ความคิดเห็นที่ 37
๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า ๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน ๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม ๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้ อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๕๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้ อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระอาทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้ ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว
พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบไว้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่การเข้าถึงเป็นของส่วนบุคคล แม้แต่พระส่วนมากก็เข้าใจไม่หมด ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีถึง 84,000 พระธรรมขันฑ์ มีองค์ประกอบครบทุกด้านเพียงศึกษาให้ได้ซัก 2,000 พระธรรมขันฑ์ก็ฉลาดเกินคนแล้ว แต่พระซึ้งมีหน้าที่สืบทอดพระศาสนาโดยตรงกลับเอาแต่เรื่องเมตตา กรุณา อะไรพวกนี้อยู่ไม่กี่เรื่อง ขนาดเจอโจรยังเมตตาก็เลยซวยมันซ่ะ จริงๆแล้วมันมีขอบเขตการเมตตาอยู่ ส่วนการเมตตาทั้งๆที่ไม่สมควรเมตตาพระพุทธเจ้าก็สอนไว้แต่ผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ช่วยกันหาหน่อยก็แล้วกัน ทุกการกระทำมีขอบเขตมีเหตุมีผล
ตอบเรื่องอจินไตยต่อ พวกเรื่องอจินไตยพวกนี้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงอยู่ๆก็ตรัสสอนออกมาเฉยๆ ทุกครั้งที่ทรงสอนเรื่องพวกนี้ต้องมีคนมาถามก่อนและอ้อนวอนให้ทรงตอบอยู่หลายครั้ง พระองค์จึงจะทรงตอบ เพราะเรื่องพวกนี้ไม่ทำให้นิพพานได้้้้ 1.เป็นคำถามที่ไม่ก็ให้เกิดประโยชน์ในการพ้นทุกข์ หมายความว่า ถ้าใครไม่ได้อยากจะมุ่งนิพพานหรือพ้นทุกข์ ยังต้องการผจญวัฏสงสารต้องการเป็นทุกข์อยู่ก็คิดได้ 2.คิดแล้วบ้า หมายถึง คนที่คิดโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะรู้ได้ เหมือนคนที่ไม่เคยเรียนคณิตศาสตร์มาเลยแล้วให้มาแก้โจทย์คณิตย์ยากๆ แบบนี้คิดให้ตายก็คิดไม่ได้แล้วถ้าเอาไปคิดถ้าคำตอบแบบคิดเองเออเองก็จะบ้าในที่สุด พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าผู้ที่จะเข้าใจได้ต้องมีญาณ การที่จะได้ญาณมาก็ต้องปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วจึงได้ญานที่จะสามารถรู้ภายใต้ขอบเขตของญาณนั้นๆได้ ถ้าอยากรู้มากก็ต้องปฏิบัติมาก เหมือนถ้าจะให้คนที่ไม่เคยเรียนคณิตศาสตร์มาเลยแล้วให้มาแก้โจทย์คณิตย์ยากๆ คนๆนั้นก็ต้องไปเริ่มเรียนคณิตศาสตร์ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นที่จะแก้โจทย์นั้นได้ ถ้าอยากแก้โจทย์ที่ยากกว่าก็ไปเรียนเพิ่มอีก แบบนี้ก็ไม่บ้า เพราะไม่ได้นั่งคิดในอากาศ แต่ศึกษาเล่าเรียนค้นคว้าอย่า่งถูกต้องจึงสามารถหาคำตอบได เฉพาะฉะนั้นการที่นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าการกำเนิดโลกจึงไม่ทำให้บ้า เพราะลงมือปฏิบัติ แต่อาจจะทำให้เป็นทุกข์ในช่วงที่คิดค้น ซึ้งนักวิทยาศาสตร์เค้าก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าจะเป็นทุกข์หรือสุข เพราะไม่ได้มีจุดประสงค์ในเรื่องพวกนี้
3.เวลาคุณถามคำถามอย่างหนึ่ง แล้วมีคนบอกว่ามันเป็นคำถามอจินไตย คุณรู้สึกอย่างไร? - ก็ต้องดูครับว่าเราไปถามใคร ถ้าไปถามนักวิทยาศาสตร์ก็ยาวเลย ถ้าไปถามพระก็จะได้คำตอบว่าอจินไตยนั้นล่ะ เพราะพระท่านมุ่งในการพ้นทุกข์ แต่ก็อยากจะฝากไว้ซักหน่อยเผื่อมีพระมาอ่านอยากจะให้ท่านตอบให้ตามๆกระแสโลกซักหน่อยแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น แค่ท่านตอบแบบอธิบายทั้งคำตอบทางโลกและทางธรรม แค่นี้คนที่มาถามก็จะได้ไม่หงุดหงิดรำคาญใจกลับไป
จากคุณ :
โดยมนุษย์เพื่อมนุษย์
- [
31 มี.ค. 51 12:05:23
]
|
|
|