Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ภาษาวิบัติ เกี่ยวกับวัยรุ่นไทย ..จริงหรือ ? กระทู้แตกประเด็นจาก X6335954{แตกประเด็นจาก X6335954}

    ภาษาวิบัติ เกี่ยวกับวัยรุ่นไทย...จริงหรือ?

    ความห่วงใย เรื่อง "ภาษาวิบัติ" นี้แสดงอะไรให้เห็นสองด้าน หนึ่งก็คือคนไทยหลายชั่วอายุคนมาแล้วที่ไม่ค่อยชอบให้ภาษาเปลี่ยน และสอง แสดงในทางตรงกันข้ามว่าภาษาไทยเปลี่ยนตลอดมาอย่างไม่ยอมหยุด ไม่ว่า "ผู้ใหญ่" จะชอบหรือไม่ก็ตาม

    พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อำนาจของ "ผู้ใหญ่" ซึ่งมีล้นเหลือในเมืองไทยนั้น หาได้มีความแข็งแกร่งศักดิ์สิทธิ์อะไรนักบนเวทีของภาษา

    ทำไม "ผู้ใหญ่" ไทยหลายชั่วคนมาแล้วจึงไม่ชอบให้ภาษาเปลี่ยน? ผมคิดว่าคำตอบอยู่ที่ว่า "ผู้ใหญ่" เองหาได้ปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงทางภาษาแต่อย่างใดไม่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนลงมือเปลี่ยนภาษาด้วยตนเองด้วยซ้ำ เช่นภาษาเขียนในสมัยรัชกาลที่ 5 แตกต่างอย่างมากจากภาษาเขียนก่อนหน้านั้นขึ้นไป พระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ของ ร.5 มีการใช้ศัพท์แสงที่เป็น "สำนวน" หรือ "โวหาร" มาก เมื่อนำมาพิมพ์เผยแพร่ก็เท่ากับขยาย "สำนวน" หรือ "โวหาร" ใหม่ๆ เหล่านั้นออกไปนั่นเอง

    ถึงแม้ยอมรับความเปลี่ยนแปลงทางภาษาแต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ในความควบคุมของ "ผู้ใหญ่" นะครับ และความควบคุมนั้นก็ทำได้ในความเป็นจริงพอสมควรด้วย เช่นในสมัย ร.4-5 สื่อสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ผลิตขึ้นโดย "ผู้ใหญ่" เอง (อย่าลืมด้วยนะครับว่า เมื่อเราเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่สังคมสมัยใหม่กว่าครึ่งศตวรรษแรกสื่อสิ่งพิมพ์เป็น "สื่อมวลชน" อย่างเดียวในเมืองไทย)

    ผมไม่ทราบว่า "ผู้ใหญ่" ในสมัยนั้นท่านมีสำนึกหรือไม่ว่า ภาษาเป็นฐานสำคัญอย่างหนึ่งของโครงสร้างอำนาจ (เพราะภาษามีส่วนกำหนดวิธีคิดค้นด้วย ฉะนั้น คุมภาษาได้ก็คุมความเปลี่ยนแปลงได้) แต่ท่านพยายามเข้าไปควบคุมภาษามาแต่ระยะเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

    "ประกาศ" ของ ร.4 ที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้ถ้อยคำต่างๆ ในการกราบบังคมทูล ชี้ให้เห็นความพยายาม ที่จะทำให้ความเปลี่ยนแปลงทางภาษาอยู่ในความควบคุม คำใดควรใช้อย่างไร และคำใดไม่ควรใช้เลย เพราะ "ผิด" หรือเพราะฟังดูแล้วอาจคิดไปทาง "หยาบ-หยาบคาย" เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการควบคุมความเปลี่ยนแปลงของภาษาเริ่มจะหายไปในปลาย ร.5 เป็นต้นมา เพราะเทคโนโลยีการพิมพ์กลายเป็นสิ่งที่คนซึ่งไม่ใช่ "ผู้ใหญ่" เข้าถึง มีสิ่งพิมพ์ที่คนเหล่านี้ผลิตออกมามากมาย นับตั้งแต่หนังสือพิมพ์ไปจนถึงหนังสืออื่นๆ ซ้ำไม่ใช่เอางานเก่ามาพิมพ์ขายเสียด้วย แต่เขียนขึ้นใหม่เลย

    และนับจากนั้นมา เราก็ได้ยินเสียงบ่นเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางภาษาที่ "ผู้ใหญ่" ไม่ชอบ (ซึ่งมาบัญญัติกันในภายหลังว่าเป็น "ภาษาวิบัติ") กันหนาหูขึ้นสืบมา

    ผมได้เรียนภาษาไทยในสถาบันซึ่งสืบทอดทัศนคติของ "ผู้ใหญ่" มาโดยตรง ฉะนั้น จึงได้ยินเรื่อง "ภาษาวิบัติ" มาถี่กว่านักเรียนในสถาบันอื่น ไม่ว่าจะไม่พูดตัวควบกล้ำ, ร.รักษา, หรือใช้บุพบทผิด, หรือใช้คำผิดความหมาย (เช่น รโหฐาน แปลว่าที่ลับ ไม่ใช่ใหญ่โตโอฬาร หรือมหาศาลใช้กับทรัพย์ซึ่งรวมถึงบ่าวไพร่บริวารด้วยเท่านั้น ใช้ขยายอื่นๆ ไม่ได้)

    ความกระตือรือร้นที่จะป้องกัน "ภาษาวิบัติ" ของครูผม ทำให้ท่านอธิบายว่า ขืนปล่อยให้ภาษาเปลี่ยนไปตามความมักง่ายอย่างนี้ จะพูดกันไม่รู้เรื่อง ภาษาไทยก็จะหายไปจากโลก

    ผมเชื่อว่าท่านเองก็คงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้หรอกครับ เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนอย่างไร ก็ยังเหลือภาษาไทยที่เปลี่ยนไปแล้วอยู่นั่นเองอย่างแน่นอน

    ฉะนั้น เหตุผลสำหรับสู้กับ "ภาษาวิบัติ" ข้อนี้จึงไม่ได้ใช้กันสืบมา ผมเพิ่งทราบจากผู้สัมภาษณ์ว่า เดี๋ยวนี้เขาให้เหตุผลว่า ภาษามีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นภาษาของชาติ ขืนปล่อยให้เปลี่ยนกันไปโดยไร้หลักเกณฑ์เช่นนี้ ความศักดิ์สิทธิ์ของภาษาและชาติก็จะเป็นอันตราย

    นึกว่าจะน่าฟังมากขึ้น กลับกลายเป็นไสยศาสตร์มากขึ้น

    อย่างที่พูดข้างต้นนะครับว่า ภาษาอะไรๆ ในโลกก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยทั้งนั้น ข้อนี้แม้แต่คนที่เชื่อใน "ภาษาวิบัติ" ก็ยอมรับ เพียงแต่ว่าอยากให้มันเปลี่ยนไปตามใจของตัว มากกว่าปล่อยให้มันเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขปัจจัยอื่นๆ ซึ่งตัวกำหนดไม่ได้

    ก็แน่นอนนะครับว่า เงื่อนไขปัจจัยอื่นๆ ที่บุคคลกำหนดไม่ได้ย่อมมีพลังมากกว่าเงื่อนไขปัจจัยที่ครูกำหนดได้ ฉะนั้น นับวันภาษาไทยก็ยิ่งเปลี่ยนไปในทางที่ครูภาษาไทยไม่ชอบมากขึ้น

    เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ครูภาษาไทยมีพลังน้อยลงไปอีกอยู่ที่วิธีการด้วยครับ นั่นคือ เท่าที่ผมสังเกตเห็นคือมักใช้มาตรการเชิงลบเป็นเครื่องมือในการบังคับให้ภาษาของลูกศิษย์เปลี่ยนไปในทางที่ตัวชอบ เช่นไม้เรียวหรือดุด่าว่ากล่าวไปถึงคะแนนสอบ

    ทำให้เด็กนักเรียนมักเบื่อวิชาภาษาไทย ดังจะเห็นว่าผลคะแนนเฉลี่ยในการสอบภาษาไทยของเด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ก็ต่ำอย่างน่าใจหายเหมือนกัน

    และความสามารถในการใช้ภาษาของเด็กไทยเวลานี้ เท่าที่ผมสังเกตเห็นจากข้อเขียนของเขาก็ดูจะแย่ๆ สักหน่อยนะครับ

    ผมไม่ได้ห่วงว่าจะเป็น "ภาษาวิบัติ" หรอกครับ แต่ผมห่วงว่าการใช้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเป็นพลังอย่างหนึ่ง การเลือกใช้คำ, การวางรูปประโยค, การใช้จังหวะให้เป็น (คือหยุดหรือเว้นวรรคเป็น) ฯลฯ ล้วนทำให้เขาสามารถสื่ออะไรที่ลึกกว่าความหมายดาษๆ เช่น สื่ออารมณ์, สื่อคุณค่า, สื่อความซับซ้อน, สื่อความรู้สึก ฯลฯ ได้มาก และตรงนี้เป็นความหมายที่มีพลังเสียยิ่งกว่าความหมายของคำตามพจนานุกรม

    การเรียนภาษาไทยสำหรับเด็กไทยที่พูดภาษาไทยมาแต่เล็กแต่น้อย ก็น่าจะมีจุดมุ่งหมายตรงนี้แหละครับ คือทำให้ใช้ภาษาได้เก่ง

    ผมเชื่อว่าหากครูภาษาไทยและ/ หรือวิชาภาษาไทยหันมาฝึกตรงนี้ วิชาภาษาไทยจะเป็นวิชาที่สนุกกว่าการเรียนแต่เพียงว่าอะไร "ผิด" อะไร "ถูก" เพราะเด็กนักเรียนจะได้เล่นกับภาษาซึ่งเขาใช้มันจนคล่องแคล่วแล้ว เพื่อทำให้เกิดพลังขึ้นในภาษาของเขา

    แต่ภาษาไทยของวัยรุ่นที่ผมได้ยินหรือได้อ่านกลับเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามนะครับ เช่นสแลงที่เด็กนิยมใช้ แทนที่จะให้ความหมายได้ละเอียดซับซ้อนขึ้น กลับกลายเป็นคำที่ให้คำความหมายกว้างและเบลอ

    เช่น วีน ซึ่งแปลว่าอารมณ์เสียจนมีพฤติกรรมที่ทำให้เกิดปัญหากับคนอื่น ก็รู้เรื่องดีและไม่ทำให้ภาษาวิบัติอะไร แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าภาษาไทยมีคำที่บอกถึงอารมณ์เสียได้หลากหลายคำมาก มีความหมายเหลื่อมกันด้วยสีสันที่ผิดแผกกันเล็กน้อย แต่ให้ความรู้สึกตลอดจนถึงกำหนดพฤติกรรมของผู้ฟังแตกต่างกันออกไป

    ใช้คำว่า วีน ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ความสามารถในการเลือกใช้คำให้ตรงกับที่ผู้พูดหรือเขียนต้องการนั้นยังอยู่หรือไม่ และการใช้คำว่าวีนในที่นั้นๆ จะทำให้การสื่อเป็นไปอย่างมีพลังหรือไม่

    ความสามารถตรงนี้แหละครับที่ผมออกจะสงสัยว่าหายไปหรือถูกละเลยที่จะใช้ และผมคิดว่าน่าเสียดาย

    ไม่ใช่เสียดายแก่ภาษาไทยนะครับ แต่เสียดายแก่ตัวเขาเอง

    อย่างไรก็ตาม สมมติว่าครูภาษาไทยสามารถยั่วยุให้เด็กวัยรุ่นสนุกกับการใช้ภาษาให้มีพลัง ผมก็ยังเชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่ คงจะใช้คำสแลงที่กว้าง และเบลอต่อไปเหมือนเดิม เพราะมีเงื่อนไขปัจจัยซึ่งครูกำหนดไม่ได้ทำให้ภาษาสแลงแบบนี้ใช้ได้ โดยไม่ติดขัด คืออาจมีพลังไม่น้อยไปกว่าการเลือกใช้คำอย่างพิถีพิถันเหมือนกัน

    เงื่อนไขปัจจัยที่ทำให้ภาษาสแลงแบบนี้ใช้ได้อย่างมีพลังก็คือ เราอย่างอยู่ในโลกที่ภาษาพูดกันโดยตรงมีบทบาทมากขึ้น เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โทรศัพท์มือถือ, อินเตอร์เน็ต, การคมนาคมสื่อสารที่นำให้คนพบกันได้ในพริบตา ฯลฯ ทำให้เราสื่อสารกับคนอื่นอย่างถึงตัว

    และเมื่อจะพูดกับใครอย่างถึงตัวแล้ว มีหนทางที่จะสื่อสารกันนอกจากภาษาที่เป็นคำพูดอีกมากมาย แค่บอกว่าเขากำลังวีน แต่มีสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงประกอบด้วยก็ให้ความหมายที่ละเอียดประณีตของอารมณ์เสียของเขาได้มากมาย จึงไม่จำเป็นจะต้องเลือกหาคำสำหรับอธิบายอารมณ์เสียของใครให้มากความไปเปล่าๆ

    พูดโทรศัพท์กับคนที่เรารู้จักกันมาก่อนอย่างดีกับพูดวิทยุซึ่งมองไม่เห็นหน้าคนฟังในดวงความคิดเลย แตกต่างกันมากนะครับ จะหวังให้ภาษาไทยในโทรศัพท์มือถือเหมือนภาษาไทยในวิทยุจึงเป็นไปไม่ได้ แม้เป็นภาษาพูดเหมือนกันก็ตาม

    ความเปลี่ยนแปลงทางภาษามีความซับซ้อนและต้องการคนที่สนใจศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ในมิติต่างๆ หากเรามีแต่ครูภาษาที่คอยปกป้องมิให้ภาษาเปลี่ยนไปนอกใจตัวเอง ก็ไม่เหลือใครไว้ศึกษาเรื่องที่น่าสนใจนี้

    ถึงตอนนั้นแหละครับที่ความรู้ทางภาษาของเราจะ "วิบัติ"


    credit by อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ครับ


    ที่มา บล็อกผมเองแหละ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=blt-horror&month=16-10-2007&group=48&gblog=2

    แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 19:53:56

    จากคุณ : BlT_HorroR - [ 18 ก.พ. 51 17:38:11 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom