ความคิดเห็นที่ 1 ขับ 80 km/hr แล้วประหยัดที่สุดไหม... ไม่ใช่แน่นอนครับ... เอาว่าปัจจัยหลักๆมีดังนี้ - ความเร็ว - รอบเครื่อง - พฤติกรรมคนขับ - ยาง - สภาพผิวถนน จากคุณ : Cocopok - [ วันเข้าพรรษา 22:08:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ใช่ที่ 80 แน่นอนที่ประหยัดสุด แต่เป็นค่าเฉลี่ยที่หาได้ และเป็นความเร็วสูงที่ปลอดภัยกับการบังคับรถขณะฉุกเฉินครับ จากคุณ : T-geTZ - [ วันเข้าพรรษา 22:15:33 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เกิน80กม/ชม กินน้ำมันมากกว่าแน่นอนครับ จากคุณ : Artaria EpisodeII - [ วันเข้าพรรษา 22:18:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หลายปัจจัย แต่ขอตอบในแง่นี้ก่อนละกัน ก็แรงหนืดของ ของไหล เป็นฟังก์ชั่นกะความเร็ว ถ้าความเร็วมาก แรงหนืดก็เยอะ ถ้าไม่อยากมีแรงหนืด ก็ไม่ต้องวิ่ง (T__T แล้วจะมีรถไว้ทำแมวอะไร) ดังนั้นจะต้องหาจุดที่เกิดแรงหนืดน้อยที่สุดในขณะที่ความเร็วสามารถยอมรับได้ สังเกตนะครับ ถ้าเร่งรถจนมีความเร็วมากๆแล้วปล่อยรถให้ไหล จะเห็นว่าเข็มความเร็วจะลดฮวบๆๆๆในช่วงแรก(ความเร็วสูง แรงหนืดมาก อัตราหน่วงมาก) พอความเร็วต่ำเข็มจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง(ความเร็วต่ำ แรงหนืดต่ำ อัตราหน่วงเลยน้อย)สังเกตดูนะครับ Edit แก้ภาษาวิบัติครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 22:28:39 จากคุณ : mINGz (ToOkToNg NaKrAb) - [ วันเข้าพรรษา 22:26:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ Cocopok ครับ เอาเป็นว่า รถของผมน่ะครับ เป็น civic ตาโต ปี 1999 ความเร็ว 80 กม./ชม.  ความเร็วรอบ  2000  (ที่หน้าปัดนะครับ)     "     100   "               "           2500     "     120   "               "           3000 คือว่ามี่ผมต้องการคือ ความเร็วที่ได้ ปริมาณ กม./ลิตร  สูงที่สุดน่ะคับ จากคุณ : pulu (Pulu) - [ วันเข้าพรรษา 22:36:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องแบบนี้มันมีหลายปัจจัยนักครับ เช่น ชนิดเครื่องยนต์ น้ำหนักบรรทุก ความต้านอากาศ ลักษณะการเหยียบคันเร่ง แม้แต่ชนิดของเชื้อเพลิง เอาว่า ลองๆขับดูก็แล้วกันครับ ว่าแบบไหนประหยัดกว่า บ้านผมรถ 2 คัน จากที่สังเกตคันกระบะผมพบว่าขับที่ประมาณ 90 จะประหยัดสุดครับ ในขณะที่เก๋งจะประมาณ 110-120 ขับเร็วรึช้ากว่านี้มันจะเปลืองมากขึ้น ปล. ที่รัฐมักจะโฆษณาว่า 80 km/hr ประหยัดสุดนั้น จนทุกวันนี้ผมยังหา paper ที่ยืนยันจุดนี้ไม่ได้ครับ แต่เดาว่าเค้าคงกะให้ขับปลอดภัย ไม่เร็วไป และประหยัดพอดีๆมั้งครับ จากคุณ : มนุษย์ถ้ำ - [ วันเข้าพรรษา 22:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 รถผม minicooper วิ่ง 80 กินน้ำมันกว่า 100-120กม ต่อชมครับ คงเกี่ยวกับรอบเครื่องและอัตตราทดเกียร์ มั๊ง  แต่ทั้งหมดนี้ คือความเร็วที่วิ่งนอกเมืองนะครับ จากคุณ : o_musachi - [ วันเข้าพรรษา 23:06:51 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเห็นตาม คุณ #6 ที่ยังไม่มีอ้างอิงสำหรับรถ. แต่กับถนน ออกแบบไว้ตามนั้น 1.เครื่องดีเซลไม่มีลิ้นปีกผีเสื้อขวางการไหลของอากาศในเครื่อง 2.รถกระบะแรงต้านอากาศมากกว่า 3.เครื่องเบนซินมีลิ้นปีกผีเสื้อขวางการไหล ต้องเปิดขึ้นพอประมาณ 4.รถนั่งแรงต้านอากาศน้อยกว่า 1กับ2 ทำให้ความเร็วประหยัดที่สุดเฉลี่ยรถนั่งมากกว่า.. แต่เหตุผลข้อ 3. ที่ทำให้รถเก๋งอ่อนไหว ขึ้นกับการขับมากกว่า.. เหยียบคันเร่งไม่ลึกพอ สิ้นเปลืองกว่าก็ได้. จากคุณ : ขาวงา - [ วันเข้าพรรษา 23:12:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วระหว่างการเหยียบคันเร่งคงที่ตลอดเวลา กับ เหยีบแล้วปล่อยให้รถไหล แล้วค่อยเหยียบใหม่อีกที  อันไหนดีกว่ากันครับ จากคุณ : Pulu - [ วันเข้าพรรษา 23:22:13 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมขับรถที่แรงบิดสูงสุดตามคู่มือครับ ไม่รู้ว่าถูกต้องมั๊ยแต่ลองดูแล้ว ประหยัดและ เร็วดีครับ ทำความเร็วเรื่อย ๆ จนถึงรอบที่แรงบิดสูงสุด แล้วแช่ไว้น่ะครับ รถผมอยู่ที่ 3500 รอบ ความเร็วถ้าจำไม่ผิดก็ประมาณ 100 นิด ๆ ครับ จากคุณ : [Zero] - [ วันเข้าพรรษา 23:34:26 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ความเร็วที่น่าจะประหยัดน้ำมันมากที่สุดน่าจะอยู่แถวๆ 60 km/hr นะ แต่แล้วแต่เครื่องยนต์แต่ละเครื่อง - เป็นจุดที่ ratio ระหว่างเชื้อเพลิงต่ออากาศต่ำสุด - แรงต้านอากาศยังไม่มากเท่าไร (เป็นสัดส่วนกำลังสองกับความเร็วนะ) ส่วนเรื่องเหยียบคันเร่งคงที่ตลอด กับ เร่งผ่อนเร่งผ่อน เหยียบความเร็วคงที่ย่อมประหยัดกว่า จากคุณ : พี่ม้าใหญ่ - [ วันเข้าพรรษา 23:37:33 A:202.44.4.62 X: TicketID:160018 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ที่ว่าประหยัดนี่ คือ หมายความว่า ได้ กม./ลิตร สูงสุดใช่มั้ยครับ จากคุณ : Pulu - [ วันเข้าพรรษา 23:49:46 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ในขณะที่รถวิ่ง มีแรงเสียดทานที่ยาง และแรงต้านลม  แรงลมนี่เป็นปัญหาใหญ่ เพราะจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อความเร็วสูงขึ้น เช่นถ้าเพิ่มความเร็วจาก 100 ไป 120 อาจจะเพิ่มรอบเครื่องยนต์และใช้กำลังมากขึ้นถึง 30-40% เครื่องยนต์แต่ละเครื่องมีรอบที่ให้แรงบิดสูงสุด ไม่เท่ากัน และมีรอบที่ให้แรงม้าสูงสุดต่างกัน  การให้รถยนต์ทำงานได้ประสิทธิภาพที่สุดต้องให้ทำงานที่รอบเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุด และใช้เกียร์ที่เหมาะสมกับรอบเครื่องนยต์ตรงนั้น  ในรถเบนซินส่วนใหญ่  เกียร์ธรรมดา ที่มีห้าเกียร์ ก็คือ เกียร์ห้า ที่รอบที่ให้กำลังสูงสุด  เป็นเกียร์ที่เขาออกแบบไว้ให้ประหยัดที่สุด เพราะรถจะมีกำลังพอที่จะชนะแรงต้านและได้ระยะทางสูงสุด คนออกแบบรถรุ่นโบราญเขาจะออกแบบมาตรวัดความเร็ว เมื่อเข็มความเร็วชี้ที่ 12 นาฬิกา ในเกียร์สุดท้าย  คือความเร็วที่ประหยัดที่สุดสำหรับรถคันนั้น ในรถเบนซินเล็กๆปัจจุบัน อาจอยู่ที่ 100-120 กม.ชั่วโมง ออสตินมินิ ถ้าจำไม่ผิดก็อยู่ที่ 120 ดังนั้นถ้าขับที่ 80 สิ้นเปลืองมากกว่า แต่การประกอบรถในปัจจุบัน บางทีก็วางเครื่อง และเกียร์ เอามั่วๆ ค่าเหล่านี้อาจคลาดเคลื่อน โดยเฉลี่ยแล้ว ความเร็วระหว่าง 90-100 เป็นค่าเฉลี่ยที่เชื่อได้ว่าประหยัดและปลอดภัย การเหยียบคันเร่งคงที่ตลอดเวลา เป็นข้อห้ามสำหรับเครื่องยนต์รุ่นเก่าๆ ที่จะทำให้เครื่องร้อนและสึกหรอง่าย ยิ่งในความเร็วสูงๆ ติดต่อกันนานๆ  แต่การปล่อยให้ไหลแล้วเหยียบใหม่ ก็ไม่ทำให้ประหยัด เพราะต้องเร่งความเร็วกลับขึ้นมา ตอนเร่งนี้ ปั๊มเร่งทำงาน เพิ่มการฉีดน้ำมันเข้าไปอีก   แต่ปล่อยให้ไหลเมื่อจะต้องชลอรถหรือหยุด นี่ช่วยประหยัดได้แน่ครับ จากคุณ : Mr MOT - [ วันเข้าพรรษา 23:52:57 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อัคราทดเกียร์ปลาย เฟืองท้าย โหลดขณะบรรทุก แปลงกลับไปเป็นอัตราเร็วของลูกสูบ เทียบกับการขยายตัวของเอนโทรปี คำนวณหาค่าอัตราการถ่ายเทพลังงานสูงสุด จากคุณ : x - [ วันเข้าพรรษา 23:55:01 A:210.246.64.21 X: TicketID:052378 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จาก คห บนๆ  สรุปองค์ประกอบหลักๆได้ 2 อย่าง 1)  ถ้าให้เครื่องยนต์ ทำงานตรงรอบที่มีแรงบิดสูงสุด (ดูได้จากคู่มือ)     เครื่องยนต์จะมีประสิทธิภาพสูงสุด     จะเป็นความเร็วเท่าไร ก็แล้วแต่การทดเกียร์ 2)  แรงต้านอากาศ ยิ่งความเร็วสูง ก็จะยิ่งมีแรงต้านมาก     ทำให้สิ้นเปลืองกำลังงานไปกับแรงต้านของอากาศมาก สมมุติ เราขับรถที่ความเร็ว 100 กม/ชม  แล้วรอบเครื่องตรงกับตำแหน่งแรงบิดสูงสุด ถ้าเราลดความเร็วลงมาเล็กน้อย  เช่น 90 กม/ชม  ประสิทธิภาพจะน้อยกว่า แต่ขณะเดียวกัน  การสูญเสียจากแรงต้านอากาศ ก็ลดลง รวมสองอย่างเข้าด้วยกันแล้ว ความเร็วที่ประหยัดน้ำมันที่สุด  จะอยู่ต่ำกว่าตรงที่รอบแรงบิดสูงสุดเล็กน้อย จากคุณ : sb*star - [ 19 ก.ค. 51 00:25:24 ]

ความคิดเห็นที่ 16 รถผม Isuzu Dmax LS เครื่อง 3.0 ขับเคลื่อนสี่ล้อ จาก Spec แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 245 นิวตัน/เมตรที่ 2000 รอบต่อนาที กำลังสูงสุด 88 กิโลวัตต์ ที่ 3800 รอบต่อนาที เกียร์ 5 เดิมอัตราทด 0.828 เปลี่ยนเป็น 0.745 รอบ 2000 ให้แรงบิดสูงสุด ที่เกียร์เดิมอัตราทด 0.828 ความเร็วจะอยู่ที่เกือบๆ 80 KM/h แต่พอเปลี่ยนเฟืองเกียร์ 5 เป็นอัตราทด 0.745 ความเร็วจะอยู่ที่ 85-90 KM/h เพราะฉะน้ันจากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว แนะนำให้คุณลองดูคู่มือรถ แล้วดูว่าแรงบิดสูงสุดอยู่ที่รอบที่เท่าไหร่ จะได้ค่าการให้พลังงานสูงสุดตามรอบที่ระบุไว้ ซึ่งรอบที่บอกไว้ ถือว่าเป็นรอบการทำงานที่ประหยัดที่สุดด้วยเช่นกันครับ ถ้ารถคุณมีระบบอัดอากาศ ให้ลองมองที่เกจ์วัด boost ดูประกอบด้่วยจะดีมากๆ เลยครับ แต่ถ้าหากคุณขับรถยุโรป อย่างเช่น BM มันจะมีเกจ์วัดอัตราการใช้เชื้อเพลิงอยู่ ซึ่งจะสะดวกที่สุดแล้วสำหรับการดูอัตราการประหยัดน้ำมัน (รถใหม่ๆ เดี๋ยวนี้น่าจะมีทุกคันแล้วมั้งคับ) จากคุณ : T-geTZ - [ 19 ก.ค. 51 00:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อยู่ที่แรงบิดของเครื่องรอบเครื่อง และแรงเสียดทานจากอากาศครับ.. รถส่วนมากเกิน 60 มาแรงต้านจากอากาศเริ่มมีผลมากแล้ว..แต่ถ้ารถออกแบบมาดีๆ บางทีไปร้อยก่าๆ ยังสบายอยู่เลย จากคุณ : avalanche_fx - [ 19 ก.ค. 51 03:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 18 งั้นถ้าขับรถหน้าฝนให้เลือกขับเส้นทางวิ่งตะวันตกมาตะวันออก ลมจะได้ส่ง ว่าแต่ ทำได้ขาเดียว ขากลับวิ่งย้อนลมนะซิ สรุป เปลืองเหมือนเดิม จากคุณ : bbiggy - [ 19 ก.ค. 51 06:43:54 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ของผมเคยจับอัตรากินน้ำมันแบบ realtime ช่วงที่รถวิ่งเกียร์สุดท้าย แล้วความเร็วรอบนิ่งแล้ว ประมาณ 2 พันกว่ารอบ ที่ความเร็ว 110-120 อัตรากินน้ำมันอยู่ที่ 19 กม/ลิตร ลองพยายามเลี้ยงคันเร่งไว้ประมาณ 5 กิโล ช่วง สิงบุรี - ชัยนาท มันก็ 19 ตลอด แต่ขานี่เกร็งเชียวล่ะครับ ถ้ามี ครุซ คอลโทรล วิ่งไกล ๆ คงช่วยได้เยอะ จากคุณ : ซิมเปิ้ลแมน - [ 19 ก.ค. 51 08:10:42 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ...1 ถ้าไม่คิดแรงต้านอากาศเมื่อความเร็วสูง ขับรถทีความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดครับ โดยใช้เกียร์ที่ให้อัตราทดสูงสุด รถ 5 เกียร์ ก็เกียร์ 5 ดีเซล ประมาณ 2100 รอบ เกียร์ 5 ก็ 80 กม/ชม เบนซิน 3500 รอบมั้ง เกียร์ 5 ก็ 110 กม/ชม ...2 สภาพความเป็นจริงมีแรงต้านอากาศมาทำให้เปลืองกำลัง สูตรแรงต้านก็ Drag จากคุณ : Hawk CM - [ 19 ก.ค. 51 10:49:29 A:118.174.19.9 X: TicketID:181951 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สูตรแรงต้านก็ Drag = 0.5 * Cd * Air Density * Project Area * Velocity * Velocity Cd = สัมประสิทธิ์แรงต้าน หาได้จากการทดลองในอุโมงค์ลม ทรงกลม มีค่าน้อยกว่า ลูกบาศ์ก ที่ เส้นผ่าศู้นย์กลาง เท่ากับความยาวด้านของสี่เหลี่ยม Air density ที่ 25 เซลเซียส ระดับน้ำทะเล ประมาณ 1.1256 kg/m3 Project area = พื้นที่ภาคตัดขวางทิศทางลม Velocity * Velocity = ความเร็วยกกำลังสอง ********** เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณารูปทรงของรถ ว่า กลมมนลู่อากาศหรือไม่ครับ จากคุณ : Hawk CM - [ 19 ก.ค. 51 10:53:50 A:118.174.19.9 X: TicketID:181951 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าขับเกิน 80  การเผาไหม้อาจจะไม่ทันสมบูรณ์ ทำให้เปลืองน้ำมันบางส่วน โดยใช่เหตุ รึเปล่า จากคุณ : อีคิวศูนย์ - [ 19 ก.ค. 51 11:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมใช้ D4D  กระบะ 4 ประตู ครับ ความเร็วที่รู้สึกว่าประหยุดสุด อยู่ที่ราว ๆ 100 กม./ชม. ครับ ซึ่งความเร็วระดับนี้ รอบเครื่องอยู่ที่ประมาณ 2500 รอบ ต่อนาที ครับ กลับไปดูที่ สเป็คเครื่องบอกว่า เครื่องรุ่นนี้ แรงบิด สูงสุดอยู่ที่ ราว 1800 - 2400 รอบ ต่อนาที แรงม้าสูงสุด อยู่ที่ราว ๆ 2500 รอบ  หรืองัยนี่แหละ ซึ่งผมว่า  ความประหยัด มันจะสัมพันธ์ กับแรงบิด และรอบเครื่องด้วย จากคุณ : HiPex - [ 19 ก.ค. 51 11:58:19 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อย่าเอาแต่โม้ ขอข้อมูลอัตราการกินน้ำมัน ก.ม.ต่อลิตร ที่ความเร็วต่างๆ มาเทียบกันให้เห็นชัดๆ ดีกว่า จากคุณ : เบื่อคนโม้ - [ 19 ก.ค. 51 12:00:34 A:202.57.137.157 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 ดูความเร็ว จากรอบเครื่องที่ให้แรงม้าสูงสุด ของเครื่อง รุ่นนั้นๆสิครับ จากคุณ : โบโซ่จำแลง - [ 19 ก.ค. 51 12:52:51 ]

ความคิดเห็นที่ 26 nissan neo 1800 cc วิ่งไปวิ่งมา 13-14 กม/ลิตร ความเร็วใช้งาน 100 จากคุณ : ARATANA - [ 19 ก.ค. 51 13:43:27 ]

ความคิดเห็นที่ 27 โอ้โห.. ถ้าจะให้เอาข้อมูลการกินน้ำมันในแต่ละความเร็ว ก็แย่สิครับ  #1 - #26   มีใครขับรถรุ่นเดียวกันบ้าง       ข้อมูลไม่เป็นสิบหน้ากระดาษเลยหรือครับ เอาเป็นว่าทางผู้ที่ออกมาประชาสัมพันธ์เค้าเอาข้อมูลเฉลี่ยของรถที่ใช้อยู่ในประเทศมาเป็นบรรทัดฐานแล้วกันนะครับ   ซึ่งก็คือรถส่วนมาก ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ทางบริษัท หรือวิศวกรฯ เค้าจะเอาความเร็วนี้เป็นความเร็วในการออกแบบเพื่อใช้งานจริงอยู่แล้ว แต่ก็ไม่แน่เสมอไป อย่างในห้องนี้บอกว่า Mini-Cooper วิ่ง 100 ประหยัดกว่า 80 อีก    และจากที่ผมได้ขี่พวกรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก(Click) มันวิ่ง 60 ประหยัดกว่า 80 อีก  ซ้ำร้าย วิ่ง 40 ยังกินกว่า 60 เลยครับ  เพราะฉะนั้น การที่จะวิ่งแล้วประหยัด ต้องอยู่ที่รถแต่ละรุ่นแต่ละคันครับ  กำหนดไม่ได้หรอก   เราต้องเข้าใจรถของเราเอง   แต่หลัก ๆ แล้วก็ 80 แหละครับ       แต่พอมาถึงสมัยนี้แล้วรถก็มีสมรรถนะมากขึ้นกว่า คงไม่ใช่ 80 แล้วหล่ะครับ จากคุณ : Force for Rush - [ 19 ก.ค. 51 19:13:54 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเข้าใจว่าต้องเป็นรอบที่ให้แรงม้าสูงสุด ไม่ใช่แรงบิดสูงสุดนะครับ แรงบิดคือกำลังที่จะต้านแรงเสียดทาน ใช้ตอนออกตัว หรือการบรรทุก การไต่ขึ้นที่สูง และอัตราเร่ง ส่วนแรงม้าคือกำลังสูงสุดที่เครื่องยนต์จะผลิตได้ รอบจะต่างกัน  เข้าใจว่าการประหยัดเชื้อเพลิงใช้รอบตรงที่ให้กำลังสูงสุด เพราะขณะที่รถวิ่งเร็ว แรงต้านจากลมเพิ่มขึ้น แต่ก็มีโมเมนตั้มของรถที่เคลื่อนที่เร็ว ช่วยอยู่ด้วย หรือแรงเหวี่ยงที่ได้จากมู่เล่ เหมือนเวลาที่ถีบจักรยานเร็วๆ ก็ไม่ต้องออกแรงมากเหมือนตอนที่วิ่งช้า จะหาค่าจากคู่มือก็คงต้องใช้รอบที่ให้แรงม้าสูงสุดในเกียร์สุดท้ายครับ ส่วนเรื่องการเผาไหม้ในรอบสูงๆจะสมบูรณ์หรือไม่  ในรถสมัยใหม่มีเซนเซอร์ที่จะปรับส่วนผสมเชื้อเพลิงให้เหมาะสมที่สุดอยู่แล้ว คงไม่แตกต่างมากนัก  โดยทั่วไปตอนเร่งจะกินน้ำมันมากที่สุดและเผาไหม้ไม่ดีนัก จากคุณ : Mr MOT - [ 19 ก.ค. 51 22:35:01 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สรุปว่าต้องขับในความเร็วของรอบเครื่องยนต์ ที่ให้แรงม้าสูงที่สุด ถูกต้องมั้ยครับ ????? แล้วเกียร์ปกติกับเกียร์ธรรมดาเนี่ย ใช้หลักการเดียวกันป่าว จากคุณ : Pulu (Pulu) - [ 19 ก.ค. 51 23:09:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าขับ 60 km/hr ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ขับ 120 km/hr ใช้เวลา ครึ่งชั่วโมง ถึงที่หมายเดียวกัน ถ้าสมมุติขับ 60 รอบเครื่องที่ 2000 รอบ แต่เครื่องติดนาน 1 ชั่วโมง ขับ 120 รอบเครื่องที่ 2500 รอบ เครื่องติดเพียงครึ่งชั่วโมง แบบไหนประหยัดกว่ากันคับ จากคุณ : xXx - [ 20 ก.ค. 51 00:04:19 A:124.120.70.24 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณxXx คือผมคิดว่าเราเปรียบเทียบกันเป็น กี่ กม. ต่อ ลิตร ดีกว่ามั้ยครับ จากคุณ : Pulu (Pulu) - [ 20 ก.ค. 51 01:10:03 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตอบ คห 29 ถ้าเป็นการใช้งานเดินทางปกติคงต้องใช้แรงม้าสูงสุดเป็นเกณฑ์ครับเบื้องต้น แต่ในความเป็นจริงจุดที่ประหยัดสุดอาจอยู่ต่ำกว่ารอบเครื่องช่วงนี้เล็กน้อย เพระมีตัวแปรเรื่องเกียร์ เฟืองท้ายและน้ำหนักรถ ยาง เข้ามาด้วย   เรื่องเกียร์ปกติกับเกียร์ธรรมดา คงหมายถึงเกียร์อัตโนมัต กับเกียร์ธรรมดา    แต่เดิมๆมาเกียร์อัตโนมัตทั่วไปจะกินน้ำมันมากกว่าเกียร์ธรรมดาเพราะเขาออกแบบเน้นความสะดวกในการขับขี่ ต่อมาแม้จะพัฒนาอัตราทดเฟืองเกียร์  การออกแบบให้เปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมในแต่ละเกียร์ ซึ่งมีให้เลือกว่าจะขับเน้นแบบเอาอัตราเร่ง หรือแบบประหยัด  แต่โดยรวมแล้วเกียร์อัตโนมัตยังสิ้นเปลืองมากกว่า  ในสเปคของรถก็มักระบุไว้เช่นนั้น   ตอบ คห 30 ขึ้นอยู่กับรถแต่ละคันครับ ว่าอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่รอบ ต่อนาทีจะต่างกันแค่ไหน ถ้าต่างกันไม่มากขับช้าก็ยิ่งสิ้นเปลืองกว่า  ในการใช้งานจริงขับช้าคงไม่ประหยัดได้จริง   แต่ในการแข่งรถประหยัดน้ำมัน ถ้ามีการปรับปรุงเครื่องยนต์  ยอมให้เปลี่ยนขนาดยางและสูบลงแข็งขึ้น ทำให้สามารถขับในเกียร์สุดท้ายได้ในความเร็วต่ำ  อาจเป็นที่ 50-60 ก็ประหยัดได้มากที่สุด เพราะแรงเสียดทานลมที่ลดลงอย่างมากคุ้มกับเวลาติดเครื่องที่เพิ่มขึ้น จากคุณ : Mr MOT - [ 20 ก.ค. 51 10:23:38 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ^ ^ รอบที่แรงบิดสูงสุดก็สูงแล้ว ที่รอบแรงม้าสูงสุดของรถแต่ละคันที่สูงขึ้นไปอีก ใช้เชื้อเพลิงได้ระยะทางไม่น่าจะต่ำสุดนะครับ จขกท. ต้องการ หน่วย กิโลเมตร/ลิตร แต่ อีกหน่วย ที่แรงม้ามาเกี่ยวข้อง เป็น ลิตร/แรงม้า/เวลา ครับ. จากคุณ : ขาวงา - [ 20 ก.ค. 51 13:25:58 ]

ความคิดเห็นที่ 34 #30 ความเร็ว ต่าง กันขนาดนั้น รอบ จะต่างกัน แค่ 500 ได้ อย่าง ไร เป็นไปไม่ได้ครับ รอบต้องห่างกันแยะมากๆ 60 กะ 120 เนีย ความคิดผมเอา ง่ายๆ เติมน้ำมัน 10 คัน แต่ละคันวิ่ง 40 50 60 70 80 90 100 110 120 130 ใน 1 ลิตร คัน ไหน วิ่ง ได้ ไกล ว่า กัน คับ ถ้าอยากได้ละเอียดกว่าก็ สมมุตว่าทดลองแรกได้ 80 ก็ ลอง อีก 11 คัน 75 76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 ประมาณ นี่น่าจะ เข้าใจง่าย นะครับ จากคุณ : TwinTower (Oum15) - [ 28 ก.ค. 51 21:52:29 ]