ความคิดเห็นที่ 1 คำสอนของ สิทธัตถะ ก็เหมือนคำทำนายของ นอสตราดามุส จะตีความยังไงก็ได้ ข่าวในหน้า นสพ ทุกวันนี้ ยังไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ นับประสาอะไรกับคำสอนที่มีมาป็นร้อยเป็นพันปี คนในยุคอดีตก็ตีความอีกแบบหนึ่ง ให้เข้ากับความเชื่อของคนในยุคนั้น พอมายุควิทยาศาสตร์ คนก็ตีความคำสอนนั้นให้เข้ากับวิทยาศาสตร์อีก แล้วก็มาตื่นเต้นกัน ที่แท้ ตีความบิดเบือนกันไปเอง ดูอย่างธรรมกาย จะตีความว่านิพพานเป็นอัตตาก็ยังได้ แล้วทำไมเราจะตีความให้เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ สรุป อย่าได้เชื่อกับสิ่งที่เป็นความงมงายจะดีกว่า จากคุณ : องคุลีมาล - [ 5 ก.พ. 51 06:40:48 A:118.172.10.167 X: TicketID:158287 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ศาสนาอื่นๆ ก็พูดเหมือน จขกท นั้นแล ความไม่เข้าใจ การกีดกัน ความแตกแยก จึงเป็นสิ่งที่ดาษดื่นในโลกใบนี้ จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 ก.พ. 51 06:47:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่รู้ว่าพระอรหันต์จะมีญาณรู้ทุกสิ่งเหมือนตรัสรู้ได้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นคงตอบปัญหาดาราศาสตร์ได้ทุกข้อ จากคุณ : อืม - [ 5 ก.พ. 51 07:44:12 A:58.8.102.204 X: TicketID:065895 ]

ความคิดเห็นที่ 4 องคุลีมาล ผมขอร้องนะครับ คห.1 คุณใช้คำว่า พระพุทธองค์ แทนคำว่า สิทธัตถะ ได้ไหมครับ ...กรุณาครับ ผมใช่พวกบ้าภาษา หรือศาสนา แต่นั้นคือการให้เกียรติ์ศาสดาของคนส่วนใหญ่กว่า 80%ในชาติ ...คุณในฐานะนักวิทยาศาสตร์ทำอะไรขอให้นึกถึงอนาคตนะครับ เด็กๆ เข้ามาอาจจะไม่ศรัทธาพุทธ หรือดูหมิ่นพุทธ ไปทั่ว อะ ...ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เพียงแต่อยากบอกว่า จิตนิยม คุณไม่สามารถใช้เครื่องมืออะไรไปพิสูตรได้  มีแต่เวลานาน และการปรากฏขึ้นจนเป็นกระแสเท่านั้น ...ในนิทานพุทธศาสนา พระประเสนธิโกศล เล่าความฝันแปลกให้พระพุทธองค์ฟัง ว่าเกิดอาเพศในโลกมนุษย์ขึ้น อะไรซักอย่างนี้แหละ ลืมแล้วคับ นานมากๆหลังจากผมฟังบรรยายศาสนาวันนั้น ...ก็ประมาณว่ามนุษย์จะเริ่มไม่เข้าทำนองครองธรรมแล้วคับ มีเกย์ เดียวก็มี กระเทยเอากันกับเกย์   ทอมเอากันกับผู้ชาย งิ ...เอาเข้าจริงๆประเด็นนี้ผมว่าน่าสนใจครับ พระพุทธศาสนามีความเห็นเกี่ยวกับเอกภพและวิทยาศาสตร์ นี้คือเรื่องมหัศจรรย์ นะครับ  ขอไปหาข้อมูลก่อน ...ทำนองว่าจักรวาลทางช้างเผือกจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 07:58:59 จากคุณ : โอซารัน - [ 5 ก.พ. 51 07:56:51 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พระอรหันต์  มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลก  ในขอบเขตที่ไม่เท่ากัน   บางท่านอาจจะรู้มาก  บางท่านรู้น้อย   เพราะเป็นเรื่องของสังขารภายนอก...  แต่แน่นอนว่า  ท่านมีความรู้ในธรรมที่เป็นแก่นเหมือนๆกัน(คืออมตธรรหรือนิพพาน) ยกเว้นท่านที่มีญาณในระดับสูงเช่นพระพุทธเจ้าย่อมมีความรู้ทั้งในธรรม ทั้งในโลก  ในขอบเขตที่ไม่จำกัดหรือกว้างขวางมากๆ  แต่ท่านจะไม่บอกออกมา  หรือจะบอกก็บางเรื่องเท่านั้น  และบอกแบบแนวกว้างๆครอบคลุม  ..เพราะถ้าบอกอนาคตออกมาหมด  อนาคตนั้นก็จะไม่เกิดเป็นจริง  จะโดนเปลี่ยนแปลงเสียก่อนมันจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เพราะรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว   ดังนั้นถ้าบอกไปก็เท่ากับผิดความจริงอยู่ดีนั่นแหละ  แล้วจะบอกไปทำไมกัน?    ..ปกติธรรมชาติของคนรู้จริงในเรื่องอนาคต  จะปิดเงียบ  จะไม่บอกใคร จากคุณ : Clarke - [ 5 ก.พ. 51 07:57:18 ]

ความคิดเห็นที่ 6 การเป็นพวกผิดเพศนั้น ถูกกำหนดมาจากยีนส์จริงแท้ 100% แล้วจริงหรือเปล่า จากคุณ : เซียนแห่งmath - [ 5 ก.พ. 51 07:57:32 ]

ความคิดเห็นที่ 7 พุทธศาสนา ไม่เท่ากับ วิทยาศาสตร์ แน่นอน มีแต่พวกสาวก มักจะไปโยงเพื่อให้ดูน่าสนใจแค่นั้นแหละ บิดเบือนตีความ มั่วกันเข้าไป เหมือนกรณี นอสตราดามุส ทำนายอะไรก็ถูกเสมอ (แต่ทายถูกเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดไปแล้ว) วิทยาศาสตร์ ก็ส่วน วิทยาศาสตร์ - ศาสนา ก็ส่วน ศาสนา ไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกัน ถึงกับต้องมาทะเลาะกัน แยกกันให้ออกสิ แม้แต่ไอสไตร์ ก็ยังนับถือพระเจ้า นักวิทยาศาสตร์ก็ นับถือศาสนากันเยอะแยะ จากคุณ : UPluto - [ 5 ก.พ. 51 08:35:27 ]

ความคิดเห็นที่ 8 พระพุทธเ้จ้าตรัสไว้ว่าอย่างไรบ้างครับ จขกท ผมว่าถ้าจะเบียงเบน ทุกศาสนาโยงกับการผิดเพศได้หมด อยู่ที่ความสามารถของผู้ชักจูง อย่างที่ข้างบนบอกอยู่ที่การตีความ บางอย่างนอสตราดามุสเขียนไว้ อาจไม่มีความหมายเลย คนก็เอามาโยงให้มันตืิ่นเต้นไป จากคุณ : JohnnieWalker - [ 5 ก.พ. 51 08:55:53 ]

ความคิดเห็นที่ 9 หนังสือ The Secret ไม่ตรงกับหลักศาสนาพุทธนะคะ ไปอ่านใหม่ดีๆค่ะ เพราะคนแต่งหนังสือบอกว่า คุณสามารถเข้าถึงความเป็นอมตะ สาวอยู่ตลอด เพราะร่างกายซ่อมแซมตนเองได้ คุณต้องไม่คิดว่าตัวเองจะแก่ลง แต่ให้คิดว่าตัวเองยังสาวอยู่เสมอ แล้วก็จะสาวตามที่ตัวเองคิด ในขณะที่ศาสนาพุทธสอนว่า สังขารไม่เที่ยงค่ะ และไม่มีใครมีร่างกายอยู่เป็นอมตะได้ เพิ่มเติมอีกอย่าง เราว่า The Secret ออกไปทางศาสนาคริสต์ด้วยซ้ำไปเช่น ให้ขอด้วยความเชื่อว่าเราจะได้รับ (เหมือนที่ทางคริสเตียนมักจะชักชวนคนให้เข้าเชื่อ ด้วยการให้ลองขอพระเจ้าดูสักอย่างหนึ่ง แล้วท่านจะได้รับ) และยังมีพูดถึงการที่มนุษย์เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนของพระเจ้า (Supreme Being นะคะ ไม่ใช่ God) คือเป็นผู้กำหนดจักรวาลและเป็นอมตะ ซึ่งเราว่าการที่เขาเขียนออกมาทำนองนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเค้าเติบโตมาในวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งมีแนวความคิดที่เกี่ยวโยงกับศาสนาคริสต์เป็นหลักอยู่แล้ว แน่นอน เค้ามีการอ้างอิงคำพูดของพระพุทธเจ้า และอีกหลายๆศาสนา แต่จขกท.ลองอ่านใหม่ดีๆค่ะ หนังสือเล่มนี้ มีใช้แนวความคิดของศาสนาคริสต์เป็นหลักนะ จากคุณ : จอย - [ 5 ก.พ. 51 09:06:05 A:203.160.4.200 X: TicketID:001154 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าอยากศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจได้ถ่องแท้ แนะนำให้อ่านพระไตรปิฎก ของแท้ไม่มีบิดเบือน จากคุณ : chem chem - [ 5 ก.พ. 51 09:13:47 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ศาสนา คือ สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ อย่าพยายามเอามาโยงใย กับวิทยาศาสตร์ เพราะ หลายๆอย่างในศาสนามันพิสูจน์ออกมาไม่ได้เลย ผู้มีปัญญาบารมีอย่างนี้ พระอรหันต์อย่างนี้ จากคุณ : a - [ 5 ก.พ. 51 09:29:41 A:124.121.150.140 X: TicketID:165913 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ช่วยบอกผมหน่อยว่าคุณวางแผนจะนิพพานไว้ยังไงบ้าง เผื่อจะเอาไปศึกษาเพิ่มเติมว่าพวกเคร่งศาสนาจะมี Plan อย่างไร จากคุณ : Chaos dragon - [ 5 ก.พ. 51 09:33:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ศาสนาพุทธ สอนเกี่ยวกับความจริง วิทยาศาสตร์ ก็พิสูจน์ความจริง แต่ทั้ง 2 อย่างเป็นความจริงกันคนละด้าน ศาสนาพุทธ ไม่ได้มุ่งหาความจริงทางโลก ไม่ได้หาว่า ธาตุนี้มาไง ทำไมดาวฤกษ์ถึงมีพลังงานมาก แต่ศาสนาพุทธสอนความจริง ของชีวิตมนุษย์  อยู่ได้อย่างไม่ทุกข์ ศาสนาพุทธ สอนเพียงวิธีการต่างๆ ให้ผู้ใช้นำไปทดลองปฏิบัติ อยากรู้ว่าคนที่มาค้านหัวชนฝา บอกว่าศาสนาพุทธงมงาย หรือเป็นแค่คำทำนายบ้าง เคยศึกษา และพินิจ พิจารณาอย่างถี่ถ้วนและเป็นกลางหรือยัง ผมเองไม่ได้ศึกษาจริงจัง ก็เหมือนคนไทยทั่วไป แต่แค่ลองมานั่งคิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง จากคุณ : EITHER - [ 5 ก.พ. 51 09:55:52 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เพิ่มเติม ผมเชื่อว่า ไม่ว่ายังไง โลกมนุษย์  สังคมมนุษย์  ไม่สามารถอยู่ได้หากมีเพียงแค่วิทยาศาสตร์ พระอรหันต์ ทำไมจะพิสูจน์ไม่ได้ เพียงแต่คุณเข้าใจคำว่าพระอรหันต์แค่ไหน ยอมรับว่า นานวันเข้าย่อมมีการบิดเบือนให้พระอรหันต์ เป็นผู้วิเศษ แต่จริงๆ ผมว่าพระอรหันต์ คือ ผู้ที่เข้าใจหลักธรรมอย่างถ่องแท้ สามารถปล่อยวางได้ คือคนที่สามารถละ ต่อโมหะ โทสะได้ เข้าใจความเป็นไปของโลก อะไรแบบนั้น จากคุณ : EITHER - [ 5 ก.พ. 51 10:02:34 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ปัญหายุคนี้คือคนเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร แต่ไม่เข้าใจว่าพุทธศาสนาคืออะไรสอนอะไร คนไทยใกล้เกลือกินด่างมานาน แต่คนรุ่นใหม่เริ่มมีกระแสธรรมมะเข้าใจพุทธศาสนามากขึ้นแล้ว จากคุณ : จาก - [ 5 ก.พ. 51 10:15:26 A:125.27.106.238 X: TicketID:159709 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มารอฟัง จากคุณ : harvardวิทยาคม - [ 5 ก.พ. 51 10:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ถูกแล้วครับ พุทธศาสนาคือของจริง ยกเว้นของพวกที่ตีความเพี้ยนๆไปตามกิเลสของตัวเอง เป็นของปลอม ควรจะต้องระวังให้ดี อย่างความคิดเห็นที่ 9 บอกก็น่าคิด เพราะจะมีพวกที่ตีความเพี้ยนๆเอานั่นผสมนี่อยู่ทุกยุคทุกสมัยล่ะ เป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญอย่าไล่ฆ่ากันเพราะเห็นต่างกันก็พอ เทียบกับนอสตราดามุสไม่ได้หรอก เพราะนอสตราดามุสก็แค่เขียนโคลงกลอนอะไรเล่นๆไปตามประสา แต่แก่นพุทธศาสนาเน้นที่พิสูจน์ด้วยตนเองด้วยการปฏิบัติการจริง ส่วนคนที่เห็นเป็นเรื่องอ่านเล่นก็จะไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรจะได้   มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ก็เหมือนกับวิทยาศาสตร์ ที่บางประเทศก็ใช้ประโยชน์ได้น้อยนิด เพราะไม่เห็นความสำคัญของการวิจัยพัฒนา จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ 5 ก.พ. 51 11:04:20 ]

ความคิดเห็นที่ 18 test จากคุณ : . - [ 5 ก.พ. 51 11:10:02 A:58.9.69.2 X: TicketID:127369 ]

ความคิดเห็นที่ 19 จะลองอธิบายดูแล้วกันนะครับ ตามหลักศาสนานี่แหละ อ่านๆความเห็นทั้งหลายแล้วก็จะลองตอบเป็นข้อๆดีกว่านะครับ ผู้มีปัญญา คือผู้ที่มีความรู้ ข้อนี้คงไม่ต้องอธิบาย บารมี คือความดีที่สะสมมาครับ เช่นคุณไปเจอกับผู้ที่ทำความดีมามากๆ เช่นพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าคุณได้มีโอกาส ได้เข้าเฝ้า หรือไปใกล้ๆพระองค์ท่าน คุณจะเข้าใจคำว่าบารมีทันที ขนาดผมพิมพ์อยู่ รำรึกถึงความรู้สึกครั้งนั้นยัง ปิติใจใจอยู่เลยครับ คนเขาถึงพูดกันว่าไปชมบุญ บารมีของพระองค์ท่านไงครับ (จริงๆไม่อยาก ไปข้องเกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูง แต่คิดว่าน่าจะเห็นภาพได้ดี) พระอรหันต์ คือผู้ที่ไม่มีกิเลสแล้ว คือไม่มีความอยากใดๆเหลืออยู่แล้วครับ กำจัดกิเลสสิ้นไป ก็ไม่มีความอยากเหลือ จริงๆมันก็เท่านี้เองครับ เพียงแต่มันทำยาก คนเลยคิดว่าไม่น่าจะมีจริง ยกตัวอย่างให้ง่ายเหมือนกับให้ ศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ไป อธิบายเรื่องทางคณิตศาสตร์ให้เด็กอนุบาลฟัง อธิบายยังไงเด็กอนุบาลก็คงไม่เข้าใจได้หรอกครับ ความรู้ความเข้าใจของผม ประหนึ่งเด็กอนุบาลนั่นเอง ถ้าเทียบกับปัญญาระดับผู้รู้ทั้งหลาย ยังไม่อาจเอื้อมไปเทียบกับบรรดาผู้บรรลุธรรมระดับต่างๆหรอกครับ ถ้าท่านใดคิดว่า ศาสนาพุทธเป็นเรื่องงมงาย(ไม่เอาเรื่องอภินิหารนะครับ) เชิญถามมาได้ จะพยายามตอบให้เป็นข้อๆ เพื่อความเข้าใจ ปล. ไอน์สไตร ไม่ได้นับถือพระเจ้านะครับ ก่อนตายยังบอกว่า ความรู้ความเข้าใจที่ตนเองมีแล้วก็ดี ถ้ามีเวลามากกว่านี้ จะมาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 11:39:50 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ช่วยบอกผมหน่อยว่าคุณวางแผนจะนิพพานไว้ยังไงบ้าง เผื่อจะเอาไปศึกษาเพิ่มเติมว่าพวกเคร่งศาสนาจะมี Plan อย่างไร จากคุณ : Chaos dragon  - [ 5 ก.พ. 51 09:33:52 ] ผมไม่ได้เคร่งศาสนานะครับ ผมยึดถือหลักความจริง พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสสอนเช่นนั้นครับ หากว่าวันใด มีศาสนาใหม่มา แล้วมันจริงกว่าศาสนาที่ผมนับถือ ผมก็ยินดีที่จะเปลี่ยนทันทีครับ Plan ก็ทำดีไปเรื่อยๆครับ ไม่รีบร้อน ช่วยใครได้ก็ช่วย ทำอะไรให้ใครได้ก็ทำตามความเหมาะสม และสมควรแก่สถานภาพของผมเองครับ นิพพานไม่ได้เข้าถึงกันได้ ในวันนี้ พรุ่งนี้ ต้องใช้เวลา สะสมความดีกันนานๆครับ ระยะทางไกล ไม่สำคัญเท่ากับคุณได้เริ่มเดินแล้วหรือยัง จริงไหมครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 11:44:49 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าคุณนับถือศาสนาพุทธจริง คุณจะไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร หากมีคนเรียกพระพุทธเจ้าว่า สิทธิถะ เพราะสิ่งเดียวที่ศาสนาพุทธถูกมองว่าเป็นวิทยาศาสตร์ คือ การเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยการพิสูจน์ ปราศจากอคติ และไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ และไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นกระจ่างเสียก่อน ถ้าคุณยังยึดติดว่าพระพุทธเจ้า ใครแตะไม่ได้ คุณก็ยังไม่ใช่พุทธแท้ ยังเป็นความเชื่ออื่นที่เข้ามาปลอมปนอยู่ในศาสนาพุทธ ใครก็ตามที่คิดว่าพระพุทธเจ้าก็คือ สิทธิถะ คนธรรมดา นั่นคือพุทธแท้ แต่ใครที่คิดว่าว่าพราะพุทธเจ้า คือเทพเจ้า แตะไม่ได้ นั่นแสดงว่าคุณไม่ใช่พุทธแท้ เพราะเข้าไม่ถึงแก่นของพุทธ จากคุณ : อีกแนวคิดหนึ่ง - [ 5 ก.พ. 51 11:54:31 A:202.57.137.157 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 แม่ผมก็คนธรรมดา ยังไม่อยากให้ใครแตะเลยครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 11:59:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เรียน คุณ WareZ  #19 ช่วยทบทวนดูประโยคนี้หน่อยละกันนะครับ (ใน #19) ... " ปล. ไอน์สไตร ไม่ได้นับถือพระเจ้านะครับ ก่อนตายยังบอกว่า ความรู้ความเข้าใจที่ตนเองมีแล้วก็ดี ถ้ามีเวลามากกว่านี้ จะมาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง"   ลองไปเช็คดูอีกสักครั้งนะครับ แล้วจะพบว่ามันเริ่มคลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่ไอน์สไตน์พูดน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 12:32:21 จากคุณ : PureTruth - [ 5 ก.พ. 51 12:29:29 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แต่รากฐานที่ศาสนาพุทธมี และวิทยาศาสตร์มีคือ มีการ"พิจรณา"ครับ จากคุณ : เย้ (Operation aRmageddon) - [ 5 ก.พ. 51 12:48:00 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ท้ายที่สุดคือความว่างเปล่า จริงๆนะ ถึงจะมีอยู่หรือเคยมีอยู่ จากคุณ : Natthanuch1 - [ 5 ก.พ. 51 13:02:04 ]

ความคิดเห็นที่ 26 WareZ อะไรคือความจริง ความจริงมีอยู่จริงหรือไม่ ความจริงเป็นอย่างไร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งไหนคือความจริงสิ่งไหนคือเท็จ ถ้าใจเป็นกลางจริง อย่าใช้พุทธปรัชญาในการตอบ ใช้ความรู้สึกนึกคิดของคุณเอง จากคุณ : เซียนแห่งmath - [ 5 ก.พ. 51 13:15:19 ]

ความคิดเห็นที่ 27 #21 อยากพิสูจน์ไหมครับ คุณ จขกท.ครับ ประเด็นนี้เกรงว่าจะทำให้เกิดการโต้วาทะนะครับนี่ จากคุณ : Maxymillion (Maxymillion) - [ 5 ก.พ. 51 13:19:30 ]

ความคิดเห็นที่ 28 #26 ใช้ความรู้สึกนึกคิดก็จะกลายเป็น "สิ่งที่เกิดจากการคิด ไม่ใช่ข้อเท็จจริง" สิครับ แล้วพุทธปรัชญาของคุณคืออะไรล่ะครับ จากคุณ : Maxymillion (Maxymillion) - [ 5 ก.พ. 51 13:21:42 ]

ความคิดเห็นที่ 29 การตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง พระองค์ตรัสในความหมายเดียวเท่านั้น การตีความเป็นเรื่องของตัวบุคคลคับ ไม่ใช่จะตีความได้เหมือนกับนอสตราดามุสคับ การตรัสรู้ของพระองค์เป็นความละเอียดละเมียดละไมที่จะตีความครับ โดยทั่วไปมองในแง่ของรูปธรรมวัตถุ สิ่งทีจับต้องได้ แต่ในทางศาสนาหมายถึงนามธรรม จิตใจ ซึ่งเป็นความบางมากที่จะเข้าใจคับ จากคุณ : แสงริมทางเท้า - [ 5 ก.พ. 51 13:27:46 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ผมว่าไม่ใช่ความเห็น3หรอกแค่หัวกระทู้ก็น่าลบแล้ว ถ้าคุณจะมาแสดงความคิดเห็นคุณน่าจะเติมคำว่า "ผมคิดว่า" อะไรทำนองนี้ลงไปด้วย จากคุณ : Papiyongpi - [ 5 ก.พ. 51 13:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 31 WareZ อะไรคือความจริง ความจริงมีอยู่จริงหรือไม่ ความจริงเป็นอย่างไร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งไหนคือความจริงสิ่งไหนคือเท็จ ถ้าใจเป็นกลางจริง อย่าใช้พุทธปรัชญาในการตอบ ใช้ความรู้สึกนึกคิดของคุณเอง จากคุณ : เซียนแห่งmath   - [ 5 ก.พ. 51 13:15:19 ] ข้อนี้ตอบไม่ยากเลยครับ ไปคิดมากกันทำไม ความจริง คือความจริงที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ ถ้ามีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเท็จเมื่อไหร่ เมื่อนั้นความจริงนั้นก็จะไม่เป็นจริงอีกต่อไป เช่น สองร้อยปีที่แล้วมีความจริงว่า โลกแบน ไม่ใช่แค่เชื่อเท่านั้น การต่อต้านยังมีผลทำให้ถึงตายได้ ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าโลกกลม เพราะฉะนั้นโลกแบนจึงไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ง่ายไหมครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 14:25:19 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผมว่าไม่ใช่ความเห็น3หรอกแค่หัวกระทู้ก็น่าลบแล้ว ถ้าคุณจะมาแสดงความคิดเห็นคุณน่าจะเติมคำว่า "ผมคิดว่า" อะไรทำนองนี้ลงไปด้วย จากคุณ : Papiyongpi  - [ 5 ก.พ. 51 13:33:12 ] ด้วยความเคารพนะครับ นี่ไม่ใช่ความคิดเห็น ผมแค่เสนอความจริง ถ้าคุณคิดว่ามันไม่จริง พิสูจน์สิครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 14:30:47 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ชักเริ่มมัน ผมชอบจังกระทู้แบบนี้ จากคุณ : . (GobZa_052) - [ 5 ก.พ. 51 15:16:51 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ศาสนาพุทธและวิทยาศาสตร์ = ตวามเป็นเหตุเป็นผล จากคุณ : Kwatan - [ 5 ก.พ. 51 15:33:14 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ความเห็น32 นี่เรียกว่าแถรึเปล่าครับ ความจริงของคุณคือสิ่งที่ไม่ต้องพิสูจน์หรือครับ ขอแค่พิสูจน์ไม่ได้ก็จริงงั้นหรอ ป.ล.จะแก้ก็ได้นะ32นะผมหรือคนแถวนี้ไม่ถือหรอก ป.ล.2 พยายามพูดดีๆนะอย่าให้ต้องวีนกันเลย จากคุณ : Papiyongpi - [ 5 ก.พ. 51 15:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ^ ^ ^ ไม่แก้หรอกครับ (จริงๆแล้วแก้ไม่เป็น) ให้อ่าน คห31 ครับเรื่องความจริง ผมยังยืนยันครับว่า ตราบใดที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเท็จ ตราบนั้นมันคือจริง สรุปรวมไปถึงบรรดา ทฤษฏีทั้งหลาย ที่เรา(เคย)มีมาด้วย ปล.ผมไม่ได้มีเจตนาวีนคุณเลยครับ (ถ้าตีความผิดหรือผมพิมพ์ ไม่ชัดเจน ขออภัยมาไว้ด้วย ณ.ที่นี้เลยครับ) จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 15:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เป็นเรื่องยากมากๆ ที่ผู้ที่เรียนมาในแนวทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะเข้าใจความลึกซึ้งในเนื้อหาสาระที่แท้จริงของศาสนาพุทธได้  .... ....เพราะว่า เรื่องที่นักวิทยาศาสตร์เรียนและศึกษาด้วยกฏและทฤษฏีต่างๆทั้งหมดนั้น  ถ้าว่ากันตามแนวของศาสนาพุทธ  เป็นแค่เรื่องของรูปบางรูปเท่านั้นเอง  คือ สสารและพลังงานทั้งหมดนั้น  เป็นปรากฏการณ์ของรูปบางประเเภท  ในจำนวนรูปทั้ง  28 ประเภท เท่านั้น  ยังมีรูปประเภทต่างๆอีกกว่า 20 ประเภท ที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้   ..นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องของนามที่ละเอียดกว่ารูปมากๆ ซึ่งยังมีอีกหลายร้อยประเภท  ..และที่ยิ่งกว่านั้น  ที่นักวิทยาศาสตรจะไม่มีทางเข้าใจได้เลยไม่ว่ทจะมี IQ สูงแค่ไหนก็ตาม  นั่นคือเรื่องของสิ่งที่นอกเหนือจากรูปนาม  ... การที่จะสัมผัสความรู้ที่ถูกต้องในศาสนาพุทธ  ต้องสัมผัสด้วยใจที่ผ่านการฝึกมาอย่างถูกวิธีเท่านั้น  ไม่มีทางที่จะสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกนึกคิดหรือจินตนาการใดๆ   จึงเป็นเรื่องยากที่ผู้ศึกษามาในแนววิทยาศาสตร์ในยุคนี้จะเข้าใจได้  เพราะใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพต่ำมากๆ  มีขอบเขตจำกัดมากๆ  ที่เรียกว่า "จินตนาการ" และวิธีการทางตรรกะ เท่านั้นเอง   ทำนองเดียวกับคนตาบอดมาแต่กำเนิด  จะไปศึกษาวิชาการวาดรูป   ฉันใดก็ฉันนั้น จากคุณ : Clarke - [ 5 ก.พ. 51 15:48:44 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ในสังคม ความจริงคือสิ่งที่คนส่วนใหญในสังคมพอใจที่จะเชื่อครับ สรุปแล้วความจริงก็คือ เรื่องที่ตัวกุพอใจจะเชื่อนั่นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น จากคุณ : จาจาบิงแปงร่างเป็นไอ้มดเขียว - [ 5 ก.พ. 51 16:21:24 ]

ความคิดเห็นที่ 39 จขกท เด็กทุนรัฐบาลปล่าวครับ เพราะเคยคุยกับเพื่อนๆแต่ละคนนี้หัวแข็งระดับเทพ รวมทั้งผมด้วย เหอะๆ อย่าเอาวิทย์ กับศาสนามายุ่งกันดีกว่าครับ เพื่อความสงบสุข ว่าแต่ที่คุณพูดในห้องว่า "เราก็บอกว่าศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2500 ปีที่แล้ว" จขกท พูดว่าอธิบายอย่างไรครับ เพราะบาปกรรมหรือ จากคุณ : JohnnieWalker - [ 5 ก.พ. 51 16:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ^ ^ ^ Budda said "gay has been identify since they born" and he said 2500 year ago. ครับอธิบายว่าคนทำผิดศีลกาเม ทำให้เกิดเป็นพวกผิดเพศ ยกตัวอย่างให้เพื่อนๆในห้องฟังด้วยว่า คนผิดศีลกาเม มากๆเข้าจะไม่สนว่าตนเป็นเพศใด ต้องมีเพศสัมพันธ์กับเพศใด คนพวกนี้จะคิดแต่เรื่อง เซ็กส์อย่างเดียว แล้วก็ลองให้เพื่อนๆในห้องยกตัวอย่างเพื่อนหรือคนรู้จักที่เป็นเกย์ แต่ไม่สนใจเรื่อ เซ็กส์มาสักคน ปรากฏว่า เกือบทุกคนเห็นด้วยในประเด็นที่ว่า เกย์ทุกคน สนใจเรื่องเซ็กส์ เป็นเรื่องใหญ่ ปล.ผมหัวอ่อนมากๆเลยนะครับ ถ้ามีเหตุผล ผมไม่มีทิถิใดๆทั้งสิ้นผมเปลี่ยนทันที จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 16:39:43 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ตัวสะกดภาษาไทยบางตัว อาจสะกดผิดนะครับ เช่นทิถิ จริงๆแล้วต้องใช้ ถอถาน(นี่ก็ผิดอีก) แต่ผมไม่มีแป้นไทยครับ ขี้เกียจมั่วหา ขออภัย ไว้ด้วยนะครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 16:42:04 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เท่าที่อ่านๆมา ผมคิดว่าที่ในปัจจุบันนี้คนหลายๆคนมองว่าไม่ควรเอาพระพุทธศาสนามาปนกับวิทยาศาสตร์ แถมบางคนยังติดจะหมิ่นๆว่าเป็นเรื่องงมงายด้วย คิดว่าเป็นเพราะพระพุทธศาสนาถูกความเชื่อและพิธีกรรมหลายต่อหลายอย่างเจือปนเรื่อยมาเป็นเวลานับพันๆปีแล้ว จนตอนนี้คนส่วนใหญ่แทบจะลืมไปแล้วว่า"แก่น"ของพระพุทธศาสนาคืออะไร เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า"กระพี้"ที่เห็นได้ชัดเจนกว่าอย่างเช่นพิธีกรรมและความเชื่อต่างๆ แถมกระพี้บางอย่างที่ว่าความจริงแล้วก็ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากพระพุทธศาสนาเลย ทั้งเรื่องใบ้ห้วย เสี่ยงทายดวง อธิษฐานขอโชคลาภ วัตถุมงคลต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อจากหลากหลายแหล่งกำเนิดที่บังเอิญเข้ากันได้กับวัฒนธรรมของชาติที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนากันเท่านั้นเอง แต่สิ่งเหล่านี้มันกลับแสดงให้เห็นได้ชัดเจนกว่าแก่น คนเลยให้ความสนใจมากกว่า จนคิดไปว่ามันคือส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาที่แสนจะงมงาย ทั้งที่ตัวแก่นจริงๆนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะศึกษาทั้งในด้านจิตวิญญาณและวิทยาศาสตร์ ซึ่งขณะนี้นักวิทยาศาสตร์และผู้ศรัทธาจากชาติตะวันตกก็เริ่มหันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว แต่คนบางคนในชาติที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนากลับยังคงมีความรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์เป็นคู่ขนานกับศาสนาที่ไม่มีวันบรรจบกันได้ ส่วนความจริงอย่างที่ คห.38 ว่าไว้ ถ้ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เป็นความจริงที่ยอมรับกันนั้นเป็นเท็จ สิ่งนั้นก็ยังอนุโลมได้ว่าเป็นความจริงได้ครับ แต่เมื่อใดที่พิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดแล้วว่าเป็นเท็จ แต่ยังมีคนดันทุรังจะเชื่อว่ามันเป็นจริงอยู่อีก ก็กล่าวได้ว่าคนคนนั้นมีอัตตาสูงมาก ความรู้สึกเป็นตัวกุของกุมันรุนแรงจนบดบังความจริงที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า ไม่ว่ามันจะจริงแค่ไหนแต่ก็คอยหลอกตัวเองสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าจริงมันก็ต้องจริง ใครคิดไม่เหมือนตัวเองก็ว่าผิดไปหมด อย่างใครต่อใครก็พิสูจน์จนเห็นชัดแล้วว่าเอเลี่ยนที่ไปตกปุอยู่บนพื้นความจริงมันคือเจลลดไข้ แต่บางคนก็ยังหลงงมงายว่ามันคือสัตว์วิเศษถึงขนาดจะเอาไปกินซะอีก แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 16:50:02 แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 16:48:24 จากคุณ : Bowling Bash - [ 5 ก.พ. 51 16:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 43 "ความจริง คือความจริงที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ~" ผิดครับ  ความจริงคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง แต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ความจริงสัมบูรณ์ไำด้ อาจมีความจริงของความจริงก็ได้ เช่น เชื่อว่ามีนิพพาน  ความจริงอาจเป็นว่า ธรรมชาติหลอกว่ามีนิพพาน  หรือ เชื่อว่ามีพระเจ้า  ธรรมชาติอาจหลอกให้เราเชื่อว่ามีพระเจ้า สิ่งที่ศาสดา เห็นหรือสัมผัส จริงๆแล้วอาจไม่ใช่ความจริงสัมบูรณ์ อาจเป็นความจริงที่ถูกธรรมชาติหลอกอีกทบหนึ่ง??? ความจริง... ความจริงของความจริง... ความจริงของความจริงของความจริง... จากคุณ : Capillary - [ 5 ก.พ. 51 17:32:35 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ^ ^ ^ ถ้าคิดอย่างนี้จริงๆ ก็ไม่มีความจริงสิครับ ขอลอกมานะครับ ----"ความจริง คือความจริงที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ~" ----ผิดครับ  ความจริงคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง ----แต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ความจริงสัมบูรณ์ไำด้ แค่อยากให้คุณอ่านความเห็น บรรทัดที่สอง และสาม ของคุณเองอีกครั้งครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 17:39:50 ]

ความคิดเห็นที่ 45 พุทธศาสนากำเนิดมา 2550 ปีแล้ว ไม่เคยล้าสมัย เป็นเหตุเป็นผล ผู้ปฎิบัติเท่านั้นจึงจะรู้  "ศีล-สมาธิ-ปัญญา" ยังทันสมัยอยู่เสมอ ลองไปปฎิบัติอย่างจริงจัง แล้วจะรู้โดยไม่ต้องอธิบาย จากคุณ : บลูเรย์ - [ 5 ก.พ. 51 17:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ผมก็คิดว่า ไม่ควรเอาพุทธศาสนามาปนกับวิทยาศาสตร์ครับ เพราะการพยายามบอกว่า แต่ละส่วนเหมือนหรือแตกต่างกันก็ย่อมทำได้ เพราะเป็นมรดกทางความคิดของมนุษย์ทั้งคู่ และโดยเนื้อแท้แล้วต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาทั้งคู่ หากตัดเอาส่วนที่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติที่ทุกๆศาสนามีออกไปจากบริบท หากแต่วิทยาศาสตร์ มีที่ใช้สำหรับงานอย่างหนึ่ง ในแง่ของการบูรณาการทฤษฎีองค์ความรู้ การค้นหาความจริงในธรรมชาติ และในแง่ของการพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเจริญของอารยธรรม ส่วนศาสนา ก็มีที่ใช้สำหรับงานอีกอย่างหนึ่ง ในแง่ความสุขสงบของจิตใจ สงบระงับสัญชาตญาณ ดิบที่ติดตัวมา เพื่อคงอารยธรรมเอาไว้ ไม่ให้มนุษย์ทำลายล้างกันเองหมดสิ้นไปก่อน ผมทราบว่า แม้พูดทุกครั้ง คนก็ยังพยายามเอาศาสนากับวิทยาศาสตร์มาเทียบกันอยู่ดี แต่ผมก็จะพูดทุกครั้งที่มีกระทู้ทำนองนี้ ว่าไม่ควรเอาวิทยาศาสตร์มาเป็นตัว benchmark ให้กับศาสนา เพราะมันคนละสิ่งคนละอย่างคนละระบบกัน ถ้าเราหมั่นเอาตัวหนึ่งมาเป็นตัว เทียบให้อีกตัวหนึ่ง แสดงว่าลึกๆแล้วเราเข้าใจว่า ตัวที่ถูกเอามาเทียบ จะยืนอยู่ด้วยตัวมันเองไม่ได้ ถ้าไม่ถูกเอามาเทียบกับตัวมาตรฐาน ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะศาสนายืนอยู่ด้วยตัวของมันเองได้ ปรัชญาความคิดทั้งสองอย่างนี้ ต่างก็มีข้อดี ข้อจำกัดของตนเองทั้งสิ้นครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 5 ก.พ. 51 17:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ผมว่าอันที่จริงแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมาก อาจจะมากกว่าวิทยาศาสตร์ หรือศาสนาเสียอีก ...คือวิชาปรัชญา วิชาปรัชญา คือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการคิด ...เรียกว่า การคิด เกี่ยวกับ การคิด ก็ไม่ผิด ทั้งวิทยาศาสตร์ และศาสนา ต่างก็เป็นแนวคิดเชิงปรัชญาทั้งสิ้น ซึ่งต่างก็ได้ทำให้เกิด สิ่งของเทคโนโลยีต่างๆขึ้นมามากมายในโลกนี้ ทั้งบุคคลสำคัญๆ และเหตุการณ์ต่างๆมากมาย สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คนเราคิด อย่างที่คนเราคิดได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่วงการปรัชญาให้ความสนใจ น่าเสียดายที่ไทยเราให้ความสำคัญกับการศึกษาวิชาปรัชญาน้อยเกินไป แต่ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาก รวมถึงศาสนาด้วย ทั้งแบบของจริง และกระพี้ของศาสนาตามที่ข้างบนพูดมา สิ่งที่จะทำให้คนไทยคิดวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ แยกย่อยข้อมูลมหาศาลที่มากับ ช่องทางของการสื่อสารทางเครือข่ายในทุกวันนี้(ภาวะ information overload) ได้ ก็คือการฝึกให้เราคิดแยกแยะ จำแนก และ คิด เกี่ยวกับความคิด ให้เป็น ดังนั้นวิชาปรัชญาจึงขาดเสียมิได้ นักคิดชาวตะวันตกที่สนใจพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆมากขึ้น ก็เพราะความพยายามของมนุษย์เรา ในการพัฒนาต่อยอดกระบวนการคิดจากสิ่งที่มีอยู่ ให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นวงการปรัชญาจึงไม่เคยตาย ไม่เหมือนสิ่งที่คนหลายๆมักจะพูดกันติดปากว่า "ปรัชญาตายแล้ว" ซึ่งในข้อนี้ผมก็ยังกังขาอยู่ เพราะการจำแนกวิเคราะห์สังเคราะห์สิ่งที่เรามี อาจจะทำให้เราคิดในสิ่งที่ ศาสดาของหลายๆศาสนา(ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นพุทธหรือไม่) ยังไม่เคยคิด หรือนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยหลายๆท่าน ยังไม่เคยคิด ก็เป็นได้ เราอย่าเพิ่งมองว่า มนุษยชาติจะต้องคิดได้เกี่ยวกับธรรมชาติ เท่ากับบริบทที่เคยคิดมาตลอดหลายพันปี แล้วหยุดอยู่แค่นั้น บางอย่างที่เราบอกว่า จริงในวันนี้ อาจจะไม่จริงในวันพรุ่งนี้ - ก็ได้ บางอย่างที่ถูกต้องอยู่แล้ว เช่นอนัตตา ก็ไม่แน่ว่าจะมีการเพิ่มเติมเสริมต่อไปได้อีก เพราะทุกยุคทุกสมัย ย่อมมีนักคิดเกิดขึ้นมาเสมอ และการเข้าถึงข้อมูลของคนในยุคปัจจุบัน มีมากกว่าในสมัย 2008 ปีที่แล้ว หรือ 2551 ปีที่แล้ว มากมายนัก อะไรก็เกิดขึ้นได้ ในยุคนี้ และอนาคตต่อไปจากนี้ อย่าเพิ่งกรอบตัวเองไว้กับอดีต เราจะไม่ดูแคลนภูมิปัญญาในอดีต แต่เราก็อย่าเพิ่งประเมินอนาคตต่ำเกินไป เช่นกัน จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 5 ก.พ. 51 18:09:06 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เห็นด้วยครับ และผมว่า ห้องศาสนานี่บุกมาหว้ากอบ่อยไปแล้วนะ ไม่เชื่อกดหาคำว่าศาสนาแล้วดูในห้องหว้ากอดูสิ มาเดือนละครั้ง2ครั้งได้เลย แล้วมันก็จบเหมือนๆเดิม คือมันไม่เหมือนกันเทียบกันไม่ได้และจำเป็นต้องมีทั้งคู่ และแน่นอน มันไม่ใช่ = จากคุณ : Papiyongpi - [ 5 ก.พ. 51 18:22:17 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เห็นด้วยกับคุณ DigiTaL-KRASH!!! ครับ แต่ยังสงสัยว่าทำไมจะเอามาเปรียบเทียบหรือ ตรวจสอบกันไม่ได้ ถ้าคำสอนใดๆในศาสนาใดๆ ขัดกับความเป็นจริง เราก็จะได้ ไม่ต้องเชื่อคำสอนข้อนั้น หรือคุณจะเรียกว่าปรัชญา ก็ได้ ไม่ดีเหรอครับที่จะได้เกิดการต่อยอดที่คุณบอกมา อาจจะเกิดศาสนาใหม่ๆที่ดีกว่าเดิมก็เป็นได้ การกล้าตรวจสอบ หรือเปรียบเทียบ ก็จะทำให้เราเห็นอะไรชัดขึ้นไม่ใช่เหรอครับ วิทยาศาสตร์ เกิดมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น เลยเถิดไปจนนำความรู้ที่ได้มาตอบสนองกิเลส (จริงๆก็คือกำจัดกิเลส ชั่วคราว) เช่น อยากเดินทางได้เร็วกว่า การเดิน ทำให้เกิดการประดิษฐ์ล้อขึ้นมา ก็หายอยากไปพักนึง เดี๋ยวก็อยากไปได้เร็วกว่าล้อหมุน ก็เกิดเครื่องบิน การกำจัดกิเลสแบบนี้ เป็นการ ก่อให้เกิด กิเลส อีกตัว พุทธศาสนา เกิดมาพร้อมกันการ อยากกำจัดทุกข์ จึงต้องกำจัดกิเลส ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดทุกข์ แต่เป็นการกำจัดแบบ ถาวร คือกำจัดไปแล้วจะไม่เกิดกิเลส ตัวต่อไป จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 18:57:52 ]

ความคิดเห็นที่ 50 คนที่ไม่เชื่อไม่ผิดครับ คนที่ไม่เชื่อไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่คนที่ไม่เชื่อ ก็ไม่ควรไปดูหมิ่นคนที่เขาเชื่อ คนที่เชื่อวิทยาศาตร์ ไม่จำเป็นที่จะต้องไม่มีศาสนา คนที่เชื่อศาสนา ไม่จำเป็นที่ต้องทิ้งวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ ต่างคน ต่างอยู่ แล้วจะสงบสุขครับ... จากคุณ : KamenRider_V1 - [ 5 ก.พ. 51 19:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ผมอาจจะผิดก็ได้ครับ แต่บางทีมันมีอะไรไม่ตรงกันหลายอย่าง(ก็มันใช้กันคนละงาน) การเทียบกันในส่วนที่เหมือน อาจจะทำได้ แต่ส่วนที่ต่าง มันอาจจะไม่สามารถมาเทียบกันได้ อีกประการ อาจเพราะการตรวจสอบให้แน่ มันทำยากครับ อย่างที่ผมได้เรียนถามไว้ในกระทู้นี้ใน ห้องปรัชญา โต๊ะห้องสมุด ซึ่งก็มีหลายๆ คห. ในนั้นน่าสนใจ ผมก็ยังมานั่งนึกๆอยู่.. http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6266308/K6266308.html จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 5 ก.พ. 51 19:11:29 ]

ความคิดเห็นที่ 52 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X6291351/X6291351.html กระทู้ผมมีคนเข้าใจคำถามผมน้อย และบางส่วนก็ไม่ได้ตอบแบบวิทยาศาสตร์แบบหัวกระทู้ผม แถมบอกว่าเรื่องศาสนากับวิทย์ต่างกันเอามารวมได้ไง ผมเลยงงๆนิดๆ พอดีเจอกระทู้นี้ก็เลย อืม... จากคุณ : เมก้าซาวะหมายเลข154 - [ 5 ก.พ. 51 19:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เปรียบไม่ได้ เพราะมันจะทะเลาะกันครับ -*- จากคุณ : จาจาบิงแปงร่างเป็นไอ้มดเขียว - [ 5 ก.พ. 51 19:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ^ ^ ^ ผมถึงได้ลองยกอะไรที่มันเปรียบเทียบ หรือพิสูจน์ซึ่งกันและกันได้ไงครับ ผมเองก็อาจผิดได้ และผมก็ผิดเรื่อยๆมา แต่ในทางกลับกันผมก็ผิดน้อยลงเรื่อยๆ อาจจะยังเป็นเพราะผมยังมีความรู้น้อย ทำให้รู้สึกว่า ผมผิดน้อยลง รู้สึกดีมากๆเลยนะครับที่ได้มีห้องดีๆอย่างห้องนี้ ให้มีที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่มีใครผิดหรือถูกหรอกครับ คุณก็คิดแบบคุณ ผมก็คิดแบบผม แต่เราก็ได้เห็นหรือสัมผัส ส่วนที่เรายังไม่เห็น หรือยังไม่เคยคิดถึงส่วนนั้นมาก่อน ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดีของการโต้ตอบกันในระบบกระทู้ไม่ใช่เหรอครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 19:28:46 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ^^ แต่สูงสุดคืนสู่สามัญ คิดมากไปปวดหัว เล่นเกมดีกว่า.. จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 5 ก.พ. 51 19:32:28 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เรื่องบางเรื่องมันเป็นมุมอับของตรรกะครับ เป็นจุดที่ตรรกะของคน 2 คนที่อยู่บนสังคมต่างกัน ไม่สามารถต่อติดกันได้อ่ะ จากคุณ : จาจาบิงแปงร่างเป็นไอ้มดเขียว - [ 5 ก.พ. 51 19:35:18 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อ้อ แต่ไหนๆผมก็มากวนกระทู้ของ จขกท หลาย คห. แล้ว ผมฝากกระทู้ผมให้กับ จขกท. และคนที่สนใจเข้าไปตอบด้วยแล้วกันนะครับ "สุนทรียศาสตร์แห่งความชั่ว" :- เราจะมีวิธีมองโลกอย่างอื่นได้ นอกจาก ดี และ ชั่ว อีกไหม? http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6305575/K6305575.html จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 5 ก.พ. 51 19:35:22 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เหอะๆๆ  เถียงกันสนุกจริงๆนะครับ  วิทยาศาสตร์มันไปกันไม่ค่อยได้กับศาสนาหรอกครับ(แต่จะเอาจริงๆก็ทำได้นะ) ส่วนตัวผมเป็นคริสต์(โรมันคาทอลิค)  ผมไม่รู้ว่าพระเจ้านั้นมีจริงไหม  แต่ผมก็ไม่อยากพิสูจน์หรอกครับ  ให้พระองค์เป็นที่พึ่งพิงทางใจ  และเป็นกำลังใจให้กับเราดีกว่า ศาสนาจะสอนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตครับ  ส่วนวิทยาศาสตร์จะเป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งต่างๆในชีวิต  มันคืออะไร  และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร  และจะเป็นไปอย่างไร แน่นอนครับ  คำสอนทั้งในศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์  ผมมีความเคลือบแคลงอยู่บางจุด(ซึ่งจะเคลือบแคลงไปทางพุทธมากกว่าสักหน่อย  เพราะผมเรียนคำสอนมา  พอเข้าใจบ้าง  และคำสอนของคริสต์จะเป็นเหมือนกางบันทึกเล่าเหตุการณ์และการกระทำดีๆต่างๆให้ฟังมากกว่า)  อย่างเช่นในศาสนาพุทธ  ผมยอมรับว่าผมสงสัยในเรื่องของกรรม  ผมสงสัยว่าถ้ากรรมจะติดตัวไปชาติหน้าได้  ต้องมีสิ่งที่จะพาไป  และให้เกิดขึ้นกับคนที่ทำกรรม  สิ่งนั้นผมคิดว่ามันคือวิญญาณ  และผมสงสัยคือ  ตั้งแต่สมัยตั้งต้นของมนุษย์  เรามีคนอยู่เพียงแค่ไม่กี่ดวง(มีคนไม่กี่คน)  จนมาปัจจุบัน  เรามีประชากรกว่าพันล้าน  ผมเลยสงสัยว่าวิญญาณมาจากไหนอีกเยอะแยะ  และวิญญาณเกิดขึ้นมาได้อย่างไร  ใครสร้างขึ้น? ครับ  ผมสงสัยอย่างนั้นจริงๆ  แต่ผมก็ไม่คิดจะพิสูจน์หาคำตอบ  เพราะผมรู้ดีว่าถ้าเราพยายามหาคำตอบของสิ่งเหล่านั้นเมื่อไหร่  จะมีผู้ที่ศรัทรามากๆ(หรืออาจจะงมงายก็มี)ออกมามีเรื่องแน่ๆครับ  และผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าถึงผมจะค้นหา  แต่ผมก็หาคำตอบไม่ได้หรอกครับ  หรือว่าไม่จริง? ครับผม  ในบางครั้ง  เราคิดเพียงแค่ว่าคำสอนในศาสนานั้นมีไว้เพื่อสอนให้เราทำความดี  ละเว้นในความชั่ว  อาจจะมีการกำหนดสิ่งต่างๆขึ้นมาเพื่อให้เกรงกลัวการทำความผิด  และเป็นกำลังใจในการทำสิ่งดีๆ  อย่างเช่นเรื่องนรก-สวรรค์  หรือเรื่องกรรมดีกรรมชั่วเป็นต้นครับ(อย่างของทางศาสนาคริสต์ก็คือเราจะไม่ว่าหรอกถ้าคุณจะทำผิด  แต่ก็ไม่ควรจะทำหรอก  แต่หากทำแล้วก็ขอให้สารภาพ  ซึ่งมีกุศโลบายคือจะพ้นจากบาป  และหากจิตเราบริสุทธิ์  เราก็จะได้ไปอยู่ในสวรรค์) คำสอนในแต่ละศาสนา  ไม่ได้มีมาไว้เพื่อให้ตีความ  หรือโยงเข้าหานู่นเข้าหานี่  หรือนำมาพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริง  แต่มีไว้เพื่อเป็นแรงขับดันให้เราใช้ชีวิตที่ดี  เป้นคนดีในสังคมครับ ฝากท่านที่เถียงกันเก็บนำไปคิดด้วยครับ  การทะเลาะวิวาทไม่ดีนะครับ  แล้วก็อย่าลืมไปสารภาพบาปล่ะ  หุหุหุ ขอพระเจ้าอวยพรพวกท่านครับ  อาเมน จากคุณ : wsteven - [ 5 ก.พ. 51 19:43:59 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ^ ^ ^ ลองตอบคำถามดูก่อนดีกว่า ขออนุญาตลอกมานะครับ ---อย่างเช่นในศาสนาพุทธ  ผมยอมรับว่าผมสงสัยในเรื่องของกรรม  ผมสงสัยว่าถ้ากรรมจะติดตัวไปชาติหน้าได้  ต้องมีสิ่งที่จะพาไป  และให้เกิดขึ้นกับคนที่ทำกรรม  สิ่งนั้นผมคิดว่ามันคือวิญญาณ  และผมสงสัยคือ  ตั้งแต่สมัยตั้งต้นของมนุษย์  เรามีคนอยู่เพียงแค่ไม่กี่ดวง(มีคนไม่กี่คน)  จนมาปัจจุบัน  เรามีประชากรกว่าพันล้าน  ผมเลยสงสัยว่าวิญญาณมาจากไหนอีกเยอะแยะ  และวิญญาณเกิดขึ้นมาได้อย่างไร  ใครสร้างขึ้น? ขอตอบนะครับ คำถามคือ วิญญาณมีไม่กี่ดวงทำไมมาจากไหนอีกเยอะแยะ ตามหลักศาสนาพุทธ คือเอาเรื่องภพภูมิมาตอบได้ไม่ยากครับ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ง่ายครับ เราต้องทำบุญมาดีมากๆเลยนะครับถึงได้เกิดมาเป็นคน เราอาจเกิดเป็นแมลง(เดรัจฉานภพ)อันนี้ยังไม่แย่เท่า พวกเกิดในภพภูมิของเปรต อสูรกาย ทีนี้เรามาดูปริมาณแมลงสิครับ ทุกตัวก็มีวิญญาณเป็นของตัวเองทั้งนั้น มด1รัง ก็ต้องมีวิญญาณมาครอง เป็นล้านครับ การเพิ่มหรือลดลงของสิ่งมีชีวิตในโลกเรา(แค่โลกเรานะครับ)ก็มากมายเหลือคณาแล้วครับ พอจะได้คำตอบไหมครับ ส่วนเรื่องการพิสูจน์ ผมเล่านิทานให้ฟังดีกว่า ผมมีแหวนที่แม่ ของแม่ ของแม่ผมให้มา 1 วงครับ เป็นแหวนทอง ผมขอตั้งชื่อแหวนวงนี้ว่า ศาสนา แล้วกัน ผมก็ใส่ไว้ที่นิ้วผมนี่แหละครับ ใส่ไปไหนมาไหนกับผมตลอด พอมาวันนึงผมได้เจอเพื่อนใหม่ เค้าชื่อวิทยาศาสตร์ครับ เค้าถามผมว่า ใส่แหวนอะไรอยู่ ผมบอกแหวนทอง เค้าบอก ทองจริงเหรอ ดูแล้วไม่น่าจะจริง ผมก็บอกว่าจริงสิ เพื่อนก็บอกว่า กล้าพิสูจน์ไหม ถ้าผมพิสูจน์แล้วปรากฏว่าเป็นทองจริง ผมก็คงเฉยๆครับ แต่ถ้าพิสูจน์แล้วปรากฏว่าเป็นทองปลอม ทีนี้ผมคงต้องคิดแล้วว่า การใส่แหวนทองปลอมเพื่ออวดใครๆคงจะทำไม่ได้ แต่การเก็บแหวนวงนี้ไว้กับตัวเพราะว่ามันมีคุณค่าจากการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น อันนี้ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลแล้วหละครับ ยิ่งไปกว่านั้นการที่เราจะไปบอกแม่ หรือ ยายเราว่า แหวนท่านให้มานั้นเป็นทองปลอมยิ่งยากกว่า นิทานเรื่องแหวนนะครับ พอจะได้ข้อคิดอะไรบ้างไหมครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 19:57:17 ]

ความคิดเห็นที่ 60 สนับสนุน คคห 46 ของ อ.digit ครับ จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 ก.พ. 51 20:22:49 ]

ความคิดเห็นที่ 61 คุณ  wsteven คห.ที่ 58  .... คุณเข้าใจผิด  ถ้าคุณเข้าใจว่า วิญญาณสมัยตั้งต้นของมนุษย์มีไม่กี่ดวง   ...แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจศาสนาพุทธเลย ถ้าเข้าใจแบบนั้น ... ที่จริงนั้น  ในหลักของศาสนาพุทธ มีวิญญาณต่างๆ นับไม่ถ้วน  คือเป็นจำนวนเป็นอินฟินีตี้ ยกกำลังอินฟินีตี้  หมุนเวียน  เวียนว่ายตายเกิดไปในภพชาติต่างๆ  ในโลกต่างๆ  ...  และที่จริงนั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏฏ์  คือไม่อาจจะหาจุดตั้งต้นได้ว่า  สัตว์ต่างๆ วิญญาณต่างๆ มีมาตั้งแต่เมื่อไร   มีมาก่อนการเกิดของกาลเวลานั้นแหละ  และจะมีต่อไปเรื่อยๆหลังการสิ้นสุดของกาลเวลา  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  สังสารวัฏฏ์ ไม่มีจุดตั้งต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด  (ลองไปหาอ่านจากสังยุตนิกาย  พระสุตตันตปิฏก) จากคุณ : Ck (Clarke) - [ 5 ก.พ. 51 20:30:39 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ถ้า จขกท เคยอ่านหนังสือปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเปรียบเทียบ จะมีคำถามหนึ่งตั้งไว้ว่า "เราจะรู้หรือพิสูจน์ได้อย่างไรว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นจริง?" เพราะหลักคำสอนหรือพระธรรมเหล่านั้นล้วนอิงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ทั้งสิ้น ถ้าการตรัสรู้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เป็นไปได้หรือไม่ว่า หลักคำสอนนั้นอาจไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ได้? สิ่งหนึ่งในความเชื่อของชาวพุทธก็คือ การตรัสรู้ของพระพุทธองค์นั้นเกิดขึ้นจริงครับ จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 ก.พ. 51 20:30:48 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ^ ^ แฟร์มากๆ นะครับ    นับถือในระดับการวิเคราะห์ของ อ.Prac จริงๆ เลยครับ  !!!!    :)     (ปล. แต่ผมไม่ได้หมายความว่าอะไรถูกอะไรผิดนะครับ เพื่อนๆ ไม่ต้องมารุมผมนะคร้าบบ.....)   แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 21:00:19 แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 20:55:55 จากคุณ : PureTruth - [ 5 ก.พ. 51 20:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 64 วิญญาณไม่ใช่เป็นอินฟินิตี้หรอก  มีจำนวนจำกัดเหมือนกัน แต่ว่ามันมากมายมหาศาลจนนับไม่ถ้วน เอาศูนย์ไปต่อท้าย ก็ต้องใช้ศูนย์ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้านตัว  10000000000000000 ต่อศูนย์ไปเรื่อยๆ แทบไม่รู้จบ ถ้าพูดกันตามหลักของพุทธ  โลกใบนี้ไม่ใช่ใบแรกและใบเดียวที่มีมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น  แต่มีโลกเกิดขึ้นและแตกดับไปแล้วไม่รู้กี่ล้านดวง วนเวียนแตกดับเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้  จักรวาลนี้ก็เช่นกัน ไม่ใช่จักรวาลแรก แต่มีเกิดดับๆๆๆๆ นับไม่ถ้วน จนเรียกว่าหาต้นไม่ได้ หาปลายไม่พบ  ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ที่จะมีจักรวาลก่อนหน้านี้หลายจักรวาลที่แตกดับไปแล้ว เพราะไม่งั้นวิทยาศาสตร์จะให้คำตอบได้อย่างไรว่าจักรวาลนี้เกิดมาได้อย่างไร แล้วก่อนหน้านั้นมีสภาพอะไรอยู่ แล้วก่อนหน้านั้นไปอีกล่ะ แล้วก่อนหน้านั้นไปอีกล่ะ วิทยาศาสตร์ยังไม่กล้าให้คำตอบไปถึงขั้นนั้นเลย   ไม่ว่าพระพุทธองค์จะตรัสรู้หรือไม่ ก็ไม่สำคัญ  ไม่ว่าพระพุทธองค์จะมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ก็ไม่สำคัญสำหรับชาวพุทธอย่างผม  แต่สิ่งสำคัญ คือหลักธรรมคำสอนมากกว่าที่มีอยู่จริง เพราะถ้าคำสอนมีอยู่จริง ก็แสดงว่าใครเป็นคนนำคำสอนนั้นมาเผยแพร่หรือเป็นคนคิดคนแรก  ก็คนนั้นแหละคือพระพุทธองค์สำหรับชาวพุทธทั้งมวล และคำสอนนั้น ถ้าตัดเรื่องปาฏิหารย์ออกไปก่อนในฐานะที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ คือพักเอาไว้เสียก่อน แล้วมาดูในเรื่องหลักธรรมที่เป็นแก่นแท้ของพุทธ ก็จะเห็นความน่าอัศจรรย์ของคำสอนนั้น จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 5 ก.พ. 51 21:01:30 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ^ ^ ^ ปรัชญาประเภทที่ว่า ถ้าไม่มีมนุษย์ก็จะไม่มีดวงจันทร์สิครับ ถูกครับ แต่ถูกครึ่งเดียว เจ้าดวงจันทร์มันก็ยังอยู่ตรงนั้นแหละครับ แค่ไม่มีใครไปชี้มันว่า คุณคือดวงจันทร์เท่านั้นเอง พระองค์ไม่เคยบอกให้เชื่อ คำสั่งสอนของพระองค์เลยนะครับ(หากจะเชื่อเพราะว่าออกมาจากพระโอษฐ์เท่านั้น) พระองค์ตรัสสอนให้ ทดลอง ทดสอบ ยกตัวอย่างให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้นนะครับ ถึงไม่มีศาสนาผมก็รักพ่อแม่ของผม ผมไม่ได้รักพวกท่านเพราะว่าพุทธองค์ตรัสให้ผมรักสักหน่อย ผมไม่ดื่มเหล้าเพราะว่าเห็นพ่อผมต้องเสียคนเพราะเหล้า เพิ่งมารู้เอาทีหลังว่าพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่าการดื่มสุรามีโทษ คำสอนของพุทธองค์ก็เหมือนความจริงที่มีอยู่จริงอยู่แล้ว เพียงแต่พระองค์นำมาให้ความรู้แก่พวกเราๆทั้งหลาย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการลองผิดถูก เท่านั้นเอง ตรงไหนที่สงสัย ก็ทดลองทดสอบดู สรุปพระองค์ตรัสสอนความจริง เหมือนกับตอนเราเรียนเลข แล้วได้สูตรการหาค่าต่างๆ พอได้สูตร ต่อไปจะหาค่าอะไรก็ง่าย แต่อย่าลืมนะครับ ก่อนจะเชื่อสูตรใดๆ คุณก็ต้องไม่ลืมการพิสูจน์สูตรก่อนเสมอ ความเห็นคุณ Practical x 2 เหมือนกับว่าถ้าไม่มี pascal เราจะไม่มีสูตรหาพื้นที่สามเหลื่ยมอย่างนั้นหละครับ ถึงไม่มี pascal เราก็คงมีคนอื่นที่คิดได้และบอกเรา ก่อนที่เราจะเกิดมาอยู่ดี เพียงแต่ชื่อคนคิด ก็จะเปลี่ยนไป จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 21:03:38 ]

ความคิดเห็นที่ 66 สุดท้ายก็ต้องใช้ความเชื่ออยู่ดี ไม่ต่างอะไรกับศาสนาอื่นๆหรอก จากคุณ : Papiyongpi - [ 5 ก.พ. 51 21:04:35 ]

ความคิดเห็นที่ 67 สังเกตุดูสิครับในข้อความ คห 64 กับ 65 นี่ก็น่าจะเป็นตัวอย่างคำตอบให้กับคุณ Practical x 2 ได้ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 21:11:47 ]

ความคิดเห็นที่ 68 คห.66 ผมว่าน่าจะต้องแยกระหว่างคำว่า "เชื่อ" กับคำว่า "ปักใจเชื่อ" ครับ  ในทางพุทธไม่ได้เรียกร้องให้ใครปักใจเชื่ออย่างเด็ดขาดก่อนที่จะประจักษ์แจ้งเห็นจริงในสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง  แต่ถ้าใครเห็นว่าหลักคำสอนของศาสนาพุทธ "น่าเชื่อถือ" และมีแนวโน้มว่าจะปฏิบัติได้จริง คือน่าจะสามารถนำไปสู่หนทางดับทุกข์ได้จริง ก็มาลองปฏิบัติดูหรือลองศึกษาดู ส่วนที่เป็นปาฏิหารย์ก็ไม่จำเป็นต้องปักใจเชื่อว่าเป็นจริง เพราะถึงคุณจะไม่เชื่อ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาศาสนาพุทธเลย ที่ผมใช้คำว่า "น่าเชื่อถือ" นั้นก็แสดงว่าไม่จำเป็นที่คุณจะต้องปักใจเชื่ออย่างเด็ดขาดในศาสนาพุทธเสียก่อน ถึงจะศึกษาได้ คุณอาจจะยังลังเลหรือไม่แน่ใจว่าจะนำไปสู่การดับทุกข์ได้จริงหรือเปล่า  ก็เหมือนกับผม ก็ยังมีบางส่วนที่ยังลังเลไม่แน่ใจในบางขณะ แต่ก็ยังศึกษาต่อไปได้ จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 5 ก.พ. 51 21:14:52 ]

ความคิดเห็นที่ 69 จขกท น่าจะคิดเหมือนผมในส่วนที่ว่าการพิสูจน์หรือปฏิบัติตามบางคำสอนใน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตนั้นเป็นไปได้ยากมาก หรืออาจกล่าวได้ว่าบุคคลทั่วไป ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้โดยการปฏิบัติ เนื่องจากต้องอาศัยความ เพียรและการสั่งสมบุญญาธิการอย่างแก่กล้าตั้งแต่อดีตชาติ ทั้งนี้ไม่ต้อง บังอาจเทียบเคียงถึงระดับขั้นการตรัสรู้เลย แม้เพียงระดับต้นๆ ก็ทำได้ยาก ยิ่งแล้ว ดังนั้นแล้วจะด้วยเหตุผลเช่นนี้หรือไม่ ที่ประชากรส่วนใหญ่ของโลก ใบนี้จึงมิได้นับถือศาสนาพุทธ? หรือ จขกท จะกล่าวว่าประชากรเหล่านี้ล้วน เป็นบัวใต้น้ำที่พระธรรมมิอาจเข้าถึงได้? จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 ก.พ. 51 21:15:30 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ^ ^ ^ หามิได้ครับคุณ Practical x 2 ผมไม่เชื่อว่าการปฏิบัติตามคำสอนมันยาก หากเป็นเพราะว่าผม ทำของผมเองแล้วไปพบเจอทีหลังต่างหากว่า การลองผิดลองถูกที่เราทำไป ก็ไม่ได้ไปไกลเกินกว่าอริยบุคคลที่ได้เดินผ่านทางนี้ไปแล้ว ตั้งใจนั่งสมาธิอย่างแน่วแน่ดูสิครับ ผู้รู้หลายๆท่านบอกว่า น่าจะพบอะไรได้บ้างภายใน 7 ปี(บุญดีๆ อาจจะสองวันถึงก็ได้นะครับ) ดูอย่างสมัยพุทธกาลสิครับ รับฟังคำสอนของพระพทธเจ้าสองสามประโยคก็บรรลุธรรมกันแล้ว อย่าว่าแต่เราๆท่านๆเลยครับ พระสมัยนี้บวชมาตั้งนานยังไปไม่ถึงไหนก็มี แล้วแต่บุญบารมีของแต่ละท่านสั่งสมเอาไว้ พิมพ์ไว้อย่างนี้เดี๋ยวก็เข้าใจว่าอภินิหารอีก ยกตัวอย่างด้วยแล้วกัน คนเหมือนกันอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน ในเวลาเท่ากัน แต่สอบได้เกรดไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างค้างไว้อย่างนี้จะดีกว่าไหม ;) จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 21:26:25 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ก็ยอมรับกันแล้วใช่ใหม?ว่าใช้ความเชื่อจริงๆ ไม่ใช่คุณเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงหรือไม่จริง แต่เป็นคุณเชื่อว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นความจริงตะหาก ต่อไปเรื่องการพิสูจน์ สมมุติคุณทำการทดลองอันนึง สิ่งที่คุณต้องทำก่อนการทดลองพิสูจน์คืออะไรครับ (นี่เป็นการทดลองต่อยอดเพราะงั้นไม่ต้องตั้งปัญหาหรือสมุติฐาน) เฉลยเลยขี้เกียจรอตอบนี่ไม่ใช่ห้องแชด เปลืองความเห็น คุณต้องหาข้อมูลจากผู้ที่เคยทดลองกันมาและวางแผนการทดลอง แต่ข้อมูลที่ได้กลับเป็นว่า ปฏิบัติไปปี-2ปี ไม่ได้ผล 10ปีก็ไม่ได้ผล ตลอดชีวิตก็อาจจะไม่ได้ผล อาจจะได้ผลตอนชาติหน้าหรือชาตินู้น การทดลองที่ทำตลอดชีวิตก็ไม่ได้ผลแต่ก็ยังจะทดลองนี่ เรียกการทดลองที่ล้มเหลวรึเปล่าครับ แผนการทดลองนี้สมควรทำไหมครับ? จากคุณ : Papiyongpi - [ 5 ก.พ. 51 21:29:01 ]

ความคิดเห็นที่ 72 แล้วอะไรที่ทดลองพิสูจน์แล้วว่ามันจริงหละครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 21:32:06 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ท่านนักวิทยาศาสตร์ผู้เจริญทั้งหลาย ท่านเข้ามาศึกษาวิทยาศาสตร์ในระบบการศึกษามาเป็นสิบๆปียังได้เลย ไม่ลองไปศึกษาพุทธศาสนาแบบตั้งใจจริงจังซัก1ปีดูบ้างล่ะครับ วิทยาศาสตร์สอนให้ลงมือทำเพื่อให้ได้คำตอบมิใช่หรือ จากคุณ : ขอซักชื่อเหอะ - [ 5 ก.พ. 51 21:33:22 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ดังนั้นจากต้นจนถึง คคห 70 จขกท คิดว่าศาสนาพุทธเป็นความเชื่อแบบหนึ่ง หรือไม่ครับ? จากคุณ : Practical x 2 - [ 5 ก.พ. 51 21:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ก็ลองเทียบกับสิ่งที่คุณคิดจะให้มัน = ดูสิครับ สมการไหนๆเราก็พิสูจน์กลับไปกลับมาได้ ต่างกับการทดลองที่ทำทั้งชีวิตก็อาจจะไม่ได้ผลและไม่ได้ข้อสรุปใช่ไหมละ แล้วแบบนี้ยังจะใช้คำว่า  = อยู่อีกหรือ ถึงความเห็นบน ถ้ามันทดลองแล้วมีทางได้ข้อสรุปผมก็จะทำอยู่หรอก เออแล้วก็1ปีนะอาจจะไม่ถึง แต่ถ้าครึ่งปีละผมลองมาแล้วละ แน่นอนของศาสนาอื่นด้วยผมก็ไปลองมาแต่เวลาน้อยกว่านั้น จากคุณ : Papiyongpi - [ 5 ก.พ. 51 21:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ไม่ครับ ถ้าจะเล่นกับตัวอักษรผมมีให้เล่นเยอะเลยนะ ความเชื่อ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ไม่ต้องอธิบายอะไรต่อ เพราะความเชื่อไม่ต้องมีเหตุผล ความจริง มีเหตุผลรองรับสนับสนุน และจะไม่จริงต่อเมื่อมีผู้ทดสอบว่าเป็นเท็จ เป็นกฏเหล็กของวงการวิทยาศาสตร์ ดูในอดีตสิครับ มีกี่ทฏษฏีกี่สูตรที่ถูกตีตกไปเพราะว่าเราพิสูจน์ได้ว่ามันไม่จริง ผมแค่บอกว่า พุทธศาสนา เป็นความจริงที่ยังรอการพิสูจน์จากทุกๆท่านอยู่ หลักความจริงในพุทธศาสนา อยู่มา 2500 กว่าปีและก็จะอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีใครมาพิสูจน์ได้ว่า หลักความจริงในพุทธศาสนาเป็นเท็จ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 21:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ศาสนาคริสก็อยู่มา2000กว่าปีแล้วก็จะอยู่ต่อไปเช่นกัน อิสลามก็ด้วย และ>>>เป็นกฏเหล็กของวงการวิทยาศาสตร์ ดูในอดีตสิครับ มีกี่ทฏษฏีกี่สูตรที่ถูกตีตกไปเพราะว่าเราพิสูจน์ได้ว่ามันไม่จริง ^ ^ นั่นไม่ใช่ว่าวิทยาศาสตร์ผิดนี่ครับ มันอับเดทตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้ว อะไรที่พิสูจน์แล้วว่าจริงเราถือว่าเป็ววิทย์ยาศาสตร์แล้ว วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ขี้โกงครับ แม้แต่ศาสนาถ้าถูกพิสูจน์แล้วว่าจริงมันก็จะกลายเป็นข้อเท็จจริง ทางวิทยาศาสตร์ทันที แต่ตอนนี้มันไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าจริง มีแค่เบาะแสเล็กน้อยเท่านั้นที่ดูเหมือนจะจริง เพราะงั้นตอนนี้เรายังไม่ถือว่ามันเป็นความจริงครับ ความจริงของคุณไม่ใช่ความจริงของหลายๆคน เพราะมันต้องใช้ความเชื่อ และพิสูจน์ไม่ได้   หวังว่าความเห็นนี้น่าจะชัดพอแล้วนะ ป.ล.แก้คำผิดเล็กน้อยให้สวยงาม แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 21:50:05 จากคุณ : Papiyongpi - [ 5 ก.พ. 51 21:48:36 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เอ้า = ก็ = จัดให้ครับก่อนผมจะไปนอน พุทธศาสนา = (ความเชื่อ+การพิสูจน์) = วิทยาศาสตร์ คุณจะย้ายสมการอย่างไรก็ตามใจคุณครับ ผมต้องขอตัวไปนอนก่อนแล้วครับ จะเก้าโมงเช้าแล้ว เดี๋ยวตื่นไปเรียนตอน เย็นไม่ทันครับ จากคุณ : WareZ - [ 5 ก.พ. 51 21:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ที่ผมตั้งคำถาม นั้นเป็นคำถามทางปรัชญา และการตอบของคนหลาย ๆ จะเห็นได้ว่า ความจริงนั้นมีหลายแบบ แต่ละคนก็มีความจริงเป็นของตัวเอง ปล. ข้อนี้ตอบไม่ยากเลยครับ ไปคิดมากกันทำไม ความจริง คือความจริงที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ ถ้ามีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเท็จเมื่อไหร่ เมื่อนั้นความจริงนั้นก็จะไม่เป็นจริงอีกต่อไป เช่น สองร้อยปีที่แล้วมีความจริงว่า โลกแบน ไม่ใช่แค่เชื่อเท่านั้น การต่อต้านยังมีผลทำให้ถึงตายได้ ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าโลกกลม เพราะฉะนั้นโลกแบนจึงไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ง่ายไหมครับ ถ้างั้นผมกล่าวว่า พระเจ้านั้นมีอยู่จริง และยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง เราจึงสรุปได้ว่า พระเจ้ามีอยู่จริง นั้นเป็นความจริง หากความจริงของคุณเป็นแบบนั้น คุณก็ต้องยอมรับว่าพระเจ้านั้นมีจริง และวิทยาศาตร์เองก็ไม่ได้ทำหน้าที่ค้นหาความจริง เพียงแต่ทำหน้าอธิบายสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นจริง(ความเป็นจริง ศาสนาทุกศาสนา ไม่ได้เป็นการวัดเชิงปริมาณอย่างวิทยาศาสตร์แต่เป็นการวัดด้วยความรู้สึก ความรู้สึกว่ามีพระเจ้าอยู่กับฉัน ความรู้สึกว่าฉันนั้นได้นิพพานแล้ว จิตจึงเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์เรา ใช้สัมผัสถึงพระเจ้า และินิพพานไม่ใช่ผมการทดลองหรือผลการปฏิบัติ ต่อให้เราปฏิบัติมากแค่ไหนหากเราไม่รู้สึกว่าตัวเองนิพพาน หรือ มีพระเจ้าอยู่ก็ไม่มีทางรับได้ถึงสิ่งเหล่านี้ การศึกษาเรื่องจิตแบบวิทยาศาสตร์นั้นคือ ศาสตร์ที่มีชื่อว่าจิตวิทยาต่างหาก # 78 ปล.การสร้างสมการไม่ใช่นึกจะเขียนก็เขียน มันต้องมีที่มาที่ไป ต้องมีการแสดงให้เห็นที่มา แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 22:38:27 จากคุณ : เซียนแห่งmath - [ 5 ก.พ. 51 22:35:53 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ครับ  ผมยอมรับว่าผมไม่เข้าใจเรื่องของศาสนาพุทธมากนัก  เพราะผมเ)้นคาทอลิค  จึงไมไ่ด้สนใจที่จะศึกษาศาสนาพุทธอย่างจริงจัง(ครับ  จริงที่ว่าผมจะศึกษาก็ทำได้  แต่ผมยังไม่ได้สนใจจะศึกษาไงครับ  หุหุหุ) อืมมม  ผมถึงบอกไงครับ  ว่ถ้าผมค้นหา  ผมจะหาคำตอบออกมาไมไ่ด้  อาจจะถูกของคุณ  ที่บอกว่าวิญญาณมีอยู่เท่านั้นเท่านี้  แต่ถ้าเกิดได้คำตอบนั้นมา  ผมก็จะสงสัยต่อในทันที  ว่าวิญญาณเหล่านั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร  ใครเป็นคนสร้างขึ้นมา  และสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?  ครับ  มันเป็นคำถามที่ไม่รู้จบ  ดังนั้นผมจึงเลี่ยงไปว่าเรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์ หรือเปรียบเทียบ หรือตีความให้เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรอกครับ  ผมก็กล่าวไว้แล้ว  ว่าคำสอนมีไว้สอนคน  ไม่ได้มีไว้พิสูจน์หรือตีความ เอาล่ะครับ  จุดประสงค์ที่แท้จริงของผมคืออยากให้ปล่อยวาง  เรื่องที่จะเทียบนั้นตีความนี่ให้เข้ากับเรื่องนั้นเรื่องนี้  อย่างเช่นการตีความคำสอนของพระพุทธเจ้า  ให้เป็นวิทยาศาสตร์  หรืออย่างที่ผมเห็นสักความเห้นนี่ล่ะ  ที่บอกว่าไม่ต้องเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงไหม  หรือตรัสรู้ได้เองจริงไหม  แต่ควรพินิจดูว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นเป็นความจริงหรือไม่  และพระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้คนเชื่อ ครับ  ทุกอย่างมันต้องอาศัยความเชื่อ  ถูกต้องแล้วครับ  อย่างน้อยก็เชื่อว่ามันถูกหรือผิด  เอาล่ะครับ  ตอนนี้ผมไม่รู้สึกถึงประโยชน์อะไรที่จะเถียงกันให้เสียเวลาและ data storage ของพันทิปเขานะครับ  ผมอยากให้ใช้ศาสนามาสอนเราให้เป็นคนดี  มากกว่าที่จะหยิบประเด็นความเชื่อทางศาสนามาเถียงกันนะครับ(อย่างที่ผมพูดไปแล้วนั่นแล) อีกอย่างหนึ่ง  ผมไม่คิดว่าศาสนาจะเป็นวิทยาศาสตร์นะครับ(ก็ทั้งคริสต์  พุทธ  และอิสลามนั่นแล)  ศาสนาคือศาสนา  วิทยาศาสตร์คือวิทยาศาสตร์  มันคนละเรื่องกันนะครับ  ผมบอกไว้แล้วว่าศาสนาคือสิ่งที่จะสอนการดำรงชีวิต  ให้เป็นคนดี  ส่วนวิทยาศาสตร์นั้นคือศาสตร์ที่ว่าด้วยความจริง  ผมเชื่อว่าวิทยาศาสตร์คือความจริงครับ  แต่ผมบอกไม่ได้ว่าศาสนาคือความจริง "ทั้งหมด" หรือไม่  ใช่ไหมครับ? ปล.ถ้าไม่ได้ทะเลาะก็ว่ากันไปครับ  แต่ถ้าคิดจะทะเลาะก็หยุดนะครับ "แต่ถ้าไมไ่ด้ทะเลาะก็ว่ากันไป"  ขอให้สนุกกับการโต้วาทีครับ(แล้วจะกลับมาเช็คกระทู้อีก  อิอิ) จากคุณ : wsteven - [ 5 ก.พ. 51 22:46:43 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ^ ^ ^ คือนั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้น่ะนะ  จากความรู้เล็กๆน้อยส่วนตัว  และความคิดเห็นส่วนตัว จากคุณ : wsteven - [ 5 ก.พ. 51 22:48:47 ]

ความคิดเห็นที่ 82 #44 คุณ WareZ คิดถูกแล้วครับ   เราไม่สามารถรู้ได้ว่าความจริงแท้ๆ คืออะไร จากคุณ : Capillary - [ 5 ก.พ. 51 22:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 83 แนะนำครับ "ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" ของทันตแพทย์ สม สุจีรา แล้วคุณอาจจะเลิกเถียงกัน จากคุณ : GXZ - [ 5 ก.พ. 51 23:39:21 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ^ ^ ^ ผมจะเถียงคอเป็นเอ็นเลยคราวนี้ จากคุณ : จาจาบิงแปงร่างเป็นไอ้มดเขียว - [ 5 ก.พ. 51 23:43:53 ]

ความคิดเห็นที่ 85 พิสูจน์ได้โดยตัวของคุณเอง เป็นปัจเจก แบบนี้มันก็ผิดหลักวิทยาศาสตร์แล้ว เพราะวิทยาศาสตร์ ถ้ามคุณมี การทดลองแบบนี้สิ่งที่ควบคุมโดยสมบูรณ์คุณก็จะได้ผลลัพธ์อย่างนี้ วิทยาศาตร์ พิสูจน์ให้ ทุกคนเห็นได้วยตา สัมผัสได้จริงๆ ศาสนาพุทธเหมาะสำหรับ การบำบัด ทางจิต ให้คนอยุ่กับโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ความแก่งแย่งได้ สัมผัสด้วยใจ คนละเรื่องและคนละแนวทาง อย่าเอามาบอกมันคือวิทยาศาสตร์ มันคือ หลักจิตวิทยา มากกว่า จากคุณ : a - [ 5 ก.พ. 51 23:52:30 A:124.121.149.41 X: TicketID:165913 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ความเชื่อในลัทธิอื่นๆ  ในศาสนาอื่นๆ จะยังไงก็ตาม ..แต่ในศาสนาพุทธ  จะต้องผ่านการกลั่นกรองด้วยหลักกาลามสูตรก่อน   พอจะจำกาลามสูตรได้ไหม ? .............................................................  กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ ๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา ๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา ๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ ๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา ๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา ๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา ๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล ๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน ๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้ ๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ .................................................................... จากคุณ : Ck (Clarke) - [ 6 ก.พ. 51 00:02:39 ]

ความคิดเห็นที่ 87 คนอื่นจะเชื่อยังไงเป็นการยากที่จะไปพิสูจน์ของเขา ส่วนตัวผมเเล้วการทำบุญไม่ได้เเม้เเต่เศษเสี้ยวของการฝึกจิต (การรับรู้จิตของตนเองว่าทำอะไรอยู่ของศาสนาพุทธนะครับ) การทำบุญมันก็เเค่ลดความตระหนี่ไม่มีทางที่จะทำให้คุณได้พ้นทุกข์ การช่วยเหลือผู้อื่นก็ได้บุญแต่ยังห่างไกลสู่หนทางพ้นทุกข์ If ศาสนาพุทธเป็นของจริง then ศาสนาอื่นเป็นของเท็จ or ทุกศาสนาเป็นเท็จ อันนี้ผมคิดเองซึ่งเจ้าของกระทู้อาจจะไม่ได้สื่อแบบนี้ อ่านจั่วหัวกระทู้รู้สึกว่า เหมือนดูถูกศาสนาอื่นๆว่าเป็นเท็จ ส่วนความเห็นนี้ก็ดูถูกศาสนาอื่น "หากว่าวันใด มีศาสนาใหม่มา แล้วมันจริงกว่าศาสนาที่ผมนับถือ" (จะสร้างสรรค์กว่านี้ถ้าไม่ไปบอกว่าของคนอื่นไม่จริง) จากความเห็นนี้ก็ดูถูกพวกเกย์อีก "คนรู้จักที่เป็นเกย์ แต่ไม่สนใจเรื่อ เซ็กส์มาสักคน ปรากฏว่า เกือบทุกคนเห็นด้วยในประเด็นที่ว่า เกย์ทุกคน สนใจเรื่องเซ็กส์ เป็นเรื่องใหญ่" เกย์ดีๆเขาก็มี ผู้ชายหญิงที่สนใจเเต่เซ็กข์ก็มีเช่นกัน เรื่องความเชื่อพิสูจน์ยาก ผมอ่านไบเบิลหรืหนังสือของคริสตร์ต่างๆ บางทีผมก็รู้สึกศรัทธาพระเจ้าเหมือนมากระซิบข้างหู รู้สึกมีพลังแทบอยากจะวิ่งไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ผมศึกษาวิธีฝึกจิตผมก็รู้สึกตัวเองมีสมาธิมากขึ้น มีพลังมากขึ้นเหมือนกัน อันไหนคือความจริงตอบคือจริงทั้งคู่ เพราะศาสนาคือความเชื่อดังนั้นยากที่จะพิสูจน์ว่าของใครเท๊จ พระเจ้าข้ามี ของเอ็งไม่มีพระเจ้าเป็นของปลอม แต่ผมสรุปว่าจิตใจคนเรามีผลต่อร่างกาย "มันเป็นสัจพจน์" เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้"จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว" แต่จริงๆแล้วผมลองมองด้วยหลักวิทยาศาสตร์มันก็คือ ถ้าเรารู้สึกสงบสมองก็จะหลั่งฮอร์โมนออกมาอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเเตกต่างจากตอนที่เราอยู่ในภาวะ panic ซึ่งก็ต้องมีผลแตกต่างจากสภาวะปกติ ปล ผมไม่ใช่เกย์ จากคุณ : Chaos dragon - [ 6 ก.พ. 51 00:14:23 ]

ความคิดเห็นที่ 88 คุณเอาอะไรไปตัดสินว่าศาสนาอื่นไม่ได้ใช้ กาลามสูตร แล้วคุณเอาอะไรไปตัดสินว่า มีเพียงพุทธเท่านั้นที่ใช้ กาลามสูตร สรุปแล้วคุณก็ไม่ได้ใช้ กาลามสูตร เพียงแค่เชื่อทฤษฏีตัวเองเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 51 00:28:29 จากคุณ : เซียนแห่งmath - [ 6 ก.พ. 51 00:24:25 ]

ความคิดเห็นที่ 89 หลาย ๆ  คน  เชื่อว่า  มันจริง  ปัจจุบัน  ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ  ถ้าอนาคตยังพิสูจน์ไม่ได้  ก็จะเป็นจริงต่อไป แล้วถ้าผมเป็นคนขวางโลกล่ะ... ผมเชื่อว่ามันเป็นเท็จ  ถ้ายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง  มันก็จะเป็นเท็จต่อไป ฉันใดก็ฉันนั้นแล... ----------------------------------------------- ถ้าไม่ True ก็ False ถ้าไม่ False ก็ True มันมีแค่นี้จริง ๆ  หรือ มันไม่สามารถมองแบบอื่นมากกว่า True or False ได้เลยหรือไงนะ ถ้ามันมองได้  ผมว่านั่นอาจจะเป็นคำตอบที่ทำให้หลาย ๆ  อย่างลงตัว... จากคุณ : Zew - [ 6 ก.พ. 51 00:40:49 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ตอบ ความเห็นที่ 40 ที่คุณว่า คนผิดศีลกาเม มากๆเข้าจะไม่สนว่าตนเป็นเพศใด ต้องมีเพศสัมพันธ์กับเพศใด คนพวกนี้จะคิดแต่เรื่อง เซ็กส์อย่างเดียว ทำไมเกย์กระเทยจะไม่สนล่ะว่าตัวเองเป็นเพศอะไร เค้าก็สนว่าตัวเองเป็นกระเทยเป็นเกย์ยังไงละ ไม่ใช่ไบซะหน่อยจะได้ได้ทุกเพศ แล้ว เกย์ กระเทย เค้าก็สนแต่ผู้ชายไม่ใช่หรือ จะสนผู้หญิงด้วยทำไมล่ะ แล้วเพศอื่นไม่ได้คิดแต่เรื่อง เซ็กซ์อย่างเดียวหรือ ถ้าอย่างงั้น ชาย ชริง หญิงแท้ ที่เซ็กซ์จัดก็ต้องเป้นรักร่วมเพศด้วยรึ จากคุณ : DevilDoll - [ 6 ก.พ. 51 01:17:41 ]

ความคิดเห็นที่ 91 "อย่ายึดมั่น ถือมั่น" วิทยาศาสตร์  กับ ศาสนา ย่อมยากที่จะมาบรรจบ แต่ย่อมอยู่คู่กันไป ศาสนาพุทธ กับวิทยาศาสตร์นั้นสอดคล้องกัน วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ตามหลักเหตุ และผล พุทธศาสนา มุ่งเน้น ให้พิจารณาตามเหตุ และผล หลายๆ คำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องยอมรับว่าเป็นจริง อย่าง   สอนว่า ทุกอย่างนั้นไม่เที่ยง คือ ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง ไม่จีรังยั่งยืน ในวิทยาศาสตร์ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรคงที่อย่างแท้จริง จากคุณ : EITHER - [ 6 ก.พ. 51 01:27:53 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ขี้เกียจอ่านต่อ อ่านความเห็นต้นๆแล้ว  ทุกท่านกำลังพูดถึงพุทธศาสนา  ด้วย  ตรรก  ครับ ตรรก  ครับ  ตรรก กาลามสูตรท่านว่า  อย่าเชื่อ  เพราะว่ามันเป็นตรรก  ครับ   เห็นมะ  ทะเลาะกันจนได้ จากคุณ : ไม่งง (ไม่งงครับ ไม่งง) - [ 6 ก.พ. 51 02:33:47 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขออนุญาต จขกท. ย้ายวิกไปกระทู้บนของคุณปัจจตัง นะครับ เพราะกล่าวในสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน นั่นคือการวิพากษ์ความเหมือนและต่าง ของวิทยาศาสตร์ และศาสนา.. http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X6306078/X6306078.html ตามรายละเอียดแรกสุดในกระทู้ตามลิงก์ข้างบนนี้ ดูเหมือนจะบอกว่า วิทยาศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญา และปรัชญา ก็คือพุทธศาสนา ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงเป็นซับเซตของพุทธศาสนา แต่ ปรัชญา ไม่จำเป็นต้องเป็นศาสนาพุทธ หากศาสนาพุทธ เป็นส่วนหนึ่งของ ปรัชญา ปรัชญา ก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์ เป็นปรัชญา ดังนั้นจะเห็นความสัมพันธ์ตรงนี้ขึ้นมา ว่ามีจุดร่วมบ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะวิชาปรัชญามันกว้าง อีกอย่าง ไม่ควรยึดแต่หนังสือ "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" ของทันตแพทย์ สม สุจีรา หรือหนังสือ "ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ" ของศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ เพราะเดี๋ยวนี้รู้สึกคนไทยจะอ้างแต่สองเล่มนี้อย่างเหนียวแน่น (ก่อนหน้านี้ช่วงหนึ่งจะอ้างอิงหนังสือ พุทธศาสนา ในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ ของพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) กันมาก) ไม่ใช่หนังสือเหล่านี้ไม่น่าอ่าน ตรงข้าม มันน่าอ่าน และผมก็ซื้อมาเก็บไว้และกำลังอ่าน รวมไปถึงเล่ม "ภิกษุกับนักปรัชญา" อีกด้วย แต่.. เรากลับข้ามหรือละทิ้งหนังสือดีๆอื่นๆไปมากมายอย่างน่าใจหาย เพียงเพราะมันเขียนโดยชาวตะวันตก หรือเขียนเป็นภาษาอังกฤษ เช่น - Physics and philosophy: The Revolution in modern science โดย Werner Heisenberg (ครับ ไฮเซนเบิร์ก นั่นแหละ) - God created the integers โดย Stephen Hawking - Wholeness and the implicate order โดย David Bohm - Mathematics, Science, and Epistemology โดย Imre Lakatos - The Philosophy of Physics (อยู่ในชุด The Evolution of Modern Philosophy) โดย Robert Torretti - The Road to Reality : A complete guide to the laws of the universe โดย Roger Penrose - The emperor's new mind โดย Roger penrose - Shadows of the mind โดย Roger Penrose - Contemporary debates in philosoply of science บรรณาธิบทโดย Christopher Hitchcock - Continental and Postmodern perspectives in the philosophy os science บรรณาธิบทโดย Babich, B.E. , Bergoffen, D.B., Glynn S.V. - The problem of knowledge โดย A.J.Ayer - Logic and knowledge โดย Bertrand Russel (บรรณาธิบทโดย Rpbert C. Marsh) - History of Western Philosophy โดย Bertrand Russel - Philosophy of Science: The central issue โดย Martin Curd/J.A. Cover - บทที่ 7 The universal computer : simulating the universe ในหนังสือ Programming the universe : A quantum computer scientist takes on the cosmos โดย Seth Lloyd - The demon-haunted world : Science as a candle in the dark โดย Carl Sagan - Billions and billions : Thoughts of life and death at the brink of the millennium โดย Carl Sagan - Science and the quest for reality บรรณาธิบทโดย Alfred I. Tauber - Fuzzy thinking โดย Bart Kosko - Paradigms regained : A further exploration of the mysteries of modern science โดย John L. Casti - Impossibility : The limits of science and the science of limits โดย John D. Barrow - What is this thing called science ? โดย A.F. Chalmers - Experiencing Science โดย Jeremy Bernstein - The mind of god: Science and the search for ultimate meaning โดย paul davies หลายเล่มเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อยของหนังสือที่ผมพิจารณาว่าน่าสนใจ และซื้อมาเก็บไว้ และกำลังย่อยเรียนรู้ไปตามกำลังที่ตัวเองมี ซึ่งคงกินเวลานานหลายปี ซึ่งถ้าท่านใดสนใจ ต้องการฉบับสำเนา เรามาถ่ายเอกสารแลกหนังสือที่น่าสนใจกันได้นะครับ เพื่อให้มีหนังสือ ในฐานข้อมูลของแต่ละคนมากขึ้น ผมเองก็ต้องการหนังสือเชิงพุทธดีๆและอ่านเข้าใจง่ายเช่นเดียวกัน สุดท้ายนี้ผมอยากให้กัลยาณมิตรที่เป็นศาสนิก ลองอ่านหนังสือเหล่านี้ดูก่อน รวบรวมข้อมูลอย่างที่ผมรวบรวม เปิดใจให้กว้าง เปิดข้อมูลของเราให้กว้างไปกว่าหนังสือภาษาไทย อย่าเพิ่งให้อะไรจริงแล้วยึดอันนั้น เหมือนที่ผมบอกแก่เพื่อนๆในห้องศาสนาว่า ผมลองเปิดกว้างและศึกษาศาสนาดู แทนที่จะบอกว่าวิทยาศาสตร์ถูกต้องเพียงฝ่ายเดียว เหมือนเมื่อก่อน ถามว่าแล้วขั้วศาสนิก (และอาจจะรวมถึงชาวหว้ากอที่ไม่เคยคิดจะอ่านปรัชญามาก่อนเลย) ว่า ก่อนที่เราจะสรุปอะไรทุกอย่างในภาพรวม เราได้ทดลองอ่านหนังสือปรัชญาวิทยาศาสตร์ให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้วหรือยัง เปรียบเทียบในข้อเหมือนหรือต่าง อ่านผ่านตาบ้างหรือเปล่า หรืออ่านแต่หนังสือของทางพุทธเท่านั้น การที่ผมไม่อยากสรุป เพราะเหตุว่าผมไม่บังอาจที่จะยึดว่าอะไรที่มันจริงที่สุด ตราบเท่าที่ข้อมูลผมยังไม่เพียงพอ นั่นคืิอทำไมผมต้องรวบรวมเรียบเรียงสิ่งต่างๆ และคิดลำดับก่อน เพราะการจะให้ผมเชื่อความรู้สึกนั้น คิดว่ามันอาจจะไม่เหมาะกับธรรมชาติของตัวผมเองนัก ผมจึงพยายามอ่านหนังสือทั้งปรัชญา ปรัชญาวิทยาศาสตร์ และหนังสือทางพุทธไปในเวลาเดียวกัน หลายปีต่อไปจากนี้ผมคงง่วนอยู่กับการย่อยสิ่งต่างๆที่ได้อ่านเพิ่มเติมมา แต่คงไม่อาจจะบอกได้ว่าอะไรน่าจะใช่ ตราบเท่าที่ความคิดยังไม่ตกผลึก - ซึ่งคงอีกนาน - ยัง ยังไม่ใช่ตอนนี้ ยัง... หลังจากที่ผมรู้แล้วว่า ในหลายปีก่อนหน้านี้ตอนอายุสิบปลายๆถึงยี่สิบต้นๆ ในยุคสมัยที่ผมยึดวิทยาศาสตร์เป็นสรณะ เป็นความจริืงสูงสุดนั้น คราวนั้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผมพลาดไปถนัดใจตรงที่ยังไม่ได้ศึกษาปรัชญาและศาสนาให้ดีเสียก่อน ตอนนั้นผมจึงละสิ่งที่ตนเองยึดว่าเป็นความจริงสูงสุดเสีย และอ่านๆ ถามๆ คิดๆ เรื่อยมา ท่านที่เป็นศาสนิก(ทุกศาสนา) ท่านน่าจะได้ฉุกคิดในแบบเดียวกันกับคนเคยคลั่งวิทย์คนนี้ และเริ่มเปิดใจอ่านสิ่งต่างๆอันเป็นมรดกทางความคิดของมนุษย์ นอกเหนือจากหนังสือทางศาสนา เพิ่มเติม ต่อยอดขึ้นไป เผื่อว่าอาจจะพบเจออะไรใหม่ๆที่หลงหูหลงตาเราไปนาน ดังนั้น อย่าเพิ่งด่วนสรุป ว่าอะไรใช่ซับเซตของอะไร หรืออะไรจริงที่สุด อะไรเป็นรากของอะไร เพราะทุกฝ่ายทั้งตะวันออก และตะวันตก ปัจจุบัน หรืออดีต นักคิดทุกคนต่างคิด ไม่มีใครที่จะด้อยกว่าใคร หากมีแง่มุมในการมอง Reality ที่แตกต่างกัน น่าเรียนรู้ทั้งสิ้น อีกทั้งปรัชญาวิทยาศาสตร์(Philosophy of Science) ก็ไม่ใช่เรื่องเดียวกันกับพุทธศาสนา แต่อาจจะมีจุดร่วมกันบางอย่างเท่านั้น จึงไม่ควรนำมาผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเซ็ตเดียวกัน แต่อาจจะมีบางส่วนที่มัน intersection กันได้ ถ้ากล่าวเช่นนั้น จึงจะถูกต้องครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 6 ก.พ. 51 03:11:29 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ไอไสต์  เพิ่งจะมาค้นพบพลังงานเมื่อใด..พระพุทธเจ้าท่านค้นพบพลังงานมาแล้วตั้ง 2500ปีมาแล้ว แต่เรียกว่าวิญญาณ เมื่อคนตายไปแล้ว    สูตรของไอไสต์ สสารและพลังงานย่อมไม่สูญหายไปจากโลก เพียงแต่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนสถาณะไปเท่านั้น         พลังงานที่คนเราตายไปจะอยู่ในสถาณะและรูป อื่นแทน เราเรียกว่าวิญญาณ ในศาสนาพุทธ ท่านสอนไว้ 2500 ปีมาแล้ว วิทยาศาสตร์กำลังพยายามเอาพุทธศาสนามาค้นหาความจริง ให้เห็นหลักฐานในเชิงประจักษ์เท่านั้นเอง        แต่การเห็นแจ้งโลก ในศาสนาพุทธจะค้นพบโดยวิธีการภาวนาเท่านั้น คือการทำจิตให้ละเอียดเป็นหนึ่งเดียวกับอุณหภูมิของโลกหรือจักวาล  จึงจะสามารถเชื่อมต่อกับอารมณ์ ความรู้สึกของผู้ภาวนาได้            เหมือนคลื่นวิทยุเห็นไม่ได้ทำไมมีเสียงดัง คลื่นโทรทัศน์เห็นไม่ได้ทำไมส่งภาพได้ นั่นคือพลังงานในรูปเสียงและภาพ ของไอไสต์หรือปล่าว ก็อันเดียวกัน แล้วจะหาอะไรมาเชื่อม ให้เห็นตัว หรือ กระแสรพลังงาน รูป กับเสียงล่ะ วิทยาศาสตร์ หมดปัญญาหามาตั้งแต่ไอสไสต์แล้ว             ปัจจุบัน สตีเวน ฮอฟกิ้น หากจำชื่อไม่ผิด นักวิทยาศาสตร์คนปัจจุบันที่เป็นโรคเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อไม่ทำงนเป็นอัมพฤกต้องนั่งรถเข็นตลอด มีคนยกย่องเขาว่าเป็นไอไสต์มาเกิดก็ นำทฤษฏีสัมพันธภาพ ของไอไสต์มาค้นหา จุดกำเหนิดของจักวาลอยู๋ หากค้นพบอะไรจะเกิดขึ้นรู้ไหมครับ            เขาจะสามารถ ย้อนอดีต และรู้อนาคตตนเองได้หมดทีเดียว ทั้งชีวิต แต่เพียงขาดเครื่องมือ           เครื่องมือที่ว่าคือ จะมียานพาหนะใดที่เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงเท่านั้น....หามาซีครับ          แสงอาทิตย์ เดินทางมาถึงโลกใช้เวล 8 นาทีถ้าจำไม่ผิด แต่จิดคนเราพอนึกปุ๊บ ถึงปั๊บดวงอาทิตย์ แล้วอะไรไวกว่ากัน...วิทยาศสตร์กำลังค้นคว้ากันยกใหญ่ว่า จิต ใช้พลังงานหรือเกิดพลังงานได้อย่างไร แบบไหนครับ            ความเห็นส่วนตัวจำเขามาโพสต์อาจผิดนะครับยินดีอ่านด้วยเหตุผลครับและการพิสูจน์ ทางวิทยาศาสตร์ จากคุณ : เกิดเป็นคนช่างยากแท้ - [ 6 ก.พ. 51 06:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ... DigiTaL-KRASH!!!  เห็นด้วยครับ เป็นบทความที่สวนทางพวกวิทยาศาสตร์จัด อะครับ ...ผมว่าวิทยามีความเป็นรูปธรรมมากกว่าปรัชญาครับ คือยังงี้ครับ   มีการให้กันที่ไม่พอเพยงคับ  ยกตัวอย่างว่า วิทยาศาสตร์ = ให้ลูกระเบิดนิวเคลียร์การรวมธาตุและระเบิดธาตุ ทำลาย อย่างธรรมชาติล้าง ปรัชญา = การใช้ชีวิตยังงัยให้รอด และ อยู่รวมกันได้  อย่างธรรมชาติ ตรรกะเหมือนกันแขนซ้ายและขวาครับ และแน่นอนซิเอาวิทยาศาสตร์กับปรัชญาไปขายที่ตลาดแห่งหนึ่งคนเราๆจะเลือกวิทยาศาสตร์ ครับ ผมก็เอะใจมานานแล้วว่า อยากให้ปรัชญาและวิทยาศาสตร์ไปด้วยกันอย่างไม่เลื่อมกัน อะครับ จากคุณ : โอซารัน - [ 6 ก.พ. 51 07:05:04 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ถ้าพุทธศาสนาเป็นความจริง ทำไมจึงยังเรียกว่าศาสนาอยู่ครับ? เพราะโดยนิยามแล้วศาสนาหมายถึงระบบของความเชื่อ หรือ จขกท จะกล่าวว่าเป็นเพราะคนจำนวนมากยังเข้าไม่ถึง จึงเห็นว่าเป็นแค่ความเชื่อ? จากคุณ : Practical x 2 - [ 6 ก.พ. 51 07:10:43 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ^ ^ ^ ถ้าคุณจะทำความเชื่อให้เป็นความจริง ก็พิสูจน์สิครับ ถ้าผลจากการพิสูจน์ออกมาว่าจริง ความเชื่อนั้นก็จะกลายเป็นความจริง ถ้าผลการพิสูจน์ออกมาว่าเป็นเท็จ ความเชื่อนั้นก็จะเป็นความเชื่อเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน เพราะว่าความเชื่อไม่ต้องมีเหตุผล จากคุณ : WareZ - [ 6 ก.พ. 51 07:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 98 จากระยะเวลาอันยาวนานกว่า 2550+ ปีน่าจะเพียงพอต่อการพิสูจน์และ ทำให้ได้ข้อสรุปได้ว่าศาสนาพุทธเป็นความเชื่อหรือความจริง แต่ ณ วันนี้ก็ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นไปได้ไหมว่าศาสนาพุทธคือความเชื่อแบบ หนึ่งครับ? จากคุณ : Practical x 2 - [ 6 ก.พ. 51 07:34:00 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ขอบ่นหน่อย ดูเหมือนว่าจะมีบางท่านเข้าใจไปว่าผมเอาศาสนามาเปรียบเทียบกัน ผมขอสื่อไว้ตรงนี้เลยนะครับ ว่าผมเคารพทุกๆศาสนาและทุกๆลัทธิ ผมมีเพื่อนต่างศาสนามากครับ (โดยเฉพาะชาวยิว) ผมเพียงแค่บอกว่า วิธีการหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ นั้นเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างและดูจะเป็นกลางที่สุด ผมจึงนำกระบวนการนี้มาทดสอบเปรียบเทียบ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับหลักของศาสนาพุทธ ผลลัพท์ที่ผมได้ คือคำสอนของศาสนาพุทธ มีที่มาที่ไป เป็นเหตุเป็นผล สามารถทำการพิสูจน์หาความจริง ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ เท่านั้นเองครับ ผมไม่ได้เอาศาสนาพุทธไปเปรียบเทียบกับศาสนาใดๆทั้งนั้น ผมเป็นคนพุทธ แปลกหรือครับถ้าผมจะหาความจริงจากสิ่งที่ผมเชื่อ และถ้าผมพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ผมเชื่อ พิสูจน์ได้ว่ามันจริง ความเชื่อของผม ก็เป็นความเชื่อที่ไม่งมงาย ส่วนท่านที่อยู่ศาสนาอื่นๆ ถ้าอยากทดสอบหาความจริงจากหลักคำสอนของศาสนา ของท่านนั้นๆ ก็ตามสบายครับ ได้ผลว่าอย่างไร ถ้าอยากบอกก็โพสไว้ได้ครับ แล้วคืนนี้ผมจะกลับมาตอบ ส่วนที่เหลือแล้วกันครับ เพราะว่าต้องรีบไปดู คอนเสริ์ต มาลิลีน แมนสัน ก่อนครับ จากคุณ : WareZ - [ 6 ก.พ. 51 07:40:54 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ผมศึกษาพุทธมาพอสมควร เท่าที่ผมทราบ พระพุทธองค์ ไม่ได้ตรัสเรื่องผิดเพศนี้ตรงๆ เพียงแต่ในพระไตรปิฏก มีบันทึกไว้ทุกเรื่อง แม้เรื่องของ ภิกษุ ภิกษุนี พระราชา พระธิดา แล้วมีการเล่าถึง บุพกรรม ของท่านอื่นๆ เหล่านั้น  ที่เคยผิดลูกเมีย กรรมทำให้เกิดเป็นกระเทย ก็มี เท่านั้นเองครับ สำหรับผม ผมคิดว่า พุทธศาสนา ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไปเสียหมด คิดว่า ถ้าจับมามองบางส่วนก็ใช่ ในแง่ว่า ทุกอย่างมีมาจากเหตุ ไม่ได้เกิดจากการดลบันดาล ของใคร แต่ พุทธเอง ก็พิสูจน์มาตีแผ่ให้ใครต่อใครดูไม่ได้ แบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งใครก็เห็น ภาพจากดวงจันทร์ได้ ศาสนาพุทธ ต้องทำเอง จึงรู้เอง ในคนที่ทำไม่ได้ ก็ยังต้องอาศัยความเชื่อและศรัทธา อยู่ดีครับ ผมคิดว่าความนับถือ ศรัทธา จำเป็นต้องมีในทุกศาสนา สำหรับเบื้องต้นครับ ยินดีที่ได้คุยกันครับ จากคุณ : จักรแก้ว - [ 6 ก.พ. 51 08:02:22 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ถ้าคุณ Warez บอกว่าเชื่อในพุทธศาสนา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ก็ไม่มีใครจะไปแย้งอะไรครับ เพราะทุกคนก็มีความเชื่ออยู่ทั้งสิ้น แตกต่าง กันไปแล้วแต่บุคคล การพิสูจน์ก็อยู่ที่บุคคลนั้นๆ เอง แต่จะเห็นว่าการนำ ความเชื่อไปผูกหรือไปโยงกับสิ่งอื่นที่คนจำนวนมากเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกัน ก็จะมีคำถามหรือข้อแย้งต่างๆ ตามมา ดังที่เห็นในกระทู้นี้ แน่นอนว่าไม่ได้ มีแต่การนำเอาศาสนาพุทธมาโยงเข้ากับวิทยาศาสตร์เท่านั้น ผู้นับถือ ศาสนาอื่นๆ บางคน ก็ทำในลักษณะเดียวกัน ที่โยงเอาการค้นพบทาง วิทยาศาสตร์ไปเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในพระคัมภีร์ แล้วแบบนี้ใครถูกเล่าครับ? จากคุณ : Practical x 2 - [ 6 ก.พ. 51 08:04:14 ]

ความคิดเห็นที่ 102 การ์ตูนสอนใจ จากคุณ : Practical x 2 - [ 6 ก.พ. 51 08:14:15 ]

ความคิดเห็นที่ 103 พลังของจิตที่จะใช้ในการบรรลุธรรม  ในหลักวิธีของศาสนาพุทธ  ไม่ใช่มีแค่ศรัทธาตัวเดียว  แต่ต้องมีประกอบกันถึง  36 ตัว  ... ตัวอย่างเช่น   ศรัทธา , ปัญญา  , สติ  , สมาธิ  , วิริยะ ,  ฉันทะ , อุเบกขา , ปีติ ,  อธิโมกข์(เพียรกล้า) , วิตก(นึก) , วิจาร(คิด)  , มนสิการ(โน้มใจ)   ..ฯ และอีก ๒๔  ตัว. จากคุณ : Ck (Clarke) - [ 6 ก.พ. 51 08:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เพิ่งจะมีศาสนากันมาแค่ไม่กี่พันปี....ก็คิดกันตุตะว่า ไม่มีศาสนา มนุษย์ อยู่ไม่ได้.....-*- แล้วไอ้บรรพบุรุษ ก่อนจะมีศาสนาล่ะ มันไม่สูญพันธุ์ไปหมดแล้วหรือ..... ผมว่า จะมีหรือไม่มีศาสนา ยังไงๆ มนุษย์ ก็ต้องมี "กฏของสังคม" ควบคุมอยู่บนพื้นฐานสิ่งมีชึีวิตอยู่แล้ว ศาสนา ก็แค่ แนวคิด ที่จะทำยังไงให้ชีวิต "ดูดีขึ้น" เท่านั้นเอง เหมือน ใช้กระเป๋า หลุยส์ กับ ตลาดนัด .......มันก็ใส่ตังค์ได้เหมือนกันน่ะแหละ แต่ อยู่ที่คนถือ หรือ คนซื้อ ว่าจะยึดติดกับกระเป๋า ขนาดไหน ราคาเท่าไหร่ ตัดเย็บด้วยอะไร  มันเป็นแค่ ความพึงพอใจส่วนตัว ที่จะมีอะไร เหนือ ว่าคนที่ไม่มี ดังนั้น ไม่เห็นจะแปลกอะไร ที่แต่ละคน ก็อวดอ้างว่า ของตัวเองดี ของแกห่วย ตีกันเข้าไปอีก.......เลิกๆ ยึดติดกับ ตัวตนที่จอมปลอมดีกว่ามั้ง...... เอาเป็นว่า ศาสนา เป็นแค่แนวทางชีวิต แต่ ไม่ใช่ ส่วนหนึ่งของชีวิต... จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 6 ก.พ. 51 09:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้คำจำกัดความวิทยาศาตร์ไว้ยังไง ถ้าวิทยาศาตร์กำหนดว่าการพิสูจน์ปรากฏการณ์ต่างๆ ต้องด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น ผมว่าศาสนาพุทธก็ไม่ใช่วิทยาศาตร์แล้ว จากคุณ : เกรียนศักดิ์ - [ 6 ก.พ. 51 09:26:48 A:71.202.49.135 X: TicketID:161509 ]

ความคิดเห็นที่ 106 เห็นด้วยกับ #105 พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์  กับพิสูจน์ทางศาสนาพุทธไม่เหมือนกัน ทำให้ เหตุและผลทางวิทยาศาสตร์  และเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์ไม่เหมือนกัน แบบ #92 ว่าไว้   วิทยาศาสตร์ต้องใช้ตรรกะ  แต่พุทธศาสนาบอกว่าอย่าเชื่อเพราะมันเป็นตรรกะ เพราะฉะนั้นน่าจะสรุบหัวกระทู้ได้ว่า พุทธศาสนาไม่ใช่ของจริงทางวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนาคือพุทธศาสนา  วิทยาศาสตร์คือวิทยาศาสตร์ ส่วนศาสนาอื่นๆก็เป็นความเชื่อเช่นเดียวกัน แถมๆเห็นอ้างไอน์สไตน์เยอะ เลยเอาคำพูดไอน์สไตน์มาฝาก "Science without religion is lame, religion without science is blind." แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 51 09:51:18 จากคุณ : Capillary - [ 6 ก.พ. 51 09:38:55 ]

ความคิดเห็นที่ 107 อือ สรุปง่ายดี ^^".. จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! - [ 6 ก.พ. 51 09:48:00 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ผมชอบ คห.ที่ 104 ครับ จากคุณ : ceobank - [ 6 ก.พ. 51 09:51:36 ]

ความคิดเห็นที่ 109 มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีทั้งวิยาศาสตร์ และศาสนาแหล่ะครับ แต่มนุษย์ทุกคนต้องมีความเชื่อครับ จากคุณ : EITHER - [ 6 ก.พ. 51 09:52:16 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ไม่มีพุทธศาสนาและพระพุทธเจ้า ชาวยุโรป-อเมริกายังอยู่กันได้ ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรป-อเมริกา โลกเราคงไม่มีวันนี้ องค์ความรู้ในปัจจุบันนี้ล้วนมาจากนักวิทยาศาสตร์ สรุป ไม่มีพุทธศาสนา = ไม่ตาย จากคุณ : Lueng - [ 6 ก.พ. 51 10:01:01 ]

ความคิดเห็นที่ 111 หลังๆชักแรงแฮะ  ^^ มนุษย์มีความเชื่อเพราะมนุษย์นั้นอ่อนแอ ถ้าพวกเราเข้มแข็งพอ วันนั้นความเชื่อและศาสนาก็จะสูญสลายไปจากโลก เพราะมันไม่จำเป็น จากคุณ : จาจาบิงแปงร่างเป็นไอ้มดเขียว - [ 6 ก.พ. 51 11:04:12 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ไม่มีวิทยาศาสตร์ก็ไม่ตายเหมือนกันแหละครับ แต่อาจจะไม่มีโลกแบบปัจจุบัน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีวิทยาศาสตร์ เพราะมนุษย์เรานั้นชอบคิดค้นและชื่นนชอบความเจริญก้าวหน้าและไม่รู้จักคำว่าพอครับ จากคุณ : ยังไง - [ 6 ก.พ. 51 11:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ความคิดผม ถ้าเอาเฉพาะหลักของศาสนาพุทธจริงๆ ผมคิดว่าศาสนาพุทธมีความเป็นวิทยาศาสตร์อยู่มากทีเดียว ตั้งแต่ประวัติการเกิดขึ้น มีการลองผิดลองถูก มีการทดลอง รวมถึงมีการสั่งสอน และมีการทำซ้ำ แต่ด้วยความที่การทำซ้ำนั้น ทำได้ยาก และถึงแม้ว่าทำสำเร็จผลจากการสำเร็จก็แสดงหรือส่งผลกระทบ ถึงคนอื่นไม่ได้ ซึ่งต่างจากวิทยาศาตร์ซึ่งแสดงให้คนอื่นรับรู้ค่อนข้างง่าย จากคุณ : Pod... - [ 6 ก.พ. 51 11:28:31 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ^ ^ ^ เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ จริงๆแหละ ผมหยุดไว้เท่านี้แล้วกันนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ จากคุณ : WareZ - [ 6 ก.พ. 51 11:57:07 ]

ความคิดเห็นที่ 115 คห.110 "ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรป-อเมริกา โลกเราคงไม่มีวันนี้ องค์ความรู้ในปัจจุบันนี้ล้วนมาจากนักวิทยาศาสตร์" ^ ^ ^ สมัยก่อนโลกเราก็อยู่กันได้โดยไม่ต้องมีนักวิทยาศาสตร์ ก็มีความสุขกันตามอัตภาพ แต่พอมีนักวิทยาศาสตร์ยุโรป-อเมริกาที่คิดอาวุธสงครามมหาประลัย โลกก็แทบจะบรรลัย และไม่แน่ว่าต่อไป โลกอาจจะบรรลัยเพราะนักวิทยาศาสตร์จริงๆ ก็ได้ จากคุณ : 123 - [ 6 ก.พ. 51 13:23:18 A:58.9.82.111 X: TicketID:162151 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ผมไม่ได้ดูถูกศาสนาอื่นนะครับ แต่ผมว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนา เดียวจริงๆ ที่มีแม้ไม่ได้มีจุดหมายแบบเดียวกับวิทยาศาสตร์ แต่มีความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ศาสนาอื่น อาจจะเอาคำสอน แล้วมาตีความว่าสิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นจริง มีอยู่จริง เช่น เห็นหรือป่าวจักรวาลขยายตัวไปเรื่อย แบบศาสนาฉันว่า ก่อนวิทยาศาสตร์ เป็นร้อย เป็นพันปี ซึ่งหากมองกันด้วยความจริง ผมว่า พุทธเองก็มี (แม้บาง บอกตรงๆ ไม่ต้องตีความก็ตาม) จักรวาลเกิดดับกี่ครั้ง เรื่องกรรม (การreflectกันไปมา) เรื่องวัฏฏะ เรื่องอัตตา กับ อีโก้ (ในทางจิตวิทยา) และหากพูดกันตรงๆ พุทธเองออกจะตื่นเต้น กับเรื่องอย่างนี้น้อยที่สุดด้วยซ้ำไป เพราะจุดมุ่งหมายของพุทธไม่ใช่การพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ว่าจริง ว่าเหนือศาสนาอื่น มันจะมีก็ตอนหลัง ที่ศาสนาแต่ล่ะศาสนา พยายามจะมาข่มกันว่าศาสนาฉันดีที่สุด ชาวพุทธเอง ส่วนมากก็มีอัตตา ไม่ได้บรรลุนิพพาน ตามศาสนา ยังไม่ได้มีฌานขั้นสูง ก็อาจจะต้องเอาเรื่องเหล่านี้ มาพูดเหมือนกันว่าฉันก็มี แต่บ้างก็อาจจะปล่อยสิ่งเหล่านี้ไป ไม่สนใจก็มี หรือว่าไม่ใช่เทียบกันไม่ได้ก็มี แต่หากตัดสิ่งเหล่านี้ออกไป ไม่ต้องเอาเรื่องที่ต้องตีความึคัมภีร์ตัวอักษร ไม่ต้อง เอานิพพาน มาพิสูจน์ (แบบวิทยาศาสตร์) ว่าจริงไม่จริง ผมว่า สิ่งเหล่านี้ พุทธเองก็มีตามหลักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ด้วยตัวเอง ทดลองด้วยตัวเอง กล้าคิดกล้าเถียง ตามหลักกาลามสูตร หาความจริง ที่เป็นจริงแท้แน่นอนที่สุดตามหลักปรัชญา เรื่องเหล่านี้คือความจริงตามพระพุทธศาสนา พุทธจะเป็นศาสนาก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ ขึ้นอยู่กับใครจะศรัทธาแค่ไหน พวกยิวบางคน ยังนับถือพระเจ้าไปด้วย แต่ก็ยังถือปรัชยาพุทธไปด้วย ในจีน พุทธเองก็เป็นแค่ 1 ใน 3 ความเชื่อหลักของชาวจีนโบราณ ก็คือ เต๋า ขงจื้อ พุทธ ฝรั่งเอง เมื่อพบเห็นศาสนาพุทธในครั้งแรก ก็ไม่รู้จะให้นิยาม พุทธ ว่าอย่างไรดี คำว่า Religion ของฝรั่ง มันมีความหมายคือตัวกู กับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งไปตีความ ฮินดูได้ ตีความของชินโตได้ แต่ไม่สามารถมาตีความพุทธว่าเป็น Religioun ตามความเชื่อได้  ต่อมาพอศึกษาว่ามีนิพพานในพุทธ เท่านั้นแหละ จึงได้อาจจะเพิ่มนิยามว่าเป็นความเชื่อเหนือโลก จึงเอาพุทธใส่เข้าไปด้วยได้ ผมว่า บางที่ศาสนาพุทธก็เหมือนอาหารบุฟเฟท์ เลือกที่จะกินได้ ไม่เหมือนกับ อาหารอื่นๆต้องกินให้หมดคลอส จนบางครั้ง ก็ไม่ได้กินอาหารชนิดอื่น(แต่บ้างก็แอบ บ้างก็เขี่ยทิ้งก็มี) ในอาหารบุฟเฟท์ คุณพอใจ จะกินอะไรตรงไหนก็ได้ พ่อครัวไม่บังคับใครว่าเมื่อเข้ามาแล้วให้กินทุกอย่าง แล้วแต่คุณจะเลือกว่า อาหารไหนดีกับ อร่อยกับตัวคุณ ผมว่า มันแฟร์ดี ออก อิสระในการเลือก อิสระในความคิด เรื่องศาสนา กับวิทยาศาสตร์นั้น บางครั้งบางคราว ถ้าลองมาเทียบกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ดีซะอีก จะได้พิสูจน์ พิสูจน์ตามความจริง โดยเอาความเชื่อทิ้งไป ว่าแต่ จะมีใครบ้าง ที่มีจิตใจที่เป็นกลาง ไม่เชื่อมากไป หรือเชื่อมากไป จนเป็นทิฐิจะมาพิสูจน์ เพราะส่วนมาก ก็จะโยนทิ้ง เพราะว่าไม่เกี่ยว ไม่ใช่ เทียบกันไม่ได้ ตีความกันไปเอง พิสูจน์ในที่นี้ไม่ใช่ แค่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นประวิติศาสตร์ จิตวิทยา สังคมศาสตร์ หรือศาสตร์ อื่นๆทั้งหมด เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมอย่างไร ไม่ใช่ว่า เอาเรื่องอภินิหารเกินจริง หรือสิ่งที่เป็นเหนือโลกมาพิสูจน์นะครับ เพราะเรื่องเหล่านี้ มันที่สุดแล้วจริงๆ เพราะ พุทธเองก็ไม่ได้บอกให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ แหละบางที่กาลเวลา อาจจะทำให้สิ่งเหล่านี้ผิดเพี้ยนตามความเชื่อคนไปบ้าง *106ครับ ผมว่า เรื่องอย่าพึ่งเชื่อ เพราะเป็นตรรกะ เปรียบได้ครับ เพราะตรรกะ ของวิทยาศาสตร์ มันเปลี่ยนแปลงได้ครับ ตามหลักฐานและเหตุผล ผมก็เลยว่ามันเข้ากันได้ ** ผมอ่านไม่ครบทุกความเห็น เพราะมันเยอะมาก จากคุณ : Angleevil - [ 6 ก.พ. 51 14:22:06 ]

ความคิดเห็นที่ 117 เพิ่มเติม เรื่องเหล่านี้ เมื่อเชิร์ชในกูเกิ้ลจะพบมากมายลองไปอ่านดูนะครับ http://www.google.co.th/search?sourceid=navclient&hl=th&ie=UTF-8&rlz=1T4GGLJ_thTH261TH261&q=%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%9e%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c จากคุณ : Angleevil - [ 6 ก.พ. 51 14:24:09 ]

ความคิดเห็นที่ 118 เชื่อว่าเป็นพาหนะที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางได้ทุกศาสนานั่นแหละครับ แต่ละแห่งแต่ละช่วงเวลาของชีวิต ก็จะมีสภาพถนนที่ต่างกันไป พาหนะที่จะนำมาใช้ก็เหมาะสมแตกต่างกันไปด้วย รวมทั้งความคุ้นเคยของผู้คนแต่ละแห่งที่ช่วยกันหัดให้กัน จนขับได้ชำนาญกว่าพาหนะชนิดอื่นๆ บางคนอาจจะเสียเวลาเล็กน้อยออกนอกเส้นทางไปเปรียบความเร็วกับพาหนะชนิดอื่นๆกันบ้าง ก็อาจจะเพื่อย้ำความมั่นใจ ว่าพาหนะที่เลือกใช้อยู่นั้นเร็วที่สุดแล้ว หรือไม่ก็เพื่อจะแนะนำสิ่งที่ดีกว่าให้คนอื่น แต่พยายามอย่าไปเผลอดูถูก ยานพาหนะของฝ่ายตรงข้ามดีกว่า มันจะขัดแย้งกันเปล่าๆ เพราะถ้าเจอสภาพทางที่ไม่เหมาะกับพาหนะของเรา เค้าอาจจะผ่านไปได้ดีและรวดเร็วกว่าก็ได้นะครับ ยานพาหนะทุกอย่างถ้าใครใช้ไม่เป็น ใช้อย่างไม่เหมาะสม ก็เกิดอุบัติเหตุแหกโค้งลงข้างทางไปซะก่อนได้ ถ้าไม่คอยดูแลรักษา ไม่คอยตรวจซ้อมบำรุงให้ดีๆ มันก็อาจจะเสียกลางทางไปเฉยๆได้เหมือนกัน จากคุณ : ของเล่นใหม่ - [ 6 ก.พ. 51 14:52:35 ]

ความคิดเห็นที่ 119 จขกท ครับ ผมว่าทุกศาสนาสามารถอธิบายสิ่งต่างๆได้เกือบหมด ขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคลากรในศาสนานั้นๆ นะครับ คนจะโยงซะอย่างอ่า รู้สึกไฟไหม้ห้องแล้ว จากคุณ : JohnnieWalker - [ 6 ก.พ. 51 15:13:23 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ขอตอบความเห็น 66 สักนิดครับ ผมก็เคยคิดแบบคุณน่ะแหล่ะครับ แต่หากว่าคนทุกคนได้เข้าถึงแจ่มแจ้งในทุกอย่างรอบตัว(ที่มีผู้รู้ต่างๆพิสูจน์ให้แล้ว)ก่อนที่จะเชื่องั้นหรือครับ ผมคิดว่าไม่แน่ๆ ไม่เช่นนั้นแล้วยุคนี้ที่ข่าวกระจายอย่างรวดเร็วแล้วคนเชื่อตามๆกันอย่างรวดเร็วย่อมเป็นสังคมที่ถอยหลังลงคลองแน่(จริง-ไม่จริงต้องคิดเอาครับ) ดังนั้นเราย่อมต้องเชื่อก่อนที่จะรู้แจ้งครับ เราคงต้องยอมรับว่า การรับรู้ของคนแต่ละคนไม่เท่ากัน คนเราไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นมุมมองของคนจึงต่างกัน เรื่องบางเรื่องคุยกันเท่าไรก็เข้าใจให้ตรงกันได้ยากเพราะเราอธิบายความคิดในใจให้ออกมาเป็นคำพูดไม่หมด        จริงๆแล้วจะมีอะไรสมบูรณ์บ้างครับ ที่เราเราคิดว่าสมบูรณ์แล้วอาจเป็นเพราะยังไม่มีอะไรที่ดีกว่า ความเห็นของผมอาจยังเรียบเรียงไม่ค่อยดีแต่หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างนะครับ ปล.คนเราอายุนั้นสั้นนัก อย่าคิดว่าเรื่องที่ตัวเองมองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้จะเป็นเรื่องที่ไม่จริงหรือไม่มี เหนือฟ้ายังมีฟ้า.... แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 51 16:43:15 จากคุณ : yuki_kaze - [ 6 ก.พ. 51 16:20:16 ]

ความคิดเห็นที่ 121 รู้สึกสงสารคห 1 มาก ๆ รู้สึกตัวว่าโชคดีมากๆ ที่ได้เกิดในเมืองไทย ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาพระธรรม บอกได้แค่นี้ จากคุณ : เลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง - [ 6 ก.พ. 51 17:29:34 A:124.120.186.207 X: TicketID:104826 ]

ความคิดเห็นที่ 122 เอ ศาสนาพุทธกับวิทยาศาสตร์ก็มีความเหมือนความแตกต่าง ไม่ต่างจากที่วิทยาศาสตร์มีความเหมือนความต่างกับคณิตศาสตร์ หรือศาสนาพุทธเหมือนและต่างกับศาสนาเชนนะครับ ผมว่า อาจเป็นเพราะวิทยาศาสตร์เป็น "ที่หนึ่ง" ในการแสวงหาความรู้ในใจของสังคมโลกก็ได้ จึงมีการนำศาสนาพุทธไปเปรียบกับวิทยาศาสตร์ แต่อะไรล่ะครับที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ศาสนาพุทธไปเหมือน จากประวัติศาสตร์ เราจะทราบกันได้ว่า ในวงการวิทยาศาสตร์มีการเสนอความคิดทฤษฎีขึ้นมาแล้วไม่นานก็มีทฤษฎีใหม่ขึ้นมาแทนที่ และก็เป็นไปอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ในยุคหนึ่งมนุษย์ยอมรับกันได้ทั่วไปว่าโลกแบน จนในที่สุดก็มีคนมาบอกว่าโลกกลม และไม่นานพวกเราก็เชื่อตามเขาไปกันอีก และไม่แน่ว่าถ้ามีคนออกมาบอกว่า จริงๆ แล้วโลกเป็นรูปทรงกระบอก โลกไม่มีรูปร่าง หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็อาจมีคนเชื่อตามกันไปอีกก็ได้ แค่บอกว่า "มันเป็นวิทยาศาสตร์" หลักเหตุผลของศาสนาพุทธกับวิทยาศาสตร์ก็ใช่จะเหมือนกันเป๊ะ แค่จุดมุ่งหมายของทั้งสองอย่างก็ต่างกันสิ้นเชิงแล้ว หลักเหตุผลของศาสนาพุทธมีจุดมุ่งหมายเพื่อความพ้นทุกข์ ขณะที่วิทยาศาสตร์มีหลักเหตุผลเพื่อการใช้ประโยชน์ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ไม่แน่ว่าถ้ายุคหน้า ศิลปะมาแรงและกลายเป็น "ที่หนึ่ง" ในสังคมมนุษย์ เราอาจจะได้ยินใครนำศาสนาและความเชื่อของตัวเองมาเปรียบกับศิลปะบ่อยๆ ก็ได้ :) จากคุณ : TheFoolz - [ 6 ก.พ. 51 18:07:01 A:192.168.8.45 X:58.10.15.170 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ถกกันไปกันมา ผมว่าต้องตอบคำถามอันนี้ก่อน "อะไรคือวิทยาศาสตร์ (What is Science?)" ให้ตัวอย่างข้างล่างไว้เป็นแนวทาง นาย A: อะไรคือวิทยาศาสตร์ ? นาย B: ก็เป็นศาสตร์ที่ค้นหาความจริงหรือองค์ความรู้ (เพราะส่วนใหญ่สอนมา ก็จำๆกันมาอย่างนี้) นาย A: ศาสตร์อื่นๆก็ค้นหาความจริงหรือองค์ความรู้ทั้งนั้น แล้วอย่างไรล่ะถึงจะเป็นองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นาย B: ก็ต้องมีหลักฐาน และหลักการ นาย A: ศาสตร์อื่นก็อ้างหลักฐานหลักการเหมือนกัน แล้วอย่างไรจึงจะถือว่าหลักฐานนั้นเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แหละ นาย B: .... นาย A: ศาสตร์แต่ละศาสตร์ มันย่อมมีเอกลักษณ์ของมัน ไม่งัั้นคงไม่แยกออกมา ดังนั้นการที่จะตอบว่า อะไรคือวิทยาศาสตร์ ก็ควรอย่างน้อยต้องรู้ถึงเอกลักษณ์ ปรัญชา การทำงาน และขอบเขตของวิทยาศาสตร์ แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 51 19:37:26 จากคุณ : KL - [ 6 ก.พ. 51 19:35:30 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ความจริงคืออะไร? อะไรคือความจริง? เราตื่นหรือว่าหลับอยู่? เรารู้ได้ไงว่ามันคือความจริง? แล้วความจริงมีต้นกำเนิดจากอะไร? คำถามสุดท้ายคืออะไรคือความจริง?? จากคุณ : เราหล่อมาก - [ 6 ก.พ. 51 20:55:02 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ทำตัวเป็นคนดี ช่วยเหลือเพื่อน ตั้งใจเรียน เพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ เลี้ยงดู ครอบครัว แค่นี้ก็พอแล้วคับ จากคุณ : ... (caznov) - [ 7 ก.พ. 51 01:23:41 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ความจริง  คืออะไรสักอย่างที่มีความคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเพราะเวลาหรือปัจจัยใดๆ...  เพราะอะไรก็ตามถ้ายังมีการเปลี่ยนแปลง  ก็ยังไม่เป็นความจริงไปได้เลย จากคุณ : Ck (Clarke) - [ 7 ก.พ. 51 06:42:43 ]

ความคิดเห็นที่ 127 แล้วรู้ได้ไงว่าความจริงคือความจริง? ใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัดความจริง? ความเปลี่ยนแปลง?? มันเกี่ยวข้องกับความจริงยังไง 1+1 จากคุณ : ฟหกดฟหกด (เราหล่อมาก) - [ 7 ก.พ. 51 18:01:44 ]

ความคิดเห็นที่ 128 คิดเหมือนคุณ WareZ จากคุณ : Neo (Neonocut) - [ 9 ก.พ. 51 10:54:56 ]

ความคิดเห็นที่ 129 นี่หรือครับ  ห้องหว้ากอ? ^ ^  มาแวะเยี่ยมเฉย ๆ ครับ  อ่านได้สัก 40-50 ความเห็นก็เหนื่อยแล้ว จากคุณ : ปฤษณะ - [ 9 ก.พ. 51 21:14:51 ]

ความคิดเห็นที่ 130 เห็นด้วยว่าหัวกระทู้ไม่ควรชี้เจาะจงยกย่องศาสนาใดจนเกินไป แม้ผมจะนับถือพุทธอย่างจริงจัง เพราะที่นี่ห้องหว้ากอครับ ทุกประเด็นที่ถามเกี่ยวกับศาสนาควรเป็นกลางเข้าไว้จึงจะเหมาะสม ที่นี่ทุกศาสนาอยู่กันสงบดี มุ่งประเด็นแต่สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้นครับ ผมเองยังยึดหลักนี้ในการตั้งประเด็นทุกกระทู้ ตรวจสอบดูได้ครับ :-) จากคุณ : ตุ่น - [ 10 ก.พ. 51 20:06:12 A:58.9.136.246 X: TicketID:115608 ]

ความคิดเห็นที่ 131 ผมเรียนด้านวิทยาศาสตร์ ผมเชื่อว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์เพียงพอ ผมไม่มี login ผมไม่ได้อยู่ห้องศาสนา ผมเชื่อในการพิสูจน์ เมื่อกี้ ผมเพิ่งไม่เห็นด้วยกับคนที่เห็นด้วยทางโหราศาตร์ ////////////////// ความเห็น32 นี่เรียกว่าแถรึเปล่าครับ ความจริงของคุณคือสิ่งที่ไม่ต้องพิสูจน์หรือครับ ขอแค่พิสูจน์ไม่ได้ก็จริงงั้นหรอ ////////////////// ไม่จริงครับ ความจริงควรจะต้องพิสูจน์ได้ ผมถามกลับว่าสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยกระบวนการอันจำกัด ณ ขณะนี้จำเป็นต้องเป็นเท็จหรือ ไม่จำเป็นเช่นกัน หลายสิ่งทางวิทยาศาสต์ก็มาจากความเป็นไปไม่ได้ในความรู้อันจำกัดในอดีตเช่นกัน สรุป ผมเชื่อว่า 1. คำว่า ยอมรับ และ ความจริง ของผมแตกต่างกัน 2. การที่วิทยาศาสตร์ยอมรับ ไม่จำเป็นจะต้อง เป็นความจริง เพราะอะไรดูข้อสี่ 3. การที่จะคนในสีงคมโลกยอมรับจำเป็นจะต้องพิสูจน์ด้วยการทดลองที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ แปลความว่า กฎแห่งกรรมบางอย่าง คนที่ไม่ยอมรับก็ไม่ผิดเนื่องจากว่ามันพิสูจน์ด้วยวิธีการณ ปัจจุบันยังไม่ได้จริงๆ 3. จากข้อหนึ่ง อะไรที่วิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับ ก็อาจจะเป็นความจริงได้เช่นกัน 4. การที่พุทธศาสนากล่าวถึงบางสิ่งที่ท่านพิสูจน์ยังไม่ได้ ไม่จำเป็นว่า พุทธศาสนาจะเป็นเรื่องงมงาย เช่น คุณเชื่อว่าระบบฟิสิกส์ นิวตัน คุณเชื่อว่าระบบเวลาเป็น linear ไม่ว่าจะสัมบูรณ์ หรือ สัมพัทธ์ก็ตาม ผมถามถ้าเวลาเป็น linear จริง คุณอธิบายได้ไหมว่าจุดเริ่มต้นของเวลาเกิดอย่างไร ไม่เอาเป็นทฤษฎีนะครับ เพราะว่าถ้าคุณเชื่อแต่ในระบบวิทยาศาสตร์ที่ต้องพิสูจน์ให้ได้อย่างเดียวจึงจะเชื่อ คุณต้องพิสูจน์ให้ผมเห็นได้ อย่างไรก็ตามผมคิดว่า เกินครึ่งกับคนที่บอกว่าต้องพิสูจน์ให้ได้จึงจะเป็นความจริง ก็เชื่อระบบฟิสิกส์นิวตัน ถ้าคุณตอบว่าคุณเชื่อในสิ่งที่แค่อธิบายได้ดีที่สุด ข้อนี้ข้ามไป หรือคุณถ้าคุณจะบอกว่าวิทยาศาสตร์ไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกะเรื่องเวลา ข้อนี้สามารถบอกได้ว่า วิทยาศาสตร์ก็ใช้ยังจำเป็นที่จะต้องยอมรับในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้เพื่อมาอธิบาย Theory บางอย่าง ฟิสิกส์นิวตันไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเวลา แต่กะๆเอาว่าเวลาต้องเป็น linear เพื่อใช้ในการคำนวน คุณจะอธิบายยังไงครับ ปล point ที่ผมจะชี้คือวิทยาศาสตร์อาจยอมรับในสิ่งที่ อธิบายได้ดีที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริงก็ได้ 5. อันนี้เอามาเพื่อแย้งคนที่มีความคิดวิทยาศาสตร์สุดโต่ง เพราะว่าผมเชื่อว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต และมีความคิดบางความคิดแย้ง ขออภัยไม่มี refrence อ้างอิง มีบางคน (รวมถึงคนในนี้บางคน)เชื่อว่า if มีสารเคมีที่ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ในสมอง then ศาสนาเกี่ยวกับการฝึกฝนจิตเป็นเรื่องไร้สาระ เนื่องจากว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ต่างๆด้วยสารเคมี then เรื่องจิตก็เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะว่าทุกอารมณ์ความคิดก็อยู่ในสมองหมด อารมณ์ = ความคิด = จิต = สมอง ทั้งหมดนี้เปลี่ยนแปลงได้ด้วยสารเคมี ขออภัยที่ผมเชื่อพระพุทธศาสนา ณ ขณะนี้ ซึ่งความคิดผมเปลี่ยนแปลงได้ถ้ามีคำตอบที่เป็นเหตุผลของคำถามผม พระพุทธศานา เชื่อว่า อารมณ์ != ความคิด != จิต != สมอง มีคำแย้งต่อมาว่าถ้าเช่นนั้น ลองเอาสมองออกไปดู ความคิดคนๆนั่นก็ไม่มี ข้อความนี้เป็นจริง แต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับศาสนาแต่อย่างใด พุทธศาสนาก็บอกแล้วว่า จิตต้องใช้กายเป็นที่ตั้ง คำถามของผม if จิต = สมอง then ทำไมจึงจะยังต้องมีกฎการประหารชีวิต เราก็เปลี่ยนจิตที่ชั่วร้ายของนักโทษคนนั้นให้เป็นคนดีด้วยสารเคมีทั้งหมดไปเลยสิครับ ถ้าคำตอบของคุณคือ ในอนาคตอาจจะมีสารที่เปลี่ยนได้ คำตอบของคุณก็หาใช่วิทยาศาสตร์ไม่ เพราะคุณยังไม่ได้พิสูจน์ใดๆ แค่คิดเอาว่าอนาคตควรจะเป็นไปได้ 6. ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ใครเชื่อโดยไม่คิด และผมเชื่อว่าพระศาสดาก็ไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อโดยไม่คิดเช่นกัน สิ่งใดพิสูนจ์ไม่ได้ = สิ่งที่เป็นจริง หรือ สิ่งที่ไม่เป็นจริง สิ่งใดพิสูนจ์ไม่ได้ = ต้องใช้ปัญญาเฉพาะตนตรองเอาเอง คนที่คิดว่า ไม่จริง ไม่ผิด คนที่คิดว่า จริง ไม่ผิด 7. อย่างไรก็ตามความเชื่อทั้งหลายที่พิสูจน์ไม่ได้ควรจะตอบคำถามพวกนี้ได้ เช่น ถ้าคนทั้งหลายชำระบาปในแม่น้ำได้ เต่าปลาทั้งหลายควรขึ้นสวรรค์ทั้งหมด หรือ ถ้า กฎแห่งกรรมเป็นจริง ทำไมนักการเมืองโกงกินรวยขึ้นทุกวัน 8. คุณ Papiyongpi ถ้าคำตอขข้อสี่ของผมคุณตอบไม่ได้ วิทยาศาสตร์ของคุณก็แค่ความเชื่อ สำหรับผม วิทยาศาสตร์ แค่เป็นความเชื่อที่ดีที่สุดและนำมาให้ประโยชน์ในขณะนี้ เราควรเชื่อวิทยาศาสตร์ แต่อย่าข่มคนอื่นเลยครับว่าเค้างมงาย เพราะคุณแน่ใจแล้วเหรอว่าคุณพิสูจน์ได้ทุกอย่าง?? จากคุณ : นักวิทยาโหรา - [ 11 ก.พ. 51 17:26:21 A:128.125.52.243 X: ]

ความคิดเห็นที่ 132 โอ้ ไม่กลับมาดูไม่เห็นนะเนี่ย ผมตอบละกันนะครับไม่รู้ว่าคุณจะได้อ่านหรือเปล่า ขั้นแรกผมขอบอกก่อนว่า ผมไม่ได้บอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสัจธรรมหรือเป็น ความจริงแท้ของธรรมชาติหรือจักรวาลแต่ประการใดนะครับ ข้อดีของวิทยาศาสตร์คือเปลี่ยนไปเชื่อในสิ่งที่น่าเช่อถือที่สุดอยู่เสมอ ขั้นที่2 เหลือบไปอ่านหัวกระทู้ซักนิดสิครับ ทุกความเห็นของผมไม่ได้ นอกเหนือไปจากจะบอกว่าหัวกระทู้นี้มันผิดเลย สุดท้ายสำหรับคำตอบ จุดเริ่มของเวลา ในทางวิทยาศาสตร์จุดนั้นเป็นจุดสมมุติครับเพราะงั้นมันไม่ใช่จุดเริ่มจริงๆอยู่แล้ว มันอยู่นอกเหนือความเข้าใจของมนุษย์ ถ้าเป็นในพุทธก็เหมือนคำถามจุดเริ่มต้นของวงกลมก่อนที่มันจะหมุนนั่นแหละ ทางคริสก็จุดกำเนิดของพระเจ้า ไม่มีไครรู้ จากคุณ : Papiyongpi - [ 12 ก.พ. 51 22:51:23 ]

ความคิดเห็นที่ 133 เห็นด้วยที่ว่า ข้อดีของวิทยาศาสตร์คือเปลี่ยนไปเชื่อในสิ่งที่น่าเช่อถือที่สุดอยู่เสมอ มากๆเลยครับ ขออภัยครับ ผมเข้าใจผิดไปเองครับ จากคุณ : นักวิทยาโหรา - [ 14 ก.พ. 51 11:26:08 A:128.125.52.64 X: ]