Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    สาเหตุที่โลกนี้ควรหยุดการสื่อสาร

    จากข้อสรุปทางคณิตศาสตร์จะได้ว่า
    ทฤษฏีบท

    จาก
    x^x^x^x^x^x^x^x^x^ ... =2 และ x^x^x^x^x^x^x^… = 4
    จะได้ x=2 จะได้x=4
    จากข้อความดังกล่าวได้ว่า
    2=4

    2 = 4 ลองมองเป็น
    2n =2n+2 คือ p( n )
    พบว่า p( 1 ) เป็นจริง
    จากนั้น ให้ p( k ) เป็นจริง
    มาพิสูจน์ p( k +1)
    จะได้ว่า
    2k+2 = 2k +4
    ได้ว่า
    2 = 4
    เหมือนเดิม
    ฉะนั้น 2n =2n+2 = p( n ) เป็นจริงสำหรับทุกๆจำนวนจริง n นั่นหมายความว่าทุกๆจำนวนในคณิตศาสตร์จะมีค่าเท่ากันหมด ได้สมการเป็น n = n + k เมื่อ nและkคือจำนวนจริงใดๆ


    เส้นจำนวน(มองด้านหน้า)

    <-------------------------------------------------->
    0

    นี้คือเรามองเส้นจำนวนจากด้านหน้า
    ถ้าเรา กระโดดไปอยู่ข้างหลังจะได้ว่า ทุกๆจุด บนเส้นจำนวนแอบ มี เครื่อง วาร์ปที่จะเป็นจำนวนใดก็ได้ เพราะว่า จากการพี่สูจน์พบว่าทุกจำนวนมีค่าเท่ากันหมด

    หมายความว่า
    เมื่อเรามองเส้นจำนวน กระโดดไปอยู่ข้างหลังจะได้ว่า ทุกๆจุด บนเส้นจำนวนแอบ มี เครื่อง วาร์ป ที่จะสามารถ วาร์ปไปหาค่าใดก็ได้
    หรือ ถ้าเรามองเส้นจำนวนในมิติด้านหน้าจะพบว่าแต่ละจำนวนมีค่าเท่ากับตัวมันเอง แต่ถ้าเราไปมองมิติด้านหลังจะพบว่า ทุกค่ามีค่าเท่ากัน
    เรียกว่า (Warp theorem)

    แต่จาก ทฤษฏีบทความไม่แน่นอนของนายไฮเซนเบอร์กกล่าวไว้ว่า
    สำหรับปริมาณ2ปริมาณไม่สามารถวัดกันได้แน่นอนพร้อมกันได้
    เพราะเราไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นคลื่นหรืออนุภาคในเวลาเดียวกัน
    ในการประยุกต์จะได้ว่า
    สำหรับตัวเลข ตัวเลขหนึ่ง เราไม่สามารถบอกได้พร้อมกันว่า ตัวเลขนั้น จะมีค่าเท่ากับตัวมันเองอย่างเดียว(มองด้านหน้า) หรือ จะมีค่า เท่ากับจุดอื่นในเส้นจำนวนทุกๆจุด(มองด้านหลัง)

    ในเมื่อฟิสิกส์บอกไม่ได้ว่า อะไรคือพลังงานอะไรคือ อนุภาค
    เราก็บอกไม่ได้ว่า ตัวเลขมันเท่ากับตัวมันเองอย่างเดียว หรือ มีค่าเท่ากับตัวอื่นๆด้วย
    จึงได้ ทฤษฏีที่ต่อยอดจาก Warp-theorem ว่า ทฤษฏีภาพธสัมพัทธ์
    จาก E=mc^2 (สัมพันธภาพ)
    จาก n = n+k โดยที่ n,k คือจำนวนจริงใดๆ(ภาพธสัมพัทธ์)
    จากนั้นนำไปแทนค่าในสมการฟิสิกส์
    E=m=c (เพราะทุกค่ามีค่าเท่ากันหมด จึงได้ว่า)
    E=E*E^2
    E=E^3
    นั้นหมายความว่า สมมติว่าเรามีพลังงานอยู่ค่าหนึ่ง เราย่อมมีวิธีการ ที่จะทำให้ พลังงาน มีค่า เพิ่มขึ้นเป็น กำลังสามของมันได้อย่างไม่สิ้นสุด
    จึงได้ว่า ในกรอบอ้างอิงใดๆ แล้วมีพลังงานในระบบค่าหนึ่ง เราสามารถขยายพลังงานในระบบเพิ่มขึ้น หรือ ลดลง ได้
    หรือ
    จาก
    E=E^3
    E(E+1)(E-1) = 0
    จะได้ว่า
    E = 0,1,-1
    จากตรงนี้ หมายความว่า พลังงานสามารถติดลบได้
    สำหรับฟิสิกส์ได้ว่า
    อนุภาค l คลื่น
    E=1/2mv^2 l E = hf
    สมการรวมคือ E = pc

    แต่ สำหรับคณิตศาสตร์

    ด้านหน้า l ด้านหลัง
    n=n (จำนวนจริงใดๆจะมีค่าเท่ากับตัวมันเองอย่างเดียว) l n=n+k (จำนวนจริงใดๆจะมีค่าเท่ากับจำนวนอื่นๆทุกตัวเป็นเส้นจำนวน)

    แต่อีกมุมมอง

    ด้านหลัง l ด้านหน้า
    n=n+k (จำนวนจริงใดๆจะมีค่าเท่ากับจำนวนอื่นๆทุกตัวเป็นเส้นจำนวน) l n=n (จำนวนจริงใดๆจะมีค่าเท่ากับตัวมันเองอย่างเดียว)




    จากวิชา บัญชี พบว่าข้อมูล ที่อยู่ด้านซ้ายจะเรียกว่า debit ด้านขวาเรียกว่า credit
    ดังนั้น ด้านหลัง กับ ด้านหน้า จะวางไว้ที่ debit หรือ credit ก็ได้
    จากทฤษฏีดังกล่าวพบว่า
    สำหรับ การ ใช้จ่าย หรือ ได้ รับทุนมา เราไม่สามารถบอกได้ว่า ต้องลงที่ debit หรือ credit
    เนื่องมาจากผลของทฤษฏี Warp-theorem
    จากทฤษฏีบทความไม่แน่นอนของนายไฮเซนเบอร์ก
    เราไม่สามารถบอกได้ว่า ข้อมูลข้อมูลหนึ่ง ควรลงที่debit หรือ ที่ credit
    เพราะว่าเราไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นdebit หรือ creditได้ละเอียดพร้อมๆกัน

    ฉะนั้น ถ้าข้อมูลใด เป็น debit อย่างชัดเจน ข้อมูลนั้นจะไม่เป็น credit
    ถ้าข้อมูลใดเป็นcredit อย่างชัดเจน ข้อมูลนั้นจะไม่เป็น debit

    จึงสรุปได้ว่า สำหรับข้อมูลใดๆ ถ้าเป็นcreditก็เป็นcreditไปเลย debitก็เป็นdebitไปเลย

    ฉะนั้น สำหรับข้อมูลใดๆ จึงมีการตายตัว สำหรับการเป็น debit หรือ credit
    ซึ่งขัดแย้งกับ บรรทัดที่กล่าวว่า
    เราไม่สามารถบอกได้ว่า ข้อมูลข้อมูลหนึ่ง ควรลงที่debit หรือ ที่ credit เพราะว่าเราไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นdebit หรือ creditได้ละเอียดพร้อมๆกัน
    แต่จากการเอาหลักความไม่แน่นอนของนายไฮเซนเบอร์กมาผสมพบว่า สำหรับข้อมูลใดๆ จึงมีการตายตัว สำหรับการเป็น debit หรือ credit
    และแล้ว จึงได้ข้อสรุปว่า
    ไม่มีภาษาใดๆ ที่ทำให้ ข้อขัดแย้งนี้ เลิกขัดแย้งได้
    จึงสรุปได้ว่า
    ไม่มีภาษาใดๆในโลกที่สมบูรณ์แบบ เพราะว่าไม่ว่าใช้ภาษาใด ข้อความดังกล่าวจะขัดแย้งเสมอ
    เพราะการเปลี่ยนภาษานั้น จะทำให้ เปลี่ยนเพียงแค่รูปพยัญชนะ และ เสียง แต่ความหมายคงเดิม
    จึงได้ทฤษฏ๊บทสำหรับภาษาศาสตร์นี้ว่า
    contradiction-language-Theorem(ทฤษฏีความขัดแย้งทางภาษา)
    จึงได้ว่า สำหรับคำพูดใดๆก็ตาม คำพูดนั้นจะมีการขัดแย้งอยู่เสมอ ตามหลักทฤษฏีบท contradiction-Langueges-Theorem(ทฤษฏีความขัดแย้งทางภาษา)
    ดังนั้น ในโลกนี้ จึงไม่ควรสื่อสารอย่างยิ่ง
    ฉะนั้น ในโลกนี้ควรจะหยุดการสื่อสาร

    จากคุณ : monorol - [ วันเข้าพรรษา 12:10:59 A:125.24.132.77 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom