Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    วิทยาศาสตร์ - ปรัชญา มีความเกี่ยวข้องกันจริงหรือ

    ในบรรดาความรู้ทั้งหลายของมนุษยชาติ นั้น อาจแบ่งได้เป็นสองเรื่องใหญ่ ๆ เช่นเดียวกับที่เราแยกความรู้เป็นสองสายหลักคือ สายวิทย์กับสายศิลป์

    สายวิทย์ คือ การศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติิ เช่น ฟิสิกส์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับสสารและพลังงาน ชีววิทยา มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งทีมีชีวิตทั้งหลาย เคมี มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับธาตุและองค์ประกอบของธาตุ เป็นต้น

    สายศิลป์ศึกษาเกี่ยวกับสังคม เช่น เศรษฐศาสตร์ นิเทศศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์

    แต่เป้าหมายในการศึกษาของปรัชญา นั้น ครอบคลุมความรู้และความจริง ในทุกศาสตร์์และในทุกสาขาความรู้ของมนุษย์ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทั้งผลจากการศึกษาของปรัชญา ก็สามารถนำไปใช้อ้างอิงได้ ในทุกศาสตร์์และในทุกสาขาความรู้ของมนุษย์ด้วย

    ดังนี้ จึงกล่าวได้ว่า ปรัชญา จึงเ็ป็น ความรู้ที่เป็นหลักแห่งความรู้ และจึงเป็น ความรู้ที่เป็นหลักแห่งความจริง

    ผู้ที่ได้ศึกษาและเข้าใจปรัชญาแล้ว ย่อมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ในศาสตร์ทั้งปวง และในทุกเรื่องรวมทั้งในเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของตนด้วย

    ยกตัวอย่างการค้นพบทางพุทธศาสนา ซึ่งชาวหว้ากอ ส่วนใหญ่บอกว่า คนละเรื่องกับวิทยาศาสตร์  ....

    พระพุทธองค์ทรงสอน ให้ค้นหาความจริงแท้จาก นาม ไม่ใช่ รูป  ผู้ปฏิบัติธรรมบางคน สามารถเข้าถึงหลักอนัตตา เพียงการใช้สติเพ่งพิจารณา "อาการ" พองยุบ ของหน้าท้อง (ไม่ใช่ผิวหนังหน้าท้อง)  ตัวเอง ยุบหนอ....พองหนอ....ยุบหนอ....พองหนอ.....

    เซอร์ ไอแซ๊ค นิวตัน ก็ค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วง จาก "อาการ" ตกของลูกแอ๊ปเปิ้ล กฎหรือทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่สำคัญ ส่วนใหญ่ เป็นการค้นพบทางนามธรรม เช่นแรง ความเร็ว คลื่น พลังงาน ฯลฯ ส่วนรูปธรรมทั้งหลาย เป็นสิ่งที่สร้างกันมาภายหลังจากที่พบความลับของนามเหล่านั้น

    ฝ่ายวิทยาศาสตร์สุดขั้วทั้งหลาย จะปฏิเสธไหมครับ ถ้าจะบอกว่า พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ความลับของ รูป-นาม มาก่อนวิทยาศาสตร์กว่าสองพันปี

    ปฏิเสธไหมครับ ว่าพระพุทธองค์ ทรงตรัสถึง เอนโทรปี มาก่อนนักวิทยาศาสตร์กว่าสองพันปี เพียงแต่คนละภาษา เท่านั้นเอง

    และถ้าคิดว่าพระพุทธองค์ไม่คิดแบบวิทยาศาสตร์ล่ะก็ ไปอ่านกาลามสูตรครับ การห้ามเชื่อแบบครอบจักรวาลขนาดนั้น ถ้าพระองค์ไม่ทรงพบความจริงแท้ คงไม่ท้าให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง

    แม้แต่กฎข้อ 3 ของนิวตัน เรื่อง action - reaction พระพุทธองค์ก็ทรงหยั่งรู้มาก่อนแล้ว

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ทุกๆปรมาณูของทุกสิ่งในจักรวาล ล้วนตกอยู่ใต้อาการของอิทัปปจยตา  ในขณะที่วิทยาศาสตร์คิดว่าอะตอมคือก้อนกลมนิ่ง เหมือนลูกบิลเลียด เพิ่งจะมารู้ว่า ข้างในมันยุบยั่บ เต็มไปหมดเมื่อไม่ประมาณร้อยปีมานี้เอง

    ถามว่า แล้วพระพุทธองค์ทรงรู้ได้อย่างไร ตอบว่า ขณิกสมาธิครับ ทำให้เกิดปัญญาญาน  นิวตัน ก็พบความเร็วในการตกของลูกแอ๊ปเปิลไม่คงที่ จึงสงสัยว่า แรงอะไรดึงมันลงมา  ในขณะที่คนทั่วไปไม่มีขณิกสมาธิที่ไวพอในการมองเห็นความไม่เที่ยงของความเร็วขณะที่ลูกผลไม้ตก

    ขณิกสมาธิจากพรสวรรค์ ทำให้นิวตัน กลายเป็นอภิมหาอัจฉริยของโลกทันที

    ผู้ที่มีขณิกสมาธิที่ไวด้วยพรสวรรค์ แม้จะมากกว่าคนทั่วไปเพียงนิด เขาก็กลายเป็นอัจฉริยะบุคคลทันที ยกตัวอย่างเช่น ไมเคิล จอร์แดน  ไทเกอร์ วู๊ด   อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์  ฯลฯ หรือ แม้แต่เซอร์ ไอแซ๊ค นิวตัน  

    กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันข้อที่หนึ่ง "“วัตถุจะอยู่ในสภาพนิ่ง หรือ ถ้าเคลื่อนที่อยู่ก็จะไปอย่างเป็นเส้นตรงมีความเร็วสม่ำเสมอ ยกเว้นแต่ว่า จะมีแรงลัพธ์ที่มีค่าไม่เป็นศูนย์มากระทำ”

    ถามว่า ความเข้าใจในธรรมชาติ พื้นๆอย่างกฎการเคลื่อนที่ข้อที่หนึ่ง พระพุทธองค์ซึ่งมีขณิกสมาธิไวกว่าคนทั่วไปเป็นล้านเท่า จะไม่หยั่งรู้หรือครับ

    การค้นพบของพระพุทธองค์ ก็มีพื้นฐานมาจากการใช้สติเพ่งพิจารณารูป-นาม  จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า นามในระดับหยาบๆอย่างการค้นพบทางฟิสิกส์ พระพุทธองค์ทรงหยั่งรู้หมดแล้ว และเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ต่อการพ้นทุกข์ จึงทรงตัดออกจากคำสั่งสอนทั้งหมด และไปเน้นการกำหนดรูป – นาม ของกาย เวทนา จิต ธรรม แทน แต่อย่างไรก็ตาม การฝึกกำหนดรูป – นาม ตามหลักสติปัฏฐาน 4 ก็ช่วยให้เราสามารถประยุกต์ มาใช้กับ การกำหนดรู้ รูป – นาม ในทางฟิสิกส์ได้


    แม้แต่อัลเบิร์ด ไอน์สไตน์ ก่อนเสียชีวิต ก็พยายามจะบอกเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ว่า  “จงพยายามค้นหาความจริงของนามธรรมที่ซ่อนอยู่ในศาสนาแห่งจักรวาล (หมายถึงพุทธศาสนา) แล้วทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา “ เขาทำสำเร็จบางส่วนแล้ว จากพลังงานปรมาณู การค้นพบความลับของแสงและเวลา และความพยายามสุดท้ายคือ จะทำให้มนุษย์เหาะได้  ด้วยการพยายามรวมแรงโน้มถ่วง เข้ากับแรงแม่เหล็กไฟฟ้า (ถ้าไอน์สไตน์ได้มาฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ผมเชื่อมั่นว่า เขาจะพบความลับนั้น )

    ยังไงก็ต้องเชื่อในอัจฉริยภาพของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ครับ ว่า เขาคงมองเห็นอะไรที่สำคัญในพุทธศาสนา ถึงขนาดยกย่องให้เป็นศาสนาแห่งจักรวาล  สมองระดับนั้น ถ้าไม่ชัวร์ ไม่พูดออกมาหรอกครับ ผมยกคำพูดเขามาโพสหมดไม่ไหว แต่ก็ได้เขียนไว้ในหนังสือ "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" เป็นบางส่วนแล้ว

    ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่ต่างกันก็แต่ พระพุทธองค์ไม่รู้ภาษาทางคณิตศาสตร์  แต่เข้าใจความจริงแท้อันเดียวกัน

    การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ไม่ว่ารูปหรือนาม จะสามารถนำมาแปลงเป็นตัวเลขและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้ทั้งหมด ทำให้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์สามารถสื่อถึงกันได้ด้วยภาษาทางคณิตศาสตร์ แม้ว่าจะเป็นนามธรรมชั้นสูง เช่นการยืดหดของเวลา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ก็สามารถนำมาอธิบายให้คนอื่นๆรับรู้ได้ ด้วยภาษาทางคณิตศาสตร์  พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงการยืดหดของเวลามาก่อนกว่าสองพันปี แต่ไม่มีใครเข้าใจ จนไอน์สไตน์สามารถใช้คณิตศาสตร์มาช่วยอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้ง  วิทยาศาสตร์ ก็คือการอธิบายธรรมชาติ โดยอาศัยภาษาคณิตศาสตร์ เพราะคณิตศาสตร์เป็นภาษาสากลที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกใช้และเข้าใจ

    ความรู้ที่เรามีในปัจจุบัน แม้จะจบปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ แน่ใจแล้วหรือว่า รู้ความจริงแท้ทั้งหมดในจักรวาล ผมว่ายังไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำไป

    ก่อนที่ผมจะปฏิบัติธรรม ผมก็เชื่อว่า ปัญญาขั้นสูงสุดของมนุษย์ คือการจบปริญญาเอก  แต่มาถึงทุกวันนี้ ผมเข้าใจแล้วว่า มีปัญญาที่อยู่สูงกว่าปัญญาจากการเรียนรู้ (จินตมยปัญญา )  สิ่งนั้นคือ ภาวมยปัญญา

    และภาวมยปัญญา จะเกิดขึ้นได้ จาก ขณิกสมาธิเท่านั้นครับ

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 51 00:23:01

    แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 22:11:40

     
     

    จากคุณ : ปัจจตัง - [ 5 ก.พ. 51 21:52:25 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom