ความคิดเห็นที่ 1 จริงครับ ตอนทำค่ายเมื่อสี่ปีที่แล้ว ที่จังหวัดน่าน ได้เจอกับ นศ ป. โท เป็นคนญี่ปุ่น2-3 มาอยู่ในป่าที่ บ้านปากกำ ต. บ่อเกลือ จ.น่าน (อยู่เลยดอยภูคาไปหน่อย) ซึ่งแถวนั้นก็มี พวกพันธุ์ไม้เก่าแก่ อย่างพวกหวาย และเฟิร์นต่างๆ แล้วก็ พันธุ์ไม้ที่ดอยอื่นไม่มี เข้าป่ามาทีนึงก็เป็นเดือนๆเลยล่ะครับ เข้าไปทำอะไร ชาวบ้านไม่ค่อยเข้าใจ เขามาเอาสปอร์ และเก็บข้อมูลต่างๆของพืชในบ้านเรา ในป่าในจังหวัดน่านนั่นแหละ แล้วก็เก็บไป เพาะในแล็ป บ้านเขาป่านั้น เป็นป่าหวาย ป่าเฟิร์นเสียด้วย แล้วมีต้นลูกชิดด้วย เท่าที่จำได้จากข้อมูลของชาวบ้านกับครูอาสา ป่านั้นเป็นป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว จากคุณ : " คุณชายช่างฝัน " - [ 26 ม.ค. 51 00:40:26 ]

ความคิดเห็นที่ 2 กวาวเครือ-เปล้าน้อย "กวาวเครือ" สมุนไพรไทยชื่อดัง รู้จักแพร่หลายในกลุ่มหมอพื้นบ้าน และได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรเสริมความงามมานานในประเทศไทย ถูกบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นยื่นขอจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจดเป็นสิทธิบัตรสหรัฐ หมายเลข 6,352,685 ได้รับอนุมัติ เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2545 เนื้อหาครอบคลุม 20 รายการ เช่น สารสกัดจากกวาวเครือ วิธีการสกัด รวมถึงการนำสารสกัดที่ได้ไปใช้เป็นส่วนประกอบของสารที่มีคุณสมบัติในการดูแลผิว เป็นต้น "กวาวเครือ" (Pueraria mirifica) เป็นพืชในวงศ์ Papilionaceae ตำราไทยระบุว่า นำรากมาใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงผิวพรรณและทรวงอกให้เต่งตึง โดยรับประทานเพียงวันละ 1 เม็ดพริกไทย และยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น บำรุงเลือดลม กระตุ้นเลือดลมและประจำเดือนให้มาปกติ ป้องกันผมหงอก แก้โรคตาและต้อกระจก เป็นต้น กรณีสมุนไพรกวาวเครือถูกต่างชาติชิงจดสิทธิบัตร ถือเป็นเหตุการณ์ซ้ำรอยอันน่าเจ็บปวดอีกครั้ง หลังจากต่างชาติชิงจดสิทธิบัตร "เปล้าน้อย" ไปเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา "เปล้าน้อย" (Croton joufra Roxb.) เป็นพืชในวงศ์ Euphorbiaceae ประเภทไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบเดี่ยว รูปหอกปลายและโคนใบแหลม ขอบใบหยัก ดอกเป็นช่อคล้ายกับดอกมะม่วง มีสีขาว ผลมีขนาดเล็ก รูปไข่ปลายแหลม ผิวเรียบ พบตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และการงอกใหม่จากราก ประโยชน์ ใบใช้ต้มดื่มช่วยให้เจริญอาหาร แก้ท้องเสีย รักษาโรคกระเพาะอาหาร รักษาแผลในกระเพาะอาหาร เปลือกต้น ใช้ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องเสีย ดอกรับประทานขับพยาธิ ผลต้มดื่มขับหนอง แก่นต้มดื่มแก้ช้ำใน บำรุงโลหิต องค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย (ไบโอไทย) ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2513-2517 โครงการช่วยเหลือของญี่ปุ่นและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือศึกษาวิจัยประโยชน์ของเปล้าน้อย ซึ่งบริษัทซังเกียวได้รับข้อมูลว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคกระเพาะอาหาร ส่วนในรายงานของชนะ พรหมเดช ปี 2538 เรื่อง "เปล้าน้อยกับศาสตราจารย์ ดร.เต็ม สมิตินันทน์" ระบุว่า นักวิจัยญี่ปุ่นประจำบริษัทซังเกียว ได้สังเคราะห์สารเคมี (C20 H34 O2) ในการรักษาโรคกระเพาะอาหาร แต่ปรากฏว่าสารดังกล่าวมีผลข้างเคียงมาก ตัวแทนบริษัทซังเกียวในประเทศไทยจึงแนะนำให้สกัดตัวยาดังกล่าวจากพืชสมุนไพรไทย เพื่อดูว่ามีตัวยาดังกล่าวอยู่ในพืชชนิดใด จนกระทั่งค้นพบในสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าเปล้าน้อย มีฤทธิ์ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ปี พ.ศ.2526 ญี่ปุ่นได้นำสารสกัดดังกล่าวมีชื่อย่อว่า (CS 684) ไปจดทะเบียนกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ภายใต้ชื่อ เปลาโนทอล (Plaunotol) ปี พ.ศ.2528 บริษัทซังเกียว ผลิตยาจากเปล้าน้อย ออกจำหน่าย โดยใช้ชื่อการค้าว่า "เคลเน็กซ์" (Kelnac) ปี พ.ศ.2529 บริษัทซังเกียว สร้างโรงงานอบใบเปล้าน้อย ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินการผลิตสารสกัดจากเปล้าน้อย เพื่อส่งออกให้แก่บริษัทซังเกียว ที่ญี่ปุ่นนำไปผลิตยาเคลเน็กซ์ ในประเทศไทยมียาชนิดนี้ จำหน่ายผ่านทางบริษัทซังเกียวในประเทศไทยเท่านั้น จากรายงานของโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง ปี 2528 ราคาของเคลเน็กซ์ จำหน่ายเม็ดละ 30 บาท บริษัทซังเกียว อ้างว่าการได้รับสิทธิบัตรในกรรมวิธีการสกัด ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้เปล้าน้อยเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของคนไทย แต่เอ็นจีโอและนักวิชาการฝ่ายไทย เห็นว่า การที่บริษัทดังกล่าวได้สิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิต และสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ในตัวสารเปลาโนทอล เป็นการขโมยภูมิปัญญาพื้นบ้านและเป็นการปิดกั้นการวิจัย-พัฒนาของไทย จนมาถึงกวาวเครือไทยก็เสร็จญี่ปุ่นอีกครั้ง สังคมต้องช่วยกันตั้งคำถามและหาคำตอบว่า จะคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาและทรัพยากรชีวภาพของไทยอย่างไร ก่อนที่จะไม่เหลืออะไรในอนาคต คอลัมน์ที่13 18 พฤศจิกายน 2547    โดย : ข่าวสด        วันที่ 22/11/2004 จากคุณ : Chaos dragon - [ 26 ม.ค. 51 01:48:08 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าพูดตรง ๆ ทรัพยากรธรรมชาติของโลกนี้เป็นของส่วนรวม การที่เขาเข้ามาวิจัยก็เป็นประโยชน์ทั้งของเขาเอง และส่วนรวมด้วยเพราะได้ความรู้เพิ่มขึ้นใช้พัฒนาต่อยอดได้ แต่การที่ห่วงว่าคนอื่นมาเอานู่นเอานี่แต่ตัวเองกลับไม่สนใจอะไรนี่มันเกิดประโยชน์อะไนไหมครับ ถ้าไม่อยากให้เขาเอาไปจดสิทธิบัตรก็วิจัยเองเลยครับได้ผลมาก็จดสิทธิบัตรเอง แต่ก่อนอื่นก็ช่วยสนับสนุนพวกทุนวิจัยด้วยนะครับ จากคุณ : silverspider - [ 26 ม.ค. 51 02:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มีอีกหลายประเทศครับ ไม่ว่าจะเป็น เยอรมัน ฝรั่งเศส ตุรกี เรื่องทางแมลง เพราะบ้านเขาอากาศหนาว จึงเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อเก็บรวบรวม specimen จากคุณ : Practical x 2 - [ 26 ม.ค. 51 04:58:31 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผลไม้ ข้าว นอกจากนี้ นวดไทยเเผนโบราณ ญี่ปุ่นยังหน้าด้านเอาไปเลย ออสเตรเลียก็ใช่ย่อยนะครับ สมัยก่อนนี้ เอาปริญญาเอกมาล่อ ให้เราเอาทรัพยากร ต้นไม้ พืชไปวิจัยทางเคมีเภสัช พอได้ตีพิมพ์ก็ยึด จดสิทธิบัตรซะงั้น เล่นเอาเรางง ทุเรียนพื้นบ้านเรามันก็เอาไปจดทะเทียน ดีที่ไทยไหวตัวทัน ไม่งั้นต้องกินหมอนทอง อิมพอร์ตจาก ออสเตรเลียเเน่ๆ จากคุณ : Atomic Secret - [ 26 ม.ค. 51 05:23:44 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กฎหมายสิทธิบัตรน่าจะปรับปรุงว่า เอาพันธุ์หรือประโยชน์(ผลการวิจัย)จากประเทศไหน ประเทศนั้นถือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิร่วม ตรงนี้น่าจะเป็นธรรมมากขึ้น หลายอย่างถ้าเขาไม่มาวิจัยเราเองก็ไม่มีภูมิปัญญาพอจะรู้-วิจัยได้ผลเท่าเขาเช่นกัน แล้ว เปล้าน้อย นี่รักษาโรคกะเพาะได้จริงหรือเปล่าทำไมไม่เคยได้ยิน มีแต่ว่าเป็นแล้วต้องกินยาเคลือบแผลในกะเพาะ/ผ่าตัดจึงจะหาย จากคุณ : วิจัย - [ 26 ม.ค. 51 07:18:46 A:203.113.60.11 X: TicketID:150751 ]

ความคิดเห็นที่ 7 นวดไทยแผนโบราณนั่นเขาแค่เอาชื่อไปใช้ไ่มไช่เหรอครับ .. หรือว่าผมเข้าใจอะไรผิด จากคุณ : Munch - [ 26 ม.ค. 51 08:51:44 ]

ความคิดเห็นที่ 8 งั้นตอนนี้ ภูมิปัญญาพื้นบ้านไทย ชิงจดสิทธิบัตรให้หมด แล้วบุกไปญี่ปุ่นหาภูมิปัญญาบ้านเค้ามาจดสิทธิบัตรมั่ง เหอๆ จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ 26 ม.ค. 51 09:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ วิจัย ครับ สารที่ได้จากต้นเปล้าน้อยนั้น ญี่ปุ่น เอาไปทำยาที่ชื่อ "เเคลเเนค " ผมไม่เเน่ใจว่าเขียนถูกหรือเปล่า สารนี้มหัศจรรย์มากไม่ใช่เเค่บรรเทา หรือเครือบกระเพาะ เเต่รักษาเเผล สมานเเผลได้เลยนะครับ ทั้งกระเพาะ เเละลำใส้ เเถมยังเร่งสร้างเนื้อเยื่อได้อีก เพราะจะไปเพิ่มสาร Prostaglandin ที่ทำให้เนื้อเยื่ในกระเพาะไม่โดนกรดทำลาย เเต่ต้องปลูกที่ประจวบ เท่านั้นเพราะได้สารสกัดที่มาก เเละทรงประสิทธิภาพที่สุด เนื่องจากสภาพดิน สภาพอากาศ เอื้ออำนวย ครับ ไทยได้เเค่เป็นฐานการผลิต เเต่ไม่สามารถผลิต หรือสกัดได้เอง เพราะเป็นลิขสิทธิ์ของญี่ปุ่น ทางเเก้ ใช้ Total Synthesis เลยครั้งสังเคราะห์เลียนเเบบธรรมชาติ เเจ่ม แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 51 09:38:07 จากคุณ : Atomic Secret - [ 26 ม.ค. 51 09:31:13 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ Atomic Secret ครับสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ที่ว่ามันรักษาได้จริงหรือ ถ้าได้จริง ทำไมไม่เห็นมีใครเคยพูดถึง มีคนไข้ไทยที่กินยานี้แล้วหายไหมครับ โรงพยาบาลในประเทศไทยที่ไหนใช้บ้างครับ สิ่งที่คาใจผมอยู่ก็คือ เมื่อหลายปีที่แล้วพระราชินีของเราท่านเสด็จเข้ารักษาโรคกะเพาะ(รู้สึกจะด้วยวิธีผ่าตัด)ใน รพ. แห่งหนึ่ง ถ้ามันรักษาหายได้จริงผมว่า ท่านคงไม่ต้องเสด็จเข้า รพ.ผ่าตัด ฐานะอย่างท่านเม็ดละ 30 ไม่มีปัญหาอะไรเลย ประเด็นอยู่ที่ว่า มันรักษาหายได้จริงหรือครับ ไม่ได้คัดค้านนะครับแต่อยากทราบความจริง จากคุณ : วิจัย - [ 26 ม.ค. 51 10:15:40 A:203.113.60.75 X: TicketID:150751 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าต้นไม้ ปู ปลา พืชพรรณต่างๆ แมลงต่างๆ มันรู้หรือเปล่าว่ามันเป็น"ไทย"หรือเป็น"ฝรั่ง"หรือเป็นอะไร ในมุมมองผม ผมคิดว่า ทรัพยากรณ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะ "ความรู้" เป็นสมบัติของโลกครับ ถ้าต่างชาติ เอาเรือมาขนข้าวสารเราไป เอาไปกินไปใช้ ผมว่า อันนี้คือการขโมย แต่ถ้าเข้ามาศึกษา มาหาความรู้ แล้วเอาความรู้กลับไปใช้ ผมว่าก็เป็นความสามารถของเขา เพราะวางไว้ คนไทยก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ผมว่าบางทีมันเป็นการประโคมข่าวแบบองุ่นเปรี้ยว เพื่อให้คนไทยรู้สึกว่า จริงๆแล้วตัวเองเก่ง มีความสามารถ มีองค์ความรู้ แต่ถูกต่างชาติรังแก ทั้งๆที่ ต้นไม้ แมลงต่างๆ มันไม่ได้มารับรู้อะไรกับการแบ่งเชื้อชาติของมนุษย์เลย มันมีของมันอยู่แล้ว คนไทยก็ไม่ได้ไปสร้าง ไปเพาะเลี้ยงเองสักหน่อย แค่มันมาตกอยู่ในอาณาเขตเรา ถ้าเจ็บใจนัก ก็ควรสนับสนุนขวนขวาย ออกไปหาความรู้บ้านเขาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่กันงบไว้ซื้อเครื่องบิน เรือรบ(แม้แต่เสื้อเกราะกู้ระเบิด ตำรวจไทยเวลาไปกู้ 3คน มีเสื้อใส่แค่คนเดียว แต่ก็ยังซื้อเครื่องบินลำละพันล้าน ก่อนเสื้อเกราะกู้ระเบิดตัวละไม่กี่แสน ซื้อเครื่องบินน้อยลงลำเดียว คงซื้อเสื้อเกราะกู้ระเบิดให้ตำรวจได้ทั้งหน่วย) จากคุณ : Sial - [ 26 ม.ค. 51 10:21:27 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ^ ^ ชาวบ้านใช้เปล้าน้อยมานานแล้ว ก่อนที่จะมีการวิจัยอีก ก็เหมือนกับสมุนไพรหลายตัวของงไทยที่ชาวบ้านใช้กันมานานแล้ว ต่อมาจึงมีการวิจัยว่ามีสารอะไร ที่เป็นประโยชน์ จากคุณ : Aristolochia - [ 26 ม.ค. 51 10:29:15 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วมันรักษาหายได้จริงไหมครับ ท่าน คห 12 เดี๋ยวนี้เรายังใช้วิธีผ่าตัดกันอยู่เลย นอกจากทานยาเคลือบกระเพาะ จากคุณ : วิจัย - [ 26 ม.ค. 51 10:43:06 A:203.113.60.75 X: TicketID:150751 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยกับ11ครับ ยิ่งกว่านั้น "การได้รับสิทธิบัตรในกรรมวิธีการสกัด ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้เปล้าน้อยเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของคนไทย " เท่ากับเราไม่ได้รับผลกระทบเลยครับ เพราะถึงเขาไม่มาวิจัย เราก็ไม่วิจัยต่อยอดอยู่แล้วแน่ๆ 12สบายใจได้ครับ เราสามารถใช้เป้นยาพื้นบ้านต่อไปได้ จากคุณ : donutpla2 - [ 26 ม.ค. 51 10:55:29 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ก็เป็นซะอย่างนี้แหละครับ จากคุณ : TagMyZky - [ 26 ม.ค. 51 11:09:16 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จะรู้ค่าเมื่อ เสียมันไปแล้ว จากคุณ : My life in Japan. - [ 26 ม.ค. 51 11:10:00 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องเปล้าน้อย ผมได้ยินอีกกระแสแฮะ -_-' งานนี้เป็ฯงานที่มีนักวิจัยไทยเป็นคนชงเรื่อง ดูเหมือนว่าทีแรกจะขอทุนสนับสนุนการวิจัยจากในประเทศ แต่ขอไม่ได้อยู่นานมากก็เลยไปขอการสนับสนุนจากญี่ปุ่นแทน ปัญหานี้ผมได้ยินมานานแล้วครับ ที่ว่างานวิจัยในขั้นต้น คนไม่ค่อยเห็นค่า จะวิจัยทีนึงต้องการผลงานออกมาเป็นรูปธรรมอย่างเดียว โดยหารู้ไม่ว่ากว่าจะวิเคราะห์จนได้ตัวยา ต้องผ่านการวิจัยหลายขั้นตอน ตอนนี้ก็เข้าใจว่ามีงานในลักษณะนี้เกี่ยวกับการสาธารณสุขอีกเยอะ งานส่วนอื่นๆก็มีอีก แต่อันนี้ไม่ค่อยชอบ คือการเข้ามาในประเทศไทยแล้วลักเอาพันธุ์พืชและสัตว์ออกไป แต่อันนี้ก็ต้องย้อนกลับไปดูเหตุอีกอย่าง ว่า ทำไมสัตว์และพืชอยู่ในไทยมาตั้งนาน ถึงไม่ได้ขึ้นทะเบียน ของบางอย่าง คนทั่วไปไม่เห็นค่า+ไม่มีเงิน ก็ไม่สำเร็จหรอกครับ จากคุณ : หมอแมว - [ 26 ม.ค. 51 11:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 http://library.uru.ac.th/webdb/images/biothainet_biopiracy4.htm เอาไปอ่านครับ อาจารย์ผมเล่าให้ฟังว่า ขายเม็ดละ 30 บาทสมัย เมื่อหลาย ยี่สิบสามสิบปีก่อนโน่น เมืองไทยไม่เอาเข้ามาครับ ตอนนี้ไม่รู้ว่าใช้อยู่หรือเปล่า เเต่มันก็โกยเงินเข้ากระเป๋าไปได้มหาศาล จากคุณ : Atomic Secret - [ 26 ม.ค. 51 11:45:22 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรือ่งการเกษตรเค้าก้ได้ไปเยอะนะครับ แต่เค้าก็มีองค์กรใหญ่มากๆ มาทุ่มเงินก้อนใหญ่(มหาศาล)ให้คนไทยวิจัย โดยเ)้นความร่วมมือระหว่างประเทศ และเค้าก็ได้ข้อมุลรวมถึงวัตถุดิบไปมากมาย จากคุณ : KCrazy16 - [ 26 ม.ค. 51 12:10:26 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สนใจและมีงบ กับมีทรัพยากรแต่ไม่สนใจเพราะไร้งบ ต้องพึ่งพากันครึ่งหนึ่งถึงจะดี จากคุณ : ขาดเขาแต่เราต้องอยู่ - [ 26 ม.ค. 51 12:55:46 A:125.26.53.192 X: TicketID:130166 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แคลแน็ค เมื่อก่อนเคยเอาเข้ามาขายในเมืองไทย แต่ตอนนี้ไม่เอาเข้ามาขาย เพราะมัน "ห่วย" ครับ ฤทธิ์ในการรักษามันต่ำมาก Profile สู้ยาโบราณอย่าง Cimetidine, Ranitidine ยังไม่ได้เลย สมัยนี้นิยมใช้ Omeprazole กันแล้ว ถูกกว่า และดีกว่า หลายขุม จากคุณ : อะธีลาส - [ 26 ม.ค. 51 13:33:10 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คิดเหมือน # 11 .. จากคุณ : tenno - [ 26 ม.ค. 51 16:46:38 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แบบนี้ไม่เรียกว่า ขโมย หรอกคนไทยเราไม่ฉลาดเองมากกว่า มีของดีอยู่กับตัวแต่กลับให้ชาติอื่นเอาไปได้ จากคุณ : Ainulindale - [ 26 ม.ค. 51 18:43:54 ]

ความคิดเห็นที่ 24 การให้ทุนของไทย พิจารณาแล้วต้องสำเร็จเป็นรูปธรรม การให้ทุนของต่างประเทศ แนวคิดดีเขาก็ให้แล้ว แต่ที่แน่ ๆ คือ ลิขสิทธิ์เป็นของผู้ให้ทุน จากคุณ : silverspider - [ 26 ม.ค. 51 18:46:50 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ทุกอย่าง ในธรรมชาติ ไม่มีใครเป็นเจ้าของนะ และก็ต้องยอมรับด้วยว่า หากเขา ลงทุนวิจัยและพัฒนา เขาก็ต้องได้ผลตอบแทน และก็ไม่ใช่ว่า เมื่อจดสิทธิบัตรแล้ว เราจะใช้ประโยชน์ ไม่ได้เลย ผมมองแง่นี้นะ ว่า หากยอมให้มีการวิจัย ศึกษา ความรู้ที่เกิดขึ้นมัน ย่อมต้องส่งผลดี แก่โลกแน่นอน อย่างน้อยคนทั่วโลกก็มียารักษาโรคเพิ่มขึ้นอีกชนิด ดีกว่าเอามานั่งกอดไว้ โดยไม่เห็นค่า และปล่อยให้หมดไปเฉยๆ เห็นแก่ตัวนะแบบนั้น จากคุณ : แขม่วพุง (แขม่วพุง) - [ 26 ม.ค. 51 19:11:55 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เราไม่ว่าเค้านะ แล้วก็ไม่คิดว่าเป็นการขโมยด้วย มันเป็นกฎของธรรมชาติอยู่แล้ว  คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด ทรัพยากรมีค่าอยู่ในมือแท้ๆ เราเองนั่นแหละที่ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่  จะรู้ค่าอีกทีก็เมื่อสายไปแล้ว เปล่าประโยชน์ที่จะไปเรียกร้องอะไร จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 26 ม.ค. 51 19:39:16 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อย่าไปคิดว่าทรัพยากรธรรมชาติไม่มีใครเป็นเจ้าของสิครับ ทุกวันนี้สงครามมันมีอยู่ไม่ใช่เพราะแย่งน้ำมันกันรึไง? ตอนนี้ในไทย บริษัทใหญ่ที่ลงทุนหลายๆด้าน ก็เช่น JICA ที่ช่วยเหลือหลายหน่วยงานมากๆ รวมถึงเป้นผู้ร่วมวิจัยรายใหญ่ของ ม.เกษตร มาหลายปี(ไม่ตำว่า10ปี) จากคุณ : KCrazy16 - [ 26 ม.ค. 51 20:43:31 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมออกจะเชื่อตาม คห 21 นะครับ มิฉะนั้นป่านนี้คงไม่ต้องมีการผ่าตัดผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร และคงมีการปลูกเปล้าน้อยกันไปทั่วแล้ว สำหรับประเด็นการวิจัยของต่างชาติผมว่า ทำข้อตกลงให้ยุติธรรมดังที่ผมเสนอไปแล้วจะดีกว่า ของๆเราอยู่กับเราเป็นร้อยปี ไม้มีใครเคยคิดทำอะไร พอเขาพบ/ทำให้มันมีคุณค่าขึ้น เราก็โวยวาย แล้วถ้าเขาวิจัยแล้วพบว่ามันไม่ดี เราจะโวยวายไหม มันมีแง่มุมที่น่าคิดมากนะครับ หาทางทำให้ยุติธรรมและเอาประโยชน์มาใช้กับชาวโลกให้ได้ นั่นแหละดีที่สุด จากคุณ : วิจัย - [ 26 ม.ค. 51 21:21:42 A:61.19.184.190 X: TicketID:150751 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นด้วยกับ คห.11 เหมือนกัน จากคุณ : Azuret - [ 27 ม.ค. 51 06:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นด้วยบางส่วนกับคุณ Sial  ในความคิดเห็น 11 ยกเว้นเรื่อง งบครับ งบวิจัยมีไม่น้อยนะครับ และบางอันเหลือ ไม่มีคนขอด้วยซ้ำ แต่มันอยู่คนที่ตัดสินใจจัดงบวิจัยครับ ที่ไปเน้นอยู่กับงานวิจัยบางประเภทและตามกระแสเสียเยอะมากกว่าครับ จากคุณ : KL - [ 27 ม.ค. 51 12:05:40 ]