ความคิดเห็นที่ 1 มิติที่ 5 คือ อะไรเหรอคับ จะให้ผมจินตานาการยังงัย ได้บ้าง อย่าง มิติที่ 4 นี่พอจะนึกภาพได้ จากคุณ : caznov - [ 25 พ.ค. 51 17:48:18 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ยิ่งค้นหามันยิ่งซับซ้อน ทางความคิด แต่สุดท้ายทุกอย่างคือเรื่องเดียวกัน จุดจบของการค้นหา.... จะมีคนที่รับได้ และ จะรับไม่ได้ จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 25 พ.ค. 51 17:55:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ความจริง เรื่องพวกนี้ ส่วนมากอธิบายด้วยสูตรก่อน ถึงกลั่นออกมาเป็นคำพูด ถ้าลองไปดูการคำนวณ ว่าเค้าตั้งต้นด้วยอะไร สมการเปลี่ยนแปลงยังไง ก็น่าจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง แต่!!!!!!!!!! สำคัญที่เราจะดูสมการนั้นรู้เรื่องรึป่าว เรียนควอนตัมมา 2 ตัว แค่สมการแสดงสถานะของอิเล็กตรอนในไฮโดรเจน ยังสยองเลย จากคุณ : หมั่นไส้ - [ 25 พ.ค. 51 18:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เพราะมันเปนเรื่องที่เกินสามัญสำนึกของคนเราไงครับ แต่ถ้าคุณได้เรียนถึงความเป็นมาเป็นไปตั้งแต่แรก ก็มีสิทธิ์ ย้ำน่ะครับว่ามีสิทธิที่จะเข้าใจมันได้ ก็คงต้องไล่ไปตั้งแต่สมการของโชรดิงเจอร์ เรยทีเดียว ผมเคยมีโอกาสเรียนถึงแค่ grand unified theoryเท่านั้น จะตายให้ได้เช่นกันครับ แต่ต้องยอมรับในความสามารถของคณิตศาสตร์ ที่ทำให้คนเราเข้าใจมันได้ จากคุณ : !!! - [ 25 พ.ค. 51 18:01:49 A:58.64.75.116 X: TicketID:172964 ]

ความคิดเห็นที่ 5 :-) ผมไม่ได้เรียน field physics น่ะครับ แต่เห็นว่า อ่านเพลิน สนุกดี และน่าประทับใจในหลายเรื่องๆ ถ้าค่อยๆเริ่มตั้งแต่สมการตั้งต้นแล้วจะมีหนทางเข้าใจมันได้จริงๆเหรอ? จากคุณ : Cryptomnesia - [ 25 พ.ค. 51 18:06:01 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อย่าเพิ่งรีบสนใจสมการ มันครับ มองเป็นภาพรวมๆและจับความรู้สึก ความสัมพันธ์ของมันก่อน แบบง่ายๆก่อน ประมาณว่าเข้าใจธรรมชาติของมัน แล้วค่อยไปมอง ตัวสมการคณิตศาสตร์ยึกๆยือๆ ยาวๆ เพื่อนผมที่เข้าค่อนข้างโปรทางด้านนี้เวลาอธิบาย ก็มันเขียนรุปง่ายๆ อธิบายความสัมพันธ์ คล้ายเป็นภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ดูแล้วเข้าใจ อย่างสมการ ของทฤษฎีสัมพันธภาพ์  L = Lo/ แสควร์รูท ของ  1=v^2/c^2  เพื่อนผมอธิบายเป็นภาพวาด ธรรมดา... ว่าทำไมยิ่งไปไกล แล้วยิ่งหด ไม่พูดถึงสมการอะไรเลย โอ้มันเป็นแบบนี่เอง  .... orz คุณ Cryptomnesia  ลองมีโอกาสพูดคุยกับคนที่ชอบอธิบายปรากฏการณ์เป็นภาพ... ความสัมพันธ์ จะยิ่งสนุกและยิ่งชอบครับ สมการประหลาดๆที่เอามาวางแปะๆค่า ตัวแปร ประหลาดๆนี่เหมาะกับคนที่ชอบเข้าใจในรูปแบบความสัมพันธ์เชิงคณิคศาสตร์และตัวเลข ส่วนผมไม่ถนัดการมองด้วยภาษาคณิตศาสตร์ ประมาณยิ่งดูยาก ยิ่งมึน... นอนดีกว่า... ผมก็สนใจเรื่องนี้เหมือน คุณ Cryptomnesia เหมือนกัน แต่ชอบแบบเป็นภาพง่ายๆมากวก่า มีหนังสือ ที่อธิบายเรื่องพวกนี้แบบง่ายๆของ Dr. Michio Kaku นักวิจัยทางด้าน Superstring เช่น  Beyound Einstein , Hyperspace , Visions อธิบายง่ายเข้าใจง่าย ลองหาอ่านดูนะครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 51 18:35:49 แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 51 18:23:14 จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 25 พ.ค. 51 18:22:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คอืมันไม่ได้แค่เรื่องเดียว Tensor analysis ทฤษฎีสัมพัทธภาพ สมการโชรดิงเจอร์ กลศาสตร์เมทริกซ์ เฟแมนไดอะแกรม สมการดิแรก สมการKlein-Gordon quantum electrodynamics quantum chromodynamics weak force+electromagnetic force weak force+electromagnetic force + strong force เห็นรายเรื่องที่ต้องเรียนมั้ยครับ โอ้มายก็อด ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่ได้ลิสต์ ไม่รวมคณิตศาสตร์อีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องใจที่มีน้อยคนที่เรียนแล้วรู้เรื่อง และพูดรู้เรื่องด้วย จากคุณ : !!! - [ 25 พ.ค. 51 18:26:09 A:58.64.75.116 X: TicketID:172964 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ^^ ขอบคุณครับ แต่สุดท้าย ผมก็ยังคิดว่า บางอย่างเป็นศาสตร์ที่ยังมีคนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จะเข้าใจมันได้ ไม่ว่าจะเป็น Quantum entanglement Quarke Superstring จากคุณ : Cryptomnesia - [ 25 พ.ค. 51 18:26:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทฤษฎีสัมพัทธภาพแบบพิเศษนี้ ไอสไตน์คิดโดยใช้เลขของ ม.ต้น ม.ปลายครับ สังเกตว่ามีแคลคูลัสน้อยมากจนไม่ใช้ก็ได้ แต่เรื่องที่ จขกท พูดถึง คุณอาจจะได้เจอ เครื่องหมายอินทิกรอล 6ตัวซ้อนกัน มันก็อธิบายลำบากเหมือนกัน จากคุณ : !!! - [ 25 พ.ค. 51 18:34:33 A:58.64.75.116 X: TicketID:172964 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ทำไมเค้าชอบคำณวนอะไรให้มันซับซ้อน คิดวิธีที่มันง่ายๆ ไม่ซับซ้อนได้หรือไม่ หรือยิ่งซับซ้อนก็ยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ จากคุณ : อย่ามาห้ามผม - [ 25 พ.ค. 51 18:42:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อย่างประโยคแรกนี้ ตามความเข้าใจผมคือ จริงๆแล้ว จักรวาลนี้เกิดมาจากเบรน2เบรน ชนกัน ในมิติที่5 ( 3มิติล่องลอยอยู่ในมิติที่5 ) เบรนนี้มีโอกาสชนกันได้อีกทุกเมื่อ การชนแต่ละครั้งจะสร้างความปั่นป่วน และถ่ายทอดพลังงานโมเมนตัมให้แต่ละเบรนิ จนเกิด ดวงดาวและจักรวาลในแต่ละเบรนได้ และไอ้เบรนที่ว่านี้เกิดมาจากquantum fluctuation ที่ยืมพลังงานมาจากความว่างเปล่า เข้าใจยากเน๊าะ จากคุณ : !!! - [ 25 พ.ค. 51 18:49:34 A:58.64.75.116 X: TicketID:172964 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เค้าหมายความว่า อย่างเช่นเรามีอนุภาค+1  และจากสมการ 0=+1-1 เช่นนั้นเราก็จะได้ว่าอนุภาคเกิดจากความว่างเปล่า(ยังไม่รู้จุดกำเนิด) และ Quantum entanglement หมายความว่า+1กับ-1จะต้องอยู่ห่างกันมาก ไม่เช่นนั้นมันจะดึงดูดเข้าหากันแล้กลายเป็น0 ส่วนทฤษฎีแมวนั้น คือ ถ้าเราใส่ไซยาไนด์รมแมว ถ้าเราไม่ใช้สามัญสำนึกตัดสินว่ามันตายแล้ว เราก็จะยังไม่รู้ว่าแมวที่ถูกรมนั้นตายหรือยัง มึน!!!! จากคุณ : ice-crisis - [ 25 พ.ค. 51 19:30:53 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ก่อนที่ผมจะเอนท์ ผมเคยคิดนะครับ ว่าจะเลือกเรียนวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่น่าเสียดาย ที่เรียนไป มันเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันโดยตรงไม่ได้ คือ มันไกลตัวไปหน่อย ก็เลยไปเลือกอย่างอื่นแทนอ่ะครับ แต่ถึงยังไง ก็ยังติดตามข่าวและความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่เสมอแหล่ะครับ เพราะสมองของผมจินตนาการถึงเรื่องพวกนี้อยู่เสมอ ผมรู้สึกว่า เรื่องพวกนี้มันเป็น common sense สำหรับผมเลยล่ะครับ การจะเรียนเรื่องพวกนี้ ให้เข้าใจได้ดี ต้องมีจินตนาการที่ดีตามไปด้วยครับ และผมทึ่งในความเล็กของขนาดของนุภาคเหล่านี้มาก ขนาดอะตอมที่เรียกว่าเล็กยิ่งยวดแล้วนะ (10-10 m) แต่โปรตอน คว๊ากซ์ อิเล็กตรอน นิวตริโน ยังเล็กกว่านั้นอีกเป็นแสนหรือล้านเท่า ลองจินตนาการถึง ช่อง 1 ช่องที่มีความกว้างเท่ากับ 10-10m นั่นคือขนาดของอะตอม และต้องแบ่งช่องนี้ไปอีก 1 แสนถึง 1 ล้านครั้ง ถึงจะเป็นขนาดที่แท้จริงของอนุภาคที่ประกอบกันเป็นอะตอม และอนุภาคเหล่านั้น ยังมีแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม ที่มีรัศมีส่งผลแค่ 10-18m เท่านั้นเอง ซึ่งขนาดเหล่านั้น มันเล็กมากยากที่จะจินตนาการถึง ผมจึงสงสัยว่า ปริมาตรหรือพิกัด มันจะสามารถมีขนาดเล็กที่สุดได้เท่าไหร่ จักรวาลประกอบด้วยเนื้อสาร พลังงานละเอียดขนาดนี้เชียวหรือ เมื่อเทียบกับขนาดของจักรวาลแล้ว ช่างต่างกันอย่างลิบลับจิงๆครับ ทึ่งอีกว่า จักรวาลควบคุมสมการทางๆฟิสิกส์เหล่านี้ ทั้งหมดได้อย่างไร ควบคุมจนไปถึงหน่วยที่มากๆ จนไปถึงทั่วทั้งจักรวาล ได้อย่างไร เพราะผมเชื่อว่า จะต้องมีสมการควบคุมหน่วยพลังงาน และอนุภาคเหล่านี้อยู่ครับ เพราะมันจะประพฤติและแสดงลักษณะ คุณสมบัติของมัน ออกมาเหมือนกัน หากอยู่ภายใต้หรือในสภาวะตัวแปรเดียวกัน มันก็จะแสดงลักษณะ พฤติกรรมออกมาเหมือนกันเสมอ เช่น กฏของแสง กฏทางเคมีต่างๆ ทดลองกี่ครั้งๆ ก็ให้ผลออกมาเหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงคิดว่า พื้นของจักรวาล(Ground) จะต้องมีอะไรซักอย่าง ที่คอยทำหน้าที่ควบคุมให้เกิดสมการเหล่านั้นขึ้นมาแน่นอนครับ จากคุณ : Styer - [ 25 พ.ค. 51 19:59:56 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ^ Grand unified theory? จากคุณ : Cryptomnesia - [ 25 พ.ค. 51 20:06:35 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สมดุล กับวิวัฒนาการไงล่ะ แรกเริ่มตอนกำเนิดโลก สิ่งมีชีวิตก็ไม่สามารถกำเนิดได้เหมือนกัน แต่พอผ่านไป เริ่มเข้าสู่สภาวะสมดุล เหมาะสมแก่การกำเนิดสิ่งมีชีวิต ตามความเข้าใจของเรา เด๋วก็ถามอีก เบรน ใน มิติที่5 มันเกิดมาจากอะไรล่ะ แล้วความว่างเปล่า มีพลังงานได้อย่างไร #12 +1 กะ -1 จะมารวมกันได้ไง ต้องผลักออกดิ อ่าว งง จากคุณ : มิ้ๆ (mint_la) - [ 25 พ.ค. 51 21:08:07 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมว่ามันไม่ได้สงวนไว้ให้คนกลุ่มหนึ่งหรอก แต่น้อยคนที่จะทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตไปสนใจมันจริงๆจังๆ จากโมเลกุล สู่อะตอม จากอะตอมจนมาถึงควาร์ก มีเรื่องที่เรานึกภาพตามได้ และบางคนนึกภาพตามไม่ได้ถ้าติดในกรอบเดิมๆ ในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นวัตถุ กลับมีความว่างเปล่า เริ่มต้นแบบนี้ บางคนก็รับไม่ได้ ใครจะนึกตามไปถึง ด้วยกรอบเดิมๆของความคิด การเรียนรู้ตามนั้นยังง่ายกว่าคนที่พยายามค้นคว้าครับ กลุ่มนั้น สุดยอดจริงๆ และเป็นกลุ่มน้อยนิดจริงๆอย่างที่คุณ Cryptomnesia ว่า เรื่องบางเรื่องที่ใหม่จริงๆ เราก็ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำความเข้าใจ ดูอย่างโมเลกุลสิ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครว่ามันเป็นเรื่องแปลกเลย H2O สูตรโครงสร้างโมเลกุลน้ำ ยังเอามาเล่นได้จนถึงวงการบันเทิง เพราะอะไร... จากคุณ : granun - [ 25 พ.ค. 51 21:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แล้วตัวเรามาจากไหน ทั้งๆที่หน่อยย่อยที่สุดเต็มไปด้วยความว่างและการสั่นสะเทือน อนาคตไวรัสคอมพิวเตอร์จะรู้มั้ยว่าที่มาของมันมาจากภาษาคอมพิวเตอร์ แกะไปเรื่อยๆก็พบแค่ 0กับ1 (ที่เป็นสัญลักษณ์เทียบ) แล้วมันจะรู้เบื้องหลังที่มาของ 0 1 นี้มั้ยหรือว่า 0 1 เป็นขอบเขตจำกัดที่มันควรรู้ ถ้ามันรู้ได้ เราที่ฐานะเป็นคนอาจจะตอบที่มาเบื้องหลังของแผ่นเบรนลึกลับที่อยู่ๆก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ลงไปอีกก็ได้ จากคุณ : หลับตา - [ 25 พ.ค. 51 21:57:31 A:58.64.100.216 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อืม จริงตาม คุณนัน และ คุณหลับตา ว่าครับ แต่ เบรนบ้าๆสองอันที่ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่านี่มันรบกวนจิตใจจริงๆ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 25 พ.ค. 51 22:04:48 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อ่านกระทู้นี้แล้วงง จนเบรน2เบรนมากระทบกัน - -" จากคุณ : nopex - [ 25 พ.ค. 51 22:27:15 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คนอื่นกระทู้นี้มึนสุด เพราะผมอ่านแล้วก็ งง ไปหมด จากคุณ : ^oio^ - [ 25 พ.ค. 51 22:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 21 จิตหลุด เพราะอ่านกระทู้นี้ อิอิ จากคุณ : อิฐมอญ - [ 25 พ.ค. 51 23:08:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ลองมาคุยกันแบบง่ายๆดูมั้ยครับ จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 25 พ.ค. 51 23:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เผอิญผมอ่านของคุณหลับตาแล้วนึกได้.. เป็นการเปรียบเทียบที่อย่าเอามาจริงจังนะครับ ไม่มีสมการ มีแต่ภาพ สมมุตินะครับ ในโลกคอมพิวเตอร์ ในอนาคต คอมพิวเตอร์ที่พัฒนาไปจนถึงระดับที่สามารถคิดเองได้ ซึ่งมันจะอยู่ในรูปลักษณ์ไหนก็แล้วแต่ ถ้าคอมพิวเตอร์ตััวนี้หาคำตอบของการกำเนิดของตนเอง สุดท้ายมันอาจจะมาจบ ที่เบรน 2 อัน ของ มัน คือ 0 กับ 1 มี กับ ไม่มี สลับกันทำให้เกิดนวัตกรรมของโลกของมัน มี กับ ไม่มี(ว่าง) สลับกัน กลายเป็นรหัสฐานสองที่เป็นฐานของรหัสของตัวอักษร รหัสตัวอักษรที่เป็นฐานของคำสั่งโปรแกรม โปรแกรมที่เป็นฐานของระบบการทำงาน และเงื่อนไขต่างๆที่ประกอบกันขึ้นมา รวมทั้งอุปกรณ์ก็เป็นฐานของตัวตนของคอมพิวเตอร์ โลกของเราก็อาจจะคล้ายๆกัน ในเชิงนัยยะก็ได้นะครับ (กำ จะมีใครอ่านแล้วเข้าใจที่ตรูสื่อไหมเนี่ย...555) ก็ประมาณนี้แหละครับ ถ้าไม่ไปคิดสมการให้มาก เบรน สอง อัน จากคุณ : granun - [ 25 พ.ค. 51 23:31:50 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เบรน 2 อัน ในโลกเรา ถ้าถอดภาพขาวดำออกมา (เริ่มมองจากรูปลักษณ์ 2 มิติ) ก็จะเป็นพื้นที่ที่มีเส้น หรือมีหมึก กับพื้นที่ที่ไม่มีหมึก (0 กับ 1) (มี กับไม่มี) แต่เวลาเรามองภาพ เรามองรวมเป็นตัวตนของภาพทั้งเส้นทั้งส่วนที่ว่าง เป็นภาพ 1 ภาพ (0 กับ 1) หรือ (มี กับ ไม่มี เกิดการจัดเรียงสื่อเป็นภาพ) การ์ตูนก็แค่กระดาษกับหมึกลงสี แต่เกิดเป็นเรื่องราวทั้งสนุกสนาน และสารพัดรสได้ก็มาจากแค่ หมึกกับกระดาษแค่นี้เอง จุดเริ่มของภาพก็มีแค่นี้เอง ส่วนที่มี สี และส่วนที่ไม่มี สี (เอ่อ...เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่า คนอื่นจะต้องว่าตรูบ้าแน่ๆ...555 แต่นานๆที เนอะ อย่างมากก็ให้เจไดมารับมุกต่อแล้วกัน) จากคุณ : granun - [ 25 พ.ค. 51 23:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เป็นการให้เหตุผลชนิดหนึ่งนะครับ ผมจำไม่ได้แล้วมันเรียกว่าอะไร เอาเป็นว่า การให้เหตุผลมีสองแบบ แบบแรก คือ การให้เหตุผลบนประสปการ์ณของเรา เช่นไฟมันร้อน หรือ มะม่วงตกน้ำแล้วจะจม แบที่เราๆพูดกันในกระทู้ทุกวันนะแหละครับ แบบที่สองเป็นแบบทีนักทฤษฎีใช้กัน คือการกำหนดข้อเท็จจริงที่ยอมรับได้มาอย่างน้อยสองข้อ แล้ว กำหนดเงื่อนไข แล้วใช้ตรรกศาสตร์ ขยายขบวนการออกไป อันนี้และอันนั้นจริง ดันนั้นอันนี้เท็จ ไปเรื่อยๆ จนได้ข้อสรุปสุดท้าย ซึ่งถ้าใครยอมรับสัจพจแล้ว จะไม่ยอมรับผลสรุปไม่ได้ พวกเราส่วนใหญ่เป็นแบบแรก ตราบใดที่อ่านฟิสิกส์ด้วยวิทีนี้ หรือแต่งหนังสือด้วยวิธีนี้ และให้เหตุผลด้วยวิธีนี้ แล้วไปอ่านสิ่งที่เค้าเขียนจะไม่มีวันแม้แต่ใกล้เคียงที่จะเข้าใจส่ิ่งที่เค้าพูด  จนกว่าคุญจะได้ไปทำความเข้าใจในสัจพจมูลฐานของแต่ละทฤษฏี แล้วเข้าสู่กระบวนการสร้างโมเดล ซึ่งก็คือการ แอพพลาย สมการขึ้นมา หลังจากนั้นก็อย่างที่เราเห็นกันในตำราครับ ผมไม่เห็นด้วยกับคำว่ามีไว้ฉะเพราะบางคน  แต่มีไว้สำหรับคนที่อยู่ในระบบตะหาก คนไทยมันสอนแบบนกแก้วนกขุนทองกับทุกเรื่องอยู่แล้ว ที่เขียนมาผมพยายามจะตอบคำถามคุณว่า "ทำไมถึงเข้าใจยากอย่างนี้" ตอบ เพราะคิดและให้เหตุผลกันคนละอย่างครับ อีกอย่าง แม้ผมเองก็ไม่เข้าใจมันมากนัก แต่ตอบได้เลยว่า ไม่ว่าใครก็เข้าใจมันไม่มากนักหรอกครับ เป็นเรื่องของคนที่ไม่เข้าใจ พยายามเข้าใจให้ได้ใกล้เคียงที่สุด แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม กลศาสตร์ควอนตัม กับ สัมพันภาพรวมกันไม่ได้ที่ ซิงกูลาริตี๊  เพราะไม่มีใครเข้าใจมันจริงๆไงครับ จากคุณ : ใจมุ๊ด - [ 25 พ.ค. 51 23:54:46 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบ จขกท มันไม่ได้สงวนไว้ให้ใครหรอกครับ มันก็มีอยู่ของมันอย่างนั้นมาตั้งนาน เพียงแต่มีคนไม่กี่คนที่สนใจจะศึกษาค้นคว้ามันเท่านั้นเอง เหตุผลที่มีไม่กี่คนก็เพราะมันต้องใช้พื้นฐานความรู้มาก ก่อนจะเข้าใจมันได้ ซึ่งก็คือต้องใช้แรง เวลาและความพยายามมากๆๆๆๆ ในขณะที่ผลตอบแทนมันห่างไกลกับความต้องการพื้นฐานของชีวิต แต่อนาคตถ้าเรามีการแอพพลายเรื่องพวกนี้ให้เกิดประโยชน์ใกล้ตัวได้มากขึ้น ก็จะมีคนมากขึ้นที่ศึกษามัน และกลุ่มคนที่เข้าใจมันก็จะมากขึ้นเอง ลองยกตัวอย่างเรื่องที่น่าจะเข้าใจง่ายสุดละกัน อย่างเช่นการเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ ถ้าใช้สถานะของอนุภาคอะไรสักอย่างในมีเดียที่ใช้เก็บข้อมูล เราอาจได้มีเดียที่มีความจุมากขึ้น และได้อัตราแอคเซสเร็วขึ้นเป็นของแถม ฯลฯ ซึ่งต่อไปก็จะมีคนหลายคนกระโดดเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้เองแหละ จากคุณ : kiwiboyz - [ 26 พ.ค. 51 01:46:01 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาดู...... จากคุณ : ลูกเป็ดขิ้เหร่ (UlD) - [ 26 พ.ค. 51 02:16:07 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอยืมเบรน 2 อันของ จขกท. ของคุณนัน และคุณหลับตาไปไว้ในบลอกหน่อยนะครับ ทั้งสามท่านเรียนฟิสิกส์ หรือ เป็นนักฟิสิกส์หรือเปล่านี่ จากคุณ : ไม่มีอะไรให้ยึดติด - [ 26 พ.ค. 51 02:30:20 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เช่น กฏของแสง กฏทางเคมีต่างๆ ทดลองกี่ครั้งๆ ก็ให้ผลออกมาเหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงคิดว่า พื้นของจักรวาล(Ground) จะต้องมีอะไรซักอย่าง ที่คอยทำหน้าที่ควบคุมให้เกิดสมการเหล่านั้นขึ้นมาแน่นอนครับ จากคุณ : Styer ---------------- ความคิดเพี้ยนๆ ทำไมต้องมี "ใคร" มาคอยควบคุมด้วย คิดว่าถ้าไม่มีแล้ว บางทีค่า g มันจะเปลี่ยนจาก 9.8 m/s2 เป็น 20 บ้าง 30 บ้าง หรือยังไง เพี้ยนไปแล้ว จากคุณ : .eAT - [ 26 พ.ค. 51 07:48:39 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ยิ่งรู้ ยิ่งไม่เข้าใจ   เหอะๆ กระทู้ชวนปวดหัวแต่เช้า จากคุณ : Atomos'Bao - [ 26 พ.ค. 51 09:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^^^ จิ้มไป #29 คำว่า ใคร อาจไม่ใช่ บุคคลก็ได้นะครับ ซึ่ง คาดว่า เจ้าของความเห็น น่าจะใส่ คำว่า ใคร หรือ อะไร น่าจะเหมาะกว่านะครับ อีกอย่าง ในเมื่อเราไม่รู้แน่ชัด จะด่วนตัดสินอะไรได้ยังไงครับ ถ้าเราไม่รู้แล้วปักใจเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย ก็คงไม่ต่างกับ เห็นฟ้าผ่าแล้วบอกว่า เทพเจ้าพิโรธนั่นแหละครับ นั่นคือการปักใจเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งๆที่สิ่งที่ตนเชื่อยังไม่ได้รับการพิสูจน์ หรือยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ แบบนี้เรียกว่า "งมงาย" ครับ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 51 09:34:43 จากคุณ : ลูกเป็ดขิ้เหร่ (UlD) - [ 26 พ.ค. 51 09:34:00 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ...กระบวนการเอกไพโรติก (Ekpyrotic) หรือการกำเนิดจักรวาลเริ่มต้นขึ้นในอดีตเหลือคณานับด้วยพื้นผิวเบรนแบนๆหนึ่งคู่ที่อยู่ขนานกันและกันอยู่ในอวกาศ 5 มิติ...เบรนทั้งสองซึ่งก่อให้เกิดผนังของมิติที่ 5 สามารถเกิดออกมาจากความว่างเปล่าได้เนื่องจากการกระเพื่อมแบบควอนตัมในอดีตก่อนหน้านี้อีกและทำให้ทั้งคู่ต้องแยกจากกัน... แบบจำลองเอกภพก่อนเป็นไข้(ek=out??, pyrotic=ไข้) ก่อนเกิดความร้อน เรื่องเริ่มที่ความว่างอย่างจริงแท้ ว่างจริงๆแม้ที่ว่าง(space)ก็ยังไม่มี ด้วยอิทธิฤทธิ์ของควันตั้ม(Quantum effects or fluctuation)กระเพื่อม บันดาลให้เกิด 2 โลก(ภูมิ-world-brane) แต่ละภูมิมี 3เทศะ 1กาล 2โลกนี้ย่อมตรงข้ามกันตามข้อตกลงควันตั้มอาจเรียก รูปภูมิ-อรูปภูมิ รูปภูมิ-visible brane   อรูปภูมิ-hidden brane 2โลกนี้ลอยไปลอยมาอยู่ในอีก(extra)เทศะ(space) Ekpyrotic Model of the Universe proposes that our current universe arose from a collision of two three-dimensional worlds (branes) in a space with an extra (fourth) spatial dimension http://www.physics.princeton.edu/~steinh/npr/ ขออนุญาตใช้ศัพท์แสงดูหรูหน่อย เผื่อเข้าใจดีขึ้น รูปข้างล่างอธิบายอิทธิฤทธิ์ของควันตั้ม(Quantum effects or fluctuation)กระเพื่อม ก่อให้เกิด 2 โลกภูมิ จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ 26 พ.ค. 51 09:37:28 ]

ความคิดเห็นที่ 33 หงะ..... งงอ่ะ -*- อันนี้เป็นแค่ทฤษฎี ใช่มั้ยครับ หรือว่ายังไง แล้วไอความว่างเปล่าอย่างจริงแท้ มันเป็นยังไงหว่า -*- ที่ว่า ว่างเปล่าแบบที่ว่างก็ยังไม่มี งงอ่ะ แล้วทำไมคุณเมษเก่งจังครับ จากคุณ : ลูกเป็ดขิ้เหร่ (UlD) - [ 26 พ.ค. 51 10:15:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 แบบจำลองเอกภพก่อนเป็นไข้มี5มิติ2โลกภูมิ(3+1)แยกด้วยช่องว่าง ซึ่งจะเข้ากันได้กับเอกภพ11มิติปัจจุบันตามทฤษฎีเอ็ม รูปภูมิ('visible' brane)คือเอกภพที่เราอยู่ อีกโลกอรูปภูมิ('hidden' brane) The Ekpyrotic model relies on the universe consisting of a five dimensional space-time, that is bounded by two (3+1)-dimensional surfaces (3-branes) which are separated by a finite gap. This corresponds to the 11 dimension universe we live in now, (I believe) postulated by M-theory, albeit in a different topology. One of these bounding branes, called the 'visible' brane corresponds to our own universe, in which ordinary particles and radiation can exist; the other is known as the 'hidden' brane. ต่อมาอรูปภูมิแยกชั้นบวมเคลื่อนมาชนรูปภูมิ จุดนี้ก่อเกิดสสาร-พลังงาน เกิดเอกภพเช่นเดียวกับทฤษฎีบิ๊กแบง และเวลาเริ่มเดิน The gestation of our universe starts when a further 3-brane separates from the hidden brane and moves across the bulk 5d volume; and it's birth occurs when this moving 'bulk' brane hits the 'visible' brane. At this point a fraction of the kinetic energy from the bulk is converted into radiation and matter, and from this then on the growth of the universe proceeds in the same manner as predicted by the big bang model. The universe could have been in the initial state for an arbitary, indefinite length of time before this, the clock of time only begins to tick when the branes interact. http://everything2.com/node/1022603 จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ 26 พ.ค. 51 10:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ก่อนอื่นต้องหาพลังงานติดลบให้ได้ก่อนจึงจะพิสูจน์ทฤษฏีนี้ได้ อนุภาค+ปฎิอนุภาค มันไม่เหมือนการเอา -1 +1 จากคุณ : !!! - [ 26 พ.ค. 51 10:38:59 A:58.64.75.116 X: TicketID:172964 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ความคิดเห็นที่ 33   อันนี้เป็นแค่ทฤษฎี ใช่มั้ยครับ ...ใช่ครับแค่ทฤษฎี ของคุณ พอล สไตน์หาดท์ ม.พรินซ์ตั้น Paul J. Steinhardt Director, Center for Theoretical Science & Professor of Physics Princeton University Princeton, NJ 08544-0708 http://www.physics.princeton.edu/~steinh/ อันใหม่แบบจำลองจะกระแทกกันเป็นจังหวะ พั่บๆ NEW!     Non-gaussianity: A New Prediction of the Cyclic Model อ่านเอกสารเพิ่ม http://www.physics.princeton.edu/~steinh/Discover0204.pdf จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ 26 พ.ค. 51 11:00:52 ]

ความคิดเห็นที่ 37 Ekpyrotic แปลว่าไฟบรรลัยกัลป์ครับ คุณเมษ #28 ผมไม่ได้จบฟิสิกส์ครับ เรียนมาทางเภสัช จากคุณ : Cryptomnesia - [ 26 พ.ค. 51 11:20:16 ]

ความคิดเห็นที่ 38 #29 ผมว่าคุณ Styer เขาไม่ได้จงใจสื่อถึง God นะครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 26 พ.ค. 51 11:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อืม ไม่เห็นจะต้องไปว่าคนอื่นเพี้ยนเรย ส่วนตัวคิดว่า มันก้เปนแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ได้ถูกควบคุมหรอก แต่ คนเราพยายามอธิบายมันเพื่อเอามาใช้ประโยชน์แค่นั้น สร้างสมการเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของมัน แค่นั้น จากคุณ : !!! - [ 26 พ.ค. 51 11:43:49 A:58.64.75.116 X: TicketID:172964 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่เกี่ยวกับ เรื่องที่คุยกันอยู่เท่าไหร่ แต่ผมว่ามันก็คล้ายๆว่าวิชาหมอกับเภสัชมันก็สงวนให้คนบางคนเรียนแหละครับ(เห็นตัวเองไปเรียนแล้ว F,F,F ลอยมาเลย) -*- จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 26 พ.ค. 51 11:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 41 #23 คุณ : granun ผมเกรงว่ามันจะไม่จบเพียงแค่หมึกกับกระดาษ หรือ 0 กับ 1 อะจิ ถ้าแนวคิดเรื่องการแยกย่อยยังมีอยู่ มันก็จะแยกย่อยลงไปอีก จนดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด ไวรัสคอมพิวเตอร์ พบว่าตัวเองไม่ใช่อะไรที่ไหนนอกจาก 0 กับ 1 แต่กระบวนการได้มาของ 0 และ 1 ไม่ง่ายอย่างนั้น  แต่ละสถานะใช่ว่าจะไร้ส่วนประกอบอื่นอีกโดยสิ้นเชิง ชักไม่เกี่ยวกับกระทู้ ไปดีกว่า   มึน.. จากคุณ : =Lord Gary= - [ 26 พ.ค. 51 12:24:19 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เริ่มต้นจาก อันเดียวกันหมด แล้วก็กลายเป็น 1 กับ 0 ไปเรื่อยๆ... จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 26 พ.ค. 51 12:36:27 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ความคิดเห็นที่ 37   Ekpyrotic แปลว่าไฟบรรลัยกัลป์ครับ คุณเมษ The name comes from a Stoic term for "out of fire". ภาษากรีกแปลว่า ไม่ใช่ไฟ ทฤษฎีคงหมายถึงก่อนชนกันเบรนไม่ร้อน หลังชนกันจึงร้อน ร้อนคือเป็นไข้-pyro-fire เดิมบิ๊กแบงว่าซิงกูลาริตี้ จุดกำเนิดระเบิดออกร้อนจัด แต่ทฤษฎีEkpyroticเริ่มไม่ร้อนชนจึงร้อน ทฤษฎีนี้จึงปฏิเสธว่าไม่มีซิงกูลาริตี้ Ekpyrotic The ekpyrotic universe or ekpyrotic scenario is a cosmological theory of the origin of the universe. The name comes from a Stoic term for "out of fire". The ekpyrotic model of the universe is an alternative to the standard cosmic inflation paradigm, both of which accept that the standard big bang Lambda-CDM model of our universe is an appropriate description up to very early times. The ekpyrotic model is a precursor to, and part of the cyclic model. The ekpyrotic model has received considerable coverage in the media. http://www.reference.com/search?r=13&q=Ekpyrotic จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ 26 พ.ค. 51 12:52:04 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ผมขอเข้าใจมันแบบงูๆปลาๆดีกว่าครับ ยังไม่อยากก้าวข้ามไปอีกโลกนึง เดี๋ยวจะคุยกับใครไม่รู้เรื่อง จากคุณ : รองเท้าเปื้อนฝุ่น (dirty shoe) - [ 26 พ.ค. 51 14:07:28 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เขาเลยจับพลังงานติดลบไปอยู่ในอีกเบรนนึงยังไงครับ จักรวาลที่เราอาศัยอยู่ถึงมีแต่พลังงานบวก ถ้าเราข้ามไปอีกเบรนหนึ่งได้แรงโน้มถ่วงอาจจะเป็นแรงผลักก็เป็นได้ จากคุณ : Nexus - [ 26 พ.ค. 51 14:35:43 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ใช่ครับ ผมไม่ได้ต้องการจะสื่อ ถึง God หรอกครับ ผมแค่คิดตามหลักเหตุและผลน่ะครับ ในเมื่อพฤติกรรมของสสารมันแสดงออกมาให้เราเห็นแบบนี้ ผมจึงคิดว่า มันก็ต้องมีเหตุ มีปัจจัยที่ทำให้มันต้องแสดงพฤติกรรมออกมาแบบนี้ด้วยเช่นกันอ่ะครับ ผมแค่คาดเดาไว้เฉยๆน่ะครับ ไม่ได้ปักใจเชื่อถึงขั้นขนาดจะไม่ยอมรับข้อมูลใหม่ๆที่พิสูจน์ออกมา อะไรอย่างนั้นหรอกครับ เพราะตอนนี้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึงและไม่สามารถพิสูจน์ตรงจุดนี้ได้ และผมเองก็ไม่มีความสามารถไปพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ ดังนั้น ผมก็จึงมีสิทธิ์ที่จะคิดไว้ล่วงหน้าและเชื่อในความคิดของผมไปก่อนอ่ะครับ หากข้อมูลผลการทดลองพิสูจน์ออกมาแล้ว ผมก้อน้อมรับและเชื่อในข้อมูลการทดลองแต่โดยดีครับ ไม่ได้คิดจะขึงขังหัวแข็งแต่อย่างใด จากคุณ : Styer - [ 26 พ.ค. 51 15:13:31 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ส่วนตัวผมก็ว่า คิดเหตุการณ์หลังจากเจ้าเบรนลึกลับนี้ไปไม่ได้เหมือนกัน (นอกจากเราจะไม่ใช้วิธีคิด) ตัวผมชอบคิดเทียบกับคอมพิวเตอร์นะ มันง่ายที่สุดที่ผมจะมองภาพคร่าวๆออก สมมติผมเป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ รู้แล้วละว่าส่วนย่อยที่สุดของตัวเองมาจาก 0 กับ 1 ผมจะคิดขอบเขตที่มาของ 0 กับ 1 ได้ยังไง ที่อยู่ของผมบนHDD พื้นที่ว่างก็คือพื้นที่ว่างใน HDD ที่นอกจากตัวผม ที่ว่างแท้จริงผมรู้ว่ามันมีอยู่แต่คิดไม่ออก (แต่มนุษย์คงอยากจะไปบอกไวรัสว่าที่ว่างแท้จริงก็คือHDDก่อนFORMATไง ง่ายจะตาย (ถือโอกาสตอบคห33ไปในตัว^_^)) อ่าวแล้วผมจะคิดเกินขอบเขตผมได้ยังไง เพราะผมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น แค่ผมคิด ผมก็อาศัยบนหลักการตรรกกะของโปรแกรมไปแล้ว การใช้การคิดกระโดดข้ามขอบเขตไปดูตัวเอง จึงไม่น่าเป็นไปได้ นอกจากเราจะไม่ใช้วิธีในหลักฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต ตรรกกะ เพราะทุกอย่างถูกสร้างมาร่วมกัน เสมือนFORMATตังเองไม่ได้ แล้วก็ไวรัสไม่มีทางนึกออกว่า ไวรัสบนระบบFORMATอื่น(บิ๊กแบ๊งที่ทำให้เกิดหลักฟิสิกส์อื่โดยมี กฏแรงพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน) มันเป็นยังไง แล้วมันจะนึกสิ่งเบื้องหลังว่าก่อนมีที่ว่างหลังการFORMAT ยังมีที่ว่างที่แท้จริงคือการไม่มี HDD แทบจะหลุดจินตนาการของเจ้าไวรัสนั้นไปเลย (ที่จริงผมชอบฟิสิกส์ตรงนี้นะ พอจินตนาการไปจุดนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าผมกับทุกๆอย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกัน ที่จริงเราคือสิ่งเดียวกันทั้งหมด มหัศจรรย์เนอะ) ขออภัยที่เรียบเรียงไม่เก่ง จากคุณ : หลับตา - [ 26 พ.ค. 51 20:41:57 A:58.64.102.111 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ผมอ่านแล้วรู้สึกแค่ 2 อย่างเองครับ 1. งง 2. สงสารแมว จากคุณ : แมงกะชอน - [ 27 พ.ค. 51 11:01:57 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ตอนเขาค้นพบเขาคิดออกมาด้วยตัวเองเขาก็เข้าใจ พอนานไปเป็นตำราให้อ่านแล้วจำมาทำข้อสอบ ตอนคิดคิดตั้งหลายปีต่อทฤษฎีพอเรียน ไม่รู้กี่ร้อยทฤษฎีผ่านตามมาในคืนเดียว จากคุณ : สุดท้ายเลยคิดทฤษฎีเอง อิอิ - [ 27 พ.ค. 51 17:55:12 A:202.149.25.225 X: TicketID:130166 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ผมชอบกระทู้นี้   อยากรู้แต่ละคนนิยามคำว่า จริง  ยังไงกันครับ ?   อะไรคือความจริง ?  (ตอบยากชมัด แต่ถ้ามีแบบง่ายๆก็ดีนะ) จากคุณ : เอสีชมพู (เอแดง) - [ 28 พ.ค. 51 17:14:31 ]