ความคิดเห็นที่ 1 ในประเทศจีน ปราชาชนจีน 1,500 ล้านคน ใช้ภาษาจีนเป็นสื่อติดต่อกันทุกวัน ภาษาจีนไม่ใช่ภาษาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในการสื่อสารระหว่างชาติ ด้วยเหตุนี้โลกภายนอกจึงได้รับข้อมูลความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในแผ่นดินจีนน้อยมาก ยกเว้นข้อมูลข่าวสารทางการเมืองบางประการ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับจานบินนั้น ผมได้รับรายงานพบเห็นจากบินในจีนเป็นจำนวนมากมาหลายปีแล้ว ทั้งจากฝ่ายพลเรือนและจากฝ่ายทหาร แต่ช่วงระหว่างปีสุดท้าย เมื่อไม่นานมานี้ รายงานเกี่ยวกับจานบินนับว่าได้ยากมาก เนื่องจากเป็นความลับทางราชการมากขึ้น แทนที่จะได้รับตามปรกติกลับตรงกันข้ามทีเดียว แต่ถึงอย่างไรผมก็ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการค้นคว้าเรื่องจานบินในจีนพอสมควร ประการแรกเราต้องยอมรับว่าหลังจากการโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องจานบินต่อเนื่องกันมาสี่สิบห้าปีแล้ว ไม่มีใครทราบว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร ? มาจากไหน ? และหายไปได้อย่างไร ? เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา นักวิจัยค้นคว้าจานบินชาวจีนเป็นจำนวนมากต่างสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับจานบินในแนวคิดใหม่ว่า แม้จานบินจะมีแหล่งกำเนิดจากนอกพิภพ แต่ก็มิใช่วัตถุบินที่เดินทางเท่ากับความเร็วของแสง แต่จริงๆ แล้วมันเดินทางเร็วกว่าแสง ลักษณะการบินประหลาดนี้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนรูปพลังหยิน-หยางนั่นเอง ดังนั้นหากเราต้องการเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้ง เราต้องเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับความหมายของมันให้ชัดเจน แม้ว่าการบินของจานบินดูเหมือนว่ามิใช่การบินตามปรกติแต่การบินแบบประหลาดของมันก็มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด นั่นคือมันสร้างปรากฏการณ์ลวงตาโดยการบินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การบินแบบพิสดารนี้เป็นปรากฏการณ์เคลื่อนที่เหนือมิติและกาลเวลา ซึ่งยากที่จะตามทางบินของมันได้ง่าย เส้นทางบินที่กล่าวถึงนี้คือเส้นโค้งต่อเนื่องระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุด ซึ่งไม่มีช่วงขาดตอนและไม่สามารถมองเห็น เช่น การยิงปล่อยจรวดยานอวกาศเป็นการบินที่มองเห็นได้ หรือทางโคจรของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสของอะตอมที่มองเห็นได้ด้วยเครื่องทดสอบ แต่หากเก็บเป็นวัตถุที่ขับเคลื่อนไปโดยพลังจิต เราไม่สามารถเห็นได้ มันสามารถปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันทันใด ไม่ว่าจะเป็นระยะใกล้หรือระยะไกล ตัวอย่างเช่น ซาง เป้าซาง นักพลังจิตระดับสูงของจีนที่มีข่าวลือว่า เขาสามารถเดินทะลุกำแพงได้โดยพลังจิตลักษณะใช้พลังดังกล่าวนี้ก็ถือว่าเป็นการเคลื่อนที่ไปโดยไม่สามาถมองเห็นได้ การบินของจานบินที่เป็นการเคลื่อนที่ไปในลักษณะที่เร็วมากจนไม่สามารถสังเกตได้ง่าย เช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ของพลังจิตหรือพลังลึกลับที่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ นอกจากนั้นมันสามารถทะลุไปถึงอดีตหรืออนาคต สรุปแล้วลักษณะการบินของจานบินคือ ปรากฏการณ์เคลื่อนที่เหนือการต่อเนื่องของมิติและกาลเวลา จากคุณ : Mr.Terran - [ 11 ส.ค. 51 15:12:23 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตามปรัชญาจีนกล่าวว่า ในช่วงกำเนิดจักรวาลไม่มีสิ่งใดนอกจากพลังหยิน-หยาง พลังทั้งสองนี้จะควบคุมการแปรสภาพทุกสิ่งทุกอย่างในห้วงแห่งจักรวาล พลังหยินมีพลังหยางแฝงอยู่ และพลังหยางก็มีพยังหยินแฝงอยู่ พลังทั้งสองจะแปรเปลี่ยนหรือสร้างวัตถุหรือเหตุการณ์ปรากฏขึ้ในจักรวาลตามวัฏจักรการแปรสภาพที่ไม่มีสิ้นสุด บางครั้งคำว่าหยินและหยางใช้กับคำที่เรียกเป็นนามธรรมของสิ่งต่างๆ เช่น ส่วนที่เป็นหยิน ส่วนที่เป็นหยาง ความว่างเปล่า สสาร สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง สิ่งที่มีรูปร่าง - โลก - สวรรค์ - ดวงจันทร์ - ดวงอาทิตย์ - เพศหญิง - เพศชาย - น้ำ - ไฟ - ความมืด - แสง - ภายใน - ภายนอก - คงที่ - เคลื่อนที่ - ฝน - เมฆ - แม่เหล็ก (ขั้วทั้งสองเป็นทั้งหยินและหยาง) - ไฟฟ้า - ต่ำหรือใต้หรือล่าง - เหนือ - หนาว - ร้อน - อ่อน - แข็ง - การหดตัว - การขยายตัว จากคุณ : Mr.Terran - [ 11 ส.ค. 51 15:12:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เนื่องจากพลังหยินและหยางมีความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นของคู่กันอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจึงมักจะมีคู่กัน ทั้งที่ขัดแย้งและสัมพันธ์กัน หรือรวมกันในลักษณะเป็นเอกภาพ เช่น หากมีสวรรค์ก็ต้องมีโลก หากมีเพศชายก็ต้องมีเพศหญิง หากมีข้างบนก็ต้องมีข้างล่าง ทุกอย่างจะปรากฏในลักษณะเป็นคู่ แต่สำหรับกระบวนการแปรสภาพภายในของพลังหยินและหยาง บางครั้งจะดูเหมือนว่าขัดแย้งกัน เมื่อพลังหยินพัฒนาจนถึงจุดสูงสุดของมัน ก็จะกลายเป็นพลังหยาง กระบวนการดังกล่าวนี้จะเปลี่ยนรูปพลังจากผลทางด้านปริมาณไปสู่ผลทางด้านคุณภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติไปสู่ชีวิตของมนุษย์ และจากชีวิตมนุษย์ก็จะกลับไปสู่ธรรมชาติ สรุปก็คือ มันจะเป็นไปตามกฎนี้ทุกประการ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า มวลสารที่เป็นหยินและมวลสารที่เป็นหยาง ทุกชนิดรวมกันก่อรูปร่างเป็นโลก ดาวพระเคราะห์ เทหวัตถุต่างๆ จนเป็นจักรวาลในที่สุด รูปแบบของหยินและหยางดังกล่าวจะเป็นแนวคิดในการวิเคราะห์เกี่ยวกับจากบิน จากคุณ : Mr.Terran - [ 11 ส.ค. 51 15:13:42 ]

ความคิดเห็นที่ 4 นักค้นคว้าเกี่ยวกับจานบินของจีนหลายคนเชื่อว่า วัตถุบินลึกลับหรือจานบินมาจากดวงดาวที่อยู่ไกล เป็นการเดินทางมาโดยใช้หลักการแปรรูปพลังหยิน-หยางนั่นเอง ประเทศจีนมีประชากรจำนวนมหาศาล และเนื่องจากขาดแคลนแพทย์และยา ประชาชนบางกลุ่มจึงหันไปนิยมรักษาด้วยวิธีเก่าแก่ใช้กันมานานหลายศตวรรษ เช่นการใช้สมุนไพร รวมถึงการฝึกกำลังภายใน หรือที่เรียกว่าศาสตร์ลับจี้กง (การฝึกสมาธิอีกวิธีหนึ่ง) เพื่อใช้ช่วยการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ วิธีรักษาแบบจี้กงไม่จำเป็นต้องอาศัยแพทย์ เข็มฉีดยา หรือยาต่างๆ ประหยัดทั้งเวลาและเงินค่ารักษา นอกจากนั้น หากใครฝึกกำลังภายในหรือฝึกจี้กงก็เท่ากับช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และช่วยให้มีพลานามัยสมบูรณ์ด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว จะเห็นได้ว่าชาวจีนกว่า 20 ล้านคนนิยมฝึกจี้กงเป็นประจำวัน การฝึกจี้กงไม่เาพียงแต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและช่วยรักษาโรยภัยไข้เจ็บเท่านั้น มันยังช่วยให้พลังชี่หรือพลังลมปราณที่มีคุณค่าแก่ชีวิตไหลหมุนเวียนเข้าออกภายในร่างกายของเราด้วย นอกจากนั้นยังเป็นการฝึกสมาธิและพลังจิตให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ผมได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว ผลที่ได้รับทำให้พลังจิตแก่กล้าสามารถ ช่วยสะกดจิตรักษาโรค การรับรู้ทางใน ซ่อมตะเกียบและเข็มที่แตกหัก สามารถมองเห็นภาพในระยะไกล การบังคับตัวเองให้ลอยขึ้นจากพื้น การบังคับวัตถุเคลื่อนที่ เดินทะลุกำแพง การเดินทางไปในระยะไกลภายในเวลาสั้นไม่กี่นาที รวมทั้งการถอดกายทิพย์ ผู้ฝึกจี้กงเป็นจำนวนมากเปิดเผยว่า ภายหลังจากกำหนดจิตเข้าสู่สภาวะจิตสงบนิ่งเป็นสมาธิแล้ว พลังจิตจะไหลไปสู่ดาวเคราะห์ดวงอื่น สามารถมองเห็นพวกมนุษย์ต่างพิภพและได้พูดคุยกัน บางคนกล่าวว่าได้เข้าไปยังจานบินในห้วงอวกาศนอกโลก ถึงกับสามารถพูดบอกรายละเอียดของแผงเครื่องมือต่างๆ ภายในยาน รวมทั้งสามารถอธิบายถึงลักษณะการทำงานของลูกเรือบนจานบินลึกลับได้ จากเหตุผลข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมามีเรื่องราวดังกล่าวตีพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสารยูเอฟโอ และจี้กงในประเทศจีนมากขึ้นผิดปรกติ พวกที่ฝึกจี้กงใช้พลังจิตอย่างไรบินไปยังดาวพระเคราะห์ดวงอื่น และจานบินหรือวัตถุลึกลับบินมายังโลกเราได้อย่างไร ? นักวิจัยค้นคว้าหลายคนได้กล่าวว่า ปรมาจารย์หรือผู้เชี่ยวชาญในการฝึกจี้กงหลายคนสามารถใช้พลังจิตเด็ดใบไม้จากต้นไม้ สามารถบังคับให้วัตถุลอยขึ้นข้างบน ถึงกระนั้นก็ตามความสามารถต่างๆ ควรอาศัยผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในระดับสูงกว่าเป็นผู้ตรวจสอบ พลังหยิน-หยางทำให้เราแบ่งกลุ่มผู้มีความสามารถเป็นความสามารถชนิดหยิน เนื่องจากสังเกตได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับมวลสารประเภทหยินมากกว่าพวกหยาง สิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการใช้พลังจิตที่สัมพันธ์กับพลังหยิน-หยางก็คือความคิดที่เกิดจากจิตกำหนดนั่นเอง ทั้งนี้เพราะเหตุที่ความคิดคือการเคลื่อนที่ตามคำสั่งของมวลสารพลังหยิน เป็นการเคลื่อนที่ในลักษณะคลื่นสัญญาณสื่อข้อมูลถึงกัน และคลื่นพลังดังกล่าวสามารถทะลุผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่เป็นวัตถุประเภทหยาง ไปกระทำกับวัตถุกลุ่มเป้าหมายจนเกิดผลตามความประสงค์ เช่น การใช้พลังจิตดึงใบไม้ออกจากกัน การหักงอเข็มหรือโลหะต่างๆ ตามปรกติเราใช้พลังจากมือหรือเครื่องมือไฟฟ้า ในการปฏิบัติงานต่างๆ แต่ความคิดของคนเรานั้นใช้คลื่นพลังข้อมูลสื่อสารที่สั่งสมไว้ในสมอง ตามหลักการแล้ว การผลิตวิดีโอเทปกว่าจะได้ภาพฉายออกมาบนจอต้องอาศัยกำลังคนถ่ายทำ เครื่องมือ เงินทุน และไฟฟ้า แต่การมองภาพเดียวกันในระยะไกลโดยพลังจิตนี้ ต้องการเพียงใช้พลังสมองปล่อยออกมา เพียงสองสามแคลอรี่เท่านั้น ดังนั้นหากพิจารณาตามหลักสูตรรูปแบบพลังหยิน-หยาง ภายใต้สภาวะที่คงที่ มวลสารประเภทหยางก็จะเปลี่ยนรูปไปเป็นมวลสารประเภทหยินได้ หรือมวลสารประเภทหยินก็อาจเปลี่ยนรูปไปเป็นมวลสารประเภทหยางได้เช่นเดียวกัน คำว่าสภาวะคงที่แน่นอน ในที่นี้หมายถึงสภาวะที่เกิดขึ้นจากพลังจิตที่เกิดขึ้นในระดับสูงที่มีผลต่อกลไกแห่งความคิด ซึ่งนักปฏิบัติหรือฝึกสมาธิจิตที่เชี่ยวชาญสามารถบังคับได้ มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกย่อมมีองค์ประกอบที่สำคัญของพลังจิตอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สำรวจตนเองให้ดีพอจึงไม่พบ ทั้งๆ ที่แฝงอยู่ในร่างกายของตนนั่นเอง กลับกล่าวอ้างว่าผู้ที่มีความสามารถดังกล่าวเป็นพวกนักบวช พ่อมดหมอผีต่างๆ นานา น่าเสียดายที่คนทั่วไปไม่รู้จักวิธีสร้างหรือกระตุ้นพลังจิตของตนด้วยการฝึกตามศาสตร์จี้กง จากคุณ : Mr.Terran - [ 11 ส.ค. 51 15:14:52 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สรุปแล้วใคร่กล่าวเพิ่มเติมว่า แหล่งเกิดพลังจิตมี 4 แบบ แบบที่หนึ่ง เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ซึ่งจุดเกิดพลังอาจถูกกระตุ้นโดยบังเอิญ เช่น ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย มีจุดที่พลังลมปราณไหลผ่านเข้าออก (หรือที่เรียกกันว่าจุดฝังเข็มของจีน) ถูกกระทบโดยบางสิ่งบางอย่าง ไม่รุนแรง เช่น มีดบาด แผลถูกไฟไหม้ ได้รับผลกระทบใกล้บริเวณถูกฟ้าผ่า ถูกกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อน ได้รับบาดแผลขณะหกล้ม เป็นต้น แบบที่สอง พลังจิตเกิดขึ้นจากการกระตุ้นของปรมาจารย์จี้กงหรือผู้ที่มีพลังจิตแก่กล้า แบบที่สาม พลังจิตเกิดขึ้นจากการฝึกตามศาสตร์ลับจี้กง แบบที่สี่ พลังจิตเกิดขึ้นตั้งแต่เกิด ซึ่งถือว่าเป็นพรสวรรค์ แต่นับว่ามีน้อยมาก บางทีอาจเป็นหนึ่งในล้านก็เป็นได้ ด้วยเหตุดังกล่าว เนื่องจากชาวจีนในแผ่นดินใหญ่หลายล้านคนได้ฝึกจิตตามศาสตร์ลับจี้กงอยู่เสมอ จึงอาจดูเหมือนว่า ประชาชนที่มีพลังจิตจะมีมากอย่างกว้างขวาง จนก้าวสู่ยุคแห่งพลังจิตมวลชน เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว ประชาชนทั่วไปสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยพลังจิตของตนแล้วอะไรจะเกิดขึ้นนี่คือสิ่งที่น่าคิด จากคุณ : Mr.Terran - [ 11 ส.ค. 51 15:16:15 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สมมติว่าหากมนุษย์ในโลกอื่นก้าวเข้าสู่ยุคพลังจิตแห่งมวลชนหลายพันปีผ่านมาแล้ว พลังจิตของมนุษย์ในโลกนั้นคงจะแข็งแกร่งและมีมากกว่ามนุษย์ในโลกเราหลายเท่า ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ ที่ทำให้เขาเดินทางมายังโลกเราเพื่อสำรวจตรวจสอบบางสิ่งบางอย่าง ในการฝึกพลังจิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงสภาวะที่เกิดสมาธิขณะฝึกจี้กง หรือในสภาวะที่จิตสงบแน่นิ่ง พลังภายในจะเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังหยิน พลังนี้เองที่สามารถเดินทางไปได้เร็วกว่าแสง สามารถทะลุผ่านมิติและกาลเวลาทั้งในอดีตและปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถก่อให้เกิดประสบการณ์ในการถอดกายทิพย์ล่องลอยออกไปสู่ห้วงอากาศอันกว้างไกลได้ สมมติว่ามนุษย์ต่างดาวหรือต่างพิภพสามารถสร้างยานอวกาศพิเศษ แล้วสามารถใช้พลังจิตบังคับในขณะเดินทางเร่งความเร็วให้เร็วกว่าแสง นอกจากนั้นยังสามารถเปลี่ยนรูปโครงสร้างของยานอวกาศเป็นมวลสารประเภทหยิน แล้วเปลี่ยนรูปไปเป็นคลื่นสัญญาณข้อมูล ซึ่งเข้ามาถึงโลกเราทันทีในรูปแบบการบินประหลาดที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จากนั้นมนุษย์ต่างดาวจะใช้พลังจิตลดความเร็วของยานต่ำกว่าความเร็วของแสง จนกระทั่งเปลี่ยนจากรูปของพลังที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นวัตถุ เป็นยานอวกาศในรูปร่างแบบเดิม เมื่อจะบินกลับไปก็เพิ่มความเร็วดังกล่าวจนทำให้ยานแปรสภาพไปเป็นพลังพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนที่หรือการบินหลบหลีกอย่างรวดเร็วของยานหรือวัตถุบินของมนุษย์ต่างดาวนั้น ต้องอยู่เหนืออิทธิพลของแรงดึงดูดของโลก และอยู่เหนือระบบแรงเฉื่อยหรือความเฉื่อยที่ยึดถือทฤษฎีที่ว่า วัต:-)่อมอยู่กับที่ (ดังนั้นจะเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์ทางฟิสิกส์ของมนุษย์ในโลก) ด้วยเหตุดังกล่าว จานบินที่มีพยานพบเห็นแล้วรายงานว่ามันสามารถบินหักมุมกลับ 90 องศาทันที และสามารถหยุดนิ่งอย่างฉับพลัน และลอยนิ่งอยู่กลางอากาศได้นั้นเป็นไปตามกฎเกณฑ์ดังกล่าวทั้งสิ้น จากข้อสันนิษฐานที่กล่าวมาแล้ว หากเป็นไปได้เราก็สามารถติดต่อกับพวกเขาได้โดยใช้พลังจิตถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ แลกเปลี่ยนกัน นักค้นคว้าทางตะวันตกเน้นวิทยาศาสตร์ที่เป็นอยู่ ซึ่งห่างไกลตัวไปมาก แต่เรื่องวิทยาศาสตร์ลึกลับภายในร่างกายของมนุษย์ยังศึกษาค้นคว้าน้อยมาก ตรงกันข้าม จีนรู้จักประยุกต์ใช้หลักเกณฑ์ของพลังหยิน-หยางในทางแพทย์มานานกว่าสองพันปีแล้ว นอกจากนั้น การค้นคว้าพลังจิตทางตะวันตกได้ค้นคว้าย้อนหลังอย่างจริงจังเพียงร้อยห้าสิบปีเท่านั้น ช่วงระหว่างสามสิบปีสุดท้ายมานี้เอง ที่ศาสตร์ทางพลังจิตเพิ่งจะเป็นที่สนใจได้รับการพิสูจน์ทดลองจากนักวิทยาศาสตร์ แต่น่าเสียดาย ยังหาข้อสรุปหรืออธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ยังไม่ชัดเจน สรุปแล้วคนจีนได้สร้างยานอวกาศหยิน-หยางมหัศจรรย์ขึ้น ซึ่งเป็นยานพิเศษที่ไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิง ไม่ต้องการอาหาร หรืออาศัยยารักษาโรค เพียงฝึกพลังจิตให้แก่กล้าใครก็สามารถนึกคิดสร้างยานอวกาศได้ วิธีใช้ก็เพียงแต่อาศัยพลังแห่งความคิดกระตุ้นเร่งความเร็วหรือลดความเร็วเท่านั้น พวกเขาก็สามารถเดินทางออกไปสู่ห้วงอวกาศ สู่กาแลกซีอื่นที่ยังไม่ได้สำรวจด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแสง สามารถไปและกลับมาภายในสองสามชั่วโมงเท่านั้น ผมคิดว่าคงมีหลายท่านนึกตำหนิหรือโจมตีข้อสมมติฐานที่ผมกล่าวมานี้ ว่าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ ถึงกระนั้นก็ตามผมทราบว่า นักวิจัยค้นคว้าเรื่องจานบินทางตะวันตกหลายคนได้ติดตามค้นคว้าปรากฏการณ์ประหลาดทางพลังจิตของมนุษย์มานานแล้ว นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มยังตั้งข้อสมมติฐานว่า จานบินหรือยูเอฟโออาจกำเนิดจากภายในโลกเรานี้เอง เช่น อาจขึ้นมาจากใต้พื้นมหาสมุทร จากบริเวณดินแดนอาถรรพณ์สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา บริเวณดินแดนอาถรรพณ์สามเหลี่ยมมังกรปิศาจ หรือบริเวณดินแดนว่างเปล่าบนประเทศหรือทวีปใดทวีปหนึ่ง ทฤษฎีดังกล่าวนี้คงไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์กระมังครับ ในโอกาสนี้ผมใคร่ขอกล่าวถึงดร.ฮู ฉี นักวิทยาศาสตร์จีนยุคใหม่ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้แนะนำพวกเราให้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับจานบินลึกลับอย่างกล้าหาญและระมัดระวัง จากคุณ : Mr.Terran - [ 11 ส.ค. 51 15:24:39 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จากบทความของอาจารย์พอล ดองที่กล่าวมาแล้ว ทิโมธี กู๊ดนักค้นคว้าศาสตร์ลับจานบินได้วิจารณ์ว่า ในการประชุมทางวิทยาศาสตร์ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1992 องค์การวิจัยค้นคว้าจานบินของจีนได้ประกาศว่า สนใจที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างชาติเกี่ยวกับการวิจัยค้นคว้าเรื่องจานบินในปี 1993 ผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือหวาง ฉางติ้ง วิศวกรอาวุโสรักษาการองค์ประธานกรรมการขององค์กร ซึ่งได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ปัจจุบันความสนใจของจีนเกี่ยวกับเรื่องราวของจานบินนับว่าได้ขยายวงกว้างมากกว่าประเทศต่างๆ หลายประเทศ ดังนั้นหากจีนรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับเรื่องจานบินครั้งใหม่อีก ก็จะทำให้จีนก้าวไปสู่การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ใหม่อย่างแท้จริง องค์การค้นคว้าเกี่ยวกับจานบินของจีนก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1987 เป็นสมาชิกของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล องค์การค้นคว้าจานบินของจีนมีสมาชิกที่เป็นนักค้นคว้านักวิจัยระดับชั้นนำถึง 3,600 คน และมีผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมากถึง 40,000 คน นักวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับจานบินมาจากสถาบันทางวิทยาศาสตร์ สถาบันการศึกษา สถาบันทางทหารและสถาบันอื่นๆ ของจีน ซึ่งมักจะร่วมประชุมปรึกษาหารือเกี่ยวกับการศึกษาลักษณะจานบินในรูปแบบต่างๆ เช่น การกำเนิดแสงสี เทคโนโลยี การขับเคลื่อนหรือแรงขับเคลื่อนในอวกาศ เป็นต้น ( ที่มา หนังสือ จานบินและมนุษย์ต่างดาว UFOS โดย บรรยง บุญฤทธิ์ ) จากคุณ : Mr.Terran - [ 11 ส.ค. 51 15:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ว๊าววววว มาฝึกพลังจิตกันเถอะ  จะได้ไม่ต้องใช้รถให้เปลืองน้ำมัน เมื่อวาน ก็เพิ่งไปฟังสัมมนา เรื่องภัยพิบัติโลก และการเตรียมตัว ภัยที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ภัยจากธรรมชาติ  แต่มาจากมนุษย์นี่เอง มันคือภัยระเบิดนิวเคลียร์ ว่างๆ  ว่าจะลองทำ เครื่องไกเกอร์เคาน์เตอร์ ขนาดพกพาไว้สักอัน  เผื่อมีสงครามนิวเคลียร์จริงๆ ทำง่ายมาก องถามอากู๋ดูครับ อุอุ จากคุณ : NaCl - [ 11 ส.ค. 51 16:25:24 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ใช่ว่า "จับแพะมาชนแกะ" อีกรายล่ะ จากคุณ : ดวงฉลุย - [ 11 ส.ค. 51 22:07:53 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่เชื่ออะครับ ถ้าทำได้ขนาดย้ายมวลสาร แล้วจะมาสร้างเป็นรูปจานบินทำใม อีกอย่าง ไม่มีใครพบเห็นจานบิน พุ่งหายไปในพื้นดิน มีแต่ไปบนฟ้า จากคุณ : njtd - [ 13 ส.ค. 51 10:31:11 ]

ความคิดเห็นที่ 11 หยิน-หยาง ... ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ... จากคุณ : TokiyA - [ 16 ส.ค. 51 18:23:00 A:58.9.67.135 X: ]