ความคิดเห็นที่ 1 ทีวีต้องรองรับและมี Native Res 1920*1080 pixel คือติดไว้ว่  Full HD ด้วยครับ ถ้าเป็นทีวีธรรมดาก็มีค่าเท่ากัน คุณภาพของภาพแต่งต่างกันสามเท่าๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 13 มิ.ย. 51 23:14:52 จากคุณ : StVaIkyrie - [ 13 มิ.ย. 51 23:13:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเคยลองดูแล้วนะ เฉยๆอ่ะ ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ที่มันชัดกว่า DVD เพราะขนาดภาพวีดีโอมันใหญ่กว่าดีวีดีอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้มันมีแต่ทีวีจอใหญ่ๆซึ่งถ้าเอาดีวีดีไปเล่น มันจะต้องขยายภาพ ทำให้ภาพมันแตกไม่ชัด ... เช่นกัน ถ้าเอาบลูเรย์ไปเล่นกับจอขนาดสกรีนโรงหนัง มันก็ไม่ชัด เพราะมันใหญ่เกินฟอแมตของบลูเรย์ แต่เรื่องเสียงนี่อลังการจริง ที่สำคัญคือแพงกว่า เพื่อนผมหมดตังกับหนังแผ่นบลูเรย์ไปเกือบครึ่งแสนในเดือนเดียว นี่ถ้าเนตแรงกว่านี้มันบอกจะโหลดเอา หุหุ จากคุณ : อย่ามาห้ามผม - [ 13 มิ.ย. 51 23:21:38 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แหะๆ พอดีผมจัดเกรดการเก็บหนังครับ หนังรัก-ตลก effect ไม่เยอะ เก้บเป็นformat vcd แต่ไรท์เก็บใส่ใน dvd ดังนั้น ใน 1 แผ่น dvd ผมเก็บได้ราวๆ 4 เรื่อง (ประหยัดแผ่นดี) หนังมันส์ ต้องการแบบกระหึ่ม - เก็บเป็น dvd สับ blue-ray ยังไม่มีปัญญาครับ ต้องเก็บเงินไว้เติมน้ำมันรถ - -" จากคุณ : มู้ดดี้ แม้ดอาย - [ 13 มิ.ย. 51 23:49:53 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ต่างกันมากมายครับ จากคุณ : คนข้างๆ - [ 14 มิ.ย. 51 00:11:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไหนๆถามแล้ว ขอตอบเต็มๆ เดี๋ยวจะมีคนค่อนแคะว่า ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ DVD & Blu-ray 1.  ประวัติความเป็นมาของ DVD DVD มาจากคำว่า Digital Video Disc แต่ต่อมาภายหลังได้รับการบัญญัติศัพท์จากราชบัณฑิตยสถาน ให้ใช้ว่าแผ่นดิจิทัลอเนกประสงค์ หรือ Digital Versatile Disc เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบออปติคัลที่มีขนาดใหญ่ และความเร็วในการบันทึกข้อมูล ภาพและเสียง (วีดิทัศน์) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีความจุสูงกว่าซีดีธรรมดา เรามักใช้ดีวีดีในงานเกี่ยวกับด้านบันเทิง ใช้เก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล แผ่นดีวีดีนั้น ดูๆ ไปมันก็ไม่ต่างไปจากแผ่นซีดี  เพียงแต่ว่ามันมีความจุที่มากกว่ามากๆ โดยมาตรฐาน ของแผ่นดีวีดีแล้ว มันจะมีความจุมากกว่าแผ่นซีดีถึงเจ็ดเท่าทีเดียว ซึ่งด้วยขนาดความจุที่มากมายขนาดนี้นี่เอง ที่ทำให้เจ้าแผ่นดีวีดีสามารถที่จะบันทึกข้อมูลภาพยนตร์ที่เข้ารหัสแบบ MPEG-2 ได้เต็มๆ ซึ่งลักษณะของ ภาพยนตร์ในรูปแบบดีวีดีนั้นมีดังนี้ -สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอที่ความละเอียดสูงได้ถึง 133 นาที                                           -การบีบอัดของวิดีโอในรูปแบบ MPEG-2 นั้นมีอัตราส่วนอยู่ที่ 40:1 -สามารถมีเสียงในฟิล์มได้มากถึง 8 ภาษา โดยมีระบบเสียง 5.1 Channel Dolby Digital                  Surround Sound - มีคำบรรยาย (Subtitle) ได้มากสูงสุดถึง 32 ภาษา -ภาพยนตร์ดีวีดีบางแผ่นนั้น สามารถเปลี่ยนมุมกล้องได้ด้วย -นอกเหนือไปจากความสามารถที่เอ่ยถึงไป หากเราเอาแผ่นดีวีดีมาใช้บันทึกข้อมูล ภาพและเสียง ด้วยระดับคุณภาพของซีดี ก็จะสามารถบันทึกได้นานถึงเกือบ 8 ชั่วโมง แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 51 01:42:30 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:40:47 ]

ความคิดเห็นที่ 6 2.การบันทึกข้อมูลลงแผ่นดีวีดี แผ่นดีวีดีนั้นไม่ต่างจากแผ่นซีดีเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาด ความหนา หรือแม้แต่วัสดุที่นำมาใช้ทำ แม้แต่การบันทึกข้อมูลนั้นก็ใช้หลักการเดียวกัน ก็คือการเข้ารหัสข้อมูลให้อยู่ในรูปของ pit และ land บนแทร็คต่างๆ แผ่นดีวีดีนั้นประกอบไปด้วยชั้นของพลาสติกหลายๆ ชั้น รวมกันเป็นความหนา 1.2 มิลลิเมตร โดยแต่ละชั้นนั้นมาจากการฉีดเอา โพลีคาร์บอเนตพลาสติกเหลว (Polycarbonate Plastic) เข้าไปเป็นชั้นบางๆ เคลือบตัวแผ่นดิสก์ ซึ่งขั้นตอนนี้ได้สร้างแผ่นดิสก์ที่มี bump เรียงตัวเป็นแถวเดียว และหมุนวน ไปทั่วแผ่นดิสก์ แบบเกลียว (ดูรูปประกอบ) จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:43:03 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คำอธิบาย ภาพด้านบนนะครับ bump เรียงตัวเป็นแถวเดียว และหมุนวนไปทั่วแผ่นดิสก์ แบบเกลียว เมื่อเลเยอร์ของโพลีคาร์บอเนตพลาสติกถูกสร้างเสร็จเรียบร้อย ก็จะมีการเคลือบด้วยชั้นสะท้อนแสง (Reflective Layer) หุ้ม bump อีกที โดยชั้นใน จะเป็นอลูมิเนียม ส่วนชั้นนอกจะเป็นทองครับ เพื่อให้แสงเลเซอร์นั้นผ่านจากเลเยอร์ชั้นนอก เข้ามาสู่ชั้นในได้ สุดท้าย เลเยอร์ทั้งหมดก็จะถูกเคลือบด้วย แลคเกอร์ (Lacquer) อีกชั้นหนึ่ง จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 3.ขนาดความจุของแผ่น DVD ประเภทต่างๆ -Single-Sided Single Layer (DVD-5) -Single-Sided Double Layer (DVD-9) -Double-Sided Single Layer (DVD-10) -Double-Sided Double Layer (DVD-18) สำหรับแผ่นแบบ Single-Sided นั้นจะมีการสกรีน เอาไว้บนแผ่นด้านที่ไม่มีข้อมูล บันทึก ส่วนแผ่นแบบ Double-Sided ที่มีการบันทึกข้อมูลเอาไว้ทั้งสองด้านนั้น จะมีการสกรีนเอาไว้ รอบๆ รูตรงกลางแผ่น เอาแค่พออ่านได้ว่าแผ่นนี้มีข้อมูล อะไร การที่สามารถบันทึกข้อมูลเอา ไว้ได้ทั้งสองด้านของแผ่นดิสก์ แถมด้านละสองเลเยอร์นั้นช่วยให้แผ่นดีวีดีนั้นสามารถบันทึกข้อมูล ได้มาก แต่นอกเหนือ ไปจากนั้นก็คือ ระยะห่างของแต่ละแทร็คบนแผ่นดิสก์ และขนาดของ pit แผ่นดีวีดี มีระยะห่างของแทร็คข้อมูลเพียง 740 นาโนเมตร (1 นาโนเมตร เท่ากับ 1 ส่วนใน พันล้านส่วนของเมตร ) ส่วนขนาดของ pit นั้นก็แค่ กว้าง 320 นาโนเมตร ยาว 400 นาโนเมตร และสูง 120 นาโนเมตร เท่านั้นเอง (ดูรูปประกอบ) มื่อทั้งระยะระหว่างแทร็ค และขนาดของ pit มาผนวกกันเข้ากับการเรียงตัวแบบเกลียววน (Spiral) แล้ว หากนำข้อมูลพวกนี้ออกมายืดออกเป็นเส้นตรงสำหรับแผ่นแบบ Single-Sided Single Layer จะได้แทร็คข้อมูลที่มีความยาวถึงกว่า 13 กิโลเมตรทีเดียว และยิ่งหากเป็นแผ่นแบบ Double-Sided Double Layer จะได้แทร็คข้อมูลที่มีความยาวร่วม 50 กว่ากิโลเมตร จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:47:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ภาพแสดง track ข้อมูลชนิดต่างๆครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:48:44 ]

ความคิดเห็นที่ 10 4.การเปรียบเทียบแผ่น CD และ DVD เปรียบเทียบแผ่นดีวีดีกับแผ่นซีดี ปัจจัยที่ทำให้แผ่นดีวีดีนั้นมีความจุสูงกว่าแผ่นซีดีมีอยู่สามหัวข้อหลักๆ ก็คือ 0 ความหนาแน่นของข้อมูลที่มากกว่า                การบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดีนั้นมีระยะห่างระหว่างแทร็คของข้อมูลที่น้อยมาก แถมยังมีขนาดของ pit ที่เล็กมากๆ ด้วย มาลองเปรียบเทียบกันกับแผ่นซีดีก็ได้ คำนวณกันง่ายๆ ว่าความหนาแน่นที่เพิ่มขึ้นมาขนาดนี้ ช่วยให้แผ่นดีวีดีมีความจุเพิ่ม ได้เท่าไหร่เริ่มจากระยะระหว่างแทร็คที่เล็กกว่า 2.16 เท่า และความยาวของ pit ที่สั้นกว่าอีก 2.08 เท่า ซึ่งเมื่อนำมาคูณกันแล้ว จะได้ประมาณ 4.5 เท่า นั่นแสดงว่าแผ่นดีวีดีนั้นมีพื้นที่สำหรับการเก็บ pit มากกว่า แผ่นซีดีถึง 4.5 เท่าทีเดียว และนี่หมายถึงความจุที่มากกว่าแผ่นซีดี 4.5 เท่าเช่นกัน จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:50:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Overhead ที่น้อยกว่า               ในรูปแบบของแผ่นซีดี จะมีข้อมูลพิเศษที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้บนแผ่นดิสก์เพื่อใช้ในการ แก้ไขข้อมูลในกรณี ที่ผิดพลาด (Error Correction) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จริงๆ แล้วก็คือข้อมูล ที่มีอยู่แล้วบนแผ่นดิสก์นั่นเอง สำหรับวิธีการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ใช้กันอยู่ในแผ่นซีดี นั้นค่อนข้างจะเก่า และมีประสิทธิภาพสู้วิธีที่ใช้กัน ในแผ่นดีวีดีไม่ได้เลย โดยเจ้าแผ่นดีวีดีนั้นไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่มากนัก ในส่วนของการแก้ไขข้อผิดพลาดซึ่งส่งผล ให้มีเนื้อที่ในการบันทึกข้อมูลจริงๆ มากกว่า ภาพเปรียบเทียบระหว่าง CD(ซ้าย) และ DVD(ขวา) จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:52:42 ]

ความคิดเห็นที่ 12 5. รูปแบบของวิดีโอบนแผ่นดีวีดี ขนาดความจุของดีวีดีนั้นจะมีมากมายก็ตาม แต่หากว่าเราจะทำการบันทึกข้อมูลภาพยนตร์ซักเรื่อง ลงไปโดยไม่มีการบีบอัดใดๆ เลย จะไม่เพียงพอกับ Disc ข้อมูลได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราก็ต้องทำการบีบอัดข้อมูล มันเสียก่อน แล้วค่อยบันทึก สำหรับการบีบอัดข้อมูลของแผ่นดีวีดีนั้น ใช้การเข้ารหัสเป็นรูปแบบของ MPEG-2 แล้วจึงค่อยเก็บข้อมูลวิดีโอนั้นลงในแผ่นดิสก์ครับ ซึ่งรูปแบบ MPEG-2 นั้นได้รับการยอมรับอย่าง กว้างขวางว่าเป็นมาตรฐานสากล โดยปกติแล้วภาพยนตร์ทั่วๆ ไปจะมีอัตราความเร็วของการฉายอยู่ที่ 24 เฟรมต่อวินาที ซึ่งหมายความว่า ในหนึ่งวินาทีนั้นจะมีภาพทั้งหมด 24 ภาพถูกฉายออกมา… เจ้าตัวเข้ารหัส MPEG จะทำการตรวจสอบ แต่ละเฟรม แล้วก็ตัดสินใจว่าจะเข้ารหัสอย่างไรดี โดยแต่ละเฟรมนั้นสามารถถูกเข้ารหัสเป็นแบบใดแบบหนึ่งได้ ในสามแบบต่อไปนี้ - แบบ Intraframe ซึ่งจะมีข้อมูลของภาพที่สมบูรณ์ของเฟรมนั้นๆ เลย วิธีนี้จะบีบอัดข้อมูล ได้น้อยที่สุด -แบบ Predicted frame จะมีข้อมูลแค่เพียงพอที่จะบอกเครื่องเล่นดีวีดีว่า จะแสดงภาพออกมาอย่างไร โดยมีพื้นฐานจากเฟรมที่ถูกเข้ารหัสแบบ Intraframe หรือ Predicted frame ที่ผ่านมาล่าสุด พูดง่ายๆ ก็คือเฟรมปัจจุบันจะมีเพียง ข้อมูลอ้างอิงว่าเฟรมใน ปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเฟรมที่ผ่านมา -แบบ Bidirectional frame จะใช้ข้อมูลของเฟรมที่เข้ารหัสแบบ Intraframe และ Predicted frame ที่อยู่รอบๆ มาใช้คำนวณหาจุดที่ตั้ง และสีของแต่ละพิกเซล ของรูปภาพแต่ละส่วนในเฟรม ชนิดของฉาก (Scene) ที่จะถูกเข้ารหัสจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของเจ้าอุปกรณ์เข้ารหัส ว่าจะใช้รูปแบบของเฟรมแบบไหนดี อย่างเช่นถ้าเป็นการ รายงานข่าว ก็อาจจะใช้รูปแบบ Predicted frame มากหน่อย เพราะว่าในฉากแบบนึ้ การเปลี่ยนรูปจากเฟรมหนึ่งไปเป็นอีกเฟรมจะไม่ค่อยมีการ เปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ แต่หากเป็นฉากแอ็คชั่น การเปลี่ยนรูปจากเฟรมหนึ่งไป เป็นอีกเฟรมก็จะมีรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงมาก และนั่น ทำให้อุปกรณ์เข้ารหัสเลือกที่จะใช้รูปแบบเฟรม อย่าง Intraframe จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:53:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 6. ดีวีดีกับไฟล์ออดิโอ ในปัจจุบันแผ่นออดิโอดีวีดีนั้นยังหายากอยู่ แต่อีกไม่นานคิดว่า มันคงจะเป็นอะไร ที่หาไม่ยาก แล้วเราจะได้สัมผัสถึงความ แตกต่างของคุณภาพ ของเสียงระหว่างซีดีออดิโอ กับ ดีวีดีออดิโอ แต่เพื่อที่จะได้ประโยชน์จากการ ฟังเพลงแบบดีวีดีออดิโอได้สูงสุด อันนี้จำเป็นที่จะต้องมีแผ่นดีวีดีออดิโอ คุณภาพสูง และเครื่อง เล่นดีวีดีที่มีตัวแปลงสัญญาณจากดิจิตอลเป็นอนาล็อก (Digital to Analog Converter หรือ DAC) ระดับ 192kHz/24-bit (เครื่องเล่นดีวีดีทั่วๆ ไปมี DAC แบบ 96kHz/24-bit เท่านั้น)… ด้วยความจุที่มากกว่าแผ่นซีดีมากๆ ของแผ่นดีวีดี ทำให้มัน สามารถที่จะบันทึกข้อมูลของเสียงได้ ละเอียดกว่ามากในเวลาการ เล่น (Playback time) ที่เท่าๆ กัน ลองมาเปรียบเทียบกันระหว่างซีดีออดิโอ และดีวีดีออดิโอ ที่คุณภาพสูงสุด ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลออดิโอได้นาน 74 นาทีกันครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:54:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตารางเปรียบเทียบ sampling rate ครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:56:27 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่ว่าจะเป็นซีดีออดิโอ หรือ ดีวีดีออดิโอก็ตาม ข้อมูลแต่ละบิต จะเป็นการบอกตัว DAC ว่าระดับของความต่างศักย์เอาต์พุตจะต้องเป็นเท่าไหร่ ซึ่งผลที่ได้ก็จะเป็นรูปคลื่น (Waveform) ที่คล้ายกับสัญญาณต้นแบบ ทีนี้เราลองมาดูรูปภาพเปรียบเทียบรูปคลื่นสัญญาณต้นแบบกับรูปคลื่นของ ซีดีออดิโอ กับดีวีดีออดิโอกัน จะเห็นว่าดีวีดีออดิโอนั้นจะให้สัญญาณเอาต์พุตออกมาได้ใกล้เคียงกับ สัญญาณต้นแบบ มากกว่าซีดีออดิโอมากๆ ทีเดียว ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากจำนวน Sample และ Sampling accuracy ที่มากกว่า ทำให้ระดับของ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:56:54 ]

ความคิดเห็นที่ 16 7.รูปแบบของแผ่นดีวีดี DVD (Digital Versatile Disk, Digital Video Disk) DVD เป็นสื่อจานแสงที่ใช้เก็บข้อมูลเช่นเดียวกับ CD แต่มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่า คือ สามารถเก็บข้อมูล ได้ ตั้งแต่ 4.7 GB – 17 GB นอกจากนี้ไดร์ฟที่ใช้อ่านแผ่น DVD ยังสามารถอ่านแผ่น CD ได้ด้วย แผ่น DVD แบ่งได้เป็น DVD-R เป็นแผ่นที่สามารถทำการบันทึกได้เพียงครั้งเดียว ไม่สามารถทำการบันทึกซ้ำได้อีก DVD-RW คล้ายกับแผ่น DVD-R ที่สามารถ ทำการบันทึกข้อมูลได้ครั้งเดียว แต่ต่างกันที่สามารถเขียนได้หลายครั้ง หรือลบแล้วเขียนใหม่ได้แต่ต้องทำกับข้อมูลทั้งแผ่น DVD+R เป็นแผ่นที่เมื่อเขียนไปแล้ว สามารถนำแผ่นกลับมาเขียนต่อได้อีก แต่ไม่สามารถลบได้ DVD+RW คล้ายกับแผ่น DVD+R ต่างกันตรงที่สามารถเขียนและลบได้หลายครั้ง DVD-RAM สามารถเขียนและลบได้หลายครั้ง คล้ายกับแผ่น CD-RW และสามารถที่จะนำข้อมูลไปเขียนไว้ในส่วนใดก็ได้ของแผ่น คล้ายกับฮาร์ดดิสก์ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเขียนหรือลบทั้งแผ่น จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 01:58:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 1.  ประวัติความเป็นมาของ Blu-ray กับ HD DVD HD DVD มาจากคำว่า High Density DVD ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย HD-DVD Promotion group ซึ่งมีบริษัทมากว่า 63 บริษัทที่ให้ความสนับสนุนเช่น Toshiba, Sanyo, NEC, Universal Pictures และบริษัทอื่นๆ อีก ซึ่งมาตรฐานนี้ได้รับการรับรองจาก DVD Forum ซึ่งเป็นองค์กรที่คอยจัดการมาตรฐานของ DVD ในปัจจุบัน Blu-ray หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ Blu-ray Disc (BD), เป็นชื่อของเทคโนโลยีหนึ่ง ที่พัฒนาต่อมาจาก DVD ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) ซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันมากกว่า 100 บริษัท ซึ่งมีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Apple, Dell, Hitachi, HP, Sony และบริษัทอื่นๆ อีกมากมาย High Definition DVD หลายคนคงเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้างและอาจไปสับสนกับ HD DVD แต่ที่จริงแล้ว High Definition DVD จะกล่าวรวมทั้ง Blu-ray และ HD DVD ทั้งสองตัวนี้ได้พัฒนาต่อเนื่องจากแผ่น DVD ที่เราๆ ท่านๆ ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งรูปร่างและขนาดภายนอกไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย (มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 cm และความหนาประมาณ 1.2 mm. ) แต่สามารถจุข้อมูลได้มากกว่ามากโดยที่ HD DVD แบบ Single Layer จะมีความจุอยู่ที่ 15 GB ส่วน Blu-ray แบบ Single Layer มีความจุอยู่ที่ 25 GB ซึ่งสาเหตุก็มาจากการใช้ Laser ของแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น ความถี่สูง กว่าที่ใช้กันใน DVD ทั่วไปถ้ายังจำกันได้ ตอนที่เราเรียนวิชาฟิสิกส์ ท่านนิวตันบอกว่า แสงขาวสามารถแบ่งออกเป็นสเปกตรัมที่ตาเรามองเห็น เป็น 7 สีเริ่มจากม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:00:12 ]

ความคิดเห็นที่ 18 2.การเปรียบเทียบการยิงเลเซอร์ระหว่าง HD DVD และ DVD โดย CD และ DVD ในปัจจุบันใช้ความยาวคลื่นอยู่ที่ 650 nm. ซึ่งอยู่ในช่วงสีแดง แต่ทั้ง HD DVD และ Blu-ray จะใช้แสงที่มีความยาวคลื่นเท่ากันคือ 405 nm. การที่แสงมีความยาวคลื่นเล็กลงทำให้เราสามารถบีบให้ลำแสงมีขนาดเล็กลงได้มากขึ้น ทำให้สามารถอ่านบิตของข้อมูลที่ถูกเก็บในขนาดที่เล็กกว่าได้ดีขึ้น จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าจะให้เคลียขอให้ท่านผู้อ่านดูรูปด้านล่างนี้ จากรูป สีดำที่ท่านเห็นแทนบิตข้อมูลที่บันทึกอยู่ในแผ่นชนิดต่างๆ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปข้อมูลที่เก็บจะมีลักษณะขดเป็นวงโดยเริ่มจากด้านในสุดของแผ่น ระยะระหว่างวงเรียกว่า Track Pitch ถ้าเราสามารถลดค่า Track Pitch ลงได้ เราก็สามารถเพิ่มความจุของแผ่นได้ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 20 3.ทำไมความยาวคลื่นและความหนาของแผ่นมีผลในการจุของข้อมูล เนื่องจากแสงที่มีความยาวคลื่นเล็กลง ทำให้สามารถบีบลำแสงมีขนาดเล็กลงได้มากขี้น และสามารถอ่านบิตของข้อมูลที่ถูกเก็บในขนาดที่เล็กกว่าได้ดีขึ้น โครงสร้างของแผ่น Blu-Ray ก็มีความหนาอยู่ที่ 1.2 mm เช่นเดียวกันแต่ชั้นของตัวแผ่นหนาประมาณ 1.1 mm ซึ่งหมายความว่าชั้นป้องกันการขีดข่วนหนาเพียงแค่ 0.1 mm และด้วยเหตุผลของความบางของชั้นป้องกันนี้เองเป็นเหตุผลที่ทำให้ Blu-Ray จุข้อมูลได้มากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากการเดินทางของแสงที่ต้องผ่านตัวกลาง plastic น้อยกว่า ทำใหแสงมีความสามารถที่จะอ่านข้อมูลที่มี Track Pitch น้อยกว่า แต่ในส่วนของโครงสร้างของแผ่นไม่ว่าจะเป็น DVD, HDDVDในปัจจุบันจะอยู่ที่ความหนาของแผ่นอยู่ที่ 1.2 mm ซึ่งสามารถแบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ ดังนี้ คือชั้นของตัวแผ่น (Disc) อยู่ที่ 0.6 mm และชั้นป้องกันการขีดข่วน (protective coating) อยู่ที่ 0.6 mm และชั้นบาง ๆ สำหรับบันทึกข้อมูล (recording layer) จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:02:59 ]

ความคิดเห็นที่ 21 4.ความแตกต่างระหว่าง HD DVD กับ Blu-ray ในด้านของโครงสร้างของ แผ่น HD-DVD จะมีโครงสร้างของแผ่นเหมือนกับ DVD ในปัจจุบันโดยความหนาของแผ่นจะอยู่ที่ 1.2 mm. แบ่งเป็นชั้นต่างๆ ดังนี้ ชั้นของตัวแผ่น (disc) หนาประมาณ 0.6 mm. ชั้นป้องกันการขีดข่วน (protective coating ) หนาประมาณ 0.6 mm. และชั้นบางๆ สำหรับบันทึกข้อมูล (recording layer ) ในขณะที่ทาง Blu-Ray มีความหนาของแผ่นอยู่ที่ 1.2 mm. เช่นเดียวกันแต่ชั้นของตัวแผ่น หนาประมาณ 1.1 mm. นั่นหมายความว่าชั้นป้องกันการขีดข่วนหนาเพียงแค่ 0.1 mm. ซึ่งที่ความบางของชั้นป้องกันนี่เอง เป็นสาเหตุว่าทำไม Blu-Ray จึงจุข้อมูลได้มากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากการเดินทางของ    แสงที่ต้องผ่านตัวกลาง plastic น้อยกว่าทำให้แสงมีความสามารถที่จะอ่านข้อมูลที่มี Track Pitch น้อยกว่าได้ซึ่งความแตกต่างทางโครงสร้างแสดงไว้ในตารางดังนี้ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:10:49 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตาราง ต่อครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:12:01 ]

ความคิดเห็นที่ 23 นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างกันในด้านการประมวลผลข้อมูล ( data processing ) เช่น การเข้ารหัส ข้อมูล (Modification ) หรือการแก้ไขบิตของข้อมูลซึ่งเกิดการผิดพลาด(Error Correction) ด้านของบริษัทที่ให้การสนับสนุน : ในแง่นี้ทาง Blu-ray ดูจะเหนือกว่าอยู่มาก โดยได้รับการสนับสนุนจาก 6 บริษัทหลักของ Hollywood อันได้แก่ 20th Century Fox, MGM Studios, Paramount Pictures, Sony Pictures Entertainment, The Walt Disney Company, Warner Bros. ซึ่งเกือบจะครบทุก studios หลักของ Hollywood อยู่แล้วขาดก็เพียงแต่ Universal Studios ซึ่งให้การสนับสนุน HD DVD อย่างเต็มตัวและยังมีอีก 2 Studios นั่นก็คือ Paramount Pictures กับ Warner Bros. ซึ่งให้การสนับสนุนทั้งสองรูปแบบ นอกจากหนังแล้วยังมี บริษัทที่ทำเครื่องเล่นเกมอย่างเช่น Sony ที่สนับสนุน Blu-ray กับเครื่อง Playstation3 ที่คาดว่าน่าจะออกสู่ตลาดปลายปีนี้ ในขณะเดียวกันทางไมโครซอฟต์ก็ไม่น้อยหน้า จับเทคโนโลยี HD DVD มาให้กับเครื่องเล่น Xbox ของตนเอง ด้านของราคาและกำลังการผลิต : เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต HD DVD มีความใกล้เคียงกับ DVD ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาก ดังนั้นต้นทุนที่ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตจากเดิมก็น้อยกว่าทาง Blu-ray และสามารถผลิตแผ่น HD DVD ได้ในเวลาประมาณ 2-3 วินาที ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ Blu-ray ซึ่งต้องมีต้นทุนในการปรับปรุงสายการผลิตเดิมที่สูงกว่า อีกทั้งยังต้องเพิ่มการทำ Hard coat เข้าไปในสายการผลิตเดิมทำให้ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วินาทีถึงแม้เวลาที่ใช้จะต่างกันไม่มากแต่สำหรับการผลิตในปริมาณมากๆ นับว่ามีผลต่อราคาและจำนวนสินค้ามากทีเดียว ดังนั้นทางด้านของราคาและกำลังการผลิตจึงถือเป็นข้อได้เปรียบของ HD DVD ด้านของความจุ : ในด้านของความจุแน่นอนเลยว่าทางฝั่งของ Blu-ray ต้องได้เปรียบอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นด้านของความเร็วในการอ่านและเขียน : อันเนื่องจากการที่ Blu-ray สามารถเก็บข้อมูลได้ที่ความหนาแน่นสูงกว่า ทำให้การหมุนของแผ่นที่ 10,000 RPM ให้ความไวของ HD DVD อยู่ที่ 9x ในขณะที่ความไวรอบของการหมุนเท่ากัน Blu-ray สามารถอ่านได้ถึง 12x ด้านของอายุการใช้งาน : อายุของการใช้งานของ Blu-ray น่าจะนานกว่าเนื่องจากได้รับเกราะชั้นดีจากทาง TDK หรือที่เรียกว่าการทำ Hard coat นั่นเองซึ่งมีผลทำให้สามารถป้องกันความเสียหายอันเกิดจากรอยขีดข่วนได้ดี อีกทั้งยังทนต่อรอยนิ้วมือด้วย ด้านของความเข้ากันได้กับผลิตภัณฑ์ CD/DVD เดิมที่มีอยู่ : Drive ของทั้งคู่สามารถใช้ได้กับแผ่น CD/DVD ที่มีอยู่เดิม และในปัจจุบันทาง Ricoh ได้ประกาศแล้วว่าสามารถทำแผ่น Diffraction ซึ่งทำให้ Drive สามารถใช้อ่านและเขียนได้ทั้ง Blu-ray และ HD DVD ออกมา แต่อย่างไรก็ดี Blu-ray ยังคงได้เปรียบจากการที่สามารถทำเป็น Hybrid Discs(single-sided, triple-layer disc) ได้ เนื่องจากเจ้า Blu-ray ใช้ที่ความลึกเพียง 0.1 mm . ทำให้สามารถใส่ DVD DL(Dual-Layer) เพิ่มความจุเข้าไปได้อีก 8.5 GB ซึ่งในตอนนี้ทางบริษัท JVC ได้ทำขึ้นมาแล้ว จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:12:24 ]

ความคิดเห็นที่ 24 5.แนวโน้มของOptical Disc จากวิวัฒนาการของสื่อ Optical Disc จากที่กล่าวมาข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าสื่อประเภทนี้มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จากเดิมที่เป็นเพียงแค่ซีดีรอมสามารถเก็บข้อมูลได้ 700 เมกะไบต์ อ่านได้อย่างเดียว พัฒนามาจนถึงขั้นมีเครื่องเขียนซีดีที่สามารถเขียนข้อมูลลงบนแผ่นซีดีได้ และปัจจุบันสื่อ Optical Disc ที่พัฒนาและกำลังได้รับความนิยมมากก็คือ ดีวีดี ด้วยความที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากถึง 17 กิกะไบต์ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในวงการภาพยนตร์ แผ่นและไดร์ว ซีดี ดีวีดี ก็มีราคาถูกลง โดยแนวโน้มนั้นในอนาคตจะมี HD-DVD Drive ซึ่งจะสามารถใช้งานได้กับ HD-DVD, DVD และCDจะมาแทนที่ทุกไดร์วในอนาคต โดย CD และ DVD เป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่ใช้แสงเลเซอร์ในการอ่านเหมือนกันข้อมูลที่เก็บไว้จะอยู่ในรูปแบบดิจิทัล โดยผิวบันทึกข้อมูลจะประกอบด้วยหลุม (pit) ขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก ซึ่งแผ่นดีวีดีจะมีขนาดของหลุมที่เล็กกว่า CD แต่ขนาดแผ่นเท่ากัน จึงทำให้แผ่น DVD มีจำนวนหลุมข้อมูลมากกว่า นั่นหมายถึงมีความจุมากกว่า แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ สื่อบันทึกข้อมูลทั้ง 2 ชนิดใช้เลเซอร์ในย่านสีแดงในการอ่านข้อมูลเหมือนกัน โดยแสงที่ใช้ในการอ่านจะมีความยาวคลื่นในช่วง 650-780 นาโนเมตร แต่ได้มีการพัฒนาสื่อเก็บข้อมูลตัวใหม่ขึ้นมาทำให้แผ่นขนาดนี้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น โดยไดร์วตัวใหม่นี้จะใช้แสงสีน้ำเงินในการอ่านหรือเขียนแทน โดยความยาวคลื่นสีน้ำเงินจะอยู่ที่ประมาณ 400 นาโนเมตรซึ่งความยาวคลื่นระดับนี้จะทำให้สะท้อนหลุมที่มีขนาดเล็กกว่าหลุมบนแผ่น DVD เมื่อหลุมมีขนาดเล็กก็จะทำให้บันทึกข้อมูลได้ละเอียดกว่า และมีความจุมากกว่า เรียกสื่อบันทึกข้อมูลนี้ว่า HD-DVD ซึ่งมีผู้ผลิตบางรายได้ผลิตไดร์วชนิดนี้ออกมาแล้วโดย NECและ TOSHIBA ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนามาตรฐานของสื่อชนิดนี้ โดยNEC กล่าวว่าจะทำให้ไดร์วในอนาคตรองรับการทำงานกับสื่อแสงทุกรูปแบบ นั่นก็คือจะสามารถอ่านและเขียนแผ่น CD, DVD และ HD-DVD ได้ทั้งหมดคาดว่าจะทำได้ไม่เกินกลางปี 2547 นี้(สถาพร ลิมป์ปัทมปาณี, 2547) ที่มา : http://www.kernelx.net/network/index.php?page=2 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:12:51 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ทีนี้ ภาพเปรียบเทียบครับ แบบซูมๆ ด้านบนคือ dvd ปกติ ด้านล่างคือ blue-ray จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:14:30 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ภาพต้นฉบับของภาพข้างบน ที่มา : http://www.wfu.edu/~yipcw/atg/bd/index.htm จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:15:37 ]

ความคิดเห็นที่ 27 หา blueray vs. dvd ปกติยากแฮะ มีแต่ hd-dvd vs. blue-ray งั้นเอานี่ไปแทนก่อนนะครับ hd-dvd vs. dvd ธรรมดา คงเห็นภาพความต่างนะครับ ที่มา : http://www.avsforum.com/avs-vb/showthread.php?t=811102 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:29:26 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ^ ^ ^ แงๆ เบลอไปหน่อย ลืมเปลี่ยนสีพื้นหลังซะงั้น จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:30:25 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าถามอับดุลหว้ากอ ท่านก็จะได้พบกับคำตอบแนวๆแบบนี้แหละครับ อย่างไรถ้าท่านสนใจเรื่องเกี่ยวกับ DVD แนะนำท่านถามผู้รู้ตามเวป DVD โดยเฉพาะเลยครับ เช่น www.thaidvd.net ครับ จะได้คำตอบที่โดนกว่านี้ครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 14 มิ.ย. 51 02:47:19 ]

ความคิดเห็นที่ 30 Bluray จะคุ้มถ้าที่บ้านมี LCD full HD และยังมีตังซื้อแผ่นบลูเรย์ หลังจากที่ซื้อเครื่องเล่นและ LCD แล้ว  อิอิ จากคุณ : noraneko - [ 14 มิ.ย. 51 02:48:33 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ปัญหาใหญ่ตอนนี้ึคงอยุ่ที่ เอามาก็ไม่รู้จะดูกับอะไรดี - -" จากคุณ : Jet_XP - [ 14 มิ.ย. 51 03:21:21 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณมากครับที่มาให้ความรู้ทางเทคโนโลยีแบบละเอียด ปล. กระทู้นี้ทีแรกโดนไฟแดงด้วยนะครับ  ผมเลยกดไฟเขียวให้ ซึ่งไม่เข้าใจว่าเรื่องเทคโนโลยีแท้ๆทำไมมันถึงมากดไฟแดง จากคุณ : Avexter - [ 14 มิ.ย. 51 03:33:05 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ที่มันชัดอะ ไม่ได้เพราะแผ่น บูเร เพราะมันเป็นการฟอร์แมตไฟล์ที่ละเอียดมากกว่าเดิม พอไฟล์มันละเอียดมันก็ต้องมีขนาดใหญ่ พอขนาดใหญ่มันก็ต้องใช้ทีเก็บใหญ่ๆ ก็มี บูเร มาเป็นทีเก็บ ง่ายๆ ผมเอาหนัง VCD  .DAT ธรรมดา หลายสิบเรื่องใส่แผ่น บูเร  ภาพก็ชัดเท่า VCD ธรรมดา คำว่าบูเร มันเป็นแค่ เทคโนโลยีการเก็บข้อมูลเฉยๆ ไม่ใช่เทคโนโลยีภาพชัด ส่วนไอภาพชัด เสียงขัดกว่า DVD 3-4 เท่าอะมันจริงเพราะมันทำไฟล์คุณภาพสูง มันก็เลยใหญ่  แท้จริงมันก็เป็นแค่  เทคนิคการโฆษณาให้คนหลงเชื่อเท่านั้น จากคุณ : J O H N K U N G (ฮะเก๋ากุ้ง) - [ 14 มิ.ย. 51 04:12:07 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ^ ^ ^ ^ ตามนั้นครับ มันคือการโฆษณา Media เก็บ File คุณภาพสูง ไม่ได้หมายความว่าตัวแผ่นมันจะทำให้ชัดขึ้น ถ้า File ไม่ดี ต่อให้แผ่นความจุมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ถ้าจอคุณไม่ดี หรือความละเอียดต่ำก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน ภาพชัดได้ไม่ต้องพึ่งจอที่มี Res 1090x1080 เสมอไป จอ 1440 ก็เปิด Hd ชัดได้เช่นกัน แต่ในขนาดจอที่เท่ากัน Resolution สูงกว่าย่อมได้เปรียบกว่า ลองไปหาตัวอย่างหนัง HD ดูได้จากที่นี่ครับ http://www.apple.com/trailers/#section=justhd จากคุณ : T-geTZ - [ 14 มิ.ย. 51 07:09:44 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โอว จากหูเทพก็มีตาเทพแล้ว จากคุณ : Mr.Odwa - [ 14 มิ.ย. 51 07:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 36 โหวได้สาระ  อย่างงี้ต้องโหวต จากคุณ : harvardวิทยาคม - [ 14 มิ.ย. 51 07:36:51 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ความรู้ดีๆอยู่ที่นี่เลย... vote ให้ค่ะ จากคุณ : kekodes - [ 14 มิ.ย. 51 08:30:33 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คงไม่ตาเทพขนาดนั้น........ จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 14 มิ.ย. 51 08:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 39 งี้ถ้าไม่ซื้อ LCD Full HD ขนาด 40" ขึ้นไปก็แทบไม่ต่างจาก DVD เลยอ่ะจิ ทุกวันนี้เดินผ่านบูต LCD เมื่อไหร่จะเห็น spider man blue-ray ฉายอยู่ มันก็ชัดอ่ะนะ ชัดซะจนเห็นเม็ดสีเลยอ่ะ (หน้านางเอกเลยไม่เรียบเนียนซะงั๊น) เลยไม่รู้ว่ามันจะสวยดีหรือไม่ดี -*- จากคุณ : A49 GTR34 - [ 14 มิ.ย. 51 09:02:24 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เห็นป่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นวิทยาศาสตร์ซะทุกอย่าง ก็ได้ความรู้ ทำไมทีงี้ พวกเกรียนไม่มากดไฟแดงอะ 5555 จากคุณ : J O H N K U N G (ฮะเก๋ากุ้ง) - [ 14 มิ.ย. 51 14:23:43 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ^ ^ ^ อย่าครับ เดียวมากดลบไปเสียดายความรู้แย่ ขอบคุณคุณมนุษย์ถ้ำครับ ละเอียดดีจริงๆ เพิ่มเติมในส่วนของ HD-DVD  VS Blue-ray  ที่ต่างกันตอนนี้คือราคาเครื่องเล่น ครับ Blue-ray แพงกว่าเยอะ (แต่ PS3 ที่ว่าแพงๆ กลายเป็นเครื่องเล่น Blue-ray ที่ถูกที่สุด เลยมั่ง) แต่ ตอนนี้รู้สึกว่ายกแรก Blue-ray จะชนะยกแรกไปแล้ว เพราะในเรื่องของ ขนาดความจุ คาดว่า อีกไม่นานคงได้เห้นยกสองอ่ะครับ ถ้า ฝั่ง HD DVD ทำเครื่องที่เล่นได้ทั้ง DVD เดิมและ HD DVD ได้ มาขาย จากคุณ : vn, man - [ 14 มิ.ย. 51 15:27:23 ]

ความคิดเห็นที่ 42 แจ่มครับ ไม่ทราบอยู่ถ้ำไหนครับ ทำไมจึงได้ไฮเทคขนาดนี้ จากคุณ : ksk - [ 14 มิ.ย. 51 15:57:44 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ผมว่าถ้าเรายังไม่จำเป็นต้องใช้คุณภาพของภาพและเสียงขนาดนั้น สำหรับผมเองแล้ว แค่ VCD ก็ยังถือว่าใช้ได้อยู่ในตอนนี้ครับ จากคุณ : AW Milan - [ 14 มิ.ย. 51 16:11:00 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ไปเอาที่  http://www.apple.com/trailers/#section=justhd   อาจจะโหลดมาเก็บลำบาก ไปเอาที่ http://www.hd-trailers.net/ โหลดมาเก็บไว้ในเครื่องสะดวกนักแล สำหรับคนที่ไม่มีปัญญาซื้อ Blu-ray (ผมก็ไม่มี - -*) ก็หาไฟล์มาลองครับคอมต่อเข้า LCD ทีวีเอา ใช้ โน๊ตบุคต่อไปก่อนก็ได้ จากคุณ : xnone - [ 14 มิ.ย. 51 16:16:50 ]

ความคิดเห็นที่ 45 Thank you ja จากคุณ : proudtobethai - [ 14 มิ.ย. 51 16:37:01 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เข้ามาเพิ่มรอยหยักในสมองครับ...... จากคุณ : @Server ! maN@ - [ 14 มิ.ย. 51 16:45:41 ]

ความคิดเห็นที่ 47 แอบคิดเล่นๆ ว่า ชัดเน๊อะ แต่ว่า สมองเรา สามารถ สร้างภาพได้ละเอียด กี่ mega pixel หว่า มีใครเคยประมาณไหมครับ จากคุณ : เด็กมีปัญหา (ละอ่อนชายแดน) - [ 14 มิ.ย. 51 18:05:34 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คห.41 สงคราม HD-DVD  VS Blue-ray มันจบแล้วไม่ใช่เหรอครับ HD-DVD ยกธงขาว Blue-ray ก็เลยได้เป็น format DVD ยุคต่อไป โตชิบาถอนตัว... ฟอร์แมต HD DVD ตายแล้ว http://www.blognone.com/node/7021 ปิดฉาก HD-DVD http://www.thaidv.net/index.php?option=com_content&task=view&id=36&Itemid=9 จากคุณ : ton@home - [ 14 มิ.ย. 51 20:47:10 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คห. 39 คุ้นๆเหมือนกับมีคนบ่นไว้ว่าความละเอียดขนาด 720p กับ 1080p นี่ต้องจอซัก 40-50 นิ้วขึ้นถึงจะเห็นความแตกต่าง.. ผมคิดว่าที่บลูเรย์ชนะนี่เพราะ sony มันรุกเต็มตัวครับ ทั้งเอาลง ps3 ทั้งรีบเข็นตัวเผาแผ่นออกมา (ในราคาที่ใครจะซื้อวะ) อัดฉีดเต็มที่   แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 51 21:08:39 จากคุณ : Munch - [ 14 มิ.ย. 51 21:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 50 #33-34 ไม่ใช่แน่นอน คุณไม่สามารถเอาไฟล์ DVD ไปใส่ไว้ใน format ของ VCD ได้นะครับ เช่นเดียวกัน คุณเอาไฟล์ Blu-ray ไปใส่ใน DVD ก็ไม่ได้ ข้อกำหนด โครงสร้างของ ไฟล์ไม่เหมือนกัน สำหรับเสียงเพลง DVD-Audio แพ้ SACD ไปเรียบร้อย แล้วครับ แต่ทั้งคู่กลับพ่ายแพ้ให้กลับฟอร์เม็ตเสียงที่ คุณภาพแย่กว่า นั่นคือ MP3 สุดท้าย iPod เอาไปกิน ------ อนาคต ถ้า OLED TV ออกทำตลาด mass เมื่อไหร่ Blu-ray เตรียมตัวเจอกับคู่แข่งใหม่  Ultra High Definition Video http://en.wikipedia.org/wiki/Ultra_High_Definition_Video จากคุณ : .eAT - [ 14 มิ.ย. 51 21:19:40 ]

ความคิดเห็นที่ 51 HD - DVD แพ้ในการแข่งขันมาตรฐานไปแล้วครับ ตอนนี้เหลือแต่ Blu-Ray เท่านั้น หลายคนอาจจะมองว่า HD-DVD น่าจะสมควรแพ้ในสงครามอยู่แล้ว เพราะขนาดความจุน้อยกว่า แต่จริงๆแล้ว HD-DVD นั้นในช่วงแรกนั้นสดใสมากๆครับ เนื่องจาก HD-DVD ไม่ใช่การพัฒนาความจุดแค่นั้น แต่ยังอยู่ในความเป็นจริงคือ ใช้สายการผลิต DVD เดิมได้ มีความเข้ากันได้กับ Hardware เดิมๆ มีราคาลิขสิทธิ์การผลิตที่ถูกกว่า นอกจากนี้เมื่อเทียบความละเอียดของภาพยนต์ในความละเอียดสูงสุด HD-DVD กลับมีความละเอียดที่สูงและสดใสกว่ามาตรฐานภาพยนต์ของ Blu-Ray มาก ในขณะที่ขนาดของไฟล์เอกสารมีขนาดที่เท่ากัน นั่นหมายความว่ามาตรฐานของ HD-DVD มีความละเอียดมากกว่า Blu-ray จากคุณ : GIN - [ 14 มิ.ย. 51 21:33:06 A:125.26.192.10 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 แม้ HD-DVD มีความสดใสในอนาคตขนาดนั้น แต่ในที่สุด HD-DVD กลับพ่ายแพ้ต่อ Blu-Ray อย่างราบคาบแม้จะมีผู้สนับสนุนขนาดใหญ่ เช่น Toshiba Microsoft และอีกกว่า 50 บริษัท แต่นั่นก็เทียบกับ Blu-Ray ไม่ติดที่มีบริษัทสนับสนุนมากกว่า 200 บริษัท ซึ่งเกิดจากการสนับสนุนและการโฆษณาของ SONY ที่บอกแบบนี้เพราะ SONY ถึงขั้นวัดดวงกับมาตรฐานนี้สุดตัวยิ่งกว่า PlayStation III เพราะ SONY ลงทุนจำนวนมากมายมหาศาลเพื่อพลักดันมาตรฐานนี้ในสำเร็จเป็นมาตรฐานโลกให้ได้ และทำสำเร็จในที่สุด แม้ว่า ศึกHD ครั้งนี้ Blu-ray จะผู้ชนะในการแข่งขัน แต่ก็มีผู้วิจารณ์ว่ามันอาจจะไม่ใช่ความสำเร็จของผู้ใช้งาน เนื่องจาก Blu-Ray เป็นเทคโนโลยีใหม่มากๆ และมีโรงผลิตผลิตจำนวนน้อยมาก อีกทั้งไม่สามารถใช้การดัดแปลงจากสายการผลิตของ DVD ได้เลย ( ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ) อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ผูกขาดโดย SONY แต่เพียงผู้เดียว ( HD-DVD เป็นความร่วมมือของ Toshiba และกลุ่ม DVD Forum ) ทำให้ราคาเทคโนโลยีมีมีราคาเพียงอย่างมาก ซึ่งนั่นหมายความว่า DVD Blu-Ray อาจจะต้องอยู่ในภาวะของราคาแพงต่อไปอีกอย่างน้อย 4-5 ปีเลยทีเดียว จากคุณ : GIN - [ 14 มิ.ย. 51 21:37:03 A:125.26.192.10 X: ]

ความคิดเห็นที่ 53 เสริมครับ --------- หลังจากการพ่ายแพ้ของ HD DVD ทางกลุ่ม Blu-ray ได้ฉลองชัยชนะด้วยการขึ้นราคาเครื่องเล่นอีก 20-50 เหรียญ เพราะไม่มีคู่แข่งแล้ว (โย้) จากคุณ : .eAT - [ 14 มิ.ย. 51 22:27:10 ]

ความคิดเห็นที่ 54 #50 : eAT #33-34 เค้าพูดถูกแล้วครับ อย่ามัวคิดแค่ว่า VCD DVD ครับ เค้าคิดเป็นการบันทึกแบบ DATA CD = แผ่น, VCD = วิดีโอ ---> MPEG-1 DVD = แผ่น, DVD Video = วิดีโอ ---> MPEG-2 ฺBlu-ray = แผ่น, Blu-ray Video = วิดีโอ ---> MPEG-4 (AVC) ซึ่งถ้าบันทึกเป็น Data ไม่ว่าจะformatไหนก็ใส่กันได้หมดครับ แต่ถ้าความจุน้อยก็ใส่ได้น้อย เอา Blu-ray Video ไปใส่ CD ก็ใส่ได้ แต่แค่ชั่วอึดใจ ดังนั้นความชัดของภาพจริงๆแล้วอยู่ที่การเข้ารหัสของวิดีโอและขนาดภาพครับ ไม่ต้องจอเทพหรอกครับ แค่จอคอมธรรมดา17"ก็บอกความแตกต่างได้ชัดเจนสุดๆแล้วครับ ใครเป็นผู้ชมอย่างเดียวไม่เคยทำเองคงจะเข้าใจเรื่องนี้ยากนะครับ จากคุณ : meddy hao - [ 15 มิ.ย. 51 00:51:08 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ตอบคุณละอ่อนชายแดน(#47)  ภาพที่ชัดที่สุดก็ภาพตามชาติที่ตาเรามอง เห็นไงครับ   ภาพที่เราดูตามโรงภาพยนต์ ทีวี  จอคอมพิวเตอร์   พวกนี้ยัง ห่างไกลกับภาพที่เรามองเห็นตามชาติมากนะครับ  อย่างเก่งน่าจะได้แค่ 50 เปอร์เซ็นนะครับ   (laser tv  เขาบอกว่าทำได้ 80 เปอร์เซ็น )   เครื่องเสียงก็เหมือนกัน ที่บอกว่าเป็นเสียง hi-fi  จริงๆแล้วก็ทำได้แค่ใกล้ เคียง  ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นเสียงฟ้าผ่า  ลองฟังเสียงฟ้าผ่าจริงๆ แล้วไปฟัง กับเครื่องเสียง hi-fi  มันก็ยังต่างกันมากนะครับ   ทุกวันนี้มนุษย์พยายามทำอะไรหลายๆอย่างให้เหนือธรรมชาติครับ  แต่ ผมว่ายังห่างไกล  ตอนนี้แค่เข้าใกล้   อย่างยารักษาโรค รักษาโรคนี้หาย ก็เกิดโรคใหม่  รถยนต์วิ่งเร็วกว่าคนไม่รู้กี่เท่า แต่ก็พลิกคว่ำได้ง่ายๆ  เครื่อง บิน บินได้เร็วเหนือเสียงก็ยังระเบิด   นกไม่เคยระเบิดกลางอากาศนะครับ อิอิ... จากคุณ : หนุ่มชุมชน - [ 15 มิ.ย. 51 01:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ^ ^ ^ ให้ตายสิ... พึ่งรู้ว่ามี Laser Tv  ด้วย เห็นตัวอย่างแล้วน่าเล่นชะมัด พึ่ีงซื้อ LCD มาต้นปีด้วย... ขายต่อเลยดีไหมเนี่ย จากคุณ : StVaIkyrie - [ 15 มิ.ย. 51 02:25:22 ]

ความคิดเห็นที่ 57 #54 ยังคงไม่เข้าใจนะสิ ข้อมูลคือข้อมูล ฟอร์เม็ตคือฟอร์เม็ต เหมือนรูป รูปเดียวกัน เอาไปลง jgp gif bmp tiff png ข้อมุลเดียวกันก็จริง แต่โครงสร้างมันคนละอย่างกัน feature บางตัว support บางตัวไม่ support อย่าง gif สนับสนุน pixel แบบใส ทำให้ไปซ้อนกับ background โดยรูปไม่เป็นสี่เหลี่ยมได้ เช่นเดียวกับที่ DVD สามารถใส่คำบรรยายหลายภาษาได้ แต่ VCD ใส่ไม่ได้ (นอกจากฝังไว้ในภาพ) ไม่รู้เรื่องยังจะมั่วอีก จากคุณ : .eAT - [ 15 มิ.ย. 51 09:40:03 ]

ความคิดเห็นที่ 58 http://en.wikipedia.org/wiki/Vcd Video Codec: MPEG-1 Resolution: - NTSC: 352x240 - PAL/SECAM: 352x288 Aspect Ratio: - NTSC: 107:80 (0.3% difference from 4:3) - PAL/SECAM: 4:3 Framerate: - NTSC: 29.97 or 23.976 frames per second - PAL/SECAM: 25 frames per second Bitrate: 1,150 kilobits per second Rate Control: constant bitrate เอา spec มาเทียบ จะเห็นว่า VCD ไม่รองรรับภาพรายละเอียดสูง ที่บอกว่าเอา ภาพระดับ 1080p มาใส่ใน VCD แล้วมันจะเล่นได้ อึดใจเดียว จึงไม่เป็นจริง คิดง่ายๆ แค่ Bitrate มันก็ไม่ได้แล้ว แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 51 10:05:59 จากคุณ : .eAT - [ 15 มิ.ย. 51 09:58:25 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ^ ^ ท่าน meddy hao เค้าคงหมายถึงซอย file ย่อยๆ ให้มีขนาดเล็กลงมั้งครับ สมมติว่า ไฟล์ขนาด 21GB เป็นไฟล์ .mkv ก็ซอยย่อยๆเป็น 700mb .mkv ได้ประมาณ 30 แผ่น แล้วก็เอาไปใส่แผ่น CD แต่เวลาเล่น เอาไปเล่นในเครื่อง VCD ไม่ได้นะครับ ต้องเปิดด้วยคอมที่มีตัวถอดรหัส .mkv ส่วนตัวผมเคยลองเข้ารหัสไฟล์พรีเซ็นต์งานเป็น mpeg2 แล้วใส่แผ่น CD ครับ แน่นอนว่าเปิดด้วยเครื่องเล่น VCD ไม่ได้ แต่เปิดด้วยคอมได้ครับ ภาพชัดกว่า VCd มากโขอยู่ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 15 มิ.ย. 51 11:16:34 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คุณ .eAT ครับคห.บนเข้าใจถูกแล้วครับ Codec: MPEG-1 เป็นการเข้ารหัสพื้นฐานของตัวหนังบน CD ที่จะให้ความละ้เอียดต่ำและไฟล์มีขนาดเล็กจึงเหมาะสมที่จะใส่ลงไปใน CD ซึ่งมีพื้นที่จำกัดแค่ 700MB ถ้าคุํ๊ํณ .eAT ไปเลือกซื้อเครื่องเล่นในปัจจุบันก็จะเห็นว่านอกจากว่าเครื่องจะ ระบุว่าเล่นแผ่นชนิดใดได้บ้าง(CD, DVD, Bluray) ตัวเครื่องเองก็จะระบุด้วยว่ารองรับไฟล์ฟอแมตใดบ้าง (เช่น WMA, MP3, JPEG, XviD, DivX) อย่าว่าึคนอื่นมั่วเลยครับถ้าไม่รู้จริง ึ จากคุณ : DuAliN - [ 15 มิ.ย. 51 11:27:11 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ยกที่สองเริ่มได้ ^^ จากคุณ : มิ้นๆ (mint_la) - [ 15 มิ.ย. 51 12:44:17 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ใช่... DVCD น่ะ คุณ .eAT ไม่รู้จักเหรอครับ ? คุณภาพ คุณสมบัติ เหมือน DVD ทุกประการ เพียงแต่ ใช้แผ่น CD 700 MB เป็นตัวเก็บข้อมูล และจะมีความยาวของหนังน้อย ได้แค่ไม่กี่นาที เนื่องจาก ใช้การเข้ารหัสไฟล์ แบบเดียวกับ DVD-video จะเอาหลาย subtitle หรือ หลาย เสียงภาษา ก็ทำได้ ในแผ่น CD นี่แหละ อย่าคิดว่าคนอื่นจะรู้น้อยกว่าเราไปซะหมด แล้วไปว่าเค้ามั่ว ถ้าคุณเอง ยังรู้ไม่ลึก หรือ กว้างจริงสิครับ คุณ .eAT จากคุณ : ใครมั่วแน่ ? - [ 15 มิ.ย. 51 12:46:30 A:124.121.205.127 X: TicketID:119689 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ปล. ใน คห. 62 น่ะ ผมเจาะจงจาก #57 นะ จะเอา เมนูเลือกฉาก แบบเคลื่อนไหว ความละเอียดสูงแบบ DVD ก็ได้ จะเอา ภาษาบรรยายหลายภาษาก็ได้ จะเอา เสียงพากย์ หลายภาษาก็ได้ จะเอา มุมกล้องหลายมุมก็ได้ DVD-Video ทำอะไรได้ DVCD ก็ทำได้เหมือนกันหมด เพียงแต่เก็บได้น้อยกว่าการใช้แผ่น DVD เท่านั้น เพราะแผ่น DVD และ CD มันเป็นเพียงสื่อเก็บข้อมูล ตัวข้อมูลที่ใช้จริงๆน่ะ มันอยู่ที่การเข้ารหัส การ process ถ้ามีเครื่องเล่นหนังที่รองรับการอ่านไฟล์หนังจากช่อง USB ... จะเอาไฟล์ DVD หนังเรื่อง The Matrix ไปเก็บใน Thumbdrive ขนาด 16GB ก็ดูได้... ใช่ไม๊ครับ ? จากคุณ : คราวหลัง...จะว่าคนอื่นก็ดูดีๆ - [ 15 มิ.ย. 51 12:53:56 A:124.121.205.127 X: TicketID:119689 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อ๊ะ พึ่งเห็นว่าขึ้นกระทูแนะนำแล้ว เชื่อมั้ยครับ ว่ากระทู้นี้ผมชอบที่สุดในรอบปีเลย เพราะแม้จะเถียงกันรุนแรงไปบ้าง แต่ก็เถียงกันอย่างนักวิทยาศาสตร์ ใช้เหตุ ใช้ผล ถ้าจะให้ดีก็ปรับปรุง ภาษา คำพูดที่ใช้ จะดีมากเลยครับ แล้วก็ยังไม่เห็นมีคนลากกันออกทะเลเลยครับ เยี่ยมครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 15 มิ.ย. 51 13:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ตกลงว่า ยังแยกระหว่าง media กะ format ไม่ออกอีก VCD มีความเร็วเท่าไหร่ครับ แล้วตัวแผ่น CD มีความเร็วเท่าไหร่ แล้วที่ยกมา DVCD ไม่รู้จัก แต่มันคนละ format กะ VCD แต่ใช้ media แบบเดียวกัน สรุปว่า ยังแยกไม่ออกระหว่าง media กะ format อยู่นั่นเอง เอาง่ายๆ นะครับ VCD สามารถลงแผ่น CD CDR ได้ DVD สามารถลงแผ่น DVD DVD-R DVD+R ได้ CD CDR มันเป็นแผ่นคนละชนิด แต่สามารถลง format VCD เดียวกันได้ จากคุณ : .eAT - [ 15 มิ.ย. 51 14:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ความรู้ท้งนั้นเลยค่ะ จากคุณ : m-o-o-k-i - [ 15 มิ.ย. 51 14:08:03 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ด้วยความเึุคารพครับคุณ .eAT ขอคำอธิบายหน่อยครับว่าทำไม format VCD(MPEG-1) จึงไม่สามารถลงบน DVD ได้ และทำไม format DVD-video(MPEG-2) จึงไม่สามาีัรถนำไปลงบน CD ได้ จากคุณ : DuAliN - [ 15 มิ.ย. 51 14:56:50 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ^ ^ ^ ทำได้ครับ ผมทำมาแล้ว ผมพิสูจน์แล้ว ด้วยตัวผมเอง 555 ก็มันเป็นดาต้าครับ ท่านจะเอาไปใส่ media แบบไหนก็ได้ครับ เพียงแต่เวลาอ่าน ท่านก็ต้องใช้ตัวอ่านที่ decode ไฟล์ประเภทนั้นได้ครับ ด้วยความเึุคารพครับ ผมก็ไม่เข้าใจประเด็นคุณ .eAT เหมือนกันครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 15 มิ.ย. 51 15:04:23 ]

ความคิดเห็นที่ 69 cd สามารถเล่นที่ bitrate สูง ๆ ได้ครับ ถ้าเล่นกับพวก cd-rom บนคอมพิวเตอร์ ที่ bitrate ทำได้ตั้งหลายสิบเท่าของความเร็วปกติ ก็ที่เขาเขียนไว้ว่า กี่ X นั่นแหละ. แต่ถ้าจำกัดมันเหลือแค่ VCD อย่างที่คุณ eat พยายามบอกละก็ เครื่อง VCD player ส่วนใหญ่มันเล่นได้แค่ X เดียว 150k/s เท่านั้น จะว่าคุณ eat ถูกก็เฉพาะ VCD เท่านั้น แต่ไม่ได้ถูกในแง่ของมาตรฐาน CD ซึ่งมันกว้างกว่า VCD เยอะ ใครที่พยายามกดให้ CD มีบิทเรทแค่ 1X และเล่นได้ mpeg1 เท่านั้นก็เหมือนทำตัวเป็นกบอยู่แต่ในกะลา. สำหรับ VCD ก็ใช่ว่าจะเล่นได้แต่ mpeg1 เท่านั้น mpeg2 ก็เล่นบนเครื่องเล่น video CD ส่วนใหญ่ได้ ศัพท์ทางการค้าเค้าเรียก super VCD ได้ความละเอียดของภาพสูงขึ้นมา แต่ระยะเวลาในการเล่นจะน้อยลงไปเพราะไฟล์มันใหญ่กว่า หรือแม้แต่เอา CD ปลอมตัวเป็น DVD อย่างที่เขาเรียกว่า mini DVD ก็ได้เช่นกัน แต่จะโดนจำกัดที่ความจุ และไม่สามารถเล่นบนเครื่องเล่น DVD player ได้ราบรื่นเท่านั้น แต่เล่นบนคอมพิวเตอร์ได้สบายบรื๋อ จริง ๆ เครื่องเล่น VCD จะทำให้ bitrate สูง ๆ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เค้าไม่ทำเพราะเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเล่นหนังได้แค่ช่วงสั้น ๆ แต่ถ้าตลาดมีความต้องการ CD หนังสั้น  เยอะมาก ๆ ละก็ ผู้ผลิตสามารถผลักดันสินค้าออกมาได้ทันทีครับ เพราะเทคโนโลยีรองรับอยู่แล้ว เหมือนกรณี div-X น่ะครับ ทันทีที่รู้สึกว่ามีตลาดรองรับ ผู้ผลิตก็พร้อมใส่เทคโนโลยีตัวนี้ไปเพื่อทำให้แผ่น CD ธรรมดา เล่นหนังที่มีความละเอียดสูงพอ ๆ กับ mpeg2 บน แผ่น DVD แทบจะในทันที. เช่นกัน DVD ปกติก็ใช่จะเล่น Hi defination ไม่ได้ มีคนสร้างเครื่องเล่นที่สามารถทำให้แผ่น DVD ธรรมดา เล่นกับไฟล์ HD ที่บีบอัดสูง ๆ ได้เช่นกัน แต่คุณภาพมันก็สู้ HD บน Blu-ray หรือแม้แต่ HD-DVD ยังไม่ได้. ก็อย่างที่คนกล่าวไว้แต่ต้นครับ เรื่องของระบบการ encode ข้อมูลก็เรื่องนึง ส่วนเรื่องของโครงสร้างในการบันทึกก็อีกเรื่องนึง ซึ่งไม่เกี่ยวกัน แต่ระบบที่สามารถบันทึกได้ความจุสูง และสามารถทำ bitrate ได้สูง จะสามารถเลือกใช้การ encode ข้อมูลที่บีบอัดน้อยได้มากกว่าเท่านั้นเอง. แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 51 16:45:37 แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 51 16:40:16 จากคุณ : LittleTiger - [ 15 มิ.ย. 51 16:38:15 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ผมเข้าใจประเด็นคุณ.eatน่ะ คือ ถ้าเอามาเป็นstorage มันก็เก็บได้เหมือนกันหมดแหละ ตั้งแต่ Digital ่cassete,floppy,thumb dive แต่ปัญหา ในการเล่น เพราะ ต่างกันหลายๆอย่าง อย่างงเช่น output ของ audio นั้นvcdสามารถเก็บได้แค่dual channel ยังไงผมก็ไม่เชื่อว่า จะเอาต้นฉบับdvdมาลงdvcdแล้วplayแบบliveได้ จะให้ซอยย่อยแค่ไหน แค่วินาทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะbit rateมันไม่ได้ จากคุณ : Roninkung - [ 15 มิ.ย. 51 17:05:06 ]

ความคิดเห็นที่ 71 blueray กับ DVD นี่ ต้องอาศัยตาเทพเลยเหรอ? แค่ตาถั่วๆ ของผมก็เห็นแล้ว เอาแค่ hidef พวก mkv ก็ชัดกว่า dvd มากมาย เวลาต่อกับ LCD TV จากคุณ : ThinkSlow - [ 15 มิ.ย. 51 17:09:06 A:58.9.132.190 X: TicketID:161089 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ที่ผมถามไป คห.67 เพราะผมแน่ใจว่ามันทำได้ครับและผมก็อยากดูด้วยว่าคุณ .eAT จะตอบว่าอย่างไร ปกติผมไม่ค่อยตอบกระทู้แต่ผมเกิดมาสะดุดที่คุณ .eAT ว่าคนอื่นมั่วนั่นหล่ะครับ เลยมาขอแจมสักหน่อย จากคุณ : DuAliN - [ 15 มิ.ย. 51 17:40:03 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เอาพักยก กินน้ำกินท่า ยกต่อไปห้ามรุม . . . เป๊ง ... ยกที่สามเริ่มได้ จากคุณ : มิ้นๆ (mint_la) - [ 15 มิ.ย. 51 18:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ศัพท์เทคนิคเยอะจัง bit rate คือความเร็วในการส่งข้อมูลระหว่างแผ่นกับเครื่องเล่นใช่ไหมคะ แล้วพวกโปรแกรมที่ แปลงไฟล์ DVD2VCD หรือพวก VCD2DVD ทำงานยังไง คุณภาพเท่าเดิมไหม จากคุณ : มิ้นๆ (mint_la) - [ 15 มิ.ย. 51 18:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 75 bit rate : In telecommunications and computing, bitrate (sometimes written bit rate, data rate or as a variable R or fb) is the number of bits that are conveyed or processed per unit of time. http://en.wikipedia.org/wiki/Bit_rate แปลตรงๆคือ จำนวณข้อมูลที่ใช้ (จะคำนวณ หรือส่งต่อ แล้วแต่กรณี ใน 1 หน่วยเวลา) มีหน่วยเป็น บิตต่อวินาที (8 บิต เป็น 1 ไบท์ นะครับ) ทีนี้ในที่นี้ บิตเรทมาก ก็แปลว่า ข้อมูลมาก ก็พอจะเดาได้ว่า ภาพ/เสียงมีรายละเอียด พริ้วไหว มาก นั่นเองครับ (ไม่เสมอไป DVD superbit บางที biterate สูงปรี๊ด แต่ภาพห่วยก็มี ขึ้นอยู่กับต้นฉบับ และการเข้ารหัส) แต่บิตเรทมากไป ก็ไม่ใช่จะดีครับ ไม่งั้นเค้าก็ตั้งเป็น GB/sec ไปแล้ว เพราะมันกินทรัพยากรณ์ที่ใช้ถอดรหัสมากหลายอยู่ เช่น .mkv เครื่องคอมบางท่านเล่นไม่ได้ บางท่านเล่นได้แต่ cpu แทบจะวิ่ง 100% ตลอดก็มี แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 51 19:22:40 แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 51 19:13:54 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 15 มิ.ย. 51 19:12:58 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอตอบคุณ มิ้นๆ (mint_la) ให้นะครับ bit rate หมายถึงอัตราการส่งถ่ายข้อมูลระหว่างสื่อกับอุปกรณ์ ซึ่งในเรื่องนี้ก็คือความเร็วของการส่งข้อมูล ระหว่างแผ่นบันทึกกับเครื่องถอดรหัสนะครับ ซึ่งเจ้าความเร็วที่มีขึ้นนี้ สื่อบันทึกแต่ละชนิดจะมีความเร็วไม่เท่ากันหรอกนะครับ เช่น Compact Disc 150 Kilobit/sec DVD 10.5 Megabit/Sec Blu-Ray 36 Megabit/Sec ปล.(หน่วยในการโอนถ่ายจะไม่ใช่ ฺัByte นะครับ จะเป็น bit เสมอ) จะเห็นได้ว่าสื่อแต่ละชนิดจะมีความเร็วรับส่งข้อมูลไม่เท่ากัน แล้วความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสำคัญอย่างไร? ความเร็วโอนถ่ายแสดงถึงความสามารถในการส่งข้อมูลเพื่อให้หน่วยประมวลผลสามารถประมวลผลได้เร็วเท่าไรนั่นเองครับ ซึ่งความเร็วที่ข้างบนเมื่อกี้ เป็นความเร็วตามมาตรฐานของของสื่อนั้นๆเองครับ เราต้องทำความเข้าใจว่าการทำสินค้าขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง หากไม่มาตรฐานกลางเกิดขึ้นแล้ว ผู้บริโภคย่อมต้องเดือดร้อนต้องหาเครื่องเล่นที่เหมาะสมสำหรับในการเล่นอย่างมาก จึงมีการรวมกลุ่มเพื่อสร้างมาตรฐานที่เครื่องทุกเครื่องสามารถที่จะใช้งานร่วมกันได้นั่นเอง จึงเป็นสาเหตุให้สื่อแต่ละชนิดไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้นั่นเอง เพราะมีมาตรฐานมากำหนดไว้แล้ว จากคุณ : GIN - [ 15 มิ.ย. 51 19:15:44 A:125.26.188.34 X: ]

ความคิดเห็นที่ 77 ทีนี้ พวกโปรแกรมคอนเวอร์เตอร์ต่างๆ ที่แปลง DVD2VCD หรือ VCD2DVD ก็คือการถอดรหัสไฟล์ต้นฉบับ แล้วก็มาเข้ารหัสไฟล์อีกที ให้เป็นไฟล์รูปแบบที่เราต้องการ ถ้าแปลงจาก DVD เป็น VCD เราตั้งได้ครับ ว่าเราอยากได้ความละเอียดขนาดไหน (แต่ก็ไม่เกินความละเอียดไฟล์ต้นฉบับครับ) ให้มี sub หรือเสียงใดก็ได้ (เลือกตัดเอาจากไฟล์ต้นฉบับมาครับ) แต่ละเอียดมาก ไฟล์ก็ใหญ่ตามไปครับ แต่ถ้า VCD เป็น DVD ถึงจะปรับความละเอียดเท่าไหร่ ก็ชัดสุดแค่ VCD ครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 15 มิ.ย. 51 19:18:50 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ไหนๆก็เขียนแล้วขอยาวเลยละกัน กลับมาเรื่องที่มีปัญหาจากข้างบนกัน มาตรฐานที่กำหนดขึ้นมาเหล่านี้เป็นมาตรฐานทางอุตสาหกรรมเพื่อผู้บริโภค และถูกกำหนดตั้งแต่เครื่องแรกที่สื่อบันทึกถูกผลิตครั้งแรก ทำให้ความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลของอุปกรณ์เครื่องเล่นทั้งหลาย เช่น เครื่องเล่น DVD มีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลเพียงแค่ระดับพื้นฐานสุดๆ หรือ 1x เท่านั้นเอง ปัญหาจึงไม่ได้ขึ้นกับมาตรฐานของเอกสาร แต่เป็นเรื่องของความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลที่สื่อแต่ละชนิดมีความเร็วที่แตกต่างกันมากแทน แต่หลายคนมักจะสับสนว่าเอาหนัง DVD มายัดลงใน CD แล้วดูได้ ตรงนี้ผมบอกได้เลยว่า มันทำได้เฉพาะในเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น เพราะในคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ประเภทหมุนขับสื่อ (CD-Rom DVD-Rom) สามารถเร่งหรือลดความเร็วได้นั่นเอง ทำให้สามารถเล่นไฟล์ที่มีบิทเรตสูงๆไปเล่นในสื่อที่มีความเร็วต่ำๆได้นั่นเอง นอกจากนี้การทำแผ่นทำเองประเภท VCD to DVD (การแปลงหนัง VCD เป็น DVD)นั้น ไมใช่การยัดไฟล์เอกสารดิบๆลงไปดื้อๆเช่นกันนะครับ จะต้องมีการดัดแปลงไฟล์ให้เป็นไปตามมาตรฐานของ DVD ก่อนจึงจะสามารถเล่นในเครื่อง DVD Player หรือเครื่องเล่นที่ใช้กับทีวีทั้งหลายได้ จากคุณ : GIN - [ 15 มิ.ย. 51 19:29:05 A:125.26.188.34 X: ]

ความคิดเห็นที่ 79 อ๊ะโพสต์แข่งกับคุณมนุษย์ถ้ำซะงั้น เรื่องสุดท้าย แผ่น CD เขียนเป็น DVD และ DVD เป็น CD ได้หรือไม่? เรื่องนี้อาจจะมีคนที่รู้น้อยมากๆนะครับ แต่ความจริงคือ ทั้งสองมาตรฐานสามารถเขียนเขียนแทนกันได้ครับ! หลายคนเคยสงสัยมั้ยว่า สื่อเหล่านี้รู้ได้อย่างไรว่าแผ่นที่ใส่เข้าไปรู้ได้ยังไงว่าแผ่นที่ใส่เข้าไปเป็นแผ่นอะไร คำตอบอยู่ที่ ส่วนที่เก็บข้อมูลแรกสุดของแผ่นนั่นเองครับ ซึ่งเครื่องเล่นก่อนจะรู้จักข้อมูลในแผ่นจะต้องหาส่วนนี้ในเจอครับ ซึ่งในส่วนนี้จะบรรจุข้อมูลที่เรียกกันว่า " BOOK-Type " เพื่อให้รู้ว่าแผ่นถูกเขียนมาด้วยมาตรฐานใดมานั่นเอง ซึ่งเราสามารถ "หลอก" ให้เครื่องอ่านแผ่น DVDเป็นCD หรือกลับกันได้โดยเปลี่ยน บุ้คไทป์นี่แหละครับ แต่แน่นอนว่ามันจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีเท่ากับสื่อของมาตรฐานของมัน อันเนื่องมาจากวัสดุเองนั่นแหละครับ แถมเรื่องสุดท้าย ในปัจจุบันเราจะเริ่มเห็นอุปกรณ์ที่สามารถอ่านไฟล์ที่ทั้ง 'มาตรฐาน' และ 'ไม่เป็นมาตรฐาน' ออกวางจำหน่ายให้ใช้งานมากขึ้น ซึ่งเจ้าเครื่องเล่นประเภทนี้ ก็คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กดีๆนั่นเองครับ เพราะมันมีทั้ง CPU Ram ไดรฟ์ขับแบบปรับความเร็วได้ด้วยเลย เผลอๆมีฮาร์ดดิกส์ด้วย แต่ผมไม่ได้หมายถึง พวก PC Media Center หรอกนะครับ ^ ^ จากคุณ : GIN - [ 15 มิ.ย. 51 19:43:46 A:125.26.188.34 X: ]

ความคิดเห็นที่ 80 ^ ^ ^ ดีครับ คำถามเดียวกัน ตอบหลายๆคน หลายๆมุม จะได้ข้อมูลครบๆ ยินดีต้อนรับเพื่อนคอเดียวกันครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 15 มิ.ย. 51 20:31:06 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 15 มิ.ย. 51 20:44:49 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ได้คำตอบชัดเจนแล้วขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : มิ้นๆ (mint_la) - [ 15 มิ.ย. 51 21:44:24 ]

ความคิดเห็นที่ 83 โอ ... ความรู้ท่วมท้น .... จากคุณ : ตัวตลกจมูกแดง - [ 15 มิ.ย. 51 22:47:52 ]

ความคิดเห็นที่ 84 รู้แต่ว่า เมื่อวานค่ำๆ เห็นแผ่นหนังบลูเรย์วางขายที่ห้างดังแถว อสมท.แล้วล่ะ ส่วนไดร้ฟ์ที่สำหรับต่อกับคอมฯ ก็มีวางขายแล้วเช่นกัน (แต่จะต่อกะคอมเราได้ไม๊นี่ ไม่รู้แฮะ?) ว่าแล้วก็กลับมาอ่านวิชาการต่อ เผื่อรอเล่นของจริงเร็วๆ นี้ ..อิอิ จากคุณ : Piggie MM - [ 16 มิ.ย. 51 00:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ไหนก็ไหน แล้ว ก็ถามต่อแล้วกันนะครับ สำหรับ   vcd2dvd  นั้น  บางโปรแกรมที่ใช้แปลง แล้วเร็ว ๆ นั้น  คือ มันไปเปลี่ยน แค่  header ของไฟล์  mpeg-1  ให้เป็น  mpeg-2  รึเปล่า ครับ คือพวกละครที่มักจะเอาแผ่น  vcd  มารวมใน dvd เนี่ย  คือผมเคยเจอแบบ มันมี  chapter  ให้เลือก  แต่พอเลือกไป  บางที ภาพค้าง  เสียงไม่มา   ต้องเริ่มเล่น  ต้ังแต่แรก   คือมันเกิดจากการเข้ารหัสที่ไม่ใช่  mpeg-2 รึเปล่า   ผมไปเห็นคำนี้   GOP   มันคืออะไร แล้วเกี่ยวข้องกับ  ปัญหาที่ผมถามไปรึเปล่าครับ   คำถามอาจจะไม่เคลียร์ เท่าไหร่  แหะ ๆ ไม่รู้จะเริ่มยังไง แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 51 02:04:35 จากคุณ : BiteTheDust - [ 16 มิ.ย. 51 02:01:03 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ตอบคำถามของคุณ BiteTheDust การแปลง vcd2dvd จะเปลี่ยนด้วยกันทั้งหมด 3 ส่วนครับ 1.เปลี่ยน Container หรือรูปแบบการบรรทุกไฟล์ จาก .DAT เป็น .VOB 2.เปลี่ยน ความถี่เสียงจาก 44Khz เป็น 48Khz ตามมาตรฐาน MPEG2 3.เปลี่ยน โครงสร้างของแผ่นไปเป็น DVD Booktype จะเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนภาพของต้นฉบับเลย ทำให้ไม่ต้องใช้เวลาในการทำที่นานมากเลย ถ้าถามว่าทำไมไม่Encode ใหม่ไปเลย ก็พอตอบได้ว่า MPEG1 และ 2 นั้น คือการเข้ารหัสแบบเดียวกันนั่นแหละครับ แต่อัตราบีบอัดนั้นไม่เท่ากันก็เท่านั่นเอง จึงไม่จำเป็นต้องแปลงใ้ห้เสียเวลาเพราะถ้าเครื่องอ่าน MPEG2ได้ ก็ต้องอ่าน MPEG1 ได้ด้วยแน่นอน GOP ย่อมาจาก Group of pictures ครับ เป็นการเรียกอัลกอริทึมในการบีบอัดของเทคโนโลยี MPEG2 (ในMPEG1ไม่มี) ซึ่งจะใช้งานในการเข้ารหัสแบ VBR หรือการเข้ารหัสแบบบิทเรตไม่คงที่ GOPจะทำการวิเคราะห์ว่าแต่ละจุดของภาพมีลักษณะการปรากฎเป็นแบบไหน เพื่อที่จะเลือกอัลกอริทึมในการบีบอัดให้เหมาะสม ถ้านึกไม่ออกก็คล้ายๆกับการทำการ์ตูนบนแผ่นเซลูลอยด์นั่นแหละครับ GOP จะเลือกบริเวณภาพที่ขยับน้อยสุดไปไว้ด้านล่าง แล้วค่อยๆเอาภาพที่ขขยับมากขึ้น ลายละเอียดมากขึ้นมาไว้ข้างบนจนหมด เอาเป็นว่าเรื่อง GOPนี่ ตั้งเป็นกระทู้ใหม่ได้เลยหล่ะครับถ้าจะคุยจริงๆ - - จากคุณ : GIN - [ 16 มิ.ย. 51 09:23:53 A:125.26.190.17 X: ]

ความคิดเห็นที่ 87 GOP หรือ group of pictures เป็นมาตรฐานทั่วไปของ mpeg videoทั้งหมด ครับ หลักการคร่าว ๆ ของมันก็คือ รวมภาพหลายภาพเป็นกลุ่มเดียวกันแล้วค่อยบีบอัด ซึ่งจะทำให้ลดขนาดของไฟล์ได้เยอะมาก รายละเอียดอ่านได้ในนี้ http://en.wikipedia.org/wiki/Group_of_pictures ซึ่งการคอมเพรสแบบ GOP นี้ใน mpeg2 สามารถเลือกได้ทั้งแบบ VBR และ CBR ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า CBR นั้นไม่มี GOP ครับ เพียงแต่ CBR นั้นจะมีความสม่ำเสมอของขนาดไฟล์ทุก GOP เท่ากันหมด ไม่ว่าภาพนั้นจะมีความละเอียดมากหรือน้อย เคลื่อนไหวมากรึเปล่า แต่ VBR มันสามารถปรับได้ถ้า GOP ช่วงไหน ภาพละเอียดน้อย ก็คอมเพรสให้มันเล็กหน่อย GOP ช่วงไหนภาพละเอียดมาก มีความเคลื่อนไหวมาก ก็คอมเพรสน้อยเพื่อลงรายละเอียดไว้ คือมีความฉลาดในการคอมเพรสแต่ละช่วง GOP มากกว่าเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ได้แปลว่า Mpeg1 หรือ การคอมเพรสแบบ CBR นั้นไม่มี GOP. จากคุณ : LittleTiger - [ 16 มิ.ย. 51 10:37:28 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ถ้าจะว่าด้วยเรื่อง GOP เดี๋ยวมันจะลากยาวไปเหมือนคุณ GIN ว่าแหละครับ ไหนจะต้องเกริ่นถึงมาตรฐาน PAL NTSC อีก วันไหนว่างๆเดี๋ยวผมจะมาลงเต็มๆให้ครับ ดีใจจริงๆ คนคอเดียวกะผมเยอะแยะเลยครับ แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 51 10:59:35 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 16 มิ.ย. 51 10:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณครับคุณมนุษย์ถ้ำ จากคุณ : ChocolateMousse - [ 16 มิ.ย. 51 15:25:23 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ชื่อเต็มๆ คือมนุษย์ถ้ำ(มองรึเปล่า) แซวเล่นค่ะ อิอิ จากคุณ : มิ้นๆ (mint_la) - [ 16 มิ.ย. 51 16:30:34 ]

ความคิดเห็นที่ 91 โอ๊ะ!! กลับมาเช็คอีกรอบ กลายเป็นว่ามีเหตุชุนลมุนกันนิดหน่อยสินะครับ - -. การที่คุณ eAT ไม่รู้น่ะไม่ผิดหรอกนะครับ แต่ที่ว่าคนอื่นมั่วนั้นแหละครับที่ไม่เหมาะสม ตัวผมรวมทั้งท่านอื่นๆในนี้นั้นต่างก็มีประสบการณ์รวมถึงความรู้ในด้านทฤษฏีการสร้างภาพขึ้นมาในระดับแต่ละ pixel ๆ เลยนะครับ ดังนั้นเรื่องที่คุณ eAT กำลังพยายามจะอธิบายน่ะ มันไม่จำเป็นหรอกนะครับ เพราะมันแค่เรื่องพื้นฐานมากๆๆๆ จึงทำให้การที่คุณออกมาว่าคนอื่นไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น เหมือนเป็นการทำร้ายตัวเองซะมากกว่านะครับ ผมจึงขอชี้แจงให้เข้าใจตรงกันจะได้ไม่ติดใจอะไรกันอีกนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันอธิบายแก้ให้นะครับ ผมเองไม่ค่อยได้ว่างโพสเท่าไหร่อ่ะครับ จากคุณ : meddy hao - [ 16 มิ.ย. 51 20:06:27 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ถึงคุณ.eAT 1.ผม copy ไฟล์ขนาด 500 GB ลง Harddisk ผมที่มีขนาด300 GB ไม่ได้อ่ะครับ ทำไงดี? ถ้าแบ่งไฟล์ เป็น2 Harddisk จะได้มั้ยครับ หรือต้องใช้WinRAR ในการบีบ ลงในHarddisk ของผม อันเดียว 2.ผมมีหนังแผ่น VCD และ DVD ถ้าจะไรท์ลง Harddisk(media storage ขนาด300 GB) จะลงได้ทั้ง2แบบเลยมั้ยครับ หรือลงได้แค่ VCD อย่างเดียว(เผอิญ Harddisk 300GB ของผมซื้อมาก่อนที่โลกจะรู้จักDVD อีกครับ) 3.ผมconvert หนังจากวิดิโอเทป(Raw Fileขนานแท้) ลงคอมพ์และConvertต่อ ให้ "ความละเอียด" มันเข้าได้กับมือถือ คือขนาด 240*320 และBitRate ต่ำ  เพราะจะใส่Transflash card 700MB พอ ถ้าผมมี Transflash 4.7GB ผมสามารถConvertให้ความละเอียดหนังมันชัดกว่านี้ได้มั้ยครับ เพื่อจะลง 4.7GB ได้ ตอบด้วยนะครับ คุณ.eAT ขอบคุณครับ ป.ล. เพื่อผมมันลอกรายงานคนอื่นมา โดยลอกเป็นภาษาเกาหลี(แนว) อาจารย์อ่านไม่ออก เลยโดนด่าเช็ดเลย แต่อาจารย์ภาษาต่างประเทศกลับอ่านออก ทั้งๆเป็นรายงานเนื้อหาเดียวแท้ๆ ผมงงเลย....อันนี้อย่าใส่ใจครับ เขียนเล่นๆ แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 51 21:13:11 จากคุณ : mohicann - [ 16 มิ.ย. 51 21:11:43 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอแย้งคนที่แยก DVD กับ BD+ ว่าต้องใช้จอ 40นิ้วถึงจะแยกได้ ผมแย้งว่าไม่จริงนะครับ ถ้าจอมีความละเอียดรองรับสูงพอ Full HD เปิด DVD upscale เทียบกับ BD รับรองว่าเห็นชัดต่างกัน(แสดงผลที่ 1080p นะ)ครับ คนที่บอกแยกไม่ได้ สงสัยว่าจะใช้จอที่แสดงผลได้แค่ 720p แล้วมาเปิด BD+ 1080p แบบนั้นก็คงแยกยากล่ะครับ เพราะมัน resize ภาพให้เล็กลงนี่นา ลองไปโชว์รูมทีวี ดูจอ 32" ระหว่าง HD ready(720p) กับ full HD(1080p) เทียบกันได้เลยครับ ถ้างบน้อยแนะนำซื้อจอ LCD monitor 24" ครับnative resolution 1920*1200 ดูfull HDสบายๆ ในราคาหมื่นต้นๆ ส่วนเรื่อง format และ media ก็ไม่เถียงแล้วกันหลายท่านพูดไปหมดแล้ว คุณจะsplit MKV file ที่ำencode ด้วย X264 เป็นแผ่น floppy disk 3.25" ก็ได้นะ ถ้าบ้าพลังพอ(10GB/1.44MB =?) แต่ึึคุณไม่สามารถใช้เครื่องเล่้น VCD เปิดแผ่น CD ที่บรรจุ VOB file ที่เขียนด้วยมาตรฐาน MPEG-2(DVD) มาได้หรอกนะ เปิดในคอมจะใช้ format ผิดมาตรฐานยังไงก็ได้ แต่สำหรับเครื่องเล่นแล้วอ่านไม่ได้ครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 16 มิ.ย. 51 23:23:18 ]

ความคิดเห็นที่ 94 คคห. 93 CD ที่ใส่พวก vob ลงไปอ่านได้บน DVD player ครับลองมาแล้ว แต่ Bandwidth มันไม่พอเล่นแล้วมันกระตุก. แต่อย่าจำกัดตัวเองอยู่กับเครื่องเล่นทั่วไปที่คุณรู้จักครับ มันสามารถสร้างลูกเล่นใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ทุกวัน การเพิ่ม bandwidth ของ CD หรือ DVD player ไม่ใช่เรื่องยากของผู้ผลิตถ้าพบว่าตลาดทางด้านนี้มันใหญ่พอ (หรือไม่ก็อาจมีคนผลิตมาแล้วก็ได้) ยกตัวอย่างก็ DivX น่ะครับ แต่ก่อนก็เล่นแต่บนคอมพิวเตอร์แต่พอผู้ผลิตพบว่ามีคนเล่นไฟล์ DivX เยอะ ก็เพิ่มการ decode เข้าไปจนเดี๋ยวนี้กลายเป็นมาตรฐานที่ต้องมีของ DVD player ไปแล้ว. จากคุณ : LittleTiger - [ 16 มิ.ย. 51 23:52:11 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ไปกันใหญ่แล้วโดยเฉพาะข้างบนนี่ Blu-ray format เค้ากำหนด media ไว้ให้เป็น Blu-ray disc (BD), BD-R, BD-RE ถ้าคุณไป rip หรือไป extract ข้อมูลออกมา มันก็ไม่ใช่ Blu-ray format แล้ว (ถึงแม้ว่าคุณจะใช้ encoding ตัวเดียวกันก็เถอะ ว่าแต่ตัวไหนล่ะเพราะ Blu-ray สนับสนุน video encoding ถึง 3 แบบ MPEG-2, H.264, VC-1) กรุณาอย่าสับสน encoding กับ format คำว่า format มันกว้างกว่านั้นมาก รวมหมดทั้ง media type, feature, menu, soundtrack, subtitle, encoding, security (encryption) etc. จากคุณ : Pod... - [ 16 มิ.ย. 51 23:55:14 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณคร้าบ ... ข้อมูลหัวระเบิด จากคุณ : metrologo - [ 17 มิ.ย. 51 01:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 97 อื่ม อันที่จริงประเด็นตอนแรกมันเป็นว่า "ชัดกว่าเพราะอะไร" นิ - -. อย่ามัวแต่โต้แย้งเรื่องคำว่า "Blu-ray" "DVD" กันเลยครับ เพราะคนนึงก็จะเอาที่ว่าเป็น "ตัวแผ่น" อีกคนจะเอาที่ว่าเป็น "มาตรฐานวิดีโอ" (ขนาดVCDยังเอามามั่วกับCDกันซะได้) ก็เลยดูคล้ายกับพูดกันไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ก็ต่างเข้าใจ แต่พูดกันคนละเรื่องเดียวกัน นี่แหละครับ ที่ทำให้ไม่เข้าใจกัน ผมจะพูดเกี่ยวกับตัวเนื้อวิดีโอเพียวๆนะครับ มันจะเอาไปเก็บไว้ไหน เปิดจากอะไรก็ไม่เกี่ยว ก็ต้องบอกว่าที่ภาพวิดีโอไฟล์หนึ่งจะชัดกว่าอีกไฟล์หนึ่ง 2ปัจจัยหลักก็เพราะการ encoding กับ resolution ผมว่าประเด็นนี้คงไม่มีใครแย้งนะครับ เรื่องคำว่า format ก็เหมือนกัน ตัววิดีโอขอให้เรียกเป็น "Blu-ray Video" "DVD Video" "Video CD (VCD)" ไปเลยดีกว่านะครับ จะได้ไม่สับสนกับเรื่องตัวแผ่น "แผ่น Blu-ray" "แผ่น DVD" "แผ่น CD" (ย้ำ ไม่ใช่แผ่น VCD เพราะเราจะพูดถึงแผ่นเปล่าๆ ไม่มีอะไรข้างในเลย) กรณี "Blu-ray Video" "DVD Video" "Video CD (VCD)" ไม่ว่าคุณจะSplit หรือเอามันเข้า หรือเอามันออกมาจาก "แผ่น Blu-ray" "แผ่น DVD" "แผ่น CD" ด้วยวิธีใดๆ ไปเก็บไว้ที่ใดๆ โดยที่ไม่มีการ encoding ภาพและเสียงใหม่ (หรือ encodeแต่ยังเป็นไปตามมาตรฐานISO) ยังไงซะมันก็คือ "Blu-ray Video" "DVD Video" "Video CD (VCD)" อยู่วันยันค่ำครับ คำว่า Rip,Split จะใช้ในกรณีมีการ Encode ภาพและเสียงใหม่หรือไม่ก็ได้ ดังนั้นการเล่นหรือDecodeก็ไม่ควรจะจำกัดแค่อยู่ในตัว "เครื่องเล่น Blu-ray/DVD/VCD" "แผ่น Blu-ray" นั่นเป็นที่รองรับที่ดีของ "Blu-ray Video" โดยที่  "Blu-ray Video" ก็อ้างอิงมาตรฐานความสามารถมาจากตัว "แผ่น Blu-ray" อีกทีหนึ่งเหมือนกัน ผมพอแค่นี้ละนะครับ ใครยังไม่เข้าใจ(หรือพยายามไม่เข้าใจ)อีก ผมก็ไม่รู้ด้วยแล้วนะ ^_^ จากคุณ : meddy hao - [ 17 มิ.ย. 51 01:35:19 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ^ ^ ^ ใช่ครับ  ถ้าตัดเรื่อง  การเอาออกจากอันนึง  ไปใส่อีกอันนึง  ออกไป ก็จบแล้วครับ  กลายเป็น พูดกันคนละเรื่องเดียวกัน  ซะงั้น คิดซะว่า  เมื่อมี แผ่น Blu-ray คู่ของมันก็คือ Blu-ray Video                     แผ่น DVD     คู่ของมันก็คือ DVD Video                     แผ่น CD       คู่ของมันก็คือ  Video CD  ก็แล้วกัน ปล. สำหรับผม  vcd2dvd  มันก็คือ  DVD  Video คุณภาพต่ำ ที่มี bitrate น้อยกว่า DVD Video ทั่วไป   ซึ่งผมอัดละครหลังข่าวจากทีวีมาทำเป็น  DVD  (แบบนี้ไม่รู้เรียกว่า vcd2dvd รึเปล่า  ^.^'' ) ใช้ความละเอียด  352x288  (PAL) Video bitrate = 1920 Kbps Audio bitrate =192  Kbps     แผ่นนึงก็ได้  3  ตอน  คุณภาพก็ดีกว่า VCD  หน่อย (ยังแอบสงสัยว่า  1920 Kbps  มากไปรึเปล่า ที่ความละเอียด  352x288 แต่ผมอยากให้แผ่นนึงได้  3 ตอนพอดี เลยเพิ่มให้มันเต็ม ๆ ไป) แล้วก็ขอบคุณ คุณ GIN , คุณ LittleTiger , คุณ มนุษย์ถ้ำ ด้วยครับ ที่ตอบเรื่อง  GOP จากคุณ : BiteTheDust - [ 17 มิ.ย. 51 02:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เรื่อง ความชัด  สำหรับผมแล้ว  แค่ไฟล์ ที่  rip  จากบลูเรย์ ผมว่าก็ คนละเรื่อง กับ dvd แล้วครับ  คือผมดูเอาจากจอ  notebook ผม นะครับ  พวก TV  Full HD  นี่ไม่เคยลองครับ อย่างภาพข้างล่างเป็นหนังเรื่อง  Pirate 3  ทีผมมีอยู่ ซึ่ง rip มาจาก บลูเรย์  แบบ 1280x720 ดูพวกนี้แล้ว แทบจะไม่อยากกลับไปดูแบบ dvd เลย  กลายเป็นพวกตาทองซะงั้น  ^.^''   ปล. ข้างล่างเป็นแค่ไฟล์ ที่  rip  จาก blu-ray  นะครับ จากคุณ : BiteTheDust - [ 17 มิ.ย. 51 04:04:43 ]

ความคิดเห็นที่ 100 #100  พอดี เอามาให้ดูกันเล่น ๆ ครับ ข้างล่างนี้เป็นภาพจาก dvd5  ครับ ย่อมาจาก แผ่นเช่าที่เป็น dvd9   คิดว่าถ้าเป็น  dvd9  คงได้ชัดกว่านี้  เพราะหนังเรื่องนี้เกือบ  3  ชั่วโมง แถมยังยัดลง  dvd5  อีก  ภาพเลย drop ลงเยอะ จากคุณ : BiteTheDust - [ 17 มิ.ย. 51 04:23:11 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ไม่รู้มีใครพูดไปแล้วรึยัง เพราะผมไม่ได้อ่านทุกความเห็น อีกส่วนนึงที่ทำให้ Sony ชนะในศึก HD-DVD vs. Blu-ray ก็เพราะ Sony มี Content อยู่ด้วย นั่นคือ Sony Pictures ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Sony เอง ที่ทั้งผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ (ต์ หรือ ตร์ หว่า) ดังนั้น เมื่อ Sony มีบริษัทลูกอยู่ในอุตสาหกรรมบันเทิง ก็ทำให้มีเส้นสายกับบริษัทต่างๆ ทำให้การ lobby บริษัทในอุตสาหกรรมดังกล่าว เป็นไปได้โดยง่าย เมื่อไปเทียบกับ Toshiba ซึ่งเป็นแค่ผู้ผลิตสินค้าอิเลคทรอนิกอย่างเดียว  Sony ก็ชนะขาด ถือว่าศึกครั้งนี้ Sony วางหมากไว้ดี ตั้งแต่เริ่มเกมเลย จากคุณ : Iron-Spider - [ 17 มิ.ย. 51 05:17:32 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ความรู้ทั้งนั้นเลยครับ ขอบคุณๆๆ จากคุณ : ^Nobi^ - [ 17 มิ.ย. 51 10:26:35 ]

ความคิดเห็นที่ 103 #94 ผมเขียนไว้ชัดเจนแล้วนะครับ ว่าใช้แผ่น CD ที่เขียนvob MPEG-2 กับเครื่องเล่นVCD ไม่ได้ แต่ถ้าไปเล่นกับคอมมันก็เล่นได้ เพราะมันยืดหยุ่นกว่าทั้งตัว decoder และตัว drive ที่อ่านเองด้วย จากคุณ : ....4จุด - [ 17 มิ.ย. 51 10:47:11 ]

ความคิดเห็นที่ 104 แต่ถ้ามันออกมาแพร่หลายจริงๆ นะ............. ผมขอแค่ แผ่น Blu-ray ที่มีแต่ไฟล์ DVD หนัง หลายๆ เรื่อง ในแผ่นเดียวก็พอแล้วครับ ^^ ดูคุ้มค่ากว่าอีกนะผมว่า จากคุณ : หัวใจในลังกระดาษ - [ 17 มิ.ย. 51 12:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 105 เคยดู Transformer แบบ 1080p ครับ แทบจะเป็นขนของ autobot เลย.... ชัดมากๆเลยครับ แล้วเหมือนบาง คห ครับ ปัจจุบันนี้ VCD แทบไม่ได้ยุ่งแล้ว...คนละเรื่องเลยครับ VCD กับพวก BlueRay,HD DVD จากที่เคยชัด ตอนนี้มันก็ไม่ชัดแล้ว.... เพราะว่าดันไปเจอของที่ชัดกว่า่มาก... ถ้าใครเคยเล่นเกมส์ Pokemon คงจะนึกออก เหมือนกับคุณเล่นภาค crystal แล้ว กลับมาเล่นภาค yellow ...มันทำใจไม่ได้ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง - [ 17 มิ.ย. 51 16:24:14 ]

ความคิดเห็นที่ 106 สุดท้ายแล้ว ถ้าเนื้อเรื่องหนังมันห่วยแตก จะให้ เทพบลูเรย์มาเ้อง ก็อยากจะขว้างแผ่นทิ้งครับ จากคุณ : กระเทยชายแดน - [ 17 มิ.ย. 51 22:45:47 ]

ความคิดเห็นที่ 107 .eAT รู้หรือเปล่าว่าเครื่อง DVD ตอนนี้ ดูแผ่น VCD ได้นะเออ อ่านแผ่นCDเพลงก็ได้ แต่เล่นแผ่น laserdisc ยุคแรกไม่ได้ เพราะมันใหญ่เกินไป ถ้า media กับ Format ต้องผูกกัน เครื่อง DVD ต้องดู VCD ไม่ได้ไม่ใช่หรอ??? ตย.ที่คุณยกมาว่า VCD ดู DVD ไม่ได้มันใช่อยู่แล้วก็ VCD มันเกิดก่อนDVDนี่นา ใครจะไปผลิตเครื่อง VCD ให้ดู DVD บนแผ่น VCD ได้(แต่ต้องดูหลายแผ่น)ไม่ใช่เค้าผลิตไม่ได้นะ แต่ผลิตแล้วเค้าจะไปขายใครไม่ทราบ คนจะผลิตเครื่องขายเค้าก็ต้องพัฒนาFormat ให้เหมาะสมกับเครื่องเค้าที่สุดไง เพื่อดึงประสิทธิภาพความสามารถที่เค้าทำได้มากที่สุดของการบันทึกข้อมูลต่อแผ่นออกมา ของบูรเรย์ใส่ได้ 25Gb เค้าจะทำFormatให้ใช้ข้อมูล 10Gb สำหรับหนัง1เรื่องมาตรฐาน2.5ชม. แล้วพื้นที่ 15 Gb ปล่อยมันว่างๆทิ้งไปหรือ จากคุณ : หลับตา - [ 17 มิ.ย. 51 23:33:20 A:58.64.67.204 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ง่ายๆ ดู เกม ที่ออกมา ล่าสุด สิ MGS4 นะ ใช้ เต็ม แผ่นเลย 2 ชั้นนะ น่าจะ 40-50 GB ~นะ เกม เดียว นะ ดูง่ายๆๆๆ ถ้าใครจำได้ beta max กับ VHS นะ แพ้ชนะ กัน เรื่อง ความจุ นี้ ละ ขนาดม้วนเท่ากัน แต่ ม้วนหนึ่งได้ 60 นาที ม้วนหนึ่งได้ 120 นาที ซื่งขนาดเท่าหนัง 1เรื่องพอดี แม้ว่า beta max ภาพจะดี แต่ เรื่องความจุ ไม่ได้ ลองคิดดู ถ้าดู หนัง 1 เรื่อง แต่ ใช้ ม้วน 2 ม้วน ถ้า ม้วนแรกหายก็ ไม่ต้อง ดู ยกเว้นบางเรื่อง ที่ มันยาวจริงๆ 4  ชม นะ แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 51 13:13:51 จากคุณ : thanapatpp - [ 18 มิ.ย. 51 13:09:27 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ได้รอยหยักในสมองดี........ชอบๆ   *** ที่บ้าน ใช้จอ LCD 42" ...ดูฟรีทีวี....อยากจะบ้าตาย..... ...เสียอารมณ์..... ... จากคุณ : ช่อเอี้อง - [ 18 มิ.ย. 51 15:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ^ ^ ^ หุหุ ถ้ามีระบบ Perfect Pixel แบบที่ผมใช้ มันก็เนียนดีนะ ดูช่องสามยังกะภาพสามมิติ จากคุณ : StVaIkyrie - [ 19 มิ.ย. 51 01:28:27 ]

ความคิดเห็นที่ 111 มาต่อในส่วนของสาระกันดีกว่าครับ [ NTSC VS PAL ] หลาย ๆ คนที่ใช้พวกเครื่องเล่นเกมส์คอนโซล อย่าง Playstation เป็นต้นเนี่ยเคยสังเกตไหมครับ เกมส์ ก็ดี เครื่องเล่นก็ดี มักจะระบุถึง NTSC กับ PAL 2 ตัวนี้มันคืออะไร ? แล้วความเหมาะสมในการใช้สัญญาณภาพ 2 อย่างนี้ที่ว่า และก็บ้านเราใช้ระบบนี้ เพราะอะไร เหตุอะไร NTSC หรือย่อมาจาก The National Television System Committee มีมาตั้งแต่ปี 2483 เป็นระบบสัญญาณภาพระบบแรกของโลก โดย FCC เป็นผู้กำหนดมาตราฐานสัญญาณภาพนี้ คุณสมบัติของ NTSC นั้นจะมีจำนวนเส้น 525 เส้น ส่วนจำนวนภาพต่อวินาที มีถึง 30 ภาพต่อวินาที ส่วนประเทศที่เหมาะกับระบบสัญญาณภาพนี้คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น พม่า สังเกตดี ๆ ครับ เครื่องเล่นเกมส์พวก Playstation มาจากประเทศใด ? ข้องสังเกตอีกประการนึงคือ ประเทศที่ใช้สัญญาณภาพ NTSC จะใช้กระแสไฟฟ้าในบ้านเพียง 110V/60Hz ( ถ้าเอาเลข 60 มาหาร 2 เท่ากับ 30 ใช่ไหม ) ในบ้านเราเองนั้นยุคแรก ๆ สมัยช่อง 4 บางขุนพรหม แม้แต่ช่อง ททบ.7 ก็เคยใช้ระบบสัญญาณภาพ NTSC ออกอากาศในยุคแรก ๆ อ้างอิง: สรุป NTSC - สัญญาณภาพ 525 line/60Hz - จำนวนภาพ 30 ภาพ / วินาที - ใช้ในประเทศที่ใช้ไฟ 110V/60Hz ส่วน ระบบ PAL หรือย่อมาจาก phase alternation line ได้พัฒนาโดย Walter Bruch ชาวเยอรมัน ในปี 1963 ที่ได้เอาขั้วหลอดภาพ NTSC มากลับแล้วทำอะไร ... ต่อ และ ปรับปรุงใหม่ เนื่องจาก NTSC แสดงสีไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ( ลองสังเกตดู ) ลักษณะของระบบ PAL มีเส้นมากถึง 625 เส้น แต่จำนวนภาพมี 25 ภาพต่อวินาที ( ถ้าเป็นฟิลม์ภาพยนตร์ ใช้ 24 ภาพต่อวินาที ) ประเทศที่ใช้ระบบภาพนี้ก็มีอย่างที่แน่ ๆ ก็พี่ไทย มีอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เอาง่าย ๆ ว่า ทางยุโรป ทั้งนั้นแหละ อ้างอิง: สรุป PAL - สัญญาณภาพ 625 line/50Hz - จำนวนภาพ 25 ภาพ / วินาที - ใช้ในประเทศที่ใช้ไฟ 220V/50Hz ถ้า หากว่าระบบโทรทัศน์ กับ เครื่องเล่นที่ต่อเข้าโทรทัศน์ ต้องเป็นระบบภาพเดียวกัน ถ้า PAL ก็ต้อง PAL กันทั้งคู่ หรือถ้าเป็น NTSC ก็ต้อง NTSC ทีนี้เนี่ย ถ้าเกิดว่าใครต่อเข้าไปแล้วเกิดภาพไว้ทุกข์ ( ขาว-ดำ ) ก็แนะว่าให้ปรับทีวี จะมีพวกโหมดภาพให้เลือกอย่าง PAL PAL60 NTSC SECAM เป็นต้น จะทำให้ท่านได้เล่นอย่างมีสีสัน แล้ว NTSC กับ PAL อันไหนดักว่ากันหละ ก็ขอบอกว่า ถ้าเป็นเรื่องรายละเอียดจำนวนเส้นภาพ PAL ดีกว่าเพราะมี 625 เส้น ( ถ้าไม่รวมถึง SECAM ) แต่การบันทึกภาพนั้น ระบบ PAL จะใช้ม้วนเทปน้อยว่า NTSC ในเวลาที่เท่ากัน เพราะจำนวนภาพต่อวินาที PAL น้อยกว่า ใครใช้ NTSC บันทึกวีดีโอ ก็คงเปลืองกว่า PAL อีก แต่ทำไงได้ ถ้าหากท่านอยู่ญี่ปุ่น ก็ต้องทนจำเจกับระบบภาพ NTSC เพราะเรื่องกระแสไฟฟ้าใช้ไฟฟ้าปลอดภัยกว่า ไหน ๆ ก็ไหน จะไม่พูดถึง SECAM เดี่ยวจะเคลียร์ไม่จบงาน ก็คือระบบนี้ย่อมาจาก Séquentiel couleur à mémoire ในปี 1956 ระบบนี้เหมือนเอาบางส่วนของ NTSC กับ PAL มารวมกัน ๆ แต่ไม่ค่อยนิยมเพราะ ใช้เส้นมากถึง 800 - 1000 เส้น ก็ตาม ใช้ไฟ 60Hz แต่ว่า ความถี่นั้น ใช้แถบความกว้างมาก จนมีช่องไม่กี่ช่อง ก็อาจจะไม่นิยมในบ้านเรา ก็มีฝรั่งเศส ประเทศแถบรัสเซีย หรือ ประเทศแถบผู้ก่อการร้าย และในแอฟริกา ยังใช้ระบบนี้ ก็เอามาลองอ่าน ๆ หละกันครับ ตัวย่อ : FCC ย่อมาจาก Federal Communications Commission ที่มา : http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=asianboy&date=01-12-2007&group=1&gblog=23 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 19 มิ.ย. 51 12:25:07 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ประเด็น ข้อแตกต่างระหว่าง frame rate ของ สองระบบ ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ภาพยนตร์ที่เราดูกันตามโรงภาพยนตร์นั้น ถ่ายลงบนฟิล์มภาพยนต์แล้วฉายบนจอภาพยนตร์ด้วยความเร็ว 24 ภาพต่อ 1 วินาที เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก แต่ระบบโทรทัศน์ที่ใช้กันอยู่ ส่วนมากมี 2ระบบคือ PAL กับ NTSC ซึ่งมีข้อแตกต่างหลักๆคือจำนวนเส้นสแกนภาพบนจอไม่เท่ากัน (PAL มี 625 เส้น ส่วน NTSC มี 525 เส้น) แต่จุดนั้นยังไม่ส่งผลกับการถ่ายฟิล์มลงบนสื่อสำหรับโทรทัศน์เท่ากับจำนวน ภาพต่อ 1 วินาทีของระบบโทรทัศน์ทั้ง 2 ระบบ PAL จะฉายภาพ 25 ภาพใน 1 วินาที (โดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ 50 รอบต่อวินาที (เฮิร์ท = Hz) เป็นการให้สัญญาณ โดยใน 1 วินาที จะกวาดเส้นสแกนบนจอในแนวนอน 625 เส้น) ระบบนี้ใช้ในประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป รวมทั้งเมืองไทย (เพราะใช้ไฟฟ้าแบบ 50 Hz) NTSC จะฉายภาพ 30 ภาพใน 1 วินาที (โดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ 60 รอบต่อวินาที ให้สัญญาณ) ระบบนี้ใช้ในอเมริกา ที่ใช้ไฟฟ้าแบบ 60 Hz ขั้นตอนการถ่ายภาพจาก ฟิล์มลงบนสื่อโทรทัศน์ของระบบ NTSC จะใช้วิธี three-two pull down โดยทุกๆ 5 ภาพของ NTSC จะมีภาพจากฟิล์มซ้ำอยู่ 1 ภาพ ดังนั้น 1 วินาทีของ NTSC มี 30 ภาพ จะมีภาพจากฟิล์มที่ซ้ำกับภาพทั้งหมด 6 ภาพและเป็นภาพจริงๆอีก 24 ภาพ โดยภาพที่ซ้ำกันทุกๆ 5 ภาพนั้น เร็วมากจนตาเราสังเกตไม่เห็นว่าซ้ำกันทุกๆ 1/6 วินาที เพราะฉะนั้นเวลาของฟิล์มกับสื่อใน NTSC จะเท่ากัน ต่างกันแค่ภาพซ้ำ ส่วน การถ่ายข้อมูลจากฟิล์มลงบนสื่อ PAL ไม่เหมือนกับ NTSC เพราะถ้าใช้การฉายภาพซ้ำจะมีภาพซ้ำ 1 ภาพต่อ 1 วินาที ซึ่งตามนุษย์สังเกตได้ จึงแก้ไขโดยฉาย 25 ภาพจริงจากฟิล์มต่อ 1 วินาทีของ PAL โดยไม่มีการฉายภาพซ้ำแต่อย่างใด ดังนั้นถ้าสมมติว่าภาพยนตร์มีจำนวนภาพบนฟิล์มอยู่ 144000 ภาพ จะได้ภาพยนตร์ที่ฉายบนแผ่นฟิล์มความยาว 144000/24 = 6000 วินาที หรือ 100 นาที แต่เมื่อถ่ายลงสื่อแบบ PAL จะได้ใช้เวลา 144000/25 = 5760 วินาที หรือ 96 นาที สังเกตเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน แต่ใช้เวลาฉายในระบบ PAL สั้นกว่าระบบ NTSC ถึง 4% ด้วยเหตุผลดังนี้นั่นเอง จาก http://www.dvddiary.com/phpBB/viewtopic.php?topic=2104&forum=15&start=0&9 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 19 มิ.ย. 51 12:26:19 ]

ความคิดเห็นที่ 113 นอกจากนี้ ขอฝากกระทู้ดีๆ อีก 2 กระทู้ครับ แตก FRAME มาดูกันว่า กว่าจะเป็นหนัง 1 เรื่อง เค้าต้องทำอะไรกันบ้าง http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/04/A6500814/A6500814.html (ท่านมุ้ยได้กรุณามาให้ความรู้ในกระทู้ด้วยครับ อย่าพลาดครับ) ทีม CG กับการเยี่ยมชมงานที่ USA (NAB2008 & More) http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A6524202/A6524202.html (มาดูเทคโนโลยีล่าสุดของการถ่ายทำหนัง และการทำCGกันครับ ) ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง + ป่วยด้วย ขอโพสแค่นี้ก่อนครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 19 มิ.ย. 51 12:32:04 ]

ความคิดเห็นที่ 114 "เดี๋ยวต่อไปมันก็จะมีเพิ่มมาแล้วเราก็จะบอกว่าไม่อยากกลับไปดู blue-ray" อิอิ สงสัยอย่างนึง วีดีโอหรือเทปเพลงเมื่อก่อนนี้จัดว่าเป็นรูปแบบอนาล๊อกหรือเปล่าครับ ตามความเข้าใจของผมมันก็อ่านข้อมูลจากสารแม่เหล็กซึ่งมีรูปแบบข้อมูลเป็นจุด 0 หรือ 1 เช่นเดียวกับ vcd ไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่จะมีภาพอยุ่ในสารแม่เหล็กสักหน่อย แล้วทำไมถึงจัดมันว่าเป็นอนาล๊อก ความคิดผม ในกรณีการถ่ายหนัง ฟิล์มหนังจากต้นฉบับนี่เป็นอนาล๊อก เพราะภาพที่ได้เป็นการถ่ายภาพจากภาพจริงๆ ไม่ต้องแปลงลงรหัสใดๆ พอมาแปลงลงวีดีโอหรืออื่นๆ มันก็ต้องมีรูปแบบการแปลงซึ่งก็เป็นดิจิตอลแล้วใช่หรือเปล่าครับ งั้นสงสัยว่าสำหรับการบันทึกเสียงเราสามารถบันทึกเสียงแบบอนาล๊อกได้จริงๆหรือเปล่าครับ เอาแบบที่ไม่ได้ผ่านรหัสการแปลงเช่นเดียวกับการถ่ายหนังเลย อย่างแผ่นเสียงเมื่อก่อนนี่ ถือว่าเป็นรหัสการแปลงไหมครับ แต่สำหรับหีบเพลงของเล่นนี่เหมือนจะเป็นอนาล๊อกใช่ป่ะครับ พอเข้าใจคำถามผมไหมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : โรแมนติคโครตพิศดาร - [ 19 มิ.ย. 51 12:35:34 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ตอบคุณข้างบน อนาลอก กับ ดิจิตอล เป็นรูปแบบการบันทึกข้อมูลครับ จริง ๆ ระบบอนาลอกจะราบรื่นเป็นธรรมชาติกว่าดิจิตอลที่จะถูกแปลงจนเหลือข้อมูลแค่ 0 กับ 1 ถ้าจะให้ยกตัวอย่าง อนาลอก เหมือนเวลาเราวาดเส้นโค้งเส้นหนึ่ง เส้นนั้นจะราบรื่นมาก แต่เวลาคัดลอกเส้นโค้งนั้น เราจะวาดให้เหมือนต้นฉบับเป๊ะ ๆ ได้ยาก แต่ในระบบดิจิตอล ระบบของมันไม่สามารถวาดเส้นโค้งได้แบบอนาลอก แต่เส้นโค้งนั้นจะวาดเหมือนเราไปพลอตเส้นบนกระดาษกราฟจุดต่อจุด แม้โค้งนั้นจะไม่สวยงามเหมือนโค้งแบบอนาลอก แต่เราสามารถคัดลอกเส้นนั้นออกมาได้เป๊ะ ๆ จุดต่อจุด การวาดแบบดิจิตอลนั้นสามารถทำให้โค้งสวยงามได้มากขึ้นเพื่อเพิ่มรายละเอียดของแต่ละจุด นั่นจึงเป็นคำตอบว่าทำไมจอภาพทีวีจึงต้องพัฒนาให้มีรายละเอียดของพิกเซลมากขึ้น. ระบบดิจิตอล เพิ่งเริ่มได้ไม่นานไม่กี่สิบปี แต่ระบบอนาลอกมีมานานแล้ว ทั้งฟิล์ม แผ่นเสียง เทปบันทึกเสียง เทป VHS เทปเบตาแคม เป็นระบบอนาลอกทั้งนั้น ส่วนพวก CD , DVD เป็นระบบดิจิตอลที่พัฒนาขึ้นมาทีหลังซึ่งแรก ๆ ก็ยังมีรายละเอียดสู้การบันทึกแบบอนาลอกไม่ได้ แต่หลัง ๆ ก็เริ่มพัฒนาให้ระบบบันทึกเสียงมี Sampling Rate สูงขึ้น จอภาพมีรายละเอียดสูงขึ้น ภาพและเสียงที่บันทึกแบบ Digital ก็จะใกล้เคียงภาพและเสียงแบบ Analog มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ Analog นั้นก็มีปัญหาในด้านการบันทึกซ้ำที่จะลดคุณภาพลงไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนครั้งที่ทำซ้ำ. แต่สำหรับการ Output ในรูปแบบการสร้างภาพ สามารถแสดงผลแบบเป็นข้อมูลดิจิตอล คือแยกพิกเซลเป็นจุด ๆ ที่แสดงค่าความสว่างของพิกเซลแม่สีตามข้อมูลดิจิตอลโดยตรง แต่ก็ต้องแปลงเป็นสัญญานเป็นอนาลอกอีกครั้งเพราะจอภาพส่วนใหญ่ยังรับสัญญานแบบอนาลอก แต่ถ้าเป็นจอภาพดิจิตอลก็สามารถส่งสัญญานดิจิตอลไปได้โดยตรง ส่วนในการ Output เสียง จำเป็นต้องมีชิปคอนเวอร์ตข้อมูลดิจิตอล เป็นสัญญานไฟฟ้าแบบอนาลอก ไปผ่านวงจรขยายเสียง และ ลำโพง ก็ยังใช้สัญญานแบบอนาลอกในการ Output อยู่ดี ยังไม่เคยได้ยินว่ามีวงจรขยายเสียง และ ลำโพง แบบ Digital ครับ. ส่วนหีบเพลงของเล่น ผมว่าคอนเซปท์มันดิจิตอลนะ จะเรียกว่าดิจิตอลยุคโบราณก่อนคอมพิวเตอร์ก็ได้ แต่ไม่ใช่บันทึกแบบเลขฐานสอง เหมือนดิจิตอลที่เราใช้กันทั่วไป เพราะคอนเซปท์ของมันคือ สามารถเก็บข้อมูลที่สามารถทำซ้ำได้เหมือนต้นฉบับได้ทุก ๆ อันเช่นเดียวกัน ในขณะที่แผ่นเสียงทำแบบนั้นไม่ได้. แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 18:04:23 แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 00:17:51 แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 00:10:53 จากคุณ : LittleTiger - [ 19 มิ.ย. 51 23:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 116 มาอ่านเก็บความรู้ครับ จากคุณ : troll - [ 20 มิ.ย. 51 00:42:56 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีเท่าไร แต่แฟนผมบ้าเรื่องนี้ ดังนั้นที่บ้านก็เลยมีหมดทุกแบบ HDDVD ก็ใช้ Xbox ส่วน Blu-Ray ก็ใช้ PS3 ที่สำคัญมากคือจะต้องมีทีวีกับระบบเสียงที่เข้ากันด้วย รับรองครับว่าถ้ามีทุกอย่างที่เข้ากัน Blu-Ray กินขาด ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทุกอย่างคมชัดมาก (ทีวีคือ บราเวียรุ่นท้อปตอนโน้น) ตากับหูผมไม่ดีเวอร์ แต่ก็เห็นถึงความแตกต่างแล้วครับ  Blu-Ray เจ๋งกว่าเยอะครับ แต่กว่าจะทำห้องเธียร์เตอร์นี้สำเร็จ ก็เป็นปีๆครับ ไม่ใชุ่ปุ๊ปปั๊บ ค่อยๆเก็บเงินไป ทำไปเรื่อยๆ พอได้ทุกอย่างลงตัวแล้ว มันแฮบปี้จริงๆ จากคุณ : Freedom and Justice - [ 20 มิ.ย. 51 11:46:27 ]

ความคิดเห็นที่ 118 #115 ไม่ใช่ครับ ผมพอรู้ว่าดิจิตอลกับอนาล๊อกเป็นยังไงครับ คำถามผมหมายถึงว่า ขอยกตัวอย่าง ย่อหน้าแรกที่คุณบอกเรื่องการวาดเส้นโค้ง ถ้าเราถ่ายภาพเส้นโค้งนี้ด้วยฟิล์มถ่ายหนังหรือกล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์มซึ่งมันจะจับภาพที่วาดได้เหมือนต้นฉบับเป๊ะ ใช่ไหมครับ อันนี้ผมถือว่าเป็นอนาล๊อก คราวนี้ถ้าถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลภาพที่ได้เกิดมาจากพิกเซลของกล้องที่วางต่อกัน ซึ่งจริงๆแล้วได้มาจากการแปลงข้อมูล 0 1 ภาพนี้ก็คือข้อมูลแบบดิจิตอล แต่ถ้าเราถ่ายรูปด้วยกล้องบันทึกวีดีโอซึ่งใช้เทปเป็นสารแม่เหล็ก คำถามคือ ผมสงสัยว่ากล้องวีดีโอตัวนี้ทำไมจึงจัดว่าเป็นอนาล๊อกเพราะข้อมูลที่ได้จากการถ่าย มันไม่ใช่เป็นการคัดลอกรูปจากธรรมชาติลงไปโดยตรงไม่ใช่หรือ แต่เกิดจากการจัดเรียงสารแม่เหล็กของเทป ซึ่งเราจำเป็นต้องหาตัวมาอ่านค่าการจัดเรียงตัวของสารแม่เหล็กนี้อีกทีเพื่อให้ได้ข้อมูลออกมา หรือว่าในการจัดเรียงตัวของสารแม่เหล็กนี้ ไม่ได้เรียงแค่ในรูปแบบ 0 1 คือจะเรียงแบบไล่ระดับเหมือนสเปกตรัมของแสงคือค่อยๆมากบ้างน้อยบ้าง เราเลยไม่จัดมันเป็นดิจิตอล แบบนั้นใช่หรือเปล่าครับ งงป่ะครับ จากคุณ : โรแมนติคโครตพิศดาร - [ 20 มิ.ย. 51 12:01:05 ]

ความคิดเห็นที่ 119 กล้องวิดีโอมีทั้งบันทึกลงเทปแบบอนาลอกและดิจิตอลครับ ก็คล้าย ๆ ตามที่คุณพูดที่ในย่อหน้าก่อนสุดท้ายนั่นแหละ. การบันทึกแบบอนาลอก ในแต่ละเฟรมของมันจะบันทึกด้วยความเข้มของสนามแม่เหล็กของแต่ละพิกเซลมันไล่ได้ตั้งแต่หนาไปบาง  ซึ่งจะแปลงเป็นสัญญานวิดีโอมืดไปสว่างไล่ระดับความเข้ม  ตัวอย่างของเทปอนาลอกก็คือเทป VHS, U-matic, Betacam อะไรพวกนี้. ส่วนการบันทึกแบบดิจิตอล ต้องผ่านตัวประมวลผลแปลงภาพนั้นให้เป็นข้อมูลแบบดิจิตอล ซึ่งจะต้องมีการนำไปเข้ารหัส encode ไฟล์บีบอัดลงมา ซึ่งก็มีหลายแบบทั้ง Motion Jpeg  ที่เราเรียกว่า DV, Mpeg2 , Mpeg4 พอได้ข้อมูลแล้วถึงเอาไปบันทึกลงเทปเป็นข้อมูลดิจิตอล ที่ความหนาบางของสัญญานไม่มีการไล่ระดับ มีแต่ 0 กับ 1 ก็คือมีสัญญานแม่เหล็กกับไม่มีสัญญานแม่เหล็กเท่านั้น. ส่วนการบันทึกภาพด้วยฟิล์ม และ กล้องวิดีโอแบบอนาลอกนั้น ถึงจะเป็นอนาลอกเหมือนกัน แต่กระบวนการไม่เหมือนกันครับ ระบบฟิล์มใช้ปฏิกิริยาเคมีในการบันทึกภาพ พอผ่านกระบวนการล้างฟิล์มแล้ว เราสามารถมองแต่ละภาพโดยตรงด้วยตาเปล่า แต่ระบบวิดีโอแบบอนาลอกจะต้องผ่านเครื่องอ่านสัญญาน และตัวถ่ายทอดสัญญานมาบนจอภาพก่อนเราถึงมองเห็นภาพได้ โดยทั่วไปเราจะเรียกระบบ Analog และ Digital กับระบบบันทึกข้อมูลด้วยไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนระบบ Film ก็เรียกว่า Film แยกต่างหากไปเลยเพื่อไม่ให้สับสน. จากคุณ : LittleTiger - [ 20 มิ.ย. 51 13:17:14 ]

ความคิดเห็นที่ 120 มีสมาชิกท่านนึงจากห้องคนรักหนังฝากถามมาครับ เรื่องการนำ film เก่ามาทำใหม่ในแบบ digital เลยไปค้นมา สามารถหาอ่านขั้นตอนโดยละเอียดได้ที่นี่ครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Film_preservation เป็นภาษาอังกฤษครับผม หลักๆของขบวนการคือ - transfer ภาพจากของเก่ามาสู่ระบบ digital - ทำการแก้ไขความเสื่อมของตัวภาพยนต์ (artifact) เช่น    * Dust and mud    * Image vibrations    * Mould    * Scratches    * Flicker    * Missing frames    * Color variations    * Noise - ทำเช่นเดียวกันในส่วนของเสียง(เรื่องเสียงผมไม่คล่องครับ ผมถนัดด้านภาพ รอผู้รู้ท่านอื่นนะครับ) - export ออกมาในรูปแบบของ digital ใน format ที่ต้องการ ภาพตัวอย่าง นำมาจากที่นี่ครับ http://www.vcpc.univie.ac.at/activities/projects/FRAME/FRAME_Restoration.html จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 16:23:13 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ออ..เข้าใจแล้วครับ ไม่ทราบพอมีรูปตัวอย่างแถบแม่เหล็กที่ว่าไล่ระดับความเข้มนี้ เหมือนที่เป็นตัวอย่างของข้อมูลดิจิตอลในแผ่น cd ไหมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : โรแมนติคโครตพิศดาร - [ 20 มิ.ย. 51 16:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ขอกล่าวถึงพื้นฐานการสร้างภาพก่อนนะครับ ก่อนจะตอบว่า เค้าเอาฟิล์มเก่าๆมาแปลงยังไงให้ได้ภาพใสกิ๊ก ---------------------------------------------------------------------------------- ให้ท่านลองมองว่า ภาพ เกิดจาก pixel หลายๆ pixel มาประกอบกันนะครับ ลองนึกถึง matrix ของ pixel ที่เรียงตัวกันตามแนว x,y เช่น ภาพขนาดกว้าง  512 ยาว 512 pixels ก็จะมี matrix ขนาด 512*512 โดยที่สมาชิกแต่ละตัวจะแทนค่าสีของ pixel 1 pixel ครับ เช่น ภาพ gray scale มี่ gray level = 256(0 คือดำ 255 คือขาว) f(x,y) แสดง matrix ของภาพ f(1,5) มีค่าเท่ากับ 255 แปลว่า ภาพนั้นที่ตำแหน่ง x=1 y=5 จะเป็นสีขาวครับ พอเข้าใจนะครับ แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 18:23:24 แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 18:22:45 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 16:43:35 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ถ้ามองไม่ออก ลองมองตารางนี้ เทียบกับภาพด้านล่างนะครับ จาก matrix อันนี้ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 16:55:12 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ลงภาพผิดครับ อายจัง อิอิ แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 16:58:43 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 16:57:12 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ถ้าเอามาสร้างภาพขนาด 3*3 pixel จะได้ภาพนี้ครับ (นั่นคือ matrix 1 ช่องคือค่า pixel 1 pixel นั่นเอง) gray level =2 (0คือดำ 1 คือขาว) ตายล่ะ ภาพใหญ่เกิน ขออภัยนะครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:00:11 ]

ความคิดเห็นที่ 126 บางท่านอาจจะสงสัยว่า ค่า gray level คืออะไร มันคือค่าความต่างสีนั่นเองครับ สมมติ gray level =256 แปลว่า 0 คือดำสุด 255 คือขาวสุด ตั้งแต่ 1 ถึง 255 จะไล่ระดับความดำไปขาวครับ ดูภาพประกอบนะครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:04:45 ]

ความคิดเห็นที่ 127 ค่าของสี จะเรียกแทนด้วยจำนวนของ bit ที่ใช้ในการบันทึกค่าสีนั้นๆครับ แทนด้วย 2 ยกกำลัง n โดยที่ n คือจำนวน บิต ที่ท่านๆเคยได้ยินว่า ภาพ 16 บิต 32 บิตนั่นแหละครับ ดูตารางนะครับ จะเห็นว่า บิตมาก ก็แสดงสีได้ละเอียดมาก แต่ก็ใช้หน่วยความจำมากเช่นกันครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:11:00 ]

ความคิดเห็นที่ 128 มาดูความต่างกันครับ 8บิต จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:12:23 ]

ความคิดเห็นที่ 129 4บิต ยังมองไม่ออกใช่มั้ยครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:13:14 ]

ความคิดเห็นที่ 130 2 บิตครับ มี สีอยู่ 2 กำลัง 2 คือ 4 เฉดสี จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:14:42 ]

ความคิดเห็นที่ 131 1 บิตครับ มี ขาวกับดำ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:15:38 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ในกรณีรูปสี matrix จะเป็นลักษณะ f(x,y,n) สำหรับระบบ RGB ที่มีแม่สี 3 สี n จะมีค่าเป็น 3 นั่นคือ แต่ละ pixel จะมี matrix ซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น ชั้นนึงแสดงค่าสีแดง เขียว น้ำเงิน ตามลำดับครับ เมื่อนำค่าทั้ง 3 มา process หลอดภาพ หรือ ไดโอด ก็จะรู้ครับ ว่าต้องแสดงสีอะไรออกมาที่ตำแหน่งไหน จะเห็นว่า การสร้างภาพนั้น ใช้ memory และการคำนวณ เยอะมาก ทำให้ graphic card มีราคาแพงไงครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 133 เกริ่นมานาน มาเข้าเรื่องการกำจัด artifact ซะที หลักก็คือ เราหา filter มากรองสัญญาณที่เราไม่ต้องการออก จากด้านบน จะเห็นว่า รูปภาพ สามารถแสดงด้วยค่า matrix ของ pixel ได้ เราจึงสามารถ design filter ที่จะใช้ให้อยู่ในรูป matrix ได้เช่นกัน เช่น (ขอกล่าวในระบบ bitmap นะครับ ท่านใดอยากเสนอ filter ใน domain อื่นๆเชิญเลยครับ) Gaussian filter แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 18:14:42 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:50:05 ]

ความคิดเห็นที่ 134 อันนี้คือ signal response จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 135 นำมาเขียนในแบบ matrix จะได้แบบนี้ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 17:54:47 ]

ความคิดเห็นที่ 136 นำ filter มา convolution กับภาพต้นฉบับ ก็จะได้ภาพใหม่ออกมา (convolutio คือการกลับ matrix ซ้ายเป็นขวา แล้วนำมาคูณกับภาพต้นฉบับที่ตำแหน่งใดๆ ค่าที่ได้ ให้นำมาบวกกัน หรือหาค่าเฉลี่ย แล้วแต่วิธีการ เสร็จแล้วนำค่าที่ได้ ใส่ไว้ในตำแหน่งเดิม) มาดูภาพต้นฉบับกันครับ ภาพต้นฉบับคือภาพที่มี noise ชนิด salt and paper ปนอยู่ครับ คือมี pixel ขาวและดำ ที่ไม่ต้องการปนเปื้อนอยู่ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 18:00:33 ]

ความคิดเห็นที่ 137 convolution กับ filter คือกลับ filter ซ้ายไปขวา แล้วไล่ filter ไปทีละ pixel ถึง pixel ไหน ก็เอาตัวเลขของภาพต้นฉบับ กับ เลขของ filter ในช่องที่ตรงกัน มาคูณกัน ผลลัพธ์ที่ได้ให้นำมาบวกกัน แล้วใส่ไว้ที่ pixel ตรงกลาง filter ครับ ตามรูป จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 18:03:57 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ผลที่ได้ครับ จะเห็นว่า noise หายหมดเลย แต่ภาพก็จะเบลอเล็กน้อยครับ เพราะฉะนั้น การเลือก การออกแบบ filter จึงเป็นงานยากครับ งานด้านนี้จึงต้องอาศัยคนที่ค่อนข้างเก่ง math พอควรครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 18:07:11 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ไหนๆค่าก็ยังไม่ดี เรามาลอง filter ตัวอื่นกันครับ ตัวนี้คือ median filter หลักการก็คือ ไล่ filter ไปทีละ pixel ถึง pixel ไหน ก็นำค่ารอบๆ pixel นั้นมาหา median (ค่ากลางข้อมูล) แล้วก็นำค่ากลางนั้นๆมาใส่ที่ pixel กลางเป็นตัวแทนชุดข้อมูล จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 18:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 140 ผลที่ได้ครับ จะเห็นว่า ภาพไม่เบลอ แถม noise หมดไปด้วย จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 18:13:25 ]

ความคิดเห็นที่ 141 นี่เป็นงานส่วนเดียวครับ ของการเอาฟิล์มเก่าๆ มาเข้ารหัสใหม่ หวังว่าทุกท่านคงเห็นภาพนะครับผม จริงๆแล้ว ยังมีเทคนิคอีกมากมายครับ ในการซ่อมสร้างภาพยนต์เก่าๆให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แค่นำภาพมาแปลงลงระบบ digital ได้ ท่านก็สามารถนำ math อะไรมาประยุกต์ใช้กับภาพนั้นก็ได้ครับ โดย filter แต่ละแบบก็จะมีผลต่างกันไป แล้วแต่เลือกใช้ตามความต้องการครับ ในส่วนนี้ ผมเขียนแค่นี้ก็คิดว่า ละเอียดเกินพอแล้วครับ ถ้าใครสนใจ ก็ลองหลังไมค์มาคุยกันก็ได้ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 18:27:28 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ภาพประกอบบางส่วน ผมนำมาจาก presentation ของอาจารย์จาก nectec ที่สอนผมครับ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ครับ แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 18:31:55 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 18:31:31 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ก็ได้ชิมๆความรู้ครับว่ากระบวนการมันมีที่มาที่ไปยังไง เค้าคิดยังไง แก้ปัญหาด้วยหลักอะไรยังไง ขอบคุณมากครับ จากคุณ : หลับตา - [ 20 มิ.ย. 51 19:56:06 A:58.64.63.15 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 144 สรุปว่าไม่ว่าฟอร์แมทไหน RAW file ที่ใช้ตัดต่อ ต้องเคยอยู่ใน Harddisk มาก่อนทั้งนั้นครับ ส่วนจะ procees แล้วไปอัดลง media ไหน มันก็ได้ทั้งนั้น เรามอง file ในลักษณะความจุ เช่น mpeg1 หนัง 1 นาที ใช้ขนาดประมาณ 15 MB mpeg2 หนัง 1 นาที ใช้ขนาดประมาณ 100 MB mpeg4 หนัง 1 นาที ใช้ขนาดประมาณ 700 MB raw file หนัง 1 นาที ใช้ขนาดประมาณ >1 GB ยังไม่นับ sub มุมกล้อง และเสียงนะครับ ถ้าจะเอา dvd>cd จะไดประมาณ 4 นาที จากคุณ : ZXZX - [ 20 มิ.ย. 51 20:52:28 ]

ความคิดเห็นที่ 145 ตอนนี้ หนังไทยเริ่มมีเป็น format blue-ray แล้วนะครับ โดยเรื่องแรกคือ......เดาน่าจะเกือบๆถูกกันนะครับ  ต้มยำกุ้ง (ผมนึกว่าจะเป็นองค์บาก) ทำที่เยอรมันครับ -------------------------------------------------------------------------------- ต้มยำกุ้ง (2005) ชื่ออังกฤษ Tom Yum Goong ชื่ออื่นๆ The Protector ประเภท Action วันที่เข้าฉาย 11 สิงหาคม 2548 ความยาว 110 นาที กำกับโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว เขียนโดย เนปาลี, ปิยรส ทองดี, โจ วรรณพิณ, คงเดช จาตุรันต์รัศมี นำแสดงโดย พนม ยีรัมย์ ... ขาม บงกช คงมาลัย ... ปลา เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ... จ่ามาร์ค เดวิท อัศวนนท์ ... ริค จิน ซิง ... มาดามโรส จอห์นนี่ เหงียน ... จอนนี่ นาธาน โจนส์ ... ทีเค จอน ฟู ลาทีฟ โครเดอร์ สร้างโดยประเทศ Thailand จำหน่ายโดย สหมงคลฟิล์ม สร้างโดย บาแรมยู เรื่องย่อ การ เดินทางข้ามโลกของ ขาม (พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มบ้านป่าที่ชีวิตต้องพลิกผัน โดยเงื้อมมือของผู้มีอิทธิพลระดับประเทศที่ลักพาช้างพลายสองพ่อลูก ซึ่งเด็กหนุ่มและพ่อของเขารักดั่งชีวิต และมีความมุ่งหมายอันสูงสุดที่จะมอบเป็นคชบาทแด่ในหลวง ไปขาย ณ ประเทศออสเตรเลีย ทางเดียวที่จะช่วยเหลือ และรักษาชีวิตของช้างอันเป็นที่รักของเขาได้ นั่นก็คือ การบุกตะลุยถึงถิ่นเสือ โดยการเดินทางข้ามโลก เรื่องไม่ง่ายอย่าง ใจคิด แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจาก จ่ามาร์ค (หม่ำ จ๊กมก) นายตำรวจไทย และ ปลา (บงกช คงมาลัย) สาวไทยที่ถูกหลอกมาขายตัวในซิดนีย์ก็ตาม แต่ที่นั่น เขากลับต้องไปพัวพันกับการไล่ล่าของแก๊งค์มาเฟียที่นำโดย มาดามโรส (จิน ซิง) ที่ซ่องสุมลูกสมุนตัวเอ้ที่เต็มไปด้วยฝีมือทางการต่อสู้สุดยอดอย่าง จอนนี่ (จอห์นนี่ เหงียน) ทีเค (นาธาน โจนส์) และลูกสมุนย่อยที่มีฝีไม้ลายมือทางการต่อสู้เหลือรับอย่าง จอน ฟู และ ลาทีฟ อย่างไม่ได้ตั้งใจ ณ วินาทีนี้ การต่อสู้ข้ามชาติเพื่อเอาชีวิตรอดของเด็กหนุ่มและเพื่อนพ้อง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพื่อตามหาและช่วยเหลือ พ่อใหญ่ และ ขอน ช้างพ่อลูก ที่เปรียบได้กับญาติพี่น้องของเขา นำไปสู่บททดสอบและการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาให้โลกได้ล่วงรู้ ถึงอานุภาพของ แม่ไม้มวยไทยบทใหม่ ที่หนักหน่วง รุนแรง และยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน โดยเฉพาะ ตำนานมวยคชสาร ------------------------------------- Technical Specs * Blu-ray 25GB * Region B * Size: 20,2GB Video Resolution/Codec * Video codec: VC-1 * Video resolution: 1080p Aspect Ratio(s) * 16:9 Audio Formats * DTS-HD MA 5.1 GERMAN (~2,5mb/sec) * DTS-HD MA 5.1 THAI (~2,5mb/sec) ข้ิอมูลนำมาจาก http://forum.thaidvd.net/index.php?showtopic=43677 ขอบคุณท่าน Apisheep. เจ้าของข่าวด้วยนะครับ นอกจากนี้ เห็นว่ายังมีเกิดมาลุยตามออกมาด้วยนะครับ แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 21:29:47 จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 21:26:21 ]

ความคิดเห็นที่ 146 เกิดมาลุยครับ Cast: Dan Chupong, Noppol Gomarachun, Kesarin Ekatawatkul Regisseur(e): Phanna Rittikrai Producer (s): Phanna Rittikrai Sprache: Deutsch (Unknown), Thai (Unknown) Language: German (Unknown), Thai (Unknown) Untertitel: Deutsch Subtitle: German Bildseitenformat: 16:9 Picture page format: 16:9 FSK: Freigegeben ab 18 Jahren FSK: Released from 18 years Studio: EMS GmbH Studio: EMS GmbH DVD-Erscheinungstermin: 30. DVD Release Date: 30 April 2008 April 2008 Produktionsjahr: 2004 Production year: 2004 Spieldauer: 96 Minuten Duration: 96 minutes จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ 20 มิ.ย. 51 21:36:49 ]

ความคิดเห็นที่ 147 ถึงเวลาเสียตังค์อีกแล้ว จากคุณ : เทพบุตรโลกันตร์ - [ 20 มิ.ย. 51 22:18:52 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ถามคุณมนุษย์ถ้ำครับ แผ่นหนัง Blu-ray แปลงของจีน ที่มีขายบ้านเรา ซึ่งสามารถเล่นจากเครื่องเล่น dvd ธรรมดาได้ ต่างจาก Bleu-ray แท้ๆ อย่างไรครับ (มันใช้แ่ผ่นมากกว่าปกติ อย่าง บัญญัติ 10 ประการ มันใช้แผ่น D9  2 แผ่นต่อเรื่อง) แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 51 13:20:35 จากคุณ : มือใหม่จริงๆ (มือใหม่จริงๆ) - [ 24 มิ.ย. 51 13:19:48 ]

ความคิดเห็นที่ 149 ^ ^ ^ ^ ไอ้แผ่นที่....ขายแผ่นละ 150 ป่าวครับ  ผมก็คาใจเหมือนกันว่ามันชัดกว่าแผ่นละ 70 ป่าวเห็นบอกว่า rip จากBD มาใส่ D9  แต่แพคเกจสวยดีนะครับ จากคุณ : giftkool - [ 23 ก.ค. 51 22:49:02 ]