ความคิดเห็นที่ 1 โอ๊ย อยากดู.....ชอบๆๆ ขอบอกว่าไม่ได้ดูอ่ะ -"- สันนิษฐานไปตามใจคิด ส่วนตัวคิดว่า บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับคนนะ บางคนเห็นอะไร ได้ยินอะไรก็ผีหมด อะไรแปลกๆสักนิดก็คิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล คือในสมองมันมีข้อมูลพื้นฐานอยู่แล้ว พอเจออะไรมันก็เลยมีแต่คำว่า ใช่ ใช่ ใช่ จะโดนไฟแดงมั้ยวะ ทู้นี้ ไม่นานมานี้เราเคยได้ยินเสียงน้ำไหลในห้องน้ำกลางดึก รีบเข้าไปดูก็ไม่เจอ คือลองหลายครั้งมากๆ ใจก็คิด..เป็น(ตึ๊ด)อะไรวะเนี่ย ผีรึเปล่าวะ ก็เลยไปนั่งซุ่มดู ปรากฎว่าน้ำมันรั่ว -"- ผีก็ผีวะ แต่คิดว่าไม่ผีมันก็คิดได้ แต่เรื่องผีนี่ชอบนะ หนุกดี จากคุณ : PADAPA--DOO - [ 28 พ.ค. 51 05:44:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เชื่อรายการทีวี จนต้องเอามาอ้างอิง?  แปลก  ที่ที่มีคนตายทุกวัน ตายเป็นสิบๆปี .. หาผีที่เกิดจากคนตายไม่เคยเจอ  เจอแต่ผีบ้า ผีทะเล จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 28 พ.ค. 51 06:35:41 ]

ความคิดเห็นที่ 3 "เจไดหนุ่ม" จะเข้ามาบอกว่าการที่คนทั้งพันทิปเขาฮือฮาเรื่องตีสิบเมื่อคืนวานนี้กันจริงๆแล้วมันไม่ใช่เพราะความน่ากลัวของเรื่องผีหรอกนะครับ  แต่น้องผู้หญิงที่เล่าเรื่องซึ่งมีชื่อว่า "น้องหนามเตย" นั้น(คนขวาในรูป)  เธอเป็นล็อคอินนึงในพันทิปที่ใช้ชื่อว่า "ลาบไก่ใส่ตับหมู"  ซึ่งมีกระทู้เล่าเรื่องประสบการณ์เจอผีที่โด่งดังแลขึ้นแนะนำมานานมากๆอยู่ที่ห้องสยามครับ ^_^ ป.ล.  เจไดหนุ่มขออณุญาตคุณจขกท.เอาคลิปไปแปะที่ห้องเฉลิมไทยนะครับ  เห็นมีเพื่อนๆที่นั่นอยากได้กันมากมาย (..รูปโอบีวันยืนเก๊กอยู่..) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม - [ 28 พ.ค. 51 06:50:52 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมเคยเจอครั้งเดียว หลอนมากๆ จากคุณ : dakong - [ 28 พ.ค. 51 06:51:48 ]

ความคิดเห็นที่ 5 โหลดไม่ได้แล้วครับ อยากดูมากครับ จากคุณ : แทน - [ 28 พ.ค. 51 08:51:35 A:58.64.121.130 X: TicketID:073396 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ดูแล้วครับ แต่ไม่ได้ฟังเพราะไม่กลัวผี เอาแต่มองหน้าน้องเค้าเพลินไปเลย แต่ไ้ด้ยินแว่วๆก่อนโคสะนา วิทวัสหลุดว่า "เอาล่ะว๋ะ" หัวเราะทั้งบ้านเลย แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 09:07:35 จากคุณ : peko6681 - [ 28 พ.ค. 51 09:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตามเจไดหนุ่มครับ คุณหนามเตยแห่งห้องสยาม กระทู้แนะนำมีคนเข้าหลักพันและมีทั้งหมด 8 ภาคแล้วครับ ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ยังอ่านจบไปภาคเดียวเอง คุณหนามเตยเจอผีเยอะโคตรๆ (ทั้งที่ตัวเองสวยน่ารักมาก ผีไม่น่ามาหลอกเลย :-)) และก็น่ากลัวมากๆๆๆๆ เมื่อคืน ผมก็ดูครับ ไม่น่าเลย นอนคนเดียวอะ T_T เรื่องผีนี่นานาจิตตังครับ ผมเองก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ติอย่างหนึ่งตรงที่ตีสิบไม่ยอมขึ้นว่า "ควรใช้วิจารณญาณ...." จากคุณ : Cryptomnesia - [ 28 พ.ค. 51 09:02:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 http://www.me.in.th/live   กดไปดูได้เลยครับ ดูทีวี ย้อนหลังทุกช่อง ทุกเวลา จากคุณ : NuyPond - [ 28 พ.ค. 51 09:05:11 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมก็เจอบ่อยเหมือนกันอะ เจอจนไม่กลัวผี ( แต่ถ้ามาให้เห็นก็กลัว ) จากคุณ : Kyo3 - [ 28 พ.ค. 51 09:27:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 รายการนี้เค้าชอบ อยู่แล้ว ครับ คงเช็คแล้ว Rating ดี แต่เป็นสาเหตุ นึง ที่ทำให้ผมเลิกดูรายการนี้ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 28 พ.ค. 51 09:37:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าคุณเป็นผี อยากจะอำน้องเค้า หรือ เลือกไปอำธงๆ หละครับ จากคุณ : IRQ5 - [ 28 พ.ค. 51 10:04:56 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สงสัยเมืองไทยนี้ มีคนเจอผี มากที่สุดในโลกแล้วมั้ง ไหนจะรายการชิงร้อยชิงล้าน ดาราก็มาเล่าประสบการณ์เจอผีกันทุกอาทิตย์ ถ้าผีมีจริงและเจอกันบ่อย,หลายคนขนาดนี้ ป่านนี้นักวิทยาศาสตร์คงพิสูจน์และอธิบาย ว่าผีมีจริงได้ไปตั้งนานแล้ว จากคุณ : zfrusz - [ 28 พ.ค. 51 10:06:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมก้อไม่ได้ดูเลยย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปนานแล้ว แต่ดูคนเดียวแล้วมันหวิววๆ จิตตกไปเอง จากคุณ : [v] (BONDJUNG_TH) - [ 28 พ.ค. 51 10:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รู้แต่ น่ารัก จังครับ *0* ปล. มีสาวๆในหว้ากอคนไหนเจอกับตัวมั่งป่ะครับเนี่ย ... แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 10:25:30 จากคุณ : vn, man - [ 28 พ.ค. 51 10:24:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ^ เคยเจอตอนเด็ก ๆ ครั้งนึงค่ะ ตอนเช้ามืด วันนั้นตื่นเร็ว เลยมานั่งเล่นหน้าบ้าน ซักพักเจอคุณลุงท้ายซอยเดินมา เราก็ตะโกนทัก ลุงแกก็หันมายิ้ม เราก็ไม่วายถามต่อ ลุงจะไปไหน ๆ ๆ ลุงแกก็บอกว่า ลุงต้องไปแล้วนะ เราก็ เออ ๆ ๆ ท่าจะรีบ พอตกเย็น แม่เดินมาบอกว่า ลุงท้ายซอยเสียแล้วนะ ตั้งแต่เมื่อคืน... จากคุณ : ด๋อยด๋อย - [ 28 พ.ค. 51 10:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อยากถามน้องหนามเตย   ตอนที่โดนผีหลอกในห้องน้ำ แล้วคุณแม่ไปพบ คุณแม่เล่าว่าเห็น คุณหนามเตยจมน้ำไปแล้วเกือบมิดหัว เห็นแต่ฟองอากาศปุดๆออกมาทางจมูก ไม่ทราบว่านานแค่ไหนครับ ที่เป็นอย่างนั้น เพราะบอกว่าหายเข้าไปในห้องน้ำเกือบๆ2ชม. แล้วไม่ขาดอากาศหายใจเหรอครับ น้ำเข้าปอด  สำลักน้ำ หรือไม่มีอาการใดๆเลยเหรอครับ แล้วคุณแม่ไม่ตามหมอหรือคนอื่นมาช่วยเลยเหรอครับ เพราะเห็นบอกว่าพอออกมาจากห้องน้ำก็มาคุยกันเฉยเลย อย่างน้อยในเหตุการณ์แบบนั้น --เปิดไปพบลูกกำลังจมน้ำในอ่าง คุณจะทำตัวอย่างไรครับ 1.เฉยๆ  คุยกันธรรมดา 2.ตกใจอุ้มขึ้นมา ร้องเรียกให้คนช่วย หาหมอ หรือส่งรพ. ต่อให้้มีสติทั้งคู่ก็เถอะ  แล้วไม่แตกตื่นกันเลยเหรอครับ เรียนวิทยาศาสตร์ เชื่อเรื่องตาที่3ด้วยเหรอครับ ใฝก็แค่สิ่งหนึ่งที่อยู่บนผิวหนัง เป็นธรรมชาติ ไม่น่ามีผลใดๆทั้งสิ้น คุณเชื่อแบบนั้น ผมเชื่อแบบนี้ ไม่ผิดน่ะครับ ปล.ขอชมว่าคุณหนามเตยน่ารัก และพูดจาได้น่าฟังดีครับ^^ จากคุณ : mouse4006 - [ 28 พ.ค. 51 10:44:56 ]

ความคิดเห็นที่ 17 555 ขำคห.11 ถ้าผมเป็นผี ผมคงอำแต่สาวๆสวยๆแหละครับ คห.12 ขึ้นชื่อว่าเรื่องลึกลับลี้ลับ มันก็บอกยากอยู่แล้วครับที่จะมีคนพิสูจน์ได้ และ เรื่องพวกนี้บางทีก็เป็นเพราะจิตอ่อนหลอนไปเอง รึอาจจะมีจริงก็ได้ ปัญหาคือ ใครล่ะ จะเป็นคนพิสูจน์ได้??? จากคุณ : Gaea - [ 28 พ.ค. 51 10:45:26 ]

ความคิดเห็นที่ 18 มาตอบแทนลาบไก่ใส่ตับหมูครับ คุณ mouse4006   เคสผีในห้องน้ำ รายละเอียดจริงๆมันมีเยอะกว่าที่เล่าในรายการครับ ถ้าจะเอาละเอียดจริงลองอ่านได้ที่กระทู้ของลาบไก่ใส่ตับหมูที่ห้องสยาม   เอาเป็นว่าที่คุณสันนิษฐาน จริงๆคุณแม่ของน้องหนามเตยก็ไปเรียกคนมาช่วยน่ะแหละครับ   ส่วนเรื่องไฝ อันนั้นมันเป็นความเชื่อ พูดยากครับ สำหรับตัวผมเองก็ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกัน แต่เคยได้ยินคนเชื่อเรื่องนี้จากหลายกลุ่มคนเหมือนกัน จากคุณ : Gaea - [ 28 พ.ค. 51 10:56:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คห. 16 คิดเหมือนผมเลยครับ จากคุณ : เด็กสามย่าน - [ 28 พ.ค. 51 11:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่อยากเชื่อเลยครับว่า คนมีประสบการณ์เจอผีมาหลายๆปีจะน่ารักขนาดนี้ 555   ... เรื่องผีผี ใครไม่เจอกับตัวเองก็ไม่เชื่อหรอกครับ แม้จะอ้างว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เป้นไสยศาสตร์ เรื่องลึกลับก็ตาม ในส่วนตัว ผมเชื่อคุณหนามเตยเค้านะ แม้ว่าตัวเองจะไม่เคยเจอเลยนับตั้งแต่เกิด เพราะเป็นคนดวงแข็งและเกิดวันอาทิตย์ด้วย จึงไม่มีเซนส์ด้านนี้เท่าไหร่ แต่ลึกๆแล้วก็อดกลัวไม่ได้แถมไม่อยากเจอเหมือนกัน   กลัวเป็นโรคหัวใจวาย  เพิ่งทราบเหมือนกันว่าคุณหนามเตย เล่นล๊อกอิน ลาบไก่ใส่ตับหมู ในบอร์ดพันทิป จนเป็นกระทู้อันโด่งดัง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปอ่านสักที ส่วนตัวสนใจเรื่องทำนองนี้มาก และก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับศาสนาพุทธมาบ้าง เรื่องลึกลับบ้าง แต่ยังไม่เคยเจอเคสนี้ นับว่าน่าสนใจทีเดียว  ผมมีทฤษฎีที่น่าสนใจ แม้จะเป็นความเห็นส่วนตัว พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็อยากลองนำมาเสนอ ว่าในเรื่อง ของความตายนั้น แม้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า มันไม่มีจริง!   เป็นต้นว่า เรารู้ว่ามีลม แต่เราไม่อาจสัมผัสลม ไม่อาจมองเห็น ไม่อาจวัดได้ด้วยความรู้สึก แต่เรารู้ว่ามีลม เช่นเดียวกับปรากฏการ์ต่างๆ เช่น เวลาเจอผี บรรยากาศรอบตัวมักจะเป็นอุณหภูมิต่ำ เป็นพลังงาน อาจมีลมเย็นๆเข้ามาปะทะ หรือบางกรณีก็มีกลิ่น ในทางวิทยาศาสตร์ก็ได้พัฒนาเครื่องมือวิทยาศาสตร์ไว้ตรวจจับคลื่นพลังงาน แต่ก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ว่ากันไป แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ไม่เชื่อในเรื่อง เวียนว่ายตายเกิด กฏแห่งกรรม หรือเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง คงน้อยคนที่จะยอมรับในเรื่องปรากฏการณ์เหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ แม้ไม่เชื่อเรื่องผี แต่ยังไงก็ควรศรัทธาในเรื่องกฏแห่งกรรม เพราะไม่อย่างนั้นเเล้ว จะไม่รู้เลยว่า ตนได้ทำสิ่งไม่ดีอะไรเอาไว้ อะไรเป็นสิ่งที่ดี ไม่ดี เมื่อผลกรรมตามมาทัน ก็จะไม่รู้เท่าทันว่าอะไรเป็นเหตุแห่งผลกรรมนั้น เมื่อไม่รู้ก็ทำซ้ำอีก ผิดอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะเค้นเอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายสักเท่าไหร่ ก็มิอาจอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ ต้องยอมรับผลนั้นๆ สถานเดียว แต่พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 11:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ผมคิดเหมือนความคิดเห็นที่ 16 ครับ จากคุณ : LedZepp - [ 28 พ.ค. 51 11:31:57 ]

ความคิดเห็นที่ 22 น่าเชิญคุณหนามเตยจากห้องสยามมาเยี่ยมหนุ่มๆหว้ากอในห้องนี้มั่ง แต่ต้องขอให้ทุกคนเก็บงูบนหัวด้วยครับ.... จากคุณ : Cryptomnesia - [ 28 พ.ค. 51 11:49:40 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ในประเด็นที่หลายๆคนสงสัย ไม่ว่า จะเป็นเรื่องไฝก็ดี เรื่องผีๆก้ดี ว่ามีจริงหรือไม่ ขอตอบตามตรงว่า มี จริง!  แต่ก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคนด้วย แต่คำว่าวจารณญาณของแต่ละคนนั้น ไม่ได้บอกว่า เชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ หากแต่ให้ลองใตร่ตรองดูว่า อะไร ทำให้เราปฏิเสธได้ว่า ผี ไม่มีจริง! ทีนี้ลองดูประเด็นว่า ถ้าผี มีจริง ผีคืออะไร พลังงาน สสาร หรืออะไรก็ตามที่เคลื่อนออกจากร่างผู้เสียชีวิตเเล้ว ( เรื่องนี้ต้องพิจารณาดีดี) หากไปหลงเชื่อในประเด็นเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเรื่องไร้สาระไป ในทางพุทธศาสนา นั้นสอนให้มนุษย์เชื่อว่า คนเราตายแล้วเกิด ไม่อย่างนั้น จะมีสังสารวัฏไปทำไม ถ้าเอามาอธิบายเป็นชาติเดียว มันก็ใช้ไม่ได้ ต้องอธิบายลึกลงไปในขั้นโลกุตระ ว่าสังสารวัฏคือ กาลเวลาที่มนุษย์เวียนว่ายตายเกิด หาจุดกำเนิดหรือที่สิ้นสุดไม่ได้ คำนี้อธิบายได้ทุกอย่าง ตลอดจักรวาลขนาดใหญ่ไปจนถึงระดับที่เล็กที่สุด อย่างอะตอม อนุภาค ฯลฯ ที่อาจเล็กกว่านี้ได้ เช่น ในวิทยาศาตร์เรียกกันเป็นหน่วย อาร์มสตรอง อย่างไรก็ดี เมื่อรู้ว่าตายเเล้วเกิด ทำไมไม่มีคนที่ตายปุ๊บ เกิดปั๊บล่ะ ทำไมต้องเป็นผีด้วย ขอเรียนตรงนี้ว่า คนเราตาย มนุษย์ตาย หรือสัตว์โลกตาย ทุกภพภูมิ เมื่อสิ้นอายุขัยก็ไปเกิดใหม่ทั้งนั้น ผีเอง ก็คือ ภพๆหนึ่ง เรียกว่า ภพผี แต่ผี ที่เราส่วนใหญ่เจอๆนั้น เรามักเรียกรวมว่าเป็น ผี หรือสัมภเวสี หรือ ผีเร่ร่อน ผีก็เหมือนคนนี้แหละเพียงแต่ไม่มีร่าง การที่ผียังทีความทรงจำในภพก่อนๆอยู่เพราะ ผี มี สัญญา คือความจำที่บันทึกในรูปของพลังงาน วิทยาศาสตร์ปัจจุบันพัฒนาถึงขั้นเก็บสิ่งต่างไว้ใน Memory ในรูปอิเล็กตรอน หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หากขับประจุไฟฟ้าให้ทำงานเหมาะสมเราก็สามารถบันทึกสิ่งต่างๆไว้ใน Ram หรือ Memory ที่เราเตรียมไว้ได้ ดังนั้น ในตัวคนเราก็มีไฟฟ้า มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เราบันทึกสิ่งต่างๆไว้ในสมอง แต่สิ่งที่พาความทรงจำเข้าสู่สมองเป็นรูปแบบไฟฟ้า เรียกว่า ในตัวเรานั้น อวัยวะน้อยใหญ่ คือไฟฟ้า และสมองก็เเปลสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณสมองให้เราเห็นภาพต่างๆ เรื่องนี้เราคงพอมองออก ผีก็เช่นกัน  ผีเป็นเวไนยสัตว์ที่อยู่ในภพภูมิที่ไม่มีร่างกายอย่างเรา ผีนั้นโปร่งแสง มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่ทำไม บางคนเห็น บางคนไม่เห็น     ลองพิจารณาง่ายๆ สมมติเราส่งคลื่นออกไป ที่เครื่องรับ หากไม่ปรับเครื่องรับให้รับความถี่ที่ตรงกัน มันจะรับได้ใหม? ในการพิสูจน์มานับทศวรรษนักวิทยาศาตร์เชื่อว่า ผีมีคลื่นความถี่ที่สูงกว่ามนุษย์ปกติ แต่หากอยู่ในสภาวะปัจจัยเหมาะสม ผี อาจปรับคลื่นให้ลดต่ำลงใกล้เคียงกับมนุษย์ จึงทำให้เราเห็นภาพ หรือสัมผัสได้  ดังนั้น จึงอธิบายได้ว่า ทำไมสุนัขจึงเห็นผี แต่เราไม่เห็น เพราะสุนัข สามารถรับคลื่นความถี่สูงได้มากกว่าคนปกติ แล้วคนที่ไม่ปกติ รับความถี่สูงๆ ได้อย่างนั้นหรือ ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เสมอไป เช่นมีสถานีวิทยุรับได้คลื่นนี้ตลอด แต่คลื่นใกล้เคียงก็รับไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น (ลองไปศึกษาเรื่องของสัญญาณฮาร์โมนิกจะพอเข้าใจมากขึ้น)   แต่ความถี่อย่างเดียวก็ไม่อาจทำให้คนเห็นผีได้ ต้องเป็นคนที่มีเซนส์ บางคนเรียกว่า ' จิตเปิด ' จิตเปิดก็อธิบายลักษณะเช่นเดียวกับไปรับคลื่นความี่ของผีได้เช่นกัน วิทยาศาสตร์จึงได้พัฒนาเครื่องรับความถี่ที่สามารถรับความถี่ผีๆ ได้ แต่ทำไมไอ้เครื่องดังกล่าว ถึงทำได้แค่ร้อง ติ๊ดๆ  เคยคิดใหม เพราะแม้เราจะรับความถี่ได้ แต่อะไรล่ะ ! ที่เเปลสัญญาณความถี่ที่เรารับได้เป็นภาพ เป็นเสียง เป็นความรู้สึก คำตอบก็คือ สมอง ! หากวิทยาศาสตร์พัฒนาถึงขั้นที่ว่า ประดิษฐ์สมองเทียมได้สำเร็จ แล้วเอาเครื่องรับความถี่เมื่อกี้ ต่อเข้ากับ สมองเทียม แล้วมีเครื่องเเปลสัญญาณสมองเป็นสัญญาณภาพ แล้วเอามาฉายออกโปรเจ็กเตอร์ ได้ เราคงเห็นผีเดินเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด พอสังเขปได้เท่านี้ ว่าเหตุใด วิทยาศาสตร์ถึงพิสูจน์ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จริงๆจังๆสักที   นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสงสัยว่า เรามองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้อาศัย ตา ไฟฟ้า สมอง ตามกระบวนการที่เกิดขึ้นเหล่านี้เท่านั้น จริงหรือ !   อาศัยตาอย่างเดียวจะมองเห็นผีได้เท่านั้น แต่ทำไมพระเกจิหลายๆรูปสื่อสารกับสิ่งที่ตายไปแล้วด้วย จิต   บางคนบอกว่า จิตคือตาที่ สาม เรามักเรียกว่า จิตเปิด ใช้จิตสื่อสาร ทั้งนี้ต้องขออกตัวว่า ต้องใช้วิจารณญาณกันสักนิด เรื่องการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน บางคนหรือหลายคน บอกว่าจะทำให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ขอยืนยันว่า จริง และอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ด้วย เพราะการทำสมาธิ สัญญานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไปรวมกัยที่จุดๆเดียว และเเช่นิ่ง ทำให้มีพลังงานเพียงพอ ที่จะทำให้ตัวเรา กลายเป็นเครื่องรับวิทยุเครื่องหนึ่ง ซึ่งสามารถรับคลื่นที่ผิดปกติเหล่านี้ได้ ในทางวิทยาศตร์จึงได้ทำการตรวจคลื่นสมองของนัก)ฏิบัติธรรมเหล่านี้ และก็ได้ผลตรงกัยว่า ผู้ปฏิบัติธรรมเป็นเวลานาน จะมีคลื่นสมอง(แอลฟ่า เบต้า ฯ )ที่สูงกว่าคนปกติ ซึ่งเป็นผลจากการทำสมาธิ จึงอธิบายได้ว่า ทำไมเวลาที่เรามีสมาธิ จึงทำอะไรๆได้ดีกว่า เวลาปกติ   นอกจากนี้เเล้ว บางคนที่เกิดมาแม้ไม่เคยปฏิบัติสมาธิเลย ทำไม ถึงเห็นผีได้ล่ะ เรื่อนี้ ต้องย้อนถามว่า คนที่เห็นผี หรือมี Sixsense นั้นเป็นคนพิเศษหรือไม่ ลองย้อนถามว่า การที่เขาเป็นคนพิเศษได้นั้น เพราะชะตาลิขิตจริงหรือ หรือเพราะเขาได้ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญตบะสั่งสมมาในชาติที่เล้ว ? จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 11:56:24 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผมเรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์นะครับ (เคมี) เคยมีประสบการณ์แบบนี้ 2 ครั้ง ใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน บันทึกไว้เลยส่งมาให้ดูกันหน่อย วันหลังจะเข้ามาเยี่ยมบ่อย ๆ ปกติอยู่ห้องราชดำเนินครับ จากคุณ : เกียรติมุข - [ 28 พ.ค. 51 12:04:06 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คห.23 วิชาการโคตร แหะ แหะ มีอีกหนึ่งตัวอย่าง ถ้าจิตไม่เปิด หรือ เป็นคนไม่ยอมรับเรื่องเหลือเชื่อ ต่อให้เจอ เขาก็ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของสิ่งนั้นหรอก ลองเทียบเล่นๆกับการเดินบนถนน ถ้าเราเดินแบบไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง แล้วสวนกับอะไรก็ตาม เขาก็ไม่รู้ตัวหรอกครับ แต่บางคนถ้าเชื่อมากเกินไป บางทีจิตก็อาจจะหลอนไปเองก็เป็นไปได้ ดังนั้น เรื่องนี้สรุปยากนะ จากคุณ : Gaea - [ 28 พ.ค. 51 12:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 26 น้องหนามเตย หรือ ลาบไก่ใส่ตับหมู เนี่ย น่ารักดีเนอะ เป็นเราเจอผีบ่อยๆ ไม่ไหว เครียดตาย จากคุณ : หัวโต๊ะโต่ะ~ - [ 28 พ.ค. 51 12:17:41 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องการสั่งสมบารมีนี่มีจริง เเละมีหลักฐานด้วย ในพระไตรปิฏกก็หนึ่งล่ะ แต่ทำไม คนไม่รู้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เชื่อว่ามีจริง เพราะเราไปอคติเสียเเล้ว มีอวิชชาครอบงำเสียเเล้ว ว่าเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว ผู้ที่มีทิฐฐิเยี่ยงนี้ เมื่อพูดเท่าไร ก็ไม่ยอมฟัง ยากจะสอนได้ ต้องคลายทิฐฐิเหล่านั้นเสีย   การที่คุณหนามเตย หรือใครก็ตามมีลักษณะพิเศษมิใช่ว่า เป็นเพราะบังเอิญ หรือเซลล์ผิดปกติ จริงอยู่ วิทยาศาสตร์อาจบอกว่า เซลล์บริเวณนั้น ผิดปกติ แต่พอถามต่อไปว่า ทำไมปผิดปกติตรงนั้นเล่า เขาก็ตอบว่า " ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร " ไอ้คำว่า จะไปรู้ได้อย่างไรนี่แหละ เป็นที่มาว่า ทำไมขนที่พิเศษถึงมีลักษณะพิเศษ เช่น ตามนิทานพื้นบ้านหลายๆ เกิดมาพร้อมสังฆ์ มีปานดำที่หน้า อย่างนี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือ บางคนทีตั้งแต่เกิด บางคนก็เพิ่งมามี อย่างกรณีคุณหนามเตย บอกว่า มีไฝที่ตรงหว่างคิ้ว (ไม่ทราบว่า มีตั้งแต่เมื่อใหร่) แต่ที่เเน่ว่ามี และหลวงพ่อก็บอกตรงกันว่า เป็นตาที่สาม   การบอกว่า มีไฝตรงกลางหน้าผากนั้น คือตาที่สาม จะทำให้เห็นผี นั้น กลายเป็นเรื่องไร้สาระไป แต่ลองพิจารณาดีดี ว่า การที่คุณหนามเตยเห็นผีนั้น เกิดเพราะปัจจัยหลายๆอย่าง เช่นเกือบจมน้ำตาย ฯลฯ เป็นต้น ค้างไว้ตอนที่แล้วว่า คุณหนามเตยอาจเคยได้บำเพ็ญบารมีมา จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ กลายเป็นเหตุให้เธอเห็นผีในชาติปัจจุบัน ก็พอประมาณการณ์ได้   เพราะอะไร ? คำถามคือ คุณหนามเตยได้ดวงตาที่สามเพราะไฝ หรือ ไฝ ทำให้คุณหนามเตยมีดวงตาที่สาม อย่างนี้ ก็กลายเป็นเรื่องน่าขัน แต่ถ้าบอกว่า คุณหนามเตยเป็นคนพิเศษเพราะได้บุญบารมี มาแต่ปางก่อน เมื่อเกิดจึงมีลักษณะพิเศษ คือ มีไฝที่ตรงหน้าผาก( หว่างคิ้ว ) ไม่แน่ใจ แต่สิ่งนี้เอง เกลายเป็นลักษณะที่ทำให้เธอ แตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน แม้ลักษณะภายนอก ก็แตกต่าง แต่มีคนถามว่า เเล้วคนอื่นๆล่ะ คนทุกคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ทุกคนจึงลักษณะภายนอกแตกต่างกัน แต่ลักษณะพิเศษนั้น มักเป็นลักษณะเฉพาะ ที่มีบันทึกในตำรา ดังนั้น คนไม่เคยบวชเรียน หรือไม่เคยศึกษาตำราโบราณ ย่อมไม่มีทางพูดว่า เป็นดวงตาที่สาม อย่างแน่นอน อนึ่ง การที่คุณหนามเตยมีลักษณะพิเศษเช่นนี้ ถือว่าเป็นคนที่มีบารมี ประกอบกรรมดีไว้มาก มีผลบุญรักษา คนที่ทำกรรมดีไว้ ย่อมประสบผลในชาติปัจจุบัน เช่นผิวพรรณดี มีชาติตระกูลดี มีฐานะดี ประกอบกับเป็นคนใจบุญ ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เธอเป็นผู้ประกอบไปด้วยบุญบารมีมาแต่เก่าก่อนอย่างแน่นอน หากได้ลองปฏิบัติกรรมฐาน อาจบรรลุธรรมได้ง่ายกว่าคนธรรมดาต่อไป จึงควรหมั่นประกอบความดี สั่งสมบุญให้มาก อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติ อย่างคนปัจจุบันเขาคิดกัน ลองคิดดูหากคุณหนามเตยเกิดในสมัยพุทธกาล คงย่อมได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นแน่ เพราะพระผู้มีพระภาค ทรงย่อมเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ทรงสัพพัญญู อย่างแท้จริง ย่อมเห็นจริงตามคำพระพุทธองค์ ใครๆก็ทรงค้าน หรือ ติเตียนมิได้   กรรมดีนี้น ทำไปเถิดจักเป็นบุญ ผลบุญจะคุ้มครองในภายภาคหน้า หากหวังเพื่อคนหมู่มาก ช่วยเหลือคนหมู่มาก ผลบุญนั้น ย่อมเปลี่ยนกลายเป็นบารมี ซึ่งย่อมมีอานิสงส์มากกว่า                                               เจริญธรรม ใครไม่เชื่อ ก็ขอให้เชื่อ ในเรื่องผลบุญ-บาป ทำสิ่งใดไว้ ย่อมได้รับผลเสมอ แม้ไม่รู้ว่าทำอย่างไร ยังมีพระพุทธศาสนา คอยชี้แนะแนวทาง ย่อมจักเห็นผลดีในภายหน้า ไม่เร็วก็ช้า แต่หากหลงงมงายอยู่ในความไม่มั่นคง เหลาะแหละ หาสาระมิได้ ประกอบแต่กรรมชั่ว ย่อมตกไปในอบาย ใครก็ช่วยไม่ได้ แม้จะรู้ตัวก็สายไปแล้ว    เราทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นทายาท                                                                     อนุโมทนา แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 14:02:49 จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 12:22:14 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ไปคุยกับเจ้าตัวในกระทุ้เขาสิครับ http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F6422027/F6422027.html เรื่องเล่าเยอะเลย จากคุณ : Balleno - [ 28 พ.ค. 51 12:23:16 ]

ความคิดเห็นที่ 29 พิสูจน์ ไปเลย คุณก็จะเป็นคนที่ทั้งโลกต้องจดจำว่า สามารถพิสูจน์ ว่าผีมีจริง จากคุณ : ฉันมันตัวเปล่า - [ 28 พ.ค. 51 12:51:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เลิกดูรายการนี้ไปเป็นชาติแล้ว เมื่อคืนแม่ผมดูอยู่ผมเลยนั่งดูเป็นเพื่อนโคตรขี้โม้เลย เบื่อรายการประเภทนี้จัง ทำให้ชาวบ้านที่ไม่มีการศึกษางมงายเข้าไปอีก จากคุณ : ctx - [ 28 พ.ค. 51 12:57:33 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตามคห.27 "ลองคิดดูหากคุณหนามเตยเกิดในสมัยพุทธกาล คงย่อมได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นแน่ เพราะพระผู้มีพระภาค ทรงย่อมเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ทรงสัพพัญญู อย่างแท้จริง ย่อมเห็นจริงตามคำพระพุทธองค์ ใครๆก็ทรงค้าน หรือ ติเตียนมิได้  " แล้วถ้าคุณหนามเตยเกิดในยุคล่าแม่มด  คงแย่แน่ๆ ถ้าเจอบ่อยๆขนาดนี้ทำไมไม่หาหลักฐาน ที่มายืนยันได้มากกว่า "การเล่า" ครับ คลิบมือถือ ถ่าย vdo ติดต่อทีมงาน 90 ช๊อค ติดต่อทีมงานต่างประเทศ ลงในยูทูป รับรองงานนี้ดังกว่าในกระทู้เมืองไทยแน่นอนครับ เผลอๆมีรวยด้วยครับ  เหมือนอย่างที่ คห.29พูดไว้ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 13:09:19 แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 13:07:29 จากคุณ : mouse4006 - [ 28 พ.ค. 51 12:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผีไม่มีในโลก ทุกอย่างมนุษย์สร้างขึ้น... จากคุณ : อ้วนส้มควงปืน - [ 28 พ.ค. 51 13:11:09 ]

ความคิดเห็นที่ 33 พิสูจน์ไม่ได้ อย่างที่บอกไว้แล้ว มือถือไม่สามารถถ่ายภาพที่เป็นพลังงานได้ เช่นเราไม่สามารถถ่ายภาพควันจางๆ ให้เป็นรูปร่างได้ นอกเสียแต่บอกได้แค่ว่าเป็น กลุ่มควัน ถ่าย VDO ก็เช่นกัน   VDO ไม่สามารถรับภาพที่เป็นวิญญาณ ได้ เพราะ VDO ไม่ใช่สมอง แต่เป็นเครื่องรับสัญญาณภาพ โดยแลความจากกระแสไฟฟ้า แต่ทั้งนี้ สมองมีกลารแปลสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นความถี่มาเกี่ยวข้อง ดังนั้น  สมองจึงรับภาพได้ดีกว่ากล้อง VDO แม้จะตั้งอยู่เป็นเดือนๆ ก็มิอาจเห็นผีได้ นอกเสียจากเหตุ ปัจจัยเหมาะสม ไม่เชื่อ ลองเอาคนที่มี SIX SENSE หลายๆ คน ไปถ่ายในสถานที่เดียวกัน พกกล้องคนละตัว  เคยมีพิสูจน์แล้ว เเทบทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็น แต่กล้องไม่สามารถบันทึกได้  อันนี้เป็นความสามารถเฉพาะตนครับ ถ่ายทอดไม่ได้ อยากเห็นต้องปฏิบัติกรรมฐานลูกเดียว ติดต่อทีมงาน 90 ช๊อค ติดต่อทีมงานต่างประเทศ ลงในยูทูป เพื่ออะไรครับ ? คลิปวีดีโอ มีมากมาย แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นของจริง หรือตัดต่อ เรื่องบุญกุศลบ บุญบารมีเป็นเรื่องเฉพาะตน รู้ได้ด้วยตน รู้ชัดแล้ว ย่อมตระหนักว่า กายก็สักแต่ว่ากาย มิใช่ของเรา สักวันก็เปื่อย เน่า ตาย แต่ผลกรรมยังคงอยู่ ยังคงหนุนนำให้ไปเกิดเป็นภพหน้า ทำดีก็ไปเป็นผีบนสววรค์ เราเรียกว่า เทวดา ทำไม่ดี ก็ตกนรก เป็น ผี ในยมโลก เราเรียกว่า สัตว์นรก ทำดีบ้างไม่ดีบ้าง หรือผลกรรมยังไม่หนุนนำพอ ตายไป ก็ไปเป็น ผีเร่ร่อน สัมภเวสี อยู่คาบกึ่ง โลกมนุษย์ ยังปรากฏให้เห็นบ่อยๆ พวกนี้ ถ้าได้ผลบุญเพียงน้อยนิด ก็จะไปเกิดได้โดยง่าย เพื่อไปเพิ่มผลกรรม ให้แรงพอที่จะส่งไปยังภพภูมิที่สูงขึ้น หรือ ต่ำลง ไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าไม่มี แล้วที่เขาเห็นกันทั้งโลก เรียกว่าอะไร ? จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 13:32:46 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอให้ได้รับอานิสงส์โดยทั่วกัน   จากคุณ : noraneko - [ 28 พ.ค. 51 13:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เรื่อง อะไร ผ่าน รายการ TV เทิง ต้อง วิเคราะห์ เยอะ ๆ จากคุณ : ปังตอหยก - [ 28 พ.ค. 51 13:39:29 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นหน้าก็เข้าใจเลย ว่าทำไมเขาเจอบ่อยขนาดนั้น ผมเป็นผี ผมก็เลือกมาหาคนนี้อ่ะ จากคุณ : ;-) (อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ) - [ 28 พ.ค. 51 13:43:28 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ความคิดเห็นที่ 25 เรื่องจิตหลอนไปเองนี่ ยอมรับเลยว่า บางคนเห็นจนอาการประสาทก็มี บางคนหลอนจนเกิดอาการทางประสาทก็มี เนื่องจากในสมองมีสารเคมีอยู่ เมื่อคนมีความสุข สมองก็หลั่งสารเคมีเอ็นโดรฟินออกมา เมื่อมีความกลัว สมองก็หลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา อย่างที่อธิบาย กระบวนการทำงานของสมองซับซ้อนมาก เนื่องด้วยกระบวนการหลายๆอย่าง ไฟฟ้า สารเคมี ฯลฯ ถึงแปลเป็นสัญญาณภาพได้ เราเรียกเป็น วุฒิภาวะทางอารมณ์ เช่น บางคนเห็นภาพสะอิดสะเอียน หรือ ภาพน่ากลัว ตรงหน้า หากไม่มีอารมณ์อันเนื่องจากสารเคมีในสมอง เราก็คิดว่าเป็นแค่ภาพธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาเพราะสมองแปลความหมายภาพ เป็นอารมณ์ ว่า ภาพอย่างนี้ น่ากลัว หากการทำงานของสมองผิดเพี้ยนไป แม้คนจะมองเห็นภาพอะไรก็ตาม สมองก็จะแปลความหมายกลายเป็นสิ่งหน้ากลัวขึ้นมาทันที เรียกอาการอย่างนี้ว่า อาการทางประสาท หรือที่เรียกกันว่า จิตหลอน นอกจากนี้ กับผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ก็เช่นกัน บางคนเห็นจริง บางคนก็เห็นเป็น นิมิต เป็น นิมิต ที่ตนเองสร้างขึ้น หากหมกมุ่นกับนิมิต ที่สร้างขึ้นมากเกินไป ก็อาจกลายเป็นโรคประสาทได้ เพราะอย่าลืมว่า สมาธินั้นทรงพลัง ใช้ผิดวิธี ก็วิบัติได้                     แต่อย่างไรก็ดี เราไม่สามารถ เหมารวมได้ว่า คนที่พบเห็นปรากฏการ์เหล่านี้ เป็นประเภท จิตหลอน คิดไปเองได้ทั้งหมด เพราะบางปรากฏการณ์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ เช่น พบคนที่ตายเเล้วยืนอยู่ตรงหน้า และสามารถอธิบายลักษณะภายนอกของผู้ที่ตายไปแล้วได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ต่างกันไปสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์หลังความตาย ทุกคนจะบอกได้เหมือนกันว่า ได้ไปยังสถานที่คล้ายยมโลก แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดเหล่านั้นได้ตรงกันอย่างชัดเจน  แสดงให้เห็นว่า ในมิติอื่นๆ ภพภูมิอื่นๆ นั้น มีลักษณะทางกายภาพไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ แต่ผีที่เจอในโลกมนุษย์ ส่วนใหญ่ จะบรรยาย ในลักษณะตรงกัน                       ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ความคิดเห็นที่ 32   ผีไม่มีในโลก ทุกอย่างมนุษย์สร้างขึ้น...  ขอตอบว่า ใช่ เพราะมนุษย์สร้างคำว่า ' ผี ' ขึ้น แถมยังสร้างเทคโนโลยี สร้างพระเจ้าขึ้นมา แต่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฟ้าเเลป ฟ้าร้อง ฯลฯ มนุษย์มิได้สร้างขึ้น เป็นสักแต่ว่าเหตุปัจจัยทางธรรมชาติ เท่านั้น มนุษย์เพียงแต่อธิบายปรากฏการณ์เหล่านั้น ยังมีสิ่งที่มนุษย์อธิบายไม่ได้อีกมากมายในโลก แต่ไม่ได้แปลว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างทุกสิ่ง                                                  ฉันใดก็ฉันนั้นแล จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 13:49:14 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อนึ่ง ขอให้ใช้วิจารณญาณในการรับชม เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่ามี เฉกเช่นเดียวกัน เรื่องที่พิสูจน์ได้ยากก็ไม่ได้แปลว่า ไม่มี การที่เราไปหลงยึดติดกับคำว่า มี   ไม่มี  ทำให้เราพลาดอะไรไปบางอย่าง ผมชื่นชอบที่คุณหนามเตยพยายามจะสื่อว่า เวลาพบอะไร เจออะไร จะมองให้ชัดก่อน นั่นคือ เค้าพยายามที่จะมีสติ ระลึกว่าสิ่งที่เห็นนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่เค้าเองพบเจอเสมอๆหรือไม่ หรือเเค่จินตนาการไปเอง ดังนั้น แม้เราจะมองไม่เห็นอย่างเขา อย่าด่วนสรุปว่า ไม่มี หรือสรุปว่า ทุกสิ่งเป็น 'ผี' ไปเสียหมด ต้องมีสติ และที่สำคัญ ต้องไม่ประมาทว่า บุญ-กุศล ไม่มี เพราะเรื่องนี้ร้ายแรงกว่า 'ผี' ไม่มี หลายเท่านัก แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 14:39:23 จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 14:12:03 ]

ความคิดเห็นที่ 39 "ขอให้ใช้วิจารณญาณในการรับชม เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่ามี เฉกเช่นกัน เรื่องที่พิสูจน์ได้ยากก้ไม่ได้แปลว่า ไม่มี การที่เราไปหลงยึดติดกับคำว่า มี   ไม่มี  ทำให้เราพลาดอะไรไปบางอย่าง" ชอบปย.นี้ของคุณ Cho_shang นะ ก่อนหน้านี้ใครบ้างจะคิดว่าโลกกลม ก่อนหน้านี้ใครจะเชื่อว่านอกจากโลกแล้วไม่มีดาวอื่น ก่อนหน้านี้ใครจะเชื่อว่าโคลนนิ่งจะเป็นได้จริง คนที่ไม่เปิดใจยอมรับอะไร มักจะเห็นอะไรน้อยกว่าคนอื่นนะขอรับ จากคุณ : Gaea - [ 28 พ.ค. 51 14:48:34 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สมัยที่่ัยังไม่มีคำว่านรก -สวรรค์ (ซึ่งตั้งชื่อมาจากสิ่งที่เรียกว่า"คน") แล้วคนที่ตายไปอยู่ไหนครับ   สมัยที่ยังไม่มีคำว่า บุญ-บาป (ซึ้งตั้งมาจากคนที่ต้องการควบคุม ความไม่เป็นระเบียบของคนด้วยกันและต่อมา เรียกว่าศาสนา) ตายแล้วเราเอาบุญ-บาปไปแลกใช้ได้ยังไงครับ เพราะในตอนนั้นยังไม่มีคำเหล่านี้อยู่ คนเป็นผูู้้บัญญัติสิ่งต่างๆในโลกนี้ ผี-วิญญาณ-บุญ-บาป-นรก-สววรค์ เพื่อเป็นกฎหมายอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องพึ่งนักกฎหมายใดๆ และทุกคนยินดีเชื่อและทำตาม เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน  มองไม่เห็น และทุกคนจะกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ เพราะมี การสร้างแรงจูงใจให้เชื่อ เช่นคนเดินข้ามถนนโดนรถชนเสียชีวิต ก็เพราะเค้าหลบลู่ เยี่ยวรดเจ้าแม่สะพานลอย แต่ความเป็นจริงก็เพราะประมาท ไม่ข้ามทางม้าลาย หรือสะพานลอย และต่อมายิ่งดีถ้ามี "สัญลักษณ์" เจ้าแม่สะพานลอยมาให้บูชา เพิ่มความเชื่อให้มากขึ้น ผมเชื่อในการทำความดี การเป็นคนดี โดยเอาหลักของการเป็น "คน"เป็นที่ตั้ง คำสอนของพระพุทธเจ้านำมาคลี่คลายเพื่อนำไปใช้ในบางข้อ ขอยกบทความของ หนังสือ ของวินทร์ เลียววาริณ เรื่อง ปลาที่ว่ายในสนาสมฟุตบอล (ด้วยความนับถือครับ) ผี เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตอย่างเดียว หรือกับสิ่งไร้ชีวิตด้วย ทำไมมักเห็นผีสวมเสื้อผ้า แปลว่า เสื้อผ้า(ที่ไม่มีชีวิต) นั้นก็เป็นวิญญาณ หรือพลังงานด้วยหรือ? ผีเกิดเฉพาะคน แล้วสัตว์หล่ะมีหรือไม่? ใช้แรงอะไรเดินทาง ในเมื่อไม่ตรงกับแรงใดๆในทางฟิสิกส์เลยสักอย่างเดียว ผีมีวิวัฒนาการหรือไม ในเมื่อคนเราเป็นผลจากการวิวัฒนาการ หากผีมีวิวัฒนาการ  ผีในยุค2-3ล้านปีก่อนจะมีหน้าตา เป็นมนุษย์วานรหรือไม่ และถ้าถอยไปอีก เป็นผีสัตว์เซลล์เดียว? และถ้าเช่นนั้น สิ่งที่มีชีวิตในโลกก็ต้องมีผีด้วย เพราะกำเนิดมาจากรากเหง้าเดียวกัน แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 15:24:10 จากคุณ : mouse4006 - [ 28 พ.ค. 51 15:23:34 ]

ความคิดเห็นที่ 41 23 โครตะระ โม้เลย เราตายไป สมองเราโดนเผา คุณอ่านข้อความคุณใช้สมองกรอง คุณเดินคุณใช้สมองสั่ง ตายไปสมองโดนเผาจะเอาอะไรมาคิดได้ เอาอะไรมาสั่งการ ไม่ต้องให้วิทยาศาศตร์พิสูทหรอก สมองธรรมดาของผมก็ทำได้ จากคุณ : kepok - [ 28 พ.ค. 51 15:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 42 . . . . . ps.. คุณเจไดหนุ่มครับ ทำไมคราวนี้รูปโอบีวันขาวน่ากินจังเลยครับ 55 จากคุณ : bb_area - [ 28 พ.ค. 51 15:36:24 ]

ความคิดเห็นที่ 43 อ่านกระทู้นี้แล้ว http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F6422027/F6422027.html ถ้าฝ่ายไม่เชื่อกับฝ่ายเชื้่ออยากให้เคลียร์ ผมว่าก็เชิญอาสาสมัครฝ่ายไม่เชื่อ ไปเป็นร่างทรงดูมั้ยครับ จะได้หายสงสัย ทั้งนี้ต้องยอมให้บันทึกภาพและเสียง ได้ด้วยนะ.... จากคุณ : Tire Tracks Studio - [ 28 พ.ค. 51 16:05:15 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อืม อืม อืม อนุโมทนาทุกความเห็นแสดงว่าบางคนในที่นี้ ยังมิได้เชื่อเรื่องบุญบาป อยู่ และอีกเป็นล้านๆคนก็ยังไม่ได้เชื่อในเรื่องนี้ เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขาเชื่อ อันที่จริง เราสับสนกับคำว่า สมอง และ จิตใจ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Brain และ Mine ครับ อนุโมทนา คุณ Gea ในคห.39 ---------------------- คห. 40  คุณยึดติดกับคำว่า วิวัฒนาการ มากเกินไป มนุษย์ชอบความสะดวกสบาย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่นับวันเราเอาความรู้สึกของเราเองไปตัดสินธรรมชาติ ธรรมชาติเมื่ออยู่ในภาวะขาดสมดุล ธรรมชาติก็ทำลายตัวมันเองเมื่อเหตุและปัจจัยพร้อม อะไรเป็นตัวกำหนดมิให้ธรรมชาติดำรงอยู่ได้ ทำไม เสือต้อง กินกวางเพื่อความอยู่รอด   มนุษย์ก็เช่นกัน ธรรมชาติ ของมนุษย์ มีมันสมองอันเป็นเลิศ คิดค้นวิทยาการต่างๆ นานานับประการ แต่ที่สุดแล้วความสุขก็อยู่ที่  ใจ   คนที่เป็นอัจฉริยะ อย่างนักวิทยาศาสตร์ ได้คิดค้นวิทยาการต่อโลกมากมาย แต่สิ่งสำคัญ กลับไม่ได้พัฒนา ตัวมนุษย์ได้ดีขึ้น แม้จะประสบความผิดหวังในสมการรวมแรงทั้งสี่ แต่เขาก็มีคณูปการต่อโลกอย่างมาก ซึ่งความเป็นจริงแล้วเขายึดติดกับรูปธรรมมากเกินไป ตัวเขาเองจึงไม่มีความสุข แต่คนอื่นๆมีความสุข เพราะมีไฟฟ้า-อิเล็กโทรนิกส์ใช้ อะไรคือรูปธรรม สถาปัตยกรรมต่างๆ วิทยาการต่าง ล้วนแต่เป็นรูปธรรม ลองคิดเล่นๆ หากมนุษย์ไม่มีวิทยาการเหมือนอย่างสมัยนี้ ทำไมมนุษย์ถึงมีความสุขเล่า เพราะเขาโง่ กระนั้นหรือ ความจริง มนุษย์แทบไม่ต้องพัฒนา หรือมีวิวัฒนาการ ก็ดำรงอยู่ได้ แต่ธรรมชาติของมนุษย์ ยังมีกิเลส โลภ โกรธ หลง ทำให้มนุษย์สร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากมาย จนสุดท้าย สิ่งต่างๆที่สร้างมา อารยธรรมที่สร้างมา เมื่อถึงที่สุดเเล้ว มันก็ทำลายตัวมันเอง ล่มสลายดังที่ผ่านๆมา ดังนั้น ช่วงชีวิตเราในปัจจุบันนี้ ก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ในสิ่งที่เรียกกันว่า นรก-สวรรค์ ผี เขาไม่มีวิวัฒนาการกันบ้างเลยหรือ อันนี้คงให้ตอบไม่ได้ เช่นถามว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลก ดำรงอยู่ได้อย่างไร ก็ฉันนั้น คำว่า ผี เราเข้าใจว่า พอคนตายก็กลายเป็นผี พอมีคนตายทุกวัน ผีไม่ล้นโลกหรืออย่างไร ? ผี ก็มีอายุขัยเช่นเดียวกับคน มีช่วงเวลาเช่นเดียวกับคน เหมือนๆกันหมด ผีไม่มีรูปร่าง ไม่มีกายเนื้อ การที่เราเห็นเขาเป็นรูปร่างอย่างนั้น ก็เพราะสมองของผู้รับแปลมาอย่างนั้น ต่างจากภาพตกกระทบ เพราะแสงตกกระทบวัตถุแข็งเกร็ง สะท้อนเข้าที่จอรับภาพ สมองกลก็แปลสัญญาณจากจอรับภาพเป็นสัญญาณภาพ  เราจึงเห็นภาพเป็นวัตถุนั้นๆ  แต่กับปรากฏการณ์ลี้ลับ ไม่ใช่เช่นนั้น เรามิอาจเอาหลักการวิทยาศาสตร์ใดๆ มาอ้างอิงได้ เพราะมันเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น   เพราะว่า ผี ไม่มีตัวตน เราจึงมิอาจวัด ส่วนสูง น้ำหนัก ความเข้ม ฯลฯ ตามมาตรวัดสากลได้ วิทยาศาสตร์จึงมิอาจสรุปได้ว่า ผี มีจริง  มีเพียงคนที่สัมผัสได้เท่านั้น จึงรู้ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวที่เจอะเจอมา นั้นเป็นเรื่องจริง แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้อีกเรื่อง คือ กรรม กรรม คือ เจตนา   พระพุทธองค์ กล่าวว่า เจตนาคือกรรม ดังนั้น ทำอะไรไว้ ย่อมได้ผลตอบแทน หากท่านเชื่อในความดีแล้วไซร้ ท่านก็คงไม่ปฏิเสธในเรื่อง กุศล-ผลบุญ แม้หลายๆคนจะเชื่อว่าเป็นบรรทัดฐานของสังคม ซึ่งทำให้สังคมอยู่อย่างเป็นสุข เราไม่อาจสรุปได้ชัดเจนว่า บุญ-บาป นั้นเป็นกุศโลบายของพระพุทธเจ้า หากเราสรุปเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเราปฏิเสธ กฏธรรมชาติ กฏธรรมชาติว่าด้วยเหตุและปัจจัย เมื่อทำเหตุและปัจจัยให้เป็นไป ย่อมได้รับผลลัพธ์ตามมาเสมอ หากเราปฏิเสธข้อนี้ เท่ากับว่า เรามิอาจรู้ได้เลยว่า เรากำลังทำบาปอยู? โดยการเบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่  ?  เพราะนักปกครอง หลายๆ คนต่างก็ใช้คำว่า ' เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก ' หากแต่ในความเป็นจริง เขาทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน แม้จะบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่ควร เพราะจะชนหมู่มาก หรือ น้อย  ชีวิตก็เท่าเทียมกันหมด   หากเรากำลังบอกว่า เขาเชื่อกันมาอย่างนั้นตั้งแต่โบราณกาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรากำลังหลงตน   ลองคิดง่ายๆ ภิกษุที่อยู่อย่างสมถะ ในป่า เขา ท่านเหล่านี้ ยอมรับความสบายเหมือนคนปัจจุบันหรือไม่ ทำอย่างนั้นก็ไม่มีความสุขน่ะสิ หากแต่ความเป็นจริงแล้ว ท่านมีความสุขเหนือคนธรรมดาด้วยซ้ำ                     สุขเสมอด้วยความสงบไม่มี ดังนี้แล้ว เราก็กลับมาย้อนดูตัวว่า เรากำลังเจริญวิวัฒนาการไปเพื่ออะไร ในอนาคตอีก 100 ปี ข้างหน้า หากเรายังมีชีวิตอยู่ คงต้องนึกขำ เรามีโรงไฟฟ้าผลิตเเสงอาทิตย์ แต่เราไม่อาจเห็นแสงอาทิตย์ เรามีรถพาหนะมากมาย แต่เราไม่มีน้ำมัน สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เพราะเรามีโรงงานอุตสาหกรรม เรามีเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้ากว่า หลายปีก่อน แต่เราไม่มีความสุขขึ้นเลย เรามีเทคโนโลยีเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตใดในจักรวาล แต่เราไม่มีศาสนาคอยค้ำจุน เพราะเราไปเข้าใจว่า ศาสนาเป็นของเก่าเสียแล้ว ล้าสมัยเสียแล้ว เรามีอธิปไตย ทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครคุมเรา  ไม่มีคนชี้นำเราไปในทางที่ถูกที่ควร เพราะเราเชื่อมั่นว่า ตัวเราคิดเองได้ จนเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง เมื่ออารยธรรมถูกทำลาย ด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราก็จะกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ เป็นเช่นนี้เรื่อยๆไปทุกครั้ง    เรามีประวัติศาสตร์ให้จดจำ แต่เราก็ต้องทนทุกข์กับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า     แล้วเล่าใครสบาย ?    "   เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร .'                     ++++++++++++++++++++++++     แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 18:02:54 จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 16:24:06 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ปล. คห.41  เรากำลังสงสัยว่า ตอนเราตาย เราเอาอะไรคิด เราเอาอะไรสั่งการ ในเมื่อไม่มีสมอง  อนึ่งอย่างที่เกริ่นไปแล้ว วิทยาศาสตร์อธิบาย Brain ได้ แต่อธิบาย Mine ไม่ได้ ลึกไปในระดับจิตใจ เรามิอาจอธิบายได้ ไม่อย่างนั้น ลองใช้ ทิฤษฏีวิทยาศาสตร์ใดๆ ก็ได้ มาอธิบาย ความรัก ดูสิ นามธรรมก็คือนามธรรม  รูปธรรมคือรูปธรรม สมองคือรูปธรรม จิตใจคือนามธรรม ผีก็เป็นนามธรรม จะเป็นรูปธรรมได้เมื่อมีคนสัมผัสได้   เป็นเช่นนี้ ยกตัวอย่าง เมื่อคุณกำลังมีความรัก ยามหลับยามตื่น คุณก็อาจเห็นหน้าคู่รักของคุณลอยเข้ามาในมโนภาพ  แต่พอในเวลาปกติ ต่อให้คุณพยายามสักเท่าไหร่ มันก็ไม่โผล่มาเป็นภาพที่หน้าคุณอีก หรือให้ยกตัวอย่าง ลองนึกหน้าแฟนคนแรก ด้วยสมอง เค้นออกมา รับรองว่าคุณไม่สามารถปะติดปะต่อภาพนั้นได้   อย่างนี้ขึ้นอยู่กับภาวะปัจจัยเหมาะสมด้วย นั่นแปลว่า สิ่งที่เราจดจำไว้ในสมอง นั้น เราไม่สามารถดึงออกมาได้ทั้งหมด ต่อเมื่อคุณระลึกถึงเท่านั้น ลองกลับไปอย่างตัวอย่างเมื่อกี้ ลองให้แฟนคนเเรกของคุณ โทรเข้ามาโดยบังเอิญ คุณจะนึกหน้าและวันเวลาเก่าๆออกทันที โดยไม่ต้องพยายาม อันนี้เเสดงว่า คุณไม่สามารถถ่ายทอดบางสิ่งที่เก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดได้ ทำได้เพียงระลึกเท่านั้น   ดังนั้น จึงเป็นคำถามที่ว่า สิ่งต่างๆที่เราได้จดได้จำ นั้นถูกบรรจุไว้ในสมองอย่างเดียวเท่านั้นหรือ บางครั้งปรากฏการณ์นี้วิทยาศาสตร์การแพทยืก็มิอาจบรรยาย ปรากฏการณ์ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ คนที่ได้รับผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ กลับจดจำเรื่องราวต่างๆ ของคนก่อนได้ชัดเจน ทั้งๆที่กลไก มิได้เกี่ยวกับสมอง แม้แต่น้อย       ความรัก อารมณ์ ฯลฯ อยู่ที่ ใจ หรือ สมอง? จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 16:37:27 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คห.44 ผมยก บทความมานั้น คำว่า วิวัฒนาการ นั้นตามที่กล่าวไป หมายความว่า วิวัฒนาการชองสิ่งที่เรียกว่า "คน"ครับ เริ่มจากสัตว์เซลล์เดียวในน้ำ พัฒนาขึ้นมาบนบก กินพืช กินเนื้อ เริ่มมีฟัน เดินตัวตรง รวมกลุ่ม สร้างผ่าพันธุ์ ฉลาดขึ้น  คิดเป็น จนมาเป็น "คน"ในทุกวันนี้ แล้วผี มันมาตอนไหนครับ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 51 17:08:50 จากคุณ : mouse4006 - [ 28 พ.ค. 51 17:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 47 น่ารักจิงๆ อยากไปอำตอนกำลังอาบน้ำอ่ะ * * จากคุณ : pattapon - [ 28 พ.ค. 51 17:09:54 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คนเป็นอย่างไร ผีก็เป็นอย่างนั้น ผีในสมัยก่อน จะแต่งกาย ตามลักษณะ คนในสมัยก่อน เช่น ชุดไทย ห่มเฉียง นุ่งโจงกระเบน อย่างนี้เป็นต้น ส่วนผีในปัจจุบัน ( ไม่นับตามสวนลุม,สนามหลวง ) การแต่งกายก็ตามปกติ ที่เป็นดังนั้น เพราะ จิตขณะตอนกำลังสิ้นอายุหรือ ตายนั้น ได้บันทึกสภาพ ตอนตายเอาไว้ ทำให้ผีที่บางคนเห็นมีลักษณะต่างๆ กันไป  ส่วนใหญ่ คนที่ตายใหม่ๆ เสื้อผ้าการแต่งตัวจะเหมือนเดิมทุกประการ แต่สำหรับผู้ที่ตายไปนานๆ เรามักพบเห็นในลักษณะสวมชุดขาว(ตามคำบอกเล่าของผู้พบเห็น) ซึ่งอธิบายได้ในลักษณะว่าตอนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายนั้น จิตผู้ตายได้บันทึกลักษณะยังมีชีวิต จนกว่าจะพบว่าตนเองได้ตายไปเเล้ว จิตก็จะเลื่อนไปสู่อีกภพหนึ่ง การแต่งกายก็เปลี่ยนไปด้วย อนึ่ง การแต่งกายที่เปลี่ยนไปนั้น มิได้บันทึกไว้เป็นลักษณะรูปธรรม หากแต่เป็นลักษณะที่เขาต้องการสื่อให้เราเห็น บางครั้ง เราก็เห็นมาดี บางครั้งก็มาแบบน่ากลัว  ทั้งนี้เพราะอำนาจจิตที่ต้องการสื่อถึงเรานั้น มากน้อย ต่างกันไป อีกนัยหนึ่ง คือสามารถควบคุมบังคับจิตได้ อย่างเช่นหลวงพ่อบางท่าน สามารถไปปรากกฏอีกสถานที่หนึ่งด้วยอำนาจจิต บางครั้งเราเรียกว่า ถอดจิต สิ่งเหล่านี้ อธิบายด้วย วิทยาศาสตร์ได้อย่างไร แม้จะพิสูจน์ไม่ได้ แต่พอประมาณการณ์ได้ว่า จิตเป็นอนุภาค เช่นเดียวกับอิเล็กตรอน และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เราสามารถใช้ไฟฟ้า ในการรับส่งข่าวสารได้ในปัจจุบัน จิตก็เช่นเดียวกัน หากแต่ซับซ้อนกว่า เพราะมีคลื่นความถี่มาเกี่ยวข้อง และปัจจัย ที่ซับซ้อน จึงจะสื่อถึงกันได้ อย่างที่บอก หากเราสามารถแปลสัญญาณสมองของผู้ที่เห็นปรากฏการ์ทางวิญญาณ ให้ปรากฏบนจอได้ เราคงได้เห็นเช่นเดียวกับสิ่งที่เขาเห็น ปล . สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตก็เป็นผีได้ แต่ระยะเวลาจะสั้นกว่ามาก เพราะหากกรรมไม่หมด ก็เกิดเป็นสัตว์อีก หากกรรมหมด ก็เกิดเป็นมนุษย์ในทันที ดังนั้น เราจึงมักเห็นแต่วิญญาณ คนตาย   คำถาม เราเชื่อในระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเราแค่ใหน? จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 17:37:34 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคนๆเดียวกับลอคอิน ลาบไก่ใส่ตับหมู เจอบ่อยที่สยามแต่ไม่เคยอ่าน แต่ว่าเมื่อคืนนี้ดูจนจบอ่าาาา จากคุณ : THE_AR - [ 28 พ.ค. 51 17:46:27 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ถ้าผีมีจริงๆแล้ววันๆหนึ่งผีมันทำอะไรอ่ะอยากรู้ คงจะน่าเบื่อมากๆแน่เลย จากคุณ : นายคล้าว - [ 28 พ.ค. 51 18:14:37 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เห็นคุญ Cho_shang ตอบมาซะหลายกระทู้ เลยอยากศึกษาเพิ่มเติม ขอ ลายละเอียดของ case นี้ด้วยนะครับ [บางครั้งปรากฏการณ์นี้วิทยาศาสตร์การแพทยืก็มิอาจบรรยาย ปรากฏการณ์ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ คนที่ได้รับผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ กลับจดจำเรื่องราวต่างๆ ของคนก่อนได้ชัดเจน] ส่วนนี่ก็สงสัย [หลวงพ่อบางท่าน สามารถไปปรากกฏอีกสถานที่หนึ่งด้วยอำนาจจิต บางครั้งเราเรียกว่า ถอดจิต] เอาแบบคำให้การจาก 1st person นะครับ ไอ้ประเภทฟังเค้าเล่ามาไม่เอา จากคุณ : cdchd - [ 28 พ.ค. 51 18:18:01 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เพิ่มเติมครับ เคยมีทฤษฎี บอกว่า เรื่องภพภูมิเป็นเรื่องของมิติที่ 4 ลองคิดเล่นๆ สมมติว่า มิติที่ 4 ที่ว่า คือนอกโลก สิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 4 คืออยู่นอกโลก พอคนบนโลกตาย ก็ไปเกิดใหม่ นอกโลก  รอจนกระทั่ง คนที่อยู่นอกโลก นั้นหมดอายุขัย เขาก็กลับมาเกิดบนโลก (อย่าสงสัยว่ามาเกิดได้อย่างไร? นี่แค่ยกตัวอย่าง สมมติ มันเกิดได้ละกัน )ในลักษณะเช่นนี้ ดังนั้น มันจึงมีคนบางกลุ่ม ที่สามารถสื่อสารกับคนที่อยู่นอกโลก ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอะไรเลย ในขณะเดียวกัน คนที่อยู่นอกโลก ก็สื่อสารกับคนบนโลกได้   แล้วถ้าบนดวงดาวนั้น ได้แบ่งเป็น 3 ดินแดนคือ ดินแดนที่เป็นดังแดนสวรรค์ อีกหนึ่งเป็นดินแดนนรกที่ร้อนดังไฟ อีกดินแดนมีลักษณะเหมือนโลกทุกประการ แต่จะอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน อดๆอยากๆ ไม่สามารถเลี้ยงชีพได้      ดังนั้นหากมีเงื่อนไขว่า การที่จะข้ามเขตแดนไปดินแดนที่ดีกว่า ต้องใช้ผลจากที่กระทำมาเมื่อครั้งอยู่บนโลกเป็นตัววัด พวกเขาเหล่านั้นจึงพยายามติดต่อกับคนบนโลกเพื่ออาศัยผลบุญนั้น ให้ได้ไปเกิดในแดนสวรรค์บ้างก็เพื่อให้ได้มาเกิดบนโลก เพื่อสร้างความดีบ้าง แต่ก็มีข้อแม้อีกนั่นแหละ ถ้ามาเกิดบนโลก ความทรบงจำที่ผ่านมาก็จะหายไปหมด ดังนั้น หากเปรียบดังที่ยกตัวอย่าง คนบนโลก คือมนุษย์   คนที่อยู่ในแดนสวรรค์เป็น เทวดา  คนที่อยู่ในดินแดนที่อดๆอยากๆ คือ สัมภเวสี ผีเร่ร่อน  ฯ     ดังนั้น พวกเขาเหล่านี้กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นกุศล ไม่เป็นกุศล อะไรเป็นโทษไม่เป็นโทษ ก็ตอนเมื่อตายไปแล้ว ดังนั้น ชนทั้งหลายที่อยู่ภายใต้โลกวิทยาศาสตร์ ต้องไม่งมงาย และไม่มีทิฎฐิที่เห็นผิดจนเกินไป ดังที่บอกไว้ว่า    สิ่งใดที่ไม่เห็นด้วยตา ไม่ได้แปลว่าไม่มี                       สิ่งใดที่เราคิดว่ามี มันอาจไม่มีจริง ก็ได้           แต่พระธรรมคำสอน บาปบุญคุณโทษ กรรมดีกรรมชั่ว มีผลแน่นอน                                                                    Good Bye Today จากคุณ : Cho_shang - [ 28 พ.ค. 51 18:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คห.45 ผมเป็นนะ ปะติดปะต่อภาพไม่ถูกอันนี้ใครเข้าใจช่วยอธิบายทีครับเป็นเฉพาะคนที่รักจริงๆ ผมขอคนแรกและขอคนนี้ตลอดไป เงกๆๆๆๆ เขินง่า~ (>o<)'' เงิกๆๆๆๆๆ 5555+ คืองี้ครับ... ผมก็ยังคงเชื่ออยู่ว่า ก็ที่ผมนึกภาพวันเก่าๆได้ ก็เพราะผมมีเก็บไว้ในสมองนี่นา สมองมันบรรจุความจำได้ตั้งเยอะครับ เราสามารถจำเหตุการณ์ ตอนอนุบาล 2 ยังจำได้ เนื่องจากมันถูกเก็บไว้ในสมอง ในสมองซับซ้อนกว่าที่คุณคิดไว้เยอะมากมายมีส่วนที่เก็บความจำไว้เยอะมากมาย ดังนั้น ความจำมันไม่ได้ไปจรรจุที่สมองแล้วมันจะไปบรรจุไว้ที่ไหนครับ ไปบรรจุที่หัวใจคงไม่ได้ มันไปบรรจุไว้ที่ไหนนอกจากสมอง ผมไม่ทราบได้ครับ หรือ ! ถ้าวันนึงแพทย์วิจัยออกมาว่า หัวใจมีส่วนในการจำเพราะมันเชื่อมและทำงานโดยพร้อมและ สัมพันธ์กับสมอง  ุถึงจะเป็นแบบนี้ มันก็ว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับหัวข้อกระทู้ จากคุณ : kepok - [ 28 พ.ค. 51 18:49:33 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คุณ ลาบไก่ฯ ห้องสยามหรือเปล่า หน้าคุ้นๆ จากคุณ : สายน้ำตะวันออก - [ 28 พ.ค. 51 19:25:48 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ถ้าพูดถึงวินทร์ เลียววารินทร์  เรื่องจะยาวไปมาก ๆ เลย เพราะว่าตรรกะของเขา  ถูก แต่ข้อมูลของเขา ผิด เขาไม่รู้เรื่องภพ 31? ในพระไตรปิฎกเลย  แต่กลับตีขลุมสรุปหมดเลย จากคุณ : SpiritWithin_HolyStream - [ 28 พ.ค. 51 19:36:43 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เบื่อบาง คห วุ้ย ตัวเองไม่เชื่อก็ไม่ควรไปว่า คนเชื่อว่าไม่มีการศึกษา เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เราว่ามันก็พิสูจน์ไม่ได้ต่อไป เพราะงั้นสำหรับเรื่องนี้ เราก็ 50 50 แต่จริงๆก็เคยเจอมาบ้าง แต่ไม่หนักหนาเท่าคุณ ลาบไก่ จากคุณ : tonpook - [ 28 พ.ค. 51 20:22:27 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ส่วนตัวนี่ไม่เชื่ออ่ะครับ ผมว่าน้องเขาคงเหมือน Prof John Nash ที่ได้ยินเสียงหลอน และ มองเห็นภาพหลอนมากกว่า แต่เบื่อรายการไทยจัง กะอีแค่เด็กสาวหน้าตาดีหน่อย บอกว่าเห็นมองเห็นผีได้ก้อเอามาออกทีวีแล้ว เีรื่องที่ดูสร้างสรรกว่านี้กลับไม่เอามาออก แบบนี้กะเอา Rating อย่างเดียวนี่หว่า จากคุณ : gouppa - [ 28 พ.ค. 51 20:27:44 ]

ความคิดเห็นที่ 58 (n__n)     คุณลาบไก่ น่าร๊าก....ก~ จากคุณ : Little Bean Sprouts* - [ 28 พ.ค. 51 20:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์เหมือนกันค่ะ ...เมื่อก่อนไม่เชื่อ จนไปเจอกับเหตุการณ์หนึ่งเมื่อ 10 ปีก่อน ...ตอนนี้เชื่อแล้วค่ะ ว่ามีจริงๆ ของแบบนี้ ใครไม่เชื่อก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ...จนกว่าจะเจอเข้ากับตัวเองสักวันหนึ่ง (แบบดิฉัน) สำหรับคุณหนามเตยเนี่ย ...เพิ่งเคยเห็นเธอเมื่อคืนนี้เอง หน้าตาอิ่มบุญทีเดียว ...ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมถึงมีวิญญาณไปขอส่วนบุญกับเธอเยอะนัก (เป็นดิฉันเอง ดิฉันก็ไป เพราะดูว่าเธอใจบุญ ...น่าจะมีส่วนบุญให้ดิฉันได้เยอะน่ะค่ะ) จากคุณ : มิสยูนิเวอร์ส - [ 29 พ.ค. 51 00:07:30 A:58.9.13.172 X: TicketID:167542 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เหมือน #56 ทำไมต้องเถียงกันเรื่องที่ว่ามีอยู่หรือไม่มีอยู่หล่ะครับ ในเมื่อมันพิสูจน์ไม่ได้ ผลสุดท้ายของการเถียงกันก็คือการไม่ได้ข้อสรุป อย่าเอาความเฃื่อไปปนกับหลักการ/หลักฐานหรือปรากฎการณ์ที่สามารถพิสูจน์และทำซ้ำได้ มันไม่เหมือนกันตั้งแต่ต้น คนที่ไม่เคยเจอก็จะไม่เชื่อ ยืนยันคำเดิม ไม่เคยเห็น ยังสรุปไม่ได้ว่าไม่มีครับ คนที่ไม่เฃื่อ ก็ควรจะนิ่งๆสงบๆ(หรือยกเหตุผลมาหักล้างเหมือนคุณ mouse ก็จะดูดีเหมาะกับหว้ากอ)ไว้ดีกว่าที่จะไปคาดเดาว่าผู้เล่าเป็นแบบโน้นแบบนี้ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครขอให้เชื่อครับ แต่ก็ไม่ควรแสดงภูมิของตัวเองด้วยการว่าร้ายคนที่เชื่อแบบที่บางคห.ทำ ด้วยความปราถนาดีครับ ส่วนเรื่องผี/บาปบุญ/กฎแห่งกรรม สำหรับผม ผมว่ามันก็มีข้อดีนะ โดยส่วนตัว ผมบอกไม่ได้เต็มปากว่าเฃื่อ แต่สิ่งที่ผมเฃื่ออย่างหนึ่งเต็ม 100% คือการทำดีครับ ไม่ต้องถึงกับไปทำบุญปฏิบัติธรรม ฃ่วยเหลือเด็กหรือคนชราหรอก แค่ลดการเบียดเบียนผู้คืนทั้งกาย วาจา ใจ และทรัพย์สิน  เป็นพลเมืองดีแค่นี้ก็เยี่ยมแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเถียงถึงสวรรค์นรกหรือสิ่งที่มองไม่เห็นหรอกครับ ถ้าจะให้กคนเชื่อว่านรกสวรรค์ไม่มีจริงแล้วคนทำดีกันมากขึ้น ปฏิบัติต่อกันดีมากขึ้น ผมก็ยินดีครับ จากคุณ : UnExpected - [ 29 พ.ค. 51 00:24:21 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ความรู้ในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมทุกอย่างในโลกนี้หรอกครับ ดังนั้นมันอาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้... ดังนั้นผมคิดว่า 50/50 ไปก่อนดีกว่า เพราะอย่างน้อยผมก็ยังเห็นด้วยกับช่วงสุดท้ายที่พูด "ถ้าผีมีจริง บาปบุญก็ย่อมต้องมีด้วย" ผมว่าอย่าคิดมากเลยครับ ไปทำบุญทำทาน รักษาศีลกันดีกว่า... จากคุณ : ประจุบวก - [ 29 พ.ค. 51 00:49:39 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ว้า...ห้องนี้น่าเบื่อเกินไปสำหรับเรา   ไปดีกว่า....ฟิ้ววววววววววววววววว จากคุณ : kessie.k - [ 29 พ.ค. 51 01:29:08 ]

ความคิดเห็นที่ 63 สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนในห้องหว้ากอด้วยค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ     เราชื่อว่า  “หนามเตย”  นะคะ   ข้ามมาจากห้องสยามค่ะ เห็นมีเพื่อน ๆ ในห้องนี้พูดถึงเตย   เตยก็เลยเเข้ามาตอบคำถามแล้วนะคะ ก่อนอื่นขออนุญาตตอบความเห็นของคุณ  mouse4006   นะคะ จากประโยคที่ถามว่า  “อยากถามน้องหนามเตย  ตอนที่โดนผีหลอกในห้องน้ำ แล้วคุณแม่ไปพบ คุณแม่เล่าว่าเห็น คุณหนามเตยจมน้ำไปแล้วเกือบมิดหัว เห็นแต่ฟองอากาศปุดๆออกมาทางจมูก ไม่ทราบว่านานแค่ไหนครับที่เป็นอย่างนั้น  เพราะบอกว่าหายเข้าไปในห้องน้ำเกือบๆ  2  ชมแล้วไม่ขาดอากาศหายใจเหรอครับ   น้ำเข้าปอด  สำลักน้ำหรือไม่มีอาการใดๆเลยเหรอครับ” ขอตอบค่ะว่า   ปกติเตยเป็นคนที่อาบน้ำนานมากอยู่แล้วค่ะ   ที่คุณถามว่า  หายเข้าไปในห้องน้ำ  2 ชั่วโมงนั้นจริงค่ะ    แ ต่ ไ ม่ ไ ด้ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า เ ต ย จ ม น้ำ ไ ป    2   ชั่ ว โ ม ง นี่ ค ะ     แหม....มมมม      เตยไม่ใช่ปลานะคะ     อิอิ ส่วนช่วงที่คุณแม่เข้ามาช่วยเตยตอนที่เตยจมน้ำน่ะ    เป็นจังหวะเดียวที่เตยเริ่มจะจมน้ำต่างหากค่ะ   คือ   หัวเตยน่ะเริ่มจะมิดน้ำไปแล้ว  แต่ยังไม่ได้จะตายค่ะ    เพียงแต่ว่าถ้าช้ากว่านี้  อาจจะตายได้ไงค่ะ     สมมุติว่าคุณกำลังอยู่ในสระว่ายน้ำ   แล้วกำลังจะดำน้ำลงไปสัก  5  วินาทีเนี่ย    มันคงยังไม่เป็นไรมั้งคะ   แล้วเวลาขึ้นมาก็คงยังไม่สำลักน้ำถูกมั้ยคะ    แล้วน้ำก็ยังไม่ทันเข้าปอดหรอกจ้า     แต่ถ้าใครดำน้ำสัก  5  วินาทีแล้วสำลักน้ำเนี่ย    เตยแนะนำให้รีบไปเรียนว่ายน้ำ   และหมั่นฝึกกลั้นหายใจบ่อย ๆ ก็จะดีนะคะ    เพราะถ้าเราสามารถกลั้นหายใจเวลาอยู่ในน้ำได้นานขึ้น   เวลาตกน้ำก็จะมีโอกาสรอดมากขึ้นค่ะ อย่างตัวเตยเอง   ตั้งแต่จมน้ำตอน  7  ขวบ   ซึ่งก็คือ  วันแรกของการเรียนว่ายน้ำ   ที่ได้เล่าไปในรายการตีสิบนะคะ    ตั้งแต่วันนั้นมันทำให้เตยเห็นความสำคัญของการเรียนว่ายน้ำมาก ๆ และทุกวันนี้เตยก็ถือว่าเป็นคนที่ว่ายน้ำได้แข็งเหมือนกันค่ะ อีกข้อนะคะ   ที่ถามเตยว่า  “เรียนวิทยาศาสตร์   แล้วเชื่อเรื่องตาที่  3  ด้วยเหรอ”     อืมม    เอาแบบนี้นะคะ   คือ  เตยต้องบอกว่าก่อน  เตยเชื่อในวิทยาศาสตร์นะคะ   เตยเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่ !!!    ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ได้พิสูจน์ได้ทั้งหมดหรอกนะคะ         เช่น   ความรัก  เราจะสามารถพิสูจน์รักแท้ได้ยังไงคะ?   ใช้หลักวิทยาศาสตร์ข้อไหนพิสูจน์? ความรัก   มันก็คล้ายกับเรื่องผีแหละค่ะ    คือ  มันรู้สึกได้   แต่มองไม่เห็น   เอ่อ....หรือไม่ทราบว่ามีใครแถวนี้สามารถมองเห็นความรักได้    ถ้ามองเห็นได้รบกวนจับใส่ตะกร้ามาให้เตยดูสักทีเถอะค่ะ   เตยอยากรู้ว่าความรักนั้นมีลักษณะเป็นรูปหัวใจสีแดงเหมือนการ์ดวันวาเลนไทน์จริงหรือเปล่า ?   เตยเชื่อว่า  “ถ้าทุกคนมองเห็นว่ารักแท้มีจริง   โลกนี้คงไม่มีการหย่าร้างเกิดขึ้น  และในห้องสยามคงไม่มีใครมาตั้งกระทู้อกหักกันบ่อย ๆ หรอกค่ะ”     หรือมีใครมองเห็นอากาศ   หรือเห็นลม   หรือมองเห็นพลังงานมั้ยคะ? เราทุกคนในโลกรู้ดีว่า   เราต่างก็ใช้อากาศในการหายใจกันทั้งนั้น     แต่ขอถามหน่อยเถอะค่ะว่า  อากาศหน้าตาเป็นอย่างไร    จับมาให้เตยดูหน่อยสิคะ   เตยก็อยากรู้เหมือนกัน คือเราทุกคนสามารถรู้ว่ามีอากาศ   ก็เพราะว่าเรารู้สึกว่ามีอากาศ   มีลมมาสัมผัสกับผิวหนังของเรา    จึงทำให้เรารู้สึกเย็นสบาย หรือเรารู้ว่ามีอากาศอยู่   เพราะเราเห็นว่ากังหันลมมันหมุน    แต่เราก็มองไม่เห็นตัวอากาศ   มองไม่เห็นลมกันใช่มั้ยคะ? เพียงแต่ว่า   เรารู้  เพราะเราเรียนมาแบบนี้กันทั้งนั้น   เรารู้   เพราะสิ่งนี้มันพิสูจน์ได้     แต่แหม....มมม     แค่ใช้กังหันทำให้รู้ว่ามีอากาศ     เด็ก ๆ ก็ทำได้ค่ะ  เพราะตอนเด็ก ๆ เตยชอบพับกระดาษทำเป็นกังหันแล้วเอาไปเป่าหน้าพัดลมให้มันหมุนอยู่บ่อย ๆ  เลยค่ะ แต่เรื่องผี   ที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้   ก็เพราะว่า  เราไม่สามารถจับมาใส่ตะกร้าได้นี่คะ   ผี น ะ ค ะ   ไ ม่ ใ ช่ ตู้ เ ย็ น    จ ะ ไ ด้ ม า ตั้ ง ใ ห้ เ ห็ น จ ะ จ ะ  !!! การที่เราไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ตามหลักวิทยาศาสตร์    มันไม่ได้หมายความว่า   มันไม่มีอยู่จริงหรอกค่ะ    เพียงแต่วิวัฒนาการของมนุษย์ยังพัฒนาไปไม่ถึงต่างหากค่ะ ดูอย่างการรักษาโรคมะเร็งสิคะ    มะเร็งมีมาตั้งนมนานแล้ว   แต่ทำไมไม่มีใครคิดวิธีรักษามะเร็งให้หายขาดได้สักที    การที่เตยพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณหมอไม่เก่ง   เทคโนโลยีการผลิตยาในบ้านเราไม่ได้ผลนะคะ     เพียงแต่เตยต้องการบอกว่า   ตอนนี้เราก็กำลังหาทางกันอยู่ใช่มั้ย   แต่เจ้ามะเร็งร้ายนี่ก็วิ่งไปวิ่งมาในร่างกาย  รักษาตรงนู้นหาย  มันก็ดันไปโผล่ตรงนี้อีก      มันก็เหมือนกับผีแหละค่ะ  ที่คนเราพยายามจะพิสูจน์  แต่เค้าก็ไม่ได้มาให้ทุกคนเห็นได้ง่าย ๆ  หลบไปอยู่ตรงโน้นนี่    ตรงนี้ที เตยเชื่อว่าการเห็นผี    ก็เหมือนกับคลื่นวิทยุนะคะ    คือ   ถ้าคุณมีวิทยุสักเครื่องแล้วคุณไปในที่ ๆ อับสัญญาณก็จะไม่สามารถรับคลื่นวิทยุนั้นได้     แต่ถ้าเราไปในที่ ๆ มีสัญญาณ  เราก็จะสามารถรับคลื่นวิทยุนั้นติด   ก็สามารถฟังเพลงเพราะ ๆ ได้ไงคะ เรื่องผีก็เหมือนกันค่ะ    ถ้าเราไปในที่ ๆ มีคลื่นของเขาอยู่    เราก็จะสามาถรับคลื่นของเค้าได้     เพียงแต่ว่าที่ทุกคนไม่สามารถรับคลื่นได้     ก็เป็นเพราะว่า    “ คุ ณ ยั ง ไ ม่ ไ ด้ ซื้ อ วิ ท ยุ ต่ า ง ห า ก ค่ ะ”   หรืออย่างที่เตยเคยพูดในกระทู้  หรือในรายการตีสิบ     เตยจะบอกอยู่แล้วว่า   “เวลาเตยเจออะไร   เตยจะพยายามตั้งสติ   พยายามมองให้ดีก่อนเสมอ   เตยไม่ค่อยตกใจไปกับสิ่งรอบข้าง   และไม่ค่อยตื่นตูมอะไรสักเท่าไหร่    ถ้าไม่เชื่อลองสังเกตจากเทปในรายการตีสิบเมื่อคืนดูนะคะ    เพราะตอนที่มีเสียงกลองดังขึ้นมา    คนอื่นจะร้องตกใจ    แต่เตย ๆ แค่หันไปมองเท่านั้น   แล้วเตยก็ไม่ได้ตกใจอะไรด้วย   แต่ที่หันไปมอง  ก็เพื่อ  ต้องการดูให้รู้ว่า  อะไรมันดัง  แล้วใครเป็นคนทำให้มันดังต่างหากจ๊ะ ปล..... เตยขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงเลยค่ะ   สำหรับคำชมว่าหนามเตยน่ารักและพูดจาได้น่าฟัง   ขอบคุณมากจริง ๆ นะคะ ทีนี้เตยขอข้ามมาตอบความเห็นล่าง ๆ ก่อนค่ะ   งั้นเตยขอตอบความเห็นที่ 57  ของคุณ  gouppa   นะจ๊ะ ก่อนอื่นเตยต้องขอบคุณประโยคนี้มากค่ะ  ที่บอกว่า  “เด็กสาวหน้าตาดีหน่อย”   โอ้วว....ววววววว  ขอบคุณคร๊าบบบบบบบบบ   นาน ๆ จะมีคนชมสักทีค่ะ  จะชมตามมารยาท  ไม่มารยาทเตยไม่รู้ล่ะ   แต่เตยขอบคุณจริง ๆ ไม่ได้ตามมารยาทด้วย   ฮ่า ๆ ๆ อืมม    อย่าเพิ่งไปเบื่อรายการทีวีไทยเลยค่ะ     ถ้าอยากได้รายการแบบไหนที่คุณคิดว่าสร้างสรรค์ก็ลองเขียนเสนอสถานีทีวีดูนะคะ  ไม่แน่ว่ารายการที่คุณนำเสนออาจจะได้มาผลิตเป็นสื่อจริง ๆ ก็ได้ค่ะ    และถ้าเตยผลิตออกมาจริง ๆ เตยจะขอเป็นคนแรก ๆ ที่จะรอติดตามผลงานของคุณเลยล่ะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อน ๆ ทุกคนนะคะ    จะไปทำวิทยานิพนธ์ต่อแล้วจ้า    ฟิ้ว...ววววววววววววว เอี๊ยด...ดดดดด    ก่อนไปลืมบอกค่ะว่า    “หมั่นทำความดี   หมั่นทำบุญกันเยอะ ๆ ด้วยนะคะ    เตยรู้ค่ะว่าเพื่อน ๆ บางคนในห้องนี้อาจจะบอกว่า   ฉันไม่อยากทำหรอกเพราะว่าความดีมันไม่สามารถพิสูจน์ได้    เพราะยังไม่มีใครมองเห็น   หรือมีเครื่องมือวัดความดีสักที”     แ ต่ ค ว า ม ดี เ ป็ น สิ่ ง ที่ เ ร า ทุ ก ค น รู้ สึ ก กั บ รั บ รู้ ไ ด้   และคนเราก็ดีใจทุกคนเวลาที่ใครมาทำดีกับเรา   ดังนั้น    เตยอยากให้ทำดีต่อกันเอาไว้นะคะ    คนเราเกิดมาครั้งเดียว   สวรรค์  นรก  แผ่นดิน  แม่น้ำ  ลำคลอง  (เอ่อ... สามอันหลังนี่เตยเล่นมุขแล้วค่ะ   มุขเด็กประถมน่ะ  ตอนเด็ก ๆ เตยเล่นบ่อย ๆ  ต้องอธิบายก่อน   กลัวเพื่อน ๆ ไม่เข้าใจมุขค่ะ  แหะ แหะ)  มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้    (เพราะไม่มีใครกล้าพอที่จะไปพิสูจน์ดูก่อน   ถ้าใครกล้าที่จะรีบไปพิสูจน์  กรุณาไปหาคนอื่นด้วยค่ะ   อย่ามาหาเตย)   แต่เรื่องบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์มันก็ได้ค่ะ    เพราะบางครั้งการปล่อยให้เรื่องบางเรื่องเป็นปริศนาแบบนี้    มันก็อาจจะทำให้คนเรามีความหวัง   มีกำลังใจ   และอยากจะทำความดีมากขึ้นก็ได้     ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อน ๆ ในห้องนี้อีกครั้งนะคะ บุญรักษาค่ะ จากคุณ : ลาบไก่ใส่ตับหมู - [ 29 พ.ค. 51 01:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 64 สำหรับผม จะหาว่าผมเข้าข้างคนสวยก็ยอมล่ะครับ ผมรู้จักคุณลาบไก่ใส่หนามเตย จากในเวบพันทิบนี้แหละครับ ผ่านทางเพื่อนสนิทของผม พาผมเข้าไปรู้จักเธอรวมถึงสังคมของห้องสยามและกระทู้   "กระทู้ภาคต่อ !!!!! ใ น คื น ที่ ฉั น เ จ อ ผี Episode ..." นับตั้งแต่ ผมได้รู้จักกับเธอ ก็น่าจะร่วมๆปีครึ่ง มาแล้ว เห็นจะได้ จนถึงวันนี้ ผมกับเธอก็กลายมาเป็นเพื่อนคนนึง ที่ได้ติดต่อและทำความรู้จักกันมากขึ้น ทั้งจากที่ได้ร่วมงานกัน และการพบเจอแบบสองต่อสอง(อิอิ) คุณลาบไก่ฯเธอเป็นคนน่ารักครับ  น่ารักทั้งหน้าตาและจิตใจ  ตั้งแต่ผมรู้จักกับคนหลายร้อยคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม เธอเป็นอีกคนที่ผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่จิตใจดีมาก คนนึง ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยนินทาใคร แต่ตัวเธอเอง ออกจะนอยบ่อยกับเสียงนินทาเธอเท่านั้นเอง กลับมาที่ตัวผม ก่อนหน้าที่ผมจะรู้จักกับเธอ   ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องนี้ครับ ไม่เชื่อเพราะทั้งตัวเองและคนใกล้ตัว ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็น และ  ก็ ไม่อยากเจอด้วยนะ แฮ่ม!!! จนถึงบัดนี้ จะก้าวล่วงเข้าสู่ปีที่26 ผมก็ยังไม่เคยเห็นผี แต่ ณ วันนี้ ผมเชื่อครับ ว่า "ผีมีจริง" เหตุผลเดียวเลยครับ  ผมเชื่อเพราะ ... ... คุณลาบไก่ใส่หนามเตย ไม่ใช่เพราะเชื่อจากเหตุการณ์นับร้อยเหตุการณ์ที่เธอเล่า ที่เธอเจอ แต่ผมเชื่อ  เพราะ ... ... เธอเป็นคนเล่า เธอที่ผมรู้จักไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องโกหกทุกๆคน ทั้งจากสภาพแวดล้อม สภาพครอบครัวของเธอ ก็ไม่มีเหตุผลใดๆที่เธอจะต้องสร้างเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ผมเชื่อ เพราะ เธอ จริงๆ สุดท้ายนี้ ผมแค่อยากบอกว่า  บางเรื่องราวมันก็ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มาพิสูจน์ถึงสิ่งที่เรามองไม่เห็น บางทีเราต้องใช้ความรู้สึกพิเศษของเราแบบนี้ครับ ที่จะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อสิ่งนั้น แน่นอนครับ เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป แต่สิ่งนึงที่ไม่ต้องพิสูจน์ก็คือ ผมมั่นใจว่าเพื่อนของผมคนนี้ เป็นคนที่จิตใจดีมากๆคนนึง บุญรักษาครับ จากคุณ : จอมผีดิบมันตรัย - [ 29 พ.ค. 51 04:10:26 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ชีวิต ก็แบบนี้แหละครับ เราไม่อาจ เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ  ตามใครได้หมดครับ และ โลกก้ ลึกล้ำ กว่าที่เห็น และ เป็นไป ครับ จากคุณ : Dr.Jackass. - [ 29 พ.ค. 51 04:36:09 ]

ความคิดเห็นที่ 66 สวัสดีครับยศ แหม ไม่ได้เจอกันนาน พอหนามเตยมีปัญหาก็โผล่มาเลยนะ ยังกะตัวละครลับแน่ะ อิอิ มาสนับสนุนยศด้วยอีกคนครับ แอบอิจฉา มีเจอกันสองต่อสองด้วย (สองต่อสอง แปลว่าไปกัน สี่คน ชิมะ 555) จากคุณ : Gaea - [ 29 พ.ค. 51 10:01:43 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คห.ของคุณหนามเตย ทราบได้อย่างไร ว่า 5 วิ 1.เนื่องจากคุณอยู่ในสภาพถูกผี(ถ้ามี)อำอยู่ คุณไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ 2.คุณแม่ที่เข้ามาช่วยคุณอยู่ด้านนอก(น่าจะ) ไม่สามารถทราบได้ว่าคุณเริ่มจมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าประมาณ 5 วิ ขอบคุณที่เข้ามาตอบน่ะครับ ยินดีที่ได้พูดคุยกันด้วยมิตรภาพครับ จากคุณ : mouse4006 - [ 29 พ.ค. 51 10:19:02 ]

ความคิดเห็นที่ 68 **** กลับมาดูกระทู้นี้อีกสักครั้ง    ยังคงมีประเด็น ตกค้างอยู่หลายประเด็น     กล่าวคือ ต้องออกตัวก่อนว่า สิ่งที่พูดมาทั้งหมดแต่ต้น เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ยังหาวิธีพิสูจน์ไม่ได้ จึงไม่สามารถหาหลักฐานมาแสดง ได้อย่างชัดแจ้งได้ในที่นี้ ซึ่งก็ได้บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าเป็นเพียงทฤษฎี ทฤษฎีอาจลบล้างได้ แต่นิยาม ลบล้างไม่ได้ เช่น ทฤษฎีที่เราคิดค้นขึ้นในปัจจุบัน อาจล้มล้างได้ ถ้ามีทฤษฎีใหม่ที่ดีกว่าในอนาคต แต่คำว่า ' นิยาม '  ลบล้างไม่ได้ อันใหนเล่าที่เป็นนิยาม อันใหนที่ผมบอกว่าเป็นกฏธรรมชาตินั่นแหละ นิยาม  คือ ธรรมชาติสรรพสิ่งเกิดขึ้นล้วนย่อมมีเหตุและปัจจัยให้เกิดขึ้น    มิใช่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ  อันใหนพิสูจน์ได้และเป็นจริง ก็ควรเชื่อตามนั้น อันใหนพิสูจน์ไม่ได้ ก็ใช้การพิจารณาให้ดีก่อนแล้วค่อยเชื่อ  ดังนั้น ในเรื่องปรากฏการณ์ลี้ลับ หากส่วนใหญ่ใคร่ควรแล้วว่าไม่ควรเชื่อ ก็ไม่ต้องเชื่อ แต่อย่างไรก็ดี ในที่นี้เราไม่ได้บอกให้เชื่อดังกล่าวเสียทีเดียว  หรือไม่เชื่อเสียทีเดียว      สิ่งที่เราได้ย้ำ และย้ำตลอดว่า   กรรมมีจริง กรรมดี กรรมชั่ว มีจริง หากใครคัดค้านในเรื่องนี้ ก็คุยกันได้ ส่วนเรื่องผีสางเทวดา นรก สวรรค์ ปรากฏการณ์ลี้ลับต่างๆ ยังคงเป็นทฤษฎีรอให้มีการพิสูจน์ต่อไป ผมก็ได้นำเสนอทฤษฎีของผมเเล้ว ++ ในเรื่องของความทรงจำนั้น เราไม่อาจรู้กระบวนการการเก็บความทรงจำได้ เพราะปัจจุบันยังไม่มีการสร้างสมองเทียม หรือเข้าใจกลไกการทำงานได้ ซึ่งบ้างก็ว่า สารเคมีเป็นตัวเก็บความทรงจำ บ้างก็ว่าอนุภาคหรือไฟฟ้า ผมสนใจประเด็นไฟฟ้า ว่า ไฟฟ้าสามารถเคลื่อนที่ไปได้ทุกจุดของร่างกาย ดังนั้น คำว่า  จิต อาจไม่ได้แปลว่า หัวใจ เพราะ หัวใจเป็นรูปธรรม แต่ที่ยกตัวอย่างเรื่องหัวใจเพราะ มันเห็นชัดเจน เนื่องจากส่วนหัวใจเป็นส่วนที่หล่อเลี้ยงร่างกาย และมีส่วนสำคัญที่สุดรองจากสมอง ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ร่างกายดำรงอยู่ได้  ยกตัวอย่าง     หากคนไข้คนแรก สมองตายเสียแล้ว แต่หัวใจยังคงทำงานอยู่ แสดงว่าหัวใจเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดรองจากสมอง ไฟฟ้าหรืออนุภาคอาจจะเคลื่อนไปยังอวัยวะสำคัญนี้ หากได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ และมีเหตุปัจจัยอันควร ก็อาจเกิดปรากฏการณ์ถ่ายทอดความทรงจำได้ หรือถ่ายทอดความสามารถพิเศษของคนเดิมได้ ดังที่ยกตัวอย่าง http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9490000044864   แต่อย่างไรก็ดีปรากฏการณ์ดังกล่าว มิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะเรามิอาจหาความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันมาในอดีตชาติมากแค่ใหน ( ยังมิได้พิสูจน์ แต่ถ้าพิสูจน์ สมมติฐานนี้ก็อาจผิดได้ )     ส่วนประเด็นการถอดจิตนั้น มิขอพูดไว้ในที่นี้ เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ไป มิใช่วิทยาศาสตร์ สุดท้าย อยากจะชี้เเจงสักนิดนึงว่า   ความเชื่อนั้น มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของเรามากที่สุด รองลงมาคือความเข้าใจและเหตุผล  เพราะหากเราเชื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว เรามักขาดเหตุผลในสิ่งนั้น ความไม่เชื่อก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น คนเรามีสิทธิ์ที่ จะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อก็ได้ คล้ายๆเราบังคับหางเสือ หากเราเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง ในคุณความดี เราก็เบนหัวเรือในทิศทางที่ถูก แต่หากเราเชื่อในสิ่งที่ไม่ถูก เราก็หันหัวเรือผิดทิศ วิทยาศาสตร์จำเป็นต่อเราก็จริง แต่ความดี สำคัญต่อเรามากกว่า เรามิอาจรู้ว่าชีวิตในภายภาคหน้าเป็นเช่นไร เรารู้ว่าวิทยาศาสตร์เป็นคุณและโทษได้ หากใช้ไม่ถูกวิธี ความงมงายก็เช่นกัน งมงายในเรื่องไม่มีเหตุผบเช่นเจออะไรก็หาว่าเป็นผี เทวดาไปเสียทั้งหมด อันนี้ก็เป็นโทษ บางคนในที่นี้ แม้ไม่เชื่อในปรากฏการณ์ต่างๆ แต่เชื่อในคุณความดี ก็ชอบแล้ว แต่ต้องรู้ด้วยนะว่า อะไรเป็น ความดีจริงๆ  มิใช่สักแต่ว่ารู้ แต่ไม่เคยทำ อย่างนี้ก็ไม่ได้ แต่สำหรับคนที่เชื่อ นั้น ส่วนใหญ่จะมักเชื่อเรื่องบาปบุญเวรกรรมเป็นทุนอยู่แล้ว ประมาณ 80-90 % แต่ขอย้ำว่าอย่างมงาย ! อย่าขาดสติ ! เหมือนที่คุณหนามเตยทำนั้นถูกต้องเเล้ว ต้องมีสติในการมองว่าเป็นสิ่งนี้จริงหรือไม่ ...   สุดท้าย ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า   เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าทำลงไปแล้วไม่มีผลจากการกระทำนั้นๆ ก็เอาปืนมายิงกันดีกว่า แต่หากยอมรับในส่วนนี้ แสดงว่าเรายอมรับกฏแห่งกรรม กฏแห่งการกระทำ " ทำดีย่อมได้ผลดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว "  อันนี้จริงแท้และแน่นอน แม้บางคนจะบอกว่า พุทโธ่ มันเป็นปรัชญาโลก ก็เท่านั้น ! หากแต่ความเป็นจริงแล้ว ท่านลองใช้เวลาว่างสักนิด มาลองศึกษาพุทธศาสตร์  หรือ คุยกับหลวงพ่อ ท่านใดก็ได้ที่ปฏิบัติจริง แล้วท่านจะเห็นอะไรมากกว่าแค่ การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ....                                                 เจริญธรรม .. . พุทธศาสนิกชน จากคุณ : Cho_shang - [ 29 พ.ค. 51 10:31:06 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ผีทำไมต้องใส่เสื้อครับ  อาย กลัวอุจาด  กลัวคนอื่นว่า ฯลฯ   ทั้งๆที่เสื้อผ้าเป็นสิ่งของ ไม่ใช่พลังงาน ทำไมผีเอาไปได้   ทั้งๆ ที่น่าจะมีแต่ ร่างกาย เปล่าๆ ถ้าผีมาขอส่วนบุญ  แล้วถ้าเราไมให้หล่ะครับ จะโกรธไหม   แล้วจะโกรธทำไม ในเมื่อมิใช่ของๆตัว   ผีหิวโหยได้อย่างไร กลัวหิวตายทำไม ในเมื่อตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ค่อยมีผีผู้หญิงผมสั้นซอยบ้าง ทำไมผีต้องนุ่งสไบเฉียง ทำไมไม่แต่งให้ดูดีกว่านั้น   หรือผู้หญิงสมัยก่อนก็ไม่ได้ใส่เสื้อก็มี   ผีไปในอวกาศได้หรือไหม   ทำไมไม่ไปเที่ยวซ่ะ มาหลอกคนทำไม ทั้งๆที่จะไปไหนก็ได้ ทำไมผีไม่รู้จักทำประโยชน์ เช่นหลอกผู้ร้าย  หลอกคนเลวๆ       เผื่อจะได้บุญ โดยไม่ต้องรอให้คนเป็นเอาบุญไปให้   ถ้าทำได้ยมพบาล คงเห็นความดีบ้าง  อาจมีแต้มสะสมบุญ ผมเชื่อว่าจิตของคนเราที่ตายไป อาจยังพอมีพลังตกค้างอยู่ เพราะเนื่องจาก คน เรามีพลังงานในการใช้ชีวิตไม่เหมือนสัตว์ คนมีการใช้สมอง(ที่ีมีประจุไฟฟ้า)  ใช้จิตใจ (ที่มีความรู้สึก) ในการมีชีวิตอยู่  ทำให้เกิดพลังงาน เมื่อตายไป พลังงานในด้านจิตยังคงมีอยู่   (ในด้านสมองไม่มีเนื่องจากถูกทำลายแล้ว) ทำให้ อาจสื่อสารไปยังจุดที่ต้องการได้ เช่นสถานที่ ญาติ  คนรัก ด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ เช่นกลิ่น เสียง   แต่หลังจากนั้น พลังของจิตคงสลายหายไปในอากาศ เรียกว่าดับสูญโดยครบถ้วน   เพราะอย่าลืม จิตก็น่าจะมาจากการควบคุมของสมองด้วย ในเมื่อทุกอย่างสูญไปแล้ว จิตก็ไม่น่าจะอยู่ได้นานๆ นานพอที่จะวิ่งไปหลอกคนโน้นคนนี้   หรือนั่งรออยู่ในโรงแรมคอยหลอกคนมาพัก เซ็งตาย ถ้าว่างขนาดนั้น ไปหลอกไอ้พวกโจรใต้ดีกว่า ถ้าทำได้  รับรองผมเข้าวัดกรวดน้ำให้ทุกวัน จากคุณ : mouse4006 - [ 29 พ.ค. 51 11:02:11 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ตามคห.ของท่าน Cho_shang ที่วางไว้ คงคล้ายกับที่ผมคิด(เอง)ว่า จิตเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ศิลปินผู้นั้น (ที่บริจาค) ได้สะสมพลังงานของจิตมาเกือบชั่วชีวิต ในการทำงานศิลปะ (ซึ่งต้องใช้ทักษะทั้งสมองและจิตใจ) เมื่อนำมาใช้กับอีกร่าง จิตที่มีเข้มเเข็งและมีพลัง ก็คงยังมีพลังงานสะสมอยู่ และเมื่อเชื่อมตัวกับสมอง ที่มีสัญญาณเดียวกัน (ชอบวาดภาพเช่นกัน) ก็ทำให้เกิดขึ้นแบบเหตการณืดังกล่าวได้ แต่มันจะนานสักแค่ไหน ผมเคยได้เจอข่าวคล้ายๆแบบนี้ แต่ต่อมา คนๆนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรๆที่พิเศษแบบนั้นได้อีก ผมคิดเอาว่า จิตที่นำมาเปลี่ยน คงหมดพลังไป ตามความคิดของผมน่ะครับ จากคุณ : mouse4006 - [ 29 พ.ค. 51 11:17:06 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ใช่ครับคุณ Mouse4006 ผี ก็อาจเป็น พลังงาน รูปแบบหนึ่ง เพียงแต่เราไม่อาจเข้าใจกลไก การทำงานของมัน     มักเป็นเรื่องน่าแปลกที่ เราเคยคิดเสมอว่า ผิเป็นเรื่องหลอกเด็ก ไม่น่ามีจริง แต่ ทำไม มีบางคนเห็น บางคนไม่เห็น และคนที่เห็น จะคิดไปเองนั้น เป็นไปได้ทั้งหมด หรือไม่ ? อย่างไรก็ดี ถ้าเรามองว่าผีเป็นพลังงาน มันก็ต้องเข้ากับกฏเทอร์โมไดนามิกส์ ที่ว่า  พลังงานไม่มีวันสูญหาย แต่อาจเปลี่ยนรูปได้ และต้องเข้ากับทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ พลังงานสามารถเปลี่ยนเป็นมวลได้( อันนี้ยังไม่มีทฤษฎีใดมาหักล้าง แต่อาจถูกลบล้างได้ในอนาคต) ดังนั้น ผี ที่เป็นพลังงาน ย่อมมีวันสิ้นอายุ( ตามกฎเอนโทรปี  ข้อที่ 3 ของเทอร์โมไดนามิกส์) นั่นคือ ย่อมมีวันเปลี่ยนรูป และอาจกลับไปเป็นมวลได้อีกครั้ง ในลักษณะการกำเนิด คือปัจจัยถึงพร้อม ( ไม่ได้บอกว่า วิญญาณเข้าร่างนะ )   เพราะร่างกายมนุษย์ ประกอบ ไปด้วย รูป กับ นาม รูปคือ สสาร และ นาม คือ พลังงาน เราสามารถวิจัย รูปลักษณ์ภายนอกได้ยัน DNA แต่ เรื่องนามธรรม เราพิสูจน์ไม่ได้ ทำได้แค่อนุมานเท่านั้น หวังว่าในอนาคต เราอาจมีเทคโนโลยี ไว้ตอบโจทย์ ให้หายสงสัยได้ในอนาคต จากคุณ : Cho_shang - [ 29 พ.ค. 51 11:18:06 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เรื่องแบบนี้มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ เถียงกันไปก็ไม่จบหรอก คนที่เคยเห็น เขาก็เชื่อว่ามีจริง คนที่ไม่เคยเห็นก็ไหนละ ถ้าจริงฉันก็ต้องเห็นสิ เอาหลักฐานมา ดังนั้นเถียงกันไปก็เปล่าประโยชน์ครับ เพราะว่าพอพยายามหาหลักวิทยาศาสตร์มาอธิบาย มันก็ทำไม่ได้หรอกครับ มันคนละเรื่องกันเลย จากคุณ : Balleno - [ 29 พ.ค. 51 12:32:00 ]

ความคิดเห็นที่ 73 หือ ห้องนี้ เครียดกันสุดๆ วิชาการล้วน ๆ งั้นขอกลับไปงมงาย ไร้การศึกษาต่อดีกว่า เหอะ ๆ ~~ จากคุณ : Phyz - [ 29 พ.ค. 51 12:37:51 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คุณ mouse4006   ก็คุณลาบไก่เขาก็บอกว่า "ประมาณ" ไงครับ  ประมาณแปลว่าไม่แน่นอน ไม่แน่ใจ ส่วนทำไมถึงประมาณ 5 วิ  ก็เพราะถ้านานกว่านั้นคงจมน้ำตายไปแล้วล่ะ และเพราะยังไม่ตาย  ถึงได้ประมาณได้ว่าไม่น่าจะนานเกินกว่าที่คนธรรมดาจะจมน้ำแล้วรอดตายได้ อันนี้คิดเอาเองนะ ที่ผีทำไมใส่เสื้อผ้า ก็เพราะมนุษย์ถูกปลูกฝังความคิดที่ว่าคนเราต้องมีเครื่องนุ่มห่ม ทำให้แม้ตายไปแล้วก็ยังคิดที่จะใส่เสื้อผ้าไง ส่วนเรื่องส่วนบุญ ก็น่าจะกรณีเดียวกัน เพราะถูกปลูกฝังความคิดว่า ถ้าได้บุญ จะได้หลุดพ้นจากการเป็นผีเร่ร่อน เลยอยากได้กัน ถ้าผีคือจิตวิญญาณของคนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ค่านิยม ความเชื่ออะไรของผีก็น่าจะเหมือนกับตอนที่เขาเป็นคนน่ะแหละ ตอนเป็นคนเชื่ออะไร ตอนเป็นผีก็น่าจะเชื่อแบบนั้น เช่นเดียวกัน ถ้าเราคิดดี ทำดี และจิตสงบ ตายไปก็จะตายอย่างสงบ ไม่เป็นวิญญาณเร่ร่อน จากคุณ : Gaea - [ 29 พ.ค. 51 13:38:28 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อยากจะไปเดินเล่นกับคุณหนามเตยสักที เพราะเกิดมาผมไม่เคยเจอผี และเจออะไรที่น่าจะเป้นผี ก็หาคำตอบได้ทุกครั้ง ไปเดินกะคุณคงจะมีหวังได้เจอผีหน่อย ปล. คุณจะเอาตรรกะเช่น "มีใครเคยเห้นความรักมั้ย ถ้าไม่เคย ทำไมรู้ว่ามี" หรือ "มีใครเคยเห้นอากาศไหม ถ้าไม่เคย ทำไมรู้ว่ามี" มันคนละอย่างกันครับ ที่เค้ารู้ว่ามี ไม่ใ่เพราะเค้าเคยเห้น แต่มันสามารถพิสูจน์ได้ และมีกฏเกณฑ์ที่แน่นอนในการพิสูจน์ว่ามันมีอยู่ ความรักคืออารมณ์ คุณพิสูจน์ได้ว่ามันมี และรักมันมีกฏเกณฑ์แน่นอน มันคือการเอาใจใส่ มันคือการห่วงใย ฯลฯ หรืออากาศ มันก็คือธาตุชนิดหนึ่ง คุณมองไม่เห้น แต่คุณลองเอาแก้วไปจุ่มน้ำ คุณเห้นฟองๆปุดขึ้นมา คุณรู้ว่าตรงนั้นน่ะมีอากาศอยู่ หรือคุณสามารถหายใจได้ นั่นแหละคือคุณรู้ว่ามีอากาศ เมื่อคุณหายใจไม่ได้ คุณก็รู้ว่าไม่มีอากาศ แต่กับผี ...ผมยังไม่ได้บอกว่ามันมีหรือไม่มี เพราะใครมาถามผม ผมก็บอกอย่างเดียวว่า "ไม่รู้" ไม่ได้จะกวนตีน แต่คือไม่รู้จริงๆ และที่ต้องถามเหมือนท้าทายก็เพื่อจะหาคำตอบการมีอยู่ของผี มีหลายข้อที่ผมสงสัยมาก เช่นทำไมคนบางคนเห้นผี คนบางคนไม่เห็นผี ถ้าตอบว่าเพราะ"เซนส์" มันยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะมายืนยันได้ หรือถ้าผีมีจริง มันอยู่ในรูปของอะไร ทำไมผีบางตัวเข้าสิงมนุษย์ได้ ทำไมผีบางตัวบีบคอคนได้ ทำไมผีต้องชุดขาว ทำไมผีต้องหน้าเศร้า แล้วมีผีไส้เดือน กิ้งกือบ้างมั้ย? มันต้องมีหลักแน่นอนสิครับในการบอกตัวตนของผี แต่นี่ที่เห้นๆมา มันไม่มีหลักฐานเลย ไอ้คนเล่าก็ฟังต่อๆกันมา ไอ้คนเจอเองก็ไม่มีอะไรมายืนยัน ได้แต่พูดประโยคเดิมๆว่า "ไม่เจอกับตัว ไม่รู้หรอก" เออ ไม่รู้สิฟะ ก็เอ้งอาจจะหลอนไปเองก็ได้ ประสาทสัมผัสมนุษย์มันปลอมแปลงง่ายจะตาย แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 51 15:33:10 จากคุณ : CARAGIO - [ 29 พ.ค. 51 15:27:14 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ...คุยกันยาว ต่างฝ่ายต่างเหตุผล ถึงบอกว่าเรื่องบบนี้ ต้องพบเจอเอง รู้ได้ด้วยตัวเอง... ...เรื่องที่คุณหนามเตยเล่า สิ่งที่สงสัยก็คือ ผีนั้น เป็นสสารอย่างนึง แต่ทำไมมาจับต้องเราได้ ฉุดจับเราได้ ทำให้เราจมน้ำไปได้... ...ผมมาคิดอีกที สงสัยเรื่องของเรื่องก็คือ เวลาที่คนเราไปเจอผีได้นี่ เราต้องหลุดจากมิติมนุษย์ไปเจอ ไปอยู่ในมิติเดียวกับผี สรุปก็คือ มีหลายมิติ...ที่ซ้อนๆ กันบนโลกนี้ ...แต่เท่าที่เคยฟังๆ มา เรื่องของคุณหนามเตยนี่ น่าเชื่อถือที่สุด เพราะ เจอแบบช่วงเวลาที่มีสติ เพราะส่วนใหญ่นั้น จะสลึมสลือตลอด จากคุณ : เจ็บเพื่อเข้าใจ - [ 29 พ.ค. 51 15:45:24 ]

ความคิดเห็นที่ 77 โทษครับ ผมโหลดตอนที่2ไม่ได้อะครับ ช่วยเช็คให้หน่อย ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Karn Chairbuey - [ 29 พ.ค. 51 16:48:02 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ตอบ คห.75  ทำไมคนบางคนเห็นผี คนบางคนไม่เห็นผี   - เพราะ ส่วนใหญ่ คนที่เห็นกับไม่เห็นจะมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน เช่น คนเห็นผี มักเคยมีประสบการณ์ผ่านความตาย หรือเฉียดตายมาแล้ว แต่ตามที่ตั้งสมมติฐาน คิดว่าในอดีตชาติคงได้สะสมบุญบารมีมาส่วนหนึ่ง ทำให้เห็นผีได้ในชาติปัจจุบัน   ส่วนจะจริงแท้อย่างไรก็ลองพิจารณาเอง  ถ้าผีมีจริง มันอยู่ในรูปของอะไร ทำไมผีบางตัวเข้าสิงมนุษย์ได้ ทำไมผีบางตัวบีบคอคนได้ ทำไมผีต้องชุดขาว ทำไมผีต้องหน้าเศร้า แล้วมีผีไส้เดือน กิ้งกือบ้างมั้ย?    - เราคงชี้ชัดไม่ได้ว่า ผี มันอยู่ในรูปของอะไร  แต่ที่แน่ๆ ผีไม่น่าอยู่ในรูปของแข็งตัน เพราะผีนั้นโปร่งแสง เคยมีคนพยายามพิสูจน์ว่า ผี อยู่ในรูปของก๊าซ ซึ่งถ้าเป็นก๊าซ เราคงสามารถพิสูจน์ได้นานแล้วตามกฏของบอยล์ หรือ ผีจะเป็นกลุ่มควัน ก็ไม่น่าใช่ แต่ถ้าอธิบายว่า ผี อยู่ในรูปของพลังงานล่ะ เรายอมรับกันว่ามีพลังจิต แต่เรามักไม่เชื่อว่า นอกจากมนุษย์แล้ว จะมีพลังจิตในสิ่งอื่นหรือไม่  หากพลังจิตที่ว่า เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง ผีก็น่าจะเป็นพลังงานในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน ซึ่งสามารถสื่อสารกับคนที่สามารถสื่อถึงกันได้ อันนี้น่าจะเป็นสมมุติฐานที่เข้าเค้า เพราะ เรายอมรับทฤษฎีที่ว่า พลังงานสามารถเปลี่ยนเป็นมวลได้ ผีก็น่าจะเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันได้ แต่ที่คนเห็นผีเป็นรูปร่างอย่างนั้น เพราะ เราไปรับเอาคลื่นบางอย่างแปลเข้าสู่สมอง สมองก็แปลเป็นภาพโดยไม่จำเป็นต้องผ่านประสาทตา  จึงเป็นเหตุว่าทำไมบางคนเห็น บางคนไม่เห็น เพราะสมองคนเราไม่เหมือนกัน แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่า อะไรที่ทำให้สมองทำงานอย่างนั้น ส่วนผีกิ้งกือ ไส้เดือน น่ะไม่มีหรอก เพราะตามหลักวิทย์ มนุษย์มีอำนาจจิตมากกว่าพวกสัตว์ ดังนั้น เราจึงมักเห็นผีในรูปคนเป็นส่วนใหญ่ แต่เป็นรูปร่างสัตว์ก็บ้าง  ในทางพุทธก็มีอธิบายไว้ว่า พอสัตว์ตายก็จะไปเกิดใหม่ทันที ต่างจากมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่เลือกเกิดได้  จริงๆแล้ว ผมไม่ค่อยอยากใช้คำว่า ผี สักเท่าไหร่ เพราะผี เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เปรต ภูติ เทวดา นาค พระพหรม ท้าวสักราช ฯลฯ ซึ่งอยู่ต่างภพต่างมิติน่าจะมีจริง เพียงแต่ว่าเราเรียกสิ่งเหล่านี้รวมๆว่า ภูติผี ก็เท่านั้นเอง ในอบายภูมินั้น สิ่งที่น่าสนใจและใกล้เคียงกับผีมากที่สุด คือ เปรต เปรตไม่ใช่เปรตที่สูงๆเท่าต้นตาลอย่างที่เข้าใจเสียทีเดียว เปรตมีหลายประเภท ผีเร่ร่อนก็จัดอยู่ในเปรตประเภทหนึ่งเช่นเดียวกัน เหตุที่ไปเป็นเปรตเพราะส่วนใหญ่ทำกรรมไม่ดีไว้มากเมื่อเป็นมนุษย์ พวกนี้ตายไปก็ไปเป็นเปรต จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมพวกนี้ถึงต้องทนทุกข์ยิ่งนัก และชอบมาขอส่วนบุญ  ให้เรานึกถึงขอทาน เปรตวิสัยก็เช่นกัน พวกนี้ไม่สามารถสร้างบุญสร้างกุศลได้ต้องขอส่วนบุญจากคนอื่น หากถามว่าทำไมลองนึกถึงขอทาน ทำไมเขาไม่สามารถหาเงินด้วยวิธีอื่น ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะทำกรรมไว้มากนั่นเอง   ผีมีจริงไม่จริงไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ บุญบาป มีจริง     Have a nice day!   แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 51 17:46:24 จากคุณ : Cho_shang - [ 29 พ.ค. 51 17:26:25 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ตอนที่ 2 โหลดได้ตามปกติครับ จากคุณ : เกียรติมุข - [ 29 พ.ค. 51 21:22:17 ]

ความคิดเห็นที่ 80 อย่าหาหลักฐาน ในเหตุการณ์ที่หาหลักฐานไม่ได้ อย่าหาข้อพิสูจน์ ในปรากฎการณ์ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ หลายๆคนตั้งคำถามในสิ่งที่คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า มันไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่หลงเหลือยู่เพียงสิ่งเดียวคือความทรงจำของผู้พบเจอที่ถ่ายทอดออกมาเป็นคำบอกเล่า สำหรับบางท่านด้านบนที่เชื่อว่า ผีไม่มีจริงและพยายามหาข้อโต้แย้ง มาตั้งข้อสงสัยต่างๆนาๆ ผมเฃื่อว่าท่านเหล่านั้น คงปรารถนาที่จะเจอที่สิ่งท่านไม่เขื่อ.. ผมก็ขออวยพรด้วยความหวังดี ว่าคงจะได้เจอะเจอในเร็ววัน ไม่ใข่เพื่อพิสูจน์ แต่เพื่อทำให้มีคนมองว่าคนที่เจอผี เป็นคนพูดเท็จ เพ้อเจ้อหลอกลวง หรือไม่ก็จิตหลอน ลดลงไปซักคนก็ยังดี จากคุณ : UnExpected - [ 29 พ.ค. 51 22:39:46 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ผมอยากจะบอกว่า โคตรเห็นด้วยกับคุณ UnExpected ที่อยู่บนหัวผมมาก ๆ เลยครับ เรื่องบางเรื่องมันยังหาหลักฐานไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่ามันไม่มีสิครับ ดูอย่างสมัยก่อนที่มือถือยังไม่เกลื่อนขนาดนี้ ถ้าคนสมัยก่อนมาเห็นก็คงไม่เชื่อแน่ ๆ ว่าไอ้วัตถุสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มันจะใช้ติดต่อสื่อสารกันไปทั่วโลกได้ จากคุณ : nut - [ 29 พ.ค. 51 23:45:00 A:124.120.184.26 X: TicketID:177696 ]

ความคิดเห็นที่ 82 คำพูดหลวงพ่อ... มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดว่า ใต้ดินนี้ไม่มีน้ำ แล้วก็ไม่ยอมขุด จากคุณ : เกียรติมุข - [ 30 พ.ค. 51 01:49:07 ]

ความคิดเห็นที่ 83 มาขอต่ออีกนิดส์ ตามเรื่องเล่าชาวเจอผี ทำไมผีชอบมามุขเดิมๆ -อยู่ในห้องน้ำ -เคาะประตู -อยู่บ้านร้าง -นั่งบนขื่อ -ผมยาว -ถ้าเป็นผีผู้หญิง ต้องสวย -ถ้าเป็นผู้ชาย ต้องดำ ผมหยิก นุ่งเตี่ยวแดง สีอื่นทำไมไม่นุ่ง ฯลฯ ทำไมไม่พัฒนา การหลอกให้update กว่านี้ ทำไมเรื่่องเล่าจะต้องเวียนๆเล่าเรื่องคล้ายๆกัน ในลัษณะดังกล่าว คห.76 "แต่เท่าที่เคยฟังๆ มา เรื่องของคุณหนามเตยนี่ น่าเชื่อถือที่สุด เพราะ เจอแบบช่วงเวลาที่มีสติ เพราะส่วนใหญ่นั้น จะสลึมสลือตลอด " ผมว่าในบรรยากาศนอนแช่น้ำอุ่นในอ่าง หลังจากไปถ่ายโฆษณาแบบสมบุกสมบัน (ตามที่เล่าไว้) ก็น่าจะสลึมสลือบ้างน่ะครับ  ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียขนาดนั้น (สำหรับในกรณีเรื่องตามที่เล่าในรายการตี10) อาจเคลิ้มหลับแล้วฝันก็เป็้นได้ จากคุณ : mouse4006 - [ 30 พ.ค. 51 10:17:55 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เรียน คุณ mouse4006  เข้าใจว่า เหตุใดที่  ทำไมผีชอบมามุขเดิมๆ -อยู่ในห้องน้ำ  ตามโรงแรมเก่าๆ ตามหอพัก ตามบ้านร้าง หรือ สถานที่ที่ไม่มีคนอยู่     คาดว่า จิตของผู้ตายขณะมรณะกรรม จะวนเวียนอยู่กับสถานที่เดิม มักเป็นสถานที่ๆมีการฆาตกรรม และ ฆ่าตัวตาย สังเกตุว่า ส่วนใหญ่ วิญญาณ ที่ตายกระทันหันมักวนเวียนอยู่ในสถานที่เดิม สักระยะ จึงค่อยเลือนหายไป แต่บางสถานที่ที่ผีอยู่มานาน เช่น ป่าช้า หรือบ้านร้าง มักไม่ค่อยได้รบกวนจากคนภายนอก หากไม่ถูกคุกคาม วิญญาณก็จะไม่ปรากฏ   คล้ายๆกับ เราเป็นเจ้าของบ้าน หากใครมารุกล้ำบ้านเรา เราก็คงโกรธเคืองเขาเช่นกัน -เคาะประตู  ทำไมผีชอบเคาะประตู ผีมีมารยาทหรืออย่างไร เขาบอกไว้ว่า ตามธรรมเนียม หากมีใครมาเคาะประตู และเราอนุญาตให้เขาเข้ามา จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ เขาก็จะเข้ามาได้ อย่าลืมว่าทุกๆสถานที่นั้นย่อมมีอาณาเขต ในมิติที่4 ก็มีอาณาเขต มีเจ้าของเจ้าที่เช่นกัน รุกล้ำกันไม่ได้ นอกจากผู้เป็นเจ้าของบ้านจะเรียกเข้ามา   หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นการสื่อให้เรารู้ว่า ฉันอยู่ตรงนี้นะ ถ้าเป็นคุณยืนอยู่นอกห้อง แล้วอยากให้ใครสักคนในห้องรู้ว่า ฉันยืนอยู่ข้างนอกนะ คุณจะทำอย่างไร โดยไม่เคาะประตู    จริงๆแล้ว ร้อยทั้งร้อย ผีไม่ได้หายไปใหนหรอก  เขายืนอยู่ตรงหน้าแหละ แต่มองไม่เห็นเองต่างหาก -อยู่บ้านร้าง    ตอบไปแล้ว -นั่งบนขื่อ     ทำไมผีชอบนั่งบนขื่อ นั่งบนหลังคา หรือบนตึก ในเคสนี้ เท่าที่ฟังจากประสบการณ์ของผู้ที่เจอะเจอส่วนใหญ่ เป็นประสบการณ์และสถานที่ๆเกี่ยวข้องกับคนตายแทบทั้งสิ้น เช่น บนขื่อ เกิดจาก แขวนคอตาย  บนตึก เพราะกระโดตึกตาย เป็นต้น เคยมีคำถามว่า ทำไมผีบางยังอยู่ บางตัวไม่อยู่  อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่ มักเป็นวิญญาณเร่ร่อน หรือประจำ ที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด อาศัยส่วนบุญจากผู้อื่นอุทิศให้   หากเราถามว่า เขามีสิทธิ์ไปที่อื่น บ้างได้ใหม คงตอบว่าได้ แต่ความผูกพันด้วยอำนาจจิตมีมากกว่า ผีจึงมักไม่ค่อยเดินทางไปใหน ไม่เหมือนคนเรา ลองคิดว่า หากให้เราท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องมีบ้าน จะทำได้หรือไม่  ทำได้ แต่มนุษย์มีบ้าน ผีก็มีที่ของเขาเช่นกัน -ผมยาว   ทำไมผีต้องผมยาว ผีไม่ตัดผมบ้างหรือ อันนี้มักเกิด กับผีผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ จากที่ลองวิเคราะห์ดู ไม่ใช่ว่า ผีเพิ่งผมมายาว หากแต่ผมยาวมาตั้งแต่ตอนตายแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัด คาดว่า ก่อนตายอยู่ในลักษณะใด รูปลักษณ์ใด ตายไปก็เป็นเช่นนั้น  ใช่ว่าจะมีแต่ผีผมยาว ผมสั้นก็มี  เคนคิดบ้างใหมว่า เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ที่ผู้หญิงมักถูกฆาตกรรม มักเป็นผู้หญิงผมยาวๆ ดังนั้น เราจึงมักได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีผู้หญิงผมยาว ตามโรงแรม บ้านร้าง ส่วนใหญ่ ซึ่งมักเป็นกรณ๊ที่ตายเพราะถูกฆาตกรรม ทั้งนั้น -ถ้าเป็นผีผู้หญิง ต้องสวย  อันนี้ก็เช่นกัน ถามว่า ทำไมผู้หญิงสวยๆ ถึงต้อง ฆ่าตัวตาย ทำไมผู้หญิงสวย ถึงถูก ฆาตกรรม ประเด็นส่วนใหญ่ อันดับเเรกที่เจอผี มักเป็นผีที่ถูกฆาตกรรม รองลงมาคือ ฆ่าตัวตาย สุดท้ายเป็นอุบัติเหตุ ยังไม่เคยเห็นกรณีตายแบบธรรมชาติเเล้วมาหลอก ดังนั้น ผีที่เห็นส่วนใหญ่จึงเป็นลักษณะดังที่กล่าวมาแล้ว -ถ้าเป็นผู้ชาย ต้องดำ ผมหยิก นุ่งเตี่ยวแดง   อันนี้ไม่เรียกว่าผี อาจเป็นเจ้าที่ หรือ ยมบาล หรือ ผีในสมัยก่อน เรามักเห็นการแต่งกายแบบสมัยก่อน บ้างนุ่งโจงกระเบนบ้าง ชุดไทยบ้าง ซึ่งลักษณะนี้ มักจะมาทำให้เรากลัว หรือ เราไปบนบานอะไรไว้โดยไม่แก้ เขาจึงมาให้เห็นในลักษณะน่ากลัว  การมาให้เห็นอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ว่า มีการบังคับอนุภาคพลังงานในรูปแบบความถี่เข้าสู่สมอง คล้ายๆสะกดจิต แล้วสมองก็จะแปลเป็นภาพต่างๆนาๆ ซึ่งในความเป็นจริง เขาอาจไม่ได้มีรูปลักษณ์อย่างที่เราเห็นก็ได้ จึงเป็นเหตุว่า ผู้ที่พบเห็นเทวดา มักอธิบายลักษณะไม่เหมือนกัน ตามประสบการณ์ส่วนลึกของผู้พบเห็น แต่กับ ผี หรือ สัมภเวสี ส่วนใหญ่ มักบรรยายตรงกัน สีอื่นทำไมไม่นุ่ง   หมายถึง สีขาวใช่ใหม ส่วนใหญ่ เหตุที่เป็นสีขาว เพราะ สมอง ส่วนลึก สามารถจดจำ สี ขาว และ สีดำได้มากกว่า สีอื่นๆ ถ้าความมืดคือสีดำ ผีก็มักจะเป็นสีขาว แต่อย่างไรก็ดี ใช่ว่า ผี หรือ เปรต จะมาในรูปแบบสวมชุดขาวเสมอไป บ้างก็เป็นสีเขียวก็มี สีแดงก็มี  แต่ส่วนใหญ่ มักจะเป็นสีทึมๆ สีหม่นๆ ไม่เป็นสีสด บ่งบอกสภาพจิตของผู้ตายว่า เขามีความทุกข์ แต่ก็มีบางเคสที่ผู้ตายมาเข้าฝันบอกทำนองว่า เขาไปสบายแล้ว ลักษณะนั้น เขาจะมาในลักษณะเป็นสีสัน เห็นชัดเจน แต่มาในฝัน ฯลฯ อย่างที่เราบอกว่า ผี คือ สภาพหลังจากที่ตายเเล้ว เขาเหมือนเราทุกประการณ์ ลักษณะก็เหมือนกับคนทั่วไป ผี นั้นแบ่งเป็นหลายประเภท ผีเร่ร่อนบ้าง เทวดาบ้าง เจ้าที่บ้าง พระภูมิบ้าง ยักษ์บ้าง คนธรรพ์บ้าง เปรตบ้าง ส่วนใหญ่ คนเห็นผีมักเจอผีจำพวกเปรตมากที่สุด พวกนี้ชอบมาขอส่วนบุญ (ไม่ใช่เปรตต้นตาลนะ) ส่วนลักษณะ เทวดา เจ้าที่ ฯลฯ พวกนี้ มักจะไม่ยุ่งกับเรา หากเราไม่ไปลบหลู่องค์ท่านก่อน   ส่วนคำถามที่ว่า ผีอยู่ในลักษณะใด ให้ดูขอทาน เปรตอยู่ในลักษณะใด ให้ดู คนที่ติดคุก เทวดาอยู่ในลักษณะใด พระหมอยู่ในลักษณะใด ให้ดู พระ อย่างนี้เป็นต้น     เราอย่าเอาความรู้สึกภายนอกเราไปตัดสินสิ่งเหล่านี้ สัตว์บางชนิดที่เรามองไม่เห็น มันก็ดำรงอยู่ของมันได้ นับประสาอะไรกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้สัมผัส จะมีอยู่ไม่มีอยู่ ก็อย่าไปลบหลู่ ไปคุกคามเขาเหล่านั้นก็แล้วกัน ไปล่ะ จากคุณ : Cho_shang - [ 30 พ.ค. 51 11:51:21 ]

ความคิดเห็นที่ 85 คนที่ฟัง ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อไป ซิครับ โพสกันไป ยืดยาว สงสัยต้องหใ้คุณเตยเชิญผี มาโผล่ที่กระทู้ก่อนล่ะมั้ง ผีก็เหมือนชู้ รู้ว่ามีจริง แต่ไม่เคยเจอ จากคุณ : กระเทยชายแดน - [ 30 พ.ค. 51 14:40:07 ]

ความคิดเห็นที่ 86 555 -ขำกับ คห. 85 - ผีก็เหมือนชู้ รู้ว่ามี แต่ไม่เคยเจอ .................................................... ชอบ ชอบ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 51 14:57:54 จากคุณ : Cho_shang - [ 30 พ.ค. 51 14:57:02 ]

ความคิดเห็นที่ 87 สงสัยประเด็นที่ว่า ทำไมคนถูกผีหลอกจึงต้องเป็นคนมีบุญ? ถ้าผีมาดีหรือวิญญาณที่อยู่ในภพสูงกว่ามาก็จะไม่สงสัย แต่นี่ผีมาร้ายทั้งนั้นเลย ส่วนตัวเชื่อว่า ถ้าผีมาขอความช่วยเหลือโดยการทำให้ตกใจหรือมาหลอกจริง น่าจะชอบขอจากคนที่ขวัญอ่อน + ชอบทำบุญ + จิตสื่อถึงกันได้ ประกอบกันมากกว่า แล้วทำไมต้องเป็นคนเคยเฉียดตายมาก่อน จึงจะเห็นผีได้? ไหนๆ รายการตีสิบก็เปิดประเด็นเรื่องนี้และอุตส่าห์ชักชวนคนให้ทำบุญแล้ว น่าจะปิดท้ายโดยให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องพุทธศาสนาสั้นๆ ด้วย อุตส่าห์คุยเรื่องกระพี้ (ผีและไสยศาสตร์) อยู่เป็นนาน ไม่เสียเวลาเท่าไรหรอกค่ะ ที่จะสละเวลาพูดถึงแก่นธรรมบ้าง อย่าลืมนะคะว่าธรรมทานย่อมได้อานิสงส์มากกว่าอามิสทาน ป.ล. ขอโทษด้วยค่ะที่เนื้อหาอาจจะเหมาะสมกับห้องศาสนามากกว่า เป็นอีกหนึ่งความเห็นจากพุทธศาสนิกชน (ของแท้) คนนึงเท่านั้นเองค่ะ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 51 16:02:28 จากคุณ : น้องแพท (น้องแพท) - [ 30 พ.ค. 51 15:58:32 ]

ความคิดเห็นที่ 88 อุตส่าห์อ่านเรื่อง ความจำติดไปกับหัวใจ ที่ไหนได้ คุณ cho_sang เล่น quote มาจาก นสพ ที่มีชื่อเสียอย่างดีด้านแปลข่าวต่างประเทศ แถมชื่อ dailymail นี่ อืม tabloid ชัดๆ ไม่มี reference ดีๆ กว่านี้หน่อยเหรอครับ จากคุณ : cdchd - [ 30 พ.ค. 51 17:12:23 ]

ความคิดเห็นที่ 89 คห. 83 มาขอต่ออีกนิดส์ ตามเรื่องเล่าชาวเจอผี ทำไมผีชอบมามุขเดิมๆ -อยู่ในห้องน้ำ -เคาะประตู -อยู่บ้านร้าง -นั่งบนขื่อ -ผมยาว -ถ้าเป็นผีผู้หญิง ต้องสวย -ถ้าเป็นผู้ชาย ต้องดำ ผมหยิก นุ่งเตี่ยวแดง สีอื่นทำไมไม่นุ่ง ฯลฯ ทำไมไม่พัฒนา การหลอกให้update กว่านี้ ทำไมเรื่่องเล่าจะต้องเวียนๆเล่าเรื่องคล้ายๆกัน ในลัษณะดังกล่าว ^ ผีที่มามุขนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผีตามนิยาย ตามหนังผีมากกว่านะครับ สำหรับคนที่เคยเจอผีมาจริงๆแล้วผีมันก็มีปรากฏโฉมออกมาได้ทุกรูปแบบนั้นแหละ ผีผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ ไม่สวยก็มี ผีผู้ชายผิวขาว ผมไม่หยิก แต่งตัวเหมือนคนสมัยใหม่ๆก็มี จากคุณ : อิอิคุง - [ 31 พ.ค. 51 12:18:41 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เรียน คห.88 ถ้าเป็น Reference ที่ดีกว่านี้ เป็นภาษาไทย ยังไม่เคยเจอเหมือนกัน ส่วนมากจะเป็นของต่างประเทศ ครับ หากจะหางานวิจัย ที่มีหลักฐานจริงๆก็ค้นได้ยากครับ เพราะ ในการวิจัยระดับนี้ มักจะไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน เพราะ หากมีข้อผิดพลาด ก็อาจส่งผลต่อทีมวิจัยภายหลังได้ หากต้องการหลักฐานทางวิชาการจริงๆ ลองไปค้นเอกสารงานวิจัยตามสถานบันวิจัย หรือแหล่งค้นคว้า ( ที่ไม่ใช่ Internet ) ถ้าค้นใน google ก็ต้องค้นเป็นภาษาอังกฤษ เพราะ เป็นภาษาไทย ผมก็ยังหาไม่เจอ เช่นกัน   ปล. ที่ยกตัวอย่าง ตัดตอนจากหนังสือพิมพ์ มานั้น เป็นตัวอย่าง ไม่ใช่งานวิจัย ( ผมก็ไม่ได้บอกสักหน่อย ว่า งานวิจัย ) หรือหากสงสัยจริงๆ ลองหยิบยกประเด็นนี้มาทำวิจัยดุก็ได้นะครับ เท่าที่ทราบแล้ว นอกจากหนังหรือละคร ในไทย ผมยังไม่เห็นรายใดเคยทำ ศึกษาเกี่ยวกับความทรงจำได้ http://en.wikipedia.org/wiki/Memory ประสบการณ์และคำถามเกี่ยวกับเรื่องความทรงจำ มิได้มีเพียงในบ้านเรา ในต่างประเทศก็มีดัง ต.ย. ( เพิ่งค้นเจอมา ) โดยมากมักเป็นประสบการณ์เกี่ยวกับความรัก http://www.associatedcontent.com/article/8712/does_the_heart_have_a_memory.html   http://www.montgomerycollege.edu/Departments/StudentJournal/volume2/kate.pdf พูดตามตรงผมก้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าใหร่ แต่โดยส่วนตัว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เราสามารถระบุได้เป็นกรณีๆ ว่าเรื่องใดจริง เรื่องใดไม่จริง หากเราสามารถพิสูจน์ได้ทุกๆกรณีว่า ไม่มีจริง ก็คงดี และวิทยาศาสตร์คงสรุปออกมา หรือ อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆเหล่านี้ได้นานแล้ว   .. .. . .   .   .    . จากคุณ : Cho_shang - [ 31 พ.ค. 51 14:44:58 ]

ความคิดเห็นที่ 91 Nonsense based on your imaginary opinion. จากคุณ : pzifrius - [ 1 มิ.ย. 51 16:55:53 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ส่วนตัวคิดว่า เรื่องจิต(ใต้สำนึก) อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก กับเรื่องผี(ละมั๊งเดาเอา)  แต่ทุกวันนี้คนก้อยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องจิตดีนัก ใช่มั๊ยอ่ะ ก้ออาจจะสอดคล้องในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับเรื่องพวกผีผี จากคุณ : อุนทามะ - [ 2 มิ.ย. 51 15:19:34 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ผีมีจริงหรือเหล่าไม่ทราบค่ะ ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ ทราบแต่ว่าเคยยืนคุยกับคนที่ตายไปแล้ว โดยที่เราไม่ทราบว่าเค้าเสียชีวิตมาแล้ว 2 วัน รูปร่างลักษณะ ก็เหมือนคนทั่วไปค่ะ ไม่ได้มีอะไรบ่งบอกว่าเค้ามาในรูปวิญญาณ จริง ๆ ก็ไม่ใช่คนกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น แต่หลังจากวันนั้นที่ยืนคุยกับ วิญญาณนั้นแล้วรู้สึกขนลุกค่ะ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เห็นรูปเค้าบนศาลาสวดศพ ที่วัดแถว ๆ บ้าน แต่เค้าก็ไม่ได้มาทำอะไรเรานะคะ แค่เหมือนกับว่าเค้าอยากจะทักทาย ตามประสาคนที่เคยรู้จักกันเท่านั้น ไม่ได้น่ากลัวค่ะ จากคุณ : ดอกตะแบกสีม่วง - [ 6 มิ.ย. 51 15:31:40 ]