PANTIP.COM : X6307977 รบกวนท่านผู้รู้ในหว้ากอช่วยอธิบายเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งของอเมริกาให้ฟังทีครับ [วิทยาศาสตร์]

ความคิดเห็นที่ 9

เส้นทาง...ก่อนถึงทำเนียบขาว

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปลายปีนี้ แค่เริ่มต้นเพื่อหาตัวแทนจากแต่ละพรรค ไปชิงชัยตำแหน่งผู้นำในทำเนียบขาว ก็คึกคักน่าติดตามเป็นอย่างมาก ผู้สมัครแต่ละคนจากทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต จะต้องผ่านการหยั่งเสียงเพื่อตัดสินว่า ใครจะเป็นตัวแทนของพรรคไปชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีในปลายปีนี้ เส้นทางการหยั่งเสียงก่อนถึงทำเนียบขาว ยังมีให้ลุ้นอีกหลายยก

การแข่งขันยิ่งเข้มข้นสูสีกันมากขึ้น หลังผลการหยั่งเสียงรอบไพรมารีที่รัฐนิวแฮมเชอร์ พลิกโผจากผลของโพลล์ทุกสำนักที่ระบุว่า โอบามาจะชนะฮิลลารีถึง 10 จุด แต่ปรากฏว่าที่รัฐนี้ 2 ดาวเด่นผู้เคยอับแสงไปช่วงหนึ่ง อย่างฮิลลารีพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะ ส่วนของรีพับลิกัน วุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ผู้ชนะของรีพับลิกัน ซึ่งไม่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของการหยั่งเสียงที่ไอโอวา ก็มีคะแนนมาเป็นอันดับ 1 ที่นิวแฮมเชอร์ ผลหยั่งเสียงที่ออกมา ทำให้การแข่งขันของทั้ง 2 พรรคในรัฐที่เหลือทวีความเข้มข้นมากขึ้น และนับจากนี้สนามรบจะขยายไปทั่วสหรัฐ

-เริ่มด้วยรัฐที่ 3 คือที่รัฐมิชิแกน ในวันที่ 15 มกราคม ผู้สมัครของเดโมแครตทุกคน ยกเว้นนางฮิลลารี คว่ำบาตรการเลือกตั้งที่รัฐนี้เพื่อประท้วงการที่รัฐนี้ตัดสินใจย้ายวันเลือกตั้งให้เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มอิทธิพลเหนือการเลือกตั้งของรัฐตน

สำหรับผู้สมัครของรีพับลิกันจะไปกันครบที่มิชิแกน โดยมิตต์ รอมนีย์ผู้มาเป็นที่ 2 ทั้ง ที่ไอโอวาและนิวแฮมเชอร์จำเป็นต้องชนะที่รัฐนี้ ถ้ายังอยากกลับไปเป็นตัวเก็ง รอมนีย์ได้เปรียบแม็คเคน ตรงที่พ่อของเขาเคยเป็นผู้ว่ารัฐนี้อยู่ถึง 3 สมัย แต่ก็มองกันว่า ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมหนัก อาจผลักดันให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่สังกัดพรรคใด หันไปเทคะแนนให้แม็คเคน ผู้เป็นเสรีนิยมมากกว่ารอมนีย์ และเคยชนะจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่รัฐนี้เมื่อปี 2543

-ถัดจากมิชิแกนคือเนวาดา ในวันที่ 19 มกราคม ซึ่งโอบามาจำเป็นต้องชนะที่รัฐนี้ เพื่อสยบโอกาสที่นางฮิลลารีจะรุ่งเป็นพลุ หลังจากเธอชนะที่นิวแฮมเชอร์และมิชิแกน ส่วนจอห์น เอ็ดเวิร์ดส ซึ่งได้ที่ 3 จากการหยั่งเสียงใน 2 รัฐแรกก็หวังจะทำได้ดีที่รัฐนี้ เพื่อคงความหวังจะไปนั่งในทำเนียบขาวได้ต่อไป แต่การที่ลาสเวกัสเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วมากของสหรัฐ ทำให้คนรัฐนี้เปลี่ยนใจได้ง่ายๆ

-ต่อมาคือที่รัฐเซาท์ แคโรไลน่า ซึ่งของรีพับลิกันจัดในวันที่ 19 ส่วนเดโมแครต วันที่ 26 มกราคม โดยโอบามาไปที่เมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์ แคโรไลน่า เมื่อวันศุกร์ เพื่อหาเสียงเปิดฉากความพยายามของเขาที่จะเป็นผู้ชนะที่รัฐนี้ เขาจะชนะนางฮิลลารีได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับว่าใครจะได้คะแนนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งผิวดำได้มากกว่ากัน เพราะผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนที่รัฐนี้มีคนผิวดำเกือบครึ่งหนึ่ง และแม้ โอบาม่าจะชูประเด็นให้เลือกเขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน แต่นางฮิลลารีเองก็มีภาพลักษณ์ด้านบวกในหมู่คนผิวดำ

สำหรับชาวรีพับลิกันนั้น รัฐนี้เคยช่วยให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ไปเข้าทำเนียบขาว แม้บุชจะแพ้ในคอคัสที่ไอโอวา แต่ร้อยละ 40 ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงของรีบลิกันที่รัฐนี้ เป็นพวก evangelicals ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเทคะแนนให้ ไมค์ ฮัคคาบี อดีตผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอส์ ซึ่งเคยเป็นบาทหลวง

-ถัดไปคือที่รัฐฟลอริดา ในวันที่ 29 มกราคม ผู้สมัครของเดโมแครตทุกคนเมินฟลอริดา เพื่อประท้วงที่รัฐนี้เป็นอีกรัฐที่เลื่อนการเลือกตั้งให้เร็วขึ้นกว่าในอดีต เพื่อเพิ่มอิทธิพลของรัฐตนต่อการเลือกตั้งครั้งนี้

ส่วนสำหรับรีพับลิกันนั้น นายรูดอล์ฟ จูเลียนี อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ซึ่งไม่สนใจเสียงในรัฐก่อนหน้านี้ เพราะหวังได้คะแนนจากรัฐนี้เป็นหลัก เขาตระเวนหาเสียงไปทั่วฟลอริดา นักวิเคราะห์บอกว่า ถ้าเขาไม่ชนะที่นี่ ยุทธศาสตร์ของเขาที่ปล่อยให้คู่แข่งชนะไปก่อนในรัฐเล็กๆ ส่วนเขามุ่งคว้าชัยชนะทีหลังใน รัฐใหญ่ๆ จะล้มเหลว และเขาจะถูกหยิบยกเป็นตัวอย่างของการฆ่าตัวตาย ด้วยการกระทำทำฮาราคิรีทางการเมือง

จูเลียนีคิดว่าชื่อเสียงของเขาที่ได้มาจากเหตุ 11 กันยายน รวมทั้งการที่เขาทุ่มเงินโฆษณาหาเสียง จะช่วยให้เขามีชัยเหนือคู่แข่ง แต่นักวิเคราะห์บอกว่า กว่าจะถึงตอนนั้น แมคเคน, ฮัคคาบี้ หรือ รอมนีย์ ก็อาจแข็งแกร่งจนไม่มีใครเอาชนะได้แล้ว

-แล้วก็มาถึง SuperTuesday ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งนักวิเคราะห์บอกว่า ผลเลือกตั้งที่นิวแฮมเชอร์ ยิ่งทำให้ใครๆหันไปใส่ใจกับ Super Tuesday ซึ่งมีการหยั่งเสียงกว่า 20 รัฐในวันเดียว เพราะตอนนี้ ดูจะมีความเป็นไปได้ว่าทั้ง 2 พรรคยังไม่มีใครที่ "ตัวเต็ง" อย่างชัดเจน

ในบรรดารัฐที่จะจัดเลือกตั้งในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ รวมทั้งหลายรัฐที่มีอำนาจมาก เพราะมีจำนวนผู้แทนมาก เช่น แคลิฟอร์เนีย,อิลลินอยส์, นิว เจอร์ซี และนิวยอร์ก การที่มีการเลือกตั้งในหลายรัฐในวันเดียวกัน ทำให้ผู้สมัครของทั้งสองพรรค ต้องมองหา ตัวช่วยหลากหลาย รวมทั้งการใช้โฆษณาทางทีวี ที่ระบุเป้าหมายชัดเจน การรายงานข่าวตามสื่อต่างๆ และการจัดการอย่างมืออาชีพ

ถัดจากวัน Super Tuesday ยังมีอีกหลายสิบรัฐทยอยจัดการเลือกตั้งไปจนถึงวันที่ 3 มิถุนายน ซึ่งจะมีการเลือกตั้งใน 3 รัฐสุดท้าย คือ มอนตานา, นิว เม็กซิโก และเซาท์ ดาโกตา จากนั้นก็จะถึงการประชุมแห่งชาติของเดโมแครต ที่เดนเวอร์ รัฐโคโรลาโด ระหว่างวันที่ 25-28 สิงหาคม ซึ่งจะได้ตัวแทนของพรรคไปชิงประธานาธิบดี และตามมาด้วยการประชุมแห่งชาติของรีพับลิกัน ที่เมืองมินนิอา-โปลิส รัฐมิเนโซต้า ระหว่างวันที่ 1-4 กันยายน ซึ่งจะได้ตัวแทนของพรรคฯไปชิงชัยกับตัวแทนของเดโมแครต ใน เดือนพฤศจิกายนปีนี้ เพื่อหาประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐ

หลายเดือนที่ผ่านมา การแข่งขันของบรรดาผู้สมัครของพรรคเดโมแครตและ รีพับลิกันที่ไอโอวา เน้นแค่ที่ 2 รัฐ คือ รัฐไอโอวา ซึ่งจัดเลือกตั้งแบบคอคัสไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กับการเลือกตั้งแบบไพรมารี ที่รัฐนิวแฮมเชอร์ เมื่อวันที่ 8 มกราคม ซึ่งที่ไอโอวา สำหรับพรรคเดโมแครตนั้น บารัค โอบามา วุฒิสมาชิก รัฐอิลลินอยส์วัย 46 ปี มาแรงแซงโค้งเอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ ไปได้ ขณะที่ของพรรครีพับลิกัน ไมค์ ฮัคคาบี อดีตผู้ว่าการรัฐอาคันซอส์ มาเป็นอันดับ 1

จากคุณ : Lueng - [ 6 ก.พ. 51 15:29:40 ]

ความคิดเห็นที่ 10

วิธีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ(ต่อ)...Electoral Vote

***ต่อจากคคห.#5

-------------------------------

ตามระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ แม้ประชาชนจะเป็นผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดี หรือที่เรียกกันว่า ป๊อปปูลาร์โหวต ซึ่งได้แก่ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป แต่คะแนนเสียงที่เป็นตัวตัดสินผลแพ้ชนะ คือ คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง หรือ อิเล็คโทรอล คอลเลจ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 538 เสียง เท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 435 เสียง รวมกับสมาชิกวุฒิสภา 100 เสียง บวกกับอีก 3 เสียงพิเศษ ในดิสทริค ออฟ โคลัมเบีย หรือกรุงวอชิงตัน ดีซี. เมืองหลวงของสหรัฐ

ทั้งนี้ เป็นเพราะความสลับซับซ้อนของกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งชิงชัยกันในแต่ละรัฐ ด้วยระบบ "วินเนอร์ เทค ออล" ที่ระบุว่า ผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงป๊อปปูลาร์โหวตเหนือกว่าในรัฐใดรัฐหนึ่ง จะได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งในรัฐนั้นไปทั้งหมด แม้ว่าคะแนนเสียงป๊อปปูลาร์โหวต จะชนะกันอย่างคู่คี่สูสีก็ตาม

ขณะเดียวกัน คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐ ก็มีไม่เท่ากัน ทำให้ความสำคัญในการแพ้-ชนะในแต่ละรัฐ แตกต่างกันไป โดยผู้ที่ได้คะแนนเสียงดีกว่าในรัฐใหญ่ๆ ก็มีโอกาสคว้าชัยชนะในภาพรวมมากกว่า

หากพรรคใดสามารถครองเสียงคณะผู้เลือกตั้งเกินกว่า 270 เสียงหรือกึ่งหนึ่งของจำนวนคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคนั้นก็จะได้รับเลือกเป็นผู้นำสหรัฐคนต่อไป

ตามกำหนดการแล้ว คณะผู้เลือกตั้งทั้ง 538 คนจะต้องลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ ภายใน 30 วันหลังวันเลือกตั้ง และจะส่งผลการลงคะแนนเสียงไปยังกรุงวอชิงตัน เพื่อเปิดนับในรัฐสภา ก่อนจะประกาศชื่อผู้ได้รับชัยชนะในที่สุด

แต่ในกรณีที่ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันได้รับคะแนนสนับสนุนจากคณะผู้เลือกตั้ง 269 เสียงเท่ากัน ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในปี 2343 เมื่อโธมัส เจฟเฟอร์สัน ได้คะแนนเสียงได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง เท่ากับแอรอน เบอร์ พอดิบพอดี

ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ฉบับแก้ไขครั้งที่ 12 ให้อำนาจสภาผู้แทนราษฎรเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ และให้วุฒิสภาเลือกรองประธานาธิบดี ซึ่งตามกติกา แล้ว หากผู้สมัครจากพรรคใด ได้เสียงสนับสนุนจากสส.เกินกว่า 25 รัฐ หรือกึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 50 รัฐ ผู้สมัครจากพรรคนั้นก็จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี

และก็มีความเป็นไปได้ว่าผู้สมัครที่ได้รับชัยชนะป๊อปปูลาร์โหวต แต่พ่ายแพ้คะแนนอิเลคโทรอล โหวต โดยครั้งสุดท้ายที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งปราชัยในส่วนคะแนนป๊อปปูลาร์ โหวต กลับเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะเพราะได้อิเลคโทรอลโหวตมากกว่า เกิดขึ้นปี 2543 เมื่อ อัล กอร์ จากพรรคเดโมแครต ต้องพ่ายแพ้ให้กับ จอร์จ ดับเบิลยู บุช จากพรรครีพับลิกัน แม้จะได้ชัยชนะ ในส่วนป็อบปูลาร์ โหวต โดยครั้งล่าสุดก่อนหน้านั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2431 เมื่อเบนจามิน แฮริสัน จากพรรครีพับลิกัน ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่โกรเวอร์ คลีฟ แลนด์ส่วนของคะแนนป๊อปปูลาร์ โหวต

จากคุณ : Lueng - [ 6 ก.พ. 51 15:33:23 ]