ความคิดเห็นที่ 1 ขอบคุณสำหรับคำตอบจ้า จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 9 มิ.ย. 51 10:11:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เข้ามางง ... จากคุณ : Lyuk! - [ 9 มิ.ย. 51 10:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณ คุณผุ๋งผิ๋งมากๆ เพราะคำถามแท้ๆ ทำให้ค้นเจอความรู้น่าทึ่ง For additional protection from the sun, their skin secretes a natural sunscreen substance which is red-colored. The secretion is sometimes referred to as "blood sweat," but is neither blood nor sweat. This secretion is initially colorless and turns red-orange within minutes, eventually becoming brown. Two distinct pigments have been identified in the secretions, one red and one orange. The two pigments are highly acidic compounds. They are known as red pigment hipposudoric acid and orange pigment norhipposudoric acid. The red pigment was found to inhibit the growth of disease-causing bacteria, lending credence to the theory that the secretion has an antibiotic effect. คำแปลรอแปปนะครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 9 มิ.ย. 51 10:28:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นน้ำมันที่คุณฮิปโปขับออกมาจากร่างกาย เพื่อให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว แต่ที่แดงเนี่ยม่ายรู้จ้า ว่าใช้สูตรอะไร?????? จากคุณ : ป้าแวว - [ 9 มิ.ย. 51 10:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ฮิปโปเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่กลางแจ้ง จึงมีการสร้างสารที่ช่วยกรองแสงแดดไม่ให้ทำลายผิวหนังมัน สารที่ช่วยกรองแสงแดดนั้นมีสองสีคือ hipposudoric acid = สีแดง norhipposudoric acid = สีส้ม เวลาฮิปโปขับเหงื่อ สีพวกนี้ก็จะออกมาด้วย โดยตอนแรกเหงื่อจะไม่มีสี จากนั้นสีจะออกแดงส้ม สุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ตามลำดับ มีการศึกษาพบว่า pigment สีแดงนั้นมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย จึงมีคนนำไปวิจัยฤทธิ์ยาปฏิชีวนะต่อด้วยครับ อันนี้คือบทความเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านเชื้อของรงควัตถุสีแดงในผิวหนังฮิปโปครับ ฝีมือนักวิจัยชาวญี่ปุ่นครับ http://findarticles.com/p/articles/mi_m1200/is_22_165/ai_n6110375 http://dx.doi.org/10.1038/429363a. Edit* เพิ่มลิงค์ แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 51 10:46:50 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 9 มิ.ย. 51 10:36:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อไปในอนาคตเราอาจจะมียาปฏิชีวนะที่ได้มาจากผิวหนังของฮิปโปก็ได้นะครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 9 มิ.ย. 51 10:38:22 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เจอชื่อกาตู๊กับชื่อคนตั้ง   ต้องเข้ามาดูก่อนเลยว่า เกิดอะไรขึ้นหว่า 66666 จากคุณ : monsungja - [ 9 มิ.ย. 51 10:42:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มี original article สนใจก็ขอหลังไมค์ครับ ตีพิมพ์ใน nature 2004 แล้วนักวิจัยกลุ่มเดิมก็สังเคราะห์สาร 2 ตัวนั้นได้แล้ว ตีพิมพ์ใน Tetrahedron letters 2006 จากคุณ : Philosophos - [ 9 มิ.ย. 51 10:47:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 บางทีเหงื่อก็สีดำน่ะผุ๋งผิ๋ง.. จากคุณ : zakai - [ 9 มิ.ย. 51 11:05:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ชื่อกระทู้ มินำพา จากคุณ : palermos - [ 9 มิ.ย. 51 11:42:11 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ม้าพันธุ์นึงก็มีเหงื่อสีแดงนะ จากคุณ : installation - [ 9 มิ.ย. 51 11:43:40 ]

ความคิดเห็นที่ 12 #11 ได้ความรู้อีก ------------------------------ China Enthusiastic about 'Blood-sweating' Horse A fabulous horse famed for its peculiar blood-colored sweat has triggered a wave of enthusiasm among Chinese experts, media and the masses recently.   A fabulous horse famed for its peculiar blood-colored sweat has triggered a wave of enthusiasm among Chinese experts, media and the masses recently. Specialists from across China gathered in Urumqi, capital city of northwest China's Xinjiang Uygur Autonomous Region on Friday for an intensive seminar on the mysterious "blood-sweating" purebred. After discussing academic issues relating to the horse, some scholars concluded that the red sweat was a rare disease caused byparasites found only on individual horses and not common to any particular breed. Others believe that over 3,000 "blood-sweating" horses still live in Turkmenistan, Russia, Kazakhstan and Uzbekistan. Called the Akhal-Teke horse, its breeding history in captivity can be traced some 3,000 years back, the study showed. As the most purebred horse in the world, the Akhal-Teke is especially noted for its galloping speed and tough endurance. China's earliest written record of the breed was left by the Western Han Dynasty (BC 206- AD 24), when Emperor Wudi composed a poem for his Akhal-Teke mount, describing it as a "heavenly horse". In April, 2001, a Japanese expert announced he had discovered a"blood-sweating" horse close to Tianshan Mountain in Xinjiang, and had photographed the animal. His finding sparked widespread interest among Chinese and international horse breeders alike. But Chinese experts suspected that the Japanese find was a cross-breed. They held that China did not have any purebred "blood-sweating" horses, which had long been bred in strict captivity in their central Asia habitat. Since the beginning of this year -- the year of the "horse" inthe Chinese lunar calendar -- newspapers have launched another round of front-page reports about the "blood-sweating" horse. In January, a Xinjiang-based firm launched a quest for the horse. Numerous phone calls, letters and photos were received fromacross the country -- with some eye-witness accounts of the animal being seen in Xinjiang. In mid-June, China received a special gift from its central Asian neighbor Turkmenistan: an eight-year-old Akhal-Teke that has become the gem of local press. A Chinese company that imports and exports breeding horses bought 10 purebred "blood-sweating" mares and one stallion in the same month. China first introduced approximately 3,000 of the horses from central Asia over 2,100 years ago, aiming to improve national defense capabilities. And another 101 arrived from the former Soviet Union in 1952. But these attempts have not helped the species survive in China,experts noted, thanks to unprofessional breeding methods, including the lack of pedigree registration, and a diet of grass instead of special mixed forage. Legends about the beautiful and wise species have prevailed in ancient China for at least 10 centuries, when it was exalted as the image of national vitality and a symbol of power and success in warfare. The "blood-sweating" horse was not only fanatically treasured by the military, but was also a highly praised and popular topic for ancient Chinese writers and poets. However, it was less important to find whether or not such horses existed in the country, according to experts at the seminar,than to encourage China's equine culture. The seminar was the first of its kind in the country. http://english.peopledaily.com.cn/200208/05/eng20020805_100885.shtml แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 51 12:24:45 จากคุณ : Cryptomnesia - [ 9 มิ.ย. 51 12:22:48 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เชื่อกันว่าม้าที่มีเหงื่อสีเลือดเป็นม้าพันธุ์บริสุทธิ์ (พวกเลือดบริสุทธิ์) มีคุณสมบัติดีเลิศที่สุด แต่ก็มีคนให้ความเห็นว่า อาจเกิดจากโรคจากตัวปรสิตบางชนิดที่ทำให้เหงื่อม้ามีสีเช่นนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับสายพันธุ์แต่อย่างใด จากคุณ : Cryptomnesia - [ 9 มิ.ย. 51 12:29:15 ]

ความคิดเห็นที่ 14 โทษทีค่ะ ไฟดับทั้งที่คอนโด ใบหยก 1 ก็ดับเลยมาตอบช้า เสียดายที่ผิงไม่ได้ถ่ายรูปมาอ่ะ ........................................................................... ขอบคุณอาจารย์ Cryptomnesia กับ installation มากๆค่ะ สำหรับความรู้แล้วช่วย search ให้ ^^ เพิ่งรู้ว่ามีม้าเหงื่อเป็นสีแดงด้วยนะเนี่ย พี่ Philosophos คะ สนใจค่ะ หลังไมค์ไปแล้วจ้า ขอบคุณคร๊าบ คุณ zakai  ผิงไม่ค่อยเก่งคำผวนน่ะ ฮี่ๆ แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 51 13:08:52 จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 9 มิ.ย. 51 13:06:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ลิงค์นี้ไม่พบแล้วค่ะอาจารย์ http://dx.doi.org/10.1038/429363a. ไม่เป็นไรเดี๋ยวผิงลอง search ใหม่ ^^ จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 9 มิ.ย. 51 13:09:48 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สีแดง แรงคูณสามด้วยรึป่าว.... ไปแล่ะ...ฟิ้ว..... จากคุณ : NoOscar - [ 9 มิ.ย. 51 13:26:49 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ฟิ้งงงงง... รีบเข้ามาด่วน ตกจัยหมดเรย  นึกว่าใครเรียก จากคุณ : แพนด้าขี้เซา - [ 9 มิ.ย. 51 13:31:13 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เจอนี่เพิ่งด้วยค่า คงมีไม่กี่คน​ที่เคยเห็นเหงื่อของฮิปโปโปเตมัส​และเห็นมัน​เป็นสีแดง มันออก​จะ​เป็นเรื่อง​น่าแปลกประหลาดสักหน่อย​​แต่จริงค่ะ ข้อมูลดังกล่าวตีพิมพ์ในนิตยสาร Nature ฉบับ​ 27 May 2004 ​โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Keio University ​และ Kyoto Pharmaceutical University ของประเทศญี่ปุ่น ​ที่จริงแล้ว​​จะเรียกว่าเหงื่อซะทีเดียวคงไม่ตรงนัก เพราะเจ้าฮิปโปโปเตมัสไม่มีต่อมไขมัน (sebaceous gland) ​ที่​จะผลิตเหงื่อ ​แต่ของเหลวดังกล่าวสร้างมาจากต่อม​ที่อยู่​ลึกลง​ไปอีก (subdermal gland) ​และของเหลว​ที่ผลิตนี้​จะทำหน้า​ที่เหมือนเหงื่อ​ คือช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เจ้าของเหลว​ที่ว่าครั้งแรก​ที่หลั่งออกมา​ที่ผิวหนัง​จะ​เป็นของเหลวหนืด ไม่มีสีค่ะ จากนั้น​ด้วย​ความไม่คงตัว มัน​จะเปลี่ยนสี​เป็นสีแดงอยู่​หลายชั่วโมง​และกลาย​เป็นของแข็งสีน้ำตาลใน​ ที่สุด ทีนี้นักวิจัยชาวญี่ปุ่นขี้สงสัย แกก็เก็บเหงื่อของฮิปโปฯ จากหน้า​และแผ่นหลัง​โดยซับด้วยผ้าก๊อซ (ว่ากันว่า​ใช้เวลานาน​และ​ใช้​ความพยายามมาก) จากนั้น​นำ​ไปสกัด ​และวิเคราะห์หา​ส่วนประกอบทางเคมี พบว่า เหงื่อนั้น​ประกอบด้วย สารสี (pigment) สองชนิดค่ะ ชนิดแรกสีแดง ชื่อ hipposudoric acid ​ส่วนอีกชนิดสีส้ม ชื่อ norhipposudoric acid (ตั้งชื่อตามฮิปโปซะเลย​) ซึ่งสาร​ทั้งสองนี้น่า​จะมีสารตั้งต้นมาจากพวกกรดอะมิโน เช่น tyrosine ​และ phenylalanine จากสูตรโครงสร้างของสาร​ทั้งสองนี้ ​สามารถดูดกลืนรังสี UV ​ได้ในช่วงกว้าง 200-600 nm จึง​เป็น​ไป​ได้​ที่ฮิปโปฯ ​ใช้ประโยชน์จากสารพวกนี้ในการกันแดด นอกจากนี้ สารสีส้ม ยังมีคุณสมบัติในการ​เป็น antibiotic ​สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรค เช่น Pseudomonas aeruginosa ​และ Klebsiella pneumoniae อ่านข่าวนี้แล้ว​ ธรรมชาตินี่ช่างสร้าง​ความสมดุลให้ทุกสรรพสิ่งจริงๆ เลย​นะคะ ฮิปโปฯ​ได้​ใช้เหงื่อของตัวมันเองช่วยกันแดดในเวลา​ที่มัน​ต้องอยู่​ กลางแจ้งนานๆ ถึง​แม้มัน​จะ​เป็นสัตว์​ที่อยู่​​ได้​ทั้งในน้ำ​และบนบกก็เหอะ (Hippopotamus amphibious) นอกจากนี้การ​ที่มันชอบต่อสู้กัน​และทำให้เกิดบาดแผล​ ที่ผิวหนังยังมีเหงื่อคอยช่วยฆ่าเชื้อ​ที่ผิวหนังให้อีก แหม ประโยชน์สองต่อจริงๆ ค่ะ การค้นพบดังกล่าวจึงน่าสนใจ​ที่​จะนำ​ไป​ใช้ประโยชน์ อาจพัฒนาต่อ​ไป​เป็นสารกันแดดชนิดใหม่ (สีส้ม?) หรือ​ได้ยาฆ่าเชื้อชนิดใหม่ขึ้น​มา หรือพัฒนา​เป็นครีมกันแดดแบบฆ่าเชื้อ​ที่ผิวหนัง​ได้ ​แต่​เนื่องจาก​ความไม่คงตัวของสารสีเหล่านี้จึง​ต้องมีการศึกษาต่อ​ไปค่ะ ว่าแล้ว​ก็น่า​ไปสวนสัตว์กันนะคะ ​ไปดูเหงื่อสีแดงของฮิปโปฯ หรือ​จะ​ไปนั่งสังเกตเหงื่อของสัตว์อื่น เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เผื่อไทย​จะ​ได้มีงานวิจัยใหม่ๆ มาแข่ง​กับเค้ามั่งค่ะ เครดิต http://ecurriculum.mv.ac.th/library2/noknoi/article.php-t=446.htm จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 9 มิ.ย. 51 13:49:02 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ลายตาแท้น๊อ "เจอนี่เพิ่งด้วยค่า คงมีไม่กี่คนที่เคยเห็นเหงื่อของฮิปโปโปเตมัสและเห็นมันเป็นสีแดง มันออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดสักหน่อยแต่จริงค่ะ ข้อมูลดังกล่าวตีพิมพ์ในนิตยสาร Nature ฉบับ 27 May 2004 โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Keio University และ Kyoto Pharmaceutical University ของประเทศญี่ปุ่น ที่จริงแล้วจะเรียกว่าเหงื่อซะทีเดียวคงไม่ตรงนัก เพราะเจ้าฮิปโปโปเตมัสไม่มีต่อมไขมัน (sebaceous gland) ที่จะผลิตเหงื่อ แต่ของเหลวดังกล่าวสร้างมาจากต่อมที่อยู่ลึกลงไปอีก (subdermal gland) และของเหลวที่ผลิตนี้จะทำหน้าที่เหมือนเหงื่อ คือช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เจ้าของเหลวที่ว่าครั้งแรกที่หลั่งออกมาที่ผิวหนังจะเป็นของเหลวหนืด ไม่มีสีค่ะ จากนั้นด้วยความไม่คงตัว มันจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดงอยู่หลายชั่วโมงและกลายเป็นของแข็งสีน้ำตาลใน ที่สุด ทีนี้นักวิจัยชาวญี่ปุ่นขี้สงสัย แกก็เก็บเหงื่อของฮิปโปฯ จากหน้าและแผ่นหลังโดยซับด้วยผ้าก๊อซ (ว่ากันว่าใช้เวลานานและใช้ความพยายามมาก) จากนั้นนำไปสกัด และวิเคราะห์หาส่วนประกอบทางเคมี พบว่า เหงื่อนั้นประกอบด้วย สารสี (pigment) สองชนิดค่ะ ชนิดแรกสีแดง ชื่อ hipposudoric acid ส่วนอีกชนิดสีส้ม ชื่อ norhipposudoric acid (ตั้งชื่อตามฮิปโปซะเลย) ซึ่งสารทั้งสองนี้น่าจะมีสารตั้งต้นมาจากพวกกรดอะมิโน เช่น tyrosine และ phenylalanine จากสูตรโครงสร้างของสารทั้งสองนี้ สามารถดูดกลืนรังสี UV ได้ในช่วงกว้าง 200-600 nm จึงเป็นไปได้ที่ฮิปโปฯ ใช้ประโยชน์จากสารพวกนี้ในการกันแดด นอกจากนี้ สารสีส้ม ยังมีคุณสมบัติในการเป็น antibiotic สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรค เช่น Pseudomonas aeruginosa และ Klebsiella pneumoniae อ่านข่าวนี้แล้ว ธรรมชาตินี่ช่างสร้างความสมดุลให้ทุกสรรพสิ่งจริงๆ เลยนะคะ ฮิปโปฯได้ใช้เหงื่อของตัวมันเองช่วยกันแดด ในเวลาที่มันต้องอยู่กลางแจ้งนานๆ ถึงแม้มันจะเป็นสัตว์ที่อยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบกก็เหอะ (Hippopotamus amphibious) นอกจากนี้การที่มันชอบต่อสู้กันและทำให้เกิดบาดแผล ที่ผิวหนังยังมีเหงื่อคอยช่วยฆ่าเชื้อที่ผิวหนังให้อีก แหม ประโยชน์สองต่อจริงๆ ค่ะ การค้นพบดังกล่าวจึงน่าสนใจที่จะนำไปใช้ประโยชน์ อาจพัฒนาต่อไปเป็นสารกันแดดชนิดใหม่ (สีส้ม?) หรือได้ยาฆ่าเชื้อชนิดใหม่ขึ้นมา หรือพัฒนาเป็นครีมกันแดดแบบฆ่าเชื้อที่ผิวหนังได้ แต่เนื่องจากความไม่คงตัวของสารสีเหล่านี้จึงต้องมีการศึกษาต่อไปค่ะ ว่าแล้วก็น่าไปสวนสัตว์กันนะคะ ไปดูเหงื่อสีแดงของฮิปโปฯ หรือจะไปนั่งสังเกตเหงื่อของสัตว์อื่น เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เผื่อไทยจะได้มีงานวิจัยใหม่ๆ มาแข่งกับเค้ามั่งค่ะ" เครดิต  ความคิดเห็นที่ 18  :) จากคุณ : Pixzz - [ 9 มิ.ย. 51 14:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 20 หาคนไปซับเหงื่อควายมาสกัดสารออกฤทธิ์บ้างดีกว่า จากคุณ : Cryptomnesia - [ 9 มิ.ย. 51 14:17:56 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เหงื่อฮิปโปสีแดง !! เรียกคุณอาจจะแก่มาบูชากัน จากคุณ : zerzarbra - [ 9 มิ.ย. 51 14:21:23 ]

ความคิดเห็นที่ 22 Thanks ka Khun Pixzz จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 9 มิ.ย. 51 15:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามาด้วยความตกใจชื่อกระทู้ + ชื่อเจ้าของกระทู้ !! จากคุณ : ไม่งงครับ ไม่งง - [ 9 มิ.ย. 51 15:39:23 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 9 มิ.ย. 51 17:31:00 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาดูเำพราะชื่อเจ้าของกระทู้ จากคุณ : time3957 - [ 9 มิ.ย. 51 18:56:04 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เข้ามาดูเพราะชื่อเหมือนกัน 555 จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) - [ 9 มิ.ย. 51 20:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 27 http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2007/09/A5858108/A5858108.html ความคิดเห็นที่ 2 ในมังกรหยกภาคหนึ่ง-ก๊วยเจ๋งขณะอยู่มงโกลก่อนเข้าแผ่นดินจีน ก๊วยเจ๋งสามารถจับม้าเหงื่อโลหิต และใช้ขี่เดินทางเข้าแผ่นดินจีน http://english.people.com.cn/200208/05/eng20020805_100885.shtml สมัยฮั่นตะวันตกจักรพรรดิ์หวู่ตี้นิพนธ์บทกวียกย่องเป็น อาชาสวรรค์ เข้าใจว่า กิมย้งคงเคยอ่านประวัติศาสตร์เรื่องม้าเหงื่อโลหิตมาก่อน China's earliest written record of the breed was left by the Western Han Dynasty (BC 206- AD 24), when Emperor Wudi composed a poem for his Akhal-Teke mount, describing it as a "heavenly horse". จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ 9 มิ.ย. 51 20:16:27 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ความคิดเห็นที่ 7 http://www.china-horse.com/cgxp/web3/web/mwb_jingpin_shiliao.htm นักวิทยาศาสตร์ว่าเหงื่อโลหิตเกิดจากปรสิตทีผิวหนังถ้าวิ่งมากๆเลือดออกพร้อมเหงื่อ Some modern scientists attribute the blood sweat to the parasites which harmed the tissues beneath the skin of the horses. after strenuous movement, the blood would flow out with the sweat. เหตุจากม้านี้ผิวบาง วิ่งนานๆ เลือดหลั่งทางผิวหนัง ปรสิตมาเกาะขณะม้าดื่มน้ำ ที่แม่น้ำกอร์แกนและเฟอร์กานา บางระยะของวงจรชีวิตปรสิตเจาะผิวม้าจนเลือดออก อาจเกิดในลา วัวควาย แต่ไม่เกิดในคน Horses of the region today also "sweat blood". It was thought for many years that this was due to their thin skin and when heavily exercised, that blood burst through their skins. It has been discovered however that the bleeding is due to a parasite that is picked up in drinking water. The rivers that are known to carry the parasite are the Gorgan and Fergana rivers. At a certain point in the lifecycle of the parasite, it breaks through the skin causing the bleeding. This bleeding is known to occur in other animals such as donkeys and cattle, but not people. จากคุณ : เมษ (ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ) - [ 9 มิ.ย. 51 20:19:55 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เหงื่อของม้าออกขนาดนี้เลยเหรอคะคุณเมษ น่ากลัวจัง T-T จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 9 มิ.ย. 51 21:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เป็นที่น่าสงสัยว่า เหงือก แรด เอ้ยฮิปโป มานคงไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนแหงมๆ มิฉะนั้นเหงือกคงเป็นสีดำทะมึนแน่ๆ  หรือว่าฮิปโปมันอาจจะใช้ลิปกรอสชนิดสมุนไพรเป็นแน่เท้ เดวลองเสริซหาคำว่าเหงือกฮิปโปก่อนดีกว่าเพื่อจะมีคำตอบดีๆม่าง ************** พวกเราคือฮิปโปโปเตสัส        ใครๆเรียกพวกเราว่า ฮิปโป ชื่อเต็มๆว่า ฮิปโปโปเตมัส แปลว่า "ม้าแม่น้ำ"        เพราะพวกเราชอบกินหญ้าเหมือนม้า แต่อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำ และทะเลสาป        ในทวีปแอฟริกา  พวกเราเมื่อโตเต็มที่จะสูงประมาณ 1.5 เมตร        และมีน้ำหนักเท่ากับเด็ก 8 ขวบรวมกัน 120 คน        พวกเราอ้าปากได้กว้างกว่าใคร  มนุษย์จะอ้าปากหาวเมื่อรู้สึกง่วง          แต่ฮิปโปตัวผู้จะอ้าปากกว้างเวลาโกรธ  เมื่อฮิปโปที่ตัวเล็กกว่าเห็นเขี้ยวใหญ่น่ากลัว        ก็ตกใจ และว่ายน้ำหนีทุกที        ครีมกันแดดประจำตัว  ผิวของเรามีของเหลวสีชมพูผุดขึ้นมาเป็นหยดเล็กๆตามตัว        ของเหลวนี้เป็นน้ำมันทาไม่ให้ผิวแห้ง และป้องกันอันตรายจากแสงแดด        เราสามารถกลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำได้นานกว่า 5 นาทีทำให้มีเวลาเหลือเฟือที่จะ เดินข้ามพื้นทะเลสาปด้วยปลายเท้าอย่างสง่างามแบบนี้ไง ***************** ภาพปลากรอบ... จากคุณ : กบินทร์บุรี - [ 10 มิ.ย. 51 00:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณค่า ^^ จากคุณ : ผุ๋งผิ๋ง - [ 10 มิ.ย. 51 10:42:57 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้าม้าสีแดง วิ่งมาก ๆ แล้วเลือดออก แบบนี้จะวิ่งได้นานรอ ว่าแต่ ม้ากวนอูก็สีแดงหรือเปล่าเนี้่ย จากคุณ : handghost - [ 11 มิ.ย. 51 21:32:42 ]