ความคิดเห็นที่ 1 ตาน้ำ / น้ำพุ / พุน้ำ หรือ spring คือที่ ๆ ระดับน้ำใต้ดิน (water table) ตัดกับพื้นผิวภูมิประเทศ (ground surface) ทำให้เกิดเป็นลักษณะเหมือนมีน้ำโผล่จากใต้ดินเป็นจุดเล็ก ๆ แสดงการไหลค่อนข้างชัดเจน ซึ่งอาจจะเป็นตาน้ำถาวร หรือเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวตามฤดูกาลก็ได้ มีทั้งแบบร้อน แบบเย็น แบบธรรมดา หรือเป็นน้ำแร่ เลือกสั่งได้ตามอัธยาศัยของภูมิประเทศ แต่หากไม่แสดงการไหลชัดเจน จะเรียกว่า น้ำซึม (seep/ seepage water) โดยทั่วไป เราสามารถจำแนกตาน้ำตามลักษณะการเกิดออกเป็น 5 หรือ 6 ชนิด แยกเป็นกลุ่มได้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 Depression Springs (น้ำผุด) กลุ่มที่ 2 Contact Springs และ Fault Springs (น้ำโผล่) กลุ่มที่ 3 Sinkhole Springs, Joint Springs/Fracture Springs (น้ำผุด) จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:13:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 1. Depression Springs หรือ น้ำผุด เกิดจากการที่ระดับน้ำใต้ดิน ตัดกับระดับภูมิประเทศ โดยภูมิประเทศบริเวณนั้นมีการลดระดับลงจนไปถึงระดับน้ำใต้ดิน เกิดเป็นตาน้ำผุดออกมาจากผิวดิน ลักษณะการเกิด spring แบบนี้ เป็นลักษณะของตาน้ำที่พบเห็นได้ทั่วไป จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:20:27 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณครับ จากคุณ : nisas - [ 30 ม.ค. 51 22:38:01 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตาน้ำแบบ Depression spring ที่เป็นต้นกำเนิดของน้ำตก หรือแม่น้ำในธรรมชาติ จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 2. Contact Springs หรือน้ำโผล่ เกิดขึ้นเนื่องจากการที่น้ำใต้ดินไหลอยู่ภายในชั้นหินที่มีรูพรุน ซึ่งหินดังกล่าวถูกรองรับไว้ด้วยชั้นหินกันน้ำที่ไม่อนุญาตให้น้ำซึมผ่านได้  ทำให้น้ำใต้ดินซึมลึกลงไปไม่ได้ต้องไหลไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบริเวณที่มีภูมิประเทศเหมาะสมจึงค่อยโผล่มาให้เห็น อยู่ ๆ น้ำก็โผล่มา เลยเรียกกันว่า น้ำโผล่ จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อันนี้เป็นตัวอย่างของน้ำโผล่ (contact spring)  ที่แกรนแคนยอน จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:43:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 3. Fault Springs  อันนี้ไม่รู้จะเรียกยังไง  เป็นน้ำโผล่ชนิดนึงละกัน มีการเกิดเหมือน ๆ กับ contact spring คือ น้ำใต้ดินมีการไหลอยู่บนชั้นหินที่ไม่อนุญาตให้น้ำซึมผ่าน แต่ที่พิเศษกว่าคือ มันไหลไปเจอรอยเลื่อน และข้างหน้าเป็นชั้นหินกันน้ำที่ไม่ยอมให้น้ำซึมผ่าน (อาจซึมได้ แต่น้อยกว่าอัตราการไหลของน้ำใต้ดิน) เมื่อโดนปิดทั้งด้านล่างและด้านหน้า ระดับน้ำใต้ดินจึงมีการเพิ่มขึ้นใกล้กับตำแหน่งรอยเลื่อน และโผล่ออกมาบนผิวดิน จากรูปข้างล่าง ตรงใกล้ ๆ กับรอยเลื่อนจะเห็นว่าระดับน้ำใต้ดิน (ที่เป็นเส้นประ) เพิ่มสูงขึ้น จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 8 โอ้ สนุกดีครับ ความรู้ๆ (มาปาดรึเปล่าหว่า) จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 30 ม.ค. 51 22:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 9 4. Sinkhole Springs คือ ตาน้ำที่เกิดจากหลุมยุบ ตาน้ำแบบนี้จะเกิดในภูมิประเทศแบบหินปูน เกิดจากการที่น้ำผิวดินละลายหินปูนจนลึกลงไปเป็นหลุมยุบ หากหลุมยุบนั้นถูกเซาะลึกลงไปเรื่อย ๆ จนไปถึงระดับน้ำใต้ดิน ก็จะเกิดเป็นตาน้ำชนิดนี้ขึ้นมา จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:49:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตามสบายครับ อ่านเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก ค่อย ๆ ปาดไปกิน ตักคำใหญ่เดี๋ยวอิ่มซะก่อน จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อ๊ะ สงสัยมานานแล้วนะเนี่ย เลยแวะมาปาดครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : skycreeper - [ 30 ม.ค. 51 22:52:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 1 vote ครับ ขอต่อเรื่องน้ำบ่อ กับน้ำบาดาลเลยได้ไหมครับ ผมว่าต้องมีหลายคนเข้าใจว่ามันเป็นอย่างเดียวกันครับ จากคุณ : กฤตยฎีกา - [ 30 ม.ค. 51 22:52:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 5. Joint Springs / Fracture Springs เป็นตาน้ำที่เกิดเหมือนกับ Depression Springs หรือ น้ำผุด แต่ตาน้ำชนิดนี้ภูมิประเทศไม่ได้ลดระดับลงไปจนถึงระดับน้ำใต้ดิน แต่เกิดมีจากรอยแตก (fracture) หรือรอยแยก (joint) เซาะลงไปจนถึงระดับชั้นน้ำใต้ดิน ทำให้เกิดเป็นตาน้ำขึ้นมา จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:54:03 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ่า ...ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย ขอบคุณครับ จากคุณ : axquest - [ 30 ม.ค. 51 22:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เอ่า เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เอาตาน้ำแบบต่าง ๆ มารวมกันไว้ในภาพเดียว Depression Spring – ระดับภูมิประเทศลดลงไปจนถึงระดับน้ำใต้ดิน Contact Spring – น้ำใต้ดินไหลอยู่บนชั้นหินที่กั้นไม่ให้น้ำผ่าน จนถึงภูมิประเทศที่เหมาะสม ก็โผล่ออกมา Fault Spring – น้ำใต้ดินไหลอยู่บนชั้นหินที่กันน้ำซึมผ่าน แถมด้านหน้าก็โดนปิด ระดับน้ำใต้ดินมีการเพิ่มขึ้นจนโผล่ขึ้นมาเป็นตาน้ำ Sinkhole/Joint/Fracture Spring – น้ำใต้ดินถูกเข้าถึงด้วยหลุมยุบ/รอยแยก/รอยแตก ในชั้นหิน เกิดเป็นตาน้ำ จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 22:59:29 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เอาล่ะ ทีนี้มาแก้ไขความเข้าใจผิดในกระทู้ต้นเรื่องกัน จากลักษณะการเกิดตาน้ำตามที่อธิบายมา จะเห็นว่าการเกิดตาน้ำ ไม่จำเป็นต้องใช้ความดันก็เกิดขึ้นได้ ถ้ามองภาพตามขวางของเขาลูกนึง จะเห็นเหมือนกับว่า น้ำใต้ดินไหลลงมาตาม slope เรื่อย ๆ ภูมิประเทศตรงไหนเหมาะสม ก็จะเกิดเป็นลักษณะต่าง ๆ กัน อาจเป็นพื้นที่ชี้นแฉะ (wetland) เป็นตาน้ำ (spring) เป็นแม่น้ำ เป็นน้ำตก (running water หรือ runoff) หรือถ้าไม่มีที่ไป ก็สะสมในแอ่ง กลายเป็นทะเลสาบ ดูรูปประกอบความเข้าใจ... จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 23:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แต่ก็มีบางกรณี ระดับของภูมิประเทศไม่จำเป็นต้องมาตัดกับระดับน้ำใต้ดินก็ได้ แค่อยู่ใกล้กันก็พอ ลักษณะของตาน้ำพวกนี้จะเกิดกับชั้นหินอุ้มน้ำที่เป็นแบบปิด (confined aquifer) เพื่อไม่ให้งง มาแทรกเรื่องชนิดของชั้นหินอุ้มน้ำ/ชั้นหินกักเก็บ (aquifer) กันหน่อย ชั้นหินอุ้มน้ำ จะแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ แบบเปิด (unconfined aquifer) และแบบปิด (confined aquifer) ในชั้นหินอุ้มน้ำแบบเปิด (unconfined aquifer) น้ำใต้ดินจะสามารถไหลไปได้อย่างอิสระใกล้เคียงกับรูปแบบความสูงต่ำของลักษณะภูมิประเทศ คล้ายกับน้ำผิวดินที่ไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 23:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อีกแบบคือชั้นหินอุ้มน้ำแบบปิด (confined aquifer) กรณีนี้ชั้นหินอุ้มน้ำจะถูกปิดล้อมไว้ด้วยชั้นหินที่น้ำซึมผ่านไม่ได้ (หรือได้น้อยมาก) ทำให้เกิดความดันภายในชั้นหินอุ้มน้ำ เมื่อเจาะบ่อน้ำลงไปที่ชั้นหินอุ้มน้ำแบบปิดนี้ ระดับน้ำในบ่อ จะเพิ่มสูงขึ้นใกล้เคียงกับระดับ water table ที่ต้นน้ำ หากเกิดรอยแตกของชั้นหินทะลุลงไปถึงชั้นน้ำ ก็จะเกิดเป็นตาน้ำผุดขึ้นมาได้เช่นกัน โดยมีอัตราการไหลของน้ำค่อนข้างเร็วกว่าในชั้นหินแบบเปิดมาก เพราะถูกฉีดออกมาด้วยความดันภายในชั้นหินกักเก็บ ในชั้นหินอุ้มน้ำแบบปิด ตาน้ำจะเกิดได้เพียงแค่ให้ระดับผิวดิน กับระดับน้ำใต้ดินอยู่ใกล้ ๆ กัน โดยชั้นหินอุ้มน้ำแบบปิด จะมีความดัน ซึ่งหากมากพอก็จะดันให้ระดับน้ำใต้ดินสูงขึ้นกว่าระดับปกติจนโผล่ขึ้นมาบนผิวดินได้ กระบวนการนี้เป็นผลมาจากแรงดันในชั้นหินกักเก็บเอง (ซึ่งเป็นแรงดันในระดับตื้น) ไม่ใช่แรงดันจากใต้ผิวโลกอย่างที่เข้าใจกัน จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 23:15:40 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แล้วป่ามีความสำคัญยังไงกับต้นน้ำ??? ป่าไม้ทำให้เกิดฝน เนื่องจากไปเพิ่มความชื้นให้อากาศบริเวณเหนือป่า ทำให้เกิดเป็นเมฆ และพัฒนาไปเป็นฝน นอกจากนี้หากภายหลังจากที่รับน้ำฝนจนชั้นดินอิ่มน้ำเต็มที่แล้ว ป่ายังทำหน้าที่เหมือนรางน้ำที่รองรับน้ำจากทั้งพื้นที่ให้มารวมกันเป็นแม่น้ำลำธาร เกิดเป็นระบบน้ำผิวดิน (running water หรือ surface runoff) ต่อไป โดยปัจจัยในการเกิดน้ำผิวดิน จะมีอยู่ 3 แบบ อาจเกิดร่วมกัน หรือแยกกันก็ได้ คือ 1. น้ำฝนมีปริมาณมากกว่าความสามารถในการซึมผ่านของชั้นดิน เมื่อซึมลงดินไม่ทัน เลยไหลอยู่บนผิวนั่นแหละ 2. ชั้นดินอิ่มตัวไปด้วยน้ำหลังจากรับน้ำไปเต็มที่แล้ว เมื่อซึมลงดินไม่ได้ ก็ไหลอยู่บนผิวนั่นแหละ 3. ได้รับน้ำจากระบบน้ำใต้ดิน ดังที่พูดมาข้างต้น เกิดเป็นลำธารบนผิวดิน ระบบน้ำผิวดิน (แม่น้ำ ลำธาร) ที่เกิดในป่า บางส่วนจะเกิดขึ้นแบบชั่วคราวตามฤดูกาลที่มีฝนมาก พอฝนหมด แม่น้ำชั่วคราวพวกนี้ก็จะแห้ง แบบที่ถาวรให้น้ำทั้งปี ส่วนใหญ่จะเกิดจากระบบน้ำใต้ดินมากกว่า เสมือนรางน้ำสะสมน้ำลงในแทงค์น้ำที่ค่อย ๆ ปล่อยน้ำออกมาตลอดปี เกิดเป็นแม่น้ำที่ไหลทั้งปีขึ้นมา จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 23:21:53 ]

ความคิดเห็นที่ 20 หากลองจินตนาการภาพที่เราเทน้ำลงบนพรม กับเทน้ำลงบนกระจกที่ลาดเอียง จะเห็นว่า ปริมาณ และความเร็วของน้ำที่ไหลออกมาจะต่างกันแบบมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังได้ผลลัพธ์เป็นพรมชื้น ๆ  เปรียบเทียบได้กับความชื้นในป่าที่มากกว่านอกป่า ป่าไม้เป็นตัวช่วยชลอความเร็วของน้ำให้สามารถซึมลงไปในดินได้ ส่วนหนึ่งจะสามารถสะสมจนเกิดเป็นระบบน้ำใต้ดินขึ้นมา และยังมีส่วนช่วยในการรักษาหน้าดินไม่ให้ถูกชะล้างด้วยน้ำไปอย่างรวดเร็วจนเกินไปนัก ผลจากการที่ไม่มีพืชคลุมดิน ยังเอื้อให้เกิดแผ่นดินถล่ม (landslide) และเกิดน้ำป่าไหลหลากได้อีกด้วย แก้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนตรงนี้อีกนิด กระบวนการการเกิดน้ำใต้ดิน จะมีชั้นหินอุ้มน้ำ ซึ่งเป็นชั้นหินที่มีรูพรุน ที่ยอมให้น้ำซึมผ่านได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเก็บกักน้ำ ลำพังเพียงชั้นดินไม่สามารถที่จะกักเก็บความชื้น และน้ำไว้ได้ทั้งหมด ดินที่มีความอิ่มตัวมาก ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิด landslide ได้หากมี slope ชัน ๆ และมีหินรองรับเป็นพวกที่น้ำซึมผ่านไม่ได้ เอาล่ะ ยาวมากเดี๋ยวจะเหนื่อย จบดีกว่า จากคุณ : Lanoz - [ 30 ม.ค. 51 23:28:56 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เยี่ยมครับ ขอโหวตเลยละกัน จากคุณ : 76 (KuMp) - [ 30 ม.ค. 51 23:32:58 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับ น่าพิมพ์ความรู้แบบนี้แจกจ่ายไปตามหมู่บ้านต้นน้ำนะ จะได้เข้าใจความสัมพันธ์ของป่าไม้กับต้นน้ำมากขึ้น จากคุณ : จาก - [ 30 ม.ค. 51 23:33:04 A:125.27.106.79 X: TicketID:159709 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณในความรู้ครับ_ตามดูอยู่ครับ จากคุณ : กังฟู43 - [ 30 ม.ค. 51 23:38:38 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ข้องใจมานานล่ะ ขอบคุณมาก จากคุณ : GetIm@gE - [ 30 ม.ค. 51 23:55:54 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ดีครับ ผมชอบมากกับกระทู้นี้ ช่วยโหวตครับ จากคุณ : แด่เธอ... (ผู้ให้รักมีมิติ) - [ 30 ม.ค. 51 23:59:35 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับ จากคุณ : freefeel - [ 31 ม.ค. 51 00:03:03 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อ๊ะ เปลี่ยนใจแถมอีกนิด (-_-") ในกระทู้ก่อนเห็นมีคนยกเรื่องแม่น้ำไนล์มาเป็นข้อสังเกต ยกมาว่าเป็นแม่น้ำสายยาว ที่ไหลผ่านทะเลทราย ป่าไม้จะส่งผลต่อน้ำเพียงเล็กน้อย ไม่มีนัยสำคัญและไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากจุด ๆ เดียว ใช่ครับ ถูกต้อง แต่ผิดไปครึ่งนึง จากเรื่องตาน้ำ จะเห็นว่ามันขึ้นอยู่กับระดับน้ำใต้ดิน ซึ่งมันก็เปลี่ยนแปลงไปได้ตามฤดูกาล และปริมาณที่ถูกดูดออกไปใช้โดยมนุษย์ เลยทำให้ตาน้ำย้ายที่ไปมาได้ ตามระดับของน้ำใต้ดิน รวมถึงสภาพทางธรณีวิทยาของแต่ละพื้นที่ แต่อย่าลืมว่า ถ้าไม่มีป่า ก็ไม่มีฝน ความชื้นเป็นตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดเมฆ ลองสังเกตที่ยอดดอยแล้วจะเห็นว่ามีเมฆรวมตัวกันอยู่หนาแน่นมากกว่าในเมือง ยกเว้นเชียงใหม่หรือเมืองอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ กรณีนั้นเมฆเยอะเพราะถูกภูเขาบังลมไว้ (จริง ๆ เป็นเมฆ+ควัน) ระบบแม่น้ำสายยาว ๆ ของโลกนี่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการรับและการสูญเสียน้ำออกไปจากแม่น้ำอยู่เป็นระยะ ๆ อยู่แล้วครับ โดยหากว่าแม่น้ำไหลผ่านบริเวณที่ระดับน้ำในแม่น้ำเป็นระดับเดียวกับระดับน้ำใต้ดิน น้ำใต้ดินก็จะถูกเติมเข้ามาในแม่น้ำ และจะมีบทบาทมากขึ้นในฤดูที่น้ำผิวดินมีน้อย เพราะกว่าครึ่งของปริมาณน้ำในแม่น้ำในหน้าแล้ง จะมาจากน้ำใต้ดินในบริเวณที่มันไหลผ่าน จากคุณ : Lanoz - [ 31 ม.ค. 51 00:09:03 ]

ความคิดเห็นที่ 28 รูปข้างล่างเป็นรูปแบบหนึ่งของการรับ และการสูญเสียน้ำในแม่น้ำ ติ๊งต่างว่าเป็นที่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา โดยหน้าฝน อาจจะได้รับน้ำจากทั้งบนดิน และใต้ดิน หน้าแล้ง น้ำอาจไหลเข้าไปเติมให้กับระบบน้ำใต้ดิน หรือบางช่วงที่แม่น้ำไหลผ่านอาจจะรับน้ำจากน้ำใต้ดินเหมือนรูปข้างบนก็ได้ ธรรมชาติมันเป็นระบบใหญ่ระบบเดียวครับ ตัวแปรเยอะแยะไปหมดแถมยังแปรผันตามกันไปหมดเพื่อปรับให้เข้าสู่สมดุล ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบครับ จากคุณ : Lanoz - [ 31 ม.ค. 51 00:19:48 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อ่ะ เพิ่งเห็นของคุณ กฤตยฎีกา หลงหูหลงตาเพราะมันเขียว ๆ เหมือนกัน น้ำบ่อกับน้ำบาดาล จริง ๆ ก็คือน้ำใต้ดินเหมือนกัน เพียงแต่น้ำบ่อ เป็นน้ำบาดาลระดับตื้น ส่วนใหญ่จะเจาะลงไปถึงชั้นหินอุ้มน้ำแบบเปิด (unconfined aquifer) ด้วยแรงคน ขนาดหลุมใหญ่ตามใจฉัน มีความลึกถึงแค่ประมาณระดับ water table บวกลบนิดหน่อย เพราะพอเจอน้ำก็จะเจาะต่อไปไม่ได้ หรืออีกประเภท คือเจาะหลุมเล็ก ๆ ไปจนถึงชั้นกรวด ชั้นทรายแล้วใส่ท่อพร้อมตาข่ายครอบหัวท่อเพื่อกันเศษหินเข้ามา เนื่องจากการเจาะน้ำบ่อ หรือน้ำบาดาลระดับตื้นนี้ เจาะเข้าไปใน unconfined aquifer ซึ่งระดับน้ำอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แถมยังอยู่ในระดับตื้น จึงอาจประสบปัญหาน้ำแห้ง หรือมีสิ่งเจือปนต่าง ๆ เข้ามาในบ่อของเราได้ง่าย จึงไม่ค่อยนิยมนักในปัจจุบัน แต่ก็ยังพบน้ำบ่ออยู่มากมายตามชนบท ส่วนใหญ่ก็เป็นหลุมเก่าที่ขุดกันมาตั้งแต่รุ่นคุณยายยังสาว ส่วนน้ำบาดาล (-_-") เป็นการเจาะน้ำบาดาลในระดับลึกกว่าขุดน้ำบ่อแบบบ้าน ๆ ใช้แท่นเจาะแบบหมุนในการเจาะ ส่วนใหญ่จะติดอยู่กับรถบรรทุก จะเจาะลึกลงไปจนถึงชั้นหินอุ้มน้ำแบบปิด (confined aquifer) ซึ่งมีระดับลึกกว่า และสะอาดกว่า ถ้าชั้นหินมีความพรุนพอเหมาะจะได้ระดับน้ำที่ค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ดูดมาใช้ด้วย ว่าต่างจากอัตราการเติมเข้ามากน้อยแค่ไหน การดูแลรักษาบ่อบาดาลจะง่ายกว่าในระยะยาว แถมบางที่ อาจจะดูดน้ำจากหลาย ๆ ชั้นได้ด้วยการเจาะเพียงครั้งเดียว รูปข้างล่าง เป็นการเจาะน้ำบาดาลในแบบต่าง ๆ จากซ้ายไปขวา ซ้ายสุดคือการเจาะน้ำบ่อแบบดั้งเดิม ตรงกลางคือแบบดั้งเดิมแต่ใช้การหย่อนท่อลงไปใน unconfined aquifer ส่วนรูปขวาสุดคือการเจาะด้วยหัวเจาะแบบหมุน ลงไปในชั้นหินกักเก็บแบบปิด (confined aquifer) จากคุณ : Lanoz - [ 31 ม.ค. 51 01:20:00 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ส่งท้ายกันด้วยชนิดของบ่อบาดาลแบบต่าง ๆ สองบ่อทางซ้าย เป็นบ่อบาดาลที่เจาะเข้าไปถึงชั้นหินอุ้มน้ำแบบปิด (confined aquifer) ระดับน้ำที่ได้ จะเป็นไปตามแรงดันของชั้นหินกักเก็บ และตามตำแหน่งของบ่อบาดาลที่สัมพันธ์กับโครงสร้างของชั้นหินกักเก็บ บ่อทางขวาสุด เป็นน้ำบ่อบ้านเฮาแบบดั้งเดิม ขุดถึงแค่ชั้นหินอุ้มน้ำแบบเปิด (unconfined aquifer) ด้วยแรงงานคน ระดับน้ำจะมีการแปรผันไปตามฤดูกาล อาจมีสิ่งเจือปนเข้ามาในบ่อบ้าง แล้วแต่ฮวงจุ้ยของบ้านว่าสร้างถูกที่ถูกทางรึเปล่า จากคุณ : Lanoz - [ 31 ม.ค. 51 01:29:41 ]

ความคิดเห็นที่ 31 .....  ห้องนี้  มีคนขยันให้ความรู้กันจริงๆ    ถ้าเป็นผม จะไม่ขยันถึงเพียงนี้          ปลื้มใจแทนคนถาม  ครับ จากคุณ : DR บ๊อง - [ 31 ม.ค. 51 01:49:15 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณครับ จากคุณ : max'86 - [ 31 ม.ค. 51 02:01:11 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เชื่อหมดครับ ยกเว้นที่สรุปว่า ป่าทำให้เกิดฝนเนี่ยแหละ ที่ว่าป่าเพิ่มความชื้น (จากการคายน้ำ?) เนี่ยมันเป็นการมองแค่จุดเดียว เพราะป่ายังเป็นตัวลดความชื้นอีกด้วย ก็มันบังดินจากแสงอาทิตย์ แทนที่น้ำจากผิวดินจะระเหยเป็นเมฆฝน กลับถูกใบไม้บัง หักลบกันแล้ว ผมก็พิสูจน์ไม่ได้เหมือนกันว่าปัจจัยใดมันมากกว่า แต่จากสามัญสำนึก ผมว่ามันคงใกล้เคียงกัน หรือถึงปัจจัยแรกจะเยอะกว่า แต่มันคงเทียบไม่ได้กับน้ำฝนส่วนใหญ่ ที่เกิดจากการระเหยของน้ำจากมหาสมุทร ที่ป่ามักชื้น ไม่ใช่ต้นไม้ทำให้ชื้น แต่ที่ใดฝนตกชุก (เพราะอยู่ในแนวมรสุม) อากาศมันก็เลยชื้น ต้นไม้ก็ชอบขึ้น เลยเกิดเป็นป่า ป่าแล้งๆก็มีตั้งเยอะ ที่เปรียบเทียบเรื่องการเทน้ำบนพรม กับกระจก ผมว่าตัวอย่างที่ยกมามันลำเอียงไปจิ๊ดนึง ลองเปลี่ยนตัวอย่างเป็น ฟองน้ำมีขน กับฟองน้ำไม่มีขนดีกว่า เพราะถึงแม้จะไม่มีป่า ดินก็ยังดูดซับน้ำได้ เรื่องยอดดอยมีเมฆเนี่ย ผมว่าปกติแล้วเมฆมันก็เกิดที่ความสูงขนาดนั้นอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับต้นไม้ จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 31 ม.ค. 51 02:32:26 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เถียงเรื่องไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน จากคุณ : natong - [ 31 ม.ค. 51 05:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 31 ม.ค. 51 06:28:39 ]

ความคิดเห็นที่ 36 โหวตค่ะ นักธรณีวิทยา เยี่ยมค่ะ จากคุณ : Komi (komi_to) - [ 31 ม.ค. 51 07:33:38 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณมากครับ..... ขอเอาเก็บเป็นไฟล์ Word นะครับ จากคุณ : @Server ! maN@ - [ 31 ม.ค. 51 08:50:41 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ปัจจุบัน  ขุดบ่อ กับ บาดาน  อย่างไหนดีกว่ากันครับ จากคุณ : ยัยปุย - [ 31 ม.ค. 51 08:55:51 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ความรุ้ใหม่เลยน่ะนี่ ขอบคุณมากๆ ก๊อบๆๆๆ เก้บไว้เลย จากคุณ : Tears - [ 31 ม.ค. 51 09:18:54 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ดีมากๆครับ..........ได้ความรู้เพียบ จากคุณ : Tanoshii - [ 31 ม.ค. 51 09:21:18 ]

ความคิดเห็นที่ 41 จากคุณ : ของเล่นใหม่ - [ 31 ม.ค. 51 09:33:49 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ผมว่ากระทู้นี้สุดยอด 1 vote จากคุณ : pattapon - [ 31 ม.ค. 51 09:35:25 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ได้รู้ในสิ่งที่ยังไม่เคยรู้ จากคุณ : bbiggy - [ 31 ม.ค. 51 09:35:31 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณครับ... จากคุณ : Zew - [ 31 ม.ค. 51 09:37:00 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เยี่ยม ๆ ๆ ๆ จากคุณ : Skyman (Analayo) - [ 31 ม.ค. 51 10:24:19 ]

ความคิดเห็นที่ 46 โหวตคร้าบ จากคุณ : s m l xl - [ 31 ม.ค. 51 10:45:43 ]

ความคิดเห็นที่ 47 โหวต! กระทู้นี้น่าสนใจมากๆ ชอบครับ เรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ อะไรอย่างนี้ ^^ จากคุณ : กลับมาแล้วคนดี - [ 31 ม.ค. 51 10:56:36 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณค่า จากคุณ : กบข้างกะลา - [ 31 ม.ค. 51 11:02:02 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เยี่ยมไปเลยครับ จากคุณ : ksk - [ 31 ม.ค. 51 11:02:15 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เยี่ยมครับ โหวตเลย จากคุณ : aamraam (aamraam) - [ 31 ม.ค. 51 11:07:28 ]

ความคิดเห็นที่ 51 อ่านแล้วได้ความรู้มากเลยครับ เป็นความรู้ขั้นธรณีวิทยาเลยครับ ด้วยความสงสัยแบบปุถุชน คนไม่ได้ศึกาเรื่องธรณีวิทยา อาจเข้าใจยากสักหน่อย สรุปคือ การที่น้ำตกใหลทั้งปี ประเด็นหลักคือธารน้ำใต้ดินใช่ใหมครับ ปัจจัยรองลงมาคือสภาพภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย ให้เกิดตาน้ำ ป่าไม้ ลำธาร ฯลฯ ประกอบกันจนกลายเป็นธารน้ำขนาดใหญ่บนผืนดิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ภายใต้โลกซึ่งเป็นผืนดิน มีธารน้ำใต้ดินซึ่งใหลตลอดทั้งปี ใช่ใหมครับ? แล้วธารน้ำใต้ดินอยู่ทั่วทุกภูมิประเทศหรือเปล่า? หรือเราอาจจินตนาการว่ามีธารน้ำใต้ดินใหลอยูภายใต้ชั้นหินตลอดเวลา จนกว่าเราจะสามารถตรวจพบว่ามันอยู่ตรงใหนใช่หรือไม่ เช่น ในทะเลทรายมีโอเอซิส ซึ่งพบได้ทั่วไปบางแห่ง . ตาม คห.33  ผมเห็นว่าป่าไม้ทำให้เกิดเมฆ และเกิดฝน อยากให้เข้าใจว่า ป่าไม้เองก็ดูดซับน้ำไว้ด้วยยามฝนตก ซึ่งสรุปได้ว่า บริเวณที่มีป่าไม้ ย่อมมีฝนตกต้องตามธรรมชาติ ตามฤดูกาล เพราะเเม้ต้นไม้จะมีอัตราการคายน้ำทำให้เกิดความชื้นตามธรรมชาติแล้ว การที่ป่าไม้บังแดดจากการระเหยของน้ำบนผิวดินไม่สามารถทำได้(อย่างที่ว่ามา)นั้นไม่ถูกต้องนัก เพราะป่าไม้เองก็ต้องดูดซับน้ำบนผิวดินด้วยส่วนหนึ่งเพื่อการเจริญเติบโต และอัตราการคายน้ำในกลางคืนและตอนเช้าก็มากกว่ากลางวัน จึงไม่อาจสรุปได้ว่า เท่ากัน(อ่านคห.33ประกอบด้วย) ดังที่ได้ยกตัวอย่างมา และอยากจะย้ำด้วยว่า บริเวณที่ฝนตกลงบนผืนป่า ป่าไม้ย่อมดูดซับน้ำไว้ได้มากกว่าผืนดินเปล่าๆ เพราะอย่าลืมว่า หน้าดินที่ไม่มีผืนป่าจะถูกชะล้างกลายเป็นโคลน เมื่อคุณราดน้ำลงบนโคลน โคลนย่อมไม่ดูดซับน้ำได้เร็วเท่าผืนป่า จึงแย้งว่า การที่เปรียบฟองน้ำมีขนกับไม่มีขน จึงไม่อาจเทียบได้ เพราะฟองน้ำต่างดูดซับน้ำทั้งคู่แต่ใช้ไม่ได้กับหน้าดิน ส่วนเมฆจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ด้วยปัจจัยหลายส่วน เช่น ปริมาณไอน้ำ ,ความชื้นในอากาศ ,ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ฯลฯ ประกอบกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บริเวณที่มีเมฆมากจะไม่เกี่ยวกับป่าไม้ ดังนั้น จึงอยากสรุป ตามความเข้าใจตนว่า ป่าไม้เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะมองในแง่ใหนแล้ว(วิทยาศาสตร์/ธรณีวิทยา) ป่าไม้ก็มีส่วนสำคัญในการปรับสมดุลตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับป่าไม้ให้ได้อย่างมีความสุข แทนที่จะบ่อนทำลายเอาทรัพยากรป่าไม้มาใช้ในทางที่ผิด แล้วสร้างระบบนิเวศเทียมๆขึ้นมาโดยเข้าใจว่าสามารถควบคุมกลไกของธรรมชาติได้ตามความเข้าใจตน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการดำรงชีวิตของมนุษย์ภายใต้สภาวะโลกในปัจจุบันนี้ ผิดถูกอย่างไร ขอเชิญผู้รู้มาชี้แจงด้วยครับ ....ไปละครับ แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 51 11:25:08 จากคุณ : Cho_shang - [ 31 ม.ค. 51 11:12:48 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ตัวจริงชัดเจน!! จากคุณ : Disorder - [ 31 ม.ค. 51 11:24:53 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ดีจัง ได้ทบทวนความรู้ จำได้เลา ๆ ว่าเคยเรียน hydrology กะ อ.เกษม แค่วิชาเดียว แต่คืนแกไปหมดแล่วว ฮิฮิ : ) จากคุณ : สิบสี่มิล - [ 31 ม.ค. 51 11:30:57 ]

ความคิดเห็นที่ 54 โหวตให้แล้วน่ะครับเป็นความรู้อีกแล้ว จากคุณ : tus_sks - [ 31 ม.ค. 51 11:40:34 ]

ความคิดเห็นที่ 55 1 โหวต แล้วกัน อยากให้อ่านกันเยอะๆ จากคุณ : Golf_PT - [ 31 ม.ค. 51 12:31:16 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอแสดงความเห็นกับท่านคห33นะครับ ท่านเห็นแย้งไม่เป็นไรนะครับ แต่ช่วยหาข้อมูลอ้างอิงมาให้ผู้อ่านพิจารณาด้วย ไม่ใช่ใช้จินตนาการสามัญสำนึกตัวเองแล้วบอกว่าหักลบกันหมด มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์นะครับ ความคิดคุณมันขัดแย้งกันเองอีกต่างหาก บอกว่า ตรงไหนมันชื้นป่ามันก็ตามมาเอง แล้วถามหน่อยว่าป่ามาจะตามมาเองเฉยๆเพื่ออะไรครับ มันก็เหมือนอยู่ๆคุณบอกว่า เมืองมีความเจริญ คนก็เลยไหลเข้ามาทำงาน แต่คุณกลับมองไม่เห็นว่าเมื่อมีคนเมืองก็เลยเจริญ ทุกอย่างมันก็ส่งผลสลับไปมากันอยู่แล้ว ไม่มี Action ด้านเดียวหรอก ทุกอย่างที่เติมเข้ามาทีหลังจะเป็นระบบบัฟเฟอร์เพื่อคุ้มกันระบบภายใน จากคุณ : จาก - [ 31 ม.ค. 51 12:52:07 A:125.27.101.191 X: TicketID:159709 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เอาไป 1 โหวตก่อน เป็นความรู้จริงๆครับ สำหรับ คห.33 ใช่ครับ ความชื้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการระเหยของน้ำในมหาสมุทร แต่ความชื้นเหล่านั้น มักถูกลมพัดพา มาควบแน่น และเกิดเป็นฝนในป่าครับ แล้วดินที่มีป่าปกคลุม ก็จะซับน้ำไว้ เป็นระบบน้ำใต้ดิน (แถมยังบังแดด ไม่ให้น้ำระเหยตามที่ คห.33 บอกมาด้วย) พูดให้ถูกก็คือ มันเอื้อกัน ทั้งฝน และ ป่า ถ้าพื้นดินไหน ไม่มีลมมรสุมผ่านเลย ป่าคงไม่เกิด ถึงเกิดมาก็อยู่ไม่ได้ ส่วนพื้นดินไหน ไม่มีป่าเลย ความชื้นก็ไม่กลายเป็นฝน ถึงผนตก ก็ไม่อาจกักน้ำไว้ได้ มันถึงเรียกว่าวัฏจักร(สะกดถูกมั้ย)ของน้ำงัย ผมเข้าใจตามนี้นะ จากคุณ : Bobby (bob26623) - [ 31 ม.ค. 51 13:07:32 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เยี่ยมๆๆๆๆๆ จากคุณ : ร่า (ไอ้ก้านยาว) - [ 31 ม.ค. 51 13:12:01 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ดีใจ วันนี้ ได้โหวต 2 กระทู้ติด สงสัยมานานเหมือนกันว่า น้ำตกเอาน้ำมาจากไหนไหลได้ทั้งปี จากคุณ : ก้นกบ - [ 31 ม.ค. 51 14:20:50 ]

ความคิดเห็นที่ 60 โหวตค่ะ ...ดีมากๆเลย จากคุณ : munbok (munbok) - [ 31 ม.ค. 51 15:47:59 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ตามความเข้าใจของผม คล้าย คห.ข้างบน ๆ แหละครับ ป่าไม่ได้เป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดความชื้นในอากาศ แต่ไอน้ำส่วนใหญ่ในอากาศมาจากการระเหยของน้ำในมหาสมุทรครับ (เป็นเหตุว่าทำไม พายุฝน หรือ มรสุมมักเกิดจากมหาสมุทร) แต่ ไอน้ำ และ ความเย็นของป่า เป็นตัว "ล่อ" และ "เร่ง" ให้เกิดฝนตกในบริเวณนั้นครับ ดูที่สองปัจจัย ปริมาณไอน้ำและความเย็น ครับ 1. ความเย็น โดยธรรมชาติของไอน้ำและอากาศ มีความหนาแน่นลดลงจะลอยขึ้นสูงเมื่อได้รับความร้อน แต่จะมีความหนาแน่นสูงขึ้นและลอยต่ำลง เมื่อได้รับความเย็น ปกติป่าที่มีความร่มรื่นและมีการระเหยของน้ำอยู่ตลอดเวลา จะสูญเสียความร้อน ประกอบกับร่มไม้ ทำให้อากาศบริเวณนั้นมีความเย็น เมื่ออากาศที่มีไอน้ำปริมาณหนึ่งไหลมากระทบความเย็น จะเกิดการควบแน่น จนหนักและตกลงสู่พื้น ครับ (ลองเอาแก้วสองใบ ใบนึงแช่ตู้เย็นไว้ อีกใบนึงไม่ต้องแช่, เป่าอากาศ จากปากเราเข้าไปที่แก้วทั้งสองใบ แล้วลองดูว่า ใบไหนมี ขี้ฟัน .. เอ้ย .. ไอน้ำเกาะมากกว่ากัน) อนึ่ง ป่าที่ขึ้นอยู่บนภูเขาสูง ปกติจะมีอุณหภูมิที่ต่ำ และอยู่ใกล้ระดับของเมฆอยู่แล้ว เป็นอีกปัจจัยที่เร่งให้ "จับ" ไอน้ำในอากาศใด้ดีขึ้น 2. ปริมาณไอน้ำในบริเวณป่า ต้นไม้ โดยธรรมชาติมีการคายน้ำ ปกติการสังเคราะห์แสง ซึ่งเกิดขึ้นในเวลากลางวัน จะจับ CO2 กับน้ำ ไปเปลี่ยนเป็น น้ำตาล กับ O2 แบบข้างล่างนี้ครับ 6CO2 + 6H2O → C6H12O6 + 6O2 ตอนกลางคืนต้นไม้จะหายใจ เพื่อนำพลังงานที่เก็บไว้เมื่อตอนกลางวันมาใช้ โดยจะปล่อย H2O และ CO2 ออกมา กระบวนการกลับกับข้างบนครับ (บอกแล้ว ว่าอย่าเอาต้นไม้ไว้ในห้องนอน) ซึ่งจะทำให้อากาศในบริเวณนั้นชื้นมาก (น้ำค้างในป่าก็เกิดจากกระบวนการนี้แหละครับ) เมื่ออากาศที่มีความชื้อจากข้างนอกป่า พัดมาปะทะกับความชื้นที่บริเวณป่า โอกาสจะเกิดการควบแน่นจึงสูงขึ้นครับ ปัจจัยทั้งสองอย่างนี้เมื่อเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในบริเวณเดียวกัน จะมีโอกาสทำให้ฝนตกได้มากขึ้นครับ อาจจะมีคำถามว่า ขาดปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดฝนได้ไม๊  คำตอบคือได้ แต่ต้องมีอีกปัจจัยมาช่วยมาก ๆ เช่น ถ้าไม่มีความชื้นจากป่า ฝนจะตกไม๊ .. ตอบว่าตกได้ครับ ถ้าอากาศเย็นมาก ๆ แล้วมีความชื้นเข้ามาปะทะ อย่างเช่นบนภูเขาสูง ๆ หรือประเทศที่มีอากาศเย็นมาก ๆ อีกทางนึง ถ้าไม่มีความเย็น แต่มีความชื้นมาก ๆ ก็ทำให้ฝนตกใด้เช่นกัน เคยเข้าไปในห้องซาวน่า ไม๊ครับ ร้อนตับแตก แต่มีไอน้ำควบแน่นอยู่บนเพดาน ถามว่า ไม่มีป่า จะมีฝนได้ไม๊ คำตอบคือ มีได้ครับ จากข้างบน ต้นน้ำหลายสาย อย่าง หวงโห แยงซีเกียง หรือ แม่น้ำโขง รับน้ำจากการกลั่นตัวโดยกระทบความเย็นอย่างเดียว โดยไม่มีต้นไม้ช่วยให้ความชื้น หรือ ฝนอาจถูกพัดมาจากที่อื่น แล้วตกลงแถวนั้นพอดี แต่ประเทศเราไม่โชคดีขนาดนั้นครับ เราไม่ค่อยมีอากาศเย็น ๆ เราไม่มีภูเขาต้นน้ำสูง ๆ แบบที่ความชื้นพัดมาปะทะแล้วกลั่นตัวได้ หรือ ตกมาเป็นหิมะ แบบหลาย ๆ ประเทศครับ ป่าจึงมีความสำคัญอย่างมาก ในการดักจับเมฆให้ตกลงมาเป็นฝน ไม่ใช่ลอยผ่านมาแล้วก็ผ่านไปครับ จากคุณ : เตยทะเล - [ 31 ม.ค. 51 16:05:59 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เยี่ยมมาก แบบนี้ต้องโหวต จากคุณ : pata201 - [ 31 ม.ค. 51 16:52:24 ]

ความคิดเห็นที่ 63 จากคุณ : ~*~* IanGee *~*~ - [ 31 ม.ค. 51 17:18:15 ]

ความคิดเห็นที่ 64 หุ หุ ยังอาจไม่จบดีเลย.....เด๋วจาเชฟ ไว้อ่าน...แต่โหวตให้ก่อนละกัน เก่งจิงๆๆๆ เลย จากคุณ : Annetoon (annetoon) - [ 31 ม.ค. 51 17:24:12 ]

ความคิดเห็นที่ 65 น้ำตาตกในล่ะคะ มันมาจากไหน จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 31 ม.ค. 51 17:38:09 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เพิ่มเติมนิดนึงครับ เรื่อง "น้ำตกไหลทั้งปี" เนี่ย ถ้าป่าอุดมสมบูรณ์ ป่าทำหน้าที่เหมือน buffer อะครับ เก็บน้ำไว้ยามเหลือเฟือ แต่ ปล่อยน้ำออกมายามขาดแคลน จะบอกว่าอะไรที่เก็บอยู่ใน buffer ก็มีหมดเหมือนกันนะครับ ถ้าฝนแล้งนาน ๆ น้ำตกที่ไหลอยู่ตลอด จะไหลน้อยลงเรื่อย ๆ จนหมดไป อย่างที่เห็นกันหลาย ๆ แห่งครับ ถ้าต้องการให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี คงคาดหวังให้ฝนตกตลอดทั้งปีไม่ได้หรอกครับ เราต้องการ buffer ที่ใหญ่ขึ้นมากกว่า ปัญหาน้ำไม่พอใช้ หรือ น้ำท่วม ผมว่าเกิดมาจากเรามี Buffer ที่เล็กเกินไป (และเล็กลงทุกที) ครับ จากคุณ : เตยทะเล - [ 31 ม.ค. 51 17:41:02 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เก็บเข้าคลัง กับ โหวตกระทู้เรียบร้อยแล้วครับ   เป็นความรู้เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟังได้เลยทีเดียวครับ  เวลาไปเที่ยวป่า เที่ยวน้ำตก ^^ สำหรับ #33 ก็เป็นข้อสังเกตที่ดีแล้วนะครับ  และคิดว่า #61 น่าจะตอบคำถามของคุณได้เป็นอย่างดี   แนะนำให้ลองไปเที่ยวป่า ค้างในป่าดูซักคืน 2 คืนนะครับ ^^ จากคุณ : goddance - [ 31 ม.ค. 51 17:58:59 ]

ความคิดเห็นที่ 68 #34 เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นปัญหาไก่กับไข่นะครับ มันอาจจะเป็น หรือไม่เป็นก็ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือฝนตกทำให้คนกางร่ม ไม่ใช่คนกางร่มแล้วฝนตก และไม่จำเป็นต้องเป็น feedback (คือข้อ 3 ด้านล่าง) ด้วย คือ ไม่จำเป็นต้อง ฝนทำให้เกิดป่า แล้วป่าจะต้องทำให้เกิดฝนด้วย ไม่จำเป็นครับ สิ่ง 2 สิ่ง (A กับ B) ที่เกิดพร้อมกัน (correlate) มันจะเป็นได้หลายกรณีคือ 1. A ทำให้เกิด B 2. B ทำให้เกิด A 3. A ทำให้เกิด B และ B ก็ทำให้เกิด A ด้วย 4. A และ B ไม่เกี่ยวกันเลย 5. มี C ที่ทำให้เกิด A และ B #51 ดินเนี่ยซับน้ำนะครับ ไม่เชื่อลองหาผืนดินโล่งๆ แล้วเทน้ำไปสิ จะเอาไปเทียบกับโคลนได้ไง ก็โคลนนั่นแหละคือดินที่มันซับน้ำจนไม่รู้จะซับยังไงแล้ว เรื่องการยกตัวอย่างเนี่ย ผมว่ามันพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก ผมลองยกมาให้คุณเห็นเท่านั้นว่า อย่าไปเชื่อการยกตัวอย่างมาก เพราะถ้าเปลี่ยนตัวอย่างนิดนึง ภาพที่ออกมาก็ผิดกันไปเยอะเลย #56 ทำไมภาระการพิสูจน์ต้องอยู่ที่ผมล่ะครับ ลองคำนวณดูเองสิว่า อัตราการคายน้ำของป่า+การคายน้ำของดินที่ป่าบัง เทียบกับ อัตราการระเหยของน้ำของผืนดินที่ไม่มีป่าบัง เนี่ยมันเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่รู้เหมือนกัน ก็อย่าเพิ่งรีบสรุป แล้วการไม่พิจารณาให้ครบทุกตัวแปร แล้วมาสรุปว่า "ป่าคายน้ำ แล้วทำให้เกิดฝน" เนี่ยยังไงมันก็ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว ผมไม่ได้บอกว่า "ตรงไหนมันชื้นป่ามันก็ตามมาเอง" นะครับ ไปอ่านอีกรอบ ผมบอกว่า ลมมรสุมทำให้เกิดฝน ฝนทำให้เกิดความชื้น ฝนทำให้เกิดน้ำ น้ำทำให้เกิดป่า ครับ เข้ากรณี 5 ครับ เรื่องความเจริญกับคน เนี่ยผมเห็นด้วยกับคุณครับ อันนี้เข้ากรณี 3 เป็น positive feedback #61 [ป่าหายใจเอาน้ำออกมา] เริ่มจากจุดที่เข้าใจตรงกัน คือคุณบอกว่าป่าหายใจในเวลากลางคืน แล้วคายน้ำออกมา ตามสมการ C6H12O6 + 6O2 --> 6CO2 + 6H2O  ------ (1) แล้วพอความชื้นมาเจอ ฝนมันก็เลยตกง่ายขึ้นตอนกลางคืน อันนี้ผมก็ว่าเป็นไปได้ แต่อย่าลืมว่าตอนกลางวัน ต้นไม้ก็ดูดน้ำเข้าไปเพื่อสังเคราะห์แสง 6CO2 + 6H2O --> C6H12O6 + 6O2 ---------- (2) อย่างนี้ ก็สรุปได้เหมือนกัน โดยใช้สมการเดียวกันกับที่คุณยกมา ว่า "ในตอนกลางวัน ป่าทำให้ฝนตกน้อยลง" ถ้าเอาแค่ 2 สมการข้างบน อย่าเพิ่งดูปัจจัยอื่น ก็สรุปได้ว่า การสังเคราะห์แสง/หายใจของต้นไม้ เมื่อหักลบกันแล้วไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความชื้น เผลอๆ ต้นไม้จะทำให้ความชื้นน้อยลงเสียอีก เพราะน้ำในสมการ 2 เนี่ยมันมีมากกว่าน้ำในสมการ 1 เหตุผลก็คือ เวลาต้นไม้โต ต้นไม้จะสะสมแป้ง/เซลลูโลส ทำให้การเกิด (2) มากกว่า (1) ตามทันไหมครับ สรุปคือมันดูดน้ำเข้าไปมากกว่า คายออกมา [ป่าเย็น ทำให้ไอน้ำควบแน่น] มันจะไปจริงได้ไงครับ มันเย็นแต่ใต้ต้นไม้น่ะสิ ฝนน่ะมันตกจากฟ้านะครับ ไม่ได้ตกจากยอดไม้ ลองนึกถึงเต้นท์ที่ตั้งอยู่กลางแจ้งก็ได้ ใต้เต้นท์มันก็เย็นชัวร์อันนี้ยอมรับ แต่หลังคาเต้นท์มันจะเย็นได้ไง? เผลอๆถ้าคิดแต่ปัจจัยนี้ ป่าเนี่ยแหละทำให้ไอน้ำไม่ควบแน่น เพราะป่าทำให้  ณ ความสูงเหนือยอดไม้มีอุณหภูมิสูงขึ้น ความร้อนของโลกนี้ มันเกิดจากการที่พลังงานแสงกระทบวัตถุครับ  แสงมันกระทบยอดไม้เกิดเป็นอุณหภูมิ เมื่อเทียบระหว่างยอดไม้กับอากาศแล้ว ยอดไม้ดูดแสงได้ดีกว่าอากาศ อากาศโดยรอบจึงร้อนกว่าไม่มียอดไม้ [น้ำค้างในป่า] ไม่เกี่ยวกับการหายใจของต้นไม้หรอก น้ำค้างเกิดจากการที่ความชื้นเยอะ แล้วอุณหภูมิลดลง อากาศเลยรับน้ำไม่ไหว สังเกตผนังตึกที่เปียกๆตอนเช้าสิครับ อ่านดู http://en.wikipedia.org/wiki/Condensation [การวางต้นไม้ในห้องนอน] ีนี่เป็นอีกตัวอย่างของการไม่คำนึงถึง นัยสำคัญ ต้นไม้ต้นสองต้นในห้องนอน ไม่ได้ทำให้ CO2 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแต่ประการใด มันคาย CO2 จริงตามสมการ C6H12O6 + 6O2 --> 6CO2 + 6H2O แต่น้อยมากๆ พิสูจน์ง่ายๆโดยไม่ต้องคำนวนให้ยุ่งยาก ว่าไม่มีนัยสำคัญ ลองเผาคาร์บอน ให้เท่ากับมวลที่ต้นไม้นั้นลดลง เพราะกระบวนการหายใจ แล้วดูว่า CO2 ที่เกิดขึ้นน่ะ มันทำให้คุณหายใจไม่ออกหรือเปล่า คุณว่าต้นไม้ในกระถาง 1 ต้น มันเผาผลาญกลูโคส/แป้ง ไปกี่กรัมต่อคืนล่ะ คุณสังเกตเห็นน้ำหนักมันเปลี่ยนรึเปล่าล่ะ แล้วคุณคิดว่าเพื่อนร่วมห้องของคุณ กับต้นไม้ 1 ต้นเนี่ยอะไรมันหายใจมากกว่ากัน? อยากจะบอกว่า ผมก็ชอบต้นไม้/สวนหย่อม เพราะมันร่มรื่น สบายตา แต่อย่าด่วนสรุปว่าสิ่งดีๆ สิ่งหนึ่ง จะต้องทำให้เกิดสิ่งดีๆ เสมอไป ต้นไม้มีประโยชน์บางอย่าง แต่ก็ไม่ได้มหัศจรรย์ทำได้ทุกอย่างครับ โดยเฉพาะการทำให้ฝนตก จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 31 ม.ค. 51 18:38:02 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เป็นความรู้ที่ดีคะ จากคุณ : เนเวอร์แลนด์ - [ 31 ม.ค. 51 18:41:25 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ขอโหวตให้ด้วยคนนะค่ะ จากคุณ : Jaw (white pigeon) - [ 31 ม.ค. 51 18:42:16 ]

ความคิดเห็นที่ 71 โหวดด้วยคนครับ เยี่ยมมาก เซฟไว้แล้วครับ เก็บเป็นคลังความรู้  อิอิอิอิ จากคุณ : เต่าเทอร์โบ (udom.t) - [ 31 ม.ค. 51 18:55:46 ]

ความคิดเห็นที่ 72 จาก google เขาบอกว่า อ่านเอง At night, in term of relative humidity (%rh), the city was 5%rh - 9%rh less humid than the pasture yet about 3%rh more humid than the forest. During the day the city humidity was similar to that of the pasture but 3%rh to 6%rh drier than the forested area. ผมว่าที่รู้สึกกันว่าป่าชื้น เนี่ยมันเพราะคุณไปนอนกันกลางแจ้งรึเปล่าครับ ผมตากผ้าค้างคืนไว้ น้ำค้างก็เกาะเต็มเหมือนกัน ทั้งๆที่บ้านผมไม่ได้อยู่กลางป่านะ ถ้าอยากยืนยัน ลองหาแผนที่ความชื้นของประเทศไทยสิครับ wiki บอกว่ากรุงเทพเนี่ยแหละชื้นสุด ทั้งที่ไม่มีป่าเลย กินข้าวเดี๋ยวมา จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 31 ม.ค. 51 19:10:00 ]

ความคิดเห็นที่ 73 กระทู้ดีมีสาระ โหวตสักหน่อย อิๆ จากคุณ : Co-Arrange - [ 31 ม.ค. 51 20:31:47 ]

ความคิดเห็นที่ 74 แปะไว้ก่อน สงสัยยาว เดี๋ยวมาอ่านต่อ โหวตครับ จากคุณ : kti - [ 31 ม.ค. 51 20:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อย่างกะ กลับไปเรียน Hydrology ใหม่ เดาว่า จขกท. เรียนโยธา แหล่งน้ำ หรือเปล่าคับ จากคุณ : Renzolution - [ 31 ม.ค. 51 22:26:16 ]

ความคิดเห็นที่ 76 แสดงความคิดเห็นหน่อยนะครับ เรื่องดินซับน้ำเนี่ย ผมว่ามันจะซับแค่ตอนแรกๆนะครับ แต่พอนานๆไปถ้าไม่มีต้นไม้ หน้าดินจะถูกชะล้างไปหมด ทำให้เหมือนกับเทน้ำลงบนกระจกตามที่ จขกท. บอกไว้ครับ จากคุณ : . (stereo) - [ 31 ม.ค. 51 22:44:44 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ผมตามอ่านความเห็นของท่านหนึ่งอยู่ครับ... ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : al50ในตำนาน - [ 31 ม.ค. 51 23:13:41 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ชอบๆๆ ได้ความรู้ดี จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) - [ 31 ม.ค. 51 23:50:52 ]

ความคิดเห็นที่ 79 มาเชียร์ครับ จากคุณ : ^[6_9]^ - [ 31 ม.ค. 51 23:56:59 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ดินดูดซับน้ำได้ครับ เร็วพอควรด้วย กับดินที่ดีๆ แต่ว่า มันจะดูดซับได้เร็ว กับปริมาณน้ำระดับนึง เมื่อฝนตกลงมา แน่นอนว่าดินจะดูดซับน้ำได้ทันที พอน้ำเริ่มมาก (นึกภาพ น้ำเริ่มเติมเต็มช่องว่างของดินชั้นบนๆ) น้ำก็จะเริ่ม ซึมลงไปในดินได้ช้า เนื่องจากความแน่นของดินชั้นล่าง (capillary force สูง) จุดนี้แหละครับ ต้นไม้ จะมีส่วนสำคัญ เพราะ น้ำย่อมไหลลงที่ต่ำ ถ้า ดินชั้นบนเริ่มเต็มไปด้วยน้ำแล้ว น้ำฝนที่ยังตกลงมาอยู่ ก็จะไหลนอง เป็นน้ำผิวดินแทน น้ำผิวดินนี้ก็จะไหลไปรวมกันเป็นแม่น้ำนั่นเอง แต่เมื่อมีต้นไม้หนาแน่น จะเกิดการเก็บกักน้ำไว้บนชั้นผิวดินด้านบนมากขึ้น ให้น้ำมีเวลาซึมลงไปนานขึ้น จะเกิดช่องว่างของดินชั้นบนมากขึ้น จากการเจริญเติบโตของราก ทำให้ดินเก็บกักน้ำได้มากขึ้น (ตรงข้ามกันกับดินแบบเดียวกันที่ไม่มีอะไรขึ้นอยู่) อีกอย่าง น้ำที่ค้างติดบนต้นไม้ ก็ไม่ใช่น้อย (จำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร) ดังนั้น เมื่อต้นไม้หนาแน่น การสะสมน้ำจะเกิดขึ้นมากกว่า เราก็จะได้น้ำใต้ดินมากกว่า กระบวนการมากกว่านี้เกิดขึ้นซ้ำๆ มันก็จะมากมาย แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 51 00:32:15 จากคุณ : GreenEyes - [ 1 ก.พ. 51 00:17:28 ]

ความคิดเห็นที่ 81 โหวตให้ด้วยคนค่ะ คราวหน้า ขอเป็นเรื่องต้นกำเนิดแม่น้ำโขงนะคะ ^^ จากคุณ : LovelyDetective - [ 1 ก.พ. 51 00:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ส่วน ฝน ในอากาศมีความชื้นครับ ความชื้นเหล่านี้จะกลายเป็นฝนได้ เมื่อ มันมีมากพอ หรือเกิดการควบแน่น ผลของภูเขา คือ เมื่ออากาศที่มีความชื้น เคลื่อนผ่านภูเขา อากาศจะถูกยกขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศที่สูงขึ้น ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำลง ทำให้เกิดการควบแน่นและตกลงมาเป็นฝน ฝนนี้ ทำให้ความชื้นแถวนั้นสูง เกิดเปน ป่า ขึ้นมา (ตามรูปอันงดงามที่บรรจงวาดขึ้น) หลังจากนั้น อากาศที่ผ่านป่า ซึ่งมีความชื้นสูง ก้ทำให้ความชื้นในอากาศนั้นสูงขึ้นไปอีก ยิง่ทำให้เกิดการควบแน่นได้ง่ายขึ้น ปริมาณฝนก็มากขึ้นด้วย บางที่ครับ ภูเขาด้านนึงสมบูรณ์มากๆ เพราะมันบังทางลมจากมหาสมุทรพอดี ฝนเลยตกอยู่แถวนั้นบ่อยๆ แต่ พอหลังเขาลูกนั้นไป ฝนตกน้อยกว่าเยอะเชียว เพราะอากาศมันโดนภูเขาตบขึ้นไปควบแน่นเปนฝนไปซะหมดแล้ว ส่วนบางที่ที่มีความชื้นสูง แต่ฝนไม่ตก นั่นเพราะ มันไม่มากพอทำให้เกิดการควบแน่น แต่ถ้าอากาศนี้ถูกยกขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศที่สูงขึ้นที่เย็นกว่า ก็จะเกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำ เปนฝน ตกลงมาครับ (แบบแก้วน้ำใส่น้ำแข็ง จะเห็นว่า ความชื้นในอากาศมาควบแน่นอยู่รอบแก้วเต็มไปหมด) จากคุณ : GreenEyes - [ 1 ก.พ. 51 00:31:01 ]

ความคิดเห็นที่ 83 กระทู้นี้ดีจริงๆ ถึงจะมีการขัดแย้งกันเรื่องความคิด แต่ไม่มีการเคืองกันเลย เข้ามาอธิบายอย่างคนมีความรู้กันจริงๆ เยี่ยมครับ นี่สิ กระทู้ความรู้อย่างที่สุด สนับสนุน กระทู้แบบนี้ครับ ได้ความรู้อีกแล้วขอบคุณมากครับ จากคุณ : หมูกระเทียม+ไข่ดาว - [ 1 ก.พ. 51 00:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 84 อยากรู้ว่า ถ้าภูเขาหัวโล้นแล้วมีฝนตกตลอดเวลาใส่ภูเขาหัวโล้นนั้น จะมีโอกาสเกิดป่าได้มั๊ย ขอบคุณ คุณ เตยทะเลครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 51 19:02:28 จากคุณ : ป่าป๋า (ป๋าของหม่ามี๊) - [ 1 ก.พ. 51 01:54:41 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ขอบคุณครับ คุณLanoz จากคุณ : Krubpum - [ 1 ก.พ. 51 03:36:10 ]

ความคิดเห็นที่ 86 #68 ครับ 1. ประเด็นเรื่องการใช้น้ำในการสังเคราะห์แสง และ ปล่อยน้ำในกระบวนการหายใจ ต้นไม้ใช้น้ำสังเคราะห์แสงตามสมการนั่นถูกต้องครับ ดังนั้นต้นไม้ใช้น้ำ(ตอนกลางวัน เพื่อสังเคราะห์แสง) มากกว่าปล่อยออก (เพื่อหายใจ ในตอนกลางคืน) แน่นอนอยู่แล้วครับ ดังนั้นต้นไม้ หรือ ป่า ไม่ได้ปล่อยน้ำครับ แต่ใช้น้ำ อันนั้นก็ถูกอีก แต่ประเด็นที่ผมต้องการจะชี้ให้เห็นคือไอน้ำที่ได้จากการหายใจของพืช ทำให้อากาศชื้นขึ้นครับ ถ้าเราพูดถึงต้นไม้แค่ต้นหรือสองต้น หรือไม่กี่สิบต้น มันคงไม่ค่อยเห็นผลในเรื่องของไอน้ำครับ แต่นี่เราพูดกันถึงป่า ที่มีต้นไม้เป็นหลักแสนหลักล้านต้นอยู่ด้วยกันอย่างหนาแน่นครับ ป่าดงดิบทำให้เกิดความชื้นจากกระบวนการดังกล่าวมากกว่าป่าโปร่งอยู่แล้วครับ ประเด็นเรื่องอุณหภูมิของป่า มักจะเย็นกว่าบริเวณอื่น ผมไม่ได้มองเรื่องร่มเงาครับ แต่เป็นเรื่องของการระเหยของน้ำเป็นไอน้ำ ซึ่งต้องดูดซับพลังงานความร้อนจากสิ่งแวดล้อม ทำให้อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมเย็นลง เหมือนเราเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้า หรือการที่คนเราเหงื่อออกเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายอะครับ ป่าเองไม่ได้เป็นต้วกำเนิดน้ำครับ แต่เป็นตัว "ล่อ" และ "เร่ง" ให้ฝนตกในบริเวณนั้นอย่างใน #61 ครับ 2. การปล่อย CO2 ของต้นไม้ เรื่องต้นไม้หายใจตอนกลางคืนแล้วปล่อย CO2 จึงไม่ควรนำต้นไม้มาไว้ในห้องนอน อันนั้นจริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เนื่องจากปริมาณ CO2 ที่ปล่อยออกมาน้อยมาก เมื่อเทียบกับของคน ถ้าเป็นต้นไม้ต้นหรือ สองต้น ก็ไม่ค่อยมีผลจริง ๆ แต่บางคน ล่อแบบกระถางใหญ่ ๆ ซะเป็นสิบ ยังกับป่า อย่างงั้นก็ไม่ไหวครับ อย่าลืมนะครับว่าถ้าห้องนอน ยิ่งเป็นห้องแอร์ การแลกเปลี่ยนอากาศในห้อง กับนอกห้องมันค่อนข้างน้อยครับ CO2 ที่เพิ่มขึ้นมันอาจจะน้อยครับ แต่ถ้าเลือกได้ เอาต้นไม้ไว้ ตามห้องรับแขก หรือ ในครัว จะดีกว่านะครับ ปล. แฟนผมปล่อย CO2 มากกว่าต้นไม้อีกครับ บางครั้งยังมีพวก CH4 แถมมาอีกอะ คริ ๆ 3. น้ำเกาะผนังตึกตอนเช้า ๆ อันนี้เรื่องการถ่ายเทความร้อนและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของวัตถุครับ ถ้าเอาผนังแบบเดียวกับไปไว้ในป่า น้ำน่าจะเกาะมากกว่าผนังในทะเลทรายนะครับ 4. กรุงเทพ ไม่มีป่า ทำไมอากาศชื้น ทำไมฝนตก กรุงเทพอยู่ใกล้ทะเลมาก ๆ ครับ จริง ๆ แล้วตัวที่ทำให้เกิดความชื้นในอากาศหลักๆ ของโลกเรา เนี่ย มันคือการระเหยน้ำจากทะเลครับ มีโอกาสที่ลมจะพักจากทะเล น้ำความชื้นเข้ามาก็มีมาก แล้วถ้ายิ่งปะทะกับมวลอากาศเย็น (อย่างเมื่อวันสองวันก่อน) โอกาสที่ฝนจะตกที่บริเวณนั้น ก็มากตามไปด้วยครับ ถ้าสมมุติเปลี่ยนกรุงเทพเป็นป่าดงดิบ ตามหลักการข้างบน ฝนน่าจะตกมากขึ้นครับ (ดูอย่างแถว จ.ระนอง จ.พังงาครับ) (ใน #61 ผมบอกห้องซาว์น่า เปลี่ยนเป็นห้อง Steam นะครับ ไม่เหมือนกัน) อยากให้อ่านถาม และช่วยกันวิเคราะห์เยอะ ๆ ครับ เรื่องพวกนี้สมัยก่อนสอนกันในโรงเรียนแบบผิด ๆ เยอะนะครับ ไม่รู้เดี๋ยวนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว จากคุณ : เตยทะเล - [ 1 ก.พ. 51 09:14:17 ]

ความคิดเห็นที่ 87 #84 ภูเขาหัวโล้น (แบบมีแต่ดินกับหิน) ที่ฝนตกใส่เยอะ ๆ ก็กลายเป็นป่าได้ครับ .. แต่อาจใช้เวลานิดนึง มันจะเริ่มจากลมพัดพวกเมล็ดพืช (ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหญ้า กับวัชพืชบางประเภทที่อึด ๆ) มาตก พอได้น้ำก็จะงอก พื้นที่เริ่มปรับสภาพให้พืชชนิดอื่นโตได้ ลองอ่านเรื่อง Ecological Succession ดุครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Ecological_succession จากคุณ : เตยทะเล - [ 1 ก.พ. 51 10:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เรื่องผมคุยกับเพื่อนมานานแล้ว ตอนนั่งดูแม่น้ำที่ไหลไม่มีวันหมดน้ำมันมากขนาดนี้มันมาได้ยังไงตลอดทั้งปี ตอนนี้กระจ่างชัดแล้วครับ เป็นประโยชน์มากๆเลยครับ ขอบคุณมากๆ คห.30 เรื่องบ่อบาดาล มองเห็นภาพเลยครับที่บ้านเพิ่งใช้รถเจาะลงไปถึงจะเจาะแค่ 60 กว่าเมตรมั้งครับไม่แน่ใจก็เจอชั้นหินสีขาวๆน้ำที่ได้ใสมากๆคนเจาะบอกถ้าเจอชั้นหินแบบนี้จะมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี บ่อเดิมที่ใช้คนขุดตอนนี้ก็เริ่มแห้งแล้ว จากคุณ : หล่อกว่า Sean Kingston แล้วกัน - [ 1 ก.พ. 51 10:46:17 ]

ความคิดเห็นที่ 89 สาระและความรู้เต็มเปี่ยม ครับ โหวตเลยละกัน จากคุณ : vn, man - [ 1 ก.พ. 51 11:29:50 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เยี่ยมครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเพิ่มเติมความรู้ จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 1 ก.พ. 51 11:42:21 ]

ความคิดเห็นที่ 92 อ่านๆแล้ว..  ช่วยๆกัน อนุรักษ์แหล่งต้นน้ำ   กันนะครับ  โหวตครับ.(ใครว่าง  หาแหล่งลุ่มน้ำในไทย  มานำเสนอบ้างก็ดีครับ) จากคุณ : คนบ้านสามขา101ฯ. - [ 1 ก.พ. 51 12:34:09 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ โหวต ๆ  ๆ ^___^ จากคุณ : BlackLotus - [ 1 ก.พ. 51 14:20:59 ]

ความคิดเห็นที่ 94 แจ่มมากครับ จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร - [ 1 ก.พ. 51 21:24:20 ]

ความคิดเห็นที่ 95 แจ่มครับ ความรู้ๆ อิอิ อยากไปเห็นพวกจุดที่น้ำผุด ในที่ต่างๆจริงๆ อย่าง คห.4 ก็สวย หุๆ อย่างบ้านผมเจาะบ่อบาดาน ช่วงฤดูฝน น้ำมันผุดขึ้นมาจากบ่อเองทุกปีเลย ส่วนช่วงปกติ น้ำอยุ่ลึกจากปากบ่อแค่ 2 เมตรเอง ปั้มใช้สบายมาก อิอิ จากคุณ : Jet_XP - [ 2 ก.พ. 51 00:29:24 ]

ความคิดเห็นที่ 96 เยี่ยมมากค่ะ คุณ Lanoz น่าจะเอาไปใส่ wiki ไว้นะคะ เพื่อใครมาค้นจะได้หาเจอ จากคุณ : โกวเนี้ย - [ 2 ก.พ. 51 02:00:42 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ชอบห้องนี้ก็เพราะกระทู้ดีๆแบบนี้แหละ แย้งกันด้วยวิชาการ ทะเลาะกันด้วยความรู้ ผลที่ได้รับ พัฒนาสมองไปเต็มๆ จากคุณ : jedza39 - [ 2 ก.พ. 51 10:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ขอบคุณเจ้าของกระทู้ สิ่งที่เก็บอุ้มน้ำคือ "ดิน" ไม่ใช่ "ต้นไม้" ป่าไม่ได้อนุรักษ์น้ำโดยตรงอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ แต่ป่าทำหน้าที่อนุรักษ์ "ดิน" ชะลอการไหลของน้ำให้ช้าลง ทำให้ดินคงอยู่ เพื่อที่ดินจะได้อนุรักษ์น้ำ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 51 18:05:31 จากคุณ : กาลามะชน - [ 2 ก.พ. 51 13:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เจ๋งจริงๆ คร้าบ จากคุณ : หน่วยต่อสู้อากาศยาน - [ 3 ก.พ. 51 08:18:40 ]

ความคิดเห็นที่ 100 อืม..... จากคุณ : อาว์เอ็ด - [ 3 ก.พ. 51 17:16:10 ]

ความคิดเห็นที่ 101 รอคอยกระทู้แบบนี้มานานแล้ว   ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : ไม้ไผ่โย่ง - [ 3 ก.พ. 51 21:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ป่าในประเทศไทย เป็นป่าเขตร้อนชื้น ต้นกำเนิดของแม่น้ำจึงเกิดจากป่า และต้องเป็นป่าดิบชื้นเท่านั้นถึงจะเก็บความชื้นไว้ได้ น้ำใต้ดินทั้งหลายก็เกิดจากป่าที่อมความชื้นไว้แล้วค่อยๆ ซึมลงไปเก็บกักไว้ใต้ดิน ผมเป็นคนโคตรบ้านนอกคนหนึ่ง เห็นป่ามาตั้งแต่ยังเด็ก สมัยเด็กๆ ที่นาพ่อผมไม่เคยขาดน้ำ มีน้ำผุดเกิดขึ้นมากมาย มีให้ใช้ได้ตลอดปี เป็นเพราะว่ามีป่าอยู่ในที่สูง ผมชอบขึ้นไปซุ่มยิงนก กระรอก กระแต บ่าง ไก่ป่า งูสิง หนูป่า พังพอน อีเห็น ซึ่งมีอยู่มากมาย กระทั่งญาติๆ ก็ได้ช่วยกันหักร้างถางพง รุกที่ป่า รวมทั้งคนอื่นๆ ก็ช่วยกันถางป่า จนป่าหมด มองไปทางไหนก็จะเจอไร่มันสำปะหลัง ไร่ปอ (ตอนนั้น) แค่ปีเดียวที่ป่าโล่ง น้ำผุดหายหมด บ่อน้ำที่เคยมีน้ำเต็มทั้งปีก็แห้งหมด ทั้งๆ ที่ไร่มันเขียวชะอุ่มคลุมดิน ประสบการณ์จริงได้สอนผมว่าป่ามีความสำคัญกับต้นน้ำโดยที่ไม่ต้องอ่านตำรา แค่นี้ก็พิสูจน์ได้ว่าป่ารักษ์น้ำ ส่วนน้ำใต้ดิน ถ้าไม่มีป่า น้ำใต้ดินก็หมด ยกเว้นเป็นอยู่ในระดับแม่น้ำ หรือทะเล ข้อสำคัญอีกข้อคือ ป่าช่วยไม่ให้ดินพังทลาย กรุงเทพฯ อยู่ใกล้ทะเล เป็นเขตร่องมรสุมฝนจึงตกบ่อย ไม่แปลก ประเทศในเขตหนาว แม่น้ำลำธาร เกิดจากหิมะละลาย ไม่แปลก แต่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ถ้าไม่ป่า ตายหยังเขียด!!! จากคุณ : chem chem - [ 4 ก.พ. 51 10:39:28 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ขอบคุณค่ะ นี่แหล่ะหว้ากอ .. จากคุณ : Archimandrite - [ 4 ก.พ. 51 13:47:49 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ขอบคุณ จขกท มากเลยค่ะ ได้ความรู้เพียบ อยากรู้(ชัด ๆ ละเอียด ๆ )มานานแล้ว กระจ่างเลย จากคุณ : jeedjaad - [ 5 ก.พ. 51 10:56:09 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ปกติเคยแต่ไปเที่ยว   วันนี้ได้ความรู้เลย ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : ฟินจัง - [ 5 ก.พ. 51 14:31:57 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ได้ความรู้อีกเยอะเลยวันนี้  ขอบคุณค่า จากคุณ : HappyHippo - [ 6 ก.พ. 51 20:12:18 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เหอ เหอ ดีจังได้กลับมาทบทวนความรู้เก่าๆ ที่คืนอาจารย์ไปเกือบหมดแล้ว ลูกก็เข้ามาอ่านค่ะ แล้วก็ถามว่า แม่ๆ water table แปลว่าอะไร ก็ต้องนั่งอธิบายกันพักนึง เจออีกคำ แม่ๆ runoff ล่ะ ลูกหนอลูกเพิ่งจะ ม. 1เอง จากคุณ : เฟือง - [ 6 ก.พ. 51 23:17:53 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ดีๆ อ่านแล้วชักอยากไปเที่ยวป่าซะแล้ว จากคุณ : คาถาป้องกันแห้ว - [ 7 ก.พ. 51 08:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ดีใจที่อ่านกันรู้เรื่อง เดี๋ยวว่าง ๆ มาโม้ให้ฟังใหม่ จากคุณ : จขกท. (Lanoz) - [ 7 ก.พ. 51 13:12:57 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : WATERSHED - [ 7 ก.พ. 51 16:03:59 ]

ความคิดเห็นที่ 111 เข้ามาโหวตค่ะ จากคุณ : skyrocket - [ 7 ก.พ. 51 22:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 112 วันที่ 2 ธันวาคม 2550 ได้มีโอกาสไปดูฝายชลอน้ำที่บ้านสามขา ลำปาง ถึงได้เข้าใจเรื่องน้ำมากขึ้น เรื่องน้ำนี่มันเกี่ยวกันหลายอย่างครับ ตั้งแต่ มหาสมุทร ภูเขา ต้นไม้ อันนี้ผมสรุปจากประสบการณ์นะ โดยเฉพาะที่ไปตกผลึกที่บ้านสามขา 1 ความชื้นในอากาศแทบทั้งหมดมาจากมหาสมุทร 2 ภูเขาทำให้ฝนตก ตอนแรกไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่อ่าน #82 แล้วคิดว่าประมาณนี้แหละ 3 ฝนที่ตกลงบนภูเขา ส่วนใหญ่จะซึมลงในดิน แล้วไปผุดออกตามจุดต่าง ๆ เกิดเป็นลำธารเล็ก ๆ หลาย ๆ สาย ซึ่งอาจจะไหลมารวมกันเป็นลำธารใหญ่ขึ้น แต่จะไหลอยู่ได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะชลอมันไว้ เช่น หินทั้งบนดินและใต้ดิน ต้นไม้ สิ่งกีดขวางต่าง ๆ ถ้ามีน้อย น้ำก็ไหลออกจากภูเขาเร็วเกินไป เกิดการพัดพาตะกอน และเกิดความแล้งบนภูเขาในบางช่วงของปี ซึ่งเมื่อเดินกุมภาพันธ์ 2550 ได้ไปเห็นความแล้งที่ว่านี้มาแล้ว วิธีที่สามขาใช้คือเอาแนวคิดฝายแม้ว หรือฝายชลอนำมาใช้ ซึ่งใช้ได้ผลที่อื่นมาแล้ว โดยสร้างฝายเล็ก ๆ จำนวนมาก ชลอทางเดินน้ำของลำธารเล็ก ๆ เอาไว้ ซึ่งผลคือ เมื่อธันวาที่ผ่านมา ได้ไปเห็นอีกครั้ง บนเขายังมีน้ำไหล ป่ายังมีความชื้น ตะกอนถูกพัดพาน้อยลง (ปีนี้ไม่ต้องลอกคลองชลฯ) มีน้ำใช้ทำเกษตรตลอดปี ขณะที่ไปกำลังทำนาปรังพอดี ตอนเดินไปในป่า ชาวบ้านชี้ให้ดูต้นกล้าของต้นไม้ในป่าที่พึ่งเกิดจำนวนมาก เค้าบอกว่าไม่ได้เห็นแบบนี้นานแล้ว ชาวบ้านบอกว่าต่อไป ถ้าต้นไม้พวกนี้โตขึ้น พวกเขาก็ไม่ต้องมาคอยซ่อมฝายที่สร้างไว้อีก เพราะมันจะชลอน้ำโดยธรรมชาติ เรื่องเกิดฝนก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องน้ำที่ไหลจากภูเขาตลอดปีก็เป็นอีกเรื่อง จากคุณ : HAL9000 - [ 8 ก.พ. 51 00:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 113 เรื่องความสัมพันธ์ ระsว่าง ดิน น้ำ ป่า ในชุดความรู้ดั้งเดิม ของพื้นบ้านนั้น มีอยู่อย่างมากพอ และสามารถทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปได้อย่างปกติสุข แต่เมื่อชุดความรู้ "สมัยใหม่" เข้ามาแทนที่ (ดดยขาดการคิดวิเคราธห์สังเคราะห์ และวางแผน) ทำให้ วิถีชีวิตดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไป ขาดความเชื่อมโยงกับสถาวะธรรมชาติรอบตัว (ตัดไม้ ขายเป็นเงิน ถางป่า ทำเกษตรเชิงเดี่ยว ฯลฯ) การหลุดลอยออกจากความเป็นธรรมชาตินี่เองที่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอย่างที่เราทราบกันอยู่ในปัจจุบัน จากคุณ : g9h - [ 9 ก.พ. 51 15:23:49 ]

ความคิดเห็นที่ 114 #33  ที่ว่าป่าเพิ่มความชื้น (จากการคายน้ำ?) เนี่ยมันเป็นการมองแค่จุดเดียว เพราะป่ายังเป็นตัวลดความชื้นอีกด้วย ก็มันบังดินจากแสงอาทิตย์ แทนที่น้ำจากผิวดินจะระเหยเป็นเมฆฝน กลับถูกใบไม้บัง ----------------------------------------------------------- แล้วบริเวณที่เป็นป่า มีต้นไม้เยอะ กับทะเลทราย ที่ไม่มีต้นไม้คอยบดบังการระเหยของน้ำในดินให้แก่ธรรมชาติ คิดว่าบริเวณไหนน้ำจะระเหยได้ดีกว่ากันคะ จากคุณ : เด็กอันดับบ๊วย - [ 9 ก.พ. 51 15:42:45 ]

ความคิดเห็นที่ 115 กำลังต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ ภูมิประเทศอยู่พอดีเลย โหวตให้ครับ จากคุณ : . (1812Overtureyoot) - [ 9 ก.พ. 51 16:42:21 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ขอบคุณค่ะ ชอบมากๆกระทู้แบบนี้ จากคุณ : zonier - [ 9 ก.พ. 51 20:56:18 ]

ความคิดเห็นที่ 117 โอ้....กระทู้ดีมีสาระ ที่นานๆจะไม่กลายพันธุ์ อิอิ จากคุณ : ^MoOn_Man^ - [ 10 ก.พ. 51 14:50:33 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ขอบคุณครับ จากคุณ : Ya[K]uNg - [ 11 ก.พ. 51 10:41:22 ]

ความคิดเห็นที่ 119 โหวตโลด จากคุณ : เยี่ยมชม - [ 11 ก.พ. 51 11:27:18 A:125.25.26.49 X: TicketID:154096 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ขออนุญาตถามไว้ตรงนี้ครับ เห็นเมื่อไรก็ค่อยตอบก็ได้ครับ ทำไม่น้ำบาดาลจึงไม่เค็มล่ะครับ ในเมื่อบนผิวดินมีน้ำเค็มให้ซึมลงไปตั้งมาก มาย หรือว่าดินมันเลือกที่รักมักที่ชังครับ แล้วก็ลามไปถึงคำถามข้อที่สองว่า บรรดาสารพิษทั้งหลายที่มนุษย์โง่เง่านำ มาใช้ฆ่าแมลงก็ดี หรือพวกผงซักฟอกก็ดี มันไม่ได้ซึมลงไปสะสมในชั้นล่าง ๆ ด้วยหรือครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : satitp - [ 11 ก.พ. 51 14:01:13 ]

ความคิดเห็นที่ 121 โหวต จากคุณ : เด็กอ้วน (nine_ichatta) - [ 11 ก.พ. 51 23:48:03 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ขอคารวะหนึ่งจอกครับ เป้นความรุ้ที่ทั้งโหวตทั้งเซฟเก็บไว้เล่าให้ลูกฟัง จากคุณ : granun - [ 12 ก.พ. 51 10:03:13 ]

ความคิดเห็นที่ 123 บ่อบาดาล ที่สวนครับ น้ำใต้ดิน ความลึก 18 ม. หน้าฝน จะมีน้ำ ไหลออกมา ส่วนหน้าแล้ง ลองวัดดู นะดับน้ำ อยู่ต่ำกว่าผิวดินปนะมาณ 5  ม. ก็ลองเอา ทฤษฎีที่ จขกท กล่าว มาอ้างอิงก็แล้วกัน จากคุณ : u5canoe - [ 12 ก.พ. 51 19:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 124 อีกภาพ จากคุณ : u5canoe - [ 12 ก.พ. 51 19:33:15 ]

ความคิดเห็นที่ 125 น้ำในบ่อนี้ ไม่เคยแห้ง  แม้จะแล้งแค่ไหนก็ตาม จากคุณ : u5canoe - [ 12 ก.พ. 51 19:40:35 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ป่าก็เหมือนเสื้อผ้านั้นแหละครับ เป็นบัฟเฟอร์ให้ระบบความชื้นและระบบอื่นๆอีกที ไม่มีเสื้อผ้าใส่ก็จะร้อนเร็วหนาวเร็วปรวนแปรรวดเร็ว ความชื้นทำให้มีป่า ป่าก็ช่วยรักษาความชุ่มชื้น จากคุณ : จาก - [ 14 ก.พ. 51 00:00:25 A:58.64.103.208 X: TicketID:159709 ]

ความคิดเห็นที่ 127 แล้วน้ำป่าไหลหลาก นี่มันเกิดจากอะไรล่ะครับ แบบว่า ที่อยู่ๆน้ำก็พุ่งแรงออกมาพัดคนตาย คนหาย อะไรแบบนี้ จากคุณ : Kimpu - [ 14 ก.พ. 51 18:50:09 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ขอบคุณ จขกท. บังเอิญเพิ่งมาอ่านพบเข้า เยี่ยมครับ สงสัยมานานแล้ว จากคุณ : ตุ่น - [ 17 ก.พ. 51 20:19:15 A:58.9.144.148 X: TicketID:115608 ]

ความคิดเห็นที่ 129 คคห.ที่ 33 ต้องไปทบทวนเรื่องนิเวศน์วิทยาใหม่หน่อยแล้วล่ะครับ และต้องศึกษาเพิ่มเติมเรื่องป่าชุมชน และหาดูตัวอย่างที่เกียวข้องกับการฟื้นฟูสองชายฝั่งแม่น้ำในเขตจังหวัดทางภาคใต้ (ขออภัยอย่างยิ่งที่ผมจำหมู่บ้านและแม่น้ำไม่ได้ ดูจากสารคดีไปไม่นานนี่เอง) ไม่ต้องเปลี่ยนความคิดนะครับ คือ ผมเข้าใจคุณที่คุณบอก แต่มันไม่สมบูรณ์ครับ ถ้าได้แก้ไขเป็น "มีแต่ป่าเพียงอย่างเดียว ไม่ทำให้เกิดฝนตก" แบบนี้ผมมั่นใจครับว่าใคร ๆ ก็เห็นด้วยครับ จากคุณ : TumProfess - [ 18 ก.พ. 51 05:34:18 ]

ความคิดเห็นที่ 130 วัฎจักรน้ำ จากคุณ : PalmIIIc - [ 19 ก.พ. 51 10:19:49 ]

ความคิดเห็นที่ 131 เอ่อ..กระผมว่าป่ามันมีหลายประเภทนะขอรับ แม้แต่เขาหัวโล้นที่มีแต่หินนั้น มันก็คือป่าประเภทหนึ่ง หรือทุ่งโล่งๆก็เป็นป่า หรือแม้แต่ทะเลทรายก็เป็นพื้นที่ป่าอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน ที่อ่านๆดู จขกท.จะหมายถึงพื้นที่ป่าที่มีต้นไม้มากๆน่ะครับ ที่จริงหากจะมองกันแค่ป่า(ต้นไม้เยอะๆ) กับฝนนั้นมันก็คงไม่มีนัยสำคัญอะไร แต่ในกระบวนการเกิดฝนและน้ำเหนือดินมันมีกลไกที่ซับซ้อนกว่า แล้วไม่ได้มีแต่ต้นไม้เท่านั้นที่ทำให้เกิดฝน แต่..หากไม่มีต้นไม้ล่ะ เอาแบบไม่มีเลย ผมก็เชื่อ(ตามประสาตาสีตาสา)ว่าฝนก็ยังมีตก แต่คงน้อยลง แล้วก็น้อยลง แล้วการสำรองน้ำโดยธรรมชาติก็น้อยลงด้วย โดยการสร้างเขื่อนก็ไม่สามารถทดแทนได้เลย งั้นขอสรุปแบบกำปั้นทุบดินเลยว่า ฝนไม่จำเป็นต้องมาจากป่า แต่ยังไงก็ตามเราก็ขาดป่าไม่ได้ขอรับ แล้วฝนที่มาจากปัจจัยต่างๆกันนั้นก็มาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ต่างกัน  พื้นที่หนึ่งอาจมีฝนได้โดยไม่มีป่า(แต่บางทีต้นกำเนิดฝนที่ตกอาจมาจากป่าก็ได้) แต่อีกที่หนึ่งอาจจำเป็นต้องมีป่าถึงจะมีฝนก็ได้  ซึ่งในมุมมองที่ต่างกันนี้มองจากบริบทที่ต่างกัน ดังนั้นความเห็นจึงต่างกันด้วยประการฉะนี้ จากคุณ : knotsnake (MitsuGrandis) - [ 21 ก.พ. 51 17:27:07 ]