจารย์บางท่านยังพูดไว้เลยว่าคนที่มาเรียนเพราะใจรักจริงๆน่ะมีน้อย ส่วนคนที่เรียนไปแล้วเริ่มชอบอันนี้ก้อไม่ผิดนะครับคนเรามีสิทธิที่จะชอบเมื่อได้สัมผัสก่อนไม่ใช่เรื่องแปลก =ถูก 11.ที่ผมบ่นน่ะเพราะมันเป็นคณะที่คะแนนค่อนข้างสูงทั้งๆที่คนที่เข้ามาเรียนกลับไม่ค่อยมีใจเลย =ไม่ใช่ทุกคน                 เพราะประชาชน(เช่นคุณ) ที่ไม่เห็นความสำคัญ 12. กลับเลือกเพราะว่าจะหาเงินได้เยอะๆเพราะยาก้อเป้นสินค้าที่เค้าไม่ต่อรองกันแพงเท่าไรก้อขายได้แบบนี้มันเพื่ออะไร =แล้วหมอ กับทันตะล่ะ ว่าไงมั่ง  แล้วอันนี้ก็ไม่ใช่ทุกคน 13.แล้วจะไม่ให้คนที่ทำงานทางด้านสายสุขภาพร่วมกันดูถูกได้ยังไงกันครับ = ใครดูถูกหว่า ถ้าเค้าจะดูถูกก็คงดูถูกที่ตัวบุคคลครับไม่ใช่วิชาชีพ  (ก็ทำตัวไร้ค่าเองนี่หว่า) 14.สรุปผมไม่ได้มีเจตนาจะว่าเภสัชนะครับ =เข้าใจครับ แค่ไม่รู้จริงแต่ดันวิจารณ์ 15.แค่อยากบอกว่านี่คือสิ่งที่ผมพบเจอมาจริงๆ =จากไหนครับ (บนวอร์ดยังมีเภสัชอยู่อันนี้เคยเจอรึยัง) แค่ฟังคนอื่นเล่ามาก็เล่าได้เยอะเป็นตุเป็นตะ(บวกกับความคิดตัวเอง) 16.หากคุณไม่ได้เป็นแบบที่กล่าวมาก้อถือซะว่าผมปากเสียเอง =ใช่ ผมไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าแน่นอน 17. ถ้าเป็นคณะอื่นๆผมไม่พูดหรอกครับแต่คณะทางสายแพทย์ซึ่งทุกคนควรจะมีจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนเอง ไม่ควรมีเภสัชแบบที่ผมกล่าวมาครับ =เห็นด้วย หมอ ทันตะ ก็มีแบบนี้เหมือนกัน อย่าว่าเภสัชฝ่ายเดียวสิ 18.อีกอย่างคห151ต่อให้มียาเพื่อรักษามะเร็งจริงๆผมว่าคนที่คิดได้ก้อไม่ใช่เภสัชหรอกครับ =ถ้าเภสัชไม่คิด แล้วแมวที่ไหนจะมาคิด ทุกวันนี้ก็มียารักษามะเร็งทั้งฉีดทั้งกินนี่คงมาจากกระบอกไม้ไผ่มั้ง 19.เพราะความรู้ทางด้านกายวิภาคมีไม่มากพอไม่เข้าใจถึงโครงสร้างเนื้อร้าย =ไปทำความเข้าใจใหม่ครับ  คุณเข้าใจเกี่ยวกับcancer ดีและลึกพอรึยัง เราไม่ได้เรียนแต่เรื่องยา เราเรียนเรื่องโรคด้วย ส่วนเรื่องโมเลกุลยา เราก็เรียนโมลกุลภายในcell ด้วย ลึกลงถึงDNA (ยาไปถึงไหนเราไปถึงนั่น) 20.เภสัชทุกวันนี้เรียนในกรอบนะครับเคสแต่ละเคสล้วนแต่ต้องมีมาแล้วถึงจะใช้ยาเป็น =ถ้าเรียนแค่นี้จะเรียนทำไมตั้งห้าปีหกปี ทุกวันนี้ก็มีเภสัชราวน์วอร์ด นศภ.ไปเก็บเคสตามวอร์ดอยู่ตลอด ส่วนร้านยาก็ใช้เป็นกรณีศึกษาได้(ส่วนมากมาด้วยโรคผิวหนัง ) 21.หรือใครจะเถียงก้อได้นะครับว่าเป็นโรคไรมาก้อไม่รู้แต่เห้นอาการแบบนี้ๆยังไม่ทันวินิจฉัยก้อให้กินยาได้เลย =ผมนี่แหละจะเถียง รู้ได้ยังไงว่าเขาไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไร (ถ้าไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไรแล้วตูจะเรียนทำไมฟะ) แล้วรู้ได้ไงว่าเค้าไม่ทันวินิจฉัย  อาจจะมีข้อจำกัดบ้างที่ร้านยา เพราะไม่มีผลแล็บ (ต้องเป็นโรคร้ายแรงหรือหาสาเหตุหรือแยกโรคไม่ได้หรือเพื่อติดตามระดับเอ็นไซม์ในเลือดต่างๆหมอถึงจะส่งตรวจ) แต่ส่วนมากร้านยาอาศัยซักประวัติ ความชำนาญ ประสบการณ์ หรือดูลักษณะภายนอก (เวลาที่เค้าถามก็ดันโมโห บอกจะเอายาๆ ตูมาซื้อยาก็ขายมาสิถามอยู่ได้ เวลาไปหาหมอเค้าก็ถามคุณทำไมไม่โมโหว้า) ตัวอย่างเคสร้านยา ผู้ป่วยมาซื้อยารักษาสิวที่หลัง เป็นคุณคุณจะหยิบเลยรึเปล่า =เฉลย วิธีคือซักประวัติ ถามบริเวณ บางทีอาจต้องไปที่ห้องปรึกษาภสัชเพื่อเปิดดูรอยโรค จากนั้นอาจจะถามประวัติการใช้ยา ประวัติการเป็นโรค (มีสองอย่างให้เลือก งูสวัด กับ steroid induced acne คร่าวๆถ้าใช้ยาsteroids เช่น Prednisolone อยู่ แต่ไม่มีประวัติงูสวัด อาจเป็นอย่างที่สอง  ) ส่วนอีกเคสบอกว่าเป็นไข้ เจ็บคอร่วมด้วย เภสัชไม่ถามอะไรก็จ่ายยา พารา ลดไข้กับอะม็อกซี่ไป(อาจจะถามว่าแพ้ยารึเปล่า) อันนี้ก็ไม่ผิดเพราะ(แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเหมือนกัน) คนที่มาแบบนี้ก็รู้ได้เลยว่าเป็นอะไร  ทุกอย่างเป็น empirical treatment อาศัยยาที่รักษาเชื้อได้กว้าง บวกประสบการณ์ และบริเวณที่เป็น(ถ้าเป็นที่อื่นก็นึกถึงอีกโรคเช่น ปัสสาวะแสบขัด มีเลือดปนออก อาจนึกถึงท่อปัสสาวะอักเสบ ถ้ามีไข้หนาวสั่นร่วมด้วยอาจนึกถึงที่กระเพาะปัสสาวะ หรือกรวยไตอักเสบ แล้วอาศัยการซักประวัติดูอาการ ถ้าไม่ดีเราจะreferไปโรงบาลครับ ) 22.กับอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อนน่ะผมว่าทำไม่ได้หรอกครับไม่งั้นคงได้เห็นยาสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านโรคเอดส์ไปแล้วล่ะครับ =ทุกวันนี้ก็มียารักษาเอดส์กินแล้วเพียงแต่เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ตามร่างกาย (เลยไม่หาย) ส่วนยาใช้ป้องกันกำลังวิจัยอยู่(ใช้เวลาเฉลี่ย11ปี  เสี้ยวชีวิตคนเลย) อีกอย่าง ยาบางตัวน่ะมีมาก่อนโรคจะเกิดอีกก็มีครับ ผมคงตอบได้แค่นี้ครับ เพราะยังมีอีกมากที่คุณยังไม่รู้และเข้าใจผิด ยังไงถ้ามีโอกาสก็ลองสอบเข้ามาเล่นๆ เพื่อเรียนประดับความรู้ พอจบก็ไม่ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพก็ได้ครับ ถ้าไม่อยากทำงานด้านนี้ (ผมคงอธิบายให้คุณเข้าใจทั้งหมดไม่ได้) จากคุณ : ปีสาม (productmill) - [ 14 ม.ค. 51 19:29:00 ]

ความคิดเห็นที่ 158 ผู้สงสัยและไม่คิดว่าเภสัชกรมีความสำคัญ-ตรงนี้ก็อาจเป็นเพราะบ้านเมืองสังคมเป็นเช่นนี้มายาวนาน ถามว่าอาแปะ อาเจ้ จ่ายยาได้มั๊ย ถ้าเป็นในดัานร้านขายยาก็คิดว่าถ้ามีประสบการณ์มากและตั้งอนู่ในจริยธรรม ไม่ใช่เอะอะก็อัด steroid กันเข้าไป ก็จ่ายได้ ตรงนี้ไม่รู้มีคนตอบรึยัง อ่านไม่หมด คือเภสัชน่ะ จบมามีหลายสาขอาชีพให้ทำนะ โรงพยาบาล- เช็คใบสั่งยาจากแพทย์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแพทย์ก็อาจมีผิดพลาดได้บ้าง เช่นชื่อยาคล้ายๆ กัน แล้วเขียนผิด ร้านยา-ถ้าลองเข้าร้านที่มีเภสัชจะพบความแตกต่างนะ อันนี้ถ้าไม่นับว่าเป็นคนที่ไม่ใช่เภสัชแต่อยู่วงการนี้มานาน นอกจากนั้นก็มี อาจารย์ นักวิทย์ โรงงาน ราชการกระทรวง อุตสาหกรรมยา อาหารก็มีบ้างนะ เพราะมีวิชา food ในหลักสูตร cosmeticก็ไปได้ detail ยาก็มีและจะให้ข้อมูลยาเพิ่มนอกจากเรื่องการขาย ทุกวงการในสังคมก็เหมือนกันแหละ มีทั้งดีและไม่ดี เภสัชก็มีทั้งที่ตั้งใจทำหน้าที่และที่เห็นแก่เงินหรือทำๆไปอย่างนั้นเอง รวมทั้งยังมีที่เรียนไปแล้วรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ แต่ก็ขอทำงานด้านนี้ต่อไป ยังไงก็เป็นเหมือนคนทั่วไป จริงๆ คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมก็น่าที่จะมีน้ำใจต่อกันและมองโลกในด้านที่ดีมากกว่านะ อันไหนไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยก็ควรแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ และคนที่ออกความเห็นก็ควรใช้ความสุภาพและวิจารณญาณในการอ่าน คิด ตอบ นะ ความเห็น 156 ก็ตอบดีนะ ความเห็นหมอแมวก็โดนดี...จำไม่ได้ ความเห็นเท่าไหร่ ^^ จากคุณ : Z (macoto_z) - [ 14 ม.ค. 51 19:57:26 ]

ความคิดเห็นที่ 159 เอ่อ คือว่า ..... เอ่อ คือว่า... ไปต่างจังหวัด อาทิตย์กว่าๆ เพิ่งกลับมาครับ ไม่นึกว่า จะขึ้นกระทู้แนะนำซะงั๊น ---------------------------------------------- ได้ความรู้เยอะขึ้นเลยครับ อะไรที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น หรือเห็นแบบตาฝ้าฟางก็กระจ่างชัดครับ และเชื่อว่า หลายๆ คนน่าจะได้เปิดหูเปิดตา พร้อมๆ กับผมนะครับ ---------------------------------------------- ขอบคุณนะครับ ทุกความเห็น ทั้ง + และ - เพราะเราคู่กันครับ จากคุณ : ละอ่อน (ละอ่อนชายแดน) - [ 14 ม.ค. 51 21:15:09 ]

ความคิดเห็นที่ 164 บอกเล่าความรู้สึกที่ได้จากในนี้นิดนึงนะครับ ดีใจ ดีใจที่มีคนเห็นคุณค่าของเภสัชกรและในหลายๆกระทู้ จะเห็นว่าคนเริ่มรู้จักหน้าที่ของเภสัชกรกันมากขึ้น ดีใจเพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่จำเป็นต่อสังคมไทย แพทย์ไม่สามารถทำงานในโรงพยาบาลได้เดี่ยวๆโดยไม่มีเภสัชกรและเพื่อนร่วมวิชาชีพทั้งหลาย ที่ผ่านๆมา การทำงานในโรงพยาบาลและแม้แต่ในสังคมภายนอก ผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่คนทั่วไปจะต้องให้เกียรติวิชาชีพอื่นๆในโรงพยาบาลให้เหมาะสมกับฐานะ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้เกียรติตามมารยาทสังคม หน้าที่การให้คำปรึกษาด้านยาที่เป็นของเภสัชกรโดยตรงซึ่งบางครั้งแม้ว่าผมรู้หรือทราบตอบได้ผมก็ยังให้ผู้ป่วยไปสอบถามเอาจากเภสัชกรเพื่อจะให้ได้สิ่งที่ครบถ้วนและสมบูรณ์กว่า อะไรที่ผิดแผกหรือคำร้องเรียนที่จะมีต่อทุกฝ่าย ในฐานะเพื่อนร่วมสายงานวิชาชีพ ก็ต้องให้ความเป็นธรรม ... ไม่ใช่คนไข้มาบ่นด่าก็ปล่อยไป อะไรที่เราทำให้เขารู้เข้าใจถูกได้เราก็ทำ อะไรที่เห็นเป็นปัญหา ก็พยายามพูดคุยกันภายในเพื่อให้เกิดการแก้ไขและพัฒนา ไม่พูดออกไปให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีและ ดังนั้นในฐานะเพื่อนร่วมวิชาชีพ/ร่วมกับการสั่งสอนจากอาจารย์ ผมจึงรู้สึกยินดีที่ประชาชนจะมองวิชาชีพเภสัชกรในมุมมองที่เด่นชัดขึ้น เสียใจ ทุกอาชีพมีทั้งคนที่ดีและคนที่ไม่ดี เวลาคุยกันผมรู้สึกว่าเรื่องข้อเสียเราควรพูดเป็นรายบุคคล และควรพูดในที่เฉพาะเพื่อหาทางแก้ไข มากกว่าการพูดระบายอารมณ์เรื่องเพื่อนร่วมงานที่คุณรู้สึกไม่ดี จากนั้นสิ่งที่เหลือไว้คือ คนภายนอกที่ไม่เข้าใจก็รู้สึกไม่ดี ... การแก้ไขก็ไม่ได้เกิด กระทู้นี้เป็นอีกกระทู้ที่ผมรู้สึกอิหลักอิเหลื่อเพราะจริงๆเป็นกระทู้หนึ่งที่อยากเข้ามาอ่านอยากเข้ามาตอบ อย่างความเห็น 162-163 อยากตอบกลับ 152 ตอนแรกว่าจะถอดเป็นประโยคออกมาตอบ 139 เห็นด้วยในหลักการ แต่ผมคิดว่าถ้าเราจะอธิบายให้ผู้ที่อ่านรู้สึกดีกว่านี้ก็ย่อมทำได้ครับ และอีกหลายความเห็น มาตอนนี้ รู้สึกว่าจมดินไปสัก2-3ฟุต ... เอาล่ะครับ 2ครั้งแล้ว ... ให้อีกครั้ง ไปล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 51 22:59:19 จากคุณ : หมอแมว - [ 14 ม.ค. 51 22:55:47 ]

ความคิดเห็นที่ 166 คุณหมอแมวครับ 160-162 เค้าป่วนมันทุกกระทู้นิ อย่าถือสาเลยครับ จากคุณ : โกฏิดารา - [ 15 ม.ค. 51 03:08:08 A:125.25.46.20 X: TicketID:163406 ]

ความคิดเห็นที่ 167 ดีเทลยาเงินดีมากโดยเฉพาะ ไฟเซอร์ มีเพื่อนขาย cerebrek เงินเดือน สามหมื่น ค่าเช่ารถ 15000 shell fleet card 15000 เบียเลี้ยง สามหมื่น  คอม เฉลี่ย ห้าหมื่นต่อเดือน ไปต่างประเทศทุกหกเดือน  ถือเป็นอาชีพในฝัน เสียดายที่ไม่ได้จบเภสัชไม่งั้นป่านนี้สบายไปแล้ว จากคุณ : ถ้ำเขาบิน - [ 15 ม.ค. 51 07:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 170 medicine ความหมายหนึ่งแปลว่า การบำบัดโรคโดยยา จากคุณ : BCCCCB - [ 15 ม.ค. 51 07:56:36 ]

ความคิดเห็นที่ 171 มงคลนามเภสัชกรรม       เป็นหนึ่งพึงจำนามขจร รวมพลังเภสัชกร     เภสัชขจรระบือกร้าวแกร่ง ทุกถิ่นไกลทั่วไทยร่วมแรง    ต่างเข้มแข็งด้วยกันทุกคน ร่วมใจกันยึดมั่นคุณธรรม     เภสัชกรรมเพื่อปวงชน ปวงโรคามีมากหลากล้น เราเสาะเราค้นคิดยามาป้อง พร้อมฉีดกินหมดสิ้นทั้งผอง   เพื่อป้องกันโรคภัยนับคณา ล้วนตั้งใจเมื่อได้ร่วมใจร่วมนโยบาย หมายมั่นในสวัสดิภาพของปวงประชา ผองโรคภัยขจัดออกไปอย่าให้มาบีฑา แม้ประชาไกลห่างโรคาพวกเราพอใจ       มงคลนาม มงคลนาม มงคลนาม เภสัชกรรม มงคลนามเภสัชกรรม เป็นหนึ่งพึงจำจนเจนใจ รวมพลังเภสัชทั่วไทย เขียวมะกอกสดใสรักดังชีวา ถึงอยู่ไกลรวมใจบูชา เภสัชสถาบันแสนเกรียงไกร ขอบเพลงนี้ด้วยคน เขียวมะกอกไม่เคยหลอกลวงใคร เขียวแต่ละใบยังใสสดโสภิณ แล้วเติบโตแตกใบจนเต็มแผ่นดิน มอบชีวินเป็นผลพืชแต่ประชา จะอยู่ถิ่นใดใจผูกพันอันความรักนั้นไม่สร้างซา เปรียบดังสายธาราแห่งน้องพี่ ด้วยอุดมการณ์อันมั่นคงจะเทิดธงวิชาชีพนี้ เพื่อศักดิ์ศรีของเราเภสัชกร ขอผองเพื่อนจงเป็นเช่นเม็ดทราย ที่กร่นกรายมีหลายหลากทั้งนาคร แล้วร่วมกันเป็นพลังสร้างเกียรติกำจร เภสัชกรจักไว้ชื่อคู่ดินฟ้า ชอบเพลงนี้ด้วย เพิ่งเรียนได้ปีเดียว ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหรคับ จากคุณ : Jackcozy - [ 15 ม.ค. 51 10:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 172 เภสัชกร (อังกฤษ: Pharmacists) คือผู้ที่มีวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข (health profession) มีหน้าที่จ่ายยา ให้ผู้ป่วยตามใบสั่งยาจากแพทย์ (medical prescription) และเป็นผู้ผลิตยา เภสัชกรจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถหลายสาขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นทางด้านคลินิก โรงพยาบาล และเภสัชชุมชนซึ่งจะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทางเลือกหนึ่งของวิชาชีพเภสัชกรคือการปฏิบัติงานในร้านขายยาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของร้านเอง (small business) ในงานด้านนี้เภสัชกรนอกจากจะมีความชำนาญในธุรกิจร้านค้าแล้วยังมีความรู้และข้อมูลการใช้ยาทั้งประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของยา ตลอดจนการให้ข้อมูลความรู้ให้คำปรึกษาการใช้ยาแก่ชุมชนด้วย เภสัชกรบางครั้งเรียกว่านักเคมี เพราะในอดีตมีการให้ผู้สำเร็จการศึกษาในวิชาเคมีสาขาเภสัชกรรม (Pharmaceutical Chemistry (PhC)) มาเป็นเภสัชกรซึ่งเรียกกันว่านักเคมีเภสัชกรรม ("Pharmaceutical Chemists") โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ เช่น เครือข่ายร้านขายยาของบู๊ตส์เรียกเภสัชกรของบู๊ตส์ว่า "นักเคมีบูตส์" ('Boots The Chemist') จากคุณ : nasake - [ 15 ม.ค. 51 13:21:54 A:124.121.112.83 X: TicketID:165580 ]

ความคิดเห็นที่ 173 จากที่ผมอ่านๆ ดู ผมแนะนำเจ้าของกระทู้เรียนสายอื่นที่ไม่ใช่สายสุขภาพดีกว่าครับ ส่วนเรื่อง อาชีพอื่นทำแทนเภสัชได้มั้ย ผมว่า หากเค้าทำได้เหมือนที่เภสัชทำ เค้าก็คือเภสัช นั่นแหละครับ จากคุณ : คุณโฮม - [ 15 ม.ค. 51 18:27:40 ]

ความคิดเห็นที่ 174 เภสัชกรเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยา คำตอบนี้ใช่ แต่ในระดับกว้าง เพราะวิชาชีพ ยังขาดความลึกอยู่ อธิบายง่าย ๆ ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มียา 1800 ตัว ถามว่าแพทย์จำเป็นไหมที่ต้องรู้จักยาทั้ง 1800 ตัว ไม่จำเป็น เพราะแพทย์เฉพาะทาง 1 คน อาจมีความถนัดในการใช้ยา แค่ไม่เกิน 300 - 400 ตัว ดังนั้นในเชิงลึก แพทย์เฉพาะทางจะเก่งในยาเฉพาะตัวมากกว่าเภสัชกร แต่เมื่อแพทย์เฉพาะทางเหล่านั้น ต้องมาจ่ายยาที่ตัวเองไม่ได้ดูแล ในยาอีก 1200 ตัวที่เหลือ ถามว่าแพทย์สั่งถูกไหม คำตอบคือ สั่งไม่ถูก สุดท้าย ก็ต้องไปถามเภสัชกรที่มีความรู้ในยา 300 - 400 ตัวลึกไม่เท่าแพทย์ แต่รู้จักยาทั้งโรงพยาบาล 1800 ตัว ถามว่าจริง ๆ แล้วทดแทนกันได้หรือไม่ ในกรณีเรื่องการใช้ยา ถ้าแพทย์ใช้เวลาเพิ่มเติมในยาตัวที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เภสัชกร หรือ ถ้าเภสัชกรมีประสบการณ์การใช้ยากับคนไข้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้แพทย์สั่งยาให้ แต่ในความเป็นจริง ทำได้หรือ ให้แพทย์มาเรียนรู้ยากว่า 1800 ตัว ในเชิงกว้าง หรือให้เภสัชกรละทิ้งยา 1800 ตัว มาทำการศึกษายาเฉพาะ 300 ตัว เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นทั้ง 2 วิชาชีพ จึงต้องมีควบคู่กัน จากคุณ : beverage144 - [ 15 ม.ค. 51 19:32:16 ]

ความคิดเห็นที่ 175 ดิฉันเป็นหมอค่ะ เป็นหมอน้อย intern ออกตรวจคนไข้ เวลาไม่มั่นใจในการใช้ยา ก็ปรึกษาพี่เภสัชตลอด พี่คะ ช่วยดูหน่อย แพ้ยาป่าวเนี่ย หนูว่าใช่ พี่ยืนยัน หนูก็ชัวร์ พี่คะ ขอโทษนะค้า โทรมาเตือน เขียนชื่อยาผิด ขนาดยาผิด แก้แล้วนะคะ ขอบคุณค่ะ ตัวหนังสือไก่คุ้ยอีกแร้ว -- แต่ไม่บ่อยเท่าไหร่นะ พี่คะ คนไข้กินไม่ได้จะให้อาหารทางเส้นเลือด ช่วยหน่อยนะคะ ( หมอทำไม่เป็น ) พี่คะ คนไข้ใช้ยาพ่นไม่เป็นค่ะ หลอดเดียว สามวันหมดแล้ว -- พี่เค้าพากเพียรสอนยายมากเลยค่ะ ยายก่งก๊ง สอนยากมากกกก พี่คะ คนไข้กินยาไรมะรุ บอกเม็ดสีขาว รีๆ มันน่าจะเป็นยาอะไรคะ (หมอจบใหม่ ประสบการณ์น้อย ไม่ค่อยเคยเห็นเม็ดยาตัวเป็นๆค่ะ ยาอะไรก็ขาว) เป็นตัวอย่างของการพึ่งพาทางวิชาชีพค่ะ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย คนเรามีบทบาทหน้าที่ต่างกันค่ะ ทุกอาชีพ มีความสำคัญเท่าเทียม ปล. เอิ่ม ออกตัวนิดนึง ....หมอน้อย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ รักษาหายเหมือนกันค่ะ อิอิ จากคุณ : มาดีค่ะ (มาดีค่ะ) - [ 16 ม.ค. 51 22:39:43 ]

ความคิดเห็นที่ 176 http://my.dek-d.com/ubyi/story/view.php?id=299314 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 51 10:56:35 จากคุณ : Pharboy (productmill) - [ 16 ม.ค. 51 23:55:33 ]

ความคิดเห็นที่ 177 อ่านมาเยอะแล้ว สงสัยต้องหาแฟนเป็นเภสัช อิอิ จากคุณ : หมอบ้านนอก (ตั้มหยี) - [ 17 ม.ค. 51 02:36:05 ]

ความคิดเห็นที่ 178 อ่านแล้วคิดถึงแฟนคนแรกเลย เป็นเภสัชกรหญิงที่... อ่าน ๆ ไปแล้วคิดถึงสายงานทางคอมพิวเตอร์เลยครับ ที่เนื้องานบางทีก็ไม่มีให้คนที่จบมาทางสายงานนั้นได้ทำ ต้องไปแย่งสายงานถัดไปแทน งานพวกนี้มันก็หนีไม่พ้น "การผลิต การวิจัย การสร้างสรรค์ การนำไปใช้ การควบคุม การแก้ไข การให้คำปรึกษา การพัฒนา" คงไม่มีอาชีพใดที่จะทำได้ครบทุกด้านในสายงานตัวเองหรอกครับ สายคอมพิวเตอร์ : วิศวกรคอมพิวเตอร์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ นักเทคโนโลยีสารสนเทศ นักคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ฯลฯ (ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ด้วย วิศวกรคอมพิวเตอร์ไม่ได้บัดกรีเก่งกันทุกคนหรอกนะครับ) สายวิทยาศาสตร์สุขภาพ : แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ นักเทคนิคการแพทย์ นักโภชนาการ ฯลฯ (สัตวแพทย์ด้วยเอ้า ไม่มีสัตวแพทย์ก็คงไม่มีหมู เป็ด ไก่ ดี ๆ มาบริโภคกันหรอกพวกเรา) ต้องการสื่อว่า หลาย ๆ กลุ่มอาชีพก็มีการทำงานข้ามความรู้ความสามารถกันได้ แต่ก็เพราะความจำเป็นหรือเพราะจำต้องทำ แต่ถ้าจะให้ไม่มีบุคลากรที่จบมาทางนั้นโดยตรง มันคงต้องเกิดความวุ่นวายแน่ ๆ ดังนั้น ผมไม่เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ เพราะอย่างไรก็ต้องมีเภสัชกรครับ ไม่มีก็วุ่นวายครับ จากคุณ : TumProfess - [ 17 ม.ค. 51 09:11:08 ]

ความคิดเห็นที่ 179 พรุ่งนี้ดูกบนอกกะลา ช่อง9 20.20 น. ตอนที่ 2 ของ "นอกกะลาโอสถ" จากคุณ : Mr.MY - [ 17 ม.ค. 51 09:17:38 ]

ความคิดเห็นที่ 180 ได้ความรู้ดีครับ จากคุณ : spica - [ 17 ม.ค. 51 11:31:23 ]

ความคิดเห็นที่ 181 เภสัชนี่ใช้เวลาเรียนก็5ปีไปแล้ว เนื้อหาเยอะกว่าสาขาวิทยาศาสตร์สาขาอื่นซะอีก ส่วนแพทย์นี่ก็เรียน6ปีเนื้อหาเยอะกว้างขวางมาก คิดว่าคน คนเดียวจะเรียนวิชาความรู้พวกนี้ได้หมดงั้นหรือครับ จากคุณ : ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร (spiralhead) - [ 17 ม.ค. 51 16:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 182 "เนื่องจากหลงเข้าไปอ่านเรื่อง เภสัชกร จากลิ้งค์หลายๆ อัน ก็ไม่เห็นว่า เภสัชกร จะทำหน้าที่อะไร นอกจากจ่ายยา ถ้าให้คนอื่น เช่น พยาบาล ทำแทนได้ไหม ถ้าได้ แล้วเค้ามีเภสัชกร ไว้ทำอะไรครับ ไม่มีได้ไหมครับ สงสัยมากๆๆๆครับ " คุณ จขกท คะ   อ่านดูแล้วคิดว่าคุณคงกำลังจะเลือกคณะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย  แต่ยังไม่มีข้อมูลสินะคะ   เท่าเข้าใจ  เภสัชกรเป็นอาชีพที่เรียนวิชาหลากหลายมาก  ผู้ที่จบออกมาสามารถเลือกได้หลายอาชีพ หลายวงการ คุณจะได้เรียนทั้งวิชาเคมี ชีวะ กลไกขของร่างกาย  การเกิดโรคและการคิดค้นยา เครื่องสำอาง ยาสมุนนไพร  และการผลิตยารูปแบบต่างๆ กฎหมาย  การบริหารจัดการ การดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล การดูแลผู้ป่วยในร้านขายยาฯลฯ อาชีพจะมีทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง  อันนี้แล้วแต่บุคลิกและความชอบค่ะ ในโรงพยาบาล เช่น ตรวจสอบยาก่อนที่คุณจะได้รับ / การmonitor ยาที่อันตรายหากผุ้ป่วยได้รับยามากไปหรือน้อยไป ผสมยาพิเศษบางชนิด เช่นยารักษามะเร็ง(ที่เป้นอันตรายต่อผู้ผสมด้วย) เป้นต้น ร้านขายยา  ตรวจรักษาเบื้องต้น และคัดกรองผู้ป่วยเพื่อไปพบแพทย์ (refer) โรงงานผลิตยา  (ถ้าคุณคิดว่า พาราเซตามอลตอกเองที่บ้านได้  คุณคิดผิดซะแล้ว) เภสัชวิเคราะห์ / วิจัยยา / ดูแลคุณภาพยา ผลิตเครื่องสำอาง / ยาสมุนไพร ตั้งบริษัทเอง detail ยา ด้านกฎหมาย วงการบันเทิง (มีจริงๆ ค่ะ) ฯลฯ การศึกษา สอนให้คุณรู้ว่า  จะหาข้อมูลที่สำคัญจากแหล่งไหน ยังงัย ไม่ใช่จบมาแล้วเป้นซูเปอร์แมนซักกะหน่อย ป.ล.    ที่เขียนไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่าเภสัช เก่งยังงั้นยังงี้  นะคะ  แต่พออ่านคำถามแล้ว  อดไม่ได้ ขอตอบค่ะ ทุกอาชีพต่างก้อมีบทบาทและมีความสำคัญ   เราควรมองอาชีพต่างๆ ด้วยความเคารพกันมากกว่ามาอวดหรือตัดสินผู้อื่นด้วยอาชีพค่ะ      เห็นด้วยไหมคะ??    ^_^ จากคุณ : Pooh_jira - [ 17 ม.ค. 51 18:06:48 ]