ความคิดเห็นที่ 1 สัตว์เลือดเย็นก็มีไมโตคอนเดรียนะครับ เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า? ไมโตคอนเดรียอยู่กับเราตั้งแต่ช่วงวิวัฒนาการเปลี่ยนผ่านจาก Prokaryote เป็น Eukaryote แล้วครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 26 พ.ค. 51 19:58:23 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทฤษฎีที่ (น่าจะ) เป็นที่ยอมรับก็คือ ไมโตคอนเดรีย เคยเป็นสิ่งมีชีวิตเดี่ยวครับ เหมือนแบคทีเรีย สาหร่ายเซลล์เดียว แล้วก็ถูกเซลล์ที่ใหญ่กว่ากลืนกินเข้าไป แต่ไมโตคอนเดรียไม่ตาย ซ้ำยังอยู่กับเซลล์ของเราแบบพึ่งพิงกันครับ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 51 20:02:16 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 26 พ.ค. 51 20:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 3 นึกถึงเกมก่ะการ์ตูนเรื่องนึงเลยอ่ะ จากคุณ : A49 GTR34 - [ 26 พ.ค. 51 21:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 4 นึกถึงฉากอาบน้ำของเกมในคห.3 จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 26 พ.ค. 51 21:48:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มันเข้าไปตั้งแต่เกิด Eukaryote ใหม่ๆ นู่นนนนนแน่ะครับ นานโขก่อนเกิดสัตว์เลือดอุ่นอีก จากคุณ : Punky - [ 26 พ.ค. 51 22:23:43 ]

ความคิดเห็นที่ 6 #4 ฉากนี้หรือครับ จากคุณ : silverspider - [ 26 พ.ค. 51 22:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Parasite Eve ลองหานิยายมาอ่านครับ สนุก ระทึกดี จากคุณ : atheist - [ 27 พ.ค. 51 00:30:57 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนอาบน้ำน่ะระทึก จากคุณ : PaND@_BIG - [ 27 พ.ค. 51 00:49:40 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สัตว์เลือดเย็นก็มีเหรอครับ นึกว่ามีเฉพาะสัตว์เลือดอุ่นซะอีก เข้าใจผิดไปใหญ่โต เรื่อง parasite eve ก็มีแนวคิดแปลกดีนะครับ เคยอ่านการ์ตูนอยู่แต่ตอนนี้หายไปแล้ว ถ้าไมโตคอนเดรียไม่ได้อยู่ในเซลในร่างกาย แล้วสิ่งมีชีวิตจะมีวิวัฒนาการไปยังไงเนี่ยนึกภาพไม่ออกเลย จากคุณ : Akira - [ 27 พ.ค. 51 10:17:17 A:203.130.139.65 X: TicketID:107410 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ทฤษฎีคุณ คห.2 รบกวนช่วยอธิบายเพิ่มด้วยครับ ยังสงสัยอยู่หลายประเด็นครับ เท่าที่ผมทราบ มนุษย์เราเกิดจากการผสมกับของ cell ต้นกำเนิดแค่ cell เดียว รวมกับ sperm ที่เจาะเข้าไปใน cell ไข่และนำ chromosome อีกครึ่งหนึ่งไปผสม แล้วแบ่ง cell ต้นกำเนิดจาก cell เดียวเป็นหลายๆ cell และจากหลายๆ cell ค่อยแปรสภาพไปเป็น cell ต้นกำเนิดของอวัยวะต่างๆ เจริญต่อเนื่องจนกลายเป็นมนุษย์ mitochondria มีหน้าที่ในการสร้าง พลังงาน ATP ดังนั้น จึงมีมากใน cell ที่ต้องใช้พลังงานสูง เช่น cell กล้ามเนื้อต่างๆเป็นต้น ผมยังสงสัยว่า ถ้าเซลล์ใหญ่กลืนกินเข้าไปแล้ว เพราะเหตุใด เซลล์มนุษย์ ซึ่งแปรสภาพไปเป็น cell อวัยวะต่างๆ จึงสามารถที่จะมี motochondria มากน้อยตามชนิดและการใช้งานของ cell ได้ เพราะถ้า cell ใหญ่กลืนกิน mitochondria เข้ามาแล้วยังมีชีวิตและติดอยู่กับ cell มา เหตุใดจึงสามารถควบคุมจำนวน mitochondria ได้ตามลักษณะการใช้งานของ cell แต่ละชนิดครับ เพราะมันดูว่า น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ได้มาจากลักษณะพันธุ์กรรม หรือ DNA เป็นตัวระบุจำนวน mitochondria มากกว่าหรือเปล่าครับ ไม่ได้ค้านนะครับ แต่รู้แค่นี้เลยสงสัยครับ รบกวนเพิ่มข้อมูลให้เป็นความรู้ด้วยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : แมงกะชอน - [ 27 พ.ค. 51 10:30:14 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไมโตคอนเดรีย....คืออะไรเหรอ ?? จากคุณ : chinjungza - [ 27 พ.ค. 51 11:42:22 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ^ ^ ^ ออร์แกเนลล์ที่สร้างพลังงานให้เซลล์ครับ จากคุณ : อิฐมอญ - [ 27 พ.ค. 51 14:01:40 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คห.2 ตำราไหนครับ     เขียนเองรึเปล่า  ตั้งแต่เรียนมาไม่เคยได้ยินว่าเรามีไมโตคอนเดรียจากการกิน ถ้าเอาตามที่เรียนแพทย์มา  ไมโตคอนเดรียมันก็คือ อวัยวะอย่างหนึ่งที่อยู๋ในเซลล์เรา  เกิดมาพร้อมๆกับเราเหมือนตับไตไส้พุงนั้นแหละ จากคุณ : Mr.Patriot - [ 27 พ.ค. 51 14:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตอบ คห.10 Mitochondria นั้นสามารถควบคุมการสร้าง และยุบตัวได้นั่นเป็นความจริงครับ มันแบ่งตัวได้แบบ binary เหมือนแบคทีเรีย และในตัวของมันเอง ก็มี DNA ที่เป็นวงกลม (เหมือนกับแบค) ภายในตัวของมันเองด้วย ซึ่งสามารถสร้างโปรตีนได้หลายชนิดในตัวเอง (แต่ส่วนใหญ่ยังต้องได้จาก Host) รวมถึงมี 16s RNA ที่เหมือนกับใน แบคทีเรียทั้งหลายครับ ทีนี้เค้า คาดเดา กันว่าชุดโครโมโซมของมันเข้าไปรวมกับโฮสต์เป็นส่วนใหญ่ แม้จะไม่สมบูรณ์ (เพราะยังเหลือในตัว) แต่นั่นก็ทำให้โฮสต์ สามารถควบคุมการเพิ่ม หรือลดปริมาณไมโตได้อย่างอิสระ ครับ แต่เรื่องจริงเป็นยังไง ก็ยังต้องรอหลักฐานการพิสูจน์อยู่ครับ แต่หลักฐานหลายชิ้นก็เริ่มมีใ้ห้เห็นแล้ว เช่น สัตว์เซลล์เดียวที่มี เมมเบรน 2 ชั้นแต่ไม่มีไมโตคอนเดรียเลย ก็มีครับ จากคุณ : V--Bank--V - [ 27 พ.ค. 51 14:48:04 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ไปเจอเรื่องเกี่ยวกับไมโตคอนเดรียที่เวปวิชาการคาดว่าน่าจะตอบข้อสงสัยได้ว่ามันมาอยู่ในเซลอื่นได้อย่างไร แต่มันก็ยังเป็นข้อสมมติฐานอยู่นะ ทฤษฎีที่เกี่ยวกับกำเนิดของไมโตคอนเดรียก็ค่อนข้างพิเศษพิสดารไม่ธรรมดาเลย กล่าวคือ มีนักวิทยาศาสตร์เสนอสมมติฐานไว้ว่าอาจจะเกิดจากการที่เซลล์อันเป็นต้นตระกูลของเซลล์สิ่งมีชีวิตชั้นสูง เกิดไป “กิน” เซลล์ขนาดเล็กกว่าชนิดหนึ่งเข้า แต่เมื่อกินเข้าไปแล้ว แทนที่จะย่อยสลายนำส่วนประกอบต่างๆ มาใช้งานดังที่เซลล์ทั่วๆ ไปทำกันอยู่ (แม้แต่ในปัจจุบัน) กลับมีการปรับตัวจนอาศัยกันอยู่ในแบบนั้นได้ เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งการวิวัฒนาการร่วมกันอันยาวนาน เซลล์ทั้งคู่ก็ยิ่งปรับตัวจนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันจนไม่อาจะแยกขาดจากกันได้อีก การปรับตัวที่ว่าก็เช่น การที่เซลล์ขนาดเล็กเคลื่อนย้ายถ่ายเทดีเอ็นเอส่วนใหญ่ในเซลล์ของมันไปไว้ที่โครโมโซมของเซลล์ที่ใหญ่กว่าจนแทบหมดสิ้น เป็นต้น เซลล์ขนาดเล็กที่ว่านี้ก็คือส่วนที่กลายมาเป็น “ไมโตคอนเดรีย” นั่นเอง! http://www.vcharkarn.com/varticle/297/4 มีคำถามอีกคำถามนึง ไปอ่านเจอมาว่า "ทั้งนี้ ไมโตคอนเดรีย เป็นโครงสร้างภายในเซลล์ที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานทางเคมีในเกือบทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต และจะได้รับการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกเท่านั้น และสิ่งนี้เองที่เป็นประโยชน์มากในการศึกษาความสัมพันธ์ด้านวิวัฒนาการระหว่างสัตว์ต่างชนิด" http://www.dmr.go.th/news_dmr/data/0598.html ในเซลไม่สามารถ"สร้าง"ไมโตคอนเดรียขึ้นมาได้เหรอครับ อย่างนั้นก็หมายความว่า ตัวอ่อนที่อยู่ในท้องแม่ช่วงแรกๆ ยังไม่มีไมโตคอนเดรีย แต่ภายหลังไมโตคอนเดรียในร่างกายแม่ก็ย้ายมาอยู่ในตัวลูกด้วย อย่างนั้นหรือครับ? หรือว่าไมโตคอนเดรียติดมากับไข่? จากคุณ : Akira - [ 27 พ.ค. 51 15:00:02 A:203.130.139.65 X: TicketID:107410 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถามเองตอบเอง ไมโตคอนเดรียมันอยู่ในเซลไข่ของแม่นี่เนอะ แต่เนื่องจากไมโตคอนเดรียจะได้รับเป็น “มรดกทางพันธุกรรม” ที่ถ่ายทอดผ่านทางผู้เป็นมารดาเท่านั้น เนื่องจากไมโตคอนเดรียจะไปกับเซลล์ไข่จากมารดา ในขณะที่เซลล์อสุจิจะไม่นำไมโตคอนเดรียของตนเข้าไปร่วมผสมด้วยกับเซลล์ไข่ในขณะเกิดการปฏิสนธิ การตรวจสอบดีเอ็นเอในไมโตคอนเดรียจึงเป็นการตรวจสอบ “ทายาททางพันธุกรรม” ที่สืบสายทางมารดาเท่านั้น จึงมีผู้ขนานนามเชิงเปรียบเทียบว่า ดีเอ็นเอในไมโตคอนเดรียช่วยให้เราได้ทราบ “มารดาคนแรกสุดของมนุษยชาติ” ซึ่งหากเรียกขานตามพระคัมภีร์ไบเบิลก็มีชื่อว่า “อีฟ” (Eve) นั่นเอง จนกลายเป็นที่มาของคำว่า “ไมโตคอนเดรียล อีฟ (Mitochondrial Eve)” ในที่สุด! จากคุณ : Akira - [ 27 พ.ค. 51 15:08:50 A:203.130.139.65 X: TicketID:107410 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ภาพสมมติฐาน จากคุณ : silverspider - [ 27 พ.ค. 51 15:40:22 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ต่อไปถ้าเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่านี้ คุณคิดว่าจะเป็นไปได้ไหมว่าจะทำการพัฒนาส่วนประกอบของเซลขึ้นเอง เช่นสมมติว่าทำตัวที่สามารถสังเคราะห์ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นพลังงานได้แล้วก็ใส่ลงไปในเซล จากคุณ : Akira - [ 27 พ.ค. 51 15:48:30 A:203.130.139.65 X: TicketID:107410 ]

ความคิดเห็นที่ 19 #13 คุณไม่เข้าใจ เขากำลังพูดถึงประเด็นของวิวัฒนาการว่าไมโตครอนเดรียมาได้ยังไง ไม่ได้พูดถึงปัจจุบัน ตามความเห็น 15-17 อธิบายแทนไปเรียบร้อยแล้ว จากคุณ : Cryptomnesia - [ 27 พ.ค. 51 16:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 20 รูปคุณ Silverspidy อธิบายง่ายดีนะครับ ช่างสรรหามาจริงๆ เซฟซะ ขอบคุณหลาย จากคุณ : Cryptomnesia - [ 27 พ.ค. 51 16:16:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 โปรโตซัวบางชนิดก็ไม่มีไมโตคอนเดรีย ส่วนเรื่องพลังงานก็ใช้จาก glycolysis แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 51 16:51:04 จากคุณ : silverspider - [ 27 พ.ค. 51 16:50:22 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ฟังไปก็แปลกน่ะคนวิวัฒนาการสูง กลับอาศัยพลังจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว จากคุณ : ไมโตคอนเดียผูให้พลัง - [ 27 พ.ค. 51 17:40:54 A:202.149.25.225 X: TicketID:130166 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เป็นดั่งที่ข้างบนกล่าวครับ อีกเหตุผลหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์สนใจไมโตรคอนเดรียก็เพราะว่าเป็นออร์แกเนลล์เดียวที่มี ีสารพันธุกรรมเป็นของตัวครับ และตรงนี้เองที่สามารถเอาไปในการสืบหาแม่คนแรกสุดของโลก หรือ Eve ที่ว่าครับ จากคุณ : veekung2525 - [ 27 พ.ค. 51 20:10:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 บางคนรู้เพียงบางส่วน แต่แสดงตนเหมือนว่ารู้รอบเหนือคนอื่น บางครั้งก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ามันน่าสมเพชเพียงไรในสายตาคนอื่น(ที่เขารู้จริง) เนื้อหาเพิ่มเติม ลองเข้าไปอ่านเรื่อง Endosymbiotic theory ใน http://en.wikipedia.org/wiki/Endosymbiotic_theory เป็นภาษาอังกฤษที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย จะได้พอทราบว่าทฤษฏีนี้มีความเป็นมาอย่างไร มีหลักฐานอะไรบ้างที่สนับสนุนทฤษฏีนี้ บางทีความรู้แค่ในตำราเฉพาะสาขาที่เรียนมันไม่พอที่จะเข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่ มีอะไรที่เรายังไม่รู้ (แต่คนอื่นรู้) อีกแยะ เพราะฉะนั้น ถ่อมตัวเข้าไว้ จากคุณ : นานๆมาที - [ 27 พ.ค. 51 20:23:25 A:124.120.1.142 X: TicketID:097959 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือไมโตคอนเดรียเกี่ยวข้องกับ Programmed cell death จะเรียกว่ามันทรยศก็ว่าได้ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 51 20:39:07 จากคุณ : silverspider - [ 27 พ.ค. 51 20:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คห.23 ไม่ใช่ครับ ยังมี Chloroplast* อีกออร์แกเนลล์ที่มี DNA เป็นของตัวเอง *ไม่แน่ใจว่า Plastid อื่นๆ มีรึเปล่า แต่ Chloroplast มีแน่นอน เรื่อง PCD นั้น จริงอยู่ที่ mt มีส่วน แต่ก็ต้องเกิด apoptotic pathway ซึ่งแสดงออกจากนิวเคลียสก่อนไม่ใช่เหรอครับ? (ยกเว้นว่าเกิด mitochondrial dysfunction ขึ้นซะเอง) จากคุณ : Punky - [ 27 พ.ค. 51 22:48:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 #26 นั่นแหละครับที่น่าสนใจ เพราะมันไม่เกิดจากนิวเคลียสไงครับ จากคุณ : silverspider - [ 27 พ.ค. 51 23:37:34 ]

ความคิดเห็นที่ 28 น่าสนใจมาก ตอนเรียนอยู่ก็เคยสงสัยเหมือนกัน(แต่ไม่เคยถามเพราะว่าเพิ่งตื่น เดี๋ยวปล่อยไก่) ว่ามันมีลักษณะคล้ายพวกสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว แต่ทำไมมันดูเหมือนมีวัตถุประสงค์ในการคงอยู่เพื่อผู้อื่นซะอย่างนั้น ถ้าทฤษฎีที่ว่ามันเคยเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวมาก่อนเป็นจริง ทำไมมันถึงหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามมาอยู่กับเซลล์อื่นอย่างนี้ แล้วตอนนี้ลูกหลานของพวกที่ไม่ใจง่ายจะกลายเป็นอะไร ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ ล่วงหน้า ข้าน้อยช่างโง่เขลานัก ไบโอธรรมดาก็แย่แล้ว เจือกตัดกะแพทย์อีก ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย จากคุณ : อดีตอันขมขื่น-เป้ - [ 27 พ.ค. 51 23:42:05 A:118.172.36.236 X: TicketID:176473 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมอ่านกระทู้แล้ว นึกถึงชื่อสมาชิก เพียวๆอะไรซักอย่าง ขึ้นมาถนัดนี่ จากคุณ : หน้าตายอายไม่เป็น - [ 28 พ.ค. 51 01:04:12 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คิดอะไรขึ้นมาได้ จริงๆ แล้วตอนแรกมันเป็นสิ่งมีชีวิตพวกปรสิตหรือเปล่า แบบเข้าไปแฝงอาศัยอยู่กับสิ่งมีชีวิตอื่น และจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่วิวัฒนาการมาจากไมโตคอนเดรียหรือเปล่า ช่วงแรกของการเกิดสิ่งมีชีวิต ไมโตคอนเดรียคงไม่ถูกกินไปซะทุกตัวหรอก อาจจะมีตัวที่เหลือรอดและยืนหยัดขึ้นมาด้วยตัวเองและวิวัฒนาการขึ้นไป พึ่งรู้ว่าไมโตคอนเดรียก็เป็นตัวการที่ทำให้เซลตายเหมือนกัน เรียกว่ามีทั้งคุณทั้งโทษสินะ จากคุณ : Akira - [ 28 พ.ค. 51 01:21:06 A:58.8.25.220 X: TicketID:107410 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ^ Apoptosis pathway น่ะครับ สนใจก็ไปค้นคว้าเพิ่มเติมได้ :-) จากคุณ : Cryptomnesia - [ 28 พ.ค. 51 08:54:12 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณทุกคนครับที่อธิบายเพิ่มเติม จากคุณ : แมงกะชอน - [ 28 พ.ค. 51 09:50:28 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คห 30 ครับ สำหรับไมโตเนี่ย ยังไงก็เรียกว่าเป็นคุณได้แทบทั้งสิ้นครับ เซลล์ที่จะเกิด Programmed cell death ได้นั้นมักจะเกิดความเสียหาย ในระดับที่รุนแรงครับ เช่น DNA แตกสลาย จนซ่อมแซมไม่ได้ เป็นต้น ปล่อยทิ้งไว้ก็รังแต่จะกลายเป็นมะเร็งไปปล่าวๆแบบนี้ มันจึงจะเริ่มทำให้ตายครับ จากคุณ : V--Bank--V - [ 28 พ.ค. 51 14:40:13 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ไปอ่านเจอบทความนี้ครับ "ไมโตคอนเดรีย มิตรแท้ หรือเพชฌฆาตแอบแฝง" มีตอนนึงเค้าเขียนว่า ดูเหมือนว่า เซลล์ใหญ่จะได้ไมโตคอนเดรียมาไว้ใช้งานด้วยราคาที่แสนจะคุ้ม แต่อย่าเพิ่งเชื่ออย่างนั้นครับ ในการสร้างพลังงานและจัดการกับออกซิเจนของไมโตคอนเดรีย มีการปลดปล่อยอิเล็กตรอนออกมา ซึ่งจะทำให้เกิดสารที่เป็นซูเปอร์ออกไซด์และอนุมูลอิสระ หลายชนิดที่เดิมเราเคยเชื่อกันว่า มันเป็นมิตรต่อร่างกาย แต่เป็นความเป็นจริงที่แสนเจ็บช้ำ ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบว่ามันกลับก่อความวิบัติภายในเซลล์ และเป็นผู้ต้องสงสัยว่า จะเป็นต้นเหตุของความชราภาพ และโรคร้ายหลายชนิดที่น่าสะพรึงกลัว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จริงๆ แล้วเซลล์ใหญ่ ซื้ออุปกรณ์ช่วยหายใจที่มีชื่อว่า ไมโตคอนเดรียมาด้วยราคาที่มันอาจต้องจ่ายด้วยชีวิตของมันเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าการรับเอาไมโตคอนเดรียเข้าไปในเซลล์ เปรียบเสมือนการเอาเพชฌฆาตเข้าไปอยู่ด้วย อย่าลืมนะครับว่า เซลล์จะมีชีวิตอยู่ได้ ต้องมีการสร้างพลังงานตอบสนองอย่างต่อเนื่องจากไมโตคอนเดรีย ถ้าเมื่อใดไม่มี ไมโตคอนเดรีย แล้ว เมื่อนั้นเซลล์ก็จะถึงฆาต ไมโตคอนเดรียนั้นบอบบางมาก มันอาจถูกทำลายเมื่อเจอกับสารพิษ อนุมูลอิสระ (ทั้งที่มันสร้างขึ้นเอง หรือมาจากภายนอก) หรือการขาดออกซิเจนเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้มันตายได้แล้ว เมื่อไมโตคอนเดรียดับดิ้น เซลล์ก็จะขาดแหล่งพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่างในเซลล์จะรวนเร โมเลกุลของสารที่ควรจะอยู่ภายในจะไหลออก โมเลกุลสารที่ควรจะอยู่ภายนอกจะไหลเข้า และแล้วความตายก็จะมาเยือน ในปี พ.ศ. 2539 งานวิจัยที่เกี่ยวกับเอพ็อปโทซิสได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เมื่อ เซียวตง หวัง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส รายงานว่าการตัดแบบบ้าคลั่งของ คาสเปสจะเริ่มขึ้นเมื่อมีปลดปล่อยไซโตโครม ซี ออกจากไมโตคอนเดรีย ไซโตโครม ซีเป็นโปรตีนขนาดเล็กที่ค้นพบโดย เดวิด ไคลิน เมื่อปี พ.ศ. 2476 และเป็นที่รู้กันว่า ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิตพลังงานรูปแบบต่างๆ ของในสิ่งชีวิตชนิดต่าง ไซโตโครม ซี จะสร้างพลังงานโดยการส่งผ่านอิเล็กตรอนในวงจรของการหายใจ แต่การวิจัยของคุณหวังแสดงให้เห็นว่า หากไมโตคอนเดรียถูกทำลาย ไซโตโครม ซี จะถูกปลดปล่อยออกมาในไซโตพลาสม อันเป็นการกระตุ้นให้ คาสเปสเริ่มการตัดสุดระห่ำของมัน การเกิดนีโครซิสและเอพ็อปโทซิส จะมีรูรั่วของผนังไมโตคอนเดรียเกิดขึ้นก่อนเสมอ กระบวนการนี้เป็นกระบวนการแบบไม่ย้อนกลับ ตามปกติช่องทางเข้าออกของสารของ ไมโตคอนเดรียจะปิดอยู่ แต่เมื่อมีอนุมูลอิสระหรือสารพิษอื่นๆ เข้ามาในเซลล์ ไมโตคอนเดรียจะไม่สามารถสร้างพลังงานให้กับเซลล์ได้อีกต่อไป ช่องทางเข้าออก ของสารจะเปิดออก และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของกระบวนการแห่งความตาย ที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เราเห็นว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับเซลล์เมื่อเราเป็นโรคหัวใจ หรือโรคลมปัจจุบัน (stroke) ทั้งสองโรคนี้เกิดจากการอุดตันของเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจ และสมอง ทำให้เซลล์หัวใจและเซลล์สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอที่จะให้ ไมโตคอนเดรียใช้ไมโตคอนเดรียจึงสนองคุณด้วยการเปิดช่องทางเข้าออกสารของมัน ที่มา http://update.se-ed.com/161/mitochondria.htm แปลและเรียบเรียงจาก Symbionts And Assassins, Natural History, July-August 2000 จากคุณ : Akira - [ 28 พ.ค. 51 16:49:17 A:203.130.139.65 X: TicketID:107410 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เอาตามความเป็นจริงดีกว่า   พอให้ eukaryotic cell กิน prokaryotic cell เข้าไป แล้วมันเป็นยังไงล่ะครับ ? แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 18:40:22 จากคุณ : PureTruth - [ 28 พ.ค. 51 18:34:19 ]

ความคิดเห็นที่ 36 มันก็ขึ้นอยู่ว่า eukaryotic cell ชนิดใดกิน prokaryotic cell ชนิดใดเข้าไปด้วย จากคุณ : silverspider - [ 28 พ.ค. 51 20:06:01 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เอาตามความเป็นจริงครับ จะเป็นชนิดใดก็ได้ จากคุณ : PureTruth - [ 28 พ.ค. 51 20:56:47 ]

ความคิดเห็นที่ 38 Endosymbiotic Methanogenic Bacteria In Anaerobic Ciliates: Significance For the Growth Efficiency of the Host ABSTRACT Endosymbiotic methanogenic bacteria of three species of anaerobic ciliates (Plagiopyla frontata, Metopus conforms, and M. palaeformis) were inactivated with the specific methanogen inhibitor 2-bromoethanesulfonic acid. the absence of endosymbiont methanogens reduced growth rate and growth yield by about 30% in P. frontata and M. contortus, while no significant change in fitness was observed in M. palaeformis. In Plagiopyla the growth rate constant is not affected by an artificially increased pH2 neither in normal nor in methanogen-free ciliates. the energetic advantage conferred by endosymbiont methanogens in Plagiopyla and in Metopus contortus probably is due to excretion of organic material from the bacteria at the expense of bacterial reproduction. It is unlikely that the maintenance of a low pH2 within the cells due to H2-consumption by the bacteria is important to the ciliates. จากคุณ : silverspider - [ 28 พ.ค. 51 21:18:20 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เรื่อง Endosymbiosis ระหว่าง eukaryotic cell กับ prokaryotic มีตั้งเยอะอยู่ที่ว่าจะหาหรือไม่หาข้อมูลก็แค่นั้น จากคุณ : silverspider - [ 28 พ.ค. 51 21:23:48 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ดูจาก #38  จะเห็นได้ว่า มันก็อยู่ร่วมกันอย่างนั้น ไม่ได้มีการกลายมาเป็นไมโตคอนเดรียหรืออะไรสักหน่อย  นั่นคือ เวลา eukaryotic cell กิน prokaryotic cell เข้าไป  มันก็จะอยู่ร่วมกันอย่างนั้น    prokaryotic cell ไม่ได้กลายมาเป็นไมโตคอนเดรียหรืออะไรทั้งสิ้น   ดังนั้น มันไม่ได้เกิดสิ่งที่บางคน "เชื่อ" กันอยู่ตามสมมติฐานความเชื่อที่เขียนกันไว้ในความเห็นข้างบนๆ เลยครับ จากคุณ : PureTruth - [ 29 พ.ค. 51 00:01:26 ]

ความคิดเห็นที่ 41 #40 การอยู่ร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งนะครับ และระยะเวลาจาก prokaryotic cell เป็น eukaryotic cell ใช้เวลาเป็นพันล้านปีนะครับ และสภาพแวดล้อมก็ต่างกันมาก งั้นคุณ PureTruth ลองเสนอสิ่งที่ถูกต้องหน่อยสิครับ พร้อมยกหลักฐานด้วยนะครับ และช่วยตอบคำถามด้วยนะครับ 1. ทำไมไมโตคอนเดรียกับคลอโรพลาสต์ถึงมี DNA เป็นของตัวเอง 2. ทำไมไมโตคอนเดรียถึงมีพันธุกรรมใกล้เคียงกับ Purple bacteria และคลอโรพลาสต์มีพันธุกรรมใกล้เคียงกับ Cyanobacteria 3. ทำไมจึงพบ eukaryotic cell ที่ไม่มีไมโตคอนเดรีย 4. ทำไมยูกลีนเก็บไว้ในที่มืด พอให้แสงไปถึงไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้อีก 5. ทำไมถึงได้เกิดกรณีที่ prokaryotic cell อยู่ร่วมกับ eukaryotic cell ได้ จากคุณ : silverspider - [ 29 พ.ค. 51 00:38:12 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ^ ^ "1. ทำไมไมโตคอนเดรียกับคลอโรพลาสต์ถึงมี DNA เป็นของตัวเอง" Ans. เพราะต้องแบ่งตัวได้อย่างอิสระ เวลาที่เซลล์ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น 2. ทำไมไมโตคอนเดรียถึงมีพันธุกรรมใกล้เคียงกับ Purple bacteria และคลอโรพลาสต์มีพันธุกรรมใกล้เคียงกับ Cyanobacteria Ans. เพราะมีหน้าที่ในการผลิตพลังงานเหมือนกัน 3. ทำไมจึงพบ eukaryotic cell ที่ไม่มีไมโตคอนเดรีย Ans. ทำไมเหรอครับ ? จากคุณ : PureTruth - [ 29 พ.ค. 51 12:23:07 ]

ความคิดเห็นที่ 43 อูย น่าสนุก จากคุณ : อิฐมอญ - [ 29 พ.ค. 51 13:51:51 ]

ความคิดเห็นที่ 44 #42 ดูท่าคุณจะลืมดูว่ามันมีคลอโรพลาสต์อยู่ด้วยนะครับ รู้สึกว่าคุณจะฝังใจเรื่องผลิตพลังงานซะเหลือเกินจนลืมดูว่า Purple bacteria กับ Cyanobacteria ไม่ได้มีหน้าที่ผลิตพลังงานอย่างเดียวนะครับ และเรื่องที่บอกว่าแบ่งตัวอิสระ ดูถ้ามันจะขัดกับเรื่องที่เซลล์ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นนะครับ เพราะมันไม่อิสระแล้วสิครับแบบนี้ในเมื่อขึ้นอยู่กับเซลล์ นอกจากพันธุกรรมยังมีหลายอย่างที่เหมือนกับแบคทีเรีย และน่าจะรู้เรื่อง Mutualism ด้วยนะครับ อีกอย่างผมยังไม่เห็นคุณเสนอสิ่งที่ถูกต้องพร้อมยกหลักฐานสนับสนุนเลยนะครับ จากคุณ : silverspider - [ 29 พ.ค. 51 17:51:48 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ^ ^ "#42  ดูท่าคุณจะลืมดูว่ามันมีคลอโรพลาสต์อยู่ด้วยนะครับ" Ans. ไม่ได้ลืมครับ "รู้สึกว่าคุณจะฝังใจเรื่องผลิตพลังงานซะเหลือเกินจนลืมดูว่า Purple bacteria กับ Cyanobacteria ไม่ได้มีหน้าที่ผลิตพลังงานอย่างเดียวนะครับ" Ans. ก็ไม่ได้ลืมอีกเหมือนกันครับ "และเรื่องที่บอกว่าแบ่งตัวอิสระ ดูถ้ามันจะขัดกับเรื่องที่เซลล์ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นนะครับ เพราะมันไม่อิสระแล้วสิครับแบบนี้ในเมื่อขึ้นอยู่กับเซลล์" Ans.  ผมใช้คำไม่ตรงเอง ขอบคุณที่ท้วงติงครับ  ผมต้องการจะสื่อว่า  เพื่อแบ่งตัวได้อย่างสะดวก ครับ "อีกอย่างผมยังไม่เห็นคุณเสนอสิ่งที่ถูกต้องพร้อมยกหลักฐานสนับสนุนเลยนะครับ" Ans.  ผมเสนอว่า ไมโตคอนเดรียเกิดขึ้นโดยมีสิ่งที่มีปัญญาเป็นผู้ออกแบบแล้วนำมาใส่ไว้ใน eukaryotic cell   โดยการออกแบบใช้หลักการออกแบบคล้ายกับ Purple bacteria เนื่องจาก Purple bacteria มีส่วนที่สามารถผลิตพลังงานได้     ส่วนหลักฐานสนับสนุนก็คือ Complex relationships between cells and organelles: Organelles such as mitochondria and plastids have extremely integrated and complex relationships with other parts of the cell where they reside. One of those relationships is the ability to transport organelle proteins that are encoded by genes in the nucleus and formed in other parts of the cell back into the organelle where they are needed for the organelle’s proper functioning. Endosymbiotic theory proposes that the genes for organelle proteins got transferred to the nucleus as part of a reduction process by the bacteria/cyanobacteria as they became a permanent part of the cell. The problem for the cell was that it then had to “evolve” transport pathways to bring the organelle proteins (made in the cell) back to the organelle. The transport pathway is composed of many proteins that work together to bring the protein into the organelle. Each organelle has specific pathways (which differ between organelles) to accomplish this and there are typically several different pathways needed to bring a variety of proteins into the organelle. For example, five pathways have been identified so far for transport of proteins into mitochondria.2 Each pathway is composed of several proteins; some are shared among the pathways, while others are unique to a pathway. Mutations cannot account for the origin of these protein-transport pathways. If there is no way to form these pathways, then the organelles would become obsolete once they started transferring their genes to the nucleus. Furthermore, if there was no pathway to return the proteins to the organelle, then the organelles would stop functioning and would no longer be selected for because they did not serve a purpose. จากคุณ : PureTruth - [ 29 พ.ค. 51 18:28:32 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อเสนอมาต้องตอบคำถามนี้ด้วยนะครับ 3. ทำไมจึงพบ eukaryotic cell ที่ไม่มีไมโตคอนเดรีย 4. ทำไมยูกลีนเก็บไว้ในที่มืด พอให้แสงไปถึงไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้อีก 5. ทำไมถึงได้เกิดกรณีที่ prokaryotic cell อยู่ร่วมกับ eukaryotic cell ได้ 6. วิธีออกแบบเป็นอย่างไร 7. ทำไมไรโบโซมของไมโตคอนเดรียถึงเป็น 70s 8. ทำไม DNA ของไมโตคอนเดรียถึงเป็นวงแหวน 9. ทำไมไมโตคอนเดรียถึงไม่มีโปรตีนฮิสโตน 10. ผู้ออกแบบออกแบบไว้เมื่อไหร่ 11. ทำ tetracycline จึงมีผลต่อไมโตคอนเดรียเช่นเดียวกับแบคทีเรีย 12. ใครเป็นผู้ออกแบบ คุณจะอ้างเรื่องผู้ออกแบบไม่ว่าครับ แต่ขอให้อธิบายเหตุผลด้วย แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 51 19:18:15 จากคุณ : silverspider - [ 29 พ.ค. 51 19:08:09 ]

ความคิดเห็นที่ 47 และที่คุณยกมาไม่มีตรงไหนบอกว่าเกิดจากผู้ออกแบบเลย แถมยังไม่พูดถึงกรณีที่ prokaryotic cell อยู่ร่วมกับ eukaryotic cell ได้อีก ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไป 13. ทำไมผู้ออกแบบถึงไม่ eukaryotic cell ทำได้เช่นเดียวกับ prokaryotic cell ต้องมาสร้าง mitochondria กับ chloroplast อีกทำไม จะอ้างเรื่องเพื่อแบ่งตัวได้อย่างสะดวกก็ใช่ที่ เพราะแบคทีเรียไม่เห็นมีปัญหาเรื่องนี้เลย จากคุณ : silverspider - [ 29 พ.ค. 51 19:31:29 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ตอบ #46 "3. ทำไมจึงพบ eukaryotic cell ที่ไม่มีไมโตคอนเดรีย" Ans.  แล้วทำไมเหรอครับ ? จากคุณ : PureTruth - [ 29 พ.ค. 51 23:46:06 ]

ความคิดเห็นที่ 49 #48 ก็อธิบายสาเหตุสิครับว่าทำไมถึงพบกรณีที่ eukaryotic cell ที่ไม่มีไมโตคอนเดรีย จะบอกว่าผู้ออกแบบลืมใส่ก็ไม่ว่ากันนะครับ จากคุณ : silverspider - [ 30 พ.ค. 51 02:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ^ ^ ทำไมต้องเกิดจากการลืมครับ ???    เป็นชนิดหนึ่งที่ถูกออกแบบสร้างขึ้นมาครับ จากคุณ : PureTruth - [ 30 พ.ค. 51 09:04:26 ]

ความคิดเห็นที่ 51 หลังๆ นี่รู้สึกว่าจะดุเดือดดีนะครับ ^_^ จากคุณ : Akira - [ 30 พ.ค. 51 10:10:10 A:203.130.139.65 X: TicketID:107410 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ผมชอบที่จะสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นกับคุณ silverspider ครับ   เพราะว่าคุณ silverspider เป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนในห้องหว้ากอนี้ ที่สามารถถกเถียงเรื่องทฤษฏีวิวัฒนาการได้อย่างมีความรู้ และมีความสุภาพในการสนทนาครับ   :D จากคุณ : PureTruth - [ 30 พ.ค. 51 11:16:58 ]

ความคิดเห็นที่ 53 #50 มีหลักฐานหรือครับว่าถูกออกแบบสร้างขึ้นมา อีกอย่าง eukaryotic cell บางชนิดไม่มีไมโตคอนเดรียเพราะเกิดการสูญเสียไปนะครับ กรณีนี้คงไม่ใช่เพราะผู้ออกแบบกระมังครับ จากคุณ : silverspider - [ 30 พ.ค. 51 13:37:13 ]

ความคิดเห็นที่ 54 แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 51 20:51:51 จากคุณ : PureTruth - [ 30 พ.ค. 51 20:45:35 ]

ความคิดเห็นที่ 55 หลักฐานโดยตรงในเรื่องนี้คงไม่มีหรอกครับ  ต้องดูหลักฐานทางอ้อมอย่างที่เขียนอธิบายอ้างอิงไว้ข้างบน สำหรับ eukaryotic cell บางชนิดที่ไม่มีไมโตคอนเดรีย ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากการสูญเสียไป  ก็แสดงว่าชนิดนี้ไม่ใช่ชนิดที่ผู้สร้างได้สร้างมาตั้งแต่ต้น แต่เกิดขึ้นมาภายหลังจากการสูญเสียไมโตคอนเดรียไป ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ก็ไม่ได้ช่วยสนับสนุนสมมติฐานของนักนิยมวิวัฒนาการที่หลายๆ คนยกมาอ้างอิงในความเห็นข้างบนๆ นี้ครับ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 51 20:55:12 จากคุณ : PureTruth - [ 30 พ.ค. 51 20:50:21 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบอกนิดนึงนะครับ Eukaryoteที่ไม่มีไมโตคอนเดรีย ก็มีออแกแนลทีเป็นซิมไบออนท์นะครับ เช่นไมโตโซม และ  ไฮโดรจีโนโซม ซึ่งออแกแนลเหล่านี้จะมีmitochondrial type alpha- proteobacterium-derivered iron-sulfer cluster assembly protein  น่าจะเป็นไปได้ว่ายูคาริโอที่มีเอนโดซิมไบออนท์ชนิดอื่น ก็มีบรรพบุรุษร่วมกับไมโตคอนเดรียครับ ลองอ่านงานวิจัย Evoluion of the Isd11-IscS complex reveals a single apha- proteobacterial Enosymbiosis for all Eukaryotes ของ Thomas A. Richads and Mark van der Giezen ครับ แล้วก็งานวิจัยอื่นๆที่เกียวกับ Isd11 ดูครับ จากคุณ : jibjibboy - [ 31 พ.ค. 51 17:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ^ ^ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ น่าสนใจทีเดียว ว่าแต่ว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไม Circular mtDNA replication via D loops ถึงแตกต่างจาก replication of bacterial DNA  ล่ะครับ ? จากคุณ : PureTruth - [ 1 มิ.ย. 51 01:55:04 ]