ความคิดเห็นที่ 1 วันนี้อยากจะมาเล่าบางเรื่องให้คนที่ยังเรียนอยู่เข้าใจสถานการณ์โดยภาพรวม เป็นเรื่องที่ผมประติดประต่อจากการอ่านหนังสือประวิตัต่างๆ แล้วคิดเอา อาจไม่ตรงทั้งหมด ช่วยใช้วิจารณ์ญาณด้วย ผมพึ่งมาเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้ว่าทำไมคนรุ่นก่อนถึงไม่พัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสมัย 20 ปีก่อน ประเทศเราไม่มีอะไรเลย ยังไม่มีอุตสหกรรมมากนัก ไม่มีเครื่องมือ ไม่มีเงินทุน ที่สำคัญคือไม่มีคนมีความรู้(มีน้อยมาก)   ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีจึงไปได้ช้าเพราะไม่มีทิศทางและเป้าหมาย เช่น โรงงานอยากพัฒนาก็ไม่รู้จะจ้างใครมาทำเพราะคนยังไม่มีความรู้    คนมีความรู้อยากทำก็ทำไม่ค่อยได้ไม่มีเครื่องมือ ไม่มีทุน ส่วนจะพัฒนาทิศทางไหนก็ยังงงเพราะยังไม่รู้ว่าประเทศจะไปทางไหน  ทำให้เราไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 26 ม.ค. 51 23:20:30 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เข้ามานั่งรอครับ ปล. ปะติดปะต่อ ไม่ใช่ ประติดประต่อ จากคุณ : axquest - [ 26 ม.ค. 51 23:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แต่ในปัจจุบัน  ประเทศไทยได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพึ่งเริ่มมีมาได้ประมาณ 10 กว่าปี เป็น 10 ปีที่มีความเปลี่ยนแปลงที่ผมขอเรียกว่าเร็วมาก   เราเริ่มมีคนที่เรียนจบจากต่างประเทศมากขึ้น  คนรุ่นแรกๆเหล่านั้นนับเป็นผู้เสียสละโดยแท้ ที่เข้ามาบุกเบิกวางโครงสร้างการทำวิจัยในประเทศ แน่นอน มีการลองผิดลองถูกหลายๆครั้งในหลายๆโครงการ เพื่อให้ได้โครงสร้างที่เหมาะสมกับประเทศเรา  ซึ่งตอนนี้เราก็เริ่มเห็นแล้วว่ามีนักวิจัยในประเทศมากขึ้น ทั้งที่ผลิตในประเทศและจบจากต่างประเทศ  ทำให้ตอนนี้ภาคอุตสหกรรมของเราพอมีโอกาสมากขึ้นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีของเราเอง  เอาง่ายๆ เมื่อ 5 ปีที่แล้วตอนผมทำวิจัย มีความลำบากมากทั้งในเรื่องของเครื่องมือ อุปกรณ์ และสารเคมี แต่ในปัจจุบัน หลายอย่างทำได้สะดวกกว่าแต่ก่อนมาก ถึงแม้จะไม่สะดวกเท่าต่างประเทศ แต่ก็เรียกได้ว่าเราพอทำได้ แต่เรากำลังจะเจอปัญหาใหม่ จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 26 ม.ค. 51 23:29:18 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มาปูเสื่อรอ .... จากคุณ : เศียรนาคา - [ 26 ม.ค. 51 23:33:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ปูเสื่อด้วย...เอ้าถ้าบทความเขียนได้ดีจะโหวตให้ด้วยเลย จากคุณ : หมื่นเทพยุทธจอมราชันณ์ - [ 26 ม.ค. 51 23:35:20 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มาอ่านด้วยค่ะ จากคุณ : ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ - [ 26 ม.ค. 51 23:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนนี้หลายๆมหาวิทยาลัยมีทุน มีเครื่องมือ มีหลายๆอย่างเกือบครบ แต่เรามีปัญหาที่ไม่มีนักเรียนที่มีคุณภาพพอ   ไม่ว่าจะเป็น หมอ วิศวะ นักวิทยาศาสตร์ เราไม่มีนักศึกษาที่จะมาสร้างสรรค์งานที่เป็นประโยชน์ให้กับประเทศ ทั้งที่เรามีอาจารย์เก่งๆ เต็มมหาวิทยาลัยไปหมด แต่อาจารย์ไม่สามารถมอบหมายงานดีดีที่เป็นประโยชน์ให้นักศึกษาทำได้ เพราะนักศึกษามีความสามารถไม่ถึง (ผมไม่ใช่อาจารย์นะ แต่ผมอยู่ในมหาวิทยาลัยมาเกือบสิบปี ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด กล้าพูดเลยด้วยว่าเครื่องมือและอุปกรณ์การเรียนการสอนเราดีขึ้น แต่คุณภาพบัณฑิตเราแย่ลง) จะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกคนที่มาเรียนคิดแต่จะเรียนให้ผ่านๆไป อย่างที่คุณ mancunian เขียนไว้ว่า "สุดท้ายก็มีคนที่มีวุฒิ วศ.บ. เต็มไปหมด แต่ไม่สามารถเติมเต็มจุดอ่อนในภาคอุตสาหกรรม บ้างก็หนีไปทำงานด้านการเงินตั้งจบใหม่ บางส่วนก็หนีไปทำงานด้านบริหาร" ทั้งที่ตอนนี้ภาคอุตสหกรรมเรากำลังแย่แล้ว ถูกบีบจากต่างประเทศจะเจ๊งกันหมด เอกชนมีปัญหาเยอะแยะ แต่ไม่รู้จะจ้างใครมาทำ เพราะจ้างมาก็ทำไม่ได้ จบเอก จบโท กันเต็มไปหมด เรียกจะเอาเงินเดือนสูงๆ ทั้งๆที่ความรู้ก็มีไม่ถึง ทำงานจริงกันก็ไม่ได้ มีคนจบวิศวะกี่คนที่มั่นใจว่า  สามารถแก้ปัญหาให้โรงงานได้ทุกกรณี และจะจ้างตัวเองทำงาน ถ้าตัวเองเป็นเจ้าของโรงงาน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการทำนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งต้องใช้การบูรณการความรู้ในหลายๆสาขา เพื่อที่วันหนึ่งเราจะมีสิทธิบัตรเละเทคโนโลยีป็นของไทยเอง จะได้นำไปขายคนอื่นบ้าง ถ้าใครเคยออกไปคุยกับชาวนาชาวไร่ ไกลๆ ต่างจังหวัด เช่นไปออกค่ายอาสา พวกเค้าเหล่านั้นคาดหวังว่า ภาษีที่พวกเค้าเสียจะมีส่วนช่วยให้บัณฑิตที่ได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อจบออกมา จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศ แต่บัณฑิตเราหลายๆคนเข้ามาเรียนเพื่อต้องการสอบให้ได้วุฒิ จะได้เอาไปสมัครงาน รับเงินเดือน  เรียนจบโดยไม่มีความรู้ก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้เกรด เกินสองเป็นใช้ได้ แล้วพออีก 20 ปีข้างหน้า ก็จะมีคนรุ่นลูกมาถามว่า ทำไมประเทศไทยไม่พัฒนา   แล้วมันควรเป็นหน้าที่ใคร? จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 26 ม.ค. 51 23:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 8 การเมือง จากคุณ : พระจันทร์สีฟ้า - [ 27 ม.ค. 51 00:01:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทั้งนี้ผมไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคน ตะบี้ตะบันเรียนกันเพื่อให้ได้เกรดสูงๆ แต่อยากให้น้องๆเรียนกันด้วยความซื่อสัตย์ต่ออาชีพและสาขาที่ตัวเรียนเองด้วย ผมเคยทำโครงการนึงจะเอาสีแบบใหม่ไปใส่ในพลาสติก   ผมถามคนในทีมทีจบวิศวะปิโตรเคมีว่าต้องทำยังไง แกก็บอกว่าไม่ได้เรียนเรื่องนี้ ถามคนที่จบวิทยาปิโตรพอลิเมอร์ก็ได้คำตอบว่าต้องไปถามคนที่เรียนพวก printing โทรไปถามคนจบprinting ก็ตอบกลับมาว่าให้ไปถามคนจบพอลิเมอร์  ผมเลยถามกลับไปว่า ถ้าทั้ง 3 คนนี้ซึ่งก็เรียนเกี่ยวข้องกับสีและพลาสติก ไม่สามารถให้แนวทางแก้ปัญหาแก่ผมได้ แล้วผมควรไปปรึกษาใคร? จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 27 ม.ค. 51 00:03:50 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แน่นอน อย่างที่ความเห็น 8  ว่า ในความเป็นจริงแล้วเรายังมีปัญหาอีกเยอะแยะ เช่น เรื่องการเมืองและผลประโยชน์ระหว่างองกรณ์และตัวบุคคล เรื่องเงินทุน เรื่องอื่นๆอีกสารพัด ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา  และหลายๆคนก็มีภาระทางบ้าน ต้องส่งเสียตัวเองเรียนทำให้เรียนได้ไม่ดี หรือบางคนได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ อันนี้เราก็เข้าใจและก็เห็นใจ  แต่อย่างน้อยก็อยากให้ทุกคนซื่อสัตย์กับวิชาชีพตัวเอง เพื่อที่ว่าจบไปแล้วทำงานได้จริงๆ จะได้มีโอกาสช่วยให้อุตสหกรรมไทยแข่งกับเค้าได้บ้าง เงินจะได้เข้าประเทศ  เศรษกิจจะได้โต ฐานเงินเดือนของทุกๆคนจะได้สูงขึ้น  ไม่ใช่ไหลออกตลอดแบบปัจจุบัน พากันฝ่อลง เป็นวงจร   ขายไม่ออก  ไม่มีตังค์จ้าง ไม่มีคนเก่ง ไม่พัฒนา  ก็ยิ่งขายไม่ออก เป็น ขายได้   มีตังค์จ้าง  จ้างคนเก่ง   พัฒนาสินค้าใหม่  ขายดียิ่งขึ้น สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังทำงานพัฒนาประเทศทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังให้อดทนและฝ่าฟันกันต่อไป ถ้ามีอะไรที่ผมเข้าใจผิด หรือใครมีอะไรเพิ่มเติมก็ช่วยชี้แนะด้วยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 27 ม.ค. 51 00:14:55 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ชีวิตไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นกันต่อไป จากคุณ : Practical x 2 - [ 27 ม.ค. 51 00:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตอนนี้เด็กมหาลัยคิดยังไงกัน ถือว่าเรียนเก่งแล้วจะทำอะไรก็ได้ ยังงั้นหรือ จากคุณ : nisas - [ 27 ม.ค. 51 00:31:22 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมพูดเรื่องคนเรียนปริญญาตรี โท เอก มากเกินไป(เน้นแต่ปริมาณ)มานานแล้วครับ แต่ถูกคนในนี้ต่อต้านเสียส่วนใหญ่ครับ ปริญญาตรีต้องเรียนกันน้อยๆกว่านี้ครับ เรียนน้อยๆแต่เน้นคุณภาพครับ เรียนกันมากๆ เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่จะมีคุณภาพ - อย่างน้อยต้องกำหนดขอบเขตว่าใครมีสิทธิ์เรียนต่อปริญญา เช่นใคร IQ ต่ำกว่า 110 ห้ามเรียน จับวัด iq กันก่อนเลย ใครโง่ห้ามเรียน วัดตั้งแต่มัธยม 3 เลยครับ หรือคณะไหนต้องคำนวณมากๆ ก็อาจกำหนด iq สูงๆไปเลย - -ไม่ได้หมายถึงวัดIQ อย่างเดียวนะครับ ใครผ่านด่านนี้ได้ถึงมีสิทธิสอบเข้าอีกต่อนึง แต่ปัจจุบัน ใครๆก็เรียนได้ คนโง่ๆก็เรียนได้ โง่แค่ไหนก็เรียนได้ เข้าเรียนครบก็เรียนจบ เรียนตามวิทยาลัยทั่วๆไป - - คำว่าบัณฑิต มันไม่ใช่มีไว้ให้สำหรับคนโง่นะครับ ย้อนดูจากประวัติศาสตร์ได้ครับ ว่าคนที่จะเป็นบัณฑิตได้ต้องฉลาดจริงๆ - -เด็กฉลาด ชาติเจริญ ครับ - ปัจจุบันส่วนใหญ่มีแค่พวกท่องจำครับ ในโรงเรียนกวดวิชาแม้แต่คณิตศาสตร์ยังสอนให้จำคำตอบไปตอบเลยครับ เค้าบอกว่าคุ้ม สอนให้ตอบผิดผมยังเคยเจอเลยครับ (เพราะรัฐบาลยังเฉลยผิด เราจึงต้องคำนวณแบบนี้ หรือจำไปแบบนี้ ยอมตอบกันผิดๆนะจ๊ะนักเรียน) - - ข้อสอบในมหาลัยวิชาส่วนใหญ่ยังเจอข้อสอบ..ห่วยๆที่ผมจะยกตัวอย่าง นิยมกันเกือบทุกวิชาเลยครับ - "สิ่งสิ่งนี้ วิธีการนี้ๆ มีกี่ชนิดอะไรบ้าง จงอธิบาย" ใครจำหนังสือได้เป็นหน้าๆ ก็ได้เกรดA ไปแหละครับ - ปล. แต่คนส่วนใหญ่อยากให้เรียนเอาตรีไว้ก่อน เรียนกันมากๆแหละดี ถ้าคิดแบบนี้ คอยดูวันที่ประเทศไทยมีคนจบตรี 20-30 ล้านคนเถอะครับ เรียกเงินเดือนสูงๆ ตกงานเป็น 10ๆล้าน ใครจะยอมกวาดถนน งานนี้ต่ำฉั้นไม่ทำหรอก สยอง -นึกถึง อภิสิทธิ์ ตอนหาเสียง "ผมจะทำให้ลูกหลานของท่านทุกคนเรียนจบปริญญาตรี " ถ้ามันทำจริง ประเทศไทยคงซวยน่าดู - - ต้องเรียนน้อยๆๆ แต่เน้นคุณภาพมากๆๆๆ ครับ ดีกว่าเน้นปริมาณ จากคุณ : อาจารย์แมว - [ 27 ม.ค. 51 00:33:44 A:125.24.132.149 X: TicketID:137077 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เป็นแบบพวกฝรั่ง เรียกว่าพัฒนาหรอครับ เค้ากำหนดขึ้นมา ว่าอย่างไหนเรียกพัฒนา อย่างไหนไม่พัฒนา และเค้าก้บอกว่าเค้าน่ะพัฒนาแล้ว เราก้ไปเชื่อตามเค้าซะงั้น ผมคิดว่าพัฒนาหมายถึง ประชาชน มีความสุข ไม่ว่าด้วยทางใดๆก้ตาม ที่เราไปตามพวกฝรั่งนั่น คือวัดด้วยเงิน และรายได้ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม แล้วมีทางอื่นอีกไหม ที่สามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้ นอกจากสิ่งเหล่านี้ เช่น เศรษฐกิจพอเพียง คุณธรรมจริยธรรม สิ่งเหล่านี้ส่งความสุขถึงจิตใจของประชาชนโดยตรง ผมคิดว่าสิ่งนี้แหละที่เรียกว่า "พัฒนา" จากคุณ : Sir.ขงเบ้ง - [ 27 ม.ค. 51 00:34:37 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แล้วตกลงเอาสีแบบใหม่ไปใส่พลาสติก ทำไงครับ จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง - [ 27 ม.ค. 51 00:40:41 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เรียน คห 14 คือผมไม่ได้หมายถึงให้ตามก้นฝรั่งเพราะนั่นมันก็ไม่ได้ดีไปทุกเรื่อง และผมก็เห็นด้วยกับเรื่องจริยธรรมและเศรษฐกิจพอเพียง แต่ตอนนี้เรากำลังเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์เพราะเด็กของเราไม่ตั้งใจเรียน อาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายๆคนตั้งใจสอน ถ่ายทอดให้ไม่อั้น แต่เด็กกะแค่มาเรียนกันขำๆ เดี๋ยวก็จบได้วุฒิไป แล้วงบประมาณและเวลาที่มีค่าก็เสียไปฟรีๆ ถ้าเค้าหันมาทำประโยชน์ให้มหาวิทยาลัยสร้างความรู้ใหม่ๆ จะทำให้เรามีบุคลากรที่มีคุณภาพครับ ซึ่งจะทำให้เศรฐกิจโดยรวมมันดีขึ้น จะได้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น แล้วปัญหาสังคมหน้าจะน้อยลง ตอนนี้ปัญหาการว่างงานมันจะทำให้จริยธรรมเราลดลงนะครับ ผมเชื่อว่าถ้าเด็กไทยจะทำอะไรให้ดีก็ไม่แพ้ใครหรอกครับ จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 27 ม.ค. 51 00:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถึง 15 ผมมีวิธีแล้วก็ทำได้แล้วครับ จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 27 ม.ค. 51 00:49:32 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตอนนี้หลายๆมหาวิทยาลัยมีทุน มีเครื่องมือ มีหลายๆอย่างเกือบครบ แต่เรามีปัญหาที่ไม่มีนักเรียนที่มีคุณภาพพอ   ไม่ว่าจะเป็น หมอ วิศวะ นักวิทยาศาสตร์ เราไม่มีนักศึกษาที่จะมาสร้างสรรค์งานที่เป็นประโยชน์ให้กับประเทศ ทั้งที่เรามีอาจารย์เก่งๆ เต็มมหาวิทยาลัยไปหมด แต่อาจารย์ไม่สามารถมอบหมายงานดีดีที่เป็นประโยชน์ให้นักศึกษาทำได้ เพราะนักศึกษามีความสามารถไม่ถึง ^ ^ ^ โทษคนรุ่นใหม่สินะ อืม~ง่ายดีจริงๆ มันเป็นเพราะหยั่งงี้นะเอง จากคุณ : Papiyongpi - [ 27 ม.ค. 51 00:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ถึงคุณ คห 19 ไม่ได้จะโทษคนรุ่นใหม่นะครับ เพราะส่วนที่ดีก็มีเยอะ แค่เสียดายศักยภาพบางส่วนเท่านั้น จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 27 ม.ค. 51 00:54:04 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มันเป็นปัญหาที่หมักหมมมานานมาครับ คือต้องไล่ไปตั้งแต่ยุด 100-150 ปีก่อนโน่นเลย เอาง่าย ๆ ครับ สิ่งที่ทำให้ไทยไม่พัฒนาคือ "ระบบศักดินา" และคำพูดสุดคลาสิค 2-3 อย่าง 1. ขอให้เป็นเจ้าคนนายคน 2. เพื่อความมั่นคงของชาติ 3. (ไม่อยากเอ่ยครับ ไม่ดี) เอาล่ะ ทีนี้มาดูปัญหาการศึกษาไทยในปัจจุบันมั่ง ... ปัญหามันคือ ระบบเอ็นทรานส์ครับ ขอย้ำว่าคือ ระบบเอ็นทรานส์ ... ทำไม? เพราะคำพูดคลาสสิคไงครับ "ขอให้เป็นเจ้าคนนายคน" ในปัจจุบัน ถ้าไม่มีปริญญาตรี ก็เปรียบเสมือนไพร่ในอดีต คนเลยกระเสือกกระสนต้องได้ป.ตรี โดยเฉพาะต้องเอ็นท์ฯ ติด ถึงจะ "มีเกียรติ" แก่วงศ์ตระกูล คนที่เอ็นท์ไม่ติดนั้นกลายเป็น "ห่วย" ต้องไปเรียนม.เอกชน กลายเป็นป.ตรีชั้นสองไปอย่างงั้น เห็นระบบศักดินาที่แฝงอยู่มั๊ยครับ? โอเค ... เมื่อป.ตรีมีมากขึ้นจนจะเดินชนกันตาย ก็ต้องเพิ่มระดับศักดินาของตัวเองให้สูงขึ้น เป็นป.โท จนตอนนี้ป.โทก็เริ่มจะชนกันตายแล้ว ก็ต้องเป็น ป.เอก สุดท้าย ... ตอนนี้ป.โทเป็น "หมอนวด" ครับ จริง ๆ ไม่พูดเล่น แฟนเพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อกี้เอง เป็นหมอนวดจริง ๆ ครับ นวดให้แฟนผม ณ สปาแห่งหนึ่ง เพราะไม่มีงานทำ จบโทแต่ไม่ใช่จากสถาบันศักดินาสูง ไม่มีใครรับทำงาน ... ปัญหาก็คือ ... การศึกษาไทยคือ เราเน้น "ปริญญา" ไม่ใช่ "ความสามารถ" เราเน้นการป้อนคนไปเป็น "แรงงาน" มากกว่าคนที่ไป "สร้างงาน" ขอพูดถึงตัวผมนะ ผมเพิ่งจบป.ตรีเมื่อปีนึงที่ผ่านมาเอง (ผมรับระบบไทยไม่ได้จริง ๆ จนแฟนบังคับให้เรียนมสธ. จนจบ) แต่ฝรั่งที่ผมเคยทำงานด้วยนึกว่าผมจบป.โทมานานแล้ว ทำไมเขาถึงนึกว่าผมจบโท? เพราะผมชอบ "แสวงหาความรู้" ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่การศึกษาเมืองนอกสอนให้ทำ แต่ของไทยไม่สอน เด็กไทยทำรายงานเพียงเพื่อเอาคะแนน ที่โน่นไม่ต้องทำครับ (สมัยผมเรียน เดี๋ยวนี้ไม่รู้) แต่ตอนสอบไม่มีวงกลม ต้องเขียนอย่างเดียว ไม่รู้ก็ไม่ต้องตอบ หมดสิทธิ์มั่ว ... ดีมั๊ยครับ ... มันทำให้ต้องรู้จริงตั้งแต่ในโรงเรียน ผมทำแล๊บกันตั้งแต่เกรด 10 ครับ ก็ ม. 4 เมืองไทย แล้วไม่ใช่แค่ไปเล่นสนุก ๆ นะครับ ต้องสอบแล๊บด้วย ทุกอย่างต้องแม่นยำ ทั้ง Bio, Chem และ Physics แล้วก็ แน่นอน ต้องเขียนสรุปการทดลอง ทั้งกราฟทั้งอะไร ครบถ้วนกระบวนการ เรามีเด็กเก่งโอลิมปิควิชาการมากมายครับ ผมกล้าท้าเด็กที่ได้เหรียญโอลิมปิควิชา bio, chem และ physics ตอนนี้เลยนะ แน่จริงให้ไปทำแล๊บอย่างที่ผมทำที่โรงเรียนดิ ตกชัวร์ ไม่มีทางผ่านครับ แต่ได้เหรียญเพราะเก่งแต่แก้โจทย์ ... มันไม่เหมือนกันกับการปฏิบัติ ... การศึกษาไทยเน่าและล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เอาละ ... ผมขอจบเท่านี้ก่อน ง่วงแล้ว (เปล่า ... จะไปกินไวน์ต่อ ...) เอาไว้มีอารมณ์บ่นแล้วจะมาบ่นใหม่ วาปปปป จากคุณ : เศียรนาคา - [ 27 ม.ค. 51 00:58:07 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผมเชื่อว่าเรามีคนที่มีคุณภาพพอครับ แต่ไอคนที่มาโพสท์ทู้นั้นอ่ะ มันเกรียน จากคุณ : perspeceviT - [ 27 ม.ค. 51 00:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 23 การควบคุมนักศึกษาปริญญาตรีให้ตั้งใจทำงานวิจัยมีคุณภาพ สามารถทำได้ ครับสองปีที่ผ่านมา ผลงานนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ได้นำไปเสนอในที่ ประชุมระดับชาติได้ และตีพิมพ์ลงวารสารภาษาอังกฤษระดับชาติได้ด้วย แต่อาจารย์ที่ปรึกษาต้องหมั่นสอบถามความก้าวหน้าในงาน ตามข้อมูลบ่อยๆ หาทุนที่มีค่าตอบแทนมาให้ รวมถึงนัดมาทำวิจัยช่วงเสาร์อาทิตย์ ผมมีเลี้ยง ข้าวกลางวันให้ด้วย และทะยอยทำรูปเล่มโครงการวิจัยให้มีความสมบูรณ์ ขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้อาจารย์ที่ปรึกษาจะเหนื่อยหน่อย แต่งานที่ได้จะมีคุณภาพ ดีครับ เรื่องความสามารถไม่ถึงนั้นคงเป็นหน้าที่ของอาจารย์ควบคุมที่ต้อง สอนสั่งให้ความสามารถมาถึงให้ได้ไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่งครับ จากคุณ : Practical x 2 - [ 27 ม.ค. 51 01:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อืมม์ . . . แล้วทางแก้คือยังไงครับ? จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 27 ม.ค. 51 01:07:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 มีหลายกรณีทีเดียวที่ผมพบว่า นักศึกษาไม่มีความรู้เรื่องบางอย่างเช่น วิธีการสร้าง error bar ในกราฟ เพราะไม่เคยได้เรียนมาก่อน ผมจึงสอน ให้เอง ตอนหลังหลายคนที่ทำงานมาส่งก็จะเอาเรื่องที่สอนมาใช้ด้วย การคุมงานนักศึกษาของผมจะเป็นเชิงรุกครับ นั่นคือพอทำการทดลองเสร็จ ผมจะให้วิเคราะห์ผลเดี๋ยวนั้น แล้ว integrate ผลเข้าไปในไฟล์รายงานเลย ถ้าเป็นข้อมูลสำคัญก็เข้าไปอยู่ในส่วนผลการทดลอง ถ้าสำคัญน้อยลงมา ก็เข้าไปอยู่ในส่วนภาคผนวก และนั่งทำไปพร้อมๆ กับนักศึกษาเดี๋ยวนั้น เพื่อชี้แจงให้คำแนะนำ และอภิปรายกัน ไม่ได้รอให้ไปทำเป็นอาทิตย์ๆ เอามาส่ง แล้วแก้กลับไปมา จนทำให้อารมณ์เสียกันทั้งนักศึกษาและ อาจารย์ จากคุณ : Practical x 2 - [ 27 ม.ค. 51 01:08:53 ]

ความคิดเห็นที่ 26 สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจารย์หลายคนมองข้ามคือ 1) นศ. ปริญญาตรี มีเวลาไม่มากในการทำวิจัย เพราะเนื้อหาวิชาที่ต้องเรียน เต็มไปหมด ถ้าไม่วางแผนการทำงานให้พวกเขาดีๆ งานที่ได้ย่อมออกมา สะเปะสะปะ เพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ทำวิจัยมาก่อน บางคน ยังสร้าง calibration curve ไม่เป็น เตรียมสารไม่เป็น พวกนี้ต้องสอนกัน ทั้งนั้นครับ จะคาดหวังให้งานเขียนออกมาเหมือนคนจบระดับปริญญาโท ปริญญาเอก คงมีน้อยคนนักที่ทำได้ 2) บางท่านให้งานนักศึกษามากจนเกินไป บางทีเกินกว่าจะทำไหว ผมเคย แอบได้ยินนักศึกษากลุ่มหนึ่งคุยกันว่า "ทำไม่ไหวแล้วเยอะเกินไป make ข้อมูลไปเลย" ก็มี จากคุณ : Practical x 2 - [ 27 ม.ค. 51 01:22:10 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เห็นด้วยนะครับ เรื่องคุณภาพของบัณฑิตที่จบ มันน่าจะมีทางออกนะครับ เท่าที่ได้ยินมา ยกตัวอย่างคณะแพทย์ เค้าก็มีวิธีการจัดการกับปัญหานี้อยู่เหมือนกัน ก็คือ จบเป็นหมอออกมา ถ้าคุณภาพไม่ดีพอเนี่ย หมายถึงชีวิตคนทั้งชีวิตใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้น คณะแพทย์ก็ต้องเข้มงวดหน่อยล่ะ ดังนั้นก็เลยมีหน่วยงานส่วนกลางควบคุมหลักสูตร ไม่ใช่ว่าที่ไหนๆจะเปิดได้ ต้องประเมินกันหนักทีเดียว อย่างปัจจุบัน มีคณะแพทย์เปิดมากขึ้นมา แต่ทุกสำนักที่ได้ผ่านการรับรอง ส่วนกลางก็จะการันตีเลยทีเดียวว่า จบมาเป็นหมอ ทำงานเหมือนหมอของสถาบันอื่นๆได้แน่นอน นอกจากนี้ เดี๋ยวนี้ยังมีการสอบวัดความรู้จากส่วนกลางเข้าไปอีก เรียนจบเฉยๆ สอบไม่ผ่าน ก็รักษาคนไข้ไม่ได้ เพราะฉะนัั้น ทุกคนที่เข้ามาก็ต้องถูกตบซ้ายตบขวาจนต้องตั้งใจเรียนอยู่ดี หรือไม่ก็หลุดไปเลย (ส่วนใหญ่ก็อยู่รอดปลอดภัยกันนะครับ) คิดว่า สาขาอื่นๆก็น่าจะเอาไปเป็นแนวทางในการควบคุมคุณภาพบัณฑิตได้บ้างเหมือนกัน จากคุณ : ธัมมนันทิ - [ 27 ม.ค. 51 01:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 28 นักศึกษาที่จบระดับปริญญาตรีของผมได้รับการขึ้นทะเบียนในสภาวิจัย แห่งชาติแล้ว 8 คน และในปีนี้มีที่ได้ทุน RPUS จาก สกว 3 กลุ่ม (จำนวนนักศึกษารวม 7 คน) ได้ทุน YSTP ของสวทช 1 กลุ่ม (นักศึกษา 2 คน) ส่วนนักศึกษาระดับปริญญาโท ได้ทุน CT ของ MTEC 1 คน (วันนี้เพิ่งเขียนรายงานความก้าวหน้าเสร็จ) ได้ทุนจาก วช ปีที่แล้ว 1 คน ปีนี้อีก 1 คน ได้ทุนจาก ศนวท ในสังกัด สวทช อีก 1 คน และยังมีงานให้นักศึกษาแต่ละคนทำจากทุนวิจัยที่ได้จากโครงการร่วม กับประเทศเยอรมัน (วช สาขาต่างประเทศ) และทุนโทเร ของญี่ปุ่นด้วย เมื่อมีเงินการทำงานก็ไม่ติดขัด แต่อาจารย์มีหน้าที่ต้องตามครับ และบาง ครั้งก็ต้องช่วยนักศึกษาไปด้วย จากคุณ : Practical x 2 - [ 27 ม.ค. 51 01:33:47 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สองสิ่งแรกที่ผมจะสอนนักศึกษาเสมอ ก่อนที่จะรับเข้ามาทำงานวิจัยคือ 1) First Duty คือความซื่อสัตย์ของข้อมูลการทดลอง ได้เท่าไหร่ก็คือ เท่านั้น เว้นแต่ไม่แน่ใจว่าทำถูกหรือไม่ก็ต้องกลับไปทำใหม่ 2) ความปลอดภัย ต้องเข้าใจเรื่อง MSDS, R-, S- phrase และนำไปปฏิบัติ จากคุณ : Practical x 2 - [ 27 ม.ค. 51 01:40:36 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ด้วยความเคารพครับ คุณ Practical x 2 นักศึกษาทางด้านไหนครับ แล้วพวกเขาคิดว่า เขาจะทำประโยชน์อะไรให้ประเทศชาติได้บ้าง ไม่ใช่จบ มีผลงานวิจัย แล้วก็แค่ "ไปหางานทำ" อีกนะครับ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 01:41:12 จากคุณ : เศียรนาคา - [ 27 ม.ค. 51 01:40:55 ]

ความคิดเห็นที่ 31 นิยามคำว่า "ไม่พัฒนา" ให้ผมฟังหน่อยซิครับ หมายถึงต้องส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์ มีนุ๊กในครอบครองซัก 10 ลูก ฯลฯ ไอ้ประเทศที่เขามองว่าพัฒนา ตอนนี้ปัญหาซับไพร์มก็อ๊วกแตกแล้วครับ หลายๆครอบครัวเป็นหมู่บ้าน หลายๆหมู่บ้านเป็นตำบล หลายๆตำบลเป็นอำเภอ หลายๆอำเภอเป็นจังหวัด หลายๆจังหวัดเป็นประเทศ แล้วคุณคิดว่าการขับเคลื่อนของประเทศมันมาจากอะไรละครับ อยู่ดีๆคุณกำลังจะบอกว่า ประเทศเราด้อยพัฒนาเพราะมาจากสิ่งเหล่านี้เหรอ ประเทศมันก็เดินทางไปตามครรลองที่มันจะเป็น ถ้าคนในประเทศพอใจไปในทิศทางไหน มันก็ไปทิศทางนั้น คนในประเทศพอใจกับ speed เท่าไหร่ มันก็ speed ได้เท่านั้น แต่..อยู่ดีๆกลับมีคนมาบอกว่า เฮ้ยๆๆๆทิศนี้มันผิดน่ะเฟ้ย หรือพวกเอ็งเดินช้ากันไปแล้ว ชาวบ้านชาวช่องเขาวิ่งกันไปไหนต่อไหนแล้ว (หกล้มพิกลพิการก็มีเยอะแยะ) เดินเร็วๆกันหน่อยซิฟ่ะ ใครถูกใครผิดครับ จากคุณ : Alien From Mars - [ 27 ม.ค. 51 01:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ^ ^ ^ อ่าน #21 ของผมหรือยังครับ? จากคุณ : เศียรนาคา - [ 27 ม.ค. 51 01:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อุตสาหกรรมหนักของประเทศต้องใช้เงินลงทุนสูง ใช้เวลายาวนานและมีการวางแผนที่ดี ฝ่ายการเมืองและเอกชนต้องร่วมกันพลักดัน ประเทศไทยไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนที่มีนโยบายในลักษณะนี้อย่างเด่นชัด อย่างมากสุดก็ให้งบอาจารย์ตามมหาลัยวิจัยเพื่อเอาผลงานไปขอเลื่อนขั้นโดยไม่มีการสนับสนุนไปจนถึงขั้นเป็นอุตสาหรรมหลักของประเทศ ตัวอย่างก็เช่นงานวิจัยเรื่องไอซี หมดเงินไปหลายพันล้านแล้วยังไม่ได้อะไรกลับมา ที่เห็นเป็นชิ้นเป็นอันและนักการเมืองชอบเอามาคุยข่มกันเป็นผลงานก็คือการเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานตามนิคมอุตสาหกรรมแล้วจ้างแรงงานไทย แต่ตอนนี้รู้สึกเวียตนามจะเป็นคู่แข่งเหมือนกันเพราะขยันกว่าคนไทยมาก แถมค่แรงยังถูกกว่า เรียกว่าตอนนี้ไทยยังกินบุญเก่าอยู่ก็ได้เพราะได้เปรียบในเรื่องทักษะและประสบการณ์มากกว่า ส่วนพวกเรียนเพื่ออัพเกรดตัวเองก็คงห้ามไม่ได้เพราะสังคมกำหนดกฏกติกามาแบบนี้ ส่วนตัวผมเริ่มเบื่อหน่ายกับอาชีพตอนนี้เหมือนกัน กะว่าเก็บเงินได้สักหน่อยจะเลิก หันไปทำเกษตรหรืออะไรสักอย่างที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติแล้วเอาประสบการณ์ความรู้ที่ผ่านมาทำอะไรเล่นเป็นงานอดิเรกชีวิตน่าจะมีความสุขกว่าต้องดิ้นรนแข่งขันในเมืองหลวง จากคุณ : ชอบเงิน - [ 27 ม.ค. 51 01:56:29 A:125.24.58.125 X: TicketID:140423 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอโทษครับ ผมอาจจะใช้คำผิดทำให้มันดูแรงไป สำหรับคำว่า "ไม่พัฒนา"  จริงๆตอนพิมพ์ไม่ได้คิดว่าเราไม่พัฒนา หรือพัฒนาแล้ว ไม่ได้คิดไปไกลถึงตรงนั้น  แต่คิดว่าเรากำลังขาดบุคคลากรที่มีคุณภาพ  ผมแค่อยากให้ทุกคนอยู่อย่างมีความสุขตามอัตราภาพและบทบาทที่มันควรจะเป็น และคิดว่าความเป็นอยู่ของทุกๆคนควรจะดีขึ้น   ผมขอชี้แจงแทนอาจารย์ practical x2 ถึงคห 30 เรื่องนี้ต้องมองหลายๆมุมครับแล้วจะเข้าใจขึ้น นักศึกษามาเรียนเพื่อให้ได้วุฒิ และไปทำงาน นักศึกษาก็มีสิทธิที่จะไม่ทำงานในสาขาที่เรียนมาก็ได้ครับ เพราะบางคนอาจค้นพบว่าตัวเองไม่ได้ชอบทางด้านนั้น อย่างไรก็ตามการเรียนและทำวิจัยนั้นได้สร้างแนวคิดให้นักศึกษาแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะไปประกอบอาชีพใดก็เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยตัวงานวิจัยที่นักศึกษาทำไว้ก็เป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่จะหาคนมารับไปทำต่อ เพราะการวิจัยนั้นหลายๆโครงการไม่ได้เกิดจากนักศึกษาแค่รุ่นเดียว ครับ แค่เค้ารับผิดชอบโครงการในส่วนที่เค้าเรียนได้สำเร็จก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว ที่สำคัญบางสาขาก็ไม่มีงานรองรับนักศึกษา หรือมีงานที่ใช้ศักยภาพได้ไม่คุ้ม ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องสร้างบัณฑิตที่จะมาสร้างงานให้กับบัณฑิตรุ่นต่อๆไปครับ ไม่อย่างนั้นเราจะมีปัญหามีคนเก่งไม่มีงานอีก จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 27 ม.ค. 51 02:21:38 ]

ความคิดเห็นที่ 35 การเมือง จากคุณ : ไม่มีสมาชิกชื่อนี้ - [ 27 ม.ค. 51 02:37:36 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คนไทย ใจไม่เปิดกว้างจริงๆ และไม่ค่อยยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง เพื่อนำไปพัฒนา และมักคิดว่า ความเห็นของคนส่วนใหญ่คือสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่ที่คนส่วนใหญ่คิด นั้นอาจจะผิด.. จากคุณ : gigybox - [ 27 ม.ค. 51 02:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณเศียรนาคาคับ ผมเข้าใจท่คุณกล่าวนะ แต่ถ้าหากคุณมีลูก แม้ว่าเค้าอยากจะบอกว่า โตขึ้นอยากขายก๋วยเตี๋ยว ตรงปากซอยหน้าบ้าน เพราะชอบ ทำอาหาร รักงานอิสระ ไม่อยากเรียน แถมโง่ด้วย และบอกว่า จะไปเรียนทำอาหาร ไม่เรียนต่อละ คุณจะให้ลูกคุณ จบ มีวุติแค่ มอสาม รุเปล่าครับ ที่นี่ไทย ไม่ใช่เมกา ที่ว่าทุกอาชีพ มีรายได้ที่ไม่ต่างกันมาก ทำให้ใครๆ ก็ต้องเรียนไว้ก่อน แม้จะรู้ว่า ไม่ชอบหรือเรียนไปก็ตกงาน พูดได้ครับ แต่ทำไม่ได้หรอกครับ แต่สังคสไทยก็จัดไว้ดีแล้วนิ ผมไม่เชื่อว่า เรียนจบรีแล้วตกงาน ถ้า คุณไม่เลือกงาน เช่น ต่างจังหวัดชั้นไม่ทำ ตากแดดชั้นไม่เอา ไม่เรียกเงินแพง เช่น คนนั้นยังได้เท่านี้ แล้ว ทำทำไมชั้นไม่ได้ ไม่ ยอมเปลี่ยนสาย ชั้นทำไม่ได้หรอก ไม่เคยเรียน มีค่านิยม อาจจะดูนามธรรมนะ จากคุณ : Nitty.M - [ 27 ม.ค. 51 02:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คงไม่ถึงกับเป็นการเมืองละมังครับคุณ #8 กับ #35 ถึงจะเป็นการเมืองก็อยู่ในระดับการเมืองของนักวิชาการละมังครับ คุณ #14 ความสุขคืออะไร? มาสโลว์บอกว่ามนุษย์มีความต้องการเป็นลำดับขั้น ไล่จากการตอบสนองระดับกายภาพไปจนถึงเกียรติ, ศักดิ์ศรี การยอมรับ นับวันโลกยิ่งพัฒนานะครับ ความต้องการระดับล่าง ๆ ถูกตอบสนองเพียงพอ (ถึงไม่หมดก็เรียกว่าโดยเฉลี่ยละครับ) ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันการมีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอนไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้เพียงพอแล้วครับ นั่นหมายความว่า คนต้องการมากกว่านั้น ในการสร้างความสุขให้กับตัวเอง เอาเรื่องนามธรรมพวกนี้มาพูดไม่มีประโยชน์หรอกครับ พอเพียงคือการปลูกข้าวตามมีตามเกิดหรือครับ ไทยเราแทบไม่พัฒนาวิธีการปลูกข้าวเลยนะครับ นอกจากซื้อปุ๋ยนอกมาตะบี้ตะบันใส่ รู้ไหมว่าปัจจุบันผลผลิตข้าวต่อไร่ยังไม่ถึงตันเลยนะครับ (ราว ๆ 700 กก.) น้อยกว่าญี่ปุ่นเท่าตัว ไม่ได้ต้องการเจาะจงเปรียบเทียบนะครับ แต่ผมเห็นว่าการอ้างคำว่าพอเพียงไม่ได้หมายความว่าให้หยุดคิดที่จะพัฒนา และการพัฒนาตามชาติตะวันตก ไม่ได้หมายถึงการมีเครื่องอำนวยความสะดวกให้ได้เท่าเขา ตามวัตถุประสงค์ที่คุณ จขกท ตั้งกระทู้ เขาต้องการให้หันกลับมาพัฒนาด้าน "แนวคิด" นะครับ ให้มองนอกเหนือจากตัวเอง เกรดของตัว คะแนนของตัว จบไปแล้วก็สนใจแต่เงินเดือนของตัว ตรงนี้มากกว่าที่ผมมองว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว พัฒนามากกว่าเรา ผมมองว่าไทยเราก็มีสังคมที่ดี และเราก็ได้เห็นตัวอย่างสังคมเขาที่ว่าแย่ ๆ การเดินตามแนวทางเขา ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เรียนรู้ความผิดพลาดของสังคมเขานะครับ นาน ๆ ทีพูดถึงเรื่องนี้ก็ดีนะครับ จะได้กระตุกต่อมคิดกันบ้าง ... มัวแต่ก๊อปรายงาน ลอกการบ้าน เข้าเลคเชอร์แลกคะแนน ก็ไม่ไหวนะครับ ปล. ไม่ต้องถามผมนะครับ ว่าผมทำงานแล้วทำได้อย่างที่พิมพ์ซะยืดยาวหรือเปล่า ผมกำลังทำ และผมมีแนวทางของผมแล้ว เลือกแล้ว และเดินแล้ว จากคุณ : tuinui98 - [ 27 ม.ค. 51 03:46:43 ]

ความคิดเห็นที่ 39 การศึกษามาผิดทางน่ะค่ะ ความคิดเรา... ตั้งแต่เรียนประถม มัธยม ไม่มีการปูพื้นไปสู่สิ่งที่ชอบจริงๆ คนไทยเป็นพวก เรียนหลายๆอย่าง (แต่ไม่รู้ลึกสักกะอย่าง) =_='' คนยังนิยมเรียนเพื่ออะไรก็ไม่รู้ก่อน... ลองถามเด็กม.เอกชนทุกวันนี้สิคะ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าอนาคตอยากเป็นอะไร ไม่ได้ดูถูกม.เอกชนนะคะ คนที่เก่งๆ รู้เป้าหมายตัวเองก็มี ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่บอกว่า "ส่วนมาก" น่ะค่ะ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร รู้แต่ถ้าไม่เรียนก็โดนสังคมตราว่า "ไม่จบแม้แต่ปริญญา" จึงต้องเรียนๆไปทั้งที่ยังไม่แน่ใจตัวเอง สุดท้ายก็เอ็นไม่ติดเพราะคณะที่เลือกไว้ มันไม่ได้ชอบจริงๆ ก็เลยไปจบที่ ม.เอกชน อนาคต..ยังไม่รู้ เราคิดว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้อยากเรียนหนัก ไม่อยากสู้กันเพื่อเข้ามหาลัยหรอกค่ะ แต่สังคมต่างหากที่กดดันให้เราต้องเป็นแบบนั้น ทุกวันนี้สมัครงานไม่มีปริญญาใครจะอยากรับ...แล้วใครเล่าที่บอกว่า "ทำไมต้องบ้าเรียน?" ทั้งนี้ ถึงจะมีคนไม่รู้เป้าหมายเยอะ แต่พวกเรียนดี(แต่ยังไม่มีเป้าหมาย) ก็สอบติดเยอะเหมือนกัน พอเด็กเยอะๆเข้าใน 1 ห้องเรียน คุณภาพก็ต่ำลงเรื่อยๆ...นั่นอีกสาเหตุ - อีกประเด็น คือ ผู้ใหญ่บ้านเราไม่ให้การสนับสนุนศิลปะ (ศิลปะในที่นี้รวมด้านภาษา ดนตรีฯลฯ) คือ คนแก่ยังติดค่านิยมอยากเห็นลูกหลานเรียนดีวิชาการเก่งอยู่ลึกๆ (แต่พ่อแม่สมัยใหม่ที่คิดแบบใหม่ก็มีเยอะ ยังดี) - คนที่จะเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดทิศทางการศึกษาไทยก็คัดมาจากเหล่าไดโนเสาร์ใส่สูท หัวโบราณ...ส่วนคนหัวสมัยใหม่อาจไม่สนใจจะเข้าไปในกระทรวงศึกษา หรือเข้าไปได้ก็โดนพวกไดโนเสาร์เบียดจนไม่ได้เกิด =_+'' ปล. ถ้ามีลูกเราอาจจะอยากให้เข้า ร.ร.รุ่งอรุณมั้งคะ น่าจะดีกับตัวเด็ก(มั้ง) จากคุณ : pankee - [ 27 ม.ค. 51 04:36:38 ]

ความคิดเห็นที่ 40 กรศึกษามันห่วย ต่างประเทศเรียนซะครึ่งวัน วันละ 3-4 วิลา ไทย เรียนเกือบทั้งวัน วันละ 14 วิชา ชั่วโมงละ 1 วิชาได้ 14 วิชา ยัดเข้าไปสิ เด็กมันจะรู้เรื่องหรือ ถ้าคณิตศาสตร์เรียนตอนบ่าย ผมมั่นใจว่า 99 % ง่วงนอนกันทั้งนั้น  แล้วงี้จะไปรู้เรื่องเหรอ จากคุณ : foxaon1 - [ 27 ม.ค. 51 05:34:58 ]

ความคิดเห็นที่ 41 #30 เป็นนักศึกษากลุ่มที่ควบคุมการผลิตอัตราการได้งานและศึกษาต่อ 100% ครับ (ถ้าจบปี 4 ออกไปได้นะ) ขณะนี้สองคนในกลุ่มทำงานอยู่การบินไทย เงินเดือน 40,000+ เงินเดือนเฉลี่ย (ไม่นับรวมสองคนนี้) อยู่ที่ 15,000 - 18,000 บาท ในส่วนประโยชน์ต่อประเทศชาตินั้น ลองไปดูในร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ทั้งหลาย ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปทั้งหลายที่ซื้อๆ มากินกัน เป็นผลงาน หนึ่งของพวกเขาครับ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 07:37:16 จากคุณ : Practical x 2 - [ 27 ม.ค. 51 07:36:47 ]

ความคิดเห็นที่ 42 #21 คุณเศียรนาคาคงจะไม่ทราบว่าการสอบแข่งขันโอลิมปิควิชาการ ทาง ชีววิทยา ฟิสิกส์ และเคมีนั้นเขามีสอบปฏิบัติการด้วย ไม่ใช่มีแต่แก้โจทย์ปัญหาในกระดาษเท่านั้น จากคุณ : Practical x 2 - [ 27 ม.ค. 51 07:42:00 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คนไทยมักจะดูถูกความสามารถ และไม่ค่อยเชื่อมือคนไทยด้วยกันนัก งานวิจัยหรืออ้างอิง ส่วนใหญ่ก็มักจะให้เครดิตกับพวกหัวทองมากกว่าพวกหัวดำ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่จำนวน แต่หากเลือกได้ ส่วนใหญ่ก็จะเลือกที่จะไว้ใจฝ่ายหัวทองมากกว่า ปัญหาต่อมาก็เลยกลายเป็นว่า เราต้องคอยไปตามก้นพวกหัวทองอยู่ตลอด การศึกษาต่อยอดในงานวิจัยของคนไทยด้วยกันเองมีอันต้องเป็นหมัน สุดท้ายก็มีอันสูญพันธุ์ไปตามหลักการคัดเลือกตามธรรมชาติ พอจะมีงานของคนไทยที่คิดจะทำอะไรเพื่อคนไทยจริง ๆ ก็มักจะต้องมาเริ่มจากศูนย์กันทุกครั้งไป สูญเสียทั้งงบประมาณ ทั้งเวลาไปมากหลาย แต่ไม่ได้อะไรกลับมาอย่างที่ควรเป็น ในหว้ากอนี่ก็ค่อนข้างจะเห็นภาพ หลายคนมักจะเอนเอียง และให้ความเชื่อถือโดยไม่ได้กลั่นกรองมากนัก หากข้อมูลต่าง ๆ นั้นมาจากพวกหัวทอง อะไรก็ได้เถอะ ขอให้เป็นภาษาอังกฤษ หรือคนศึกษาไม่ใช่พวกหัวดำ หลายคนภูมิใจ และเชื่อมั่นในความ "เหนือกว่า" ของตัวเอง ที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสกับการสอนในระบบของต่างชาติ กลับมาก็ได้แต่ยกหางโอ้อวดเพื่อนคนไทย คอยแต่จะดูถูกคนไทยด้วยกันเอง จริง ๆ คนที่ไม่เข้ากรณีนี้มันก็มี แต่มันก็น้อย... และจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าการไปเรียนนอก เป็นเรื่องปกติจนไม่รู้จะอวดใคร เหมือนสมัยก่อนจบ ป.ตรี ก็ว่าหรูกันแล้ว แต่สมัยนี้แทบจะโม้กะใครไม่ได้ ต้องเป็น ป.โท และอีกหน่อยพอ ป.โท เต็มบ้านเต็มเมือง ประเทศไทยคงเป็นชาติที่มี Master และ Ph.D. เยอะติดอันดับโลก กล่าวโดยย่นย่อก็คือ คนไทยไม่ไว้ใจกัน และเห็นฝรั่งเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ ๆ เท่าที่ได้สอบถามพูดคุยกะบรรดาฝรั่งที่เคยมาเที่ยวเมืองไทยหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่นักวิจัยระดับชาติของอเมริกา พนักงานรักษาความปลอดภัยในธนาคารไปจนถึงคนขับรถเมล์ ร้อยทั้งร้อยชอบเมืองไทย และอยากมาเมืองไทยอีกถ้าทุกอย่างเอื้ออำนวย ใครจะไม่ชอบกันล่ะ อยู่บ้านเค้าเมืองเค้าเป็น รปภ. ขี้เบื่อ หรือพนักงานขับรถเมล์ขี้เมื่อย แต่อยู่เมืองไทยกลับกลายเป็นพระเจ้า... จากคุณ : Lanoz - [ 27 ม.ค. 51 09:04:32 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ถึงคห.31 ความไม่พัฒนา กับพัฒนา เดี๋ยวนี้มันยากครับที่จะเลือกแบบได้เอง ที่จริงมันเป็นแบบนี้มานานแล้วครับ ในโลกเหมือนกำลังวิ่งแข่งกันอยู่ มีเส้นชัยเป็นการพัฒนาอย่างตะวันตก และเมื่อลงแข่งแล้วเราไม่อาจออกจากลู่วิ่งได้ โลกาภิวัฒน์ทำให้เป็นเช่นนั้น เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด ลองจินตนาการเล่นๆดูถ้าหากเราพอใจกับสปีดของเราจริงๆ แต่เห็นชาติอื่น มีเทคโนโลยีล้ำหน้าทำให้มนุษย์บินได้ หรือทำให้คนเป็นเหมือนเทพขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการแพทย์ อาหาร ข่าวสาร อาวุธอีกล่ะ ไหนเครื่องจักรต่างๆ และความบันเทิงสุดขั้วที่บางทีเราอาจพูดว่า”แค่ได้เกิดมาเห็นก็คุ้มแล้ว” แล้วเราเป็นชาติที่หยุดนิ่งและมองดู มันจะเป็นไปได้หรือที่เราจะทำเช่นนั้น ไม่ว่าจะด้วยกิเลสหรือความอยากได้ใคร่ดีของมนุษย์ ยังไงสักวันนึง สักจุดนึง เราก็ต้องอยากพัฒนาตามประเทศประเทศเหล่านั้นอยู่ดี เมื่อความต่างทำให้เราเห็นชีวิตที่สุขสบายเหนือกว่า และความจริงก็คือมันเป็นแบบนี้มาเป็นร้อยๆปีแล้วครับ ตั้งแต่สมัยที่เราเห็นเรือกลไฟของฝรั่ง เราจึงรู้ด้วยตัวเองว่าเราไม่พัฒนา นิยามความไม่พัมนาก็คือ การที่เราอยู่ไม่สุข และเห็นสิ่งที่เราคิดว่าจะทำให้สุขได้ โดยที่เราคิดว่าจำเป็นต้องวิ่งเต้นเพื่อให้ได้มันมา ความสุขจากใจ สัมพันธ์ กับความสะดวกกาย เชื่อมโยงกับกิเลสของมนุษย์เอง โลกทุกวันนี้เชื่อมต่อกันหมด พลังของโลกยุคใหม่ผลักดันเรา เมื่อเรารู้รสชาติของโลกที่สบายกว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะอยากเชื่องช้า ถึงเราจะพยายามอดทน แต่สักวันมันจะชนะเรา และเราจะเจ็บใจว่า ทำไมเราไม่เอาอย่างเขามานาน โลกมีผู้เข็มแข็ง และผู้อ่อนแอ มันยากที่จะทำให้เราทั้งหมดเสมอกัน และที่เป็นอยู่วันนี้ คือการต่อสู้ที่ลำบากจริง แต่จำเป็นต้องสู้ เพราะคนเรามีกิเลส พลังของการพัฒนาแบบฝรั่งคือกิเลสที่จะชนะเราทุกคน เว้นแต่จะมีความเชื่อใหม่ที่ทรงพลังจริงๆ หรือ ศาสนาใหม่ที่ทำให้เราสุขได้จากปัญญา จากคุณ : LAST VODKA - [ 27 ม.ค. 51 09:43:19 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เห็นว่าคนในนี้หลายคน  พูดถึงการศึกษาของนอก ว่าดีกว่าไทย ไม่รู้ว่า  คนที่พูดนั้น  มีกี่คนที่เคยไปเห็น  ไปสัมผัสมาแล้ว ฉะนั้น  สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประเทศย่ำต๊อกๆ คือ  คนพูดเก่ง  แต่ทำไม่ได้เรื่อง และขี้โม้ จากคุณ : นางสเตนเลส - [ 27 ม.ค. 51 11:01:56 ]

ความคิดเห็นที่ 46 Hmm หลายประเด็นเหลือเกิน ผมมองว่าการที่จะตัดสินว่า พัฒนาแล้วหรือไม่พัฒนา อยู่ที่ "คนในสังคมนั้น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมและผลประโยชน์ในระยะยาว มากกว่าประโยชน์ส่วนตนหรือผลประโยชน์แค่ระยะสั้นๆ" ถ้าทำได้ที่เหลือก็จะตามมาครับ ไม่ว่าประเทศจะเน้นออกไปทางไหน ความคิดเห็นที่ 21 เห็นด้วยส่วนหนึ่งครับว่าสังคม ไม่มองอะไรมาก มองแค่ใบปริญญา เพราะมันมองง่าย สำเร็จรูป แต่ไม่เห็นด้วยเรื่องโอลิมปิควิชาการครับ การแข่งมีการทำLabด้วย และการที่จะเข้าใจในปัญหาที่ให้มาและทำlab ได้ ไม่ได้แค่มาติวๆแล้วได้ครับ ตัวเด็กเองที่สามารถไปอยู่จุดๆนั้นได้ ต้องมาพื้นมาก่อนครับ และการที่มีพื้นฐานที่ดีนั้น เมื่อเจอปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนจะสามารถหาแนวทางได้ดี (การค้นหาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันครับ เมื่อเจอปัญหาก็ต้องกลับไปหา องค์ความรู้พื้นฐาน) นักธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จดีเลิศท่านหนึ่งได้พูดไว้ว่า "โรมไม่ได้สร้างในวันเดียว และผมก็ไม่ได้เกิดเมื่อวาน" แปลว่าที่เขาประสบผลสำเร็จได้นั้น เพราะเขามีประสบการณ์ ผ่านการเรียนการทำงานมานาน ไม่ได้อยู่ๆก็เปรี้ยงสำเร็จได้เลย (ซึ่งเป็นการมองคนละแบบกับสังคมไทย ที่ชอบสำเร็จรูปและขอให้ได้ผลไวๆ) จากคุณ : KL - [ 27 ม.ค. 51 11:06:15 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอแย้ง อาจารย์ Practical x 2 ในความคิดเห็นที่ 26 หน่อย จริงๆก็ไม่ได้ ไม่เห็นด้วยหรอกครับ แต่ผมมองว่า นี้คือระดับปริญญาตรีแล้ว (ปริญญาตรีปี 1 มิใช่มัธยม 7) สิ่งหนึ่งที่นักศึกษาควรที่จะฝีกฝนก็คือ การวางแผนและจัดระดับความสำคัญ ซึ่งส่วนนี้ก็แล้วแต่อาจารย์แต่ละท่านจะจัดการมากกว่าครับ อย่างอาจารย์Practical x 2 ก็จะจับมือสอนเลย แต่บางท่าน ถือว่าในระดับนี้แล้ว ตัวนักศึกษาเองควรเป็นหลักมากกว่าอาจารย์ (อาจารย์คุมอยู่ห่างๆ มากกว่า เหมือนถ้าเราอุ้มเด็กอยู่ตลอด เขาก็เดินไม่เป็น) ผมมีความรู้สึกว่านักศึกษาส่วนหนึ่ง(และส่วนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) ค่อนข้างที่จะ รอป้อนเอามากๆ ตนเองเดือดร้อน เช่นเรียนไม่รู้เรื่อง เวลาไม่มี เงินไม่พอ แทนที่จะดิ้นรนแก้ปัญหา กลับนั่งคอยให้อาจารย์หรือเพื่อนๆ มาแก้ปัญหาให้ ซึ่งจริงๆแล้วควรที่จะยึดถิอว่า "ถ้าคุณเดือดร้อนแล้วไม่ดิ้นรน แล้วใครจะมาดิ้นรนแทนคุณ" เรื่องการเรียนหนักนั้น ผมว่าเป็นที่การมองมากกว่าครับ อย่างแถวๆนี้หลักสูตรปรับลดทั้งจำนวนหน่วยกิต และเนื้อหาวิชาลงมา รวมทั้งงานที่สั่งของแต่ละวิชาก็ลดลงด้วย แถมยังกลุ่มที่ทำงานยังใหญ่ขึ้นอีก นอกจากนี้แล้วเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆมีมากขึ้น แต่นักศึกษายังบ่นว่าไม่มีเวลา ทั้งๆที่รุ่นพี่ๆนั้นเรียนเยอะกว่า เนื้อหาหนักกว่า แถมเวลาทำงานยังยากกว่า (ไม่มีcom ไม่มีnet จะหาpaper ยังต้องใช้citation Index [ใครยังรู้จักบ้าง?]) แต่รุ่นพี่ๆนั้น เวลาว่างเต็มไปหมด บางคนก็ไปลงวิชาอื่นๆที่สนใจเพิ่ม บางคนทำกิจกรรมส่วนตัว (แต่งเพลงขาย) มันก็น่าสงสัยว่าปัจจุบันนักศึกษาเอาเวลาไปทำอะไรหมด ? เคยลอบสอบๆถามๆ อาจจะไม่ทุกกรณี แต่ส่วนใหญ่ที่ถามมา หมดไปกับ คุย ทั้งโทรศัพท์ ร้านน้ำชา และinternet อีกพวกหนึ่งคือทำงานไม่เป็น เวลาเลยดูเหมือนจะไม่พอ เวลากับเงินจะคล้ายๆกัน ถ้าวางแผนไม่ได้ มีเท่าไหรก็ไม่พอ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 11:52:26 แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 11:24:13 จากคุณ : KL - [ 27 ม.ค. 51 11:19:48 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ไหนๆก็พูดถึงการศึกษาแล้ว เห็นหลายคนบ่นเรียนไปทำไม ไม่ได้ใช้ นี้ก็เป็นการมองระยะสั้นครับ เพราะคล้ายๆจะบอกว่า"ผมจะรู้หรืออยากรู้แค่เรื่องที่ผมจะทำเท่านั้น" อีกประการหนึ่งวิชาที่เรียนนั้น ส่วนหนึ่งเราไม่ได้เรียนไปใช้โดยตรงครับ แต่มันจะเข้าไปแฝงในกระบวนการคิดต่างๆของเรา มีคำพูดที่ว่า "ถ้าคุณหยุดอยู่กับที่ นั้นเท่ากับคุณถอยหลังแล้ว" ดังนั้นถ้าวันๆเราไม่ได้คิดที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า โอกาสที่เราจะโดน select out ก็จะเพิ่ม แล้วเราจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร ถ้าเรารู้แค่สิ่งที่เราทำ จากคุณ : KL - [ 27 ม.ค. 51 11:38:12 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ยกชุดโซฟามานั่งรออ่านค่ะ มีกาแฟร้อนหอมกรุ่นด้วย จากคุณ : เสียงจากบ้านนา - [ 27 ม.ค. 51 12:48:11 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ผมลองมาแล้่วทั้งสองแบบ คุมนศแบบแรกควบคุมแบบใกล้ชิดหน่อย ผลออกมาดี แบบที่ีสองปล่อยมากหน่อย ผลออกมาแย่ อาจจะตอบยากเพราะนศ.สองกลุ่มอาจมีความสามารถไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่จะเห็นได้ชัดก็คือ นศ.กลุ่มแรกนั้นจะได้เรียนรู้วิธีการทำงานอย่างเป็นระบบ ส่วนกลุ่มหลังนั่น แย่ คือไม่รู้อะไรก็ไม่ค่อยเข้ามาถาม แล้วก็ทำผิดๆไป บอกให้ทำอะไรก็ไปทำ แต่ไม่เคยเขียนแผนมาให้ดูว่าเข้าใจตรงกันหรือเปล่า ปรากฏว่าเข้าใจไม่ตรงกัน ทำผิดอีก บอกว่าเดี๋ยวพุธนี้บ่ายโมงให้มาคุยกัน ถึงเวลาก็ไม่มา (ถ้าไม่ตาม) สงสัยต้องบอกว่าถ้าไม่มาก็ไม่ต้องมาอีกเลย ให้ไปทำเรื่องเปลี่ยนอ.ที่ปรึกษาได้เลยถึงจะยอมมากัน มีปัญหาก็ไม่ยอมมาปรึกษา ทิ้งให้งานมันนิ่งอยู่อย่างนั้น หรือบางครั้งมาปรึกษาแต่พอได้คำแนะนำไปก็ดันไม่ทำซะนี่ ปล่อยให้งานค้างอยู่เหมือนเดิม บอกว่าทำ HPLC แล้วให้ analyse ทุก parameter (ผมบอกด้วยว่าอะไรบ้าง) พอทำเสร็จถามถึง parameter อืนๆนอกจากตัวหลักที่วัด ดันบอกว่ายังไม่ได้ analyse ok งั้นรีบไป analyse มา ก็ตอบว่า analyse ไม่ได้ครับเพราะไม่ได้ทำ standard ไว้ เวรกรรม ปีต่อไปควรจะคุมนศ.แบบไหนดี จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 27 ม.ค. 51 13:09:09 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เห็นด้วยกับ คห 50 เนื่องจากว่านักศึกษามีความหลากหลายทางพื้นฐานความรู้และความคิด อาจารย์จึงต้องใช้กลยุทธที่แตกต่างกันตามรายบุคคล สิ่งนี้ทำให้ภาระงานของอาจารย์เพิ่มขึ้นมากเลยครับ เห็นใจ แต่ก็เป็นสิ่งดีที่อาจารย์ได้ทุ่มเทให้กับนักศึกษา ถ้านักศึกษาสามารถรับผิดชอบตัวเองได้มากขึ้น อาจารย์ก็จะมีเวลาไปทำประโยชน์ด้านอื่นได้มากขึ้น ปัจจุบันมั้นคล้ายกับ ดึง เข็น ผลัก อุ้ม นานๆเข้า คนทำก็หมดแรง ถ้าต่างคนต่างช่วยกันผลัก มันก็จะไปได้เร็วขึ้น และสนุกขึ้นครับ จากคุณ : Onunu (tripplebond) - [ 27 ม.ค. 51 13:28:49 ]

ความคิดเห็นที่ 52 การคุมนักศึกษาแบบปล่อยผมเคยทำตอนกลับมาใหม่ๆ ครับ ผลออกมา ไม่ดีเลย นศ. ไม่มาปรึกษา ทำไปเรื่อย ทั้งๆ ที่ไม่ถูก ข้อมูลที่ได้ไม่มี control กลายเป็นข้อมูลขยะไปเลย หาประโยชน์อันใดไม่ได้ ที่ลงแรง ตรวจรูปเล่มไป ก็ได้แค่รูปเล่มเท่านั้นเอาไปนำเสนอที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะ ไม่ได้ทำอย่างเป็นระบบ แถมต้องมานั่งแก้ที่ทำผิดสะสมกันเป็นเดือนๆ จึงเปลี่ยนรูปแบบการควบคุมเป็นลักษณะดังที่ระบุใน คคห 26 ครับ ซึ่งได้ ผลดี คณะมีกำหนดให้ส่งบทคัดย่อ โปสเตอร์ ก็ทำได้ตามกำหนด มีเวลา ดู powerpoint ที่นักศึกษาจะไปนำเสนอ oral presentation ให้คำแนะนำ แก้ไขได้ (อย่างในวันนี้ก็นัดนักศึกษามาทำครับ จะ present พรุ่งนี้) ถ้าเป็น ปีก่อนๆ ไม่มีทางเลยครับ เพราะพวกเขาจะเอามาส่งให้ไม่กี่วันก่อนนำเสนอ และต้องแก้ไขเยอะมาก จนไปดู powerpoint ให้ไม่ทัน ปีก่อนนำเสนอและ พิมพ์แบบผิดๆ ถูกๆ เห็นแล้วเซ็งไปเลย เพราะเป็นนักศึกษาในความดูแลของ เรา ปีนี้จึงต้องเปลี่ยนระบบใหม่หมดครับ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 13:42:51 จากคุณ : Practical x 2 - [ 27 ม.ค. 51 13:41:16 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ส่วนใหญ่ก็มักจะให้เครดิตกับพวกหัวทองมากกว่าพวกหัวดำ ^ ^ ^ เห็นแล้วนึกถึงความเห็นของคุณเศียรนาคาขึ้นมาทันทีทันใด ส่วนตัวคิดว่าเรียนเยอะๆดีออก กว่าคนเราจะรู้ว่าชอบอะไรจริงๆไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆทุกคนนะ ได้เรียนเยอะก็จะเลือกได้ว่า จริงๆแล้วเราอยากเดินต่อไปทางไหน สำหรับเจ้าของกระทู้ที่ยกมาว่า (เอ...เราสรุปถูกรึเปล่านะ อ่านหลายความเห็น เริ่มมึน) นักศึกษาไร้คุณภาพ โถ....คุณคะ นักศึกษาไม่ใช่โดเรมอนนะคะ ที่อยากได้อะไรก็ล้วงออกมาได้จากตัวเอง อยากพัฒนาประเทศชาติก็ล้วงออกมาจากกระเป๋า นี่ไง...ตรูทำให้ประเทศพัฒนาได้แล้ว ขำไปนิดมั้ยคะ ตัวแปรมันเยอะค่ะ ไม่ใช่แค่การศึกษา แต่เป็นสังคม ค่านิยม นิสัยพื้นฐานและอื่นๆด้วย ซึ่งก็อย่างที่คุณเจ้าของกระทู้ว่า มันแก้ไม่ได้ง่ายๆ อยากแก้ ก็แก้เองไม่ได้ แล้วพวกนิยมฝรั่งนั่น.... คิดว่าฝรั่งมีใจพัฒนาประเทศกันทุกคนเหรอคะ จบไฮสคูลแล้วร่อนไปร่อนมาเป็นฝรั่งขี้นกอยู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนี่ย โคตรอยากพัฒนาประเทศเลยล่ะ เราว่าที่พัฒนากันได้มากๆเพราะมูลค่าต่อการลงทุนมันสูง (ผลประโยชน์ทางธุรกิจและการทหาร) รัฐและเอกชนเลยเต็มใจควักตังสนับสนันงานระดับสูง/ระดับที่ใช้ได้จริง คนไทยอาจขาดตรงนี้อยู่ แต่คุณจะบอกว่าคนไทยแมร่งห่วย(พวมผมทำแล็บ...บลา บลา บลา) ไม่ถูกค่ะ ยืนยันสุดใจขาดดิ้น ปล. ไม่ได้อยากหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้อยากนั่งวัดดัชนีความสุข แค่รู้สึกว่าข้างหลังเส้นชัยการพัฒนาที่ตะวันตกปักธงไว้ อาจเป็นหายนะ จากคุณ : PADAPA--DOO - [ 27 ม.ค. 51 13:41:51 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 27 ม.ค. 51 14:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ดูเหมือนว่าประเด็นจะถูกเบี่ยงไป ขอชี้แจงเพิ่มเติม ผมมาตั้งกระทู้นี้เพราะมีนักศึกษาวิศวะ ม. รัฐชื่อดัง เรียนได้เกรด 2.3 แล้วมาเที่ยวโพสท์ว่า เรียนวิศวะไม่เห็นยากเลย สอบเข้าก็ไม่ยาก เรียนๆเล่นๆ ก็สอบได้ (ด้วยเกรด 2.3) แถมยังชวนให้คนอื่นแห่กันมาเรียนๆเล่นๆอีก ด้วยทัศนคติที่ว่าเรียนไปเรื่อยๆสอบผ่านก็โอเค เดี๋ยวก็ได้ทำงานแล้ว แถมยังมีหลายความเห็นที่ตอบในกระทู้นั้นก็เข้าทำนองเดียวกัน ผมเกรงว่าถ้าทัศนคติเด็กเป็นแบบนี้ เราคงมีวิศวะกรที่ไม่มีคุณภาพออกมาในตลาด เลยอยากให้น้องๆเข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทยบ้างว่าเราไม่ได้ต้องการคนจบวิศวะ (สอบผ่าน) แต่เราต้องการ "วิศวะกร" ดีๆ และบุคลากรดีๆ ในทุกๆด้านมาช่วยกันผลักสังคมของเรา ปล. ตั้งแต่ผมพิมพ์มายังไม่ได้มีข้อความไหนเลยที่บอกว่าให้เราพัฒนาตามอย่างตะวันตก และผมไม่ได้คิดว่านักศึกษาเป็นโดราเอมอน จะเสกให้พัฒนาได้เลย แต่อยากให้มีวิศวะกรดีดี ที่มาพัฒนาเทคโนโลยีของเราเอง ให้เหมาะสมกับประเทศของเรา แบบที่อาจารย์ practical x2 ทำอยู่ (ด้วยความนับถือ) แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 14:12:29 จากคุณ : tripplebond (tripplebond) - [ 27 ม.ค. 51 14:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เข้ามาขำ  นึกถึงวิชาอนาคตประวัติศาสตร์ขึ้นมาทันควัน! จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 27 ม.ค. 51 14:10:48 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อยากให้สังคมเป็นแบบไหน เราคงต้องช่วยๆกันทำ เรื่องบางเรื่อง ไม่สามารถเปลี่ยนได้ด้วยคนๆเดียว และที่สำคัญคือ คงไม่เปลี่ยนไป ได้ในวันๆเดียว เราคงต้องช่วยๆกันคิด ช่วยๆกันทำวันนี้ พรุ่งนี้ แต่ว่า อาจจะใช้เวลา เป็นสิบปี ยี่สิบปีก็ได้ ที่สำคัญอย่าถ้อถอย คิดว่ามันล่วงมาแล้วแก้ไขไม่ได้ อย่าอคติกับคนที่คิดต่างกับเรา แล้วสรุปว่าไม่ต้องการความร่วม เหมือนเรื่องการเมืองช่วงนี้ ลองไปอ่านหนังสือของท่าน พระพรหมคุณาภรณ์ดู...                         /. จากคุณ : จูฮุ้กกรู (kiox) - [ 27 ม.ค. 51 14:38:48 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เห็นด้วยว่า ปริญญาตรีเดี๋ยวนี้คุณภาพต่ำลง จากประสบการณ์ตรงของผู้ที่เรียนปริญญาตรีอยู่ คิดถึงสถาบันตัวเองแล้วกลุ้มแทน จากคุณ : ชื่อนี้ไม่มีคนรู้จัก - [ 27 ม.ค. 51 16:16:37 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เข้ามาอ่าน จากคุณ : หนุ่มบ้านไกล (หนุ่มบ้านไกล) - [ 27 ม.ค. 51 18:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เราเป็นนักศึกษารุ่นแรกของ O-net A-net ค่ะ และเราก็เป็นคนนึงที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร จนก่อนหน้าสอบเอนท์เดือนนึงได้ ที่ต้องคิดเพราะมันต้องเลือกคณะ เลือกมหาวิทยาลัย แต่พอรู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร ผู้ใหญ่ก็ค้านค่ะ เพราะในสายตาผู้ใหญ่ สายที่เราเลือกมักไม่มั่นคงหรือหางานยาก ไม่เหมือนกับข้าราชการ ทนาย แพทย์ เราว่ามันเป็นที่ค่านิยมด้วย เพราะเราเองก็เรียนเพื่อวุฒิปริญญา ที่บ้านก็เล่าว่า เมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว จบปริญญาโท นี่เหมือนพระเจ้า ใครก็อยากได้ไปทำงานด้วย เดี๋ยวนี้...โท ไม่พอแล้ว คนถึงต้องขวนขยายปริญญามากขึ้นยังไงล่ะคะ จะเอาไปเทียบกับฝรั่งก็ไม่ถูกนักเท่าไหร่หรอก ตราบใดที่เราไม่คิดจะปรับปรุงกันเองเสียก่อน ไม่เห็นด้วยนะคะที่ว่าให้ทดสอบ IQ ของเด็กก่อนเข้าเรียน และถ้าไม่ถึงเกณฑ์ก็ไม่ให้เข้า การที่เขาไม่ถนัดเรื่องเรียน เรื่องวิชาการ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ถนัดเรื่องอื่นนี่คะ ทุกคนมีสิทธิได้รับการศึกษาเท่าเทียมกัน แต่ที่เหลือมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเด็กเองว่าจะรับสิ่งเหล่านี้ไว้กับตัวมั้ยเท่านั้นเอง แล้วเราก็ไม่เคยคิดนะคะว่า เรียนปริญญาตรีน่ะง่าย เพราะที่เรียนอยู่เกรด 2 ขึ้นไม่มีความหมายค่ะ ถ้าคุณไม่เข้าใจสิ่งที่คุณเรียนจริงๆ ถึงคุณจะเก็บ A ได้มากกี่ตัวก็ตาม แต่ถ้าคุณทำข้อสอบไม่ผ่านเพียงหัวข้อเดียว คุณเรียนเพิ่มอีกปีเลยค่ะ ส่วนเรื่องระบบการศึกษานี่ก็อยากขอบ่นเหมือนกันค่ะ เพราะมีผู้ใหญ่อยู่กลุ่มนึงคิดว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ดีกับเด็ก ทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสเอง อยากให้คนที่จะทำงานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ปรับปรุงหน่อยนะคะ ช่วยเลือกคนที่เจ้าใจในวิธีการศึกษาของเด็กจริงๆหน่อยเถอะ พอซะทีกับ ควาย เซนเตอร์ ถ้าอ่านแล้วงงก็ขอโทษด้วยค่ะ เพราะงงเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 18:49:40 จากคุณ : ด๋อยด๋อย - [ 27 ม.ค. 51 18:40:59 ]

ความคิดเห็นที่ 61 หนูรุ่นน้องพี่ด๋อยด๋อยพี่ 2 ปี เห็นด้วยทุกประการคะ จากคุณ : ว๔นหนงนโ (นภาอากาศ) - [ 27 ม.ค. 51 19:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนจบวิศวกรรมศาสตร์ครับ ตอนนี้เรียนต่อ ป.โท อยู่ครับ คือตัวผมเองก็คิดมาตลอดเลยนะเรื่องความเจริญของประเทศ การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมอะไรต่างๆ ผมอยากบอกว่าทุกๆอย่าง(ที่ประเทศไม่พัฒนา)ไม่ได้ขึ้นกับความสามารถของ นศ.ที่ตำ่ลงเลยนะครับ อันนี้ขอยืนยันครับ จากคุณ : arses - [ 27 ม.ค. 51 20:31:49 ]

ความคิดเห็นที่ 63 สาเหตุการไม่พัฒนา เอาจริง ๆ พอสาวปัญหาไปถึงหัวเง้าแล้ว มันหลีกเลี่ยงเรื่องการเมืองไปไม่ได้หรอกครับ แต่เอาล่ะ คงไม่อยากพูดถึงเรื่องการเมือง ก็ข้ามไป กระทู้ที่มาโดนลบไปแล้ว แต่ประมาณว่า เป็นเพราะคนสมัยนี้ ไม่เอาจริงเอาจังกะชีวิตใช่มั้ย สรุปว่า เป็นเ้รื่องของทัศนคติในการดำเนินชีวิตในสังคมสินะ ผมก็ไม่มีความเห็นอะไรเรื่องนี้น่ะครับ เพราะจริง ๆ แล้่วมันเกี่ยวกับการเมืองในประเทศเราน่ะครับ พูดเรื่องการเมืองไม่ได้จึุงไม่มีความเห็นน่ะครับ จากคุณ : ก๊อก4 - [ 27 ม.ค. 51 20:46:04 A:118.173.202.207 X: TicketID:166612 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เพราะข้อสอบปัญญาอ่อนที่พวกเราเคยสอบสมัยประถม เรื่อยมาจนถึงมัธยม ข้อสอบแบบไทยๆที่เป็นอยู่คือ ตัวถ่วงความเจริญของชาติ การศึกษาของไทยไม่ได้สอนให้เด็กคิด สอนแต่ให้เด็กจำ ผมถามว่าในห้องหว้ากอมีกี่คนที่จำชื่อสัตว์สงวนได้ครบทุกชนิด นี่เป็นข้อสอบสมัยประถม ตอนพวกคุณอยู่ประถม คุณต้องท่องจำไปสอบ ...นี่คือตัวอย่างที่ว่าการศึกษาไทยสอนให้เด็กจำ จำ จำ จำไปแล้วก็ลืมสุดท้ายไม่ได้อะไรขึ้นมา ดังนั้นผมจะขอยกตัวอย่างข้อสอบที่สอนให้เด็กคิด คิด และคิด ...จากเรื่องสัตว์สงวนที่นักเรียนเรียนมา (โจทย์ให้รายชื่อสัตว์สงวนแต่ละชนิด) ให้นักเรียนตอบว่า เห็นด้วยรึไม่ที่สัตว์ชนิดดังกล่าวถูกจัดเป็นสัตว์สงวน พร้อมบอกเหตุผลประกอบคำตอบ และให้นักเรียนตอบว่ามีสัตว์ชนิดใดอีกที่ควรถูกจัดเป็นสัตว์สงวน พร้อมบอกเหตุผลประกอบคำตอบ และถ้านักเรียนคิดว่าไม่มีสัตว์ชนิดใดอีกแล้วที่ควรจัดเป็นสัตว์สงวน ให้บอกเหตุผลด้วย ข้อสอบแบบนี้ต่างหากที่จะทำให้เด็กฝึกคิด และฝึกใช้วิจารณาณในการอ่าน ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วเชื่อทุกอย่าง หนังสือไม่มีวันผิด ตราบใดที่การศึกษาไทยยังคงให้ความสำคัญกับการท่องจำมากกว่าการคิด ตราบนั้นประเทศไทยก็จะมีแต่พวกนักวิชาการที่เก่งแต่ท่องหนังสือ การออกข้อสอบเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เราควรปลูกฝังให้เด็กฝึกคิดตั้งแต่ตัวน้อยๆ จากคุณ : หมวย เรเควี่ยม - [ 27 ม.ค. 51 21:23:41 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอตอบความเห็นที่ 55 ค่ะ อ่านไว้ตอนบ่ายๆ พิมพ์ไปตั้งเยอะแต่มันไม่ขึ้น แย่จัง จำที่เขียนไม่ค่อยได้ละด้วย เอาที่จำได้ก็ละกัน -"- ไม่ได้บอกว่าเจ้าของกระทู้เป็นพวกนิยมฝรั่งนะคะ คิดว่าแยกไว้ชัดเจนแล้ว ว่าหมายถึงอีกท่านหนึ่ง แต่ถ้าเกี่ยวกับปล.ของเราล่ะก็ การพัฒนาในความเห็นคุณเจ้าของกระทู้ก็เป็นการพัฒนาตามตะวันตกอยู่ดีค่ะ เพราะเทรนด์โลกตอนนี้ ทางนู้นกำหนดค่ะ -"- เออ....จำไม่ได้จริงๆแฮะ เอาแค่นี้ละกัน -"- อ๊ะ...เติมนิดนึงดีกว่า เป็นความคิดปัจจุบัน ส่วนตัวไม่ค่อยชอบคำว่า ...เพื่อมาพัฒนาประเทศ รู้สึกมันไกลยังไงไม่รู้ กว้างเกิน ใครจะไปพัฒนาได้ฟะ เราคิดว่าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ค่อยๆเดินไปอย่างมั่นคงอาจจะดีกว่า แล้วค่อยให้สิ่งที่ทำส่งผลต่อส่วนรวม ไม่ต้องสนใจว่าล้าหลังใครกี่สิบปี ต้องเร่งขนาดไหน ก็เพราะอยากเร่งรึเปล่า ถึงเละเทะแบบนี้ -"- โอ...อุดมคติโคตร ไปดีก่า สู้ต่อไปก๊าบทุกท่านก๊าบ จากคุณ : PADAPA--DOO - [ 27 ม.ค. 51 22:34:36 ]

ความคิดเห็นที่ 66 อืมม์ . . และแล้ว ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ทุกคนเข้ามาบ่นๆๆๆๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้ ว่าควรจะทำอย่างไรดี - -" จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 28 ม.ค. 51 04:08:35 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เราพอใจ แระภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย อยุ่ในประเทศไทย... ไม่แคร์เรยว่า ประเทศไทยจะพัฒนาไหม?? ด้อยพัฒนาไหม??... ทุกวันนี้ ทำให้ดีที่สุดพอ ทำตัวเราให้มีความสุข แระไม่เดือดร้อนใคร... . . . เด๋วนี้ คนมีความรุ้ มีมุมมองใหม่ๆ เยอะจัง *-* ชื่นชม จากคุณ : kwangMJ - [ 28 ม.ค. 51 04:18:35 A:58.9.119.90 X: TicketID:166151 ]

ความคิดเห็นที่ 68 Q. คนที่มีเงิน 80000 กับคนที่มีเงิน 9000 ใครมีความสุขมากกว่้ากัน? A. ไม่มีใครสามารถตอบได้ เพราะมันมีปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง Q. แต่ถามว่าถ้าไม่คำนึงปัจจัยอื่นๆเลยคนส่วนมากจะเลือกแบบไหน 80000 หรือ 9000? เงิน ซื้อความสุขไมได้ แต่เงินซื้อโอกาสได้ และผมต้องการโอกาสให้ผม ให้ลูก-หลาน-เหลน-โหลน ของผม มันจะใช้ดีหรือไม่ดีก็เรื่องของมัน ดูง่ายๆ ตอนนี้ถ้าคนไทยอยากเป็นนักบินอวกาศทำอย่างไร? ไปสมัครเป็น US Citizen ตอนนี้ถ้าคนไทยอยากสร้างกล้อง Digital ทำอย่างไร? ไปทำงานที่จีน http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_GDP_(PPP)_per_capita จากคุณ : Nexus - [ 28 ม.ค. 51 08:57:50 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ศึกษา-ทำงานเอาหน้าแต่ตัวเอง ไม่รู้จักแก่นแท้ของการทำงานเพื่อส่วนรวม ฝูงนายเฒ่าข้างเขาดินป็นตัวอย่างที่...แก่เด็ก จากคุณ : KHEMPEE - [ 28 ม.ค. 51 09:40:05 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ระบบศักดินานี่แหล่ะตัวทำลายความก้าวหน้า เรียนสูงกว่าคนอื่นหน่อย ก็ยกตัว ถือตัว ไม่คิดว่าจะต้องพัฒนาอะไรอีกต่อไปเพราะอยู่เหนือคนอื่นแล้ว อีโก้สูง จะทำงานที่ไม่ใช่ตัวฉัน ไม่ได้ มันก็มีผลต่อเนื่อง คิดอะไรไม่เป็นระบบ สร้างงานไม่ได้ (เหมือนคุณเศียรนาคาพูดไว้ข้างบนนั่นแหล่ะ) เพราะมีแต่คนป้อนมาให้ตลอด ไม่คิดจะยืนหยัดได้ด้วยตนเองหรอก พวกที่นึกว่าตัวเองหลุดกรอบแล้ว จริงๆ ก็ยังติดกับดัก อีโก้ตัวเองอยู่ แต่ไม่รู้ตัวหรอก อยู่ไปนานๆ ไฟเริ่มจะมอด สุดท้ายความอยากทะยานในตัวพุ่งปรี๊ด เพราะศักยภาพที่มีอยู่ไม่ได้ใช้ ทนไม่ไหว ต้องออกจากระบบบริษัท ที่คิดว่าเป็นกรงขังตัวเอง ออกมาทำเอง แต่เพราะขาดความคิดที่เป็นระบบ ทำให้ธุรกิจ หรืองานที่คิดว่าจะขยายได้ใหญ่โต ต้องพังพาบ และถ้าไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมา ก็ต้องล้มเลิกความคิดไปแล้ว เพราะหมดทุน ทั้งที่ดินเงินทอง หรือ ตัวเค้าเอง หมดแรง จริงๆ ก็ยังมีอีกหลายปัจจัย เช่นการขาดการรวมกลุ่มกันของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก การขาดการสนับสนุนเทคโนโลยีจากภาครัฐอย่างทั่วถึง การขาดองค์ความรู้ที่เป็นระบบ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กมันโตไม่ได้ เป็นวงจรอุบาทว์ที่พบเห็นได้ทั่วไป มันถึงไม่เจริญสักทีหล่ะ (ธุรกิจที่เติบโตได้ มันก็มีแต่มันน้อยมากๆ ครับ) จากคุณ : กะต่อ - [ 28 ม.ค. 51 11:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ไม่รู้ทำไม ประเทศเขตอบอุ่น ติดทะเล  มักจะพัฒนา   มากกว่าประเทศเขตร้อน จากคุณ : tenno - [ 28 ม.ค. 51 12:35:51 ]

ความคิดเห็นที่ 72 - โทษระบบศักดินา  ดูแล้วง่าย ผิวเผินและ เหมือนจะอิงกระแสการเมืองในปัจจุบันไปหน่อย ต้องถามว่า ตอนญี่ปุ่นยิ่งใหญ่ในเอเซีย ช่วงสงครามโลกนั่น เค้าไม่ได้เป็นระบบศักดินา เหรอ   ผมว่าช่วงนั้นญี่ปุ่นนี่ โคตรจะศักดินากว่าไทยอีกนะ ทำไมเค้าพัฒนาประเทศได้ ผมถึงว่าโทษระบบศักดินา มัน ง่ายไปหน่อย - ถ้าจะพูดถึงคุณภาพของนักศึกษาระดับปริญญา (ตรี โท หรือ เอก)  ส่วนตัวก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่า มันใช่ ราก ของปัญหาหรือเปล่า เพราะ ผมตอบไม่ได้เหมือนกันว่า ถ้าเราผลิต บัณฑิต ระดับวิชาการโอลิมปิก ออกมาได้มากมาย แล้วประเทศไทยจะเอา แรงงานระดับนี้ไปทำอะไร งานวิจัยเหรอ? วิจัยอะไร แล้วจะไปขายใครครับ เห็นคนชอบงานวิจัยก็กลายเป็นอาจารย์มหาลัยทั้งนั้น ส่วนตัวแล้วผมว่า การพัฒนาทุกอย่างมันต้องเริ่มมาจาก มีเงินเป็นแรงผลักดัน  คิดอะไรแล้วต้องขายได้  ทำงานหนักแล้วต้องได้เงิน แต่บัณฑิตเราจบมา แล้วก็ต้องไปทำงานบริษัท ที่ลักษณะงานเป็นแบบ  ซื้อเทคโนโลยี เข้ามาใช้   ไม่มีความจำเป็นอะไร ต้องไปเข้าใจลึกซึ้ง หรือ สามารถออกแบบได้เอง ส่วนคนที่สามารถทำงานประเภทพัฒนาวิจัยได้อย่างจริงๆ จังๆ  ไม่กลายเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ ออกไปทำงานต่างประเทศกันหมด แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างงั้นละ? ผมว่าทุกอย่างมันน่าจะเริ่มมาจาก  คนไทย ไม่ค่อยชาตินิยม  และไม่นิยมสินค้าไทย   ถ้าคิดอะไร  วิจัยอะไร ผลิตอะไร แล้วขายไม่ได้  แล้วมันจะไปเอาแรงอะไรมาขับให้เกิดการพัฒนาละครับ สินค้าเหมือนๆกัน  ถ้ายี่ห้อเป็นไทย กับ ต่างประเทศ  เราก็รู้ว่าตัวเราจะเลือกซื้ออะไร โจทย์มันสั้นๆ แต่ยากครับ "ทำยังไง ให้เงินเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีไทย" เทคโนโลยีด้านที่คนไทยเก่ง และ มีการพัฒนาไปได้ไกลว่า ประเทศเพื่อนบ้าน ก็มีครับ  ผมว่า เทคโนโลยีด้านการเกษตรนี่ ไทยไม่แพ้ใคร  แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า  ผลผลิตของเทคโนโลยีที่เราเก่งและชำนาญ  มันไม่ทำเงิน นี่แหละครับ จากคุณ : ~-=AUSFAhRT=-~ - [ 28 ม.ค. 51 14:31:57 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เหอๆๆ อาจไม่ตรงกับหลายคน แต่เงินซื้อความสุขได้นะ (ความสุขที่มาแบบแป๊บๆอ่ะ) แต่ความสุขจริงๆอยู่ที่ใจเราแหละ แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 15:11:05 จากคุณ : ความสุขอยู่ที่ใจ - [ 28 ม.ค. 51 15:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 74 อ่านความเห็นแล้วมีแต่ศรีธนญชัย คำตอบง่ายๆคนเขาก็รู้คือ มีความขี้เกียจและความไม่มีวิสัยทัศน์ มักง่าย ขี้อิจฉา คนทำมีน้อย คนวิจารณ์เพียบ พูดๆๆๆๆๆแล้วก็ไปนอนต่อ ไม่ได้ทำอะไร แก้ที่ทัศนคติตัวเอง แล้วทำงานให้หนัก จากคุณ : bj - [ 28 ม.ค. 51 15:38:55 A:161.200.255.162 X: TicketID:038839 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ลองมองรอบๆตัวเราแล้วมีแต่สินค้าญี่ปุ่น, อเมริกา, เกาหลี ทั้ง รถ ทีวี คอมฯ และก็อีกหลายอย่างมากมาย ผมว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้ารวยนะครับ พอรวยมีเงินแล้วมันก็ไปพัฒนาด้านต่างๆอีกหลายอย่างนะ ความจริงศักยภาพในการผลิตนี่ผมว่าเราทำเองได้แน่ๆ แต่มันก้แปลกพอเป็นสินค้าของคนไทย มันก้จะมีคนบางกลุ่มที่บอกว่าไม่ดีมั่ง คุณภาพตำ่มั่ง แล้วก็ไม่มีใครซื้อ ทั้งที่มันก็มาตรฐานเดียวกัน ผมว่าถ้าเรา มีสินค้าแบรนด์ของตัวเอง ทำเองซื้อเอง ใช้เองเกือบทุกอย่างๆ จุดนั้นเรารวยแน่ครับที่ต้องการพัฒนานี่ไม่ต้องห่วงไม่ฝันกลางวันแน่ๆ จากคุณ : arses - [ 28 ม.ค. 51 15:42:25 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เอาหนังสือพิมพ์ปู นั่งกินปอปคอร์น จากคุณ : ตวงสิทธิ์ - [ 28 ม.ค. 51 19:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ญี่ปุ่นสมัยนั้นไม่ใช่ Feudal ครับ แต่เป็น Nationalist - Fascist แบบเดียวกับที่จอมพล ป. เอามาใช้กับไทย จากคุณ : Nexus - [ 29 ม.ค. 51 09:11:02 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เอาง่ายๆ ผมถามว่า ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แตกต่างกันอย่างไร ถ้าตอบไม่ได้ หรือตอบไม่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องคิดพัฒนากันแล้วล่ะ จงด้อยพัฒนากันต่อไป จากคุณ : อีกแนวคิดหนึ่ง - [ 29 ม.ค. 51 12:05:45 A:202.57.137.157 X: ]

ความคิดเห็นที่ 79 หรืออีกอย่าง เรามีแต่นักเรียน แต่ไม่มีนักปฏิบัติ เป้าหมายของชีวิตที่ถูกสั่งสอนกันมาแต่เด็กคือ การเปลี่ยนตัวเองไปสู่สถานะทางสังคมที่สูงขึ้น การศึกษาจึงใช้เพื่อสิ่งนี้ แต่เป้าหมายของชีวิตของคนในชาติที่เจริญทางเทคโนโลยีคือ เมื่อคนอื่นสร้างสิ่งใดได้ ฉันก็ต้องทำได้ และจะต้องทำให้ดีกว่า และสร้างทฤษฎีของตนเอง ส่วนคนไทย เที่ยวหยิบยืมทฤษฎีคนอื่น ไม่เคยคิดเอง ใครมีทฤษฎีอะไรก็ดีไปหมดเอามาใช้ในกิจการของตัวเอง แต่ตัวเองกลับไม่เคยปฏิบัติตาม โยนให้ลูกจ้างเอาไปทำ ลูกจ้างก็ทำแล้วmake ตัวเลขเพื่อเอาใจนายจ้าง ก็เท่านั้น ได้รับคำชม ลูกจ้างได้เปลี่ยนสู่สถานะคือตำแหน่งในบริษัทที่สูงขึ้น ส่วนเจ้าของกิจการก็แค่ หาทฤษฎีใหม่ต่อไปว่าคนอื่นเขาทำยังไง แล้วก็โยนให้ลูกจ้างอีก เป็นกันแบบนี้ ถ้าถามว่าเรามีนักเรียนเก่งมากมาย แต่ทำไมประเทศไม่พัฒนา ก็ต้องถามว่านักเรียนพวกนั้นเรียนเก่งใช่ไหม เรียนเก่งแล้วทำอะไร ก็เรียนต่อไป เพราะเขาชมว่าเรียนเก่ง ภูมิใจ ก็เรียนไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยคิดอะไรเป็นของตนเอง เพราะกลัวว่าเรียนของคนอื่น ยังไงก็ถูกเพราะมีคำตอบที่คนอื่นคิดไว้แล้วมาเฉลย แต่ถ้าต้องคิดของตัวเอง มันไม่มีคำตอบ ไม่มีเฉลย เวลาคนถามต้องหาหลักฐานมายืนยันว่ามันใช่หรือไม่ใช่ แน่นอน คนที่ไม่เชื่อก็ยังต้องมี อย่างนี้มันไม่มั่นใจ เลยไม่เอาดีกว่า อ่านของฝรั่งมาและเล่าให้คนไทยฟังชัวร์กว่า เราจึงมีแต่นักวิชาการที่อ้างความรู้ของฝรั่งตลอดแต่ไม่มีคนที่รู้จริงอะไรซักกะอย่าง เอาให้เห็นภาพเราไม่มีคนที่ยอมลงทุนกับเทคโนโลยีอย่างเช่น ฮอนด้า ที่เริ่มต้นชีวิตจากการเป็นช่างฟิตในอู่รถยนต์ ( ไม่ได้จบอะไรเลย ) แล้วเรียนรู้แบบองค์รวมเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ทุกอย่างไม่ว่าจะไฟฟ้า เครื่องกล อย่างละนิดอย่างละหน่อย มารวมๆ กัน แล้วก็ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการสร้างสรรคทางเทคโนโลยี เพราะค่านิยมบ้านเราให้ความสำคัญกับสถานะทางสังคม มากกว่าความสามารถจริงๆ ว่าคนๆ นั้นทำอะไรได้ จากคุณ : อีกแนวคิดหนึ่ง - [ 29 ม.ค. 51 12:22:04 A:202.57.137.157 X: ]

ความคิดเห็นที่ 80 ผมพูดเรื่องคนเรียนปริญญาตรี โท เอก มากเกินไป(เน้นแต่ปริมาณ)มานานแล้วครับ แต่ถูกคนในนี้ต่อต้านเสียส่วนใหญ่ครับ ปริญญาตรีต้องเรียนกันน้อยๆกว่านี้ครับ เรียนน้อยๆแต่เน้นคุณภาพครับ เรียนกันมากๆ เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่จะมีคุณภาพ ^ ^ ^ ^ อืม น่าสนใจคะ...... - เราเคยถามตัวเองว่า ทำไมประเทศไทยเรา เวลาสมัครงานถึงเริ่มรับเด็กจบ ป.ตรี ส่วนใหญ่ เพราะว่าเด็กจบ ป.ตรีมากนิเอง ทั้งๆ ที่บางอย่างมันไม่จำเป็นต้อง ป.ตรีก็ทำได้ - หรือเป็นค่านิยมที่อยากให้ลูกเรียนสูงๆ จะได้มีโอกาสหางานดีๆ - แต่มันมีล้นตลาดซะเหลือเกิน เวลาเลือกคนเข้าทำงาน แน่หละหากเราเป็นเจ้าของบริษัทก็เลือกเด็กจบ ป.ตรีสิ - เพราะหวังว่าเด็กจบ ป.ตรีคงมีอะไรดีกว่า เด็ก โพลี / ดิโพม่า เงินเดือนก็มากกว่านิดหน่อยเอง......จะโปรโมทเป็นเมเนเจอร์ เดี๋ยวนี้ต้องมี ป.โทไว้แข่งขัน - เดี๋ยวนี้พวก เด็ก โพลี / ดิโพม่า ก็ดูเป็นเด็กเกเร บ้างหละ อ่อนบ้าหละ พ่อแม่ก็ไม่อยากให้เรียนมั้ง ถึงให้เรียนก็อยากให้ลูกต่อจนเป็น ป.ตรีอย่างน้อย - ยังคิดอยู่ว่า เผลออีก 10 ปีต่อไป คง ป.โทลนตลาด เพราะเห็นว่าใครก็อยากเรียน ป.โทเลยหลังเรียนจบ......... - ปัญหามันวกวนไปมาอย่าไรไม่รู้สิ เหนื่อยจนขี้เกียจคิดแล้ว ไปดีกว่า..... **** - เราว่าการแบ่งเกรดเด็กเพื่อเรียนโน้นเรียนนี่เลยก็ใช่จะดีนะ มันตัดอนาคตเด็กบางคน......แต่อีกมุมมันก็ไม่เลวหละ เพราะของแต่ละอย่างควรมีจำกัด มีเยอะก็ล้นไป - อยากให้เน้นเรื่องภาษาต่างประเทศเป็นหลัก จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น มาแรงดี....คิดว่าภาษาอะไรอีกดีหละ ฝรั่งเศส ....ภาษาไทยเอาให้พออ่าน ออกเขียนได้แล้วกัน แต่ก็มีเลือกภาษาไทยให้อีกสำหรับคนรักภาษาไทย - ว่าแล้ว ก็ขาดแคลนบุคคลากร......ส่งเสริมอาชีพคุณครูให้มากๆ อักฉีดได้ยิ่งดี เคยคิดว่าน่าเอาพวก ที่เรียนสาขาครูมาช่วยสอน ตั้งแต่ปี 2 ซะเลย มาเป็นผู้ช่วยก็ยังดี อย่าง ปี 3 ก็ฝึกวิชาชีพที่ต่างจังหวัด ปี 4 ฝึกในเมือง......น่าจะช่วยเหลือการขาดแคลนคุณครูที่ ตจว.ได้บ้าง......เผ้อฝันไปไหมเนี่ยเรา ******** ว้า...อย่าด่ากันเลย แค่สงสัยและคิด ออกมาเป็นตัวอักษรเอง จากคุณ : duck_rice (duck_rice) - [ 12 ก.พ. 51 01:27:18 ]