Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    REคนจนห้ามท้องเสีย

    ที่ผมรู้จักท่านหนึ่งกินอาหารเป็นพิษ ท้องเสียอย่างหนักจนต้องผ่านสองราตรีที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากอาการท้องเสียหายดีแล้ว อาการหัวใจวายก็กำเริบ เนื่องจากใบเสร็จค่ารักษาเป็นเงินสี่หมื่นกว่าบาท

    ไม่น่าเชื่อว่าค่ารักษาอาการท้องเสียใน พ.ศ. นี้จะสูงได้สาหัสสากรรจ์เช่นนี้!

    ประหลาดใจหรือ? ไม่เชิง! ผมเคยเป็นไข้หวัดธรรมดา แวะโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนานครึ่งชั่วโมง เสียค่ารักษาหวัดห้าพันกว่าบาท หมอบอกว่าราคายาปฏิชีวนะหลายพันบาทเพราะเป็นของนอก มียี่ห้อ

    อืม! แม้แต่เชื้อโรคก็นิยมตายด้วยสินค้าแบรนด์เนม!

    นโยบายการทำให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในโลก ที่เรียกโก้ๆ ว่า เมดิคัล หับ (Medical Hub) กำลังหับกินชาวบ้านทั้งเป็น ทำให้หลายคนไม่กล้าหาหมอทั้งที่หายใจพะงาบๆ จวนตาย เพราะไม่มีปัญญาจ่ายค่ารักษาแพงๆ ซึ่งเป็นราคาสำหรับชาวต่างชาติ นี่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า '30 บาทรักษาทุกโรค' เป็นนโยบายที่มหัศจรรย์ที่สุดของโลก

    ทุกๆ วัน โรงพยาบาลรัฐจึงคลาคล่ำไปด้วยคนไข้ แน่นขนัดราวมีงานวัด หรือห้างสรรพสินค้าที่จัดรายการเซลส์ลดกระหน่ำ 80% ผู้ที่ถือปรัชญา 'เสียเงินดีกว่าเสียเวลา' จึงต้องกัดฟันจ่ายค่ารักษาสูงๆ ที่โรงพยาบาลเอกชน แล้วรีบกลับไปทำงานหาเงินมาจ่ายค่ารักษา และภาวนาว่าจะไม่ป่วยอีก

    สรุปสั้นๆ คือ ห้ามท้องเสียโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ความฝันสูงสุดของหลายคนคืออยากให้โรงพยาบาลทุกแห่งติดป้ายราคาค่ารักษาเหมือนร้านอาหารที่ปากซอย เช่น

    เป็นหวัด 650 บาท
    ไอ 270 บาท
    เจ็บคอ 150 บาท
    เจ็บหัวแม่ตีน 220 บาท
    เบื่อรัฐบาล 10,000 บาท
    แพ้หน้านายกฯ 20,000 บาท
    ฯลฯ

    ไม่เฉพาะแต่วงการแพทย์ที่ตกอยู่ในวงโคจรของ 'กำไรสูงสุด' วงการอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้

    สมัยผมยังเป็นเด็ก หาดใหญ่บ้านเกิดของผมเริ่มกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจากมาเลเซียขึ้นรถบัสคันใหญ่มาเที่ยวราตรีที่หาดใหญ่ทุกวัน ค่าอาหารการกินในเมืองสูงพรวดขึ้นตามกลไกอุปสงค์อุปทานธรรมดา

    จะโทษพ่อค้าแม่ค้าก็ไม่ได้ เพราะใครๆ ก็อยากขายสินค้าได้กำไรมากๆ ในเมื่อขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวได้เงินมากกว่า ทำไมจะโง่ไม่ทำ

    เมืองสวยงามหลายแห่งกลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว แต่อาจไม่ใช่สวรรค์ของคนพื้นเมือง

    นโยบายเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวเป็นดาบสองคม มันนำเงินตราเข้าประเทศปีละมากๆ ก็จริง แต่ก็ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นเร็วกว่าเดิม นอกเหนือไปจากผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น คนขับแท็กซี่แถวบ้านผมไม่ยอมรับผู้โดยสารคนไทย แต่จับฝรั่งแทน ชาวประมงจำนวนมากเลิกจับปลา หันไปรับนักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมเกาะแก่ง งานง่าย เงินดี นานวันระบบเศรษฐกิจที่ตั้งบนฐานของหลากหลายอาชีพก็รวน เช่นเดียวกับผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพคน ยกตัวอย่างเช่น เซ็กส์ทัวร์ทำเงินเข้าประเทศมากก็จริง แต่ก็ลดการใช้คนอย่างเต็มศักยภาพ นั่นคือแทนที่จะพัฒนาคนให้มีคุณภาพและทักษะในการผลิตสินค้า ก็กลับต้องมาฝึกฝนการให้บริการทางเพศ เมื่อสรีระเสื่อมลง ก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น กลายเป็นภาระของสังคมอีก บวกลบคูณหารแล้ว ก็อาจเข้าข่าย 'ได้ระยะสั้น เสียระยะยาว'

    บางครั้งเราก็ลืมไปว่า รากฐานของสังคมไทยคือเกษตรกรรม และเป็นจุดเด่นของเราที่อีกหลายๆ ชาติไม่มี

    ทว่ามุมมองของผู้กำหนดทิศทางของประเทศมักจำกัดอยู่ที่วงแคบๆ ของตัวเลขและเม็ดเงินมากกว่าคุณภาพชีวิตของประชาชนเจ้าของประเทศ

    กี่ปีๆ นโยบายแทบทั้งหมดของเราตั้งบนคำว่า 'เม็ดเงิน' เศรษฐกิจของเราปีนี้โต x เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าปีก่อน xx เปอร์เซ็นต์ เงินเข้าประเทศปีนี้ xxx หมื่นล้าน ฯลฯ ฟังดูดี และแสดงว่ารัฐบาลทำงานสำเร็จบรรลุเป้าหมายสวยงาม

    สื่อลงข่าวราคาหุ้นทุกวัน แต่ไม่เสนออีกด้านหนึ่งของสังคมเงินตรา ไม่มีสื่อใดที่ลงข่าวว่าปีนี้คนไทยมีความสุขกี่เปอร์เซ็นต์ ไม่มีนโยบายรัฐบาลใดที่ตั้งเป้าว่าประชาราษฎร์จะมีความสุขเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์

    นักการเมืองชอบสัญญาชาวบ้านว่า "เลือกข้าพเจ้าแล้ว ท่านจะอยู่ดีกินดี" ไม่เคยมีใครสัญญาว่า "เลือกข้าพเจ้าแล้ว ท่านจะมีความสุขกว่าเดิม" เพราะสังคมถูกครอบงำด้วยความคิดที่ว่า 'มีเงินก็คือมีความสุข'

    นี่อาจเป็นการมองด้านเดียว เพราะ 'รายได้สูง' ไม่ได้แปลว่า 'คุณภาพชีวิตสูง' เสมอไป



    หน่วยย่อยของสังคมแต่ละหน่วยเกี่ยวพันกันหมด ทั้งชีวิตต่อชีวิต และชีวิตต่อสังคม ถ้าเกี่ยวพันอย่างเหมาะสม ประโยชน์สุขก็ตกอยู่กับคนทั้งประเทศ

    ชีวิตต่อชีวิตคือความอาทรต่อกัน ไม่เอาเปรียบกัน ไม่เอาแต่ได้ ไม่กำไรเกินควร

    ชีวิตต่อสังคมคือการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม

    นี่ก็คือคุณภาพชีวิตที่ดี

    การวิ่งตามหลังเงินตราอย่างเดียวจนลืมทุกอย่างมีแต่เหนื่อยกับเหนื่อย เพราะเมื่อใช้เงินตราเป็นโจทย์ หาเท่าไรก็ไม่พอ

    เราอยู่บนแผ่นดินทองที่อุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง หากเราไม่โลภ ไม่เกลียดกัน เราจะเป็นประเทศที่ผู้คนมีความสุขที่สุดในโลกได้ไม่ยาก

    อาจเป็นโลกที่ไม่รวยแบบ 'โคตรโคตร' แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาท้องเสียครั้งละสี่หมื่นบาทแน่ๆ


    วินทร์ เลียววาริณ
    www.winbookclub.com
    14 มีนาคม 2551


    คมคำคนคม


    ไม่มีอะไรเป็นวิบัติภัยมากไปกว่าความโลภอีกแล้ว

    เล่าจื๊อ






    อันเก่าโดนอุ้มเพราะลงลิ้งหรือเปล่าครับ ลองใหม่

    จากคุณ : SkillFull - [ 23 มี.ค. 51 05:24:18 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom