ความคิดเห็นที่ 1 23. แรงปฏิกิริยาของแรงเสียดทานคือแรงอะไร ? (หน้า 103) "สิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ซึ่งค้นพบจากกฎข้อที่ 3 ของนิวตันก็คือแรงเสียดทาน แรงเสียดทานคือแรงปฏิกิริยา (reaction) เช่น ขณะเราก้าวท้าวเดิน เท้าเราจะกระทบพื้น แรงจากรองเท้าที่ไปกระทบพื้นเป็นแรงกิริยา (action) ในขณะเดียวกัน แรงจากพื้นที่ทำกับเท้าจะเป็นแรงปฏิกิริยา (reaction) ส่งให้เราเดินไปข้างหน้าได้" มีประเด็นขำ ๆ หลายประเด็น 1. ก่อนหน้านิวตันเกิดประมาณ 200 ปี คนดังอย่างลีโอนาร์โด ดา วินชี ได้ศึกษาเรื่องแรงเสียดทาน และวางกฎไว้คร่าว ๆ 2 ข้อครับ ซึ่งทั้ง 2 ข้อนั้น ผมว่าเจ๋งมาก - the areas in contact have no effect on friction แรงเสียดทานไม่ขึ้นกับพื้นที่ผิวสัมผัส - if the load of an object is doubled, its friction will also be doubled ถ้าเพิ่มน้ำหนักเป็น 2 เท่าแรงเสียดทานเพิ่มเป็น 2 เท่า นอกจากนั้นดา วินชี ยังได้สเก็ตภาพ antifriction bearing ไว้ด้วยถึง 4 แบบ นี่ก่อนหน้านิวตันจะนิยามคำว่าแรงนะครับ 2. นอกจากดาวิน ชี แล้วมีใครอีกที่ศึกษาเรื่องแรงเสียดทาน คนต่อมา Guillaume Amontons รับช่วงต่อจากดาวิน ชี แถมยังหา สปส ความเสียดทานได้จากการทดลองอีกด้วย ต่อมาคือคนดัง เลียนแบบการศึกษาของดาวิน ชีอีกคนคือออยเล่อร์ ผลจากการศึกษาได้ความสัมพันธ์ u (มิว) = tan(มุม) ต่อมาสูดรที่เราใช้ ๆ กัน F = uN จากคูลอมบ์ ผมเข้าใจว่านิวตันแทบไม่มี contribution อะไรในเรื่องแรงเสียดทานโดยตรงเลย (ถ้าผมเข้าใจผิด บอกด้วยนะครับ) 3. ถ้าเราพิจารณาว่าแรงเสียดทานคือแรงปฏิกิริยา แรงกิริยาก็ต้องเป็นแรงเสียดทาน ไม่ใช่แรงกด แรงดูดอะไร ถ้าเราพูดว่าพื้นถนนทำให้เกิดแรงเสียดทานแก่ล้อรถในทิศที่รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเป็นแรงปฏิกิริยา แรงกิริยาของแรงนี้คือ "แรงเสียดทาน" ที่ล้อรถทำกับพื้นถนนในทิศตรงข้ามทิศการเคลื่อนที่ของรถ ระดับ 3 24. แรงเสียดทานไม่เคยผลักใครให้ไปข้างหน้า ใครอยากไปข้างหน้า ต้องออกแรงเอง (หน้า 104) "นักวิศวกรรมยานยนต์พยายามทำร่องบากบนยางรถยนต์เพื่อที่จะให้เกิดแรงเสียดทานกับพื้นถนนให้มากที่สุด ทำให้มีแรงผลักไปข้างหน้า" ที่ถูกคือเราต้องการแรงเสียดทานเพื่อไม่ให้เราไถล แรงเสียดทานไม่ได้ผลักเราไปข้างหน้า แต่ป้องกันไม่ให้เราไถลอยู่กับที่หรือถอยหลังขณะที่ออกแรง ----------------------------------------------------------- ปรับปรุงเพิ่มเดิมจากคุณ house (panote_saechiew) #3 พื้นยางเรียบดีที่สุดในการเกาะถนน(ผิวสัมผัสสูงสุด) ดังนั้นการบากยางออก เป็นการลดแรงเสียดทาน สาเหตุที่มีการบากยาง เพราะถ้าถนนเปียก น้ำจะกั้นเป็นฟิลม์ระหว่างล้อ กับพื้น ทำให้เกิดการไถล การมีร่องบากทำให้น้ำโดนวิดออก และไม่จับตัวเป็นแผ่นใต้ล้อ รถแข่งความเร็วสูงอย่าง F1 จึงใช้ล้อเรียบ/เกือบเรียบครับ ----------------------------------------------------------- ระดับ 2 (หรือ 3 ดี) 25. ทำไมผลักวัตถุให้ไถลไปแล้วมันหยุด (หน้า 112) "เพราะตามกฎของธรรมชาติ เมื่อความเร็วลดลง แรงเสียดทานจะมากขึ้นจนเคลื่อนที่ไปไม่ได้ในที่สุด ดังนั้นจุดที่เหมาะสมคือจุดที่แรงเสียดทานกับความเร็วสมดุลซึ่งกันและกัน" กรณีที่เราผลักวัตถุสักชิ้นให้เคลื่อนที่บนโต๊ะ มันไถลไป มีแรงเสียดทานคอยทอนพลังงานจลน์ให้กลายเป็นพลังงานความร้อน มันสูญเสียพลังงานความเร็วจึงลดลง และหยุดในที่สุด ตลอดทางที่มันเคลื่อนที่แบบนี้ไม่สมดุล มาสมดุลเอาตอนหยุดแล้ว ซึ่งตอนนั้น "ไม่มีแรงเสียดทาน" ประโยคแบบนี้ฟังดูเท่ ๆ แต่ไร้ความหมาย ประโยคบลา บลา บลา มีเยอะจนนอกจากจะทำให้คนอ่านจับสาระไม่ได้แล้ว ถ้าจำไปแบบนั้น กระเทือนต่อสาระเสียอีก ระดับ 1 ถึง 2 26. จักรวาลของไอน์สไตน์ (หน้า 113) "จักรวาลจึงหยุดพองตัวไม่ได้ การอยู่นิ่งก็คือจุดจบ นักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนเชื่อว่า จักรวาลคือห้วงอวกาศอันเวิ้งว้างและมีขอบเขตคงที่ แม้แต่แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ก็คิดเช่นนั้น จนเมื่อเขาพบทฤษฎีสัมพัทธภาพที่บอกไว้อย่างชัดเจนว่าจักรวาลหยุดไม่ได้..." เอาตามที่ผมรู้นะ 1. หลังจากได้สัมพัทธภาพทั่วไปไอน์สไตน์เองนั่นที่เพิ่งค่าคงที่จักรวาล (แลมด้า) เพื่อให้จักรวาลไม่ขยาย ฉะนั้นทฤษฎีสัมพัทธภาพกับไอน์สไตน์เพียงเท่านี้จึงไม่เป็นเหตุผลให้บอกว่าเอกภพขยาย 2. Einstein's Universe เป็นชื่อเรียก static universe 3. เอกภพขยายเป็นผลงานค้นพบของฮับเบิล ไอน์สไตน์มาหูตาสว่างเอาตอนนั้น จุดนี้เป็นอาการเอะอะอะไรก็สัมพัทธภาพเอะอะอะไรก็ไอน์สไตน์ ใช้ 2 ชื่อนี้แหละหากิน เพิ่มน้ำหนักให้กับประโยคได้ ระดับ 2 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 51 17:58:58 จากคุณ : ศล - [ 23 ก.ค. 51 15:55:20 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตามมาอ่านครับ จากคุณ : ksk - [ 23 ก.ค. 51 16:09:41 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอแก้ข้อ 24 ครับ พื้นยางเรียบดีที่สุดในการเกาะถนน(ผิวสัมผัสสูงสุด) ดังนั้นการบากยางออก เป็นการลดแรงเสียดทาน สาเหตุที่มีการบากยาง เพราะถ้าถนนเปียก น้ำจะกั้นเป็นฟิลม์ระหว่างล้อ กับพื้น ทำให้เกิดการไถล การมีร่องบากทำให้น้ำโดนวิดออก และไม่จับตัวเป็นแผ่นใต้ล้อ รถแข่งความเร็วสูงอย่าง F1 จึงใช้ล้อเรียบ/เกือบเรียบครับ จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 23 ก.ค. 51 16:24:38 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 23 ก.ค. 51 17:07:28 ]

ความคิดเห็นที่ 5 #3 ขอบคุณครับ ได้ข้อผิดเพิ่ม จากคุณ : ศล - [ 23 ก.ค. 51 17:50:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อเลยครับ คุณศล ตามมาอ่านต่อ เสียเวลากับกระทู้ที่แล้วพอสมควร ข้อ 26 เห็นด้วยครับ ตามมาช่วยยืนยัน เออะก็(ผู้เชียวชาญเรื่อง)ไอน์สไตน์จริงๆ ที่จริง การไม่คงตัวของจักรวาลเป็นผลจากทฤษฏีสัมพัทธภาพ(หมายความว่าถ้าทฤษฏีถูกต้อง) แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็คล้ายกับทฤษฏีแรงโน้มถ่วงของนิวตันเหมือนกัน ที่ทำให้เกิดผลที่ว่าจักรวาลคงที่ไม่ได้ มันต้องวุ่ยวายโกลาหลแน่ๆ ไอน์สไตน์ยกให้เป็นค่านิจของจักรวาล นิวตันให้เกิดแรงผลักระหว่างวัตถุแทนที่จะเป็นแรงดึงดูดเมื่อวัตถุอยู่ไกลกันมากๆ จนเมื่อฮับเบิ้ลพิสูจน์ได้นั่นแหละ จำเค้ามาครับ จากคุณ : Chirayut - [ 23 ก.ค. 51 19:10:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาแล้วๆ.,. ต่อเลยครับ.,. จากคุณ : ป๋าแมน - [ 23 ก.ค. 51 20:43:27 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมคิดว่า แรงเสียดทานสามารถทำให้ไปข้างหน้าได้ครับ การที่คนเราเดินได้ ก็เพราะแรงเสียดทานทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้ และรวมถึงการหมุนของล้อ ถ้าเขียนแผนภาพ จะพบว่า แรงที่ทำให้รถเคลื่อนไปข้างหน้าคือแรงเสียดทาน เพราะล้อมีการเคลื่อนที่คือหมุน(นึกภาพล่้อหมุน โกยพื้น)ไปข้างหลัง แรงเสียดทานมีทิศไปข้างหน้า จะพูดว่าแรงเสียดทานทำให้รถไปข้างหน้าก็ไม่ผิดครับ จากคุณ : อัมมาลย์ - [ 23 ก.ค. 51 21:27:00 ]

ความคิดเห็นที่ 9 #8 เห็นด้วยครับ แรงเสียดทานในกรณีวัตถุกลิ้งมีทิศทางเดียวกับทิศที่มันเคลื่อนที่ เพราะการที่วัตถุที่กลิ้งโดยโดยไม่ไถลได้ แรงสำคัญคือแรงเสียดทาน ผมเข้าใจว่าการกลิ้งโดยสมบูรณ์ (ที่ไม่มีการไถล) แรงเสียดทานที่ข้องเกี่ยวด้วยมีแรงเสียดทานสถิตย์ ผมไม่ได้ทักว่าแรงเสียดทานสำคัญต่อการกลิ้งครับ (ผมเห็นด้วย 100%) แต่ผมท้วงในประเด็นสำคัญต่อการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า สมมติว่าล้อหนึ่งกลิ้งไปถนน มันต้องมีแรงเสียดทาน ถูกมั้ยครับ ไม่งั้นไม่กลิ้ง แต่ผมสมมติต่อว่าจู่ ๆ แรงเสียดทานหายไป แปลว่ามันหยุดเคลื่อนที่เลยรึเปล่า ผมคิดว่าไม่นะครับ มันยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อ เพียงแต่คราวนี้ไม่กลิ้ง ผมจึงไม่ถือว่าแรงเสียดทานเป็นแรงที่ทำให้เคลื่อนที่ (แต่เป็นแรงที่ทำให้กลิ้งครับ) เดี๋ยวผมตัดประเด็นนี้ออกดีกว่าครับ (ผมอาจเข้าใจผิด) ส่วนข้อ 24. ก็คงเฉพาะส่วนที่คุณ house (panote_saechiew) #3 ช่วยเพิ่มเติม ^_^ ขอบคุณมากครับที่ท้วงติง จากคุณ : ศล - [ 23 ก.ค. 51 22:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 51 00:08:28 จากคุณ : eera - [ 23 ก.ค. 51 23:05:37 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับ คคห 8 ครับ คิดว่าข้อ 24 คงต้องแก้ไขครับ.... จากคุณ : vandalism - [ 23 ก.ค. 51 23:20:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จาก #1 ข้อ 21 ผมไม่แน่ใจว่า การจับปล่อยด้วยความถี่ เป็นการเล่นกับแรงเสียดทานสถิต และ แรงเสียดทานจลน์หรือเปล่า จริงอยู่ที่แรงเสียดทานจลน์มีค่าคงที่ แต่ถ้าจังหวะที่ผ้าเบรคจับจานเบรคนั้นมันจับจนจานเบรคหยุดนิ่งและเกิดแรงเสียดทานสถิตขึ้นระหว่างหน้าสัมผัสเบรค และ/หรือล้อสัมผัสพื้นหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้น แรงเสียดทานรวม ในช่วงเวลาหนึ่งน่าจะมากขึ้นจริงๆเพราะ มีแรงเสียดทาน สถิตเกิดขึ้นเป็นช่วงๆด้วย ข้อ 22 ผมว่าผู้แต่งใช้คำผิดไปแค่คำเดียวตรงเรื่องคาสัมประสิทธิ์ แค่เปลี่ยนคำว่าพื้น เป็น คู่ผิวสัมผัสทั้งสองแต่ละชนิดมีค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานแตกต่างกัน เท่านี้ก็ไม่มีที่ติแล้วมั้ง ประเด็นที่ผมว่าด่วนสรุปน่าจะเป็นการที่ใช้คำว่าน้ำหนักแทน normal force มากกว่า ถ้าผมเดินลง slope ล่ะ normal force ไม่เท่ากับน้ำหนักแล้วนะ ผมถึงลื่นไถลได้ง่ายขึ้น ข้อ23 ชัดเจนครับ นิวตันไม่เคยและไม่ควรได้เครดิตเป็นผู้ค้นพบแรงเสียดทาน จากคุณ : eera - [ 23 ก.ค. 51 23:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 #9 เยี่ยมครับ ทำให้ผมแก้ปัญหาที่คิดไม่ตกได้ข้อหนึ่ง คือปัญหาเรื่องงานของแรงเสียดทาน กับพลังงานในการกลิ้งครับ คืออยู่ดีๆก็คิดหลุดๆว่า การกลิ้งลงจากพื้นเอียง มีพลังงานในการกลิ้งเปลี่ยนไปเท่ากับงานของแรงเสียดทานหรือเปล่า นั่นเพราะผมสะเพร่านั่นเอง = =" จากคุณ : อัมมาลย์ - [ 23 ก.ค. 51 23:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 #12 ข้อ 21 ผมคิดว่าหัวใจหลักของ ABS น่าจะอยู่ที่ควบคุมทิศทางได้มากกว่าประเด็นเพิ่มแรงเสียดทาน แต่ผมคิดกลับกันนะครับ ไม่รู้จะถูกรึเปล่า ตอนล้อหมุน (ไม่ไถล) บทเด่นเป็นของแรงเสียดทานสถิตย์ ตอนล้อไม่หมุน (ไถล) บทเด่นเป็นของแรงเสียดทานจลน์ แต่ตอนล้อหมุนแรงเสียดทานสถิตย์ไม่ได้ต้านการเคลื่อนที่ของรถ แต่ตอนเบรก แรงเสียดทานจลน์ต้านการเคลื่อนที่ของรถ ถ้าจับ ๆ ปล่อย ๆ แบบเอบีเอส (ซึ่งเรารู้ว่าผลของมันคือใช้ระยะเบรกไกลกว่า) ก็น่าจะมีแรงเสียดทานจลน์น้อยกว่า แบบไม่เอบีเอส ผมอาจผิดนะครับ คิดตามภาพที่วาดในหัว --- ไม่มีความรู้จริงจังเรื่องนี้ (มันยังมี rolling friction ไม่รู้เกี่ยวอะไรกันรึเปล่า) แต่ดูจากลีลาการอธิบายแล้วผมค่อนข้างมันใจว่าผู้เขียนไม่ได้คิดประเด็นที่เรากำลังคิดกันครับ ไม่งั้นคงอธิบายมากกว่านี้ ข้อ 22. ใช่ครับ แต่คำผิดคำเดียวที่เป็นหัวใจของมัน ซึ่งผู้เขียนไม่ได้พูดถึงคู่ผิวสัมผัสเลย ผมเลยยกมาชี้ให้เห็นแค่ตัวอย่างเดียว (และก็คิดไว้แล้วว่ามันเป็นปัญหาจุกจิก) แต่เรื่องคู่ผิวสัมผัสผมคิดว่าสำคัญสำหรับเรื่องนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 51 00:58:57 แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 51 00:58:17 จากคุณ : ศล - [ 24 ก.ค. 51 00:40:10 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมยังสงสัยอยู่เล็กน้อยครับเรื่องสภาพพื้นผิว กรณี F1 การที่ยางรถแข่งเรียบและฐานกว้างกว่ายางรถเก๋งธรรมดา 1. ในเมื่อปริมาณพ.ท.ผิวสัมผัสไม่มีผลต่อแรงเสียดทาน ดังนั้นทำไมยางรถแข่งถึงต้องฐานกว้างกว่า? อันนี้ผมตั้งสมมติฐานว่า ยางรถแข่งมันอ่อนนิ่มกว่ายางรถปกติ ฐานเลยต้องกว้างกว่าเพราะเดี๋ยวมันจะไม่ stable และคุณสมบัติของ material แบบนี้ทำให้ยางรถแข่งเกาะถนนดีกว่า? หมายถึง friction coeff มากกว่า? หรือมันมีแรงอย่างอื่นจากคุณสมบัติของยางที่ทำต่อถนนอีก? 2. การที่ยางรถเก๋งปกติบากยางเพื่อให้วิ่งในพื้นผิวที่มีน้ำหรือ debris และสามารถหมุนเหวี่ยงให้ออกไปได้ ถ้าเป็นยางแบบเดียวกันแต่มีแบบบากกับไม่บาก วิ่งบนพื้นผิวเรียบแต่ไม่ลื่น ไม่มี debris, น้ำ ยางทั้งสองจะมี friction coeff เท่ากันหรือไม่ (บาก = พ.ท.ผิวลดลง) อันนี้โยงกลับไปกรณีรองเท้าคนเราปกติ ถ้าเดินในพื้นผิวปกติ รองเท้าที่มีดอกกับไม่มีดอกจะทำให้คนเราเดินได้ไม่ลื่นเท่ากันจริงหรือ??? (Material เดียวกัน แต่ปริมาณพื้นที่ต่างกันจากการบากดอกยาง) แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 51 01:03:22 จากคุณ : Lueng - [ 24 ก.ค. 51 01:01:56 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมอ่านของคุณ 15# แล้วงงๆ ^ ^ ^ ^ ในความคิดของผมปริมาณพ.ท.ผิวสัมผัสไม่มีผลต่อแรงเสียดทาน ไม่จริงมั้งครับ.,. พื้นที่สัมผัสที่มากขึ้นก็ทำให้จับยึดได้มากขึ้นแรงเสียดทานก็ต้องมากขึ้น.,.,. อยางในการออกแบบ แผ่นผ้าใบเบรกและคาลิปเปอร์ ขิ้นผ้าใบเบรคที่ยาวและใหญ่ขึ้น+จำนวนของคาลิปเปอร์ที่มากขึ้นก็ให้แรงกดและจุดสัมผัสได้มากขึ้น ., สามารถให้ประสิทธิภาพห้ามล้อได้ดีกว่า หากผมผิดถูกอย่างไร ช่วยแก้ไขด้วยนะครับ.,. ? ในสนามแข่งความเร็วเค้าใช้ยางหน้าตัดกว้างแบบสลิค์หรือ แม้แต่ F1 ก็ใช้ยาง(หลัง) ที่มีหน้าตัดกว้างเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานไม่ใช่หรือครับ? ขนาดของยางก็สัมพันธ์กับกำลังของเครื่องยนต์ด้วย เท่าที่ผมสังเกตุดูร่องของยางสปอท์ ก็ไม่ได้บากจนห่างและลึกเหมือนกับยางสำหรับวิ่งทางวิบากจนทำให้ผิวสัมผัดลดลง.,  แต่ทั้งนี้ก็เพราะเหตุผลเพื่อรีดน้ำออกจากผิวสัมผัสเป็นสำคัญและยังรักษาความสามารถในการยึดเกาะ(เพิ่มแรงเสียดทาน).,. ? ยากของ F1ก็มีแบบ Rain ด้วยนิครับ ? จากแนวคิดของผมในข้อ 2 ตอบได้ว่ายางที่ไม่บากจะทำความเร็วได้มากกว่าเพราะผิสสัมผัสมากกว่าครับ และพื้นผิดตามที่กล่าวมานั้น ยางแบบ สลิคแสดงประสิทธิภาพได้ดีที่สุด. เรื่องยางกับแรงเสียดทานนี่ยังมี ค่ามิว(ความทนทานต่อการสึกหรอของยาง)มาเกี่ยวข้องอีก - - ไปๆมาๆชักยาวแล้วแหะๆ แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 51 02:48:17 จากคุณ : ป๋าแมน - [ 24 ก.ค. 51 02:46:41 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เยี่ยมมากค่ะ สุดยอดเลย จากคุณ : มิ้นๆ (mint_la) - [ 24 ก.ค. 51 02:49:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เท่าที่ผมรู้มา (จากการดูรายการรถยนต์) ยางรถแข่งแบบเรียบ (Slick Tire) จะใช้ยางที่มีความนุ่มกว่ายางรถทั่วๆไปครับ เนื่องจากการแข่งรถ F-1 เป็นการแข่งที่ใช้ความเร็วสูง ถ้ามีพื้นที่สัมผัสของยางกับถนนน้อย การเข้าโค้งและเบรคก็จะทำได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ยางที่นุ่ม เวลารถวิ่งไปตามพื้นถนน ยางจะได้รับความร้อนจากการสัมผัสและเสียดสีกับถนนมาด้วย ทำให้ยางเกิดการขยายตัวและเกาะพื้นถนนมากขึ้น คนที่อธิบายเขาบอกเลยครับ "ยิ่งวิ่งเข้าโค้งเร็วเท่าไหร่ รถก็จะยิ่งเกาะถนนดียิ่งขึ้น" ขนาดในการเตรียมตัวก่อนการแข่ง เขายังต้องมีการอุ่นยางด้วยถุงน้ำร้อนเลยครับ เพื่อไม่ให้ยางเย็นจนเกินไปครับ แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 51 03:08:25 จากคุณ : angel13th - [ 24 ก.ค. 51 03:06:37 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อืม ประเด็นของผมอาจจะต้องแบ่งออกเป็น 2 กรณีล่ะครับ คือ rigid กับ elastic material rigid material ที่นน.ของมัน uniform แรง friction มันไม่ขึ้นกับปริมาณพ.ท.ผิวจริงๆครับ ตามสมการของแรงเสียดทาน แต่ผมไม่มีความรู้เรื่อง elastic material ที่แรงมันไม่ uniform เลย ซึ่งจากที่รู้มาก็คือยิ่งพ.ท.สัมผัสกว้างเท่าไหร่ friction มันจะยิ่งเพิ่มน่ะครับ ถ้าจะมีใครช่วยแก้ความเข้าใจของผม และ/หรือช่วยอธิบายตรงจุดนี้ให้กระจ่างขึึ้นได้ก็จะขอบคุณมากเลยครับ จากคุณ : Lueng - [ 24 ก.ค. 51 06:03:09 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ยางรถยนต์มันมีการเปลี่ยนสภาพผิวสัมผัส เวลากดกับถนนครับ ผิวยางที่อ่อนนิ่มจะเปลี่ยนรูปแทรกกดเข้าไปตามร่องเล็กๆ ของถนน เหมือนดินน้ำมันที่ถูกกดลงไปบนแม่พิมพ์ ยิ่งยางอ่อน ยิ่งเปลี่ยนสภาพแทรกบนผิวถนนได้ดี ถ้าผิวยางแข็ง จะเปลี่ยนสภาพได้น้อย (เช่นยางรถยนต์รุ่นประหยัดน้ำมัน) จุดสัมผัสมันไม่เหมือนกับ Rigid Body กลม กับพื้นเรียบแข็งน่ะครับ จากคุณ : อะธีลาส - [ 24 ก.ค. 51 07:43:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เรื่้อง ABS การลดแรงดันน้ำมันเบรค จะทำให้ล้อไม่ล๊อคตาย ซึ่งการที่ล้อยังหมุน จะสามารถควบคุมทิศทางได้ เนื่องจากแรงเสียดทานในทิศทางการหมุน ต่ำกว่าแรงเสียดทานการไถล ล้อจะยังเคลื่อนไปตามทิศการหมุน ซึ่งอยู่ในความควบคุมของคนขับได้ แต่ถ้าล้อล๊อคแล้ว แรงเสียดทางทุกทิศทางจะเท่าๆกัน ทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ ก็ขึ้นกับทิศทางของโมเมนตั้มสุดท้ายตอนที่ล้อเริ่มล๊อค ซึ่งจะควบคุมไม่ได้เลย ยิ่งล้อล๊อคไม่พร้อมกัน หรือแรงเสียดทางขณะไถลของแต่ละล้อไม่เท่ากัน ก็จะเกิดการหมุนได้ ถ้าเบรคในทางตรง ตั้งล้อตรง และเบรคแรงจน ABS ทำงาน ระยะเบรคจะยาวกว่าเบรคโดยรักษาแรงกดเบรคสูงสุดที่ล้อไม่ล๊อคครับ เรื่องยาง ที่ทำไมถึงมีหน้าสัมผัสมากๆ จะดี ที่คิดได้ก็สองทางครับ ด้านที่หนึ่ง หน้าสัมผัสมากกว่า ก็จะเฉลี่ยแรงม้าที่จะส่งผ่านไปที่พื้น และเฉลี่ยน้ำหนักรถที่ยางรับอยู่ ทำให้แรงต่อพื้นที่ยางน้อยลง น้ำหนักรถต่อพื้นที่ยางน้อยลง ภาระต่อยางน้อยลง ทนทานขึ้น ร้อนน้อยลง ฯลฯ ด้านที่สอง ถ้ามีพื้นที่นิดเดียว พื้นที่ตรงนิดเดียวตรงนั้นไปทับบนผิวลื่น ก็จบเห่เลย พื้นที่มาก โอกาสที่พื้นยางจะจับกับพื้นถนนที่ไม่ลื่นก็มากกว่า แต่มากเกินก็ไม่ดีนะ แรงเสียดทานการหมุนก็มากขึ้น มวลมากขึ้น ประสิทธิภาพก็ลดลง แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 51 09:00:50 จากคุณ : alan the lamb - [ 24 ก.ค. 51 08:59:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เท่าที่ผมจำได้นะครับ จริงๆ แรงเสียดทานเกิดที่อณูของผิวสัมผัสครับ แล้วแรงเสียดทานรวมก็คือการ integrate แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นที่แต่ละอณูครับ สูตรอย่างง่ายในกรณีที่การกระจายความเค้นเป็นแบบ uniform คือ friction = u (สปส.แรงเสียดทาน) X P (ความดันหรือความเค้นที่อณูผิวสัมผัส) X A (พื้นที่ผิวสัมผัส) จะเห็นว่ายิ่งยิวสัมผัสใหญ่ (ที่ normal force เท่ากัน) P จะยิ่งน้อยลง ซึ่งจะลดโอกาสที่จะเกิดการ slip (แรงเสียดทานสถิตย์กลายเป็นแรงเสียดทานจลน์) ที่แต่ละอณูครับ จากคุณ : delabiere - [ 24 ก.ค. 51 10:24:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เรื่อง F1 กับยาง ขอเป็นผู้อ่านครับ จากคุณ : ศล - [ 24 ก.ค. 51 10:27:25 ]

ความคิดเห็นที่ 24 (หน้า 112) "เพราะตามกฎของธรรมชาติ เมื่อความเร็วลดลง แรงเสียดทานจะมากขึ้นจนเคลื่อนที่ไปไม่ได้ในที่สุด ดังนั้นจุดที่เหมาะสมคือจุดที่แรงเสียดทานกับความเร็วสมดุลซึ่งกันและกัน" เอ่อ คนเขียนมีวัตถุประสงค์อธิบายง่ายๆ ไม่ใช่เหรอครับ  ทำไมเค้าไม่บอกแค่ว่าแรงเสียดทานมันสวนทางกับทิศทางความเร็ว แปลว่าความเร่งเป็นลบ แปลว่าความเร็วจะลดลงตามเวลา จนเท่ากับศูนย์ และพอไม่เคลื่อนที่ก็ไม่มีแรงเสียดทาน จากคุณ : delabiere - [ 24 ก.ค. 51 10:29:13 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เรื่องยางเรียบ เห็นด้วยกับคุณ house (panote_saechiew) ครับ แต่ในการออกแบบยางรถบรรทุกก็มีการออกแบบร่องขวางๆ ที่ไม่ช่วยรีดน้ำแต่ช่วยตะกุยบนถนนที่ผิวไม่เรียบแทนครับ (ใช้ normal force ระหว่างยางกับเศษหินด้วย ไม่ได้ใช้แต่ friction กับผิวถนนครับ) จากคุณ : delabiere - [ 24 ก.ค. 51 10:32:17 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ส่วนเรื่อง ABS (ถ้าผมจำไม่ผิดนะ) สิ่งที่ควรเกิดก็คือ มีแรงเสียดทานสถิตย์ระหว่างยางกับถนน แต่มีแรงเสียดทานจลน์ที่ระบบเบรก และล้อค่อยๆ หมุนช้าลงจนหยุด ซึ่งจะควบคุมทิศทางได้ แต่หากระบบเบรกจับแน่นเกินไปจนเกิดแรงเสียดทานสถิตย์ จะเกิดอาการล้อล๊อก คือแรงเสียดทานระหว่างยางกับถนนกลายเป็นแรงเสียดทานจลน์ ซึ่งจะทำให้เกิดการไถลครับ จากคุณ : delabiere - [ 24 ก.ค. 51 10:39:25 ]

ความคิดเห็นที่ 27 22. มีแรงเสียดทาน ให้นึกถึงการเคลื่อนที่ของผิวสัมผัสวัตถุ 2 ชิ้น (หน้า 105) "แรงเสียดทานในทางกายภาพจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของวัตถุด้วย เช่น คนที่น้ำหนัก 100 กิโลกรัมเดินบนพื้นชนิดเดียวกันย่อยมีแรงเสียดทานมากกว่าคนหนัก 50 กิโลกรัม พื้นแต่ละชนิดมีค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานแตกต่างกัน" จุด นี้ละเอียดอ่อนสักนิด จู้จี้จุกจิกหน่อยนะครับ ผมเถียงได้ว่าการด่วนสรุปดังกล่าวไม่จริง คนที่มี "มวล" 100 กิโลกรัมใส่รองเท้าแตะที่ดอกยางหายเกลี้ยง กับคนที่มี "มวล" 50 กิโลกรัมใส่ไนกี้ เดินบนพื้นเดียวกัน คนไส่ไนกี้น่าจะมีแรงเสียดทานในระหว่างที่เดินมากกว่า จุดที่ผมบอกว่าจู้จี้จุกจิกไปนิดคือในบทนี้ทั้งบทผู้เขียนไม่ได้แสดงความ สำคัญของคู่ผิวสัมผัสเลย ทั้ง ๆ ที่คู่ผิวสัมผัสนี่แหละเป็นตัวแปรหนึ่งของแรงเสียดทาน (ค่า สปส ไงครับ) จะพูดว่า สปส ความเสียดทานขึ้นอยู่กับสภาพพื้นอย่างเดียวไม่ถูก (หรือถูกไม่สมบูรณ์ - และความเข้าใจที่ถูกต้องสำหรับเรื่องนี้ต้องการความสมบูรณ์) เราต้องดูด้วยว่าคู่วัตถุที่มาสัมผัสมันมีสภาพผิวเป็นอย่างไร เรื่องน้ำหนัก กับ มวล ท้วงไปแล้วในบทแรก และเชื่อว่าคงมีผิดทั้งเล่ม ระดับ 2 ^ ^ ผิวสัมผัสก็เกี่ยวครับ แต่สมมติว่าผิวสัมผัสเหมือนกัน คน 100 โลก็ไม่จำเป็นต้องเกิดแรงเสียดทานมากกว่าคน 50 โล ผู้เขียนควรอธิบายด้วยว่า แรงเสียดทานสถิตย์มีค่าได้ตั้งแต่ 0 ถึง uN (เค้าอาจจะอธิบายในหนังสือก็ได้ แต่ผมไม่สนใจจะซื้ออ่าน) จากคุณ : delabiere - [ 24 ก.ค. 51 10:43:45 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อืม สรุปว่า ถ้าเป็น elastic body เราจะให้ F = integrate(uPA) ไม่ใช่ uN ใช่ไหมครับ เนื่องด้วย Pressure มันไม่ uniform แปลว่าพื้นรองเท้าที่ทำจากยางหรือ elastic material อื่นๆ ถ้าไม่มีดอกยาง(เรียบ)จะเกาะพื้นได้ดีกว่ารองเท้าที่มีดอกยาง ??? แต่ถ้าพิ้นรองเท้าเป็นไม้ มีลายบนพื้นรองเท้ากับไม่มี คุณสมบัติการเกาะพื้นจะเหมือนกัน ??? อันนี้ทั้งสองแบบพูดถึงกรณีเดินบนพื้นเรียบๆไม่มีน้ำอย่างพื้นปาร์เก้อะไรแบบเนียนะครับ ผมเข้าใจผิด/ถูก อย่างไร จากคุณ : Lueng - [ 24 ก.ค. 51 12:04:54 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมไม่มีความรู้เลย แต่สงสัย เรื่องวัสดุผิวเรียบกับมี เช่น ล้อยางรถยนต์ ผมว่า ยางผิวเรียบ มันจะกระจายน้ำหนัก ส่วนยางที่มีดอกยาง น้ำหนักจะกระจายไปที่ผิวสำผัสของดอกยาง น้ำหนักจะกดไปที่ดอกยาง มากกว่า พื้นผิวเรียบนะครับ ทำให้ เกาะถนนได้ดีกว่า ส่วนยางรถแข่งทีผิวเรียบ แต่วัสดุนั้น ยืดหยุ่นมากกว่ายางรถยนต๋ธรรมดา และสึกหรอ อย่างรวดเร็ว และถ้ายางเกิดการแข็งตัวก็จะลื่นไถล นะครับ อ่านๆมาก็งงๆ ขอความรู้เพิ่มเติมด้วยครับ จากคุณ : *-* - [ 24 ก.ค. 51 12:37:44 A:61.19.65.62 X: TicketID:181488 ]

ความคิดเห็นที่ 30 #28 ครับ ตอบยากครับ ค่า u รู้สึกว่าจะขึ้นอยู่กับทั้งความยืดหยุ่นของผิวและความขรุขระของผิวครับ ถ้าเอาแบบหยาบๆ สมมติให้ u เท่ากัน พื้นรองเท้าจะเรียบหรือมีดอกก็เกาะพื้นเท่ากัน เพราะ N (= integrate (P x A)) เท่ากัน หมายเหตุ ความเห็นของผมเป็นแค่ที่พอจะจำได้จากที่เรียนมา กรุณาอย่าเชื่อในทันที แนะนำให้ค้นคว้าเพิ่มเติมก่อน จากคุณ : delabiere - [ 24 ก.ค. 51 13:32:12 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เรื่องยาง F1 คิดง่ายๆได้เลย คิดซะว่าแรงเสียดทานเกิด ต้านการเคลื่อนที่ พื้นที่สัมผัสมีผลต่อขนาดแรงเสียดทานรวม เหตุผลที่ F1 ใช้ยางเรียบและบาง เพื่อให้สามารถสร้างแรงต้านทานขนาดใหญ่ กรณีที่ต้องการหยุดรถในขณะที่มีความเร็วสูงได้ นั่นหมายถึงรถ F1 ต้องการ ใช้ความเร็วสูงตลอดระยะทางวิ่ง แต่ต้องการใช้ระยะเบรคที่สั้น เมื่อต้องการลดความเร็วในช่วงที่ต้องการ ส่วนการเสถียรของรถขนาดเลี้ยวโค้ง ปัจจัยอยู่ที่จุดศูนยกลางความถ่วง จึงทำให้รถมีฐานล้อกว้าง และต่ำ เสริมเหตุผลอีกข้อหนึ่งของการใช้ยางใหญ่ ขณะเครื่องยนต์สร้างแรงบิดไปข้างหน้า ยางจะทำหน้าที่ถีบตัวพื้นไปด้านหลัง(รถไปด้านหน้า) ถ้ายางไม่ใหญ่พอ แรงเสียดทานที่เกิดจะทำ ไม่สามารถรักษาการเกาะถนนได้ ล้อก็จะหมุน(เผายาง เท่ห์ไปเลย) จากคุณ : c2k - [ 24 ก.ค. 51 15:07:28 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ...เข้ามาดู จากคุณ : Koongie - [ 24 ก.ค. 51 19:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ว่าแต่ (ผิวสัมผัสสูงสุด)   รู้สึกแรงเสียดทานจะไม่ขึ้นกับพื้นที่ หรือยังไงเนี่ยแหละค่ะ จากคุณ : มิ้นๆ (mint_la) - [ 24 ก.ค. 51 21:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ... เข้ามาอ่าน จากคุณ : zmen - [ 25 ก.ค. 51 14:49:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ยาง F1 หน้ากว้างๆ เหตุผลนึงก็เพราะต้องการเฉลี่ยงแรงเฉือนที่เกิดจากการเร่ง การเบรคให้น้อยลง จนอยู่ในระดับที่ยางและแก้มยางรับไหวนะครับ โดยไม่ต้องให้ยางมันหนาเกินไปจนหนักมาก ถ้าหน้าแคบ เบรคแรงๆ หรือเร่งแรงๆ หน้ายางอาจจะไม่สามัคคี ร่อนออกมาเป็นแผ่นๆได้ เบรค F1 นีี่มันเมพมากนะครับ เรื่องความฝืด หน้าใหญ่เล็ก มันก็ไม่ต่างกันอยู่แล้ว จากคุณ : alan the lamb - [ 27 ก.ค. 51 18:15:41 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อืม สรุปว่า ถ้าเป็น elastic body เราจะให้ F = integrate(uPA) ไม่ใช่ uN ใช่ไหมครับ เนื่องด้วย Pressure มันไม่ uniform แปลว่าพื้นรองเท้าที่ทำจากยางหรือ elastic material อื่นๆ ถ้าไม่มีดอกยาง(เรียบ)จะเกาะพื้นได้ดีกว่ารองเท้าที่มีดอกยาง ??? แต่ถ้าพิ้นรองเท้าเป็นไม้ มีลายบนพื้นรองเท้ากับไม่มี คุณสมบัติการเกาะพื้นจะเหมือนกัน ??? อันนี้ทั้งสองแบบพูดถึงกรณีเดินบนพื้นเรียบๆไม่มีน้ำอย่างพื้นปาร์เก้อะไรแบบเนียนะครับ ผมเข้าใจผิด/ถูก อย่างไร ----ผมว่ามันสรุป แบบนั้นมันไม่ผิด แต่ไม่ถูกทั้งหมดครับ เพราะวัสดุบางอันก็ลื่นกว่าเมื่อเรียบ บางอันก็ฝืดกว่าเมื่อเรียบกว่า(เทียบกับบาก) ผมว่ามันขึ้นอยู่กับพื้นด้วย อุณหภูมิด้วย หลายอย่าง แต่ที่คุณสรุปผมว่าถูกนะ(งงป่ะ) ************************************************************************************************ หน้า 112) "เพราะตามกฎของธรรมชาติ เมื่อความเร็วลดลง แรงเสียดทานจะมากขึ้นจนเคลื่อนที่ไปไม่ได้ในที่สุด ดังนั้นจุดที่เหมาะสมคือจุดที่แรงเสียดทานกับความเร็วสมดุลซึ่งกันและกัน" อันนี้ไม่ใช่แรงเสียดทานทำให้ความเร็วลดลงหรอครับ ถ้าผิดไม่ใช่เรื่องเล็กนะอันนี้ ************************************************************************************************ เรื่องพื้นที่ผิวสัมผัสกับแรงเสียดทาน ไม่รู้ว่าเรื่องที่ผมจะยกตัวอย่างมันอยู่ในประหรือเปล่านะครับ ผิดถูกยังไงก็แก้ให้ด้วยนะครับ ลองเอาผ้า(ผ้าเช็ดหน้าก็ได้)2ผืน มาวางให้ปลายซ้อนกัน พับให้รอยพับตั้งฉากกับขอบผ้าจุดที่ซ้อนกัน เอามือจับไว้หลวมๆ ตรงจุดซ้อน ให้คน2คนดึงที่ปลายทั้ง2ด้าน(ให้ผ้าเลื่อนออกจากกัน) สังเกตุว่า ยิ่งพับทบไปมากๆ(พับแบบพัดอะครับ) ก็จะดึงผ้าออกจากกันได้ยาก หรือที่จำนวนทบที่พับไปเท่ากัน แต่เลือนให้ผ้ามันซ้อนกันลึกกว่า ก็จะดึงออกได้ยากกว่า ผิดถูกยังไง หรือเกี่ยวไม่เกี่ยวยังไงบอกผมทีนะ เพราะอันนี้เล่นมาตั้งแต่เด็กๆไม่รู้ว่ามันเกี่ยวหรือเปล่า จากคุณ : PST (Ps Tohchang) - [ 29 ก.ค. 51 01:14:17 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ยางมันก็ไม่เหมือนยางหรอกครับ ลองนึกถึงไม้ปิงปองดูละกันครับ ทำไมไม้บางอันมันแค่ 50 บาท บางอันเป็นพันแค่ยางแผ่นเดียว มันก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ Power, spin, control มันต่างกัน นอกจากแรงเสียดทานที่รู้ๆมันก็มีอีกหลายแรงครับ adhasoin, cohesion,... เรียนมาก็จำไม่ค่อยได้ละ ขี้เกียจไปค้นตำรา มันก็ไม่ได้มีผลมากเท่าไรหรอกครับ แต่มันก็ไม่ใช่ง่ายๆแค่อะไรสองตัวคูณกันครับ ส่วน abs รู้สึกจะทำงานช่วง slip ประมาณ 20% มั้งครับ เพราะเค้าก็อยากให้ค่า สปส มันสูงๆไว้ ถ้าล้อมันล๊อกมันก็จะป็นแรงเสียดทานจลน์ ระยะเบรคมันก็จะยาวกว่า ขนาดพื้นสัมผัสของยางกับถนนก็ประมาณโปสการ์ดครับ ถ้าแรงเท่ากันแล้วพื้นที่มากกว่าก็สามารถถ่ายทอดแรงได้ดีกว่าครับ แล้วมันก็มีทั้งโซนที่อยู่เฉยๆกับโซนที่ไถลตอนวิ่ง จากคุณ : rx7 - [ 29 ก.ค. 51 05:47:04 A:130.75.209.6 X: TicketID:036623 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สมัยเด็กๆ  ผมเถียงกะเพื่อน เรื่องการเบรครถ เขาว่า ล้อใหญ่ๆ เบรคได้ดีกว่า ผมก็ไปเถียงว่าผิดกฏฟิสิกส์ เพราะว่า พื้นที่ผิวสัมผัสมันไม่เกี่ยวข้องกับแรงเสียดทาน แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ ผมผิด  เพราะว่า แรงเสียดทานที่ใช้ในการเบรครถ คือแรงเสียดทานสถิตย์ ไม่ใช่แรงเสียดทานจลน์ตามในหนังสือ จากคุณ : NaCl - [ 29 ก.ค. 51 15:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผมเห็นว่าเด็กเราโง่ เพราะกระทรวงศึกษาเต็มไปด้วยคนไม่รู้เรื่อง(หรือโง่ก็ไม่รู้) อย่างเรื่องล้อรถยนต์ผมดูมานาน เรื่องอื่นบังเอิญผมไม่ใช่นักวิชาการ ที่เลวร้ายยังมีอีก เช่น ฤดูเกิดจากโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี (ไม่รู้เปลี่ยนยังตอนนี้..ลูกผมโตหมดเเล้ว)ครูก็สอนเข้าไปไม่ลืมตาดูชาวโลกเลย ผมว่าคุณจรวยพอน น่าจะแบะออกมารับผิดบ้างนะ ก่อนที่เด็กจะโง่ไปกว่านี้ จากคุณ : จากใจจริง - [ 30 ก.ค. 51 18:51:00 A:118.174.179.236 X: TicketID:102386 ]