PANTIP.COM : X6219876 [กระทู้เดือด] พี่น้องหว้ากอครับ ได้ดูพวกเลวมันทำในข่าวไหมครับ เรื่องรถตู้ปลอมฉุดสาวไปข่มขืน

ความคิดเห็นที่ 2

. . . เดี๋ยวลดโทษ . . .

ปลดทรัพย์!ถ่ายคลิปข่มขู่เผลอรูดบัตร
ตะครุบแก๊งรถตู้หื่นปล้นสาวโรงงาน อุ้มขยี้กามคารถถ่ายคลิปแบล็กเมล์ แฉพฤติกรรมแสบขับรถตระเวนหาเหยื่อรอขึ้นรถไปทำงานตอนเช้า ทำ ทีถามทางพอเผลออุ้มขึ้นรถใช้มีดปล้นปลดทรัพย์สิน ก่อนรุมข่มขืนถ่ายคลิปวิดีโอข่มขู่ประจานให้อายหากเข้าแจ้งความ ตร.ตามแกะรอยรวบยกแก๊ง เพราะเอาบัตรเครดิตเหยื่อไปรูดซื้อทองจนกล้องวงจรปิดบันทึกลักษณะรถไว้ได้ อ้างก่อคดีแค่ 3 ครั้ง แต่ตร.ไม่เชื่อ สงสัยเหยื่ออายไม่กล้าแจ้งความ

ที่ สภ.แหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 9 ม.ค. พ.ต.อ.ธน ยุติธรรมดำรง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี และ พ.ต.อ. สีหศักดิ์ สร้อยศรี ผกก.สภ.แหลมฉบัง ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมตัวผู้ต้องหาแก๊งรถตู้ที่อาละวาดตระเวนปล้นทรัพย์หญิงสาวและลงมือข่มขืนเหยื่อ ประกอบด้วยนายเสรี ภิรมย์ปั่น อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 100/15 หมู่ 8 ต.ท่าบุญมี อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี นายประเสริฐ แจ่มใส อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23 หมู่ 14 ต.เกาะจันทร์ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี นายปุ๊ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี พักอยู่ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และนายกบ (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี พักอยู่ใน อ.เมือง จ.นนทบุรี พร้อมของกลางรถตู้ สีเขียวอ่อน ทะเบียน นค 2359 ชลบุรี อาวุธมีด และโทรศัพท์มือถือ

ทั้งนี้ สืบเนื่องตลอดช่วงเดือน ธ.ค. 50 แก๊งผู้ต้องหาซึ่งประกอบอาชีพขับรถตู้รับจ้างทั่วไป ได้ร่วมกันตระเวนหาเหยื่อเป็นหญิงสาวอายุ 20-30 ปี ส่วนใหญ่ทำงานเป็นสาวโรงงานในพื้นที่ อ.ศรีราชา และบางละมุง ที่ยืนรอขึ้นรถในที่เปลี่ยวเพื่อไปทำงานในตอนเช้าเพียงคนเดียว หรือเหยื่อที่ขี่รถจยย.มาเพียงคนเดียว โดยทำทีเป็นพนักงานขับรถตู้รับส่งพนักงานในโรงงาน หรือทำทีตระเวนสอบถามเส้นทาง พอเหยื่อเผลอก็ใช้กำลังฉุดกระชากลากขึ้นรถ เอาหมวกใส่คลุม ปิดหน้า จากนั้นใช้มีดปล้นเอาทรัพย์สิน ทั้งเงินทอง และบัตรเอทีเอ็มธนาคาร โดยบังคับให้เหยื่อบอกรหัสเอทีเอ็ม และขับรถไปกดเงิน ก่อน จะผลัดกันรุมโทรมข่มขืนเหยื่อ พร้อมถ่ายคลิป วิดีโอเก็บไว้แบล็กเมล์ห้ามนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปแจ้งความ ไม่เช่นนั้นจะนำคลิปวิดีโอออกเผยแพร่ให้อับอาย

หลังลงมือเสร็จแก๊งคนร้ายจะขับรถพาเหยื่อไปปล่อยทิ้งไว้กลางทาง และนำเงินหรือทรัพย์สินที่ได้ไปขายแบ่งเงินกัน นำเงินไปเที่ยวเตร่ซื้อยาเสพติดมาเสพ พอเงินหมดก็จะออกตระเวนลงมือใหม่ โดยมีเหยื่อเป็นหญิงสาวเข้าแจ้งความไว้ 3 ราย หลังรับแจ้งความตำรวจเร่งสืบสวนติดตามจับกุมแก๊งคนร้าย จนได้เบาะแสว่าคนร้ายนำบัตรเครดิตของเหยื่อรายหนึ่งไปซื้อทองรูปพรรณที่ร้านขายทองแห่งหนึ่ง จึงไปตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพคนร้ายและลักษณะของรถตู้ไว้ได้ ก่อนส่งไปที่โรงถ่ายกันตนา เพื่อขยายภาพจนได้ภาพของรถตู้ของคนร้ายที่มีจุดเด่นคือไฟเลี้ยวหน้าด้านขวาแตก ตำรวจในพื้นที่ จ.ชลบุรี จึงช่วยกันสอดส่องควานหารถตู้คันดังกล่าว จนพบหนึ่งในคนร้ายขับมาวนเวียนอยู่ในตลาดสี่มุมเมืองแหลมฉบัง เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา จึงเข้าตรวจค้นจนแน่ใจว่าเป็นรถคนร้าย ก่อนสอบสวนขยายผลจับกุมคนร้ายได้ยกแก๊ง

จากการสอบสวนแก๊งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ อ้างว่าก่อคดีมาแค่ 3 ครั้ง แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ คาดว่าน่าจะก่อคดีในลักษณะเดียวกันมาแล้วหลายครั้ง แต่เหยื่อไม่กล้าเข้าแจ้งความเพราะอับอาย ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลหาหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อ เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดี อย่างไรก็ดี ระหว่างแถลงข่าว มีหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อ 2 รายมาชี้ตัวยืนยันกลุ่มผู้ต้องหาด้วย หลังแถลงข่าวตำรวจนำตัวดำเนินคดีต่อไป.

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=151063&NewsType=1&Template=1

จากคุณ : MIG-ON-THE-WAY - [ 10 ม.ค. 51 21:38:01 ]

ความคิดเห็นที่ 39

ของพวกนี้คิดเอามันได้ แต่ทำจริงไม่ได้ครับ การจะออกกฎหมายอะไรได้สักอย่างต้องคิดกันเยอะ คิดรอบด้าน ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียที่มีต่อสังคมโดยรวมทั้งหมด

เอาที่เคยพิมพ์ในกระทู้เก่าๆ มาลงให้อ่านกันใหม่อีกรอบ

1.

"การเพิ่มโทษทางอาญา จะไม่ส่งผลให้คดีข่มขืนลดลงมากนัก เพราะว่า การตัดสินใจของผู้ลงมือว่าจะข่มขืนหรือไม่ เป็นการตัดสินใจแบบ non-rational model คือ ผู้กระทำความผิดจะไม่ใช้ข้อมูลเรื่องความรุนแรงของโทษ + ความน่าจะเป็นในการโดนจับ มาเป็นเงื่อนไขในการตัดสินใจว่าจะข่มขืนหรือไม่ แต่จะใช้ความรู้สึกชั่วขณะ ณ เวลานั้นแทน (impulse decision)

พูดเป็นภาษาง่ายๆ คือ ณ วินาทีนั้น สมองล่างมัน disable สมองบนไปแล้ว และสมองล่างมันไม่สนด้วยว่าโทษคืออะไร และเพิ่มขึ้นจากเดิมมากแค่ไหน

สิ่งต่อเนื่องที่ทำให้การใช้โทษรุนแรงกับคดีข่มขืนมีปัญหามาก คือ เราต้องยอมรับว่า กระบวนการยุติธรรมไม่ว่าของประเทศไหน ก็ไม่ error free ความผิดพลาดในการตัดสินเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะพลาดปล่อยคนตัวผิดไป หรือตัดสินลงโทษคนบริสุทธิ์ ที่สำคัญคืิอคดีข่มขืนเองเป็นคดีที่มีความเสี่ยงที่ผลการตัดสินจะผิดพลาดสูงที่สุดอันหนึ่ง เพราะสภาพการกระทำผิดเป็นการกระทำในที่ลับ ขาดทั้งพยานและหลักฐาน แถมศาลยังจะต้องพิสูจน์ความนึกคิดภายในใจของเหยื่อด้วยว่าสมยอมหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ด้วยเหตุที่ผลการตัดสินมัน error ได้ง่าย การใช้โทษรุนแรงกับเคสพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องระวังให้มาก อนึ่ง คติของกฎหมายปัจจุบันเป็นไปในแนวที่ว่า "ปล่อยคนผิด 10 คน ดีกว่าลงโทษคนบริสุทธิ์ 1 คน" (Sir William Blakestone) ฉะนั้นการกำหนดโทษตามกฎหมาย จึงจะต้องต้องคิดเผื่อถึง error ในกระบวนการด้วย เพราะเหตุนี้ โทษประหารชีวิตควรจะใช้ให้น้อยที่สุด เพราะเป็นโทษที่ไม่สามารถแก้ไขเยียวยาในภายหลังได้ ต่างกับโทษจำคุกที่ยังพอแก้ไขและชดเชยได้บ้าง

เอาคร่าวๆ ก่อน จริงๆ ยังมีเหตุผลอีก 5-6 ข้อ ที่ทำให้การเพิ่มโทษจะไม่ทำให้การข่มชืนลดลง แต่กลับสร้างภาระให้กับสังคมมากขึ้น เช่นเรื่องผลข้างเคียงของโทษที่มีต่อสังคมโดยรวม, ปัญหาเรื่องการกำหนด marginal dererrence ของการกระทำผิดหลายๆ ประเภท, และการแพร่กระจายของข้อมูลในสังคม เป็นต้น

แต่สรุปสั้นๆ ได้ว่า
- เพิ่มโทษไป แม้จะใช้โทษประหารชีวิตกับทุกกรณี คดีข่มขืนก็จะไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ยิ่งเพิ่มโทษ error ในกระบวนการยุติธรรมก็มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น และคนบริสุทธิ์ก็จะยิ่งซวย"

2.

"คนส่วนมากไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของการลงโทษทางอาญาปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 4 ข้อ ไม่ใช่มีแต่เพื่อล้างแค้นให้กับเหยื่อเพียงอย่างเดียว

โดยกฎหมายอาญาปัจจุบันเรียงลำดับความสำคัญของจุดมุ่งหมายสี่ข้อ ตามลำดับดังนี้

1. เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำในอนาคต (Deterrence)
2. เพื่อแก้ไขและบำบัดผู้กระทำความผิด (Rehabiliation)
3. เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดและล้างแค้นให้เหยื่อ (Retribution)
4. เพื่อชดใช้และเยียวยาให้แก่เหยื่อ (Remuneration) (ที่อยู่ล่างสุด เพราะปกติการเยียวยาจะทำผ่านกระบวนการทางแพ่งมากกว่ากระบวนการทางอาญา)

สังเกตได้ว่า กฎหมายจะเน้นผลใน "อนาคต" (ข้อ 1,2) มากกว่า "อดีต" (ข้อ 3,4)

จะเห็นได้ว่า การล้างแค้นให้เหยื่อเป็นจุดมุ่งหมายระดับท้ายๆ และนับวันยิ่งจะสำคัญน้อยลงเรื่อยๆ (เมื่อห้าหกสิบปีก่อน การล้างแค้นให้แก่เหยื่อยังเป็นจุดมุ่งหมายอันดับแรก)"

3.

"ด้วยเหตุที่การกระทำผิดในลักษณะเดียวกัน อาจมีความรุนแรงต่างกันได้หลายระดับ เช่นในเรื่องความผิดทางเพศ มีได้ตั้งแต่ อนาจาร ข่มขืน ข่มขืนแบบวิปริต (รุมโทรม ใช้อาวุธ ทรมาณ) และข่มขืนแล้วฆ่า การกำหนดโทษของแต่ละกรณีจึงต้องกำหนดให้ต่างกัน (ยิ่งกระทำความผิดรุนแรง โทษก็ยิ่งแรง) เพื่อจูงใจให้ผู้ลงมือละเว้นจากการกระทำที่ความรุนแรงกว่า (Marginal Deterrence) เป็นการช่วยเหลือเหยื่อ

กฎหมายปัจจุบัน กำหนดว่าการกระทำผิดในหมวดนี้ที่รุนแรงที่สุดคือ ข่มขืนแล้วฆ่า มีโทษคือการประหารชีวิต ซึ่งถูกต้องแล้ว และกำนหดโทษลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ ตามความรุนแรง หากจะใช้โทษประหารกับการข่มขืน (เฉยๆ) ด้วย ก็แปลว่า โทษของการข่มขืนแล้วฆ่ากับการข่มขืนก็จะเท่ากัน ซึ่งอันตรายมาก เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาาที่เหยื่อก็จะโดนฆ่าก็จะสูงขึ้นมาก เพราะในมุมของผู้ลงมือ ฆ่าเหยื่อไม่ฆ่าเหยื่อก็โทษเท่ากัน และการฆ่าทิ้งกลับดีกว่า โอกาสที่ตนจะโดนลงโทษก็จะน้อยลงไปเยอะ เพราะไม่มีเจ้าทุกข์เหลือไปแจ้งความแล้ว

เท่ากับว่า ถ้าจะเพิ่มโทษจริงเอาตามสะใจ ก็ไม่ต่างจากการที่กฎหมายหยืบยื่นความตายให้กับเหยื่อ"

4.

"้การลงโทษผู้กระทำผิดในคดีข่มขืนโดยการตัดอวัยวะเพศ เคยมีการทำแล้วนะครับ ในสวีเดน ยุค 1950-1960 เค้าให้จำเลยเลือกว่า จะยอมโดนจำคุกนานๆ หรือจะยอมให้ตัดอวัยวะเพศชายแทน และก็มีคนยอมให้ตัดจำนวนหนึ่ง

ผลที่ออกมา แทนที่จะดี กลับสร้่างปัญหาสุดๆ เพราะพวกนี้พอโดนตัดไป ก็จะมีปมด้อย เคียดแค้นสังคม กลายเป็นฆาตกรข่มขืนต่อเนื่อง แม้จะไม่มีอวัยวะแล้ว ก็ใช้อย่างอื่นข่มขืนแทน เช่นขาโต๊ะ ไม้กวาด มีด หรืออะไรก็ตามที่หาได้ จากเดิมที่เหยื่อโดนข่มขืนอย่างเดียว กลายเป็นว่าตอนนี้เหยื่อตายหมด หรือโดนข่มขืนจนบาดเจ็บสาหัส เสียสติไปเลยก็มี สุดท้ายแล้วกฎหมายตัวนี้ก็โดนยกเลิกไป

คิดเอามัน เอาสะใจหนะได้ครับ แต่ทำจริงไม่ได้ โทษทางอาญาแต่ละอันมีผลข้างเคียงเยอะ แถมบางอันนี่อันตรายกับสังคมมากกว่าตัวการกระทำผิดอีก..."

อยากให้เข้าใจกันนิดว่า นักกฎหมายที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ ไม่ได้โง่เง่าเต่าตุ่น นั่งเฉยๆ รับเงินเดือนไปวันๆ โดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนนะครับ พวกผมเองก็มีแม่มีพี่มีน้องมีแฟนที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน พวกผมกังวลและรังเกียจเรื่องนี้ไม่แพ้ทุกคนเลย อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะได้ฟังได้รู้ได้เห็นมามาก แต่การจะร่างออกมาเป็นตัวบทกฎหมายใช้จริงๆ นี่ พวกผมจะมาคิดเอาสะใจหรืออ่อนไหวแบบเดียวกับการโพสตามเว็บบอร์ดไม่ได้ การจะแก้กฎหมายสักมาตรา โดยเฉพาะกฎหมายอาญา ต้องคิดกันโดยรอบคอบและรอบด้านว่า มีข้อจำกัดทั้งทางทฤษฎีทางปฏิบัติยังไง แก้แล้วผลกระทบต่อเหยื่อจะเป็นยังไง ต่อผู้กระทำผิดเป็นยังไง ต่อสังคมโดนรวมจะเป็นยังไง ไม่ใช่ง่ายๆ เลยครับ บางทีก็อดขัดใจเสียใจไม่ได้เหมือนกันที่รู้ว่า ยังไงกฎหมายก็ทำได้จำกัด กฎหมายไม่ใช่และไม่เคยเป็นยาครอบจักรวาลที่จะแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง

แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 51 06:11:49
แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 51 05:54:49

จากคุณ : Lawเก้อ - [ 11 ม.ค. 51 05:30:01 ]