ความคิดเห็นที่ 1 คำถามนี้  ไม่มีใครรู้จริง   ถ้าไปถามคนที่รู้  เขาก็จะบอกว่า คำถามที่รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ (อจินไตย) หรือไม่ก็ เกินกว่าปัญญาของมนุษย์จะรับได้ จากคุณ : njtd - [ 12 พ.ค. 51 21:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เป็นความบังเอิญแบบสุ่มและเสี่ยง จากคุณ : คดีฆาตกรรมถั่วงอก - [ 12 พ.ค. 51 21:11:21 ]

ความคิดเห็นที่ 3 . . . " ผมว่าอธิบายว่า พระเจ้าสร้างโลก มันดูเข้าท่ากว่านะครับ " <<<  ล่อเป้าอีกแล้ว มันง่ายครับ ในสิ่งที่อธิบายได้ยาก แล้วโยนไปให้ในสิ่งที่ตนเชื่อ... . . . จากคุณ : AbsolutelyTop - [ 12 พ.ค. 51 21:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มันมีอยู่สองความเชื่อน่ะครับ คือ เชื่อว่าพระเจ้าสร้าง กับเชื่อว่าเกิดโดยบังเอิญ จากคุณ : ksk - [ 12 พ.ค. 51 21:29:11 ]

ความคิดเห็นที่ 5 หากบังเอิญสายตาเธอ จะผ่านมาที่ฉัน และเธอนั้นบังเอิญจะสนใจ จากคุณ : รุตน้อย - [ 12 พ.ค. 51 21:31:45 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เกิดโดยธรรมชาติ จากคุณ : LR3 - [ 12 พ.ค. 51 21:34:59 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มนุษย์คือผลงานชิ้นเอกของธรรมชาติ เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่สุดจะบรรยาย โอว - -a จากคุณ : sawangwong (sawangwong) - [ 12 พ.ค. 51 21:45:54 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ความคิดเห็นที่ 4   มันมีอยู่สองความเชื่อน่ะครับ คือ เชื่อว่าพระเจ้าสร้าง กับเชื่อว่าเกิดโดยบังเอิญ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=seeking-god-seeking-the-truth1โครินธ์ 2:9 9ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ จากคุณ : ksk   -..- จากคุณ : vierzehn - [ 12 พ.ค. 51 21:48:20 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โถ่.... จากคุณ : sarareal - [ 12 พ.ค. 51 21:55:28 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ทฤษฎีวิวัฒนาการ http://evidence-evolution-theory.pantown.com/ กำเนิดสิ่งมีชีวิต http://www.pantown.com/board.php?id=8396&area=1&name=board1&topic=4&action=view จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 12 พ.ค. 51 22:05:50 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มนุษย์นี่แหละสร้างพระเจ้ามาครอบงำมนุษย์ด้วยกันเองอีกที จากคุณ : axquest - [ 12 พ.ค. 51 22:07:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เชื่อว่า "ธรรมชาติ" สร้างขึ้นค่ะ จากคุณ : St.Kyo - [ 12 พ.ค. 51 22:13:44 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ในทางพุทธศาสนา ไม่มีความบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีเหตุและผลอธิบายทั้่งนั้น เรียนมาทั้งหมด จำได้แค่นี้แหละ จากคุณ : ^oio^ - [ 12 พ.ค. 51 22:19:59 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยกับ คห.11 จากคุณ : นายครรชิต - [ 12 พ.ค. 51 22:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถึงจะเอาทฤษฏีบังเอิญไปใส่หรือการมีผู้สร้างสรรค์ไปใส่ ที่สุดแล้วคือธรรมชาติ จากคุณ : หลับตา - [ 12 พ.ค. 51 22:38:35 A:58.64.100.141 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าบอกพระเจ้าสร้างโลกก็จบ งั้นไม่แปลกหรอกจะบอกอจิณไตยก็จบเหมือนกัน เพราะทั้งสองใครก็ไปพิสูจน์ไม่ได้ ผมสงสัยว่าพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาทำไม หรือท่านเหงา อยู่ในกาลอวกาศอันเคว้งคว้าง เลยสร้างโลกสร้างคนขึ้นมา สร้างดวงอาทิตย์ สร้างคนมาเดินให้ดู มีการกำกับเงื่อนไข เหมือนเป็นนิยายเลย  ต้องไปตรงนี้ เจอทะเลแดงแล้วทัพฟาโรโดนน้ำท่วม  ไม่รู้จุดประสงค์ท่านเหมือนกันเมื่อสิ่งที่สร้างลูกหลานท่านเองทั้งนั้น ในอนาคตถ้าวิทยาศาสตร์พิสูจน์อะไรได้หลายอย่างไบเบิลก็จะกลายเป็นแค่ตำนานเท่านั้น   หลังๆโรงเรียนในอเมริกาจะยกเลิกการใช้ไบเบิ้ลในหลักสูตรเพราะมันทำให้เด็กหยุดชะงักทางความคิด  อะไรๆก็อ้างพระเจ้า ต่อไปก็ไม่ต้องไปค้นคว้ามันกันแล้ว แต่ผมว่าดีนะเวลาทำงานไปเจออันไหนยากๆก็ไม่ต้องทำ บอกเป็นแผนการของพระเจ้า จากคุณ : harvardวิทยาคม - [ 12 พ.ค. 51 22:39:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สมมติให้คน 16777216 คนมาแข่งทายหัว-ก้อยแบบแพ้คัดออก คนที่ชนะจะได้รางวัล 100000000 บาท คนที่ชนะไปสักสามรอบก็คิดว่าตัวเอง ดวงดี แต่พอเริ่มเข้ารอบลึกๆลงไปเรื่อยๆก็จะเริ่มคิดว่าตัวเองไม่ธรรมดา ท้ายที่สุดคนที่ได้แชมป์ อาจจะคิดว่าพระเจ้าต้องเลือกให้เขาเป็นคนชนะแน่ๆ มันเป็นไปได้ยังไง ที่ทายถูก 24 ครั้งติดต่ิอกันโดยไม่ผิดเลย..... ทั้งๆที่โอกาสออกหัว-ก้อย มัน 50:50 ......ในความเป็นจริง ก็แค่เป็นคนโชคดีเท่านั้นแหละ เพราะตามกติกามันต้องมีคนชนะอย่างน้อย 1 คน แต่หลายๆคนก็ชอบที่จะมองข้ามความจริงแล้วไปเชื่อเรื่อง Superstition แทน อวกาศมันกว้างใหญ่ มีดาวฤกษ์นับล้านล้านล้านดวง จะมีดวงหนึ่งที่มีสภาพที่เหมาะสมให้สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเกิดขึ้นมาก็ไม่แปลก เพราะมีอีกนับล้านๆระบบที่ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิต มนุษย์เอ๋ย อย่าทรนงตนนักเลยว่าตนเองเท่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกเลือกขึ้นมา มนุษย์เอย สัตว์เอย ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันทั้งนั้น พัฒนามาเคียงบ่าเคียงไหล่กันทั้งนั้น ไม่ได้มีสิ่งใดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมนุษย์ มนุษย์ไม่มีสิทธิเหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ความคิดที่ว่ามนุษย์มีสิทธิในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นการคิดเอาเองฝ่ายเดียวของมนุษย์ทั้งนั้น จากคุณ : Nexus - [ 12 พ.ค. 51 22:50:16 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ล่อเป้านะครับ เริ่มกรุ่นละ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 12 พ.ค. 51 22:50:55 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าจะเอาในแง่ของศาสนาคริสต์  พระเจ้าจงใจสร้างมนุษย์  และมอบสิ่งต่างๆมาให้มนุษย์จัดการและเลือกครับ(ไม่ได้กำหนดทุกอย่างมา  ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นหรืออย่างนี้) หรือถ้าในแง่ของวิทยาศาสตร์  มนุษย์เกิดขึ้นมาได้จากความบังเอญของความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมครับ หรือถ้าในแง่ของพวกที่เชื่อเรื่องมหาเมพยูเอฟโอ  พวกเขาจะบอกว่ามนุษย์ต่างดาวสร้างเราขึ้นมาครับ จากคุณ : Mr.Whisper (wsteven) - [ 12 พ.ค. 51 22:57:22 ]

ความคิดเห็นที่ 20 พอดีคุณ Nexus โพส ผมรู้สึกตรงใจมากๆ ขอโพสต่ออีกหน่อยครับ ผมไม่ชอบความคิดเรื่องพระเจ้า แนวคิดที่ว่ามนุษย์เป็นผู้ถูกเลือก แสดงให้เห็นว่า แหม เราช่างประเสริฐจริงๆ ถูกพระเจ้าสร้างมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุด เกินไปหรือเปล่า อันที่จริงเราก็เป็นแค่เศษเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยวจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล การเกิดของเราไม่ได้มีคุณค่าให้น่าทะนงตนขนาดนั้นเลย เราไม่ได้มีความสำคัญต่อจักรวาล เป็นแค่ผลลัพธ์ของความน่าจะเป็นที่มี "โอกาส" เกิดขึ้นได้ ขอโทษนะครับ ถ้าถ้อยคำอาจกระทบกระทั่งความรู้สึกใคร แค่ความเห็นส่วนตัวครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 12 พ.ค. 51 23:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 21 งง กับคนที่นี่ ล่อเป้า อะไรกัน ถามดีดี หาว่าล่อเป้า แจ้งลบก็ได้ครับ จากคุณ : Lord of Sealand - [ 12 พ.ค. 51 23:11:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 .....เบื่อ..... จากคุณ : peko6681 - [ 12 พ.ค. 51 23:21:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 บังเอิญว่าโลก อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ในระยะทางที่เหมาะสม -การที่จะบอกว่า ปรากฏการณ์บิ๊กแบงค์ ได้ผลักดันเศษเสี้ยวบางส่วนมาอยู่ในตำแหน่ง ที่เหมาะสมต่อการเจริญของสิงมีชิวิต เป็นเรื่องบังเอิญ ก็ได้ แม้เราจะรู้ว่า ดาวโลกมาอยู่ตำแหน่งนี้ได้ เพราะสาเหตุจาก ปริมาณแรงดันจากระเบิดก็ตาม ความบังเอิญ เราใช้คำนี้กับสถานการณ์ที่ไม่มีใครกำหนด ฝนตก แผ่นดินไหว ก็คงเพราะความบังเอิญ เพราะไม่มีใครกำหนด แม้นไม่มีใครกำหนดควบคุม ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ นักวิทยาศาสตร์ ไม่น่าจะใช้คำๆนี้นะครับ จากคุณ : นายไวรัส - [ 12 พ.ค. 51 23:37:41 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ให้ลิงฝูงหนึ่ง นั่งกดแป้นพิมพิ์ไปเรื่อย ๆ ก็ยังมีโอกาส ที่จะอ่านข้อความได้เป็นคำกลอน โอกาสเกิดของเราก็ใกล้เคียงการนี้ d~_~b จากคุณ : Sakuder - [ 13 พ.ค. 51 00:05:40 ]

ความคิดเห็นที่ 25 พระเจ้าสร้างโลก แล้วใครสร้างพระเจ้า ทุกอย่างล้วนไม่จริง จากคุณ : Alexzus - [ 13 พ.ค. 51 00:59:17 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบ #3 "" ผมว่าอธิบายว่า พระเจ้าสร้างโลก มันดูเข้าท่ากว่านะครับ " <<<  ล่อเป้าอีกแล้ว มันง่ายครับ ในสิ่งที่อธิบายได้ยาก แล้วโยนไปให้ในสิ่งที่ตนเชื่อ..." Ans. อย่า double standard    ลองคิดดูดีๆ นะครับ  คนอื่นเขาก็พูดกับคุณได้เช่นเดียวกันว่า "มันง่ายครับ ในสิ่งที่อธิบายได้ยาก แล้วโยนไปให้ธรรมชาติว่ายังไงๆ มันก็เกิดขึ้นมาเอง ????" จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 01:06:11 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ความเข้าใจผิดของทฤษฏีวิวัฒนาการ และการกำเนิดของสิ่งมีชีวิต http://factswhichevolutionistshide.pantown.com/ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 01:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ตอบ #16 "ในอนาคตถ้าวิทยาศาสตร์พิสูจน์อะไรได้หลายอย่างไบเบิลก็จะกลายเป็นแค่ตำนานเท่านั้น" Ans. นั่นเป็นแค่ความเชื่อของคุณนะครับ    จริงๆ แล้วเป็นไปได้เช่นเดียวกันว่าในอนาคตถ้าวิทยาศาสตร์พิสูจน์อะไรได้หลายอย่างก็จะทำให้สามารถยืนยันในสิ่งที่มีบันทึกไว้ในไบเบิลครับ "หลังๆโรงเรียนในอเมริกาจะยกเลิกการใช้ไบเบิ้ลในหลักสูตรเพราะมันทำให้เด็กหยุดชะงักทางความคิด  อะไรๆก็อ้างพระเจ้า ต่อไปก็ไม่ต้องไปค้นคว้ามันกันแล้ว" Ans. เอาอะไรมาพูดครับเนี่ย ไม่เห็นจริงซักกะอย่าง   ใช้ไบเบิ้ลในหลักสูตรอะไรครับ ???      แล้วก็ไม่มีใครเขาอ้างพระเจ้าแล้วก็ไม่ค้นคว้านะครับ นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อพระเจ้ามีอยู่เยอะแยะทั่วโลก และเป็นผู้คิดค้นวิทยาการใหม่ๆ มากมาย เพราะเขารู้สึกได้ว่าเขาค้นคว้าและได้ค้นพบความคิดและความรอบรู้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างโลก    ความคิดที่ว่า "อะไรๆก็อ้างพระเจ้า ต่อไปก็ไม่ต้องไปค้นคว้ามันกันแล้ว" เป็นความคิดผิดๆ ที่เชยแล้วครับ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 01:25:24 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ...เป็นการคัดเลือกตามธรรมชาติ...ไปดูตั้งกะอะมิโนตั้งต้นกันโน่นเลย ยาวเป็นล้านๆ ปี จากคุณ : Ken - [ 13 พ.ค. 51 01:37:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เหตุปัจจัย --> ผล --> เหตุปัจจัย --> ผล .. ครับ ไม่ใช่ ผล --> บังเอิญ --> เหตุปัจจัย --> ผล --> บังเอิญ บทความอ่านเล่น หลายๆบทความ จับแพะชนแกะครับ จากคุณ : Mole - [ 13 พ.ค. 51 02:09:07 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แล้วฝุ่นเม็ดแรกในอวกาศเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? จากคุณ : LamoonMan - [ 13 พ.ค. 51 02:32:14 ]

ความคิดเห็นที่ 32 โอ้ว pantown จู่ๆใช้ไม่ได้ รอสักครู้ครับ อ่านตาม#10,#27 แล้วใช้วิจรณญาณเอา จบ คนในนี้ ไม่มีอะไรมากกว่าในนั้นแล้ว จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 13 พ.ค. 51 03:14:34 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ความจริงแล้วเรื่องราวต่างๆนั้นเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง  ผู้คนต่างรบราฆ่าฟันทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่กันมาเป็นร้อยๆพันๆปีเพื่ออะไรกัน  ผู้คนต่างพากันใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงความอุตสาหะต่างๆเพื่อสร้างความร่ำรวยแลอำนาจให้ตนเองเพื่ออะไรกัน  ผู้คนต่างพากันเสพย์สิ่งบันเทิงเริงรมย์ของนอกกายเพื่ออะไรกัน  ทั้งที่ความจริงแล้วเวลาหลายล้านปีบนโลกในสุริยะจักรวาลของเรานี้อาจเป็นเวลาเพียงชั่วตากระพริบของสิ่งมีชีวิตในระบบสุริยะอื่นซึ่งมองจักรวาลของเราเป็นเหมือนขี้ฝุ่นบนส้นรองเท้าซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น  แลรอคอยเวลาที่จะดับสูญสลายไปอย่างถาวรก็เป็นได้มิใช่หรือ ป.ล. ในที่สุดก็เริ่มได้เวลาแห่งการกลับมาโพสรูปสาวๆเสียที (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 13 พ.ค. 51 03:37:36 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ^ ^ อืมมม แล้วการที่คนๆหนึ่งเกิดมาสวย อึ๋มส์ เนี่ยเกิดจากความบังเอิญ หรือพระเจ้าสร้างครับ จากคุณ : Naruse_X - [ 13 พ.ค. 51 04:23:11 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตอบ #26 อธิบายว่าเกิดขึ้นมาเองนั้นยากกว่าการอธิบายด้วยพระเจ้าหลายเท่า เพราะต้องอธิบายว่าเกิดขึ้นมาเองนั้นมีปัจจัยอะไรบ้าง กระบวนการเกิดเป็นอย่างไร และต้องพิสูจน์ว่า ณ ตำแหน่งและเวลาที่เกิดมีเหตุและปัจจัยนั้นมากพอให้เกิดขึ้นมาได้ จากคุณ : Pod... - [ 13 พ.ค. 51 05:24:50 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 13 พ.ค. 51 06:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมว่าอธิบายว่า พระเจ้าสร้างโลก มันดูเข้าท่ากว่านะครับ เห็นด้วยนะครับ เหมือนอธิบาย - ฟ้าผ่า เกิดจากรามสรูขว้างขวาน - แผ่นดินไหว เกิดจากปลาอานนท์พลิกตัว - สุริยุปราคา จันทรุปราคา เกิดจากราหูอม - ฝนตกเกิดจากนาคให้น้ำ เข้าท่ากว่าเยอะเลยนะครับ เป็นความจริงด้วย โลกเกิดจาก พระพรหม เป็นผู้สร้างนะครับ แล้วแม่น้ำคงคา ก็มากจากพระเกศาของ พระนารายณ์ เขาพิสูจน์แล้วว่าทั้งหมดเป็น ความจริง พระเจ้ามีจริงและมีหลายองค์ พวกที่ว่าพระเจ้ามีองค์เดียว เพราะมันไม่รู้ความจริง จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 06:48:26 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พระพรหม ผุ้สร้างโลกและจักรวาล รวมทั้งกำหนดชะตาชีวิต ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 06:56:16 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ทุกอย่างเกิดจากการ วิวัฒนาการ จากคุณ : วิญญานพเนจร_2 - [ 13 พ.ค. 51 07:47:57 ]

ความคิดเห็นที่ 40 โลกความจริงแล้วไม่มีอะไร....แต่มันดันมีดาวหางที่ใหญ่พอๆกับโลกวิ่งเข้าชน และรวมตัวกัน...จนกลายเป็นโลก และมีสิ่งมีชีวิต จะมีดาวดวงไหนในจักรวาลที่ มีต้นกำเหนิดเหมือโลก จากคุณ : วิญญานพเนจร_2 - [ 13 พ.ค. 51 07:51:25 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ความบังเอิญ อะไรที่มนุษย์ไม่รู้ก็จะถูกจัดว่าเป็นความบังเอิญ มาได้ยังไง? มันบังเอิญ ความบังเอิญของมนุษย์จึงมาจากความไม่รู้หรืออวิชา เมื่อทำลายอวิชาได้ด้วยความเพียรก็จะหมดความสงสัย การอธิบายว่าพระเจ้าสร้างนั้นก็ง่ายดี แต่ไม่เกิดเป็นมรรคผลอะไรขึ้น จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ 13 พ.ค. 51 08:24:15 ]

ความคิดเห็นที่ 42 Science, Evolution, and Creationism จาก the National Academy of Sciences, National Academy of Sciences and Institute of Medicine of the National Academies http://www.nap.edu/catalog/11876.html ดาวน์โหลดฟรี แต่ต้อง sign in ก่อนนะครับ ^^ จากคุณ : Due_n - [ 13 พ.ค. 51 08:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 43 บังเอิญมนุษย์ต่างดาวเลือกโลกเพื่อสร้างมนุษย์ จากคุณ : kekodes - [ 13 พ.ค. 51 08:59:06 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ผมไม่เชื่อครับว่ามีพระผู้สร้าง  ถ้าคุยตามหลักปรัชญาพุทธ แนะนำให้อ่านเรื่องพกพรหม  คนที่อยู่มานานแสนนาน อาจหลงผิดคิดว่าตนเองเป็นผู้สร้างและผู้บันดาล จากคุณ : harvardวิทยาคม - [ 13 พ.ค. 51 09:09:40 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ก็บังเอิญ ก็ได้นี่ครับ สมมติเกิดเหตุการ แบบนี้แต่ไม่ได้เป็นโลก แต่เป็นดาวศุกร์แทน จนมาถึงปัจจุบันสมมติเราอยู่บนดาวศุกร์ มันก็จะมีแบบคุณเจ้าของกระทู้ ดูโดเรมอน(ของดาวศุกร์) แล้วก็มาถามเหมือนเดิมอยู่ดีสรุป ดาวไหนๆก็เหมือนกันแหละ จากคุณ : sariell - [ 13 พ.ค. 51 09:22:25 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ตาม #17 สิ่งหนึ่งที่คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับคือมันประเมินผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่นใช้ในกระบวนการผลิตยา การเข้าใจภาวะดื้อยา และปัญหาของโรคพันธุกรรม ทฤษฏีทางด้่านชีววิืทยาเ้กาะเกี่ยวกันขึ้นมาสร้างประโยชน์เหล่านี้โดยตรง ในขณะที่การกู่ก้องร้องบอกว่า พระเจ้าสร้างๆๆๆ ไม่ได้ช่วยในปัญหาเหล่านั้นเลย จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 13 พ.ค. 51 09:29:55 ]

ความคิดเห็นที่ 47 โลก กับ พระเจ้า ใครเกิดก่อนล่ะ ถ้างั้น จากคุณ : [v] (BONDJUNG_TH) - [ 13 พ.ค. 51 09:34:54 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เกิดจากไอ้แท่งนี้หรือเปล่าครับ จากคุณ : mouse4006 - [ 13 พ.ค. 51 09:45:40 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ตอบ #35 ไม่นี่ครับ ก็เห็นอยู่ชัดเจนในความเห็นข้างบนๆ  ว่าคนที่เชื่ออย่างนั้น ก็ตอบว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเอง ง่ายดี ไม่เห็นจำเป็นต้องอธิบายอะไรมากกว่านั้น ไม่ได้ใช้ความรู้ชีวะ เคมี เสียด้วยซ้ำไป  เชื่อได้เลย โดยเอาแค่หลักการล็อตเตอรี่มาใช้แบบผิดๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 10:04:28 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 09:57:26 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตอบ #37 คุณ .eAT "พวกที่ว่าพระเจ้ามีองค์เดียว เพราะมันไม่รู้ความจริง" Ans. คุณเข้าใจผิดแล้วครับ พวกที่ว่ามีพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงผู้เดียวนั้นถูกต้องครับ ส่วนการเชื่อแบบคุณนั้น เพราะมันไม่รู้ความจริง เห็นได้จากความจริงที่ชัดเจนว่าคุณไม่สามารถใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาโต้แย้งกับนักวิทยาศาสตร์ที่ศรัทธาในพระเจ้าได้ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 10:03:38 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ตอบ #44 "ถ้าคุยตามหลักปรัชญาพุทธ แนะนำให้อ่านเรื่องพกพรหม" Ans. ชัดเจนครับว่า พุทธศาสนา ไม่ได้เป็น ศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์ครับ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 10:09:03 ]

ความคิดเห็นที่ 52 พวกที่บอกว่าพระเจ้ามีองค์เดียว เป็นพวกไร้การศึกษา ไร้ศาสนา ถึงได้คิดอย่างนี้ พระเจ้ามีหลายองค์ หลักฐาน ก็คือคัมภีร์เขียนไว้อย่างชัดเจน คัมภีร์พระเวท ซึ่งมี ๔ เล่มใหญ่ คือ ๑. ฤคเวท  แสดงประวัติของโลก ทั้งเทวโลกและมนุย์โลก  หรือดาวต่างๆ ๒. สามเวท  แสดงศาสตร์ต่างๆ เช่นสังคีตศาสตร์ ๓. ยชุรเวท  แสดงวิธีการบวงสรวงต่างๆ ๔. อาถรรพเวท แสดงการใช้เวทมนต์ คัมภีร์ภควคีตา คัมภีร์อุปนิษัท คัมภีร์มหาภารต คัมภีร์ภควคีตา จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 10:13:10 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เอาอีกและ ผมว่าไปห้องศาสนาดีกว่าไหมครับ จากคุณ : ปากกาสีดำ - [ 13 พ.ค. 51 10:18:05 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ที่ "เรา" อยู่ทุกวันนี้ แล้วเห็นทุกสิ่งทุกอย่างช่างเหมาะเจาะลงตัว และอ่อนไหว , จนคิดว่าไม่น่าจะเป็นความบังเอิญ ก็เพราะว่า ถ้ามี "เรา" เป็นผู้ดู เกิดขึ้น หมายความว่า ความบังเอิญพวกนั้น ต้องเกิดขึ้นมาก่อน นั่นแปลว่า "เรา" ไม่มีทางเห็นจักรวาลที่มั่วซั่ว ค่าคงตัวต่างๆที่สะเปะสะปะ ได้เลย ดังนั้น ไม่สำคัญว่าความบังเอิญนั้นจะมีความน่าจะเป็นน้อยขนาดไหน (ต่อให้น้อยกว่าการที่ทอนาโด พัดผ่านกองเศษเหล็กกองนึง แล้วพายุสงบลงก็ได้ โบอิ้ง 747 เกิดขึ้นมาก็ได้) เพราะความน่าจะเป็นอันน้อยนิดนั้น ถึงจะใช้เวลายาวนานชั่วกัปกัล เพื่อให้มีเหตุบังเอิญนั้นเกิดได้ซักครั้งหนึ่ง , แต่เวลายาวนานชั่วกัปกัล ที่ไม่มี "เรา" หรือ ตัวตนใดๆ เป็นผู้ดูอยู่เลย เวลายาวนานชั่วกัปกัลนั้น ก็เสมือนกับไม่มีอยู่ "สรรพสิ่งมีอยู่บนการรับรู้ ถ้าไม่มีการรับรู้ สรรพสิ่งต่างๆก็เหมือนไม่มีอยู่" ถ้าไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานนี้ ก็คงพูดกันยากครับ ปล. อุ้ย ขาประจำมาล่ะ ไปดีกว่า :E จากคุณ : Detonator_Pao_ - [ 13 พ.ค. 51 10:19:30 ]

ความคิดเห็นที่ 55 คนที่เรียกว่านักวิทยาศาสตร์ ที่ฟันธงและคิดว่าพระเจ้าคือ Personal God คือคนเขลา ยังมีนัยยะอะไรอยู่ในนั้นอีกมากมายสำหรับคำว่า "พระเจ้า" จากคุณ : DJC - [ 13 พ.ค. 51 10:19:40 ]

ความคิดเห็นที่ 56 โฉมหน้า พระผู้เป็นเจ้า ที่แท้จริง พระตรีมูรติ คือ อวตารรวมของพระเป็นเจ้าทั้งสามองค์อันได้แก่ พระพรหม(ผู้สร้าง) พระนารายณ์(ผู้ปกป้องรักษา) และ พระอิศวร(ผู้ทำลาย) ใครที่บอกว่า พระเจ้า คือ พระบิดา พระจิต พระบุตร คนผู้นั้นเป็นพวกเดรถีย์นอกศาสนา จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 10:21:32 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ตอบ #46 "ตาม #17 สิ่งหนึ่งที่คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับคือมันประเมินผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่นใช้ในกระบวนการผลิตยา การเข้าใจภาวะดื้อยา และปัญหาของโรคพันธุกรรม" Ans. นี่เป็นกลไกการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติครับ กลไกนี้ทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น"เปลี่ยนแปลงได้บ้างในขอบเขตจำกัด" เพื่อเป็นการปรับตัว(แบบมี "ขีดจำกัด") แต่สิ่งมีชีวิตนั้นก็ยังเป็นชนิดเดิมนะครับ แบคทีเรียก็ยังเป็นแบคทีเรีย "ไม่ใช่วิวัฒนาการ"ในลักษณะที่คนทั่วไปเชื่อกัน แบคทีเรียไม่ได้กลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น  ดังนั้น อย่าเอามาเรื่องนี้มาอ้างแบบผิดๆ ว่าเป็นวิวัฒนาการที่ทำให้แบคทีเรียกลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้ครับ การอ้างแบบนั้นเป็นเพียงความเชื่อของผู้นั้นเท่านั้นเองครับ "ทฤษฏีทางด้่านชีววิืทยาเ้กาะเกี่ยวกันขึ้นมาสร้างประโยชน์เหล่านี้โดยตรง ในขณะที่การกู่ก้องร้องบอกว่า พระเจ้าสร้างๆๆๆ ไม่ได้ช่วยในปัญหาเหล่านั้นเลย" Ans. ผิดแบบเชยๆ อีกแล้วครับ อ่านที่ผมตอบข้างบนนะครับ กลไกนั้นไม่ใช่วิวัฒนาการจากแบคทีเรียไปเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ศรัทธาในพระเจ้าก็ศึกษากลไกทางชีววิทยานี้แหละครับ เพราะไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับเรื่องพระเจ้า  และนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ก็วิจัยสิ่งที่เป็นประโยชน์ขึ้นมามากมายครับ  ส่วนตัวคุณเองที่กู่ก้องร้องบอกว่า มันเกิดขึ้นมาเองๆๆๆๆ ?????  ไม่ได้ช่วยในปัญหาเหล่านั้นเลย จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 10:25:07 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เท่าที่ทราบตอนนี้ นักนิยมวิวัฒนาการท่านหนึ่ง เปลี่ยนใจยอมรับเรื่องการสร้างแล้ว ถึงกับมาโพสรูปพระผู้สร้าง ที่ตัวเขาเคารพบูชาอย่างสุดใจด้วย จากคุณ : ksk - [ 13 พ.ค. 51 10:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 59 กระทู้นี้อ่านตอนแรกก็เหมือนจะดีนะ แต่ลงท้ายเหมือนทุกกระทู้เจ้าของกระทู้ถูกเสมอ จากคุณ : zeros - [ 13 พ.ค. 51 10:33:50 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ตอบ #52 คุณ .eAT ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณจะเขียนมั่วๆ ออกมายังไงก็ได้ คนอ่านเขาเห็นอยู่แล้วจากสาระความรู้ในความคิดเห็น ว่าใครมีความรู้มากกว่ากัน       ดังนั้น คนอ่านเขาก็เข้าใจได้ไม่ยาก ว่าคุณนั้นเองที่เป็นผู้เขลาอย่างแท้จริงครับ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 10:34:36 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ตอบ #54 ดีครับ ดังนั้น ชัดเจนว่าในห้องนี้มีความเชื่ออยู่ 2 แบบ คือ 1. เชื่อในพระเจ้าผู้สร้างจักรวาล 2. เชื่อว่า การที่ทอนาโด พัดผ่านกองเศษเหล็กกองนึง แล้วพายุสงบลงก็ได้ โบอิ้ง 747 เกิดขึ้นมาก็ได้  (ซึ่งนักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไป ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้) จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 10:42:27 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขำนะ ไม่ชอบให้ใครดูหมิ่นพระเจ้าของตัวเอง แต่ดันไปดูหมิ่นพระเจ้าของผู้อื่นว่าเป็นตัวปลอม ของตัวเองสิของจริงเพียงองค์เดียว ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง ถ้าใครเล่น torrent ลองไปหา Scientific American เดือน may ดูครับ มีลงตั้งสองเรื่อง - Regulating Evolution - The Genesis of Planets จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 10:43:52 ]

ความคิดเห็นที่ 63 A Beneficial Loss The three-spined stickleback offers another vivid example of adaptation through the evolution of a generegulating enhancer sequence. These fish take one of two forms, depending on where they live and therefore which predator threatens them most: deep-water sticklebacks have a prominent spiny pelvic fin on their underside, which makes them more difficult for larger fish to swallow; shallow-water sticklebacks have lost the pelvic fin, making it harder for bottom-dwelling insect larvae that feed on the young fish to attach themselves. จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 10:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ตอบ #55 "คนที่เรียกว่านักวิทยาศาสตร์ ที่ฟันธงและคิดว่าพระเจ้าคือ Personal God คือคนเขลา ยังมีนัยยะอะไรอยู่ในนั้นอีกมากมายสำหรับคำว่า "พระเจ้า"  " Ans. ความคิดแบบคุณนั้นเป็นเพียงความเขลาแบบหนึ่งเท่านั้น เป็นความเขลาแบบที่เรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะถึงแม้ว่าคุณจะอ่านหนังสือมาเยอะมาก แต่กลับตีโจทย์ไม่แตก และสรุปอะไรออกมาไม่ได้   แต่คุณก็กลับไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองนั่นแหละที่ถึงแม้จะอ่านหนังสือมาเยอะแต่กลับวิเคราะห์เนื้อหาไม่เป็น แล้วก็ดันมาต่อว่าผู้อื่นเฉยเลย เฮ้อ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 11:13:09 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ...เข้ามาดูมนุษย์โลก.... จากคุณ : peko6681 - [ 13 พ.ค. 51 11:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตอบ #62 คุณ .eAT "ขำนะ ไม่ชอบให้ใครดูหมิ่นพระเจ้าของตัวเอง แต่ดันไปดูหมิ่นพระเจ้าของผู้อื่นว่าเป็นตัวปลอม ของตัวเองสิของจริงเพียงองค์เดียว ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง" Ans.  55555 ขำจริงๆ ด้วยครับ  ทำไมคุณถึงว่าตัวเองอย่างนั้นล่ะครับ อิอิ  ;)     ไปดูหลักฐานข้างบนเลยนะครับ ตัวคุณเองเลยครับที่ทำอย่างนั้น (ทำเป็นคนแรกซะด้วย)  55555 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 11:18:46 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ตอบ #63 เอาวิวัฒนาการแบบ"ลด"อวัยวะมาเป็นหลักฐานซะงั้น   ทั้งๆ ที่ความเชื่อวิวัฒนาการของคุณนั้น อาศัยความเชื่อที่ว่ามันเพิ่มอวัยวะที่ซับซ้อนได้เอง แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 11:41:28 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 11:28:06 ]

ความคิดเห็นที่ 68 . . . ปลง..... . . . จากคุณ : AbsolutelyTop - [ 13 พ.ค. 51 11:31:20 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เอาวิวัฒนาการแบบ"ลด"อวัยวะมาเป็นหลักฐานซะงั้น   ทั้งๆ ที่ความเชื่อวิวัฒนาการของคุณนั้น อาศัยความเชื่อที่ว่ามันเพิ่มอวัยวะที่ซับซ้อนได้เอง จากคุณ : PureTruth ------------ ช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทฤษฎีนี้เลย ขอแหล่งอ้างอิงหน่อยว่ามัน มีตรงไหนในทฤษฏีที่กว่าว่า ทิศทางวิวัฒนาการเป็นแค่การเพิ่มความซับซ้อน!!! จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 11:44:29 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ^ ^ คุณก็ยังเข้าใจผิดอยู่ดี ผมไม่ได้บอกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการมันพูดถึงแค่ส่วนนั้นส่วนเดียว แต่ผมบอกว่าหลักฐานที่คุณยกมา มันเอามาใช้อ้างกับอีกส่วนหนึ่งไม่ได้ พอจะเข้าใจไหมครับ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 11:50:58 ]

ความคิดเห็นที่ 71 http://mulinet6.li.mahidol.ac.th/cd-rom/cd-rom0309t/chapter/chapter2.htm ดาร์วินและวอลเลซเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตมีความหลากหลายตามธรรมชาติ และปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น ปริมาณอาหาร และน้ำที่จำกัด ทำให้สิ่งมีชีวิตตัวที่เหมาะสมเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่รอด และถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมนั้นไปสู่ลูกหลาน ดาร์วินเรียกกระบวนการที่ทำให้เกิดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตนี้ว่า “ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ”หนังสือของดาร์วินไม่ได้เป็นหนังสือเล่มแรกที่พยายามอธิบายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และแนวความคิดเรื่องการคัดเลือกตามธรรมชาติของดาร์วินก็มีนักคิดคนอื่นให้ความเห็นไว้ในทำนองเดียวกัน แต่หนังสือและทฤษฎีของดาร์วินเป็นที่น่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะดาร์วินสามารถอธิบายกระบวนการวิวัฒนาการได้อย่างชัดเจน ด้วยตัวอย่างสิ่งมีชีวิตจากการเก็บสะสมของเขา ทฤษฎีของดาร์วินขัดกันอย่างสิ้นเชิงกับแนวคิดทางศาสนา เพราะดาร์วินแสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษ และนำไปสู่ความคิดที่ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เองก็ไม่ได้มีหน้าตาอย่างที่เห็นในปัจจุบันมาตั้งแต่แรกเริ่ม ------------- เป็นไปเพื่อ "ความเหมาะสม" ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความซับซ้อน จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 11:51:23 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ^ ^ แต่อย่าลืมว่ามันก็ต้องซับซ้อนขึ้นด้วย ถ้าคุณอาศัยความเชื่อว่าจะเปลี่ยนจากแบคทีเรียมาเป็นสัตว์ต่างๆ ได้ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 12:17:17 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ปูเสื่อ จากคุณ : xnone - [ 13 พ.ค. 51 12:29:25 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ถ้าคุณเลือกเม็ดสีแดง คุณก็จะได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น และไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ ถ้าคุณเลือกเม็ดสีฟ้า คุณจะกลับไปสู่โลกของคุณ ที่ซึ่งคุณจะต้องตั้งคำถามอยู่ไม่รู้จบว่า มันคืออะไร แต่ขอบอกไว้นิดส นะว่า สิ่งที่ผมพูดนั้นไม่เกินเลย.... จากคุณ : kiamour - [ 13 พ.ค. 51 12:36:04 ]

ความคิดเห็นที่ 76 มาปูทำไม อ่านกระทู้นี้ไปก่อน http://forum.serithai.net/index.php?topic=15839.0 จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 12:38:48 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เข้ามาอ่าน จากคุณ : ก่อนเมาเรือชิงเมาเหล้า - [ 13 พ.ค. 51 12:45:58 ]

ความคิดเห็นที่ 79 กลับมาอีกที rep พุ่งพรวดเลย ด้วยความเห็นสีด่างทับทิม รู้สึกเดจาวู๊ เดจาวูครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 13 พ.ค. 51 12:49:13 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ตอบ #75, #77 อย่างนั้นเรียกว่า มีพระเจ้าครับ   ถ้าคุณจะใช้คำว่าบังเอิญมาเชื่อมโยง ก็แล้วแต่ครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 12:53:22 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 12:49:56 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เรียนคุณ Last Vodka ครับ สิ่งที่คุณพูดมาใน คคห 77 อาจพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า เรื่องความบังเอิญก็ต้องอาศัยความเชื่ออยู่ดี เพราะเราทุกคน ณ วันนี้ ไม่มีสักคนเดียวที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้น ดังนั้น หากจะอ้างหลักฐาน หรือทฤษฎี หรือใดๆก็ตาม เมื่อนำมาพิจารณา ก็ต้องจบลงที่ความเชื่ออยู่ดีครับ ว่าจะเชื่อในหลักฐาน หลักการ หรือทฤษฎีเหล่านั้นหรือไม่ จากคุณ : ksk - [ 13 พ.ค. 51 13:01:54 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ยังไงซะก็จะจบที่ความบังเอิญอยู่ดี ว่าพระเจ้านั้นมาจากไหน เกิดเมื่อไหร่ เกิดพร้อมกับจักรวาลหรือ จักรวาลสร้างพระเจ้ามาทำไม สร้างมาให้พระเจ้าสร้างโลกเหรอ แล้วสร้างโลกให้มันได้อะไรล่ะ เพื่ออะไร เพื่อให้มนุษย์เรียนรู้เหรอ จะเรียนรู้ไปทำไมล่ะ บลาๆๆๆ แล้วจักรวาลเริ่มเมื่อไหร่ มีเหตุผลในตัวหรือไม่ว่ามีจักรวาลเพื่ออะไร แล้วสิ่งที่จักรวาลมีขึ้นเพื่อมันนั้นคืออะไร เหตุผลของสิ่งที่จักรวาลมีขึ้นเพื่อมันนั้นเพื่ออะไร ต่อๆๆๆๆ ไปอีก การใช้แนวคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ไม่ควรนำไปใช้นะครับ เพราะเหมือนกับ การบอกออกมาว่า เราจะศึกษาหาความรู้กันไปทำไม ในเมื่อมันไม่มีที่สิ้นสุด เรียนจบมัธยม ก็ยังมี ป.ตรี ให้เรียนอีก เรียนจบ ป.ตรี ก็ยังมี ป.โท ให้เรียนอีก เรียนจบป.โท ก็ยังมีป.เอกให้เรียนอีก เรียนจบ ป.เอก ก็ยังไม่เห็นจะรู้เรื่องครอบคลุมทุกอย่างเลย ยังต้องทำวิจัยกันต่อไปอีก.. บลา บลา บลา จากคุณ : ksk - [ 13 พ.ค. 51 13:08:20 ]

ความคิดเห็นที่ 83 คือว่า อย่างนี้นะครับ เมื่อนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ ทั้งหลาย ต่างก็นับถือพระเจ้ากันเยอะ ก็ช่วยกันพิสูจน์มาหน่อยมา พระเจ้ามีจริง หรือไม่ ถ้ายังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจน จะมาเถียงกันทำไม ให้เสียเวลาเสียอารมณ์ ถ้าท่านเหล่านั้น พิสูจน์มาได้ว่า มีจริง ผมก็ว่าดี มีจริงก็ดี ถ้าท่านเหล่านั้น พิสูจน์มาได้ว่า ไม่มีจริง ผมก็ว่าดี ไม่มีจริงก็ดี ถ้าท่านเหล่านั้น สรุปมาว่า เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ผมก็ว่าดี ไม่มีจริงก็ดี ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็ดี จะได้ ไม่ต้องมาถามหาการพิสูจน์ ยืนยันกัน ถ้าท่านเหล่านั้น สรุปมาว่า เป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ยังต้องรอต่อไป ผมก็ว่าดี ก็ยังต้องรอต่อไป (ที่อ้างอิงอย่างนี้ เพราะท่านเหล่านั้น มีความสามารถในการพิสูจน์หลักฐานอ้างอิงได้ดีกว่าผม แต่ถ้าพูดถึงความสามารถในการเชื่อ ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะดีกว่ากัน ) แต่ในเมื่อ หลักฐาน ข้อเท็จจริง ยังไม่ปรากฎแน่ชัด ต่างคน ก็ต่างเชื่อกันไป ต่างคนก็ต่างมีสิทธิ ที่จะคิด จะเชื่อแตกต่างกันไป เมื่อถึงเวลา พระเจ้าของคุณ คงจะนำให้หลายๆคนในที่นี้ เชื่อได้เอง ในเมื่อ คุณ ที่เป็นสาวก ของพระเจ้า มีความรู้ ความเข้าใจ สาระ กระบวนการพิสูจน์ ได้ดี ก็แนะนำ เพื่อนๆร่วมโลก เพื่อนๆร่วมกระทู้ ด้วยความเมตตา พยายามอย่าใช้อารมณ์ใส่กัน พระเจ้าของคุณก็คงจะต้องการ ให้มิตรภาพ มายังสู่คุณและเพื่อนๆ ที่ผมมาโพสนี่ คงจะไม่ได้บังเอิญ แต่จะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่ ก็ตาม อยากจะบอกว่า ผมไม่เชื่อในเรื่อง พระเจ้าของคุณ และผมก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อ ถ้าจะบอกว่า การไม่เชื่อในสิ่งที่คุณเชื่ออยู่ เป็นการลบหลู่ ผมก็คงจะลบหลู่คุณอยู่ ซึ่งคุณซึ่งไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเชื่ออยู่ ก็คงจะเป็นการลบหลู่อยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมหรือคุณ จะเชื่ออย่างไรนเรื่องนี้ เป็นสิทธิของแต่ละบุคคลไป จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day - [ 13 พ.ค. 51 14:03:42 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ^ ^ คุณ aLITTLEspaceAround7day เขียนได้ดีมากครับ ขอคารวะ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ อยากจะเรียนเชิญทุกท่านอ่านความเห็น #83 นี้อย่างตั้งใจ แล้วถ้าปฏิบัติได้ตามนั้นก็จะดีมากครับ (ผมหมายถึงตัวผมเองด้วย)  ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอความร่วมมือจากทุกท่านในการแสดงความคิดเห็น โดยกรุณาอย่าเป็นผู้เริ่มต้นเขียนดูหมิ่น โจมตี เหน็บแนม เยาะเย้ย ถากถางฝ่ายตรงข้ามครับ ขอบคุณมากครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 14:14:30 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 14:13:23 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ปัญหาอย่างหนึ่งของความจริงทางวิทยาศาสตร์คือ มีคนน้อยมากที่มีศักยภาพที่จะเข้าใจ การพิสูจน์ทฤษฏีบทสุดท้ายของแฟร์มา คน 99% ของโลกไม่รู้เรื่อง เช่นเดียวกับการพิสูจน์ทฤษฏีสัมพัทธภาพ อย่างไรก็แล้วแต่ คนทั่้วๆไปไม่มีปัญหากับอย่างแรก เพราะไม่ได้ขัีดกับ Dogma และไม่มีปัญหากับอย่างหลัง เพราะปรมาณูมันยันให้เห็นอยู่ทนโท่ แต่กับสิ่งที่เป็นนามธรรมในความเข้าใจของคนทั่วๆไปแล้ว เป็นเรื่องน่าเศร้าที่แม้นักวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ยืนยัน จนถึงพยากรณ์ทฤษฏีนั้นจนยกระดับเป็นกฏได้ หากมันขัดกับ Dogma ที่เขายึดถือแล้วไซร้ อธิบายไปก็เท่านั้น เขาไม่เห็นหลักฐานที่เขาอยากจะเห็น เพราะมันไม่มี และถึงมี เขาก็จะอ้างว่าไม่ใช่ เขาไม่รับรู้บทพิสูจน์ที่ค้นคว้ามาด้วยความเหนื่อยยาก เพราะขัดกับสามัญสำนึกของเขา และเขาอ่านไม่เข้าใจ เขาไม่รับรู้ประโยชน์อันพึงมีของทฤษฏีนั้น เพราะเขาจะมองแบบแยกส่วน ว่าตรงนั้นมันถูก แต่โดยรวมมันผิด ผมเคยยกแนวคิด infinite monkey theorem ไปโำพสต์ในห้องศาสนา มีคนตอบผมกลับมาว่า ลิงอายุเป็นอนันต์นั้นมีที่ไหน คำตอบนี้บอกผมหลายอย่าง มันบอกผมว่า 1. ถ้าคนๆนั้นเข้าใจที่ผมสื่อ แล้วตอบแบบนี้ แปลว่าเขาไม่สามารถหาคำค้านในตัวทฤษฏีที่สมเหตุสมผลได้ แต่ยังอยากจะค้าน หรือ 2. ผมกำลังคุยกับคนโง่สุดขั้ว แบบไม่คุ้มค่าเสียเวลา ผมคิดว่าสองประโยคนี้เป็นจริง “Persistency is a fool's best asset” “A wise man changes his mind, a fool never” จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 13 พ.ค. 51 14:27:25 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ก่อนที่จะไปไกล อยากถามเรื่อง ทฤษฎี "พระเจ้าสร้าง" คำนิยาม 1. พระเจ้าคือ 2. สร้างอย่างไร 3. สร้างตอนไหน 4. ทฤษฎีกล่าวไว้ว่าอะไรบ้าง 5. หลักฐานมีอะไรบ้าง 6. แล้วทำซ้ำได้ไหม จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 14:35:25 ]

ความคิดเห็นที่ 87 (ขออนุญาตอ้าง) คุณ Argos เคยตั้งกระทู้ถามสั้นๆว่า สำหรับ creationist แล้ว หลักฐานใดที่จะทำให้สรุปได้ว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นจริง คำตอบในกระืูทู้นั้นอาจแยกได้เป็นสองกลุ่มหลักๆ 1. ไม่มี ทฤษฏีทรงสร้างถูกต้องในทุกกรณี 2. ไม่ตอบ แถไปว่าตอบไปแล้วหรืออะไรอีกล้านแปด ในกรณีแรก แสดงให้เห็นถึงศรัทธาแรงกล้าเหนือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทุกประเภท กับคนกลุ่มนี้ การพิสูจน์ได้หรือไม่ของวงการวิทยาศาสตร์ไม่มีผลใดๆเลย วันใดพิสูจน์ได้ เขาจะหลอกตัวเองว่า "ยังพิสูจน์ไม่ไ้ด้" ในกรณีที่สอง น่าเศร้ายิ่งกว่า การที่ไม่กล้าออกมาระบุชัดๆแบบกลุ่มแรก แต่ก็ไม่กล้าให้คำตอบที่ชัดเจน สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวว่า หากหลักฐานนั้นๆมีอยู่จริง รากฐานความเชื่อของตนจะโดนทำลาย ผมสรุปได้ว่า การพิืสูจน์ได้ว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นจริงหรือไม่ หรือพระเจ้าเป็นจริงหรือไม่ ไม่สามารถเปลี่ยนใจผู้ศรัทธาอย่างมั่นคงได้ (ข้อนี้เป็นจริงในทางตรงข้ามด้วย แม้พิสูจน์ได้ว่าพระเจ้ามีจริง ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งปฏิเสธ- แต่ผมมั่นใจว่า นักวิทยาศาสตร์จะกลายเป็นผู้ศรัทธากลุ่มแรกๆหรือไม่ก็กบฏไปเลย เพราะสำหรับคนกลุ่มนี้ หลักฐานและการพิสูจน์คือทุกอย่าง - การคิดไปเอง ไม่มีค่า และ = เพ้อเจ้อ) จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 13 พ.ค. 51 14:37:42 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ข้อเสียของบางคนที่คุณ house (panote_saechiew) พยายามอธิบายไว้ใน #85  มันตรงกับคุณ house (panote_saechiew) เลยนะครับ เพราะเป็นเรื่องน่าเศร้าที่แม้ว่าอีกฝ่ายจะเอาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาโต้แย้ง แต่หากมันขัดกับ Dogma ที่คุณ house ยึดถือแล้วไซร้ อธิบายไปก็เท่านั้น ตัวอย่างก็มีอยู่เพียบในกระทู้อื่นๆ ก่อนหน้านี้ครับ (กระทู้ที่เกี่ยวกับเรื่องการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตต่างๆ)   คุณ house ไม่เห็นหลักฐานที่เขาอยากจะเห็น เพราะมันไม่มี และถึงมี เขาก็จะอ้างว่าไม่ใช่ เขาไม่รับรู้บทพิสูจน์ที่ค้นคว้ามาด้วยความเหนื่อยยาก เพราะขัดกับสามัญสำนึกของเขา และเขาอ่านไม่เข้าใจ เขาไม่รับรู้ประโยชน์อันพึงมีของทฤษฏีนั้น เพราะเขาจะมองแบบแยกส่วน ว่าตรงนั้นมันถูก แต่โดยรวมมันผิด จากกระทู้อื่นๆ ก่อนหน้านี้ (ในประเด็นที่ถกเถียงกันนี้) คุณ house ไม่เคยยอมรับฟังข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องของฝ่ายตรงข้ามเลยครับ ดังนั้น ผมคิดว่าสองประโยคนี้เป็นจริงตามที่คุณ house พูดไว้ครับ Persistency is a fool's best asset A wise man changes his mind, a fool never. จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 15:01:24 ]

ความคิดเห็นที่ 90 แสดงว่าคุณ Last vodka ยังไม่รู้ว่าเรื่องพระเจ้ามีประโยชน์ต่างหากครับ จากคุณ : ksk - [ 13 พ.ค. 51 15:04:48 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ตอบคุณ house #87 ผมไม่ทราบว่าคุณหมายถึงกระทู้ไหน แต่ที่แน่ๆ ถ้าเจอคนที่รู้วิทยาศาสตร์ดีๆ เขาจะไม่ตอบอย่างนั้นแน่ครับ    ดังนั้น สิ่งที่คุณอธิบายทั้งหมดใน #87 มันใช้ไม่ได้กับนักวิทยาศาสตร์ creationist ที่มีความรู้ทางชีววิทยานะครับ "หลักฐานใดที่จะทำให้สรุปได้ว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นจริง" Ans. กลไกทางธรรมชาติที่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับสูงได้จริง เช่น เปลี่ยนข้ามระดับ Family ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นต้น แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 15:21:11 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 15:19:14 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 15:16:05 ]

ความคิดเห็นที่ 92 กลับมาอีกที rep พุ่งพรวดเลย ด้วยความเห็นสีด่างทับทิม รู้สึกเดจาวู๊ เดจาวูครับ จากคุณ : Cryptomnesia ยังครับ ยังมากันไม่ครบ ยังรอกระทู้เรียกร้องขอดูเปเปอร์ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature และต่วยตูนอยู่ครับ จากคุณ : ksk - [ 13 พ.ค. 51 15:29:27 ]

ความคิดเห็นที่ 93 เจ้าของกระทู้ไปไหน ยังรอ ทฤษฎี "พระเจ้าสร้างอยู่" รออยู่ก็เอาบทความมาลง -------------------- The Genesis of Planets Scientific American , May 2008 Although they are, in cosmic terms, mere scraps—insignificant to the grand narrative of heavenly expansion— planets are the most diverse and intricate class of object in the universe. No other celestial bodies support such a complex interplay of astronomical, geologic, and chemical and biological processes. No other places in the cosmos could support life as we know it. The worlds of our solar system come in a tremendous variety, and even they hardly prepared us for the discoveries of the past decade, during which astronomers have found more than 200 planets. The sheer diversity of these bodies’ masses, sizes, compositions and orbits challenges those of us trying to fathom their origins. When I was in graduate school in the 1970s, we tended to think of planet formation as a well-ordered, deterministic process—an assembly line that turns amorphous disks of gas and dust into copies of our solar system. Now we are realizing that the process is chaotic, with distinct outcomes for each system. The worlds that emerge are the survivors of a hurly-burly of competing mechanisms of creation and destruction. Many are blasted apart, fed into the fires of their system’s newborn star or ejected into interstellar space. Our own Earth may have long-lost siblings that wander through the lightless void. The study of planet formation lies at the intersection of astrophysics, planetary science, statistical mechanics and nonlinear dynamics. Broadly speaking, planetary scientists have developed two leading theories. The sequentialaccretion scenario holds that tiny grains of dust clump together to create solid nuggets of rock, which either draw in huge amounts of gas, becoming gas giants such as Jupiter, or do not, becoming rocky planets such as Earth. The main drawback of this scenario is that it is a slow process and that gas may disperse before it can run to completion. The alternative, gravitational-instability scenario holds that gas giants take shape in an abrupt whoosh as the prenatal disk of gas and dust breaks up—a process that replicates, in miniature, the formation of stars. This hypothesis remains contentious because it assumes the existence of highly unstable conditions, which may not be attainable. Moreover, astronomers have found that the heaviest planets and the lightest stars are separated by a “desert”—a scarcity of intermediate bodies. The disjunction implies that planets are not simply little stars but have an entirely different origin. Although researchers have not settled this controversy, most consider the sequential-accretion scenario the most plausible of the two. I will focus on it here. 1. An Interstellar Cloud Collapses Time: 0 (starting point of planet formation sequence) Our solar system belongs to a galaxy of some 100 billion stars threaded with clouds of gas and dust, much of it the debris of previous generations of stars. “Dust” in this context simply means microscopic bits of water ice, iron and other solid substances that condensed in the cool outer layers of stars and were blown out into interstellar space. When clouds are sufficiently cold and dense, they can collapse under the force of gravity to form clusters of stars, a process that takes 100,000 to a few million years [see “Fountains of Youth: Early Days in the Life of a Star,” by Thomas P. Ray; Scientific American, August 2000]. Surrounding each star is a rotating disk of leftover material, the wherewithal for making planets. Newly formed disks contain mostly hydrogen and helium gas. In their hot and dense inner regions, dust grains are vaporized; in the cool and tenuous outer parts, the dust particles survive and grow as vapor condenses onto them. Astronomers have discovered many young stars that are surrounded by such disks. Stars between one million and three million years old have gas-rich disks, whereas those older than 10 million years have meager, gas-poor disks, the gas having been blown away by the newborn star or by bright neighboring stars. This span of time delineates the epoch of planet formation. The mass of heavy elements in these disks is roughly comparable to the mass of heavy elements in the planets of the solar system, providing a strong clue that the planets indeed arose from such disks. Ending point: Newborn star surrounded by gas and micron-size dust grains จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 15:45:26 ]

ความคิดเห็นที่ 94 2. The Disk Sorts Itself Out Time: About 1 million years Dust grains in the protoplanetary disk are stirred by nearby gas and collide with one another, sometimes sticking together, sometimes breaking apart. The grains intercept starlight and reemit lower-wavelength infrared light, ensuring that heat reaches even the darkest regions of the disk’s interior. The temperature, density and pressure of gas generally decrease with distance from the star. Because of the balance of pressure, rotation and gravity, gas orbits the star slightly slower than an independent body at the same distance would. Consequently, dust grains larger than a few millimeters in size tend to outpace the gas, thereby running into a headwind that slows them down and causes them to spiral inward, toward the star. The bigger the grains grow, the faster they spiral. Chunks a meter in size can halve their distance from the star within 1,000 years. As they approach the star, the grains warm up, and eventually water and other low-boilingpoint substances, known as volatiles, boil off. The distance at which this happens, the “snow line,” lies between 2 and 4 AU (astronomical units) from the star, which in our solar system falls between the orbits of Mars and Jupiter. (The radius of Earth’s orbit is 1 AU.) The snow line divides the planetary system into an inner, volatilepoor region filled with rocky bodies and an outer, volatile-rich region filled with icy ones. At the snow line itself, water molecules tend to accumulate as they boil off grains. This buildup of water triggers a cascade of effects. It produces a discontinuity in gas properties at the snow line, which leads to a pressure drop there. The balance of forces causes the gas to speed up its revolution around the central star. Consequently, grains in the vicinity feel not a headwind but a tailwind, which boosts their velocity and halts their inward migration. As grains continue to arrive from the outer parts of the disk, they pile up at the snow line. In effect, the snow line becomes a snowbank. Crammed together, the grains collide and grow. Some break through the snow line and continue to migrate inward, but in the process they become coated with slush and complex molecules, which makes them stickier. Some regions are so thick with dust that the grains’ collective gravitational attraction also accelerates their growth. In these ways, the dust grains pack themselves into kilometer-size bodies called planetesimals. By the end of the stage of planet formathe tion, planetesimals have swept up almost all the original dust. Planetesimals are hard to see directly, but astronomers can infer their presence from the debris of their collisions [see “The Hidden Members of Planetary Systems,” by David Ardila; Scientific American, April 2004]. Ending point: Swarms of kilometer-size building blocks known as planetesimals จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 15:50:00 ]

ความคิดเห็นที่ 95 3. Planetary Embryos Germinate Time: 1 million to 10 million years The cratered landscapes on Mercury, the moon and the asteroids leave little doubt that nascent planetary systems are shooting galleries. Collisions between planetesimals either build them up or break them apart. A balance between coagulation and fragmentation leads to a distri- bution of sizes in which small bodies account for most of the surface area in the emerging system and large bodies account for most of its mass. The orbits may initially be elliptical, but over time, gas drag and collisions tend to make the paths around the star circular. In the beginning the growth of a body is selfreinforcing. The larger a planetesimal becomes, the stronger the gravity it exerts, and the faster it sweeps up its less massive partners. When they attain masses comparable to our moon, however, bodies exert such strong gravity that they stir up surrounding solid material and divert most of it before they can collide with it. In this way, they limit their own growth. Thus, an “oligarchy” arises—that is, a population of planetary embryos with similar masses that compete with one another for the residual planetesimals. Each embryo’s feeding zone is a narrow band centered on its orbit. Its growth stalls once it acquires most of the residual planetesimals in the zone. By simple geometry, the size of the zone and the duration of feeding grow with distance from the star. At a distance of 1 AU, embryos plateau at about 0.1 Earth mass within 100,000 years. Out at 5 AU, they reach four Earth masses over a few million years. Embryos can grow even bigger near the snow line or on the edges of gaps in the disk, where planetesimals also tend to accumulate. Oligarchic growth fills the system with a surplus of aspiring planets, only some of which will make it. The planets in our solar system may seem widely spaced, but they are as close together as they can be. Inserting another Earth-mass planet in the present-day space between the terrestrial planets would destabilize them all. The same is true of other known systems. If you come across a cup of coffee that is filled to the very rim, you can reasonably conclude that someone actually overfilled it and spilled some coffee; filling it exactly, without wasting a drop, seems unlikely. Similarly, planetary systems probably start with more material than they end up with. Bodies are ejected until the system reaches an equilibrium configuration. Astronomers have observed freely floating planets in young stellar clusters. Ending point: “Oligarchy” of moon- to Earth-mass planetary embryos ------------- รูปย้อนกลับไปดูที่ #62 จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 15:52:14 ]

ความคิดเห็นที่ 96 5. The Gas Giant Gets Restless Time: 1 million to 3 million years Oddly, many of the extrasolar planets discovered over the past decade orbit very close to their star, much closer than Mercury orbits the sun. These so-called hot Jupiters could not have formed in their current positions, if only because the orbital feeding zones are too small to provide enough material. Their presence appears to require a three-part sequence of events that for some reason did not occur in our own solar system. First, a gas giant must form within the inner part of the planetary system, near the snow line, while the disk still has a considerable amount of gas. That requires a dense concentration of solid material in the disk. Second, the giant planet must move to its present position. Type I migration cannot bring that about because it operates on embryos before they build up much gas. Instead type II migration must take place. The emerging giant planet opens a gap in the disk and suppresses the flow of gas across its orbit. In so doing, it must fight the tendency of turbulent gas in adjacent regions of the disk to spread. Gas never stops oozing into the gap, and its diffusion toward the central star forces the planet to lose orbital energy. This process is relatively slow, taking a few million years to shift a planet a few astronomical units, which is why the planet must start in the inner solar system if it is to end up hugging the star. As it and other planets migrate inward, they push along any residual planetesimals and embryos ahead of their paths, perhaps creating “hot Earths” in tight orbits. Third, something must halt migration before the planet falls all the way into the star. The stellar magnetic field might clear gas from a cavity immediately around the star; without gas, migration ceases. Alternatively, perhaps the planet raises tides on the star, and the star, in turn, torques the planet’s orbit. These safeguards may not operate in all systems, and many planets may well fall all the way in. Ending point: Tightly orbiting giant planet (“hot Jupiter”) จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 17:07:02 ]

ความคิดเห็นที่ 97 6. Other Giant Planets Join the Family Time: 2 million to 10 million years If one gas giant manages to arise, it facilitates the formation of subsequent gas giants. Many, perhaps most, known giant planets have siblings of comparable mass. In our solar system, Jupiter helped Saturn to emerge much faster than it would have by itself. It also lent a helping hand to Uranus and Neptune, without which they might never have grown to their present sizes; at their distance from the sun, the unaided formation process is so slow that the disk would have dissipated long before it could finish, leaving stunted worlds. The pioneering gas giant has several helpful effects. At the outer edge of the gap that it opens up, material accumulates for much the same reasons it did at the snow line—namely, a pressure differential causes gas to speed up and act as a tailwind on grains and planetesimals, stopping their migration from more distant regions of the disk. Another effect of the first gas giant is that its gravity tends to fling nearby planetesimals to the outer reaches of the system, where they can form new planets. The second-generation planets form out of the material that the first gas giant collects for them. The timing is critical, and fairly modest differences in timescales could lead to large differences in the outcome. In the case of Uranus and Neptune, the accumulation of planetesimals was too much of a good thing. The embryos became extra large, some 10 to 20 Earth masses, which delayed the onset of gas accretion— by which point little gas remained to be accreted. These bodies ended up with only about two Earth masses of gas. They are not gas giants but ice giants, which may in fact prove to be the more common type of giant. The gravitational fields of the second-generation planets introduce an additional complication into the system. If the bodies form too close together, their interactions with one another and with the gaseous disk can catapult them into new, highly elliptical orbits. In our solar system, the planets all have nearly circular orbits and are spaced far enough apart to offer some immunity to one another’s influence. In other planetary systems, however, elliptical orbits are the norm. In some, the orbits are resonant— that is, the orbital periods are related by a ratio of small whole numbers. Being born into this condition is highly improbable, but it can naturally arise when planets migrate and eventually lock onto one another gravitationally. The difference between these systems and our own may simply be the initial allotment of gas. Most stars form in clusters, and more than half have binary companions. The planets may take shape in a plane that is not the same as the plane of the stellar orbit. In that case, the companion’s gravity quickly realigns and distorts the planets’ orbits, creating systems that are not planar, like our solar system, but spherical, like bees buzzing around a hive. Ending point: Coterie of giant planets จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 17:08:31 ]

ความคิดเห็นที่ 98 7. Earth-like Planets Assemble Time: 10 million to 100 million years Planetary scientists expect Earth-like planets to be more prevalent than gas giants. Whereas the gestation of a gas giant involves a fine balance of competing effects, formation of rocky planets should be fairly robust. Until we discover extrasolar Earths, however, we will have to rely on the solar system as our only case study. The four terrestrial planets—Mercury, Venus, Earth and Mars—consist mostly of high-boiling- point material such as iron and silicate rocks, indicating that they formed inside the snow line and did not migrate significantly. At this range of distances, planetary embryos in a gaseous disk could grow to about 0.1 Earth mass, not much bigger than Mercury. Further growth required the embryos’ orbits to cross so that they could collide and merge. That is easy enough to explain. After the gas evaporated, embryos gradually destabilized one another’s orbits and, over a few million years, made them elliptical enough to intersect. What is harder to explain is how the system stabilized itself again and what set the terrestrial planets on their present-day nearly circular orbits. A little bit of leftover gas could do the trick, but if gas were present, it would have prevented the orbits from becoming unstable to begin with. One idea is that after the planets nearly formed, a substantial swarm of planetesimals still remained. Over the next 100 million years, the planets swept up some of these planetesimals and deflected the rest into the sun. The planets transferred their random motion to the doomed planetesimals and entered into circular or almost circular orbits. Another idea is that the long-range influence of Jupiter’s gravity caused the emerging terrestrial planets to migrate, bringing them into contact with fresh material. This influence would have been strongest at special resonant locations, which moved inward with time as Jupiter’s orbit settled into its final shape. Radiometric dating indicates that the asteroids formed early (four million years after the sun did), followed by the formation of Mars (10 million years after), then Earth (50 million years after)— as if a wave instigated by Jupiter was sweeping through the solar system. If unchecked, its influence would have pushed all the terrestrial planets to the orbit of Mercury. How did they avoid this unhappy outcome? Maybe they grew too massive for Jupiter to move them significantly, or maybe they were knocked out of Jupiter’s range of influence by giant impacts. That said, most planetary scientists do not think Jupiter’s role was decisive in the formation of rocky planets. Most sunlike stars lack Jupiterlike planets, yet they still have dusty debris, indicating the presence of planetesimals and planetary embryos that could assemble into Earthlike worlds. A major question that observers need to answer over the coming decade is how many systems have Earths but not Jupiters. For our planet, a defining moment occurred 30 million to 100 million years after the formation of the sun, when a Mars-size embryo knocked into the proto-Earth and threw out huge amounts of debris that coagulated into the moon. Such a giant impact is unsurprising given the amount of material careening around the early solar system, and Earth-like planets in other systems may have moons, too. Giant impacts also had the effect of ejecting the tenuous primitive atmosphere. The present-day atmosphere of Earth mostly came from gas that was trapped in the planetesimals that formed it and was later vented by volcanoes. Ending point: Terrestrial planets จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 17:09:11 ]

ความคิดเห็นที่ 99 8. Mop-Up Operations Commence Time: 50 million to 1 billion years By this point, the planetary system is almost done. A few effects continue to fine-tune it: the disintegration of the wider star cluster, which may destabilize the planets’ orbits gravitationally; internal instabilities that develop after the star clears out the last of its gaseous disk; and the continued scattering of leftover planetesimals by the giant planets. In our solar system, Uranus and Neptune hurled planetesimals out into the Kuiper belt or in toward the sun. Jupiter, with its greater gravity, sent them off to the Oort cloud at the very edge of the sun’s gravitational domain. The Oort cloud could contain the equivalent of as much as 100 Earths of material. Every now and then, a planetesimal from the Kuiper belt or the Oort cloud drops inward toward the sun, creating a comet. In scattering planetesimals, the planets themselves migrate somewhat, which would explain the synchrony between the orbits of Neptune and Pluto [see “Migrating Planets,” by Renu Malhotra; Scientific American, September 1999]. Saturn, for example, may once have orbited closer to Jupiter and then moved outward, a process that could account for the so-called late heavy bombardment—an especially intense period of impacts on the moon (and presumably on Earth) that occurred about 800 million years after the formation of the sun. In some systems, epic collisions of full-fledged planets could occur late in the development game. Ending point: The final configuration of planets and comets ------------------- No Grand Design Before the age of discovery of extrasolar planets, our solar system was the only case study we had. Although it provided a wealth of information on the microphysics of important processes, it also narrowed our vision of how other systems could develop. The surprising planetary diversity discovered in the past decade has enormously expanded our theoretical horizons. We have come to realize that extrasolar planets are the last-generation survivors of a sequence of protoplanetary formation, migration, disruption and ongoing dynamic evolution. The relative orderliness of our solar system does not reflect any grand design. Theorists have shifted their focus from providing scenarios to account for the relics of solar system formation to the construction of theories with some predictive power to be tested by forthcoming observations. Up to now, observers have seen only Jupiter-mass planets around sunlike stars. With a new generation of detectors, they will search for Earth-size planets, which the sequential-accretion scenario suggests are common. Planetary scientists may have only begun to see the full diversity of worlds in this universe. จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 17:09:35 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ^ ^ ที่ว่ามา ตกลงว่า มันทำซ้ำ ได้หรือเปล่าครับ จากคุณ : ksk - [ 13 พ.ค. 51 17:21:09 ]

ความคิดเห็นที่ 101 http://www.geocities.com/siripon_006/wut6.htm "ไข่พญาอินทรีย์" ภาพแรกจากกล้องฮับเบิลที่แสดง ดวงดาวกำลังคลอด จากกลุ่มเมฆฝุ่น ที่กดดันอัดตัวกันอย่างหนาแน่น เรียกว่า Evaporating Gaseous Globules(EGGs) กล้องฮับเบิลถ่ายภาพนี้จากกลุ่มดาวงู (serpens) ซึ่งอยู่ห่างจากเรา 7000 ปีแสง ในส่วนที่เรียกว่า เนบิวล่าอินทรีย์ (Eagle Nebula โดยมีชื่อเป็นทางการว่า M16) เฉพาะเมฆกลุ่มก้อนนี้ใน เนบิวล่าอินทรีย์ มีชื่อเรียกว่า กลุ่มงวงช้าง ภายในก้อนเมฆตั้งทมึนเหมือนเป็นต้นเสา คือ ก้อนเนบิวล่า ที่ประกอบด้วยโมเลกุลของไฮโดรเจน ซึ่งมีความหนาแน่นมากพอ ที่จะทำให้มันยุบยวบตัวลง กำเนิดเป็นดวงดาวดวงใหม่ พลังงานจากการยุบยวบตัว ก่อให้เกิดพายุรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต พลุ่งพล่านพ่นก๊าซออกจากตัวเป็นสายบางๆ เหมือนแพรพริ้วเป็นทางไปตามแรงพายุ เป่าปัดพัดกลุ่มเมฆเนบิวล่า ให้กระจัดกระจายไปในอวกาศ ซึ่งในที่สุด ก็จะไม่เหลือมวลสารจากเนบิวล่า ให้มีดาวเกิดใหม่ได้อีก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Photoevaporating แล้วดวงดาวใหม่ๆก็จะถือกำเนิดจาก EGGs หรือ ไข่พญาอินทรีย์นี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เรามีโอกาสได้เห็นภาพ "ดวงดาวในท้อง" ที่กำลังจะคลอด จึงเป็นที่ฮือฮากันมาก เมื่อกล้องฮับเบิลถ่ายภาพนี้ ในปี คศ 1995 ภาพโดย STS ข้อนี้ เป็น สมมติฐาน ที่น่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จาก การสังเกตการณ์จากกล้องใหม่ๆในอวกาศ เช่น กล้องฮับเบิล และ กล้องจันดรา ว่า ในแหล่งที่มีการระเบิดแตกดับของดวงดาวขนาดมหาศาล ที่เราเรียกว่า ซุปเป้อร์โนวา มาก่อน กลุ่ม เนบิวล่า แถวๆนั้น จะมีหลักฐานปรากฏให้เห็นว่า มีดาวใหม่ๆกำลังฟักตัวก่อกำเนิดขึ้นมา หรือเพิ่งจะก่อกำเนิดขึ้นมาภายในใจกลาง อยู่มากมายหลายแห่ง แต่ ซุปเป้อร์โนวา ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก หรืออาจเคยเกิดบ่อยสมัยก่อน จะเป็นตัวต้นเหตุที่ช่วยให้ดาวได้ไปเกิดเป็นดาว มากน้อยเพียงไรนั้น นักดาราศาสตร์ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่ครอบคลุมปัญหานี้ได้หมด เพราะเราหากยังมีความรู้เพียงน้อยนิด เกี่ยวกับปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ในจักรวาล เพราะปฏิกิริยาที่ทำให้เกิด ช้อคเวฟ เช่นนี้ จะสังเกตการณ์ได้ดี จากเครื่องมือวัดพลังงานระดับสูง เช่น กล้องรังสีเอ๊กซ์ และกล้องรังสีแกมม่า พัฒนาการเทคโนโลยี่ ด้านดาราศาสตร์ฟิสิกส์พลังสูง ของเรา ก็เพิ่งจะอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น การประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมืออุปกรณ์เหล่านี้ เพิ่งจะมีมาไม่นานนี้เอง ความรู้ด้านนี้ จึงกำลังพัฒนาไป อย่างรวดเร็วมาก ในระยะไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา จากเทคโนโลยี่ใหม่ๆ อีกไม่นานเกินรอ คำถามที่เราตั้งหน้ารอคอยข้อมูล เพื่อนำมาหาคำตอบ ก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมไปได้ ***************** จักรวาลนี้ กำลังทำซ้ำอยู่เรื่อยๆ ถ้ามองแล้วจะพบ จากคุณ : .eAT - [ 13 พ.ค. 51 17:33:25 ]

ความคิดเห็นที่ 102 พระเจ้า คืออะไร คุณ PureTruth อธิบายได้กระจ่างแล้วหรือครับ? ในเมื่อคุณ PureTruth ยังอธิบายพระเจ้าให้กระจ่างไม่ได้ ทำไมถึงคิดว่าพระเจ้าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ถ้าคุณอธิบายพระเจ้าด้วยวิทยาศาสตร์ คุณยิ่งหลงทาง บังเอิญ คือ เจตนา เจตนา คือ บังเอิญ ทุกสิ่งอยู่ในกฎไม่ใช่เหรอ จากคุณ : DJC - [ 13 พ.ค. 51 17:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ตอบ #86 "อยากถามเรื่อง ทฤษฎี "พระเจ้าสร้าง" คำนิยาม 1. พระเจ้าคือ ผู้สร้างจักรวาลนี้ 2. สร้างอย่างไร  ใช้การตรัสสั่งในตอนแรก เพื่อให้เกิดวงจรของดาวและสิ่งต่างๆ ในจักรวาลที่จะดำเนินต่อไปตามวิถีการเกิด-ดับของมัน 3. สร้างตอนไหน      สร้างมานานแค่ไหน ไม่ได้ระบุแน่ชัด เพราะ"วัน"ในภาษาเดิมของพระคัมภีร์ มีความหมายอีกอย่างว่า "ช่วงระยะเวลา" 4. ทฤษฎีกล่าวไว้ว่าอะไรบ้าง  กล่าวไว้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง     จักรวาลและสิ่งมีชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง 5. หลักฐานมีอะไรบ้าง   ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับส่วนประกอบและโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่จำเป็นในการสร้างนั้นเป็นเทคโนโลยีที่สูงมาก ซึ่งแม้แต่อุปกรณ์ของมนุษย์ (เช่น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ยานอวกาศ) ซึ่งเทียบกันแล้วยังใช้เทคโนโลยีที่สูงไม่เทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิต อุปกรณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ 6. แล้วทำซ้ำได้ไหม   ถ้ามนุษย์เข้าถึงเทคโนโลยีที่สูงมากๆ นี้ ก็ทำซ้ำได้ครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 18:54:38 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 17:44:02 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ตอบคุณ DJC #102 "พระเจ้า คืออะไร คุณ PureTruth อธิบายได้กระจ่างแล้วหรือครับ?" Ans. พระเจ้า คือ ผู้ที่สร้างจักรวาลนี้ครับ  ส่วนลักษณะของพระเจ้ามีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ครับ แม้ว่าอาจจะไม่ได้พูดถึงแบบละเอียดขนาดเห็นออกมาเป็นภาพได้ก็ตาม "ในเมื่อคุณ PureTruth ยังอธิบายพระเจ้าให้กระจ่างไม่ได้ ทำไมถึงคิดว่าพระเจ้าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้" Ans. อ้างอิงจากข้อมูลวิทยาศาสตร์และพระคัมภีร์ครับ "ถ้าคุณอธิบายพระเจ้าด้วยวิทยาศาสตร์ คุณยิ่งหลงทาง" Ans. ก็เป็นไปได้ที่จะหลงทาง แต่ถ้าทำด้วยความระมัดระวัง อาจจะไม่หลงทางก็เป็นได้ครับ "บังเอิญ คือ เจตนา เจตนา คือ บังเอิญ ทุกสิ่งอยู่ในกฎไม่ใช่เหรอ" Ans. ถ้าอย่างนั้น การที่ทฤษฎีวิวัฒนาการอ้างว่า สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงโดยการกลายพันธุ์แบบ Random  อย่างนี้เรียกว่า บังเอิญ หรือ เจตนา ครับ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 18:08:59 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ด้วยหลักการที่คล้ายกับโคลนนิ่ง แต่ว่าพัฒนามาหลายล้านปี ด้วยสภาพแวดล้อมและสิ่งอื่น..ทั้งหมดคาดเอาเอง จากคุณ : พลังงานไม่สูญแต่เปลี่ยนรูป - [ 13 พ.ค. 51 18:12:09 A:202.149.24.129 X: TicketID:130166 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ผมรู้สึกคุณ PureTruth จะมีแนวคิดวัตถุนิยม แบบตะวันตกเข้าไปทุกที คริสศาสนาเริ่มต้นที่ตะวันออกกลาง แต่ถูกทำการตลาดโดยคนตะวันตก ใช้หลักจิตวิทยา กระตุ้นกิเลสมากมาย ดั่งหนังสือ พลังแห่งชีวิต อันโด่งดัง ใช่ละคนตะวันตกเล่นกับกิเลสได้เก่ง เช่นถ้าคุณไม่เชื่อคุณจะเจอลงโทษพิพากษา ถ้าคุณเชื่อคุณก็จะพบแสงสว่างชีวิตที่ดีขึ้น การสอนแบบนี้ ทำให้คนบริสุทธิ์ ในอดีตที่ไม่เชื่อ ถูกเผาต่างๆมากมาย การสอนที่เป็นดาบสองคม ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบตามมา นี่หรือที่คุณเรียกว่าผู้ให้ทางรอด มันเป็นเรื่องตลกสิ้นดี ที่บอกว่าเชื่อในการสร้างโลก  และจักรวาล คือทางรอด และการพ้นทุกข์ ถ้าต่อไปไม่มีพระเจ้า คนคริสต์พวกนี้ก็จะกลับมาทุกข์เศร้าโศกร้องไห้เหมือนทารก มันน่าขันกับคำว่า เราจะมีความสุขนิรันด์บนสวรรค์ ดินแดนแห่งความอยาก ที่โหยหาความรักจากพระเจ้า ของสรรพสัตว์ ที่ไม่มีวันจบสิ้น คนหลงโลกก็งี้แหละ และจำไว้คุณจะไม่มีวันรอดได้ ถ้าคุณยังยืมลมหายใจคนอื่นหาย ยืมแสงไฟคนอื่นนำทาง ยืมตาคนอื่นมอง ยืมปัญญาคนอื่นตัดสินใจ เพระศาสนาคริสต์สอนให้พึ่งพระเจ้า คุณก็ต้องพึ่งพระเจ้าตลอดไป กลายเป็นคนไม่รู้จักโต ยากที่จะเห็นความเป็นจริงในโลกใบนี้ ศาสนาไม่ใช่กรงขังคน แต่เป็นสิ่งปลดปล่อยมนุษย์จากพันธนาการต่างๆทั้งปวง แม้ตัวตน และพระเจ้า นั่นคือศาสนาที่เห็นความจริง แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 18:26:57 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 18:23:30 จากคุณ : vierzehn - [ 13 พ.ค. 51 18:17:56 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เพราะต้นกำเนิดมนุษย์มีแค่เพียงคู่เดียวจึงทำให้มนุษย์ ปัญญาอ่อน มากมายขนาดนี้เลยเหรอคับ คำพระจเาสองคำก็พระเจ้า กินข้าวก็พระเจ้า อึก็พระเจ้า เอาก็พระเจ้า ไปไหนก็พระเจ้า ชีวิตคุณก็พระเจ้า เออผู้ประเสริฐที่สุดในจักรวาลสร้างทุกว่าด้วยวาจา ....ขนาดๆศาสนาทที่มีต้นกำเนิดเดวกันยังแยกได้ แถมยังไม่ถูกกันอีก ทำไมไม่สร้างหลายๆโลกจะได้แบ่งๆกันอยู่วะ ทำไม ทำโลกได้แค่ใบเดียวเหรอ แน่จิงแบ่งไปเลย คนเชื่อไปอยู่อีกใบ คนไม่เชื่อไปอยู่อีกใบ แบ่งๆไปเบื่อวะเพราะคนบ้านผมไม่ได้สอนมาว่าพระเจ้ามีจริงที่คุณเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงก็โดนสอนมา ...เกิดมาก็ยัดเยียด มาให้ตั้งแต่แรกเกิด ถามจิง ถ้าโลกนี้ไม่มีการติดต่อค้าขายกัน พระเจ้าจะได้มาสร้างโลกที่ประเทศไทย หรือแอฟริกาหรือเปล่า หรือว่า ไอ้ชนเผ่าที่มันรู้ว่าพระเจ้าสร้างโลกมันเป็นเด็กเส้นของพระเจ้าที่คอยมาบอกกล่าวตลอด ว่า เราน่ะเป็นคนสร้างโลกให้ตัวเองนะ ไอ้ที่พูดได้เป็นภาษาไทยเพราะการเผยแพร่ศาสนา ถ้าไม่มีการเผยแพร่ คุณก็คงไม่มานั่งบอกหรอกว่าโลกเิกิดจากพระเจ้า(คิดเองไม่ได้)เพราะที่คุณพูีดได้เช่นนี้้เพราะ แค่เอาคำพูดเอาข้อเขียนของใครก็ไม่รู้มาพูดมาเขียน แล้วก็หาเอาข้อมูลที่ใครก็ไม่รู้มาเป็นข้ออ้าง ถ้าพระเจ้ามีจิง ขอเบอร์โทรหน่อยดิ จะโทรไปคุยปัญหาหน่อย อย่าบอกน่ะว่าไม่มี โถ่ขนาดจักรวาล ยังสร้างได้เลย มือถืออันนิดเดวสร้างไม่ได้อย่างนั้นเชียวเหรอ เหอะๆ จากคุณ : ความรู้เท่าหางอึ่ง (sarareal) - [ 13 พ.ค. 51 18:51:56 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ตอบ #106 ไม่น่าขันยิ่งกว่าหรือครับ สำหรับคุณที่โต้เถียงสู้ไม่ได้ด้วยข้อมูลวิทยาศาสตร์ แต่คุณกลับยึดติดว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อนั้นเป็น"ความจริง" ??? แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 19:06:43 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 19:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 109 กลายเป็นประเด็นพระเจ้าไป เราตอบแบบประเด็นพระพุทธเจ้าได้ไม๊ หุหุ ปัญหานี้ผมก็เคยสงสัยครับ เหมือนเจ้าของกระทู้นี่แหละ ว่าอะไรมันจะบังเอิญอย่างงี้ ผมสงสัยแม้กระทั่งว่า ก่อนการระเบิดบิ๊กแบง ก่อนเกิดจักรวาล ลักษณะก่อนหน้านี้มันจะเป็นยังไง  หน้าตาของพื้นที่ก่อนจะเป็นจักรวาลนั้นมันเป็นยังไง แล้วถ้าเราเดินทางไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ มันจะมีสิ้นเขตแดนจักรวาลไม๊นะ    แล้วนอกจักรวาลเป็นอะไร?? คำถามนี้ นักวิทย์ศาสตร์ตอบผมได้หรือเปล่าฮะ ...ไม่ได้??   หรืออาจจะโชว์พาวจนได้คำตอบว่าจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด บลาๆๆ   เพราะอย่างนั้น   จะสรุปได้อย่างไรครับ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันมีเพียงที่ท่านเห็น ท่านเข้าใจ  ในเมื่อ..ยังรู้จัก จักรวาลไม่หมดเลยครับ ที่ไกลสุดที่เราสำรวจได้ก็แค่กำลังของยานอวกาศและกล้องโทรทัศน์ที่จะไปได้  แล้วไกลไปกว่านั้น ?? มนุษย์ศึกษาได้ไม๊ครับ ... ไม่ได้ไงครับ.. ยังมืพื้นที่อีกเท่าไหร่ ที่เราไม่รู้จักครับ เพราะฉนั้น จะหาคำตอบที่เป็นที่สิ้นสุด หรือพยายามสร้างการถกเถียงกันไปเพื่ออะไรฮะ ...อยากเป็น The winner ?? -*- สิ่งที่รู้ก็ตอบว่า"รู้"ครับ ไม่รู้ก็ตอบว่า"ไม่รู้"   รู้เท่าไหนก็ตอบไปเท่านั้น  ตอบเกินกว่าที่รู้ก็คือ"ไม่รู้"นั่นแหละฮะ ส่วนสิ่งที่ไม่รู้แล้วจะตอบว่า  "มี"  หรือ "ไม่มี"   "จริง" หรือ "ไม่จริง" ไม่ได้ฮะ ไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ฮะ ถ้ารแสร้งว่ารู้เขาเรียกว่า"อวดฉลาด" หรือ " งมงาย" สำหรับคำตอบให้คุณ จขกท. ของผม ขอตอบว่า " ไม่รู้"ฮะ (เมื่อไม่รู้ ก็เกิดการคาดเดาตามมาได้ ไม่ผิดๆ 55+) อย่างที่เราบอกว่า จุดเริ่มต้นจริงๆก็ไม่รู้เลยฮะ จุดสิ้นสุดก็ไม่รู้ด้วยฮะ ก่อนหน้านี้ ก่อนที่คุณ จขกท.จะเป็นมนุษย์ที่ได้มาตั้งกระทู้ถามนี่  มันอาจจะมีอะไรต่อมิอะไรเกิดมาก่อนมากมาย ก่อนบิ๊กแบง ก่อนพระเจ้าสร้างโลก ฯลฯ  ก่อนหน้านี้ อาจจะมีจักรวาล และโลกมาที่มาก่อนจักรวาลในปัจจุบันก็ได้ฮะ (EX.โลกก่อนหน้าคือ โลกVer.1 ปัจจุบันคือ โลก Ver.2ไรเงี๊ยะ) **สิ่งที่ยังพิสูจน์ หรือให้คำตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่า "ไม่จริง" เสียงทั้งหมดฮะ แต่แค่ยัง " ไม่รู้" เท่านั้นเอง  เพราะฉนั้น เมื่อไม่รู้ ก็อย่าเพิ่งได้ตัดสินอะไรกันเลยครับ เถียงกันไปเปล่าๆ ปล. แต่ยังไงผมก็ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าฮะ 5555+  ถึงไม่รู้แต่ก็ไม่เชื่อฮะ ^^ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 19:17:37 จากคุณ : ZZsassyZ - [ 13 พ.ค. 51 19:11:59 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ความคิดเห็นที่ 108   ตอบ #106 ไม่น่าขันยิ่งกว่าหรือครับ สำหรับคุณที่โต้เถียงสู้ไม่ได้ด้วยข้อมูลวิทยาศาสตร์ แต่คุณกลับยึดติดว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อนั้นเป็น"ความจริง" ??? แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 19:06:43 จากคุณ : PureTruth ผมเถียงสู้คุณไม่ได้อย่างไรครับ ใหนคุณบอกผมหน่อยสิ ว่าในไบเบิ้ลอันใหน เขาบอกว่า สิ่งมีชีวิต ถูกออกแบบโดยพระเจ้า แล้วออกแบบอย่างไร สร้างอย่างไร เอาอะไรมาเป็นวัตถุดิบในการสร้าง เอาอะไรมาสร้างเส้นเลือด ลูกตา แล้วโลกสร้างยังไง เอาวัตถุดิบอะไรมาสร้างโลก มีหลักการสร้างอย่าง..ใหนตอบหน่อยสิ ???? ผมเห็นมีแต่นักวิทยาศาสตร์ อธิบายสิ่งพวกนี้ทั้งสิ้น แล้วคุณก็เหมา นี่ไง พระเจ้าสร้าง ทำแบบนี้นะ อย่างนั้นนะ คุณนั่นแหละพยายาม เหมาตู่ ว่าความคิดนักวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบ คือสติปัญญาพระเจ้า หน้าอายใหม โถ.. จากคุณ : vierzehn - [ 13 พ.ค. 51 19:38:57 ]

ความคิดเห็นที่ 111 จขกท ไปไหนแล้วครับ ตอนที่ตั้งกระทู้ แม้จะไม่เจตนาจะล่อเป้า  แต่ตัวกระทู้มันล่อเป้าอยู่ดี เชื่อผมหรือยังเอ่ย....... จากคุณ : AbsolutelyTop - [ 13 พ.ค. 51 20:09:40 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ^ ผมด้วย บอกแล้วว่า ล่อเป้า จากคุณ : Cryptomnesia - [ 13 พ.ค. 51 20:26:23 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ตอบคุณ vierzehn #110 คุณยังไม่เข้าใจ  ไม่เป็นไรครับ ผมจะอธิบายให้ฟัง จริงๆ แล้ว มีตัวอย่างอยู่ในกระทู้อื่นๆ ก่อนหน้านี้ ที่คุณมีความคิดผิดๆ เกี่ยวกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แต่ดูเอาจากความเห็นนี้ของคุณมาเป็นตัวอย่างก่อนก็ได้ครับ "ใหนคุณบอกผมหน่อยสิ ว่าในไบเบิ้ลอันใหน เขาบอกว่า สิ่งมีชีวิต ถูกออกแบบโดยพระเจ้า แล้วออกแบบอย่างไร ...." Ans. ออกแบบโดยใช้รหัสพันธุกรรมครับ  ส่วนเรื่องว่าจะสร้างขึ้นมาอย่างไร ฯลฯ .... ก็เป็นขั้นตอนที่นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นคว้าอยู่ครับ "ผมเห็นมีแต่นักวิทยาศาสตร์ อธิบายสิ่งพวกนี้ทั้งสิ้น" Ans. อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเองน่ะเหรอครับ  ยังไงเหรอ ไม่มีนะครับ คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ "แล้วคุณก็เหมา นี่ไง พระเจ้าสร้าง ทำแบบนี้นะ อย่างนั้นนะ คุณนั่นแหละพยายาม เหมาตู่ ว่าความคิดนักวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบ คือสติปัญญาพระเจ้า" Ans. ผมไม่ได้เหมาตู่ แต่นั่นเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้าเขาคิด   ผมไม่ได้พูดเอง   มีสิ่งต่างๆ ที่คุณยังเข้าใจผิดอยู่อีกเยอะพอสมควรเลยล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 20:34:51 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 20:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 114 แล้วที่ศาลพิพากษาว่า นักวิทยาศาสตร์ที่คุณเชื่อ ว่าผิดเนี่ย ยังจะแถอีกใหม ละครับ เรื่องทฤษฏีผู้สร้างอะ.. นั่นเขาก็พิสูทธ์ กันแล้ว สมัยก่อนคริสจักรเชื่อว่าโลกแบน พอกาลิเลโอ มาบอกว่าโลกกลม ก็หาว่าเขามั่ว หลังจากนั้นไม่นานความจริงก็ปรากฎ ก็มาแก้เขิลว่าเราคงตีความไบเบิ้ลผิด ว่าไปนั่นก็แก้กันยิกๆ แล้วสอนความเชื่อใหม่ สมัยก่อนบอกว่าโลกมีอายุ6000ปี พอเขาพิสูทธิ์ ซากฟอกซิลว่า โลกมีอายุ 1.4 พันล้านปี ก็บอกตีความผิด แล้วก็สอนกันอีก เหอะๆ ประวัติมันมี..?ไม่ใช่คุณมาสรุปอ้างนั่นประเดี๋ยวประด๋า เหอะๆๆ ผมอยากให้นักวิทยาศาสตร์ ข้อมูลสุดยอดอย่างคุณบอกจังเลยว่า พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตอะไรเป็นตัวแรกของโลก ..?? อย่าตอบละว่ามนุษย์ เหอะๆ คริสต์ = สร้างโลก มุสลิม =สร้างโลก ฮินดู=สร้างโลก ใคร เฟค..? ผมว่าคุณกำลังหลงทางจากธรรมะของพระเจ้า พูดจริงๆนะ เพราะสิ่งที่คุณกำลังยึดมั่นถือมั่นในหัวตอนนี้ มันไม่เห็นเกี่ยวกับทางรอดของคุณตรงใหน ..? จากคุณ : vierzehn - [ 13 พ.ค. 51 21:01:12 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ถ้านักวิทยาศาสตร์ที่นาซ่า และประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ยังคงเชื่อมั่นในศาสนา(ที่มีคนนับถือมากที่สุดในโลกตลอดกาล ) อย่างศาสนาคริสต์...................พระเจ้าก็มีอยู่จริงคับผม "ความเชื่อมั่นในพระเจ้าอย่างเดียว"   ก็ทำให้ประเทศเค้าพัฒนาได้ก็แล้วกัน ผิด/ถูก  จะมีความหมายอะไร???? และเหตุ/ผล จะมีความหมายอะไร???? จากคุณ : G (O-DED) - [ 13 พ.ค. 51 21:57:07 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ผมคงเป็นคนบาปคนเลวคนโง่ เพราะผมไม่ได้นับถือพระเจ้า ผมยึดแต่หลักเหตุผลที่พิสูจน์ได้จริง ไม่เคยอ้อนวอนอะไร ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราการกระทำของเรา ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เบียดเบียนทั้งทางกายทางใจผู้อื่น ผมคิดและปฏิบัติอย่างนี้ครับ ชีวิตผมก็มีความสุข ู^_____________^ จากคุณ : Rafflesia - [ 13 พ.ค. 51 23:10:05 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ตอบคุณ vierzehn #114 "แล้วที่ศาลพิพากษาว่า นักวิทยาศาสตร์ที่คุณเชื่อ ว่าผิดเนี่ย ยังจะแถอีกใหม ละครับ" Ans. ผมพูดไปหลายหนแล้วเรื่องนี้ ดูเหมือนคุณจะไม่สามารถเข้าใจได้เลย   ศาลพิพากษาในประเด็นไหน และตัดสินโดยใช้หลักฐานที่ถูกต้องหรือไม่ ตอบได้ไหมครับ คิดเป็นไหมครับ "เรื่องทฤษฏีผู้สร้างอะ.. นั่นเขาก็พิสูทธ์ กันแล้ว" Ans. เหลวไหลไปกันใหญ่แล้วครับคุณ vierzehn     คิดให้ถูกต้องตามประเด็นน่ะทำเป็นไหมครับ คุณกำลังพูดเรื่องอะไร  คิดเป็นไหมครับ "สมัยก่อนคริสจักรเชื่อว่าโลกแบน พอกาลิเลโอ มาบอกว่าโลกกลม ก็หาว่าเขามั่ว หลังจากนั้นไม่นานความจริงก็ปรากฎ ก็มาแก้เขิลว่าเราคงตีความไบเบิ้ลผิด ว่าไปนั่นก็แก้กันยิกๆ แล้วสอนความเชื่อใหม่" Ans. เอาแค่เรื่องประวัติศาสตร์แค่นี้ก็ไม่สามารถเข้าใจให้มันถูกต้อง 100% ได้ซะแล้ว  ไม่น่าล่ะ เรื่องอื่นที่ยากกว่านี้ ถึงไม่เคยเข้าใจความจริงที่ถูกต้องได้เลย     "แก้กันยิกๆ " คือ ? "สมัยก่อนบอกว่าโลกมีอายุ6000ปี พอเขาพิสูทธิ์ ซากฟอกซิลว่า โลกมีอายุ 1.4 พันล้านปี ก็บอกตีความผิด แล้วก็สอนกันอีก" Ans. คำว่า"วัน"ในภาษาเดิมของพระคัมภีร์มี 2 ความหมายอยู่แล้วนะครับ   เรื่องแค่นี้ ถ้าใครไม่เข้าใจ แล้วยังแสดงความโง่ด้วยการพูดจาดูหมิ่น ก็แสดงว่าผู้นั้นมีความเขลาสูงมากครับ "ผมอยากให้นักวิทยาศาสตร์ ข้อมูลสุดยอดอย่างคุณบอกจังเลยว่า พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตอะไรเป็นตัวแรกของโลก ..?? อย่าตอบละว่ามนุษย์ เหอะๆ" Ans. พระคัมภีร์บันทึกไว้คร่าวๆ ว่า สร้างพืชก่อนสัตว์ครับ "คริสต์ = สร้างโลก มุสลิม =สร้างโลก ฮินดู=สร้างโลก ใคร เฟค..?" Ans.  ผมพูดไปก็คงไม่เหมาะ คุณไปคิดเอาเองละกันครับ "ผมว่าคุณกำลังหลงทางจากธรรมะของพระเจ้า พูดจริงๆนะ เพราะสิ่งที่คุณกำลังยึดมั่นถือมั่นในหัวตอนนี้ มันไม่เห็นเกี่ยวกับทางรอดของคุณตรงใหน ..? " Ans. เราก็ไม่ได้กำลังพูดถึงประเด็นเรื่องความรอดอยู่แล้วนี่ครับ  ผมแค่นำเสนอข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง ในอีกแง่มุมหนึ่งที่คุณไม่เคยคิดมาก่อน แต่แทนที่คุณจะสนใจรับฟังข้อมูลที่ถูกต้อง  คุณกลับหลีกหนีข้อมูลเหล่านั้น เพราะมันขัดกับความเชื่อของคุณ จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 23:24:31 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ตอบคุณ Rafflesia #116 ".....ผมยึดแต่หลักเหตุผลที่พิสูจน์ได้จริง" Ans. ผมเห็นคนที่พูดจาดูเท่ห์อย่างนี้นะครับ พอให้พูดลงรายละเอียดของประเด็นต่างๆ  ก็จะเริ่มมีสิ่งที่เขาเชื่อ (ความเชื่อของเขา) ออกมาจากคำพูดของเขา   ดังนั้น จริงๆ แล้วคนๆ นั้นก็มีความเชื่อเหมือนกัน เพียงแต่ตัวเขาไม่ได้ตระหนัก ก็เลยพูดออกมาอย่างไม่ตรงความจริงว่า "ผมยึดแต่หลักเหตุผลที่พิสูจน์ได้จริง" แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 23:36:07 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 23:31:57 ]

ความคิดเห็นที่ 119 "พระเจ้า คืออะไร คุณ PureTruth อธิบายได้กระจ่างแล้วหรือครับ?" Ans. พระเจ้า คือ ผู้ที่สร้างจักรวาลนี้ครับ  ส่วนลักษณะของพระเจ้ามีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ครับ แม้ว่าอาจจะไม่ได้พูดถึงแบบละเอียดขนาดเห็นออกมาเป็นภาพได้ก็ตาม >> ลักษณะของพระเจ้านี่รวมถึงพระเจ้ามีผมสีอะไรด้วยหรือเปล่า สรุปว่าคุณ PureTruth ยังอธิบายพระเจ้าให้กระจ่างไม่ได้เลย "ในเมื่อคุณ PureTruth ยังอธิบายพระเจ้าให้กระจ่างไม่ได้ ทำไมถึงคิดว่าพระเจ้าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้" Ans. อ้างอิงจากข้อมูลวิทยาศาสตร์และพระคัมภีร์ครับ >> ทำไมต้องใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงพระเจ้า พระเจ้าผูกไว้กับวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ "ถ้าคุณอธิบายพระเจ้าด้วยวิทยาศาสตร์ คุณยิ่งหลงทาง" Ans. ก็เป็นไปได้ที่จะหลงทาง แต่ถ้าทำด้วยความระมัดระวัง อาจจะไม่หลงทางก็เป็นได้ครับ >> ถ้าคุณใช้วิทยาศาสตร์อธิบายพระเจ้า นั่นคือหลงทางแล้วครับ คุณจะเอาไม้บรรทัดไปวัดส่วนสูงพระเจ้าได้เหรอครับ "บังเอิญ คือ เจตนา เจตนา คือ บังเอิญ ทุกสิ่งอยู่ในกฎไม่ใช่เหรอ" Ans. ถ้าอย่างนั้น การที่ทฤษฎีวิวัฒนาการอ้างว่า สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงโดยการกลายพันธุ์แบบ Random  อย่างนี้เรียกว่า บังเอิญ หรือ เจตนา ครับ >> บังเอิญคือเจตนา มองตรงนี้ได้กระจ่างครับ ว่าความบังเอิญเป็นเจตนาของพระเจ้าหรือเปล่า? จากคุณ : DJC - [ 13 พ.ค. 51 23:32:23 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ว่างๆครับไม่มีไรทำ มาร่วมเสวนาหน่อยก็ได้ดีครับ ตอบคุณ Rafflesia #116 ".....ผมยึดแต่หลักเหตุผลที่พิสูจน์ได้จริง" Ans. ผมเห็นคนที่พูดจาดูเท่ห์อย่างนี้นะครับ พอให้พูดลงรายละเอียดของประเด็นต่างๆ  ก็จะเริ่มมีสิ่งที่เขาเชื่อ (ความเชื่อของเขา) ออกมาจากคำพูดของเขา   ดังนั้น จริงๆ แล้วคนๆ นั้นก็มีความเชื่อเหมือนกัน เพียงแต่ตัวเขาไม่ได้ตระหนัก ก็เลยพูดออกมาอย่างไม่ตรงความจริงว่า "ผมยึดแต่หลักเหตุผลที่พิสูจน์ได้จริง" แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 23:36:07 จากคุณ : PureTruth - [ 13 พ.ค. 51 23:31:57 ] ช่วยอธิบายให้กระจ่างทีสิคับ ผมอ่านแล้วไม่เข้าใจ ผมก็มีความเชื่อหนิครับ พูดเหมือนผมไม่มีความเชื่อเลย แต่ผมเชื่อแต่สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ อย่างเช่น ผมเชื่อว่าผมเกิดมาจากพ่อแม่ของผม ผมเชื่อว่าผมมีน้องสาว ผมเชื่อว่ามีคอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าสนทนาในเวปบอร์ดแห่งนี้ได้ เห็นไหมครับ ทุกอย่างที่ผมเชื่อล้วนพิสูจน์ได้จริง อย่างใครจะสร้างโลกสร้างจักรวาล พระเจ้า หรือ เกิดจากบิกแบงค์ รอให้สามารถพิสูจน์ครับว่าอย่างไหนกันแน่ที่ได้สร้างจักรวาลนี้ ผมก็จะเชื่อสิ่งนั้นครับ ตอนนี้ก็ปล่อยใจปล่อยสมองให้ว่างในเรื่องนี้ก่อนเพราะยังไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าใครสร้างจักรวาล แค่ไม่อยากให้เข้าใจผมผิดว่าผมไม่มีความเชื่อครับ จากคุณ : Rafflesia - [ 14 พ.ค. 51 00:00:48 ]

ความคิดเห็นที่ 121 เถียงกันไปก็เท่านั้นหละครับ ต้องมีคนเหาะลงมาจากฟ้า เมื่อไหร่ได้ ตอนนั้นก็คง รู้กันเองว่า บังเอิญ หรือไม่บังเอิญ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 01:12:22 จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 14 พ.ค. 51 00:07:21 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ตอบคุณ Rafflesia #120 ยินดีที่ได้สนทนากันอย่างสุภาพครับ ^^    งั้นผมขอถามต่อนะครับ   มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหมครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 00:10:52 จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 00:09:57 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ในเรื่องมนุษย์ต่างดาวผมได้ตอบคำถามประเภทนี้ไปแล้วนะครับในความเห็นที่ผ่านมา "อย่างใครจะสร้างโลกสร้างจักรวาล พระเจ้า หรือ เกิดจากบิกแบงค์ รอให้สามารถพิสูจน์ครับว่าอย่างไหนกันแน่ที่ได้สร้างจักรวาลนี้ ผมก็จะเชื่อสิ่งนั้นครับ ตอนนี้ก็ปล่อยใจปล่อยสมองให้ว่างในเรื่องนี้ก่อนเพราะยังไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าใครสร้างจักรวาล" อย่าถามผมในคำถามที่ยังไม่มีอะไรที่ยืนยันได้เลยครับ ผมไม่สามารถตอบได้จริงๆ คงต้องรอมนุษย์ต่างดาวมาเคาะประตูหน้าบ้านผม แล้วผมได้สื่อสารกับเค้า ถึงตอนนั้นแหละครับที่ผมจะสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริง ในตอนนี้ณเวลาปัจจุบัน ผมคิดว่าอาจจะมีหรือไม่มี ก็สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้นครับ และอีกอย่างครับ ควรจะเรียกว่า สิ่งมีชีวิตจากนอกโลก ดีกว่านะครับ และก็เรื่องผีอีกเหมือนกันครับ มันก็เหมือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ จะให้ผมเชื่อเลยว่ามีก็คงไม่ได้ แต่จะไปลบหลู่เหมือนเป็นการดูถูกผู้ที่เชื่อว่าผีมีจริงก็ไม่ได้ เพราะเราก็ยังไม่สามารถพิสูจน์กับตนเองหรือตามหลังเหตุและผลได้ จากคุณ : Rafflesia - [ 14 พ.ค. 51 00:37:31 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ^ ^ ขอบคุณครับ  ^^ คุณ Rafflesia เป็นพุทธศาสนิกชน หรือว่า ไม่มีศาสนาครับ จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 01:00:03 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ผมว่าของแบบนี้ เถียงกันไป มันก็ดี แต่ชัก..จะเหมือนใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลกันไปหลาย ความเห็นแล้ว ถ้าในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ ตอนนี้กำลัง ค้นหา... ถามว่าอีกไกล มั้ย อีกไกล เพราะการค้นหาเรื่องพวกนี้ ต้องค้นหาจากในตัวเราเอง แต่ที่เขาพยายามค้นหาจะเน้น ค้นหานอกตัวมากกว่าในตัว ซึ่งเหมือนไปหาปลาบนภูเขามันไม่ใช่ จะค้นพาพระเจ้า วิญญาน หรือ มนุษย์ต่างดาว ได้ยังไง ผมแนะนำให้ "ลอง" ทำสมาธิตั้งจิตให้แน่วแน่ จิตใจว่างเปล่าให้ได้ ทุกวันทำไปเรื่อยๆ แล้วไม่มีใจอคติ ว่า "มี" หรือ "ไม่มี" แล้วคุณจะเจอในสิ่งที่คุณไม่เคยเจอ เห็นในสิ่งที่คุณไม่เคยเห็น ด้วยตัวคุณเอง... เพราะสัมผัสของคุณ จะเหนือขึ้นไป...จนได้สัมผัสอะไรบางอย่าง เรื่องเหล่านี้มันเหมือนคนละเรื่อง แต่.. จริงๆแล้วเชื่อมโยงกันอย่างคาดไม่ถึง ถึงบอก ต้องรอ มีคนเหาะลงมาจากบนฟ้า... เมื่อไหร่ คนทั่วไปที่เชื่อด้วยตาตัวเอง ถึงจะเชื่อ (ด้วยสัมผัสมนุษย์ทั่วไป) นั่นหละเถียงกันให้ตายก็ ไม่มีใครยอมใครหรอก จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 14 พ.ค. 51 01:11:20 ]

ความคิดเห็นที่ 126 บนดาวอังคารที่เขาพยายามสำรวจกัน ถ้ามีความสามารถในการไปค้นหาที่ละเอียดกว่าปัจจุบันเยอะเมื่อไหร่ มนุษย์น่าจะได้คำตอบ ที่มาของมนุษย์ ที่นั่น รู้สึกว่าจะมีคำตอบของทุกอย่างบนโลก รอเราอยู่ จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 14 พ.ค. 51 01:15:02 ]

ความคิดเห็นที่ 127 คิดว่าไม่มีนะครับ แต่ผมก็ได้ศึกษาอ่านหนังสืออ่านบทความต่างๆทางด้านศาสนาเหมือนกันไม่ใช่ว่าจะละเลยไม่สนอะไรเลย เพราะผมเป็นคนที่ชอบรู้ครับต้องหาข้อมูลให้ได้ครบถ้วนหรือมากที่สุดเผื่อการตัดสินใจอะไร ส่วนไหนที่เป็นสิ่งดีที่ศาสนาต่างๆได้สอนไว้ผมก็นำมาปฏิบัติครับ และอีกอย่างที่ผมยึดถือสำคัญที่สุดคือ ผมยึดถือว่า ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนไม่ว่าจะทางกายทางใจ ถ้าเราไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเราก็จะอยู่ได้อย่างสงบสุขครับ การปล่อยวางและคิดว่าเราไม่ได้เหนือกว่าผู้อื่นทั้งเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกและสัตว์ด้วยครับ จากคุณ : Rafflesia - [ 14 พ.ค. 51 01:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 128 เปนความบังเอิญเหรอเนี่ย ที่ผมอยากเข้ามาอ่านเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลในกระทู้นี้ แต่กลับเจอ... เมื่อเจอแบบนี้ เราจึงต้องทำแบบนี้ ออกดีกว่า จากคุณ : wattz21 - [ 14 พ.ค. 51 06:02:03 ]

ความคิดเห็นที่ 129 PureTruth  ถูกแล้วศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่เป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ เพราะมันเป็นศาสนาแห่งปัญญา พุทธ คือพุทธะ คือผู้ตื่น ตื่นจากเรื่องที่คิดว่าตัวเราคืออัตตา ตื่นจากเรื่องเทพผู้สร้าง ศาสดาของศาสนาผมสังเกตุ ทดลอง ลงมือทำทุกอย่างอย่างจริงจัง ทั้งบูชายัญ บูชาไฟ  แม้กระทั่งกินปัสสาวะ อุจจาระตัวเอง ร่ำเรียนมาทุกสำนัก จนสุดท้ายมาบำเพ็ญทุกกิริยา ก็ยังไม่ใช่ จนมาบำเพ็ญฌาณที่ละเอียดใกล้สิ่งที่เรียกว่านิพพานก็ยังไม่ใช่ จนเลิกต้องมาบำเพ็ญเพียรทางจิตเพราะหวลไปนึกถึงสมัยที่ได้ฌาณ1ในวัยเด็ก  รวบรวมสิ่งที่เคยผ่านมาด้วยการแยกแยะแกะออกมาทีละชั้นทีละชั้น จนถึงสิ่งที่สุดถึงจะพบ พบแล้วก็ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องหาผู้คนมาร่วมทดลอง จนได้รับการยอมรับว่านิพพานมีอยู่จริง  ซึ่งอันนี้ท่านที่เป็นพระพุทธเจ้าเอง ยังไม่แนะนำให้ปักใจเชื่อเลย ต้องเห็นเอง   เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้ให้ใครมาแย้งครับ เพราะในบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้านลงไว้ว่าผมเป็นคนพุทธ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 11:10:24 จากคุณ : harvardวิทยาคม - [ 14 พ.ค. 51 08:45:54 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ผมยังเชื่อเรื่องตรีมูรติของคุณ.eAT  มากกว่าอีก มีสงครามเทพด้วย ดูทุกบ่ายช่อง tpbs  ชอบมากเลยที่ว่าใครไม่เชื่อเรื่องนี้ถือว่าเป็นเดียรถีร์5555 จากคุณ : harvardวิทยาคม - [ 14 พ.ค. 51 08:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 131 ^ ^ คุณเป็นคนพุทธ มีความเชื่อเรื่องนิพพาน และยังแถมจะไปเชื่อเรื่องสงครามเทพและตรีมูรติด้วย  อิอิอิ จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 09:52:36 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ตอบคุณ Rafflesia #127 โอเคครับ นั่นคือคุณไม่เชื่อว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนจะต้องเป็นความจริงไปซะทั้งหมด  ขอบคุณที่ชี้แจงครับ  คุณมีใจเป็นกลางรับฟังข้อมูลอย่างครบถ้วนอย่างนี้ เจ๋งมากครับ  ขอให้ในวันหนึ่งข้างหน้าคุณได้ค้นพบความจริงที่แท้จริง(ซึ่งคุณอาจจะไม่ได้คาดคิดมาก่อน) นะครับ  ^^ จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 10:09:13 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ตอบคุณอ้ายหนุ่มพลังม้า #126 คิดว่าเขาพิสูจน์กันไปแล้วนะครับว่า รูปบนดาวอังคารที่ดูออกมาแบบนั้น เป็นเพราะแสงเงา ทำให้ในบางมุมมันเผอิญดูออกมาเป็นแบบนั้น แต่พอดูมุมตรงๆ แล้วก็หลุมบ่อธรรมดา ไม่ได้เป็นภาพอะไรครับ จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 10:16:23 ]

ความคิดเห็นที่ 134 อีกอย่างที่จขกท พูดถึงก็คือ สัญชาติญาณของสัตว์ชนิดต่างๆ ที่หลายครั้งเราจะเห็นได้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก เช่น   สัญชาติญาณของปลวกในการทำรังและการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นสังคม   http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X6527815/X6527815.html ทั้งหมดนี้เป็นไปโดยโปรแกรมที่เรียกว่าสัญชาติญาณ นั่นคือ ปลวกมันทำอย่างนี้ได้ก็เพราะโปรแกรมที่ถูกใส่ไว้ตัวมัน สัญชาติญาณอันน่าทึ่งอย่างนี้มาจากไหน ?   เป็นคำถามที่นักนิยมวิวัฒนาการไม่มีคำตอบครับ จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 10:46:01 ]

ความคิดเห็นที่ 135 พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ทำไมปล่อยให้มีภูติผีปีศาจ จอมมารซาตานเข้ามาในโลกท่านได้ ซ้ำยังมีคนไม่เชื่อพระเจ้าเกิดขึ้น ไอ้ความคิดแบบอเทวนิยมมันมาจากไหน เหตุใดพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์อันยิ่งใหญ่จึงใส่ความคิดลงมาในนี้  ด้วยความคิดแค่ไม่เหมือนกัน ลูกหลานที่ท่านสร้างมาสืบพันธ์กันมาต้องมาตายลงด้วยความขัดแย้งนี้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น แบ่งเขาแบ่งเรา ใครไม่ใช่พวกเราถือว่าเป็นเดียรถีย์  ไม่นับญาติ     พูดตรงๆก็คือมันเว่อเกินไปกว่าจะเชื่อน่ะครับ แต่บัญญัติ10ประการไรนั่นก็คือเป็นเรื่องดีน่ะ แต่ไม่เชื่อพระเจ้าน่ะว่าเป็นผู้สร้าง ท่านอาจมองเราอยู่ แต่ไม่เชื่อว่าจะสร้างได้  แนวความคิดพระเจ้าสร้างโลกเหมือนเป็นกุศโลบายไม่ให้คนที่เป็นนักคิดเป็นบ้ามากกว่า คือพระเจ้าสร้างจบ โอเคไปทำงานอื่นต่อได้แล้ว แล้วเลิกคิดไกลออกไปกว่านี้ อะไรทำนองเนี๊ยะ จากคุณ : harvardวิทยาคม - [ 14 พ.ค. 51 11:26:06 ]

ความคิดเห็นที่ 136 "วิทยาศาสตร์คือกระบวนการพิสูจน์ ต้องมีตัวเลข สถิติ อย่างมีนัยสำคัญ มีกระบวนการที่น่าเชื่อถือ" คำว่ากระบวนการที่น่าเชื่อถือเอาอะไรมายืนยันว่ากระบวนการนั้น น่าเชื่อถือครับ การวัดด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยเช่น มิเตอร์ต่าง ๆ ที่ใช้ระบบ digital ถือว่าน่าเชื่อถือหรือเปล่าครับถ้า นำไปวัดว่าใครรักใครมากกว่ากัน เป็นตัวเลขเท่าไหร่ แต่หลาย ๆ คน (อาจไม่ทุกคน) แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ เองยังเชื่อว่ามีความรักอยู่ แม้จะไม่สามารถวัดผลออกมาเป็นตัวเลขได้ ประเด็นก็คือการวัดผลด้วยวิธีการหนึ่ง ๆ กับการทดลองสิ่ง ๆ หนึ่ง อาจจะไม่สามารถวัดค่าแล้วแสดงผลได้ ทำไมไม่ลองมองในกระบวนการทางพุทธศาสนาว่าเป็นกระบวนการ ที่น่าเชื่อถือบ้างครับ เช่นการนั่งสมาธิ ตามหลักสติปัฏฐาน 4 มีสมมติฐาน อยู่ว่า "ถ้าทำสติปัฏฐาน 4 แล้ว จะสามารถระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตได้" (การระลึกชาติ ไม่จะเป็นต้องเป็นชาติก่อน แต่หมายถึงระลึกย้อนกลับไป ในอดีต เช่นเมื่อ 10 ปีที่แล้วตอนเด็ก ๆ ในชาติเดียวกันเคยฆ่ามดเอาไว้ หรือเมื่อ 100 ปีที่แล้ว เคยเกิดเป็นคนอื่น เป็นต้น) ปัญหาก็คือมันเป็นการทดลองที่ถ้าทดลองแล้วได้ผล จะไม่สามารถ แสดงให้คนอื่นเห็นได้ เพียงเหตุผลเท่านี้หรือครับที่บอกว่าไม่น่าเชื่อถือ เพราะแม้ผู้ทดลองจะไม่สามารถแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้ แต่ผู้ที่ทำการทดลอง (อย่างถูกวิธีและทำการทดลองซ้ำจนได้ผลการทดลองตรงกันทุกครั้ง) สามารถเห็นได้รับรู้ได้ทุกคน อย่างนี้สามารถบอกว่าน่าเชื่อถือได้ หรือเปล่าครับ ประเด็นก็คือ ไม่ยอมทดลองกันแล้วก็มาบอกว่า ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็ยังไม่ทันทำการทดลองแต่ดันสรุปเสียว่าพิสูจน์ไม่ได้ มันขัด ๆ กับหลักวิทยาศาสตร์นะครับ บางคนทดลอง แต่ไม่มีความพยายามในการทดลอง นั่งสมาธิได้แป๊บเดียวก็บ่นปวดขาเมื่อยขาแล้วก็เลิก แล้วก็สรุปว่า พิสูจน์ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็พิสูจน์ไม่ได้วันยังค่ำแหละครับ จากคุณ : นายหัวเห็ด - [ 14 พ.ค. 51 12:13:01 ]

ความคิดเห็นที่ 137 เจ้าของกระทู้หายไปแล้วววววววววววววววว............ --------- เปนความบังเอิญเหรอเนี่ย ที่ผมอยากเข้ามาอ่านเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลในกระทู้นี้ แต่กลับเจอ... เมื่อเจอแบบนี้ เราจึงต้องทำแบบนี้ ออกดีกว่า จากคุณ : wattz21 ........... อ้าว บทความ the Genesis of planets มันไม่มีเหตุผลหรือ ตรงไหนล่ะ อธิบายหน่อย --------- พึ่งรู้นะว่า ไบเบิล เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่ทราบว่าที่ไหนรับรองครับ นอกจากคริสตจักร 1. พระเจ้าคือ ผู้สร้างจักรวาลนี้ แค่นี้หรือ แล้วเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่มีชีวิต เป็นพลังงาน เป็นสสาร เป็น ก๊าซ ของเหลว ของแข็ง หรือ พสาม่า มีคุณสมบัติอย่างไร หรืออะไรก็ได้ ขอให้สร้างจักรวาลนี้ เช่น อะตอมไฮโดรเจน โปรตรอน นิวตรอน กลูออน ... อย่างนี้ถือว่าเป็นพระเจ้า ถ้า พิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้สร้างจักรวาล ใข่ไหม? 2. สร้างอย่างไร  ใช้การตรัสสั่งในตอนแรก เพื่อให้เกิดวงจรของดาวและสิ่งต่างๆ ในจักรวาลที่จะดำเนินต่อไปตามวิถีการเกิด-ดับของมัน "ตรัส" แปลว่า "พูด" การพูด เราไม่ใช่กับสิ่งของ พลังงาน หรือสัตว์ประเภทอื่นๆ ยกเว้นโฮโม ซาเปียน จากราชบัณฑิตยสถาน พูด  ก. เปล่งเสียงออกเป็นถ้อยคํา, พูดจา ก็ว่า. การที่เปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ จะต้องมี อวัยวะใน การให้กำเนิดเสียง และตัวกลาง นั่นคืออากาศ พระเจ้าพูด => แล้วพูดว่าอะไร แล้วอะไรเป็นตัวกลาง ที่ส่งผ่านเสียง แล้วใช้อวัยวะใดในการกำเนิดเสียง เสียง คำพูด ก่อให้เกิดดวงดาวได้ยังไง มีหลักฐานตรงไหน มีใครทำการทดลองให้เห็นได้บ้าง ตีพิมพ์ในนิตยสารไหน จะได้ไปหาอ่านดู ข้ออื่นๆ ยังไม่ต้องพิจารณา ขอให้ผ่านข้อนี้ไปอย่างไม่คลาง แคลนใจก่อน จากคุณ : .eAT - [ 14 พ.ค. 51 12:36:16 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ตอบคุณ Harvard ครับ ประการแรก การที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้นขึ้น ไม่เกี่ยวกับว่ามีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้านะครับ การที่มีพระเจ้าแต่ยังเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ก็ไม่ใช่ความผิดปกติอะไร เป็นผลของการกระทำของมนุษย์เองทั้งนั้นเลยครับ มันเหมือนกับการที่มีนักเรียนนักศึกษาสอบตกน่ะครับ แปลว่าไม่มีโรงเรียน ไม่มีครู หรือเปล่าครับ ถ้านักเรียนนักศึกษา ตั้งใจเล่าเรียน สนใจสิ่งที่ครูสั่งสอน การสอบตกก็คงไม่เกิดขึ้น ส่วนเรื่องที่บอกว่า พระเจ้าสร้างแล้วไม่ต้องคิดอะไรต่อ ก็คงไม่ใช่แนวคิดที่ถูกเช่นกัน มันไม่เกี่ยวข้องกันครับ การที่เราศึกษาเรื่องราวของสิ่งต่างๆในโลก ก็เพื่อการใช้ประโยชน์ ส่วนสิ่งที่เราศึกษานั้น จะถูกสร้างขึ้นหรือเปล่าก็ไม่ใช่สาเหตุที่จะบอกว่าไม่ต้องไปศึกษามันแล้ว จากคุณ : ksk - [ 14 พ.ค. 51 12:38:10 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ตอบคุณ .eAT #137 อย่า double standard นะครับ  คุณมีความคลางแคลงใจใน "ความเชื่อที่ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเองจากสารเคมี" บ้างหรือไม่ครับ ? แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 12:52:05 จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 12:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 140 คุณ .eAT ครับ อ้าว บทความ the Genesis of planets มันไม่มีเหตุผลหรือ ตรงไหนล่ะ อธิบายหน่อย เป็นเรื่องจริงที่พบและพิสูจน์ยืนยันแล้ว หรือเป็นแค่แนวคิดที่นำเสนอครับ เหตุผลก็เป็นไปตามนั้นแหละครับ แต่คำว่ามีเหตุผล ก็ไม่ได้แปลว่า "ถูกต้อง" เสมอไปนะครับ นักวิทยาศาสตร์มีเหตุผล ฆาตรกรก็มีเหตุผล เด็กแว๊นซ์ก็มีเหตุผลครับ พึ่งรู้นะว่า ไบเบิล เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่ทราบว่าที่ไหนรับรองครับ นอกจากคริสตจักร ไปเอาที่ไหนมาพูดครับ เรารู้ว่าสิ่งใดควรใช้อย่างไรนะครับ สิ่งที่ไบเบิลบอกเรา คือเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต และจะเกิดในอนาคต ส่วนจะถูกนำไปอ้างอิงถึงนั้น ก็แล้วแต่กาละเทศะครับ "ตรัส" แปลว่า "พูด" การพูด เราไม่ใช่กับสิ่งของ พลังงาน หรือสัตว์ประเภทอื่นๆ ยกเว้นโฮโม ซาเปียน กฏเกณฑ์ใหม่ บัญญัติโดย .eAT แค่นี้หรือ แล้วเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่มีชีวิต เป็นพลังงาน เป็นสสาร เป็น ก๊าซ ของเหลว ของแข็ง หรือ พสาม่า มีคุณสมบัติอย่างไร หรืออะไรก็ได้ ขอให้สร้างจักรวาลนี้ เช่น อะตอมไฮโดรเจน โปรตรอน นิวตรอน กลูออน ... อย่างนี้ถือว่าเป็นพระเจ้า ถ้า พิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้สร้างจักรวาล ใข่ไหม? ไบเบิลไม่ได้ระบุรายละเอียดที่เกินจำเป็นแบบนั้นครับ เสียง คำพูด ก่อให้เกิดดวงดาวได้ยังไง มีหลักฐานตรงไหน มีใครทำการทดลองให้เห็นได้บ้าง ตีพิมพ์ในนิตยสารไหน จะได้ไปหาอ่านดู เทคโนโลยีของเรา ณ วันนี้ คงยังไม่สามารถเลียนแบบการกระทำอย่างนั้นได้ครับ แต่ก่อนหน้านั้น ก็มีคนเคยปรามาสไว้ว่าเหล็กหนักกว่าอากาศ จะลอยอยู่ได้อย่างไร ภายหลังจึงสามารถเข้าใจกระบวนการนั้น และส่งให้ไปถึงดวงจันทร์ได้ด้วยซ้ำไป ใจเย็นๆครับ สักวันที่วิทยาการของมนุษย์เรียนรู้อะไรๆไปมากกว่านี้ เราอาจเข้าใจกระบวนการนั้นได้ จากคุณ : ksk - [ 14 พ.ค. 51 13:04:02 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ไม่เห็นมีคนมาแสดงความเห็นในเรื่องที่ผมคุยมั่งเลยแฮะ (136 อ่ะครับ) จากคุณ : นายหัวเห็ด - [ 14 พ.ค. 51 13:52:47 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ^ ^ สวัสดีครับ คุณนายหัวเห็ด     เผอิญว่าเรื่องที่คุณเขียนเข้ามานั้น มันไม่ค่อยตรงกับประเด็นของกระทู้นี้ซักเท่าไหร่น่ะครับ  :)    แนะนำให้ไปเขียนตั้งเป็นอีกกระทู้นึงไปเลย เดี๋ยวก็มีคนเข้ามาตอบเองแหละครับ  ^^ จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 14:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 143 คุณ  PureTruth  และทุกท่านอ่านความเห็นผมยังฮะ  -*- เซร็งง่ะ เถียงกันเลยเถิดมากๆ  อย่างงี้ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกฮะ  ปัญญาอ่อนฮะ  ผมไม่เห็นได้อะไรเลย จากคำตอบของคุณ  PureTruth และการโต้เถียงคุณ  PureTruth  โดยท่านอื่นๆ    คนอย่างงี้ เขาก็เชื่อแต่อย่างที่เขาเชื่อแหละฮะ คุณไปเถียงกับเขาได้แต่ความหงุดหงิดรำคาญใจใส่ตัวฮะ ส่วนคุณ PureTruth ตอบไป คนอื่นเขาก็ไม่เชื่อตามที่คุณเชื่อฮะ แค่นั้นเอง ประเด็นมันเป็นเรื่อง"ความเชื่อ"ไปแล้ว แปะอีกที  ให้อ่านกันฮะ แล้วช่วยลบอคติของทุกท่านออกด้วย "...เพราะฉนั้น จะหาคำตอบที่เป็นที่สิ้นสุด หรือพยายามสร้างการถกเถียงกันไปเพื่ออะไรฮะ ...อยากเป็น The winner ?? ==? สิ่งที่รู้ก็ตอบว่า  "รู้"  ครับ ไม่รู้ก็ตอบว่า  "ไม่รู้"   รู้เท่าไหนก็ตอบไปเท่านั้น  ตอบเกินกว่าที่รู้ก็คือ  "ไม่รู้"  นั่นแหละฮะ ส่วนสิ่งที่ไม่รู้แล้วจะตอบว่า  "มี"  หรือ "ไม่มี"   "จริง" หรือ "ไม่จริง" ไม่ได้ฮะ ไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ฮะ ถ้ารแสร้งว่ารู้เขาเรียกว่า "อวดฉลาด" หรือ " งมงาย" **สิ่งที่ยังพิสูจน์ หรือให้คำตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่า "ไม่จริง" เสียทั้งหมดฮะ แต่แค่ยัง " ไม่รู้" เท่านั้นเอง  เพราะฉนั้น เมื่อไม่รู้ ก็อย่าเพิ่งได้ตัดสินอะไรกันเลยครับ เถียงกันไปเปล่าๆ ยกตัวอย่างเช่น  คห 134 ทั้งหมดนี้เป็นไปโดยโปรแกรมที่เรียกว่าสัญชาติญาณ นั่นคือ ปลวกมันทำอย่างนี้ได้ก็เพราะโปรแกรมที่ถูกใส่ไว้ตัวมัน สัญชาติญาณอันน่าทึ่งอย่างนี้มาจากไหน ?   เป็นคำถามที่นักนิยมวิวัฒนาการไม่มีคำตอบครับ คุณ PureTruth ฮะ อย่างอันนี้ นักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ไม่ได้ ก็คือ เขา "ไม่รู้" เท่านั้นเองฮะ  คุณเองก็ยัง"ไม่รู้"ฮะ แต่คุณ"เชื่อ" ว่าพระเจ้าสร้างขึ้นมา ฮะ ตรงส่วนนี้เป็นสิทธิของคุณเลยฮะ แต่ถ้าคุณไม่รู้ก็คือไม่รู้เท่ากับคนอื่นๆฮะ  อย่าพยายามยัดเยียด"ความเชื่อ" ของคุณให้ใครฮะ Free man มีสิทธิเลือกจะเชื่อฮะ  คุณเลือกจะเชื่ออย่านั้น  ผมและเชื่อว่าคนอื่นๆด้วยก็จะไปว่าอะไรคุณไม่ได้เลยฮะ แต่คุณได้โปรดอย่าบอกว่า คุณ"รู้" ว่าพระเจ้าเป็นคนสร้างฮะ  มันเป็นการ"ปรุงแต่ง"ของจิตฮะ จากคุณ : ZZsassyZ - [ 14 พ.ค. 51 14:44:36 ]

ความคิดเห็นที่ 144 #141 ผมคุยด้วยก็ได้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถือว่า ทุกหลักฐานต้อง 1. observable สังเกตได้ 2. empirical ประจักษ์ชัด 3. measurable วัดค่าได้ ดังนั้นกระบวนการทางพุทธเชื่อถือได้หรือไม่ ถ้าตามวิทยาศาสตร์เพียวๆต้องบอกว่า ไม่น่าเชื่อถือครับ เพราะไม่เข้าข่ายตามนิยามตั้งแต่ต้น เพราะอะไร? ดูสมมติฐานสิครับ "ถ้าทำสติปัฏฐาน 4 แล้ว จะสามารถระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตได้" เราไม่สามารถแยกแยะได้ว่า เหตุการณ์ที่คุณระลึก นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นภาวะหลอนของจิตหลอกตัวเอง แต่ถ้่าลองเปลี่ยนเป็น "ถ้าทำสติปัฏฐาน 4 แล้ว ระดัีบความทุกข์จะลดลง" แล้วคุณนิยามความทุกข์ได้(อันนี้สมมุตินะ) ว่าหมายถึงปริมาณ เอ็นโดรฟีัน จะหลั่้งเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับภาวะทั่วไปอันพิสูจน์ได้เชิงสถิติ อันหลังเป็นวิทยา่ศาสตร์ครับ สังเกตได้ ทดลองได้ ได้ผลเชิงประจักษ์ และวัดค่าได้ จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 14 พ.ค. 51 14:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 145 ตอบคุณ ZZsassyZ #143 "อย่าพยายามยัดเยียด"ความเชื่อ" ของคุณให้ใครฮะ Free man มีสิทธิเลือกจะเชื่อฮะ" Ans. ผมคิดว่าคุณควรจะลองกลับไปอ่านดูความเห็นต่างๆ ด้วยสติ ให้ดีๆ อีกซักครั้งนะครับ    แล้วคุณจะรู้ว่า คุณควรจะต้องไปบอกคนที่พยายามออกมากล่าวอ้างความเชื่อที่ว่า ไม่มีพระเจ้า   ด้วยเช่นเดียวกันนะครับ เพราะตัวผมก็แค่ตอบไปตามข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่เรามีอยู่ (ยกเว้นในกรณีที่มีผู้ถามถึงเรื่องพระเจ้าโดยตรง)      ทำไมคุณถึงไม่ไปบอกอย่างนี้กับคนที่พยายามอ้างอยู่ได้ เกี่ยวกับความเชื่อที่ว่า ไม่มีพระเจ้า  ล่ะครับ ?????? แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 15:50:10 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 15:36:14 จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 15:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 146 คุณลองอ่านความเห็นผมดีๆฮะ ผมบอกแล้วให้ลบอัตตาของคุณออกก่อน ผมน่ะ ตอนนี้มีสติดีอยู่แล้วฮะ^__^ และยังปราศจากอคติใดๆด้วยฮะ แค่ส่วนนี้ ที่ผมบอกไปว่า "**สิ่งที่ยังพิสูจน์ หรือให้คำตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่า "ไม่จริง" เสียทั้งหมดฮะ แต่แค่ยัง " ไม่รู้" เท่านั้นเอง  เพราะฉนั้น เมื่อไม่รู้ ก็อย่าเพิ่งได้ตัดสินอะไรกันเลยครับ เถียงกันไปเปล่าๆ" ตรงนี้เอง ถ้าคุณจะไม่... แบบว่า คุณลองพิจารณาให้มากกวานี้นิดนึง คุณจะเห็นเองฮะว่า ผมได้ทำตามอย่างที่คุณบอกแล้ว  มีสตินิดนึงฮะ คุณ PureTruth  แต่ถ้ามีสติแล้วคุณยังไม่เข้าใจในข้อความนี้ของผมจริงๆแล้ว บอกผมได้ฮะ ผมจะขยายให้ ไม่ว่ากันฮะ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 16:08:57 จากคุณ : ZZsassyZ - [ 14 พ.ค. 51 15:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 147 อ้างอิง "อยากถามเรื่อง ทฤษฎี "พระเจ้าสร้าง" คำนิยาม 1. พระเจ้าคือ ผู้สร้างจักรวาลนี้ 2. สร้างอย่างไร ใช้การตรัสสั่งในตอนแรก เพื่อให้เกิดวงจรของดาวและสิ่งต่างๆ ในจักรวาลที่จะดำเนินต่อไปตามวิถีการเกิด-ดับของมัน 3. สร้างตอนไหน สร้างมานานแค่ไหน ไม่ได้ระบุแน่ชัด เพราะ"วัน"ในภาษาเดิมของพระคัมภีร์ มีความหมายอีกอย่างว่า "ช่วงระยะเวลา" 4. ทฤษฎีกล่าวไว้ว่าอะไรบ้าง กล่าวไว้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง จักรวาลและสิ่งมีชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง 5. หลักฐานมีอะไรบ้าง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับส่วนประกอบและโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่จำเป็นในการสร้างนั้นเป็นเทคโนโลยีที่สูงมาก ซึ่งแม้แต่อุปกรณ์ของมนุษย์ (เช่น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ยานอวกาศ) ซึ่งเทียบกันแล้วยังใช้เทคโนโลยีที่สูงไม่เทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิต อุปกรณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ 6. แล้วทำซ้ำได้ไหม ถ้ามนุษย์เข้าถึงเทคโนโลยีที่สูงมากๆ นี้ ก็ทำซ้ำได้ครับ ท้ายที่สุด หากมนุษย์ทั่วๆ มีเทคโนโลยีที่ว่านี้ เราก็สามารถสร้างโลกสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาเองได้ แสดงว่าเรามีความสามารถเทียบเคียงพระเจ้า ถ้าเรามีเทคโนโลยีขั้นสูงกว่านี้เราก็อาจจะมีความสามารถเท่ากับพระเจ้า ถ้าเรามีเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นไปอีกเราก็อาจจะมีความสามารถเหนือพระเจ้า สุดท้ายแล้วจะเป็นยังไงครับ จากคุณ : kazaraki (kazaraki) - [ 14 พ.ค. 51 16:05:50 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ตอบคุณ ZZsassyZ  #146 "คุณลองอ่านความเห็นผมดีๆฮะ ผมบอกแล้วให้ลบอัตตาของคุณออกก่อน" Ans. ผมลบอัตตาของผมออกแล้ว คุณเองแหละครับที่ยังเข้าใจผิดอยู่  ดูตามข้างล่างนี้นะครับ ""**สิ่งที่ยังพิสูจน์ หรือให้คำตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่า "ไม่จริง" เสียทั้งหมดฮะ แต่แค่ยัง " ไม่รู้" เท่านั้นเอง  เพราะฉนั้น เมื่อไม่รู้ ก็อย่าเพิ่งได้ตัดสินอะไรกันเลยครับ เถียงกันไปเปล่าๆ" ตรงนี้เอง ถ้าคุณจะไม่... แบบว่า คุณลองพิจารณาให้มากกวานี้นิดนึง คุณจะเห็นเองฮะว่า ผมได้ทำตามอย่างที่คุณบอกแล้ว  มีสตินิดนึงฮะ" Ans. สงสัยคุณจะมีสติไม่จริงซะแล้วล่ะครับ ตรงไหนใน #145 ที่ผมพูดว่าคุณตัดสินสรุปไปเอง  ไม่มีเลยครับ  ผมพูดใน #145 ว่ายังไง คุณลองมีสติ อ่านดูอีกครั้งนะครับ "คุณ PureTruth  แต่ถ้ามีสติแล้วคุณยังไม่เข้าใจในข้อความนี้ของผมจริงๆแล้ว บอกผมได้ฮะ ผมจะขยายให้ ไม่ว่ากันฮะ" Ans. ผมโอเคแล้วก็เข้าใจครับ  ถ้าคุณยังไม่เข้าใจตรงไหน ก็บอกได้นะครับ ไม่ว่ากันครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 16:33:56 จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 16:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 149 อืม อ่านไปอ่านมา ความเห็นที่ผมพิมพ์ คุณอ่านแล้วจะออกไปในทางแดกดันหรือเปล่าคับนี่ งั้นผมขยายข้อความนี้เลยละกันครับ เด๋วจะเห็นว่าผมไม่ยุติธรรมกับคุณอีกคับคุณ  PureTruth คือตรงนี้นะครับ "**สิ่งที่ยังพิสูจน์ หรือให้คำตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่า "ไม่จริง" เสียทั้งหมดฮะ แต่แค่ยัง " ไม่รู้" เท่านั้นเอง  เพราะฉนั้น เมื่อไม่รู้ ก็อย่าเพิ่งได้ตัดสินอะไรกันเลยครับ เถียงกันไปเปล่าๆ" ตรงนี้เอง ผมก็ได้บอกแล้วครับว่า สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ หรือหาคำตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่า "ไม่จริง"ครับ แต่เป็นสิ่งที่ยัง"ไม่รู้" เหมือนเช่นในกรณีพระเจ้าของคุณPure Truth ครับ การที่นักวิทยาศาสตร์ ยังพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ได้   ไม่ได้หมายความว่า "ไม่มี"พระเจ้า   สิ่งที่ยังไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่า "ไม่มี"  แต่อาจจะยังเกินความสามมารถในการพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน     เหมือนเรื่อง นิพพาน การที่นักวิทยาศาสตร์ หรือใครก็ตาม ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ว่านิพพานมีจริงหรือไม่ ลักษณะอย่างไร ไม่ได้หมายความว่า ไม่มี นิพพาน มี หรือ ไม่มี  อันนี้เป็นการเลือกเชื่อฮะถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ ผมถึงได้บอกไงว่าในกรณีมีพระเจ้า? พระเจ้าสร้างโลก? ผมจะตอบว่า "ไม่รู้" ฮะ รู้เท่าไหนผมก็ตอบไปเท่านั้นฮะ จะไม่แถรู้ตอบว่า มี หรือ ไม่มี..จริง หรือ ไม่จริง ฮะ แต่ถ้าถามว่าผมเชื่อไหมนั้น ผมตอบว่าไม่เชื่อฮะ แค่นั้นเอง ผมเลยบอกไงฮะ ว่าคนที่ รู้(หรือไม่รู้) แต่ตอบเกินกว่าที่รู้  คือคน "อวดฉลาด" ฮะ   ส่วนคนที่ไม่รู้ แต่แสร้งว่ารู้แบบแถๆ เรียกว่า "งมงาย" ฮะ แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 17:26:09 จากคุณ : ZZsassyZ - [ 14 พ.ค. 51 16:47:10 ]

ความคิดเห็นที่ 150 อ้าว พึ่งมาเห็น # 148 ผมคาอยู่หน้าพรีวิวคอมเมนท์นานไปหน่อย ทำอย่างอื่นอยู่พอดี เลยกดเมนท์แล้วเพิ่งจะเห็น   แล้วผมก็ได้เห็นครับว่าคุณPureTruth อัตตาสูงมากจิงๆครับ^^ ผมจึงไม่ขอต่อปากต่อคำกับคุณอีกในกระทู้นี้ นอกจากคห.นี้ของผมที่ผมจะชี้แจง คห. 148 ของคุณ   "Ans. สงสัยคุณจะมีสติไม่จริงซะแล้วล่ะครับ ตรงไหนใน #145 ที่ผมพูดว่าคุณตัดสินสรุปไปเอง  ไม่มีเลยครับ  ผมพูดใน #145 ว่ายังไง คุณลองมีสติ อ่านดูอีกครั้งนะครับ" !! ผมพูดตรงไหนคร๊าบ ว่าคุณพูดกับผมว่า "ผมตัดสินสรุปไปเอง" ไหนๆ 0 - 0 ?? ไม่มีน่ะถูกของคุณแล้วครับ เพราะผมไม่ได้พูดด ที่ผมพูด.... "ผมได้ทำตามอย่างที่คุณบอกแล้ว"   เนื่องจาก คุณถามผมว่า... "ทำไมคุณถึงไม่ไปบอกอย่างนี้กับคนที่พยายามอ้างอยู่ได้ เกี่ยวกับความเชื่อที่ว่า ไม่มีพระเจ้า  ล่ะครับ ?????? "... และผมได้ชี้แจง ว่า.."ผมได้ทำตามอย่างที่คุณบอกแล้ว" โดยอ้างอิงจากข้อความ "**สิ่งที่ยังพิสูจน์ หรือให้คำตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่า "ไม่จริง" เสียทั้งหมดฮะ แต่แค่ยัง " ไม่รู้" เท่านั้นเอง  เพราะฉนั้น เมื่อไม่รู้ ก็อย่าเพิ่งได้ตัดสินอะไรกันเลยครับ เถียงกันไปเปล่าๆ"  และขยายข้อความนี้ไปใน คห 149 แล้วครับ เข้าใจอะไรยากจังครับ ^^" แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 17:40:08 จากคุณ : ZZsassyZ - [ 14 พ.ค. 51 17:17:10 ]

ความคิดเห็นที่ 151 เถียงกันก็ไม่จบหรอก เอางี้  ถ้าคุณคิดว่าหลักเหตุและผล ......ถูก...............และเป็นความจริงสากล..............ใครๆเค้าก็จะเชื่อตามคุณ .แล้วคุณก็ไปบอกให้คนอื่นให้เค้าเปลี่ยนมาเชื่อตามคุณให้ได้สิ เรื่องศาสนา...........ไม่ต้องเอามาเถียงกันครับ......มันไม่ใช่ความจริงสากล มันเป็นเพียง...........................กุศโลบาย เค้าจะเชื่อพระเจ้าก็เรื่องของเค้า   อย่างน้อยความเชื่อว่ามีพระเจ้า  มันทำให้พวกเค้ามีแรงบันดาลใจในการที่จะคิดค้นอะไร ให้สำเร็จ   แล้วประเทศฝรั่งเค้าก็พัฒนา อย่างที่เราก้าวตามไม่เคยทันอยู่นี่ไง จากคุณ : G (O-DED) - [ 14 พ.ค. 51 17:38:36 ]

ความคิดเห็นที่ 152 ตอบคุณ ZZsassyZ #150 คุณพูดจาสุภาพดีครับ ผมจะขออธิบายให้ชัดเจนขึ้นนะครับ จะได้เข้าใจกัน   ผมพูดใน #145 ดังนี้ครับ ผมอ้างถึงสิ่งที่คุณ ZZsassyZ พูดกับผมใน #143 ว่า "อย่าพยายามยัดเยียด"ความเชื่อ" ของคุณให้ใครฮะ Free man มีสิทธิเลือกจะเชื่อฮะ" แล้วผมก็บอกว่า ทำไมคุณไม่พูดประโยคนี้กับกลุ่มคนที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าบ้างล่ะ ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นก็ทำอย่างเดียวกันในกระทู้นี้ หวังว่าอย่างนี้คุณ ZZsassyZ คงจะเข้าใจแล้วนะครับ นั่นคือ ผมหมายความว่า คุณ ZZsassyZ ยังไม่เคยต่อว่าบางคนในห้องนี้ที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า ด้วยประโยคนี้ครับ ถ้าคุณกลับไปดู #145 จะเห็นได้ว่าผมพูดไว้อย่างนี้เลยครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 18:30:16 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 18:25:27 จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 18:19:12 ]

ความคิดเห็นที่ 153 (ต่อ) คุณ ZZsassyZ พูดไว้ว่า "ผมเลยบอกไงฮะ ว่าคนที่ รู้(หรือไม่รู้) แต่ตอบเกินกว่าที่รู้  คือคน "อวดฉลาด" ฮะ   ส่วนคนที่ไม่รู้ แต่แสร้งว่ารู้แบบแถๆ เรียกว่า "งมงาย" ฮะ" Ans.  อืม... ตรงกับหลายคนที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้านะครับ  ลองดูตัวอย่างจากความเห็นบนๆ ในกระทู้นี้ก็ได้ครับ มีเยอะแยะเลย (ซึ่งพอถูกชี้แจงด้วยข้อมูลที่ถูกต้องก็เงียบกริบหายตัวไปเลย) แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 18:47:06 จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 18:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 154 เข้าใจสิครับ ^^ ผมถึงได้อธิบายว่า ผมได้ทำไปแล้ว ในการที่ผมพูดว่า "**สิ่งที่ยังพิสูจน์ หรือให้คำตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่า "ไม่จริง" เสียทั้งหมดฮะ แต่แค่ยัง " ไม่รู้" เท่านั้นเอง  เพราะฉนั้น เมื่อไม่รู้ ก็อย่าเพิ่งได้ตัดสินอะไรกันเลยครับ เถียงกันไปเปล่าๆ" ตรงนี้แหละฮะที่ผมบอกถึงคนที่บอกว่าไม่มีพระเจ้าฮะ   แต่คุณคงคิดว่า ผมเข้าใจว่าคุณคิดว่าผมตัดสินสรุปไปเอง เพราะจากตรงนี้คุณว่าผมว่า "Ans. สงสัยคุณจะมีสติไม่จริงซะแล้วล่ะครับ ตรงไหนใน #145 ที่ผมพูดว่าคุณตัดสินสรุปไปเอง  ไม่มีเลยครับ  ผมพูดใน #145 ว่ายังไง คุณลองมีสติ อ่านดูอีกครั้งนะครับ" ตรง 145 ผมน่ะเข้าใจดีฮะ แต่คุณคงไม่เข้าใจพอผมยกข้อความมาโดยไม่มีการอธิบายขยาย^^ เลยเข้าใจผมผิด แต่เอาเป็นว่า ถ้าคุณที่เชื่อในพระเจ้า แล้วคิดว่าคุณถูก เขาหรือผมซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้าก็ถูกครับ เพราะทุกคนเป็น Freemanครับ เพราะฉนั้น มีสิทธิเลือกจะเชื่อ ....... ..เหมือนที่คุณมีสิทธิจะ เชื่อ ในพระเจ้าและ ไม่เชื่อ ท่านที่มาโต้แย้งกับคุณครับ ท่านๆทั้งหลายที่เข้ามาตอบโต้กับคุณในที่นี้ ก็มีสิทธิที่จะ เชื่อ ในทฤษฎีวิทยาศาสตร์หรืออะไรของเขาครับ และไม่เชื่อคุณครับ เพราะคุณและท่านอื่นๆต้องตระหนักและเข้าใจนะครับว่า สิ่งที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในที่นี้ ยัง"พิสูจน์ไม่ได้" มันคือความจริงที่ยัง"ไม่รู้" ครับ จะมาสรุปว่าผมถูก หรือ คุณ ผิดไม่ได้ครับ ผมถึงได้บอกว่า ไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ฮะ ไม่ว่าผม หรือคุณเอง ไปจริงๆล่ะครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 19:04:32 จากคุณ : ZZsassyZ - [ 14 พ.ค. 51 18:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 155 ใช่ครับ เกิดจากความบังเอิญครับ โดยความบังเอิญนั้นเกิดมาเป็นล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านครั้ง จากในโลกนี้ ในดาวเคราะห์ต่างๆ ในระบบสุริยะ ในกาแลคซี่ ในจักรวาล ที่ทั้งหมดไม่รู้กี่ล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านดวง จากเวลาหลายล้านล้านปี มันถูกทดลองและทดสอบมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วครับ มันถึงมาเป็นมนุษย์ที่มาตั้งและตอบกระทู้ในพันทิพย์นี้ได้ ทฤษฎีทดสอบและคัดกรอง จากคุณ : kkool - [ 14 พ.ค. 51 19:04:00 ]

ความคิดเห็นที่ 156 ผมเข้าใจทั้งหมดที่คุณ ZZsassyZ พูดนะครับ แต่มันไม่ตรงประเด็นกับสิ่งที่ผมพูดถึง   -_-" เอาแบบสั้นๆ ง่ายๆ นะครับ  คุณ ZZsassyZ ว่าผมว่า อย่าไปพยายามยัดเยียดความเชื่อให้ผู้อื่น   แต่คุณ ZZsassyZ กลับไม่เคยว่าอย่างนี้กับกลุ่มคนในกระทู้นี้ที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ทำในสิ่งเดียวกัน    อย่างนี้พอจะเข้าใจไหมครับ ถ้าชัดเจนขนาดนี้คุณยังไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะครับ ...... แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 19:25:19 จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 19:18:18 ]

ความคิดเห็นที่ 157 อ้างอิง PureTruth "อยากถามเรื่อง ทฤษฎี "พระเจ้าสร้าง" คำนิยาม 1. พระเจ้าคือ ผู้สร้างจักรวาลนี้ 2. สร้างอย่างไร ใช้การตรัสสั่งในตอนแรก เพื่อให้เกิดวงจรของดาวและสิ่งต่างๆ ในจักรวาลที่จะดำเนินต่อไปตามวิถีการเกิด-ดับของมัน 3. สร้างตอนไหน สร้างมานานแค่ไหน ไม่ได้ระบุแน่ชัด เพราะ"วัน"ในภาษาเดิมของพระคัมภีร์ มีความหมายอีกอย่างว่า "ช่วงระยะเวลา" 4. ทฤษฎีกล่าวไว้ว่าอะไรบ้าง กล่าวไว้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง จักรวาลและสิ่งมีชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง 5. หลักฐานมีอะไรบ้าง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับส่วนประกอบและโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่จำเป็นในการสร้างนั้นเป็นเทคโนโลยีที่สูงมาก ซึ่งแม้แต่อุปกรณ์ของมนุษย์ (เช่น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ยานอวกาศ) ซึ่งเทียบกันแล้วยังใช้เทคโนโลยีที่สูงไม่เทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิต อุปกรณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ 6. แล้วทำซ้ำได้ไหม ถ้ามนุษย์เข้าถึงเทคโนโลยีที่สูงมากๆ นี้ ก็ทำซ้ำได้ครับ ท้ายที่สุด หากมนุษย์ทั่วๆ มีเทคโนโลยีที่ว่านี้ เราก็สามารถสร้างโลกสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาเองได้ แสดงว่าเรามีความสามารถเทียบเคียงพระเจ้า ถ้าเรามีเทคโนโลยีขั้นสูงกว่านี้เราก็อาจจะมีความสามารถเท่ากับพระเจ้า ถ้าเรามีเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นไปอีกเราก็อาจจะมีความสามารถเหนือพระเจ้า สุดท้ายแล้วจะเป็นยังไงครับ ถามซ้ำ จากคุณ : kazaraki (kazaraki) - [ 14 พ.ค. 51 19:22:52 ]

ความคิดเห็นที่ 158 ตอบคุณ kazaraki ครับ เอาให้เราสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาให้มันได้จริงๆ ก่อน ดีไหมครับ    หลังจากนั้น ก็สร้างโลกให้ได้ด้วย   ถึงจะพอพูดได้ว่ามีความสามารถเทียบเคียง (แต่ยังไม่เท่า) กับพระเจ้า   แค่นี้ก็ไม่รู้จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนแล้ว  จะทำได้จริงๆ หรือเปล่าก็ยังไม่รู้   แล้วคุณไปถามถึงอะไรขนาดนั้นเนี่ย ไม่มีใครตอบได้หรอกครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 51 19:34:06 จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 19:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 159 ผมถามเนี่ยเพราะคิดว่าโลจิกในการคิดของคุณมันดูออกแปลกไปหน่อย เหตุผลคุณที่ยกมาว่า เอาให้เราสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาให้มันได้จริงๆ ก่อน ดีไหมครับ    หลังจากนั้น ก็สร้างโลกให้ได้ด้วย   ถึงจะพอพูดได้ว่ามีความสามารถเทียบเคียง (แต่ยังไม่เท่า) กับพระเจ้า   แค่นี้ก็ไม่รู้จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนแล้ว  จะทำได้จริงๆ หรือเปล่าก็ยังไม่รู้   แล้วคุณไปถามถึงอะไรขนาดนั้นเนี่ย ไม่มีใครตอบได้หรอกครับ มันเป็นเหตุผลที่ตื่นเขินมากเลยครับ ส่วนประโยคที่ผมยกคำพูดของคุณมาเพราะ คนอื่นๆอ่านแล้วก็อาจจะสามารถเข้าใจได้ว่า พระเจ้าของคุณ อาจจะเป็นคนธรรมดาที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงอยู่ในมือ เท่านั้นเอง จากคุณ : kazaraki - [ 14 พ.ค. 51 19:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 160 ตอบ #155 การเอาหลักการแบบล็อตเตอรี่มาใช้แบบผิดๆ  เพราะว่าไม่ได้มีการใช้ความรู้ทางชีววิทยาและเคมีที่ขัดแย้งกับสมมติฐาน(ความเชื่อ)นี้ มาร่วมในการพิจารณาด้วยเลย   ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ อ้างแค่จำนวนดวงดาวกับเวลานานๆ  แล้วก็พอใจละ         ความรู้ทางชีววิทยาและเคมีที่เกี่ยวข้องมันจะขัดแย้งกับความเชื่อในเรื่องนี้(คือความเชื่อที่ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเองจากสารเคมี)แค่ไหนก็ไม่เคยสนใจ .... จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 19:44:48 ]

ความคิดเห็นที่ 161 เอาแนวคิดง่ายๆเลยครับ สมัยก่อนคนเชื่อว่า เทพเจ้า พระเจ้า หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้เกิดฝน ทำให้เกิดไฟ จนบัดนี้ มนุษย์ สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้เอง บวกกับความเห็นที่ว่า 5. หลักฐานมีอะไรบ้าง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับส่วนประกอบและโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่จำเป็นในการสร้างนั้นเป็นเทคโนโลยีที่สูงมาก ซึ่งแม้แต่อุปกรณ์ของมนุษย์ (เช่น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ยานอวกาศ) ซึ่งเทียบกันแล้วยังใช้เทคโนโลยีที่สูงไม่เทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิต อุปกรณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ 6. แล้วทำซ้ำได้ไหม ถ้ามนุษย์เข้าถึงเทคโนโลยีที่สูงมากๆ นี้ ก็ทำซ้ำได้ครับ นั่นคือ มนุษย์เข้าถึงเทคโนโลยีที่ทำให้มีความสามารถเท่าเทียบกับความสามารถส่วนหนึ่งของพระเจ้า หรือ เทพเจ้า แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ความเชื่อเรื่องพระเจ้า เทพเจ้า สร้างฝน สร้างไฟ ได้หายไป หากจะคิดในทำนองเดียวกัน ถ้ามนุษย์สร้างโลก หรือสิ่งมีชีวิตได้ ความเชื่อเรื่องพระเจ้าจะเป็นไปในทิศทางไหนกันครับ ถ้าคุณบอกทฤษฎีพระเจ้าแบบนี้ ไม่ต้องรอให้เกิดแล้วค่อยคิดค่อยตอบนะครับ เพราะนี่คือการวิเคราะห์และตีความจากคำพูดของคุณ จากคุณ : kazaraki - [ 14 พ.ค. 51 19:52:38 ]

ความคิดเห็นที่ 162 ตอบคุณ kazaraki #159 เป็นคำตอบที่ตื้นเขิน ??  แล้วมีใครที่ให้คำตอบได้เหรอครับ ???? ส่วนถ้าเขาจะเข้าใจพระเจ้าไปเป็นแบบนั้น ก็แล้วแต่เขาครับ ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมกันไปแล้วจะสามารถเข้าใจได้ถูกต้องมากขึ้นครับ จากคุณ : PureTruth - [ 14 พ.ค. 51 19:54:24 ]